เข้าสู่ระบบ

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ปฏิปทาธรรม ของ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม



**wan**
11-17-2008, 04:46 PM
http://www.dhammajak.net/gallery/albums/userpics/%CB%C5%C7%A7%BB%D9%E8%A9%C5%C7%C2%20%CA%D8%B8%D1%C1%E2%C1%202.jpg

ปฏิปทาธรรม ของ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม

คัดลอกจาก: อนุสรณ์ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม
วัดป่าบ้านวไลย ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบศีรีขันธ์

โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 008309 - โดย คุณ : mayrin [ 20 มี.ค. 2546 ]

เนื้อความ :

อาตมาที่จะเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องที่มันเริ่มเองโดยอัตโนมัติ เพราะอาตมาไม่ได้ทำไม่ได้หัด เป็นแต่ปฏิบัติที่กาย ที่ใจของอาตมาเท่านั้น และไม่ได้แต่งเรื่องให้เป็นที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจ เพราะใจคนมีหลายชนิด

อาตมาที่เข้าใจว่า ใจคนเป็นเครื่องหลอกลวงตัวตน หลอกลวงเราอยู่ทั้งนั้น ใจของเราทุกคน ส่วนอาตมาก็มีอยู่เหมือนกัน แต่อาตมาไม่เชื่อ แล้วโมเอาอะไรเป็นใจ ลองว่าให้อาตมาฟังซิ เอาอะไรเป็นใจอาตมาจะได้บอกให้ฟัง

ถ้าโยมเอาอะไรเป็นใจ เอาอะไรเป็นกาย กายอยู่ที่ตรงไหน และการมาฟังเทศน์ต้องการอะไร ถ้ามานั่งฟังต้องการเอาแต่บุญ บุญหรือนึกว่ามานั่งฟังเงียบ ๆ ก็ได้บุญแล้วก็ดี แต่ถ้ามานั่งฟังเงียบ ๆ ไม่ได้อะไรไป ไม่ได้ข้อคิดอะไรไป ตามธรรมดาไม่ได้อะไรไปก็ดีอยู่แล้ว ถูกดีแล้ว

แต่เรื่องข้างนอกได้ไป เก็บเอาไปทำไม ถ้าฟังเทศน์ไม่ได้อะไร เรื่องข้างนอกก็ไม่ควรเอามาใส่ใจเรา ใจของเราลองสอบดูซิว่า ใจของเรามีตัวตนอยู่ตรงไหน ในกาย ในใจ ถ้าอาตมาสอบก็จะแนะนำให้ เข้าใจเรื่องกายกับเรื่องใจของเรา

กายมีธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม อะไรมีตัวตนลองสอบสวนดู ตัวตนอยู่ตรงไหน ตา หู จมูก ลิ้น กาย มี ๕ นั้นก็เป็นโรคจิต แล้วลองค้นหาดูซิว่า ตัวตนอยู่ตรงไหน ในนาม ๔ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นนาม

แล้วเราเอาอะไรเป็นใจ ความคิดเป็นอะไร ลองตอบให้อาตมาฟังซิ อาตมาไม่เชื่อเลยความคิด อาตมาปฏิบัติที่ชำระล้างความคิดให้มันหมดจนเท่านั้นเอง มันจะคิดดีคิดชั่วอย่างไร ก็ตาม

เมื่อคิดดีอาตมาก็ไม่กระทำตาม หรือทำก็ไม่ยึดถือว่าเรากระทำ ความคิดชั่วเกิดขึ้นมาอาตมาก็ไม่ทำตามหรือไม่รังเกียจ ทั้งดีก็ไม่รังเกียจ ทั้งดีก็ไม่ยึดถือ ทั้งชั่วก็ไม่รังเกียจ เพราะอาตมาเห็นเป็นเครื่องล่วงเฉย ๆ เกิดขึ้นดับไป ไม่เห็นมีตัวตนตรงไหน

ใจคนเราเหมือนจอหนัง ถ้าเขาไม่ปรุงแต่งขึ้นมา มันก็ว่างเปล่า แต่คนเราไม่ชอบอยู่ว่าง ไปหาเรื่องมาใส่ตน ก็มีเรื่องอยู่ ๒ เรื่องเท่านั้น ก็คือ เรื่องดี กับเรื่องชั่ว เรื่องรัก กับ เรื่องโกรธ เรื่องรักถ้าเราไม่มีเสียแล้วเราไม่เป็นคน จิตใจสงสัยรักใคร่ใคร เรื่องโกรธก็คงไม่มี เรื่องรังเกียจก็คงไม่มี คงไม่มีแน่

นี่เราไปหลงรักไอ้ความรังเกียจ ก็คงมีเพราะมันอยู่เป็นของคู่กัน ถ้าอาตมาสอนโยมก็สอนให้โยมรักษาศีล ศีล ๑ เท่านั้นเอง คือ กาย ๑ วาจา ๑ ใจ ๑ ถ้าโยมตามรักษาใจ ศีลก็ได้มา สมาธิก็เป็น ปัญญาก็มี ทีนี้ กายสังขาร วจีสังขาร สังขารนั้นมี ๑ เท่านั้น แต่ว่าอาการมี ๓

ฉะนั้น อาตมาไม่เชื่อผลทั้ง ๓ ที่บัญญัติว่ากุศล กายก็บัญญัติ วาจาก็เป็นตัวพูดออกมา จิตเป็นตัวแต่ง จิตไม่มีตัวตน เจ้าสังขารก็เป็นผู้แต่งกาย แต่งวาจา แต่งจิต ถ้าแต่งมาให้ดีเราก็ไม่ยึดถือ ไม่ยึดถือในสิ่งที่ดี ชั่วเราก็ไม่ยึดถือ อย่างนี้

อาตมาให้โยมเข้าใจอย่างนี้ ถ้าโยมเข้าใจอย่างนี้ โยมอยู่เป็นกลางไม่ยึดถือ ทั้งดีทั้งชั่วแล้ว โยมทำได้ใน ๒๔ ชั่วโมง โยมอยู่บนเกวียนวัวขาวตลอดวันเลย ไม่มีอะไรเกิด เมื่อไม่มีอะไรเกิดความดับก็ไม่มี ถ้าโยมเข้าใจอย่างนี้แล้ว ความรักมันเกิดขึ้นโยมก็วางใจให้เป็นกลาง ความโกรธเกิดขึ้นโยมก็วางใจให้เป็นกลาง

ถ้าโยมทำได้อย่างนี้ใจก็พ้นจากความหวั่นไหว ถ้าโยมไม่รู้จักความหวั่นไหว ความดีใจก็หวั่นไหว ความเสียใจก็หวั่นไหว ถ้าโยมเข้าใจว่าสูงกว่าคนนี้โลกหรือคนก็ตาม ต้องมีใจหวั่นไหว ดีใจเสียใจมีอย่างนี้ ถ้าผู้ที่เหนือคนเหนือโลก ท่านพ้นจากความหวั่นไหว

เพราะความหวั่นไหวนั้น มันไม่ใช่ใจของเรา เป็นเครื่องลวงเท่านั้น ถ้ามันยังหวั่นไหวอยู่วันยังค่ำ อาตมาก็เชื่อว่าจะมีสภาวะหรือมีตัวตน มันหวั่นไหวชั่วขณะของมันเท่านั้นเอง

อย่างที่มันหวั่นไหวอาตมารู้เท่า ที่มันหวั่นไหวมันก็มาสอบอาตมาไม่ได้ นี้อาตมาปฏิบัติอย่างนี้ จะพูดสิ่งหนึ่งให้คนพอใจหรือ เพราะไอ้สิ่งนี้หนึ่งก็คงพูดให้ไม่พอใจ ถ้าอาตมาไม่ให้ยึดถือทั้ง ๒ อย่างเลยคือ ความพอใจ และความไม่พอใจ

ในตัวของเราที่ท่านบัญญัติขึ้นต้นก็ กาย เวทนา จิต ธรรม มีสติปัฏฐาน บัญญัติ เรียกว่า สติปัฏฐาน เมื่ออาตมาเชื่อว่ามีเท่านั้น มีนามกับรูปเท่านั้น ก็พิจารณาลงไปอะไรก็กาย ใครยึดถือว่าเป็น ใครยึดถือกายว่าเป็นตัวตนของเรา ใครไปยึดถือว่าเรา ว่าตัวตนของเรา สอบสวนธรรมลงไปอย่างนี้

เมื่อเราสอบสวนให้กับเราอย่างนี้ เมื่อสอบสวนขึ้นไปปรากฏลงไป ที่กายกับใจ มี ๒ อย่าง มีนามกับรูป ใครไปยึดถือว่าเป็นตัวตน ใครไปรู้ว่าเป็นตัวตน ใครไปจำว่าเป็นตัวตน ใครไปคิดว่าเป็นตัวตนของเรา ทำอย่างนี้ทบไปทวนมาอย่างนี้ เมื่อประสบเข้าแล้ว ที่อาตมาเป็นผู้พิจารณาก็หมดไปที่นั้น ไม่มีอะไรเป็นตัวตน อาตมาก็ไม่ใช่เป็นคนรู้ สิ่งที่ปรากฏคนก็หมดไปเท่านั้นเอง

ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไปแยกออกซิว่าตัวตนอยู่ที่ตรงไหน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ตัวตน มันอยู่ตรงไหน ฉะนั้น อาตมาจะให้ความสั้น ๆ สุดยอด ก็ถ้าสิ่งใดกระทบตา สิ่งใดกระทบหู จมูก ลิ้น กาย ทั้ง ๕ นี้ ถ้ายังคงอยู่ที่ใจของโยม กระทบตามันจะเกิดอะไร มันจะเกิดรักหรือเกิดโกรธ หรือมันเกิดอย่างไร

ถ้าโยมสัมผัสราคามันเกิดที่ไหน มันเกิดที่ตาหรือเกิดที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ทั้งหมดนั้นมันเป็นทางต่างหาก แล้วคนเราเข้าใจว่าใจของเราวิ่งออกไป แต่มันมากระทบใจเราต่างหากละ ถ้าอาตมารักษาใจเป็นหนึ่งเท่านั้นเอง เรามารักษาใจอย่างเดียวเราก็ไม่ล่วงกาย ล่วงวาจา ถ้ามันเกิดขึ้นมาเมื่อไรก็พิจารณาคือ ไม่กระทำตาม

อย่างนี้สัมผัสทางตา รูปสัมผัสกับตาก็คงเป็นไฟ นี้โลกนี้มันเกิดอย่างนี้ เมื่อสิ่งสัมผัสตาเป็นไฟ อย่างไร วิญญาณกับตาก็เป็นไฟ เมื่อสัมผัสเข้าแล้วเกิดสุขเวทนา หรือทุกขเวทนา หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ราคัดลินา โทสัคคินา โมหัคคินา ชาติยา ชะรามาระณัง โสกะปะริเทอะทุกขะโทมะนัสอุปายาสะ

ท่านไปสอบดูซิ มันมีจริงอยู่วันยังค่ำ ไหนอาตมาจะเล่าให้ฟังต้องเอาของจริงที่ตัว ถ้าเราไม่ยึด ไม่พิจารณาตัวของตัวให้รู้จักของจริง จริงคืออะไร จริงสมมติว่าตา สมมติว่าหู จมูก ลิ้น กาย วิญญาณสมมุติ บัญญัติไม่มีตัวตน

เราหลงไปเชื่อความคิดอันนั้นว่า เป็นตัวตนว่าน่ารักน่าเกลียด อะไรต่าง ๆ นี่ สิ่งต่าง ๆ มันเกิดขึ้นที่ความรู้และที่ใจ อาตมาก็พิจารณาคืน ถ้ามันโกรธ ใครรู้โกรธ ชำระที่ใจอย่างเดียว ไม่ต้องไปชำระที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย

มันเกิดพอใจ หรือมันเกิดไม่พอใจถ้ามันเกิดพอใจเป็น โลภะ ถ้ามันเกิดไม่พอใจเป็นโทสะ นี่ก็เป็นสุขเวทนาหรือ ทุกขเวทนาไม่สุขไม่ทุกข์ ขอให้ท่านไปสำรวจดูใจของท่านทุกคน ถ้ามันไม่มีจริงอย่าเชื่ออาตมานี่ อย่างนี่ อย่าเชื่อ ต้องให้เห็นจริงที่ตัวของเราว่า สิ่งสัมผัสเข้าแล้ว มันเกิดขึ้นแล้วเป็นอย่างไร หูสัมผัสเสียง วิญญาณกับหูก็เป็นไฟ

ฉะนั้น ถ้าพูดกันจริง ๆ ก็คือเอาเทศน์ของพระพุทธเจ้ามาพิจารณา อาตมาเอาพิจารณาอยู่ตัวของอาตมาหมดแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ในตัว วิญญาณที่มันรู้ทางหู หูกับวิญญาณก็รู้ซึ่งกันและกัน ถ้าเกิดพอใจหรือไม่พอใจ เกิดพอใจก็เป็นสุข เกิดไม่พอใจก็เป็นทุกข์อย่างนี้

อาตมานั่งเฝ้าดูที่ใจ ไม่ให้มันล่วง ถ้ามันเกิดให้มันตายตรงใจนั่น มันรัก มันอยาก มันกลัว ก็ให้มันตายตรงนั้น คุณเจอสรรเสริญว่าดี ใครรู้ดี ถ้ามันเกิดพอใจก็ต้องสอบสวน ถ้ามันเกิดไม่พอใจก็สอบสวนที่ใจ

อาตมาที่เล่าให้ฟัง โลกที่พระพุทธเจ้า เขาเรียกว่า พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติ ท่านชี้โลก โลกเกิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้ อาตมาเชื่อ ๑๐๐% ว่าของที่ท่านชี้มีอยู่จริง มีอยู่ในตัวในกายของเราจริง ๆ และเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ก็ตรัสรู้ของจริงอันนี้ ไม่ใช่ตรัสรู้ที่อื่น ตรัสรู้จริงในกายนี้เอง

เมื่อสิทธัตถะเป็นผู้รับ เป็นผู้เห็นธรรม รู้ธรรม เห็นธรรมเป็นตน ตนเป็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม รู้ธรรมแล้ว ผู้นั้นก็เป็นตถาคต ก่อนนี้อาตมาก็ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ ต้องพิจารณามันที่ใจ มันดับที่ใจ โลกมันเกิดที่นี่ มันดับที่นี่

เมื่อรู้โลกรู้เหตุของโลก ที่ดับของโลก (ปฏิปทาใด ๆ ก็ดับที่ใจ) ก็ต้องดับที่ใจ เมื่อใจเราดับเสียแล้ว ใจเราก็ว่างเปล่าจากตัวตน ที่นี้ไอ้วิญญาณทั้ง ๕ จะไปไหน

นี่คนเราไม่เข้าใจเลยว่า เมื่อเป็นคนเขาเรียกว่าวิญญาณ เมื่อที่สิทธัตถะตรัสรู้สังขารดับ วิญญาณดับ ทำไมไม่ตายคาต้นโพธิ์ยังโปรดสัตว์อีก ๔๕ ปี นี่ตัวอย่างอาตมาเชื่ออย่างนี้ ไม่เชื่อตามตัวหนังสือ ที่เขาว่า อุ๊ย! พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เป็นคำพูด เป็นตัวหนังสือ เป็นอักขระต่างหาก ไม่เชื่อ เชื่อว่าพระสิทธัตถะนั่นเอง พระสูตรรู้พระสูตรนั้นเอง

ในพระไตรปิฎก อาตมาจะขอพูดเป็นนัย ๆ ก็ได้ พระสูตรพระวินัย พระปรมัตถ์ที่สวดกันเห็นไหม ปรมัตท่านชี้ลงไปในปรมัตใช่ไหม ทำไมไปหาปรมัตที่อื่นเล่า โลกท่านชี้ที่ใจคนนี้ ทำไมไปหาที่อื่นเล่า อย่างนี้ โลกมันเกิดตรงนี้ สังขะตะธรรม ทำไมถึงเป็นโลก มันมีทั้งโลกทั้งธรรมเห็นไหม

ความคิดนั่นนะ ความรู้นั่นนะ มันเป็นทั้งโลกทั้งธรรม และมันไม่มีตัวตนด้วย มันหลอกเหมือนผี เกิดขึ้นแล้วดับ ทีนี้โยมต่างหากล่ะเกิดขึ้นแล้วเอนไปกับมัน จึงแกว่งกับมันตามอารมณ์ ถ้าของจริงไม่มีพิสูจน์ในตัว

อาตมาไม่เชื่อคำพูด คำพูดไม่ว่าชนิดไหน ถ้าพิสูจน์ในตัวของอาตมา อาตมาจึงเชื่อ อย่างสิทธัตถะ ท่านไม่เก่งจริง ท่านไม่ตรัสรู้ในอินเดียน่ะ นักศึกษามีมากลัทธิ ทำไมท่านไปตรัสรู้ในอินเดีย เพราะอะไร

เพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านไม่ใช่พระพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าข้างหน้า นี่พระโพธิสัตว์ท่านจึงโปรดสัตว์ พระพุทธเจ้าไม่มีตัวตน จะโปรดได้อย่างไร พระพุทธเจ้าไม่มีเจตนาด้วย

ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าเจตนาไม่มีนี่ ถ้าเจตนายังมีก็ไม่เป็นพระพุทธเจ้า เอ้า ลองไปสำรวจถ้าคนใดทำอะไรไม่มีเจตนาคนนั้นก็สบายไม่มีทุกข์เลย เจตนาเป็นตัวกรรม ทำดีก็กรรม ทำชั่วก็กรรม แล้วจะทำอย่างไรจึงจะพ้นจากกรรมอย่างนี้



+++++ ต่อ 2 +++++

**wan**
11-17-2008, 04:47 PM
ปฏิปทาธรรม ของ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม 2

คัดลอกจาก: อนุสรณ์ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม
วัดป่าบ้านวไลย ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบศีรีขันธ์

นี่บอกตรง ๆ เลยกรรมเป็นเผ่าพันธ์ ที่สวดกันเมื่อกี้นี้ อ้อ ! ที่สวดเมื่อตระกี้นี้ชี้กรรมเท่านั้น อือ ! เหตุปัจจะโย บุคคโลก บุคคลชี้ที่ไหนชี้ที่นี่ บัญญัติต่างหาก นี่ ! ธรรมมันอยู่นี่ อยู่ในตัวของเรานี่ เป็นของจริง จริงทั้งสมมุติ จริงทั้งวิมุติ อยู่ในตัวของเรา นี่ที่นี่เราเห็นตัวของเรามันจึงยังพุทธะไงเล่า

อัตตากับอนัตตาอยู่ด้วยกัน เราจะไปทางอนัตตา เราจะไปหาพบที่ไหน ลองคิดดูให้ดีนี่แหละอัตตา ถ้ามันเป็นตัวตน บังคับมันได้ไหม อย่างแก่ อย่างเจ็บ อย่างตาย เวทนา อย่าแก่ อย่าเจ็บ อย่าตาย ถ้ามันเป็นได้

เวทนา สัญญา สังขาร ถ้ามันเป็นได้ตามก็เป็นอัตตาซิ นี่ยังเป็นไม่ได้ตามประสงค์ของเรา นี่จึงเป็นอนัตตา เมื่อกี้เทศนาธรรมจักร แล้วอันนี้ อนัตตะลักขะณะสูตรเราจะทำอย่างไร ท่านชี้ไปแล้วหมดทั้งอนัตตา หมดแล้ว

รูป แยกรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงไหม นี่มันไม่เที่ยง เราไปยึดของไม่เที่ยงใช่ไหมเล่า เมื่อมันไม่เที่ยง ถามซิว่า มันเที่ยงหรือไม่เที่ยง "เบญจวัคคีตอบว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือสุขเล่า เป็นทุกข์พระเจ้าข้า"

เมื่อมันไม่เที่ยงเราอยากได้ทุกข์ต่างหาก เราจึงไปยึดเข้าว่าเป็นตัวตนของเรา อาตมาไม่เห็นตรงไหนว่าเป็นตัวตนของเรา ไม่มีสักอย่างเดียว บวชมา ๔๐ ปี ไม่เคยเจอตัวตนตรงไหนเลย แล้วทำความเพียรต้องพุ่งลงมาที่ตรงนี้

สังขะตะธรรม กับอสังขะตะธรรม มันอยู่ตรงไหน จะไปหาที่ไหน สังขะตะธรรม มี ๒ นาย มีโลกกับธรรม ใช่ไหมล่ะ ส่วนอะสังขะตะธรรมไม่มีโลกเลย คำเดียวอสังขะตะธรรมไม่ต้องพูดอีกต่อไป เป็นอะไร เป็นอะไรหมดไม่มีเรื่องพูด อสังขะตะธรรม ที่นี้พระสิทธัตถะประสูติ ตรัสรู้นั้นแหละ

พระสูตรท่านก็ไม่ได้แยกเป็นโน้นเป็นนี่ เมื่อเห็นพระสูตรเป็นธรรม เห็นสังขารเป็นธรรม สังขารนี้แหละ ตัวบัญญัติทั้งธรรมทั้งโลก เมื่อท่านมารู้สังขารเป็นธรรม สังขารจึงดับ วิญญาณดับ ตัวตนก็ไม่มี ถ้ายังมีตัวตนก็ยังมีกิเลส มันจะพ้นจากอวิชาตัณหาที่ไหน อวิชามันเป็นกิเลส มันอยู่ที่ไหน

"อาตมาไม่กลัว อวิชชาก็ไม่ต้องละ กิเลสก็ไม่ต้องละ เพราะไม่มีตัวตน ถ้าเราไม่เป็นทาสมันเสียอย่างเดียว ตัณหามันก็ไม่มีตัวตน อุปทานมันก็ไม่มี มันหมดทั้งนั้นแหละ กิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชามันเป็นเหตุเป็นปัจจัยเท่านั้นเอง

แต่เสียดายอาตมาเทศน์ให้โยมฟัง โยมไม่ได้เรียนรู้ ถ้านักบวชก็พอจะรู้บ้าง อย่างนี้ เพราะอาตมาต้องชี้ซ้ำที่ของจริงตรงนี้ จริงที่ไหน จริงที่กาย ที่ตัวที่ตนนี่ มันมีกายตรงไหน อะไรบังคับได้ แล้วสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มันไม่เที่ยง กายไม่เที่ยง มันก็ไม่เที่ยง แล้วก็เป็นทุกข์ เวทนาก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ด้วยใช่ไหมเล่า

นี้โยมจะไม่เป็นทุกข์ละมั๊ง โยมจึงได้รักมันไว้ นี่ เมื่อโยมเข้าไปยึดถือแล้ว โยมจะเรียกใครมาช่วย มานั่งฟังเท่าไรก็ตามเพลินสนุกเท่านั้นเอง พอถูกเป่ามนต์ก็ง่อยไปนั่งเงียบ ๆ ไปแล้วไม่ได้อะไรไปปฏิเสธสักอย่าง นี่ต้องคอยปฏิบัติที่ใจเรานี่ อาตมาว่าทั้งหมดเลย ออกมาจากที่ใจ

สัพเพธัมมา อนัตตา ซิ หมด กิเลส ตัณหา อุปาทาน มันเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน ทั้งนั้น แล้วไม่มีกิเลส ไม่มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน คนก็ไม่มีกรรมนี่ก็ไม่มี นี่ไม่มี ที่นี้มันมีอวิชา ตัณหา จึงมีกรรม อย่างนี้

เพราะอะไรมันมีกรรม เพราะเราเป็นผู้รับใช้ เราก็ต้องติดไปด้วยซิ กรรม ผลกรรมเราก็ต้องรับจะไปเหวี่ยงทิ้งให้ใคร นี่ของจริงมันอยู่ที่เรา ทำไมจะไปสร้างเรื่องสร้างราวมา จากที่อื่นไปหาจากที่อื่น

สังขตะธรรม ถ้าบวชแล้วไม่ถึงสังขะตะธรรม เปล่า ๆ หรือ กินลม บวชแล้วต้องถึง สังขะตะธรรม สังขะตะธรรม ก็คือพระสุก มีพระธรรมด้วย เพราะสังขารอันนี้ เป็นทั้งโลกธรรม ถ้าเรารู้เท่าสังขารทั้งหมด ไม่ว่าจะเกิดดีเกิดชั่ว เราไม่สนใจ นั่งเฝ้าดูสักพัก มันก็จะดับ เกิดดับเท่านั้นเอง

นี่ไม่ต้องหลับตา ไม่ต้องไปนั่งหาใครมาเป่ามนต์ คือมันจะหมดอำนาจ สังขารนั้นแหละหมดอำนาจ เพราะอันนี้มันมาจากไหน มาจากจิต

กุศล อกุศลนี่ เพราะอาตมาตั้งปัญหาขึ้น กุสะลาธัมมา อะกุสะลาธัมมา อัพยากะตาธัมมา ที่สวด ๆ กัน นี้ท่านเล่าถึงเบื้องต้น ที่อาตมาทำ ๓ อันนี้ อาตมาเชื่อ ๕๐% แล้วเพราะได้หมดจิตใจ เจตสิก มโนวิญญาณ บัญญัติทั้งนั้นเลย ไม่มีอะไรจริงสักอย่าง จิตก็ยังไม่มี

นี่จิตเป็นของบริสุทธิ์อยู่เดิม แต่มันไม่มีสัณฐานไม่มีรูปร่างให้ใครสร้าง ตั้งชื่อให้มัน ก็เลยเรียกว่า จิต อย่างนี้ นี่มันเป็นของสมบูรณ์ ฉะนั้น พออาตมาตั้งปัญหาอกุศลไม่ให้มันก่อตัวได้เลย เอาชีวิตเป็นเดิมพัน บวชก็ไม่ดูหน้าคน

บิณฑบาต ก็คือกรรมฐาน นี่ใจให้มันคิดอยู่กับกรรมฐาน เดินไปบิณฑบาต พอถึงรับบาตร วงกรรมฐาน แล้วจึงเปิดบาตรรับบาตร เมื่อรับบาตรเสร็จปิดบาตร แล้วยกกรรมฐานสู่ใจ ไม่ให้ใจของอาตมาว่างจากอารมณ์เลย นี่แหละเอาเครื่องเล่นไปให้ใจเรา ใจเราเหมือนเด็ก เอาไปให้มันเล่นเข้าซิมันเพลิน

อยู่กับกรรมฐาน ถ้ากรรมฐานดับก็ต้องเอากรรมฐานไปให้มัน เพื่อว่าของเล่นมันหลุดมือซะแล้ว ก็ต้องเอาของเล่นไปให้มัน มันก็ต้องรับ มันก็อยู่ซิ นี่โยมไม่ได้ทำกรรมฐาน เอาล่ะ ที่บวชก็ทำกรรมฐาน แต่บวชแล้วไม่ทำก็มี อย่างนี้ ถ้ากรรมฐานหรือวิปัสสนา อาตมามีศีลก็ใจ สมาธิก็ใจ ปัญญาก็ใจ

อาตมามีสัมมากัมมันโต สัมมาวาจา สัมมาชีโว สัมมาวาจาโมนี้ ความเพียรพิจารณาที่ใจ เมื่อเรามีความเพียรอย่างนี้แล้ว ใจมันจะเอาอามรณ์ที่ไหนเข้ามาได้ เกิดขึ้นมาไม่ได้ ล่วงกาย ล่วงวาจา มันก็ตกไป เกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่ได้ล่วงกาย เมื่อศีลบริสุทธิ์เท่านั้นเอง

พรรษาสองอาตมาปฏิญาณเลย เกิดขึ้นเอง ไม่ใช่อาตมาตั้งโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ข้าพเจ้าไม่ต้องการ นิพพานก็ไม่ต้องการ สมาธิ สติ ปัญญาก็ไม่ต้องการ มันไม่มีชื่อ สมาธิก็เรียกกันไปทั่ว พอสงบก็นึกว่าสมาธิ มันมีหลายชื่อหลายเสียง เขาตั้งแต่งขึ้นมา

สมาธิก็มีหลายคนต่างหาก ถ้าคนเข้าถึงฌาน ก็พูดกันถึงฌาน ไม่มีชื่อสักอันหนึ่ง แล้วไอ้ที่บัญญัติขึ้นมันก็เหลวหมดนะซิ มันไม่มีจริง ไปตั้งชื่อให้มัน มันไม่มีชื่อ และมันไม่มีตัวตนด้วย ถ้าคนที่ทั่วไปเขารู้แล้ว เขาจึงออกมาได้ เพราะมันไปพรหมโลก มันไปเป็นก้อนดินก้อนทรายอย่างนี้

แล้วคนเราก็วิ่งหาความสุข ไปหาที่ตรงนั้นนึกว่าจะมีความสุข พอมันไม่ได้ผลก็วิ่งไปหาตรงโน้น ตรงโน้นก็ไม่ได้ความสุข วิ่งไป ๆ ไม่เจออะไรสักสิ่ง

พระโพธิสัตว์ที่ท่านรู้ในตนนี่ ท่านไม่ได้ไปหาที่อื่น พระโพธิสัตว์ท่านรับฟังคำของพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง ท่านอยู่ในสวนจำปี จำปีนี้มีกลิ่นของพุทธะ เท่านั้นเอง

พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ดีแล้ว ถ้าคนโง่ ไม่รู้อ่านไม่ออกซะที ดีแล้วมันอยู่ตรงไหน ดีแล้วนี่เอายกตัวอย่าง อาตมาเดินลุยเข้ามาเนี่ย ไม่ได้เดินลุยออกไปหาข้างนอกด้วย ลุยเข้ามานี่ พอมันเกิดดีก็ไม่เชื่อ เกิดชั่วก็ไม่เชื่อ ลุยเข้าไป นี่แหละ

กิเลสมันทำให้น้ำขุ่น น้ำใส ตัวจริงมันไม่มี มันว่างเปล่า มันมีแต่เนื้อหัวใจเท่านั้น ถูกของท่าน เรียกว่าใจ สมมติ นี่เนื้อหัวใจเท่านั้นเอง ไอ้นามธรรมมันเกิดขึ้นมา เราก็ว่าใจของเรา เพราะคนตาบอดต่างหาก จึงไปเรียกเอาใจของตัว อย่างนี้

ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแต่ใจ อาตมาก็ทวน เอาสติปัฏฐานตั้งลงไป มรรค ๘ เอา ๔ ตั้งลงไป มรรค ๘ ก็ยังเป็นบัญญัติ มรรคจิต มรรคก็ต้องเป็นหนึ่งซิ มรรคนั่นเองรู้ทุกข์ ทุกข์จริง ๆ ที่เนื้อหัวใจ

สมุทัยก็ต้องจริง สมุทัยมันจริง อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น นั่นแหละมันจริง แต่มันไม่มีตัวตน ถ้ามันอยากมีให้มันอยากไปให้ตาย มันอยากให้มันตาย อาตมาทำอย่างนี้ กลัวให้มันตาย ความรักให้มันตาย

ให้มันเกิดตายให้ตลอด และไม่มีเครื่องปรุงจะแต่งให้อาตมารักใครได้ ไม่มีโกรธ มันจะสั่งให้โกรธใคร มันดับเท่านั้นเอง เกิดขึ้นมันเผาร้อนถึงที่สุด แล้วก็ไม่ยอม อดทนเอ้าตายให้มันตายไป พอโกรธมันดับ มันเย็นที่สุด

นี่โยมไม่ทำอย่างนั้นกันละมั๊ง อาตมาต่อสู้อย่างนี้ ทำอย่างนี้ทำที่ตัวของเรานี่ แล้วก็สอนตัวอยู่นี่ อาตมาจึงไม่ได้สอนคนอื่น จึงไม่มีศิษย์ ไม่มีบริวาร เขานิมนต์ไปเทศน์ก็ไม่เทศน์ คุยกันอย่างนี้ได้ เพราะมันเรื่องในตัวคน

อาตมาพูดนี่ชักเหมือนหอกไปปักในอกโยมหมดทุกคนเลย เพราะอาตมาต้องการหว่านไป ใครจะเอาก็เอา ไม่เอาก็ตามใจ ถ้าคนเข้าใจเรื่องใจ แล้วเข้าใจใจของตัวคืออะไร นั่นแหละผู้นั้นเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ มันเป็นอย่างนี้ เพราะไม่ต้องเรียนปรุงแต่ง ตั้งชื่อ ตั้งเสียง เรียนเป็นปรมัตถ์

ที่สวดเมื่อตะกี้นี้แหละ เหตุปัจจะโย ก็เมื่อตะกี้อยู่เนี่ย อารัมมะณะปัจจะโย อะธิปะติปัจจะโย มันเป็นอธิปไตยหมดแล้ว ตาเป็นอธิปไตย หู จมูก ลิ้น กาย เอาตาไปฟังได้ไหมล่ะ มันไม่ได้ มันเป็นใหญ่หมดแล้ว

ความคิดมันก็ไม่มีใครจะไปแทรกแซงขึ้นได้ มันคิดคนเดียว พอกระทบมาปั๊บ มันว่าอย่างนั้น เราก็เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น มันว่าอย่างนี้ เราก็ว่าเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ใช่ไหม ลองทบทวนดูซิ ลองทบทวนดู อาตมาไม่ได้เรียนแบบหรอก ต้องเรียนอยู่ในตัวของคนนี่

อาตมาเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า กิเลส ตัณหา อวิชชา ก็ไม่มีตัวตน ว่างจากตัวตนทุกอย่างเลย สัพเพ ธัมมา ไม่ว่าดีหรือชั่ว ศีลก็มีทั้งโทษทั้งคุณ สมาธิก็มีทั้งโทษทั้งคุณ แล้วสอนนั่งสมาธิคิดไปวันยังค่ำ เดี๋ยวสงบ เดี๋ยวไม่สงบ อาตมาก็ทำแล้ว

ทำแล้วจึงรู้มันว่า มาพิจารณา พอสงบ ใครสงบ ใครรู้สงบ ใครคิดว่าความสงบเป็นเรา พวกไอ้ ๔ ตัวนั่นแหละ ไอ้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทำหน้าที่จำ หน้าที่คิด หน้าที่รู้ หน้าที่เสวยเวทนา หน้าที่ของมันนั่นเอง มันมีอยู่ในใจของคนทุกคนนั่นเอง

อาตมามานั่งเอาชนะใจ ปลดปล่อยสัตว์ สัตว์ที่มีวิญญาณครอง มันจะเกิดเย่อหยิ่งจองหอง อวดดี ให้มันเย่อไป หยิ่งไป เดี๋ยวมันก็ดับเท่านั้นเอง เมื่อมันดับแล้วหามันก็ไม่มี เมื่อมันดับแล้ว หาอะไรไม่มี

ใจเราเหมือนจอหนัง นี่ ไปดูซิโทรทัศน์ ถ้าเราไม่เปิด ถ้าเราปิดแล้วซิโทรทัศน์ มันว่างเปล่าเลย ถ้าเราเปิดปั๊บ มีตัวมีของจริง มันเป็นเงาเท่านั้นเอง อย่างนี้ นี่ ใจคนเหมือนอีเงา นี่ เกิดดับเท่านั้นแหละ เรานั่นแหละไปหลงยึดว่าเป็นเรากัน



+++++ ต่อ 3 +++++

**wan**
11-17-2008, 04:49 PM
ปฏิปทาธรรม ของ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม 3

คัดลอกจาก: อนุสรณ์ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม
วัดป่าบ้านวไลย ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบศีรีขันธ์

ลองทบทวนกันดูมั่งสิ อย่างนี้ ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของไม่เที่ยงก็อยู่กับของเที่ยง อัตตาออกมาจากท้องแม่นี่ ตายมาเรื่อย เกิดมาตัวเท่าแขน ตายมาเรื่อย ไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้ตัวเลยว่ามันตายมาเรื่อย

เป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มตัวมานี่ พอแก่ลงตายเข้าโลง อะไรล่ะ อาตมาเห็นก็ไปรื้อ ไปพัง ไปเผา ไม่เห็นมีพิษสงตรงไหน ตัวตนอยู่ตรงไหน ไม่มีรื้อหมดแล้ว เหลือแต่กระดูกเท่านั้นเอง กระดูกมันก็ไม่มีอะไรนี่

นี่ต้องมาเห็นอันนี้ ตัวตนจึงไม่มี เมื่อมันเกิดถึงขณะ เมื่อไปรู้สติปัฏฐาน ๔ ที่มันเกิดขึ้นมา นี่แล้วไปยังทุกข์อริยสัจทั้ง ๔ ก็ต้องพุ่งลงมาที่นี้หมด ไม่มีอะไร มันว่างจากตัวตนทั้งนั้น แล้วก็ไม่ใช่เราจะมี เราจะเห็นด้วย

หน้าที่ของมรรคต่างหาก มรรครู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ โลกเป็นตัวผล ต้องดับที่ใจ ดับจริง ๆ ที่ใจนี่ โกรธก็ต้องดับ ความกำหนัดก็ต้องดับ ไม่ว่าอะไรต้องมาดับที่ใจทั้งนั้น เมื่อใจมันดับซะแล้ว เห็นก็ไม่เกิด ได้ยินก็ไม่เกิดนี่

แล้วอันที่พวกโยมเข้าใจว่าเกิด โยมไม่รู้จักมันเกิด ไม่รู้จักไอ้สิ่งธรรมชาติของมันไหลเหมือนน้ำ มันก็ไหลของมันไปตามธรรมดา ไม่มีอะไรเกิดเลย วันยังค่ำก็ไม่เกิด ฮึม อย่างนี้ บางทีถ้ามันจะเกิด เมื่อพอใจสิ่งใด นั่นมันจึงเกิด

ถ้าวันยังค่ำไม่มีความพอใจหรือความไม่พอใจ ไม่มีอะไรเกิดเลย ไม่เห็นอะไร ๆ ที่มันสวยงามเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าไม่มีอะไรเกิดความพอใจ ไม่มีอะไรเกิด ถ้าเกิดความพอใจขึ้นเกิดภพ นั่นแหละ เราก็หลงจิต ทีนี้มันหลอกให้เรา

พอเวลาทำบุญ ให้แล้วก็นึกว่าเป็นสุขไปชั่วขณะนี่ แล้วใจคน ใจของอาตมานี่แหละ พอเราไปยึดบุญเข้า รังเกียจบาป บาปก็มีอยู่ในตัวของเรานี่ บุญก็ตาย กุศลก็ตาย อกุศลก็ตาย อย่ารังเกียจกันเลย อบรมให้มัน ต้องอบรมให้เรา

ที่มันเป็นสาม กุศล อกุศล อัพยากฤต มันจนเป็นหนึ่ง นี่แสดงมัชฌิมาปฏิปทา แสดงที่ใจนี่ ปฏิปทาของอาตมาที่เข้าใจแล้ว เป็นทางเดินของคนคนเดียว ใครจะออกมาว่าดี ว่าชั่ว ก็ไม่เชื่อ ดีก็ไม่เชื่อ ชั่วก็ไม่เชื่อ เดินเข้าไป หรือว่ายน้ำ

เมื่อเขาว่ายลงตาม อาตมาว่ายทวนกระแส ทวนเข้าไป ใครจะมาบอว่าอย่าไป อยู่นั้นไป ใครจะบอกให้ไป ก็ไม่ไป ไปทางเดียว ทางกลาง พอไปถึงแม่น้ำที่มันใสบริสุทธิ์ ไม่มีรูปร่างสันฐาน พอมาถึงที่นั่น ใสก็ไม่ใส ขุ่นก็ไม่ขุ่น นี่ พอไปถึงไปรู้เท่าอันนั้นปั๊บ

ข้างนอกมันก็ใส ตามกันหมดเลย พอไปถึงอันนี้ปั๊บ ข้างนอกมันหมด ตา หู จมูก มันเป็นของว่างเปล่าหมดเลย อย่างนี้ นี่ มันลึกอย่างนี้ โยม ใครทำกันบ้าง ใครทวนกันบ้าง โกรธก็ไม่ต้องการ รักก็ไม่ต้องการ สัมผัสขึ้นมาไม่ต้องฟังเสียง อย่างนี้

เหมือนเราเดินทางไปนี่ คนจะเตือน มันจะไปเชียว ชั่ง ตายก็ต้องลงไปถึงก้นสมุทร ตายก็ต้องไปตายในก้นสมุทรโน้น อย่าให้มันตายอยู่บนโลกนี้เลย ให้มันไปตายบนก้นสมุทรโน้น ถ้ามันไม่มีจริงในก้นสมุทรละก้อ ไม่มีจริงละก้อ เราจะได้มาบอกพวกพ้องพี่น้อง ญาติโยมได้ว่า อย่าไป ถ้าขืนไปละก้อ ในก้นสมุทรมันลึก

นี่ พระโพธิญาณท่านสร้างอย่างนี้ มิจฉาทิฏฐิ นี่ สัมมาทิฏฐิ อยู่กับเราจะละอย่างไร มิจฉามันก็ไม่มีตัวตน มันต้องอาศัยความคิดอีก คิดสร้างขึ้นมา เมื่อไอ้ความชั่วไปคว้าอวิชชาสร้างขึ้นมา มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ วิชชาร้างขึ้นมาก็เป็นสัมมาทิฏฐิ นี่มันเป็นอย่างนี้

ถ้าอาตมาไม่เชื่อทั้งสองทิฐิ อาตมาไม่มีตัวตนซะอย่างเดียว ไม่เชื่อ ลุยเข้าไปตะพึด อย่างลงไปก้นสมุทร มันบอกว่าอย่าเข้าไปที่นั่น ไป เอ้าให้มันไปตายในก้นสมุทร พอไปถึงก้นสมุทร มิจฉาทิฏฐิก็จับมือกับมันได้ นี่ สัมมาทิฏฐิก็จับ

มหานิกายธรรมยุต จับมือกันได้ไม่มีอะไรเลย ทำไมไปถือท่าถือทาง รังเกียจเดียดฉันท์กัน คนเหมือนกันทั้งนั้นแหละ อย่างนี้ ทหารบก ทหารเรือ รังเกียจกันทำไม อย่างนี้ ถ้าใครต้องการนิพพาน ไปรังเกียจร่างกายอันสกปรก มันก็ไม่เจอสิ

ถ้าเราต้องการจะไปวิมุตติ ถ้าเราเห็นร่างกายเราว่างจากตัวตน ว่างจากตัวตน ไม่มีอะไรสักอย่าง ว่างจากตัวตนนั่นแหละตัววิมุติละ อนัตตามันก็ไม่มีตัวตน มันอันเดียวกัน นี้ สังขะตะกับอสังขะตะ มันก็อันเดียวกัน ถ้าสังขะตะเครื่องปรุงแต่งว่าเป็นนี่เป็นนั่น เพราะอสังขะตะไม่มีเครื่องปรุงเลย โลกธรรมมันอันเดียวกัน เข้าใจธรรมะให้ดี

ฉะนั้น ทั้งหมดอาตมาว่า พระพุทธเจ้าบัญญัติเลยที่ใจคน ตลอดทั้งตัวทั้งตน ทั้งก้อนนี่ เกิดมาจากครรภ์มีครบถ้วน มีครบเลย ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลย นี่แหละ พระไตรปิฎก พระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ เราจะไปหาปรมัตถ์ที่อื่น จะไปหานิพพานที่อื่น ไม่เจอหรอก

สังสารวัฏ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ สังสารวัฏอันนี้ ถ้าเราเห็นสังสารวัฏว่างเปล่าจากตัวตน นิพพานก็ไม่ต้องหา ตรงนั้นเอง ไม่ต้องวิ่งไปที่ไหน อยู่ในตัวของเราเสร็จหมด นี่


ทีนี้อาตมาจึงไม่ได้เรียนตำรับตำราเลย ศีลก็ท่านบัญญัติให้ ที่ท่านบัญญัติให้ท่าน บัญญัติจนไม่รู้จะทำไงแล้ว บัญญัติจนละเอียดละออหมดเลย พลาดลงไปตกเหวทั้งนั้น ไปเรียนสองร้อยยี่สิบเจ็ด ไปอ่านตรงไหนก็สงสัย ไปอ่านตรงไหนก็สงสัย

นี่ สงสัยมันก็ผิดอีกแล้ว นิวรณ์ สงสัยมันก็ผิดทั้งนั้น มันกั้นทั้งนั้นแหละ ทีนี้อาตมา มันโกรธ มันรัก มันอยาก มันกลัว ให้มันตายตรงนี้ ไม่สงสัยเลย มันเกิดดับเห็นชัดเจน แล้วใครรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่มีใครต้องสอนเลย นี่ มันอยากให้มันตาย

อาตมานั่งอยู่นี่ ใต้ต้นไทร เสืออยู่นี่ใต้เตียง มันหายใจแรง ๆ อยู่ใต้เตียง กำหนดเข้า เอ้าห่างไป ปล่อยเข้า อาตมาจะไม่โกรธหรอก ไม่ลืมตาดูด้วย พอกำหนด ๆ เสียงก็ดับ ก็ห่างไป ปล่อยเข้าก็ใกล้ เข้ามา เออ! หากเป็นเสือก็มากินซะให้ตาย ถ้าเราเคยถูกเสือกินตายให้ตาย เอาอย่างนี้

โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์น่ะไม่สละชีวิตไม่ได้กิน ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แล้วที่ท่านเป็นโสดา ที่เขาด่าท่าน เขาด่าท่าน ท่านก็ไม่ว่ากระไร พระเจ้าแผ่นดินบวช ๑๕ วัน ท่านยังรู้ธรรมเลย ไม่ต้องบวชมาก บวชมากหรอกคนเรา

ทีนี้ศาสนาจึงได้กว้างขวางไง จึงได้มีลัทธิมากมาย อย่างพวกศาสนาพระเจ้าสร้างโลก พระเจ้าทั้งนั้น พระเจ้าทั้งนั้น สร้างโลภ ถามว่าใครสร้างพระเจ้าไม่มีอะไรตอบ พวกศาสนา แต่ที่จริงอาตมาเชื่อ ไม่มีรังเกียจเลย เพราะศาสนามีอันเดียวเท่านั้น

ศาสนาพุทธในศาสนาพุทธของเรา ถ้าไปไล่ ถ้าไม่เรียนให้รอบคอบ คล้าย ๆ ว่าใครล่ะสร้างโลก อาตมาจะว่าเรานี่แหละสร้างโลก เรานี่แหละ สร้างเมียสร้างผัว สร้างอะไรกัน เราสร้างทั้งนั้น นี่โลกเราสร้าง นี่

เมื่อเราสร้างโลก เราต้องรู้ซิว่า เราสร้างโลก สร้างบ้านเราก็ต้องทำเอง ต้องหาเครื่องมาให้ครบ จึงจะสร้างบ้านได้สร้างศาลา ก็ต้องหาเครื่องมาให้ครบ พอเครื่องไม่ครบ มันจึงไม่สำเร็จ ใช่ไหม

เรานี่เอง ทีนี้ ถ้าเขาย้อนถาม ใครล่ะสร้างเรา อวิชชาเป็นพ่อ ตัณหาเป็นแม่สร้างเรามานี่ เอาซิ แล้วถ้าเรารู้อย่างนี้ โลกมันเกิดอย่างนี้ รู้โลกเท่านั้นเองเป็นธรรมหมด

นิพพาน พุทธนี่ อาตมา ชี้ให้เห็นตัวเราก่อน แล้วจึงไปดูศาสนาอื่นซิ อันนั้นเป็นพระเจ้าสร้างโลก พระเจ้าอย่างต่าง ๆ อย่างนี้ เหมือนกับอาตมาทำมา เกิดขึ้นจะบูชาพรหมจรรย์นี่ นั่งคุยกันอยู่อย่างนี้

อาตมาบวชได้ยังไม่ได้ ๓ เดือน ได้เดือนเดียว เกิดขึ้นจะบูชาพรหมจรรย์ อาตมา ก็ขอโอกาสเข้ากุฏิปิดประตู ถามอะไรเป็นภัยของพรหมจรรย์ บอกขึ้นมาเลยว่า เงินทอง เครื่องสักการะ รูป เสียง

นี่ ใครจะเชื่อคนอื่น ถ้าไม่เชื่อตัวเราจะไปเชื่อใคร อย่างนี้ บอกขึ้นมาอย่างนี้ มันจริงไหมล่ะ เงินและทอง เครื่องสักการะ รูป เสียง นี่แหละฆ่าพรหมจรรย์ นี่แหละ นี่ ฉะนั้น อาตมาก็ทำเลย

ถ้าเขาจะหวังเงินเป็นหมื่นเป็นแสน นั่งหลับตาทำมั่ง ลืมตาทำมั่ง เหยียดแข้งเหยียดขา พิจารณา ถ้าเราไม่รับให้ตายได้ไหม พิจารณา ฮึม ก็เกิดขึ้นมาที่นี่ ก็ดับลงที่นี่ ต้องดับที่นี่ทั้งนั้น จะไปดับที่อื่นไม่ได้

พอดับก็ไม่มีใคร ไม่มีใครถูกดับ ไอ้นี่อาตมาไม่มีความรู้อะไร มันดับลงไป อาตมาก็ดับไปด้วย พอไปพรรษาสามไปหาท่านอาจารย์มั่น ท่านอาจารย์มั่นเทศน์ให้ฟัง ๑๘ วัน ๑๘ คืน ไม่ได้อะไรไปสักอย่าง

มีที่นี่หมดแล้ว จะเอาไปทำไม เอาไปใส่ทำไม มันมีพอแล้ว เหลือใช้อยู่แล้วในตัวของเรา จะไปเอาอะไรของท่าน พอตัวเองจะเข้าพรรษา ไปหาท่าน ฉลวย ธรรมยุต มหานิกาย ไม่สำคัญเน้อ ปัจจุบันวิสุทธิอยู่ตรงนั้น

ทำ ๔ เดือน เท่านั้นชี้มาที่ใจเรานี่ ถ้าอดีตไม่มี ปัจจุบันก็บริสุทธิ์ ไม่ต้องไปเที่ยวหาที่ไหน นี่อุบายทั้งนั้นเห็นไหม ธรรมยุต มหานิกายไม่สำคัญเน้อ ปัจจุบันวิสุทธิ เพราะอาตมาเป็นมหานิกายไป ท่านเป็นธรรมยุต

เอาค้อนเหวี่ยง ตูม ๆ ๆ ไล่อย่างกับเดรัจฉาน พอแขกมาก ฉลวยจะไปไหนก็ไม่ไป ไล่เราต่อหน้าคน นี่! อาตมาก็ดูใจ โกรธไหม รังเกียจท่านไหม ก็รู้อย่างนี้ นี่ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ใช่ปฏิบัติอย่างอื่น

ปฏิบัติธรรมจริง ๆ อย่างนี้ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน แล้วก็คงไม่เชื่อ ถ้าพูดอีกก็คงไม่เชื่อ อยู่บนเตียง คิดจะบวช กลัวมันจะกลับคืนเข้ามา ก็ทดลองอยู่บนเตียง ให้มันตายบนเตียง ดอกบัวให้มันบานบนเตียง เกือบปีหนึ่งให้มันบานอยู่บนเตียง ของบริสุทธิ์อยู่บนเตียง

พอออกมาบวชชี้หน้ามันได้เลย ไอ้ความคิด ความกำหนัด ความโกรธ มันจะก่อตรงไหน ไม่ให้เลย พอมันเกิด สวนปั๊ป หน้ามันก็ม่วยเท่านั้น ประหารมันซะ หัวใจ ๆ ฆ่ามันซะที่กลางเมืองทีเดียว ไม่ให้มันทำ

มีก็มีซิ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นแหละ แต่ไม่ทำด้วยกาย ด้วยวาจา มันมีอำนาจอะไรใจ อย่างนี้ มันก็แสดงว่าตัวตนมีตรงไหนล่ะ เราเป็นทาสมันทั้งนั้นหรือเปล่า



+++++ ต่อ 4 +++++

**wan**
11-17-2008, 04:56 PM
ปฏิปทาธรรม ของ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม 4

คัดลอกจาก: อนุสรณ์ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม
วัดป่าบ้านวไลย ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบศีรีขันธ์

เมื่อหนุ่ม ๆ สาว ๆ ให้รักกัน พอตายให้เกลียดกัน ให้กลัวผี พอสามีตายก็กลัวสามี กลัวผีซะแล้ว เมื่อก่อนรัก หายไปไหนไม่รู้ มันสร้างใหม่อีกแล้ว แล้วมันมีที่มันล่ออยู่ทุกวัน ฮึม!

อย่างนี้ซิ อย่างนี้ซิชั่ว เราก็วิ่งตามดี พอตาม ๆ ไป ไปชั่วอีกแล้ว อ้าวโทรมอีกแล้ว ก็คิดหาทางอีก เนี่ย มันหลอกอยู่อย่างนี้ พอเวลาจะตาย ถ้าคิดอย่างนี้พอจะเป็นกุศลขึ้นมา เออได้สุคติ พออกุศลเกิดขึนมา ลงนรก

เอาสิ ทำยังไง รวยแล้วไม่พอ ไม่รู้จักพอซะที นี่อย่างนี้ ที่คนเขาพอ เขาก็ไม่เดือดร้อน เป็นคนพอ ทีนี้ บางทีพอไปถ่วงโลกเอ้า ต่อ ทีนี้ต้องทำเผื่อลูกอีก มันก็ไม่รู้ธรรมะ ลูกมันเกิดมาอาศัยเรา ให้มันโตเท่านั้น ให้มันร่ำมันเรียนแล้วไม่ต้องไปห่วงไปใยมัน

ถ้าห่วงมันมาก ทุกข์มาก ถ้ามันตายน้ำตายไหลเป็นเผาเต่า แต่ว่าไม่ต้องตาย พอมันไม่ทำตามเท่านั้น ก็เอาแล้วกลัดกลุ้มทันที อาตมาพูดไม่มีคนสู้หรอก มีแต่คนหนีไม่หอมหู ใจก็ไม่หอมเพราะเราพูดไปที่ใจ จะหอมได้ไง ไอ้เราก็นึกเหมือนกัน ร้อยคนมันจะมีได้สักคนหนึ่ง มี คนที่เขาจะผ่าน มี

ที่ของอาตมาอยู่ที่นี่ พระก็ไม่มี มีอยู่ ๒ องค์ อยู่กัน ๒ องค์เท่านั้น มี ๒ องค์ เท่านั้นเอง มีทั้งพระดีและพระชั่ว องค์หนึ่งชั่ว องค์หนึ่งก็ดี มี ๒ องค์เท่านั้น มี ๒ องค์ก็มีทั้งดีทั้งชั่วอยู่วันยังค่ำเลย อาตมาชั่วองค์หนึ่งเขาก็ดี พอาตมาดีองค์หนึ่งเขาก็ชั่ว มันเปลี่ยนกันอยู่อย่างนี้

ถ้ามีมากมันก็ชั่วมาก ดีมากขึ้นมันก็ยุ่งน่ะซิ มันเป็นอย่างนี้แหละโยมเอย อาตมาไม่ติดหรอก เพราะอะไร เพราะอาตมาจะกลั่นเอาแต่หัวปลาเท่านั้น หางไม่ต้องการ เพราะอาตมาทำอย่างนั้น ถ้าไปปรุงแต่งก็ล่อลวง ไอ้พระยามามันล่อลวงเราอยู่แล้ว ไอ้ความคิดมันลวงเราอยู่วันยังค่ำ คืนยังรุ่งอยู่แล้ว

ฉะนั้น ถ้าเราไปสอนคน เราก็ไปลวงคนอื่นอีกซิ เราต้องลวงตัวเรา เราต้องทำให้มันเด็ดขาดก่อนนา ต้องไปลงถึงก้นสมุทรก่อน ถ้าลงถึงก้นสมุทรค่อยไปลวงคนอื่นเขานา เรายังไม่ถึงก้นสมุทรมันมีเรื่องอีกเยอะเลย มันลวงเราอยู่เท่าไรนี่ ไอ้ความคิดน่ะอันเดียว มันลวงเราอยู่ ฮึม

ความคิดตลอดทุกแนวอาตมาไม่เชื่อ นี่ แล้วไม่กลัวด้วย กลัวก็ไม่กลัวซะด้วย พระสิทธัตถะท่านไม่ได้คนขี้ขลาดนี่ ฮึม ออกจากนางพิมพา ราหุลมา เปิดม่านแล้วยังมองเข้ามาอีก ราหุลกับพิมพานอนอยู่ ขี่ม้าอาชาไนยออกมา ดูซิบัญญัติ ขี่ม้าออกมาบวช ม้าสีหมอก มีฉันทะเกาะหางม้ามาอีก

พอมาถึงแม่น้ำอโนมานที อโนไหนล่ะดูซิ เขาสมมติเขาพูดไว้ให้น่าฟัง อโนมานที ฮึม แล้วเราไปหาที่ไหนล่ะ อโนมานที พอถึงแม่น้ำอโนมานที พอตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ ไอ้ม้าตัวที่ขี่มาตาย ฮึม ไอ้ม้าตัวที่ขี่มาอาชาไนยนั้นม้า บุคคลาธิษฐาน

พออาชาไนยตัวนั้นตาย ใจของพระสิทธัตถะก็เป็นเทพบุตรแล้ว ใครจะพากลับอีกล่ะ ใครจะพากลับไปหานางพิมพา ราหุลอีกล่ะมีไหม บวชยังไม่ทัน ๓ เดือน ๑๕ วัน ๑๐ วัน อย่างมากเฉลียวฉลาดหน่อยไปถึง ๕ พรรษา ๘ - ๑๐ พรรษา ยี่สิบก็ยังสึกเลย

นี่ พระสิทัตถะท่านไม่ได้สึกเลย ท่านออกมาจากอะไร ท่านสำรวจแล้วในโน้น ท่านออกมาบวชนี่ แล้วพอตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์เท่านั้นแหละ จิตของท่านไปเป็นเทพบุตรซะแล้ว

พอทำความเพียร ๖ ปี จนขุมขนจะเน่า ไปตามฤษี ไปตาค้นเรื่องฌาณ เรื่องสมาธิของฤาษี ฮึม แล้วท่านก็รู้ว่า นี่ไม่ใช่ทางตรัสรู้ ท่านรู้ขึ้นด้วยตัวเองอย่างนี้ นี่ พอรู้ว่าไม่ใช่ทางตรัสรู้ ท่านก็มาดำเนินใหม่

วิตก ยกกัมมัฏฐานสู่จิต วิจาร พิจารณากัมมัฏฐาน ที่ท่านทำ ปีติ สุข เอกัคคะตา ท่านก็มาละวิตก วิจาร ซะ อาศัยปีติ และปีติอาศัยเอกัคคะตากับอุเบกขานี่ พระองค์พิจารณาธรรม และเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเป็นหนึ่ง อิทธิบาทเป็นหนึ่ง อินทรีย์ต้องเป็นหนึ่ง สัมโพชฌงค์เจ็ดต้องเป็นหนึ่ง เป็นหนึ่ง

นี่สติเป็นตั้งมั่น นี่ถ้าอันนี้เกิดขึ้นแล้ว ทัสสนะญาณ เมื่อสติสัมโพชฌงค์นี่หลัก ไม่ง่อน ไม่แง่น ไม่คลอน ไม่แคลนแล้ว ที่สวดเมื่อตะกี้นี้ กุปปะธรรม อกุปปะธรรม กุปปะธรรมยังคงคลอนแคลนง่อนแง่นอยู่

อกุปปะธรรมแปลว่าหนักแน่นแล้ว นี่ ที่ตัวตน เมื่อตะกี้นี้ของดี ๆ ทั้งนั้น ทีนี้ทวงว่า อนิจจา วิตะสังขารา เขาไม่ชักบังสุกุล ถ้าเขาชักบังสุกุลยกมือไหว้เลย อะนิจจาวะตะสังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน

สังขารทั้งปวงไม่เที่ยงหนอ สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ สังขารดับเป็นสุขในโลก กลัวเสียแล้ว กลัวเสียแล้วจะไปยังไง กลังสังขารจะดับ มันเป็นอย่างนี้ โยม อาตมาเทศน์สักร้อยคน จะเหลือสักคนสองคน หมดหายไป หายไป เพราะอะไร ถ้าถามว่าเข้าใจไหม เข้าใจ แต่ทำไมทำไม่ได้

ไอ้เรื่องเกิดมันไม่เกิด บางทีมันก็ไม่เกิด บางทีมันก็หลงเชื่อว่าน้ำมันไหลไปธรรมดา ธรรมชาติ ถ้าเรารู้จักใจของเราคืออะไร ธรรมชาติ รู้จักใจของเราคืออะไรแล้วนั่นแหละ ธรรมชาติของพุทธะ

ถ้าเรารู้จักใจของเราคืออะไร คือครูของเทวดาและมนุษย์ อย่างนั้นที่พระไตรปิฎกแปล ๆ ออกมาตั้งมากมาย ฉะนั้นท่านมาถึงท่านจึงบัญญัติแยกพระสูตร ไปเรียนพระสูตรก็ไปเรียนชื่อคน ชื่อบ้านนั้น ชื่อกระป๋อง ชื่อถัง สังกะสีก็เรียก สังกะสีบ้าง เหล็กบ้าง มันสมมติทั้งนั้น อย่างนี้


นี่แหละบ้านหนึ่งก็ไปอย่างหนึ่ง สมมติบัญญัติอย่างนี้ เราก็ไปติดสมมติก็บังเสียจนพอแล้ว ยังไปพูดออก แล้วยังไปติดบัญญัติอีก ก็บังอีกเหมือนกัน สมมติก็คือโลก ถ้าเรารู้สมมติบัญญัติ ละสมมติบัญญัติ หรือเพิกสมมติบัญญัติออกไปหมด มันเป็นธรรมหมดเลย มันไม่มีปัญหาเลย

สังขารก็ดับ พอสังขารดับแล้ว อาตมาจะให้นัยไว้ ทุกคน โยม ผู้ปฏิบัติยังไม่เข้าใจว่ ญาณของพุทธะอยู่ที่ไหน ไอ้อวิชชาตัวนี้เป็นปัจจัยให้สังขาร สังขารมันเป็นปัจจัยให้วิญญาณ นี่มันเป็นปัจจัยให้ซึ่งกันและกันอย่างนี้ และพอกลับมา ไอ้วิญญาณตัวนั้นมันคอยรับต่อ

นี่ พอมันคอยรับ ไอ้สังขารมันก็รู้ตาม ไอ้สัญญาก็จำตาม ไอ้เวทนาก้ประกาศผลว่า จะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ นี่ นี่แหละ ทีนี้ไอ้วิญญาณทั้ง ๕ ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย กลับมารู้เท่าที่เจ้าสังขาร สังขารจะส่งให้ใคร สังขารจะปล่อยภพได้อย่างไร ปล่อยชาติได้ตรงไหน

ไอ้นี่ต้องสร้างมาจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย รูปา สัททา คันธา ระสา โผฐัฐพพา ต้องอาศัยอันนั้นจึงเกิด พอมันเกิดเป็นกระโถนขึ้นมา มันเป็นซะ ๒ นัย เจ้าสังขารจึงสร้างกระโถน ถ้าเรารู้กระโถน ข้าไม่รับกระโถน ไอ้เจ้าสังขาร ที่สร้างมันก็เกิดไม่ได้

คิลานะปัจจะยะเภสัชนี่เป็นเรื่อง เรื่องเบา ๆ นิด ๆ เดียว ฉะนั้น ทาน อันให้ชีวิตเป็นทาน ใครจะสามารถสละได้ เอาชีวิตเป็นทาน และยอมสละชีวิต เอาชีวิตนี้ให้เป็นทานแล้วใครล่ะ จะสามารถสละชีวิต เลือดยังไม่กล้าสามารถเลย ยุง เหลือบ ลิ้น กินก็ยังห้ามหวง

ไม่เคย ตั้งแต่พรรษา ๑ ถึง ๒๐ ลองถามคุณก้าน ไม่เคยลูบ ปล่อยมันกัด นั่งอยู่กลางแจ้ง ไม่ได้เห็นแก่นอน ถ้าไม่เอายุงเป็นเพื่อนจะได้ประโยชน์อะไร ให้เลือดเป็นทาน ให้ทานแก่เหลือบ ทานแก่สัตว์ นี่ มันต้องทดลอง

ทั้งนี้ เพราะเราให้ทานเลือด เลือดกัดตัวจะใหญ่กว่ากัน ให้ทานยุง ยุงก็ต้องมากัด เราให้ได้ไหม เราให้ได้เราจะรู้เลยเราให้ทาน ได้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่ มหาทาน ไม่ต้องเสียเงิน เสียทอง เราเกิดมาเราซื้ออะไรมา เราซื้อมาหรือ เราซื้อมาเกิดหรือ เราก็ไม่ต้อง เงินทองก็ไม่ต้อง เอาเลือดเนื้ออุทิศเป็นทาน

ครั้งพระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าท่านก็สร้างบารมีมาอย่างนี้ แต่เราไม่ต้องเอาหมด เอาถึงชีวิตเป็นทาน แค่นี้ก็เป็นพอ นี่ ทำมาอธิษฐานมาด้วย แล้วเอาร่างกายนี้บูชาพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ในตัวนี้ ไม่ได้บูชาคนอื่น บูชาคุณอยู่ในใจกายเรานี่

นี่ ถ้าผู้ที่มาบวช ยังไม่ได้มีครอบครัว ถ้าบวชไม่สึก สละชีวิต เมื่อสละชีวิตก็อุทิศภรรยาให้ทาน ไม่มีปัญหาเลย คิดดูซิ คนเราทำได้ไหมล่ะ จะเอาผล ทำจะเอาผล เหตุไม่ทำจะเอาผลได้อย่างไง

อย่างอดทนเมื่อกี้ เห็นไหม ราคะโทสะโมหะ ๓ ประการ อดทนได้ไหม ยังอดไม่ได้ พอถูกกระทบแล้วก็แล่นปู้ด แล่นปู้ด อย่างนี้ จะได้ประโยชน์อะไร อดทนไหม ที่เราเรียนรู้ รู้ที่ตัวเราอย่าไปรู้ที่คนอื่น

อันนี้ของมีจริงอย่างนี้ ถ้าเราอุทิศให้จริง ธรรมทั้งห้าก็เป็นวิมุตติด้วย แต่เราจะไปเอาวิมุตติ จะไปหาที่ไหนล่ะ เอาวิมุตติไปหาที่ไหนล่ะ วิมุตติ ของที่มีไม่ดูจะไปรู้ของที่ไม่มีได้อย่างไร ของไม่มีรูปร่าง สังขารไม่รู้จัก ก็จะไปรู้จักธรรมะได้อย่างไง นี่

นี่แหละ ผมเทศน์ให้ตัวของผมตลอดคืน ตลอดเวลา ตอนลงมือผมไม่ได้เทศน์ให้ใครเลย เทศน์ให้ตัวเท่านั้น นี่แหละ เนี่ยเอาไอ้นี้สอนตัวอยู่วันยังค่ำ ๆ เมื่อเราบวชไม่สึก ที่ไร่ที่นาควรจะเป็นของเรา เราก็ไม่เอา

เราไม่สึกให้ภรรยาเป็นทาน ให้สมบัติสิ่งที่เราจะได้ เป็นทานอย่างนี้ นี้มันเกิดขึ้นแก่เรา ถ้าเราทำอย่างนี้ อุทิศอย่างนี้ ผลก็ได้รับผล นี้เราจะไม่เอา โดยมาก ไม่เอา เพราะไม่หาผล เหตุไม่กระทำจะไปเอานิพพาน

จะไปเอาสิ่งที่มันเป็นสุข ทุกข์ไม่ผ่าน จะไม่รู้จักอะไร จะไม่รู้จักอะไร ได้ศีล ต้องรักษาศีล รักษาโทษ ไม่ให้ล่วงกาย วาจา ก็ศีลก็รักษาไม่ได้ ไม่ได้ เพราะถูกกระทบอารมณ์เท่านั้นแหละ เขาว่าไม่ดีเท่านั้นแหละ หน้าตา... ไม่ได้เพราะอะไร มันออกแสดงออกมาอย่างนี้

มันมีเจตนา มันเป็นตัวศีล หรือเปล่า ล่วงศีลหรือเปล่า ศีลปาติโมกข์ ล่วงศีลปาติโมกข์ ล่วงศีลอินทรียสังวรศีลไป ถ้าสำรวมศีลต้องสำรวมอยู่ที่ใจนี่ เห็นอะไรก็ให้มันดับลงไปที่นี้ ได้ยินเสียงอะไรก็ให้มันไปอยู่ที่นี้

ถ้าอย่างนี้มันก็เรียกว่าผู้รับ ให้ทาน ทานก็มี ศีลก็มี ปัญญาก็มี ครบอย่างนี้ ถ้ามีครบอย่างนี้ ผลก็ได้รับ นี่เราไม่ทำเหตุ ผลจะได้อย่างไร ขันติ อดทน ต่อความรัก ความอยาก ความกลัวนี่แหละ นี่ผมทำ

ผมปฏิญาณอย่างนี้เลย ผมขี้เกียจ ไม่ต้องไปมีปัญหาเลย อดทนต่อความรัก ความโกรธ ความอยาก ความกลัว ดีใจ เสียใจ อดทนมันรอบตัว ถ้ามันเกิดขึ้นมาอดทนไว้ ในขั้นต้นมันยังโง่ ไม่ว่ามันเกิดชนิดไหนอดทนไว้ ตอนหลังจึงได้พิจารณา อะไรมันเกิดขึ้น มันโกรธกับใคร



+++++ ต่อ 5 +++++

**wan**
11-17-2008, 05:07 PM
ปฏิปทาธรรม ของ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม 5

คัดลอกจาก: อนุสรณ์ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม
วัดป่าบ้านวไลย ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบศีรีขันธ์

ใครรู้โกรธ ใครจำโกรธ ใครคิดว่าความโกรธเป็นเรา นี่ เอาไปพิจารณา ถ้ามันไม่เชื่อ ก็อย่าเอาไปใช้ หาคนโกรธ ใครล่ะโกรธ เราไม่ได้หาคนที่เขาด่า อย่างนี้ แต่ให้เขาด่า คงจะไม่ค่อยมีคนด่า แต่ให้เขาว่าเฉียด ๆ หน่อยเท่านั้นเอง ไหลลงไป ซอก ๆ ๆ ๆ ๆ อย่างนี้

อย่างนี้จะมีสติสัมปชัญญะอะไรในตัว จะเป็นผู้มีศีลอะไร ศีลอินทรียสังวร จะต้องสำรวมตลอดเวลา ไม่ว่าเวลาไหน นี่ เพราะ ฉะนั้น ทั้งศีลทั้งทานผมทำใส่จูงใส่ใจของผมอันนี้ นี่แหละอันนี้แหละ ถ้าเขาพูด เขาด่ามา เขาว่าไม่ดี เราก็ทำเฉย ไม่ให้เขารู้เลย จะไม่รู้ตัวเลย

เขาจะไม่รู้ตัวเลย ว่าผมมีอะไร ทั้งเขาว่าดี เพราะผมลงมือ ผมตัดกระแสนี่ เอาตาชั่งกับหัวมันมาวางไว้หน้ากุฏิเลย นี่ ไม่ใช่พูดแต่ปาก ทำจริง ๆ อย่างนี้ ผมไม่ได้ไปหาความสุขก่อน หาทุกข์ก่อนซิ ไม่ได้รักษา หาโทษ รู้โทษเสียก่อน จึงเป็นศีลทำโทษ

มันไม่รู้จักโทษมันจะไปมีศีลบริสุทธิ์ได้อย่างไร หาคุณหาโทษ เมื่อหาโทษได้แล้วก็รู้จักคุณและโทษของความดี ความชั่ว ของมันมี ความรัก ความโกรธ ความอยาก ความกลัว ต่าง ๆ ในโลกนี้มันมีทั้งนั้น แล้วไม่หาตรงนี้ จะไปหาที่ไหน

อึกอักพอมาบวชปั๊ปจะไปหานิพพาน หาอย่างโน้น หาโสดา สกิทาคา อรหันต์ จะหาได้อย่างไง ไม่ทำไม่ถามเสียก่อน ไม่ทำไม่ถามทางเสียก่อน จะไปเอาผลยังไง ขอให้นึกดูให้ดีซิ อย่างนี้ ที่เขาจะไปถึงเขาถามทางแล้ว อย่างนี้ ทางเตียนออกโล่ง อย่างนี้ ทำไมจะต้อง...

ไม่ได้ลงทุนถามด้วย ไม่ได้ลงทุนซื้อถามด้วย นี้ ทำตัวให้พระพุทธเจ้าเทศนาธรรมจักรชี้ไว้ เอ้า ใครจะเป็นคนลงมือทำตรงนั้นบ้างมั้ย กามสุขัล และอัตตะ กามมันเป็นอย่างไร ก็ต้องออกด้วยกาม ความรักล่ะ ตีลงไปไม่ผิดเลย ความโกรธนั่นแหละอัตตะฯ มัชฌิมาเราเป็นคนเสียสละ

เราก็ถึงมัชฌิมาได้ นี่เราไม่ยอมเสียสละ น่า ลองนึกดูให้จริงซักหน่อยเถอะน่ะ ใครมีจริงบ้าง เสียสละ ถ้าใครเสียสละมันก็เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา มัชฌิมาปฏิปทา มีอภิญญา ไม่ใช่มีเท่านั้น มีอภิญญาด้วย

ทีนี้ ไม่ได้เสียสละสักอย่าง นี่แหละ ลงมือ ถ้าจะพูดผมทำตรงนี้ เอาให้มันตายตรงนี้ เอ้า ให้มันตายตรงนี้

กามสุขัล ฯ และอัตตะฯ หย่อน ตึง ผมไม่ได้ทดลองผมจะพูดไม่ได้ ผมทำให้มันตึงถึงที่สุด ก็ค่อย ๆ หย่อนตัว หย่อนลงมา ๆ ๆ จะรู้มัชฌิมาปฏิปทามันเป็นยังไง หย่อนลงไปจนถึงหย่อนที่สุด ตึงมาจนถึงหย่อนที่สุด พอมาถึงกลางนี้ มันจะไม่ไป มันจะไปที่ไหนหย่อน พอถึงกลางนี่จิตก็ลงตรงนี้

มิชฌิมาปฏิปทาก็วางปั๊ปอยู่ตรงนี้ อะไรจะมากระทบ ตึง เขารู้ว่าตึง คุณก้านนี่แหละ เขาเคยว่าหลวงน้าทำตึงไป เขาก็หย่อนมัชฌิมา เขาเรียนนักธรรมเอก บางท่านก็ตึงไป ผมมัชฌิมา เขากินข้าวสองหน ผมกินข้าวหนเดียว เขาว่าเขาพอ ผมน่ะ ผมกินหนเดียวก็พอ

ตานี้หนักเข้าผมจึงว่า เมื่อน้ำมันไหลเชี่ยวนี่ ท่านว่ามันตึง ท่านว่ายดูมั่งหรือเปล่าว่ามันตึงแค่ไหน แล้วมันหย่อนแค่ไหน ผลที่สุดทั้งขัดนั้นแหละ เขามีความ.. พอมานั่งฉันน้ำร้อน ก็บอกให้เขาหาวิญญาณ เขาก็หาไม่มี หาที่มันรู้มันก็รู้ ไอ้รู้มันก็ดับ เพราะมันเป็นเช่นนั้น ใครรู้ อย่างนี้

ทีนี้เขาหาในตัวของเขา เขาไม่ได้ไปหาที่อื่น ตำราเขาก็มีนักธรรมเอก อย่างนี้แล้ว อย่างงี้เขาหาที่นี้ ผมก็หาที่นี้ ผมไม่ได้หานอกเหนือจากตัวนี่ ศีลท่านก็บอกแล้ว ห้ามขาดศีลปาณา ฯ ห้ามมิให้ฆ่าสัตว์ ผมก็ไม่เอา เอาทรงไว้อทินนา ฯ ลักทรัพย์, ประพฤติผิดในกาม ห้าอย่างนี้ ผมเอารักษา

มันคิดเห็นสัตว์มันจะฆ่า ให้ใจมันไปฆ่าหมด อินทรียสังวรศีลคุ้มปาฏิโมกข์หมดเลย อย่างนี้ นี่ ผมไปรักษาต้นตะกูล แล้วธุดงควัตรสิบสาม ขูดเกลากิเลสตรงนั้น นี่ ธุดงค์ ฯ สิบสาม ถือผ้า ๓ ตัว, ถือผ้าบังสุกุล, อยู่โคนไม้ ทำหมดทุกอย่าง ใครทำมั่ง ฉันยาดองด้วยมูตรเน่า นี่ทำแล้ว จึงมาคุยได้ว่าทำแล้ว

เมื่อทำแล้วจะต้องรู้โทษด้วย โทษมัน ทำแล้วประโยชน์มันเป็นอย่างไงล่ะ เราจะได้วัดได้ จะไปถามคนอื่นที่ไหน ไอ้ความโกรธนี่ เราก็โกรธอยู่นี่ เราดูลงไปซิ มันโกรธให้มันแค่ไหน มันจะลึกไปแค่ไหน เราก็พิจารณาหยั่ง ถ้าเราทำอย่างนี้ เราจะรู้ว่าไอ้โกรธมันเป็นโทษหรือเป็นคุณ นี่

ที่นี้ มันเรื่องของศีลทั้งนั้น ของความอดทนทั้งนั้นแหละ เมื่อเราก็หาลงไป ในที่สุดมันดับเอง มันจะก่อไม่ได้เพราะอะไร เพราะพอโกรธ ใครรู้โกรธ ? หยั่งลงไปที่ใจนี่ มันโกรธที่-นี้ แล้วมันก็จะดับเอง มันจะไปหาใครมาด่าล่ะ

มันจะไปหาใครล่ะ ไม่ใช่คน คนที่ไม่ถูกหาไม่ถูกทางมันก็ พอเขามาพูดอะไร พอฟัง ๆ เดี๋ยวก็ออกไหลออกไปซอก ๆ ๆ เหมือนลิง อือ แล้วมันจะได้อะไร ไม่ได้นิ่งด้วย ว่าเขาพูดหมายไปอะไร พอไปประสบหน่อยก็ออกฉ๋อย ๆ ๆ อย่างนี้ แล้วจะได้ผลอะไร เนี่ย ผมทำของจริงอย่างนี้

แล้วความรักล่ะ ความรักก็ต้องแสดง เพราะผมเห็นอย่างนั้น เออ ความรัก เออมึงให้จริงเถอะ แขนขาด้วย ขาเขาด้วย มึงกินแต่ตีนแต่มือ ชาตินี้ให้มึงกินได้แค่นี้ ไม่ให้มึงกินอีกแล้ว แล้วมันจะมาออกที่ไหน มันจะสร้างใคร แขนเท่านั้น มันยังเด็กไม่ให้มันดูหน้า คนเราธรรมดาพอเห็นแขนเกิดแขน ลุกล้ำเข้าไปดูหน้า หน้ายังแค่หน้า ล้ำเข้าไปอีกด้วยซ้ำไป นี้ อย่างนี้

บิณฑบาตก็ล้ำ ล้ำเข้าไปในบ้านเขา อย่างนี้มันเป็นอย่างนี้ ไม่ได้อยู่แค่บาตร ล้ำเข้าไปในบ้าน ท่านให้ระยะ ๓ ศอก เท่านั้น นี่แหละ ผมอบรมตัวของผมอย่างนี้ ไม่ว่าอะไรขึ้นมาผมจะทำที่นี่ ความกลัวที่นี่ นั่งอยู่นี่ มันเกิดกลัวก็พึงทำ พอมันเกิดกลัว ใครกลัว ? ใครรู้กลัว ? ใครจำกัด ? ใครคิดว่าความกลัวเป็นเรา ?

มันกลัวเสือ แล้วเสือมันมีมาร้อง มามันกลัวเสือ เอ้า เออ เรากลัวเสือกินตายให้มันตายซะ เราเกิดมากรรมใดที่เราทำไว้แล้วเชิญมาให้ผลเถอะ ถ้ากรรมใดที่เราเคยทำไว้ เสือมันก็ไม่กล้ากินซิ อย่างนี้ อุทิศอย่างนี้ แล้วอะไรจะมาครอบงำ ให้มันดิ้นรนกระวนกระวาย พอความสงบ ใครสงบ? ใครรู้ความสงบ ? ใครคิดว่าความสงบเป็นเรา ? แล้วมันจะเป็นอย่างไร


พอฟุ้งซ่าน ใครฟุ้งซ่าน ? ใครคิดฟุ้งซ่าน ? ใครรู้ฟุ้งซ่าน ? ใครจำความฟุ้งซ่าน ? ใครคิดว่าความฟุ้งซ่านเป็นเรา ? หาที่ไหนไม่หาตรงนี้ ไม่หาที่ตัวเรา เราฟุ้งซ่านไปหาคนอื่นมันเป็นยังไง อย่างงี้แล้วไปถามใคร นั่นมัน จะไปถามความฟุ้งซ่านว่ายังงั้นยังงี้ นั่นมันจะฉลาดมากเกินไป

ว่าจะไปถามความฟุ้งว่าจะอย่างนั้นอย่างนี้ จะได้ผลเป็นยังไง จะเอาแต่ผล เหตุไม่ทำ ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมาก็ไต่ไปซิ ไม่ไปดูตาม ตามไปดูสิ มันปรุงมันคิดเรื่องอะไรแค่ไหน นี่ ผมไม่เคยไปถาม ใครว่ามันฟุ้ง มีแต่ผู้ปฏิบัติเห็นแต่บ่น มันสงบดีก็แหมหน้าตา... พอฟ้งซ่านก็เกิดขึ้น...ยุ่งใจ

พอยุ่งใจก็เที่ยวถามเขา นี่ อย่างนี้ แล้วทุกข์นี่ผมก็ทำ มันทุกข์นี่ ถ้ามันไม่ทุกข์ผมก็ไม่ทำ ทุกข์ที่เนื้อหัวใจมันทุกข์อันนี้ ไม่ใช่ทุกข์อย่างที่เขาเทศน์กัน ทุกข์ สมุทัย ทุกข์ที่เนื้อหัวใจนี่ ก็ทำใครเป็นทุกข์ ? ใครรู้ทุกข์ ? และทุกข์อันนี้แสดงให้ผมดู แน่ะ ผมอัศจรรย์ นั่งหลับตา

พอนั่งหลับตานี่ หลับตาเหมือนมีไม้มาบีบ เหมือนมีไม้มาบีบเนื้อหัวใจจะแตกเอา ก็ลืมตา นี่ แสดงให้ดู ที่เราเดินปฏิจจะสมุปบาท กำลังพิจารณากำลังเต็มที่เชียวพรรษาที่สาม อย่างนี้ แล้วผมไม่เห็นว่า ทุกข์มันเป็นของใคร พอบีบ ๆ เต็มที่ ลืมตาหาย ลืมตา ยกมือหาย

ใครล่ะก้อ ผมเชื่อ ใครล่ะ เทวดาองค์ไหนจะหยั่งถึง พอเอามือใส่หลับตาเอาอีก ขนาดหนักเชียว ยกมือขึ้นลืมตาหาย พร้อมปัญญาเลย พร้อมเลย ครั้งที่สาม เอาอีก ใครเป็นทุกข์? ใครรู้ทุกข์? ใครจำทุกข์? ใครคิดว่าความทุกข์เป็นเรา? ทำ

ทุกข์นี้เกิด ทุกข์นี้ตั้งอยู่ ทุกข์นี้เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่มีใคร เทวดาองค์ไหนเลย นี่พิจารณาตามที่เป็นจริง เกิดดับตามที่เป็นจริง ก็พิจารณา ๆ จน ปัญญาซิ มรรคซิ อริยมรรคซิไปรู้ทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่คนโง่ โง่เข้าไปรู้ นั่นมันก็รู้ทุกข์

ทุกข์ก็ไม่มีอะไร ๆ ทุกข์จะมาบีบคั้นใคร เพราะมรรคนั่นเองไปรู้ทุกข์ ปัญญานั่นแหละถ้าพูดกันง่าย ๆ เป็นหนึ่ง จึงจะไปรู้ทุกข์ได้ ถ้าทุกข์อันนี้ไปใส่ใครก็รู้ หน้าตั้งเชียว ผมไม่มี ไม่มี ไม่ค่อยแสดง ที่แสดง พรรษาที่ ๓ เพราะผมเดินปฏิจจะสมุปบาท

เมื่อไปถึง เมื่อปฏิจจะสมุปบาทอันนี้อันเดียวกัน นี่ นั่นแหละธรรม เมื่อธรรมต้องเห็นโลกซิ โลกก็ทุกขสัจซิ แล้วเมื่อพิจารณาทุกข์ ใครเป็นทุกข์ ใครรู้ทุกข์อย่างนี้ เมื่อพิจารณาอยู่นั่น เมื่อหมดตัวทุกข์ พอเห็นทุกข์หาสุขไม่ได้ เห็นแต่ทุกข์ ไ

ไอ้ความอยากสุขมันก็ดับ สมุทัยจะมาครอบงำใคร นี่ เมื่อสมุทัย เมื่อรู้ตามความเป็นจริง สมุทัย แล้วคำที่ดับ ดับลงไปทีไหน ดับลงไปที่กายที่ใจทั้งหมด ดับลงไปนานแค่ไหน ดับอะไร คนโง่ก็ไม่รู้ซิ นี่ดับ ตั้งพิจารณาเรื่องเงิน ไม่รับเงิน นั่นก็ดับ

พิจารณาเรื่องนามรูปก็ครั้งนี่ นี่ครั้งสำคัญเลย

แล้วไม่ทำจะเอาผลอะไรล่ะ นี่แหละธรรม ผมไม่ได้ยึดว่าผมรู้ด้วย ไม่ใช่รู้ของผม แต่มันเป็น มันเป็นที่นี่ แล้วไม่เป็นที่ตัวเรา จะไปเป็นที่ใครล่ะ จะไปรู้ที่ใครล่ะ เป็นที่ตัวของเรา จะไปถามใครเขาล่ะ แล้วไปถามไม่ดูที่ตัวของเรา อย่างนี้ โง่ ถ้าหากเที่ยวถามเขา

เมื่อกี้จำได้ ท่านเจ้าคุณเทศนา เทศนาอาบัติ ผ่านไปโน้น ผ่านไปทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย โน้นแหละมันเห็นล่ะ ไอ้นี่มัน ไอ้นี่มันต้นรากของมันเลย โน้นแหละ โกรธ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ปัจจยาการมันยังเป็นทุกข์อยู่ข้างบนเลย อวิชชานั่น นั่นแหละ นั่นแหละ ปัจจยาการนั่นแหละ

ทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา ชา... ความสุข ความทุกข์นั่นแหละ แล้วจะทำอย่างไงได้ คุณที่ไปหาความสุข จะหาตรงไหนล่ะ เพราะสุขเวทนา ทุกขเวทนานั่นแหละมันเป็นตัวสมุ... มันเป็นตัวราคัคคินา โทสัคคินา โมหะมันครอบงำไว้หมดแล้ว แล้วจะไปทำที่ไหน ท่าน เมื่อกี้ท่านยังบอกเลย

นั่นแหละ ราคะ โทสะ โมหะ นั้นแหละ อึม เราไม่หาให้เจอนี่ เราอยากเจอไหม เราเจอแต่เราไม่รู้มัน พอเกิดขึ้นมาเล่น ใครบ้างไหมล่ะไม่รู้จักโกรธไหม รู้จักไหม เกิดมาใครเคยรักใครไหม ทำหรือเปล่า ขณะที่มันรัก ขณะที่มันโกรธทำหรือเปล่า ฮึม

ถ้ามันไอ้ความรัก ความโกรธ ไม่มีเจ้าของ ไอ้โมหะจะครอบใคร ที่ไอ้โง่ไปครอบรักเป็นเรา โกรธเป็นเราหมดจริงไหมไปดูซิ ถ้าจริงอย่างนั้นไม่ต้องไปหาที่ไหน หาความสุขที่ไหน หาที่ไหนได้ล่ะ มันมีแต่ทุกข์ เนี่ย สัมผัสทางตา มันเกิดสุขเวทนา ทุกขเวทนา สัมผัสทางหู มันก็สุขเวทนา ทุกขเวทนา

สัมผัสทางจมูกมันก็สุขเวทนา ทุกขเวทนา นี่ สัมผัสทางกายก็สุขเวทนา ทุกขเวทนา สัมผัสทางใจ มันก็สุขเวทนา ทุกขเวทนา ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา ชาติยา ชะรามะระณัง โสกะปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายาส ไหลไปตามน้ำ ทำหรือเปล่าทวนน้ำ ปลาว่าย ไหลเข้าไหลออก กระแสนี่ นี่ กระแส นี่แหละกระแส

กระแสนี้เข้ากับกระแสเลือดในตัวของเรานี้ แน่ะ ถ้ากระแสนี้ ถ้ากระแสนี้ไม่ดับ คนไม่ตาย ถ้ากระแสเลือดในตัวคน ถ้าหยุดไหลตาย เน่าเปื่อยผุพัง มันอยู่ไม่ได้ นี่แหละกระแส กระแสน้ำ ทำไมเรียกกระแส น้ำมันไหลเรื่อย มันไหลปั่นวันยังค่ำในตัวนี้ มันหยุดได้ที่ไหน

เมื่อเลือดมันผ่าน ถ้าเลือดมันหยุดไม่ไหล ตายเท่านั้น อืม เขาเรียกเส้นประสาทสมองแตก ตาย ตายทั้งนั้น นั่นแหละเลือดมันหยุด อย่างนี้ ก็เหมือนกับอันนี้ ก็อันนี้คนยังเป็นอยู่นี่ ถ้าวัฏฏะนี่มันดับแล้ว เมื่อสังสารวัฏมันดับ เมื่อสังสารวัฏดับคนยังไม่ตาย อย่างนี้ นี่ สังขารนี้มันดับ ถ้าใจมันเกิดรู้ธรรมเท่านั้น มันก็ดับ



+++++ ต่อ 6 +++++

**wan**
11-17-2008, 05:09 PM
ปฏิปทาธรรม ของ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม 6

คัดลอกจาก: อนุสรณ์ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม
วัดป่าบ้านวไลย ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบศีรีขันธ์

นี่แหละ อันนี้ก็วัฏฏะ อันนี้แหละนามธรรม นี่แหละจิต ที่มันหมุนจนไม่รูนาทีมันกี่ร้อยรอบ กี่สอบรอบก็ไม่รู้ด้วย อย่างไฟฟ้าเนี่ยมันติดตลอดเวลา เห็นไหม นั้นมันกี่ร้อยรอบกว่าจะ...อย่างนี้ นี้มันเหมือนกัน เลือดในตัวก็หมุนอย่างนี้ และไอ้นี่มันก็หมุนวันยังค่ำ หมุนฉิวอยู่วันยังค่ำ มันหยุดที่ไหนล่ะ

ถ้าใครไปรู้จักมัน ถ้าใครไปรู้จักรู้เท่าทันมัน มันก็ดับ เมื่อมันดับก็เป็นธรรมชาติ อย่างนี้ เมื่อรู้เท่าทัน อย่างพระสิทธัตถะรู้เท่าทัน สังขารดับ ตายไหม ยังโปรดอีก ๔๕ ปี นี่ คนโง่มันไม่รู้ แล้วเวลานี้จะไปประกาศใคร เอาไปประกาศใคร ทำให้เขาเถิด เออ มันไปประกาศที่ไหน ถ้าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นตรงไหน มันมีใครรู่ล่ะไปรู้

ถ้าอย่าง ไปดูที่อินเดียนั่น ที่พระพุทธเจ้าประกาศ ใครล่ะประการศที่พระพุทธเจ้าเกิด เอาซิ ถ้าเวลานี้ ถ้ามีมีขึ้นมา ใครจะมาเป็นคนประกาศว่าฃพระพุทธเจ้าเกิดนี้ ฮึม ลองนึกดูซิ ถ้าเขาหาในตัวนี่หมด ทุกซอกทุกมุมหมดแล้ว ไอ้ความสุขมันมีที่ไหน มันมีแต่ทุกข์ เมื่อเขาเห็นทุกข์อย่างนี้

ใครจะเป็นคนกอดรัดเอาว่าเป็นของเรา แล้วใครจะเป็นคนไล่ขับกิเลส ตัณหา อวิชชาเอาไปไหน มันมีตัวตนอยู่ตรงไหน เราเป็นบ่าวของมันอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ แล้วไม่ได้พักสักขณะเดียว ใครมีอะไรก็คอยชะแง้ พอใครโผล่ ข้าก็ไปหลอย ๆ ๆ ๆ นี่ ผมหาในตัวของผมนี่ แล้วของที่มันชั่ว

ใครจะเอาไว้ ไอ้ของชั่วต้องสละให้เป็นทาน ของชั่วที่มันมา มันเกิดขึ้นกระทบเข้า มันเกิดขึ้นมาให้เป็นทาน เมื่อให้เป็นทานแล้วไอ้ความดีก็จะมาที่ไหน ความดีจะเกิดได้ที่ไหน มันเกิดได้ที่นี่เอง ไอ้ชั่วกับดีมันอยู่ด้วยกัน เมื่อรู้ เมื่อหมดชั่วก็เหลือแต่ดีเท่านั้นเอง อย่างนี้

ไอ้น้ำสกปรกโสโครกมันไหล นี่แหละ ท่านลองไปสืบสวนดูซิ เลือดมันหยุดจะตายทุกคน เน่าเปื่อยผุพังอยู่ไม่ได้ อันวัฏฏะนี้ต่างหาก ถ้าหยุดพักเสียแล้วผู้นั้นเห็นธรรม เห็นเราตถาคตทีเดียว โลกก็ดับ อย่างนี้ นั่นแหละ เลือดมันก็เกี่ยวกับรูป เป็นนาม แล้วเกิดมาจากท้องแม่มันเกิดคราวเดียว

เกิดแล้วแก่-ตายเรื่อยมา รู้ไหมว่ามันตายมาเท่าไหร่ มันตายมากี่ร้อยชาติ ไอ้ที่มันไม่เห็น มันซ่อนเร้นมา มันตายลี้ตายลับมาเรื่อย เปลี่ยนแปลงเรื่อยมามันหยุดเมื่อไหร่ละ ไอ้ที่เปลี่ยนแปลงร่างกายมันยังมองไม่เห็นเลย ไอ้ที่มันหมุนอยู่ที่ใจ มันจะเห็นยังไงน่ะ ขณะหนึ่งมันมีถึง ๑๗ ครั้ง อย่างนั้นที่ใจ

แล้ว ไอ้ที่มันตายมา ตายซ่อนเร้นก็ยังไม่เห็น แล้วตายนี้จะเห็นได้ยังไง นั่งมองดูใจสักทีหรือเปล่า เราไปดูโน่น ออกไปโน่น โน่น นอกตัวเราโน่น แล้วจะเอาอะไร ไปรู้ไอ้โน่น ก็มีสีจริง ๆ สิ แล้วมีทั้งสีแดง สีเหลือง มันดี มันมีไม่เหมือน มีแต่ข้างนอกโลกนอก อย่างนี้ มันดับที่นี่ พอมันดับใครจะว่า สีแดง สีขาว สีเหลืองไม่มี

แล้วทำไมไอ้โกรธมันดับ ใครล่ะเป็นผู้โกรธ ใครเป็นผู้โกรธ ใครเป็นผู้รู้โกรธ ฮึม อย่างนี้ มันว่ามันไม่มีผู้โกรธ แล้วไอ้ผู้ด่ามันก็ไม่มี ไปลงโทษใคร เมื่ออันนี้ไม่มี อันโน้นเลยไม่มีด้วย อย่างนี้ นี้พอเราไปคอยหากระทบมา มันก็คอยเต้นเข้าไปรับอารมณ์

ถ้าเรียนอะไรรู้มาก็รู้ ๆ ไป มันรู้มากเกินไป มันรู้ไม่หยุด ถ้ารู้ไม่หยุด แล้วจะได้ผลอะไร อย่างนี้ นี่พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าสอนผม ไม่ได้สอนให้ไปหมายเอาความดี ให้หมาย ให้ละความชั่วนี่ ให้เห็นชั่วในตัวของเราหมด ไอ้ความดีไม่ต้องหามันก็มาเอง

แหมอันนี้ ผมมาตั้งสี่สิบ สามสิบสี่สิบกว่าปี ท่านลองนึกดูซิ ผมทำมา มันเป็นของอัศจรรย์ที่เหลือล้น อย่างนี้ และไอ้ความชั่วมันหายไปไหนล่ะ เพราะเรารู้มันรู้ทั่วถึงหมดแล้ว ไอ้ความชั่วมันหาย ไอ้ความดีไม่ต้องไปหามันมาเอง และไม่มีรูปร่างสันฐานให้ใครไปวัดด้วยว่าสั้นยาวแค่ไหน อย่างนี้ นี่ไม่ได้หา หากันหรือเปล่า

ไปเที่ยวหาแต่อาจารย์ แล้วเอาทิฏฐิมานะของตัวไปเตะไปเตะอาจารย์เล่น นี่มีอยู่แล้ว ไปเตะทุกอาจารย์เลย ไปอยู่ที่ไหนเตะทุกอาจารย์เลย นี่มันอยู่นี่ ฆ่ามันที่นี่ ไม่ได้ฆ่ามันข้างนอก มันเตะอาจารย์ทั้งนั้น มันอวดดีกับอาจารย์ทั้งนั้น ไม่ว่าเทวดาองค์ไหน มันไม่ยอม มันยอมใคร

มันอยู่เหนืออาจารย์ทั้งนั้น มองโทษแต่อาจารย์ทั้งนั้น ไปอยู่ที่ไหน นี่มันอยู่นี่ ไอ้ตัวนี้ ฮึม ที่ผมไปอยู่ป่าช้า เขาประกาศเลย พระปลอมออกมา ผมไปขอขมาโทษด้วย และปลูกกุฏิถวายหลังนึงแล้วยังให้วัด ให้มาควบคุมวัดอีก ท่านอาจารย์มั่น ผมไปประกาศต่อหน้าเลย มันเหยียบมาตั้งแต่ลูกศิษย์ ตั้งแต่... ไปจุดในเตา

ระหว่างนั้นไม้ขีดมันแพง เราก็ไปจุดไฟในเตา จุดยา พอจุดเขาฮากันครืน ฮึม เราก็ไม่รู้เขาฮาอะไร เฉย ๆ ไม่รู้ ๆ พอนั่น รุ่งขึ้นไปอีก ไปจุดไฟ เอาอีก เขาฮากันครืน ฮึมไม่พูด ดูเขามั่ง เขาสูบยากันนี่ ก็ดูเขาบ้าง เขาไปให้เณรประเคนมาจุดยา ฮึม เขาฮาเราอยู่ เราโง่ นี้เราก็เรียกเณรประเคนเอามั่ง เขาก็หายฮา

ไอ้ตัวโง่นี้มันยังจะไปเตะปากเขาอีก ไอ้ที่เขาฮานั่นนะ มันอย่างนี้ อาจารย์องค์เดียวไม่หยียบ ไม่เหยียบ เขาก็... เขาก็เหยียบหัว เราก็นั่ง ยืน เดิน ให้เขาเหยียบหัวอยู่นั่น ไม่พบหรอก ไม่พูดเลย ไม่ต้องพูดพอมาถึง พอมันเหยียบ มันก็เหยียบเรื่อยมา เรื่อยมา


พอถึงอาจารย์ปั๊บ พอโผล่หน้ามา อ้อ มึงอย่างนี้ ไม่ให้ ไปประกาศตัวด้วย มันดูถูกท่านอาจารย์อย่างนั้น อย่างนั้น ประกาศต่อหน้าคนอย่างนี้ นี่ นี่แหละ คนละนิกายด้วย ใครทำได้ ใครทำมั่ง มีกี่ร้อยครั้งก็ปล่อยมันทั้งร้อยครั้ง นั่นมันหนาขึ้นเท่าไหร่แล้ว

นั่นแหละมันจะหนาขึ้น ๆ มันมีแต่กรรมชั่ว ทั้งนั้นแหละ ทีหลังมันจะเป็นกรรมดำหมดเลย ฮึม กรรมขาวจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ฮึม เจตนาเป็นตัวกรรม มันทีละนิด ๆ เท่านั้นแหละ

กลางคืนนี่ผมท้าได้เป็นสิบ ๆ ปีที่ไม่นอน เพราะอะไร นั่งหา นั่งให้ยุงกิน ไม่นอนทั้งคืน ทั้งคืนอย่างนี้ ทำทั้งคืนอย่างนี้มันจะหลับได้ยังไง พิจารณาอยู่ตลอดเรื่อง ตลอดจนกระทั่งผลที่สุด

การนอนไม่ใช่เรื่องของคนการหลับ ไม่เป็นเรื่องของกิเลส การนอนเป็นเรื่องของรูปในอิริยาบถ ใช้ให้หลับ อย่างนี้ แยกออกแล้ว ที่มันเกี่ยวกับอิริยาบถนั้น ไปกักกันมันไม่ได้ ทำอะไรมันหนักก็ไม่ได้ รูปส่วนอันนั้นกิเลสมันหุ้มห่อจิตอยู่

อย่างนี้ความทรมานควรเอาชนะอย่างนี้ แล้วก็ไปหาใครไปหาที่อื่น ผมมันมาแต่เดิมผมไม่สนใจเรื่องอาจารย์ เพราะทำไป ๆ มันก็ไปเจอมันก็เกิดที่เรา เกิดรัก อยาก ดีใจ เสียใจ เขาดูถูกเราทำอะไรก็ตาม มันเกิดที่นี่ เราก็ชำระมันที่นี่

เมื่อชำระ... เราชำระ เราเห็นแก่ตัวหรือเปล่า ถ้าเห็นอวดดีเราก็เหยียบหัวเขาอีกแล้ว ถ้าเราไม่เห็นแก่ตัวเราให้อภัยทาน ให้มันหมดทุกขั้น ไม่ว่าตัวต่ำหรือสูงแค่ไหน เราให้อภัยทานหมดเลย เมื่อให้อภัยทานหมดแล้ว ใครจะไปเหยียบหัวใคร

แล้วกิเลสมันจะไปเจริญได้ยังไง กิเลสตัณหา อวิชชามันจะเจริญตรงไหนได้ มันไม่รู้กิเลสตัณหา อวิชชามันไม่มีตัว แล้วก็มันเป็นของกายสิทธิ์ ที่นั่งอยู่นี่ ไอ้ที่อยู่นี่นั้นแหละ ตัวกิเลสตัณหา อวิชชา มันแฝงอยู่ ที่จิตนั่นแหละมันหุ้มห่อจิตเอาไว้

ฉะนั้น ถ้าจิตถูกชำแลกออกไปหมดแล้ว ไอ้ความชั่วทั้งหมดเห็นโทษหมดแล้ว ก็เห็นแต่ความดี นี่คนไม่เป็นเช่นนั้นนี่ ไม่ได้มอบหาที่ชั่ว เอาชั่วใส่ตัวเข้ามาอีก ไม่ว่าอะไรก็ดันเอาความชั่วมาใส่ตัวอีก จะไปหาแต่ไอ้ความที่มันบริสุทธิ์มันจะเจอยังไง

และไอ้ความบริสุทธิ์มันก็ไม่ได้แสดงผลด้วย โลกมันมีความบริสุทธิ์ ความไม่บริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์กับมลทินมันมีอยู่ เขาจะไปต้องการอะไรความบริสุทธิ์ พอความบริสุทธิ์ เขาใช้พิจารณา ใครบริสุทธิ์ ใครรู้ความบริสุทธิ์ ใครคิดว่าความบริสุทธิ์เป็นเรา ใครว่าเรามีในความบริสุทธิ์

พอความไม่บริสุทธิ์มา ใครไม่บริสุทธิ์ ใครรู้ในความไม่บริสุทธิ์ ใครคิดว่าความไม่บริสุทธิ์เป็นเรา เมื่อเขาทำอย่างงี้ เขาจะต้องไปถามใคร ไม่มี พอถึงอันต้นน้ำ มันก็ไม่ใช่ของบริสุทธิ์ และไม่ใช่ของบริสุทธิ์ จะถามใครล่ะ ถึงแล้วจะไปถามใครล่ะ

ในนั้นมันไม่มีคนแล้ว ไม่มีความอะไร เกิดแล้ว ไม่มีอะไรดับแล้ว ไม่มีอะไรแสดง สุกใส มืดมัวไม่มีเลย ความบริสุทธิ์ เท่านั้น ไม่มีแสดง ไม่มีอาการใดแสดงเปลี่ยนแปลงใด ๆ หมด

นี่คนไม่หา จะไปหาที่ไหน จะไปหาที่ไหนเขาไม่ได้หา ไอ้โง่เขาไปหาที่มันโง่นี่นา ไอ้ฉลาด เขาก็หาที่มันฉลาดนี่นา เขาก็เลยโง่เลย ฉลาดมันจะไปเจออะไรอีกล่ะ เขาหาในตัวของเขานี่นา เขาไม่ได้ไปหาที่คนอื่น ไม่ได้ไปถามใครนี่นา

ผมท้าเลย ผมทำมันทุกอย่างเลย แล้วไม่ผ่านไปจะไปรู้จักอะไรล่ะ เขาบอกให้อุ๊ยอิ่ม กินเลม เขามัดคอให้ สมาธิไปนั่งเพ่ง ไปนั่งกำหนดนั่น กำหนดที่ไหนล่ะ

ใครมาสอนผม ผมจะทวนทันทีเลย กำหนดที่ไหนกัน โธ่เอย! ไปกำหนดจิตที่มันนึกคิดหรือเปล่า ไปกำหนดมันได้ยังไงมันคิดอยู่วันยังค่ำแหละ ได้สงบสักประเดี๋ยว เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลงให้ฟุ้งซ่าน คนผู้มีปัญญาเขาไม่ได้ไปเพ่งไปกำหนดเช่นนั้น

เขาอยู่เหนือโลก เขาอยู่เหนือความคิดเสียแล้วอย่างนี้ เมื่อเขาอยู่แล้วเขาไม่ได้ไปแตะต้องดีชั่วเสียแล้วอย่างนี้ มันจะอยู่ที่ไหนล่ะ เนี่ยหาในตัวไม่ได้ไปหาที่อื่น มันเต็มขนาดของมัน ไอ้ความชั่ว มันไม่มี มันมีแต่สมมติทั้งนั้นเลย

อ้าว นี่มันเหลือไอ้ความรู้ผิดเห็นผิดคิดผิดนี่ มันติดเบาะอยู่นี่ อยู่ประจำบ้านทุกคนนี่ จะทำยังไง อวดดีเท่าไหร่มันก็ไม่พ้นมือมันหรอก รู้ผิดเห็นผิดคิดผิด ถ้าเราเห็นใจของเราเมื่อไหร่ นั่นแหละ "อัตตะโน นาโถ" ตนของเราจึงรู้จักตน

ไอ้โง่มันอย่างงี้จึงรู้จักตน ก็ได้ที่พึ่งของตน ตนของตนนั่นแหละได้มีที่พึ่ง เพราะความบริสุทธิ์เพิ่งแสดงเข้ามา ไอ้โง่มันจะตั้งอยู่ได้ยังไงได้มืดนี่ อย่างนี้ นี่ไม่ได้หา และไม่ได้ชำระ ไม่ได้ละ สอนให้ละก็ยังไม่ละซะด้วย

อาตมา ไม่ละเลยโยม ไม่เคยละอะไร ละยังไง ละองค์ไหน กิเลสตัณหา อวิชชา จะละยังไง ไม่ว่าสิ่งใดเกิดก็ละมันไม่ได้ มันไม่มีอะไรจะละมันนี่ ความรักก็ละไม่ได้ ถ้าเราไม่...



+++++ ต่อ 7 +++++

**wan**
11-17-2008, 05:11 PM
ปฏิปทาธรรม ของ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม 7

คัดลอกจาก: อนุสรณ์ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม
วัดป่าบ้านวไลย ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบศีรีขันธ์

เราหาให้มันเจอว่า ใครรัก ใครรู้จัก ใครจำรัก มันไม่มีคนรักแล้วจะไปเอาอะไรของมัน มันไม่มีคนโกรธแล้วจะไปเอาอะไรกะมัน มันไม่มีคนอยากแล้วจะไปเอาอะไรกะมัน มันไม่มีคนกลัวแล้วจะเอาอะไรกะมัน มันก็ไม่มีอะไรนี่โยม นี่อาตมาไม่มี...

อย่างนั้นมันถ่วงมาตั้งสามสิบกว่าปีเห็นไหม แล้วผมรับรองเลย อริยสัจ ๔ ถ้าไม่ผ่านอริยสัจ ๔ นี่ อนึ่ง ถ้าไม่ผ่านอันนี้ ผ่านอันโน้นก็ยังได้ ไอ้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั่นน่ะ สุข ไอ้ที่มันมาทางตา ความสุขความทุกข์นั่น ทางตา รักโกรธ เสียง กลิ่นดีกลิ่นชั่ว รสดี รสชั่วนั่น

ถ้าไม่ผ่านอันนี้ ผ่านอันนั้นยังใช่ได้เลย อย่างนี้ ถ้าผ่านอันนี้โลกก็รู้โลก ถ้าไม่ผ่านแล้ว โอ๊ย... เขาว่าเรา เขาดูถูกเรา เขาเอาไปพูดฉอด ๆ ๆ คนนั้นโง่ คนนั้นเอาไอ้โง่ไปใส่คนอื่นน่ะ ตัวฉลาดคนเดียว ไอ้พูดมาก ๆ น่ะ ไอ้ตัวฉลาดตัวจัญไร พูดมากอวดรู้ทั้งนั้น

นี่เหมือนกัน มีนโง่เหมือนมัน มันอวดฉลาดได้ธรรมะอย่างนี้ ทางโลกมันโง่จะตายเขาเอาอย่างนั้น ก็ไม่เอาไม่เอาเรื่องอย่างนี้

ถ้าไม่โง่มันก็ฉลาดโลกน่ะสิ แล้วใครไปเรียนจำมันละ ทางศาสนาไปเรียนจำมันเลยเป็นโลกนะซิ อย่างนี้ เห็นแล้วไม่มีคน คนโกรธก็ไม่มี ผู้ถูกโกรธก็ไม่มี ผู้ด่าก็ไม่มี แล้วมันจะไปเอากะใคร อย่างนี้

เมื่อมนุษย์บริสุทธิ์แล้วมันก็ไม่มีคนเป็นโสดา มนุษย์ที่บริสุทธิ์มันก็เป็นของบริสุทธิ์ อย่างนี้ ไม่มีคนเป็นโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ที่จะเป็นโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ เขาละไอ้นามรูป ไม่ใช่ ไอ้ตัวตนไม่มีในนามรูป เขาพิจารณานามรูปอยู่วันยังค่ำ

สติปัฏฐาน ๔ เอา ๒ เท่านั้นแหละ ใครล่ะไอ้นามรูป กาย สังขาร จิตสังขาร กายสังขาร เอาสอง แต่ถ้าผมเอามั่ว กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร เพราะฉะนั้นกายสังขาร กับวจีสังขารมันเป็นรูปเท่านั้น นั่นแหละ ไอ้กระแสเลือด กระแสน้ำนั่นแหละ นั่นแหละกระแสเลือดที่มันไหลวน กระแสน้ำและไอ้กระแส...

ความจริงที่มันไหลจนเร็ว ขนาดไหนล่ะ แพรบ ๆ ๆ เวลาตายมันก็ส่งให้ก่อน แล้วก็ถ้าไปถือดีถือชั่ว พอจะตายมันส่งชั่วให้แล้ว ถ้าส่งชั่วไม่เอ เมื่อไม่เอามันก็ไม่มีอะไร ถ้าเราไม่รับชั่วไอ้ดีก็ไม่ต้องรับ นิพพานไม่ต้องเอาอะไร ไม่ต้องได้อะไรไปสักอย่าง

อย่างนี้นี่มันอยู่ที่นั่น ดูพระอริยบุคคลก็อยู่ อยู่ในนี้ พระอรหันต์ท่านก็ไม่ต้องการอะไร ท่านก็เดินลอยนวล ท่านหลุดจากกายทิฏฐิ สิ้นสงสัยในนามรูปแล้ว สิ้นสงสัยในศีลพตลูปธรรม ท่านไม่ต้องทำท่านไม่ต้องถามใคร รักษาจิตของท่านบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่ต้องลูปธรรม

ความพอใจ ไม่พอใจมันถูกกระทบมาทางตา หู นั่นความพอใจไม่พอใจ พยาบาทบ้าง ในชาติเดียวก็ไปหาที่ไหน

ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ชี้ที่อื่น ชี้ที่ใจคนนี่ สังโยชน์ ๑๐ รูปราคะ อรูปราคะ อัสมิมานะ อวิชชา ดับหมด ถ้าจะไปถามเขา พระอรหันต์ถ้าไปถามท่านรู้อะไร ท่านจะไม่ตอบ ท่านอย่างฉลาดสูงท่านจะบอกว่า ท่านไม่มีตัวตน เห็นไม่มีตัวตน เมื่อไม่มีตัวตนแล้วอะไรจะไปครอบงำ

แล้วก็ตกอยู่ในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่นั่นมันตกอยู่นี่ แต่ว่าอนิจจังไม่มีก็เหลือแต่อนัตตา ไม่มีตัวตน ว่างเปล่าจาตัวตน แหล่งทางของพระอรหันต์มี เดินอยู่ตลอดมีคนแต่ไม่ค่อยมีคนเดิน เดินไปทางนั้นมันมี ไปทางนี้มันอร่อยมันมีเหยื่อมีอะไร

มีค้าขายก็มีร่ำรวย มีได้มีเสีย มีถูกมีผิด ไอ้ความสมมติว่าดีว่าชั่ว มันเป็นโลก ไอ้เขาเรามันเป็นโลก สมมติเอามันไม่มีหรอก มันเป็นวิมุตติ แต่มันเอาขืนเอาแต่สมมติอยู่นั่นแหละ มันก็เลยอยู่อย่างเก่า มันจะไปไหนอย่างนี้

นี่น่าสงสาร ถ้าอาตมาว่าแล้วโยมเอ๋ย เราเกิดมาทำกรรมเท่านั้นเอง ถ้าไม่มีกรรมเท่านั้น มันไม่มีแล้ว มันไม่มีอะไร เพราะไอ้กิเลส ตัณหา อวิชชา ให้เราทำกรรม ทางนี้โยมเอ๋ย ถ้าใครเป็นผู้รู้กรรมแล้ว นิพพานเท่านั้นแหละ ผู้รู้กรรมไม่กระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เท่านั้นเอง

ถ้าเขาฆ่าเราให้เขาฆ่าซะดีกว่า ดีกว่าเราไปฆ่าเขา อย่างนี้ เขาด่าเราอย่าไปด่าเขา ให้เขาด่าเราดีกว่าอย่างนี้ นี่เพราะอะไร เพราะเป็นเหตุให้กระทำกรรมนี่แหละ ถ้าเราไม่มีกรรมแล้วโยมเอ๋ย ไม่มีเลยนี่

รูปอุน ลมดับ ไฟดับ น้ำเน่า ดินมันก็พัง เอ้า เล่าของหยาบของสกปรกให้ฟัง ของที่มันมากำเนิดเขาเอาไปไอ้ ธรรมชาติที่มัน ไอ้ที่เขาเรียกว่าน้ำอสุจิ ที่เคลื่อนออกมานั่น เอาไปพิสูจน์ ยังไม่ปรากฏให้เห็น ไม่ได้ตาเนื้อนี่ ตาเนื้อเห็นได้เมื่อไหร่ล่ะ เป็นปรมาณูเลย

แล้วมันเข้าไป กระเพาะ ไอ้ของมารดา มารดามีรังไข่ ก็เข้าไปเพาะพันธุ์ ไปเพาะกว่ามันจะโตเท่าไหร่ถึงเป็นอย่างนั้น ๆ มันเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา ไม่มีตัว ไม่มีลักษณะอะไร หนักเข้าเป็นก้อน ๆ เป็นชิ้นเนื้อ หนักเข้าเป็นแท่งเป็นก้อน ในที่สุดเป็นปัญจะสาขา มีหางหางหลุด มีหางด้วยแต่มันหลุดอย่างนี้ เหมือนไอ้ลูกคางคกนั่น


อึม เนี่ยแล้วมันก็โตเจริญขึ้นมา มีตัวมีคนไปสมมติมันเข้าไว้เท่านั้น นั่นแหละธรรมชาติล่ะ นั่นแหละธรรมชาติอันนั้น มันเกิดธรรมชาติ ธรรมชาติอันนั้นมันเกิด มันก็เลยเป็นบ่วง.

ถ้าเราไปยึดมันใคร ๆ ก็ยึดเข้าไปยึดกันทุกคน เข้าไปยึดตั้งแต่ยังไม่มีผู้หญิง ผู้ชาย ยังไม่มีเพศนั่นแหละ จนกระทั่งมีเพศ มากินข้าวสาลีไม่ต้องทำ ไม่ต้องทำมาหากินอะไร หนัก ๆ เข้าต้องทำมาหากินเอง เจ็บ เกิดตัณหาเข้าสะสมเข้าไว้ ข้าวสาลีเกิดเองไม่ได้ เอ้าเป็นระยะหยาบเข้า

พระพรหมลงมากินมวลดิน หนักเข้าพระพรหมลงมากินง่วนดิน ก็เลยหยาบเข้า ๆ มันก็เลยเปลี่ยนรูป เปลี่ยนสภาพเรื่อยมา ๆ มนุษย์เรานี่หัวใจเขาว่าเป็นมนุษย์เท่านั้น เวลาเรียกก็เรียกมนุษย์และอมนุษย์

มันก็มีรูป ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น ลมดับ ไฟดับ น้ำเน่า ดินพัง อะไรมันเป็นเครื่องต่อ พอมันออกจานี้มันก็จุติมันไม่ไปไกลหรอก เพราะออกจากนี่... เพราะไอ้นี่หมดมันก็จุติอย่างนี้ มันธรรมชาติของมันอย่างนี้ นี่มันมีครบถ้วนอยู่ในตัวคน อย่างนี้ไม่ใช่ล่องลอยอย่างคนว่าหรอก

พอออกจากนี่มันก็จุติเท่านั้น มันเปลี่ยนเท่านั้น มันเปลี่ยนซาก เปลี่ยนรูปอย่างนี้ ไอ้เรื่อง...มัน...อย่างกับเรียนปาติโมกข์ไว้ มันก็ตามไป ท่องปาติโมกข์เรียนอะไรไว้ก็ตามไป ไปได้ถ้ากลับชาติมันก็ยากหน่อย ถ้าไม่กลับชาติ เดี๋ยวมันก็ได้ง่าย ๆ มันเป็นติดตามไปทั้งนั้น

นี่แหละโยมเอ๋ย มันอยู่ในตัว มันเป็นธรรมมันไม่ได้เป็นของเป็นใครเล่า มันไม่มีหรอก เกิดมาถ้ามันมีกรรมอย่างเดียว ถ้าไม่มีกรรมก็ไม่เป็นทุกข์เดือดร้อน ทีนี้มันมีกรรม คนรวยข่มเหงคนจน เอาซิคนจนข่มเหงคนรวย เอาซิ เนี่ย นี่แหละ ใครทำใครได้ ใครไม่ทำก็ไม่ได้

ท่านมีเครื่องกั้นอย่างนี้แล้ว ถ้าเรามีเครื่องกั้นอย่างนี้ ขันติ ความอดทนอย่างนี้แล้ว เราก็รู้ธรรม เราก็เห็นธรรม คือขันติเป็นเครื่องกั้นโลก โลกที่จะเกิดมา ถ้ามีธรรมเครื่องกั้นแล้วโลกก็ดับไม่ว่าจะไปนั่ง เดิน ยืน นอนที่ไหนก็ตาม โลกมีความเกิดดับตลอดแนวไม่มีที่ซ่อนเร้นเลยเปิดเผย

ส่วนธรรมไม่มีอะไรเกิดทำไมจะหาพบล่ะ หากันให้เป็นให้ตาย ก็หานิพพานหรือโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ มีอยู่ในคนแต่ละคนหาไม่พบ ไม่พบเพราะไม่ได้หาในคนไปหาที่อื่น ถ้าหาที่ตัวของเราพบมีนามกับรูปเท่านั้นเอง

มีนามกับรูป หน้าที่ของนาม หน้าที่ของรูป แล้วก็มีสองอย่างเท่านั้น มีกายกับจิตเท่านั้นเอง ส่วนเลือดนี่เป็นกระแสน้ำไหลเชี่ยวอยู่วันยังค่ำ เลือดนี่ที่มันไหลเชี่ยวอยู่ เรายังไม่เห็นซะแล้ว ตั้งแต่เกิดมาจากท้องแม่ เลือดมันไหลมันหยุดซะเมื่อไหร่ มันหยุดก็ตาย

เลือดมันหยุดเลือดไม่ไหลไปตามกระแสล่ะก้อ มันตายทั้งนั้นคนตั้งอยู่ไม่ได้ นี่เลือดมันหมุนเวียนอยู่นี่ เลือดกับจิตนี่ แหม เท่า ๆ กันเลย เลือดกับจิต จิตมันก็หมุนของมันวันยังค่ำอย่างนี้ไม่ได้เลิก ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน

จิตหมุนครั้งหนึ่งขณะ ๆ นี่เราทันมันไหม แล้วไอ้ที่นั่นโลกไหม ที่มันหมุนไม่รู้จักนี่ ไม่รู้จักแล้วจะรู้จักโลกยังไง เมื่อไปยึดโลกมันก็เป็นโลกอยู่นั่น ออกจากโลกได้ยังไง ถ้าเรารู้จักโลกก็หยุดพูด ถ้าหยุดพูดก็เป็นธรรมเท่านั้นเอง.

โลกก็สมมติตลอดแนวเลย ตั้งแต่ขึ้นต้นนั่งอยู่ ถ้าโลกมันจะเกิดขึ้นมา มันไม่ได้เกิดจากที่อื่น มันเกิดที่ใจเราพอเกิดขึ้นมามักโกรธนี่ พอสัมผัสมามันโกรธ โลกมันไม่ใช่นี่ เรายึดถือว่าโกรธเป็นเรา หรือไม่ใช่ ทุกคนลองใคร่ครวญดูซิ ที่อาตมาทำ

ใครโกรธ ใครรู้โกรธ ใครจำโกรธ ใครคิดว่าความโกรธเป็นเรา นั่นแหละโลกแล้วมันจะมายังไง มันก็ดับเท่านั้นเอง หากผู้โกรธก็ไม่มี ผู้โกรธไม่มี แล้วไอ้สิ่งที่ถูกโกรธจะมียังไง อย่างนี้ เพราะมันเกิดขึ้นที่นี่ สมมติเอาเหอะอ่า

เขาสัมผัสมาทางตา หู จมูก ลิ้นอะไรไม่ผิดล่ะ แต่ไม่เคยไปเล่นกับคนข้างนอก ไม่เคยไปเล่น เพราะโลกมันเกิดอย่างนั้น โลกมันพอรูปสัมผัสมาปั๊บมันก็ต้องเกิดรัก หรือเกิด... พอเกิดความรัก ใครรัก ใครรู้รัก ใครจำรัก ใครคิดว่าความรักเป็นเราหา

ใครเป็นคนรักมันไม่มี ไม่เคยเจอมันบอกเลยว่ารักใคร และไม่เคยเลยว่ามันไปรักใครแล้ว ไม่มีเลยอ่า คนข้างนอกมันจะมา... ไม่มีเลยนี่ ไม่มีคนรักแล้วผู้รักก็ไม่มี สิ่งที่ถูกรักจะมีอย่างไร

พระพุทธเจ้าเทศนากามสุขัลและอัตตะ นี่แหละโลก พอมันเกิดโกรธขึ้นมานี่ ใครโกรธ ใครรู้โกรธ ใครจำโกรธ ใครคิดว่าความโกรธเป็นเรานั่นโลก ถ้าเรารู้โลก ความรักความโกรธนี่ ถ้าเรารู้โลกนี่ มันจะไปอย่างไงอีก

เพราะมันรู้โลกพอรู้โลกโมหะจะครอบใคร ราคะคินา โทสะคินา โมหะคินา จะครอบใคร ผู้รักก็ไม่มี สิ่งที่ถูกรักก็ไม่มี ผู้โกรธก็ไม่มี สิ่งที่ถูกโกรธก็ไม่มี แล้วใครจะเป็นคนไปละอะไร นี่เท่านี้เอง

ถ้าไอ้โกรธเป็นเรา เราก็อยู่ในโลก เรายึดความโกรธเป็นเรา เราก็เป็นโลกธรรมดา นั่นแหละ ถ้ายึดเอารักมาเป็นเรา ก็โลกธรรมดานั่นแหละ แล้วก็ไม่ต้องพูดนั่นแหละ ราคะคินา โทสะคินา โมหะคินาเนี่ย ผมรับรอง ๑๐๐ % เลย



+++++ ต่อ 8 +++++

**wan**
11-17-2008, 05:13 PM
ปฏิปทาธรรม ของ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม 8

คัดลอกจาก: อนุสรณ์ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม
วัดป่าบ้านวไลย ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบศีรีขันธ์

พระพุทธเจ้าสอนพระพุทธเจ้าสอนให้ละ ราคะ โทสะ โมหะ ให้ละราคะ โทสะ โมหะ วิมุตติ เนี่ยออกจากพระโอษฐ ผมไม่ต้องไปดูในหนังสือเลย อย่างนี้แล้วกับคนที่ยังมีอติมานะ ท่านอ้า ถ้าไม่มีอติมานะแล้ว ท่านไม่สอน ราคะ โทสะ โมหะ วิมุตติ

แล้วเกิดที่ไหน มันเกิดที่เราแล้วเราล่ะ ตัวคนเราอยู่ตรงไหน หาซิ เอ้า เนี่ยผมเคยหาสิผมจึงพูด ผมไม่ได้มาแกล้งพูดเล่น ตัวตนอยู่ตรงไหน มันเกิดเมื่อไหร่ ที่มันเกิดขึ้นมานั่นนะ นั่นมันเกิดจากอะไร ใครเป็นผู้สร้างโกรธขึ้นมา ใครสร้างโกรธ

แล้วผมถามมันก็ไม่บอกว่าใคร ว่าเราว่าคุณ พอสัมผัสขึ้นมา บางขณะที่สัมผัสขึ้นมา เขาด่าเราใครล่ะ ใครว่าเรา ใครรู้ว่าเรา ใครไปจำว่าเรา ใครคิดว่าเขาด่าเรา อย่างงี้ นี่ทำให้ตรง ผมทำตรงหน้าอย่างนี้ แล้วอีกอันหนึ่ง อีกอันหนึ่งผมทำจนมันสิ้นสุดนะ

นามรูปที่พึ่งขึ้นต้นเมื่อตะกี้นี้ นามรูป เขาเอา ๔ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ผมเอา ๒ เท่านนั้นแหละ ผมเอากายกับใจ ผมเอาเท่านั้น ตั้งทับลงไปเลย

นามกับรูป ใครว่านามรูปเป็นเรา ใครว่าเรามีในนามรูป ใครว่านามรูปเป็นเรา นี่หาอยู่นี่ ไม่เห็นมันบอกซะทีว่า ฉันเป็นเจ้าของรูปหรือฉันเป็นเป็นอย่างนี้

พอมันเป็นปัจจัยเกิดขึ้นมาล่ะ พอมันเกิดอะไรขึ้นมาก็ถามลงไปซิ ใครรู้อย่างนั้น พอมันอยาก ใครรู้อยาก ใครจำอยาก ใครคิดว่าความอยากเป็นเรามันก็หมดลงไปที่นั่น นั่นรูป อิฐเนี่ยโลก อิฐเนี่ย มันเป็นสมมติขึ้นมาว่าอิฐ เนี่ยเป็นโลก ถ้าคนเนี่ยไม่ยึดถืออิฐว่า...ก็เป็นธรรม

ธรรมไม่มีอะไรพูด สังขตธรรม และอสังขตธรรมที่เกิดดับอยู่เนี่ยอนัตตาทั้งนั้น ถ้าอันนี้เห็นเป็นอนัตตา ใครล่ะที่ท่องเที่ยว อยู่ในสังสารวัฏ ไปหาซิครับผมเชิญให้ไปหาซิ ใครผู้ท่องเที่ยวในสังสารวัฏ ไปหาซิไม่ว่าอันใดบางที มันโผล่ขึ้นมา นั่นแหละเป็นอนัตตาทั้งนั้น

สังขารที่มันเป็นปัจจัยหมุนขึ้นมา อวิชชาที่เป็นปัจจัยนั่นแนะ อนัตตาคืน คืนทั้งนั้น คืนมันทั้งนั้นเลย เมื่อพิจารณามันเป็นอนัตตาอย่างงี้ ใครล่ะเป็นผู้ท่องเที่ยวในสังสารวัฏ เอาซิ เอาซิ ผมท้าให้ไปดู มันก็ว่างมีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น ไม่มีเลยที่มันเกิดขึ้น

ที่คำว่าอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดนี่ เกิดเป็นนั่น เป็นตัวเป็นตนเป็นอะไรก็ตาม ผมทวนมันอยาก ความอยากความกลัว ทั้งนั้น ผมไม่ได้ว่ามันยังไม่มีตัวเป็นตนใครล่ะเป็นคนอยากอย่างนี้ ผมหาลงไปตรงนี้ ใครอยาก ใครรู้อยาก ใครจำอยาก ไม่เห็นมันบอกซะทีว่ามันอยากอะไร อย่างนี้

เรื่องจะกินยังเอากับมันเลยนะ นี่ จะกินยังเอากับมันเลย อย่างนี้ นี่ แต่ยัง มันยังไม่พังเลย มันละเอียด เหลือล้นนั่นแหละเป็นอนัตตาทั้งนั้น

เหมือนวัตถุเนี่ย คนไปติดไอ้วัตถุหมดแล้ว สีนั้น สีเหลือง สีแดง สีขาว สีเขียว มันไปมองข้างนอก ถ้ามองข้างนี้มันไม่มีสีซิ พอมาเข้ามาที่ใจไม่มีสี เป็นมายาทั้งนั้นเลย ดูซิ แดงก็ดับ เขียวก็ดับ ไม่มี มีแต่ดับทั้งนั้นเลย ไมมี นู้นเลย มองไนู้นต่างหากคนธรรมดา

มองไปที่โน้น พอส่องไปสีนั้น ก็มองไปที่สีที่สันโน้น ไม่ได้มองคืนเข้ามหาตัวตนนี่ ไม่ได้มองคืนเข้ามาที่ใจว่า ใครเป็นผู้ว่าสีแดง คนใครเป็นผู้ว่าสีนี้แดง แดงอยู่ตรงไหน มันไม่มีนี่ ผมเห็นไม่มี เป็นของอย่างเดียวเท่านั้น ดับเท่านั้นเอง ว่างเท่านั้นเอง แล้วก็ผมเห็นอันนี้เป็นอนัตตา

ผมไม่ได้ไปเอาอื่นเป็นอนัตตาเลย อันนี้แหละเกิดดับ นี้แหละ มันเป็นของลวง เป็นมายาทั้งนั้น ผมว่าอย่างงี้แหละ เกิดดับ มีแค่อีเงาเท่านั้นเอง ไม่มีอไรจริง มันมีอยู่จริงอยู่ใต้อีเงา มันมีจริงอยู่ใต้สมมตินั้นจริง อย่างนี้ แต่คนไม่เอานี่ ไปเอาแต่ของไม่จริงนี่ ของจริง ไม่คลำเข้าไปถึงนี่ ไม่คลำเข้าไปถึงนี่หน่า เอาแต่ของที่ปลอม ๆ เท่านั้น

ถ้าหากว่าทำไมหมดเรื่อง ถ้าหากว่าทำ ใครล่ะ ถ้าไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นมาเป็นอนัตตา ธรรมทั้งปวงเกิดขึ้นมาอนัตตา เมื่อธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาแล้ว อะไรล่ะ ๆ ท่องเที่ยวในสังสารวัฏ ใครล่ะจะเป็นผู้ท่องเที่ยวในสังสารวัฏ เมื่อธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ตัวตนก็ไม่มี แก่นสารก็ไม่มี

อนัตตา อวิชชาเป็นปัจจัยเท่านั้นเอง หน้าที่ปัจจัยให้เกิดเท่านั้นเอง แล้วมีตัวตนตรงไหน ถ้าเราทวนเข้าไปอย่างงี้ แล้วตัวตนไม่มี กิเลสมายังไง ใครล่ะจะไปละกิเลส ใครล่ะจะไปท่องเที่ยวในสังสารวัฏ

เมื่อท่องเที่ยวในสังสารวัฏไม่มีผู้ท่องเที่ยว แล้วใครล่ะจะเป็นผู้ไปละสรรพกิเลส ผมเห็นว่ากิเลส ตัณหา อวิชชา มันไม่มีตัวตน ผมว่าอย่างงี้ แล้วหาอย่างนี้ แล้วอะไรให้มันมาโต้ มันโต้ขึ้นมาล่ะ

เมื่อกิเลสไม่ต้องละ เมื่อผู้ละกิเลสไม่มี อวิชชาไม่มีตัวตนซะแล้วอย่างนี้ เมื่อตัวตนไม่มี แล้วใครล่ะเป็นผู้ท่องเที่ยวในสังสารวัฏนี้ แล้วใครล่ะเป็นผู้ละสรรพกิเลส เมื่อกิเลสไม่มี ใครล่ะจะไปละกิเลส มันไม่มีตัวตน

เมื่อไม่มีตัวตนแล้ว ผู้บรรลุนิพพานก็ไม่มี เมื่อผู้บรรลุนิพพานไม่มี นิพพานที่ผู้นั้นจะบรรลุก็เลยไม่มีด้วย มันเป็นธรรมต่างหาก


สังขตธรรมกับอสังขตธรรมเนี่ยเป็นหัวเงื่อนเท่านั้นเอง ถ้าอวิชชาเกิดไม่ได้ กิเลสตัณหาผมเชิญให้มันมาซิ มันจะมาลบกี่หมื่นกี่แสน ผมไม่เคยละมันด้วยเอา ผมไม่เคยบอกให้ใครละด้วย กิเลสตัณหา ก็มันไม่มีตัวตน ผมไม่เป็นทุกข์ของมันซะอย่างเดียว

เอาซิ อย่างนี้มันหิว หิวไปซิให้มันหิวให้ตาย มันจะสึกให้มันสึกไปสิ มันจะอยากไหนให้มันไปซิ เมื่อเราไม่ให้ล่วงกายล่วงวาจา สิ่งที่ไม่ให้ล่วงนี้ เพราะเราไม่ยึดถือไม่เชื่อมันซะแล้ว โลกมันว่างเปล่านี่ มันลวงให้พูดนั่นพูดนี่

มันลวงให้ไปต่าง ๆ นา ๆ มันสมมติ ถ้าเรารู้โลก เราพูดไปแล้วไม่ยึดถือโลก ก็ไม่มีอะไรเดือดร้อน อย่างนี้ ที่พูดนี่ยึดถือโลกนามันจึงเดือดร้อน อย่างนี้ โลกกับธรรมมันอยู่ด้วยกัน มันซ่อนเร้นอยู่ในตัวของมันนี่ ในตัวของมันนี่

คนเราไม่ไปคว้าเอาธรรม มันไปคว้าเอารูปเข้านี้ ไม่ไปคว้าธรรม ไปคว้ารูปเข้าไว้อย่างนั้น นี่โลกพอสัมผัสตามาเกิด สัมผัสหู สัมผัสมันเกิดวันยังค่ำเลย โลกทีนี้ มีขันติเป็นธรรมเท่านั้น อะไรเกิดขึ้นก็ดับตรงนี้

จะเห็นว่าความดับ ดับที่ไหน ดับตรงไหน จะเห็นความดับเลย ความโกรธขึ้นมา มันโกรธมาเต็มที่ ดูซิโกรธมันจะดับตรงไหนน่ะ ความรักเต็มที่ มันจะดับตรงไหนล่ะ นี่ ไม่ต้องไปยึดถือล่ะ เรียนไปคว้าเอาอะไรเข้าไว้ล่ะ

เมื่อสิ่งใดมันเกิดดับ สิ่งนั้นมันเป็นโลกหมด เมื่อสิ่งใดที่ธรรม ไม่มีเรื่องพูดเลย นี่แหละ พระสิทธัตถุบรรลุธรรมนั่นเอง เห็นไหมนั่นแหละ พระสิทธธัตถะเป็นผู้เห็นตนเห็นธรรม เห็นธรรมเป็นตน จึงญาณของพุทธจึงส่องลงมาอย่างนี้ ส่องลงมาที่พระสิทธัตถะ

ฉะนั้น มีเสร็จ ไม่ต้องไปหาแล้ว พระสิทธัตถะไม่ได้ไปค้นหา เขาทำ เขาไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น จนว่างเห็นตนเป็นธรรม เห็นธรรมเป็นตนหมดแล้ว ตั้งแต่อยู่ในพระพุทธเจ้าทีปังกร แล้วผมมา พอผมบวชผ้าเหลืองแตะตัว ผมไม่เคยกราบเลยพระพุทธรูป ผมเคยกราบแต่คุณพระพุทธเจ้าเท่านั้น คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ทีนี้ ผมไม่เคยกราบทั้งนั้น กราบเหมือนกัน แต่ผมกราบน้อมเข้ามา.



++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คัดลอกจาก: อนุสรณ์ หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม
วัดป่าบ้านวไลย ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบศีรีขันธ์