PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ทานทำอย่างไรจึงจะได้บุญมาก



DAO
11-18-2008, 12:00 PM
ทานทำอย่างไรจึงจะได้บุญมาก

เดิมชื่อการให้ทานที่ยังไม่รู้จัก พุทธทาสภิกขุ
บรรยายไว้เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๓๓
ณ วัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี




http://upload.dhammakid.com/f.php/c4d691c7c822de78.jpg


คำนำ

๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๙ จะครบรอง ๑๐๐ ปีชาติกาล ของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำโครงการที่เป็นประโยชน์ ต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะงานด้านการพัฒนาบุคลากร ให้มีความรู้ความเข้าใจในหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ตามปณิธานของท่านอาจารย์พุทธทาส
สำนักพิมพ์สุขภาพใจก็ได้จัดทำโครงการ “๑๐๐ ปีชาตกาล สืบสานปณิธานพุทธทาส” มีวัตถุประสงค์จะจัดพิมพ์หนังสือของท่านอาจารย์ภายใต้กรอบแนวคิด “พุทธทาส ๑๐๐ ปี หนังสือดี ๑๐๐ เล่ม” โดยคัดเลือกหนังสือที่เป็นความรู้ทั่วไป เกี่ยวกับศาสนา ชีวิต และสังคม เพื่อสร้างองค์ความรู้พื้นฐานแก่ผู้อ่านเป็นหลัก แต่ก็จะมีหนังสือที่มีเนื้อหาลึกซึ้ง รวมทั้งประวัติชีวิตและงาน ของท่านอาจารย์รวมอยู่ด้วย
“ทาน” ทำอย่างไรจึงได้ได้บุญมาก เล่มนี้ อยู่ในชุด “ธรรมะสบายใจ” ก็เป็นหนังสือดี ๑ ใน ๑๐๐ เล่ม ที่สำนักพิมพ์ฯ ตั้งใจพิมพ์เพื่อถวายเป็นอาจริยบูชา แด่ท่านอาจารย์พุทธทาสในวาระ ๑๐๐ ปี ชาตกาล
เนื้อหาในเล่ม กล่าวถึงความหมายของการให้ทุกระดับ ตั้งแต่ทาน จาคะ และบริจาค ประเภทของการให้ จุดมุ่งหมายของการให้และวิธีให้ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ให้ ซึ่งจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายและวัตถุประสงค์ของทานทุกระดับ ตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาได้อย่างแจ่มชัด

สำนักพิมพ์สุขภาพใจ


มีต่อคะ

DAO
11-18-2008, 12:02 PM
สารบัญ


ความหมายของทาน จาคะ และบริจาค

ประเภทของทาน

การให้ตัวเอง ๒ อย่าง

ให้แบบค้ากำไร

ให้โดยสัญชาตญาณ

ให้อย่างแลกเปลี่ยน

ให้ตามธรรมเนียม

ให้ตามหน้าที่

ให้อย่างลงทุน

ให้อย่างสหกรณ์

ให้เพื่อสร้างบารมี

ให้เพราะจำเป็นต้องให้

ให้เพราะกิเลสต้องการ

ให้เพื่ออวด

ให้อย่างตกเบ็ด

ให้เพราะถูกหลอก

ให้เพราะบ้าดี เมาดี หลงดี

ให้เพราะกลับตัว กลับใจ

การให้สูงสุดคือการสละตัวตน

ทศพิธราชธรรมข้อที่ ๓ “บริจาค”



มีต่อคะ

DAO
11-18-2008, 12:06 PM
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจ ในธรรมทั้งหลาย


การบรรยายประจำวันเสาร์ในวันนี้ อาตมาก็ยังคงบรรยายในชุดที่เรียกว่า “สิ่งที่ท่านยังไม่รู้จัก”
ต่อไปอีก บางคนอาจจะรำคาญหรือเบื่อแล้วก็ได้ว่า ยังมีสิ่งที่ยังไม่รู้จักมากมายนัก ถ้ามันยังมีอยู่ ก็ควรจะเอามาทำให้รู้จักกันเสีย จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเสียที ขอให้สนใจฟัง ถ้ารู้จักละเอียดลออมากขึ้น ก็มีความรู้ธรรมะมากขึ้น ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แล้วก็จะพลอยรู้จักทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่าง หรือธรรมะทุก ๆ อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ฉะนั้นให้สนใจให้ดี ๆ สังเกตให้ดี ๆ ในสิ่งที่เรียกว่าท่านยังไม่รู้จัก



ในวันนี้ก็จะได้กล่าวด้วยหัวข้อที่ตั้งต้นที่สุดเลย คือ สิ่งที่เรียกว่า “การให้ทานที่ท่านยังไม่รู้จัก” ฟังดูก็เหมือนจะดูหมิ่น สบประมาทกันเต็มที่ ว่าท่านยังไม่รู้จักการให้ทาน ซึ่งมันเป็น ก. ข. ก.กา เป็นตัว ก. และการพูดจาในทางธรรมะก็ว่าทาน แล้วก็ศีล แล้วก็สมาธิ หรือทาน ศีล แล้วก็ภาวนาอย่างนี้เป็นต้น มันเป็นสิ่งแรกที่สุด แต่ก็ยังมีแง่มุมปลีกย่อยต่าง ๆ นานาสารพัดอย่าง ซึ่งไม่ได้รู้จักกันถึงที่สุด มันก็เลยไม่ถูกต้อง การบำเพ็ญทานหรือการให้ทานมันก็เลยไม่ถูกต้อง ยังไม่บริสุทธิ์ ยังไม่ถึงที่สุด คือเบื้องปลายยังไม่ถึง นี่ขอให้พยายามอดทนทำความเข้าใจต่อไป เพื่อให้รู้จักเพิ่มขึ้นอีกสิ่งหนึ่งในนามที่เรียกว่า การให้ทาน หรือการบริจาค เป็นคำพูดตามธรรมดา ๆ



ความหมายของคำว่า ทาน จาคะ และบริจาค


ในชั้นแรกที่สุดนี้เราจะเอาตัวหนังสือหรือคำพูดนี้เป็นหลัก มันก็จะได้กัน ๓ ชั้น หรือ ๓ ความหมาย คือคำว่า ทาน มีคำหนึ่ง แล้วก็จาคะ คำที่ ๒ แล้วก็บริจาค บริจาคนี่คำที่ ๓ สังเกตดูให้ดีว่า มันต่างกันอย่างไร ถ้าไม่เคยเรียนบาลี อาจจะไม่สนใจเห็นเหมือน ๆ กัน หรือเป็นสิ่งเดียวกันไปเสียก็ได้ ถ้าเคยเรียนบาลีหรือว่าสังเกตมาก ๆ แม้ไม่เคยเรียนบาลีก็รู้ได้ เหมือนกับว่ามันไม่ใช่อย่างเดียวกันเลยล่ะ ๓ คำนี้ สังเกตความหมายกันไว้ให้ดี ๆ
คำว่า “ทาน” แปลว่า ให้ แล้วคำว่า “จาคะ” นี้แปลว่า สละ คำว่า “บริจาค” นี่มันให้ออกไปเสียให้หมด ให้ไปเสียให้หมด มันก็ไม่เหมือนกัน ทานแปลว่า ให้ จาคะแปลว่าสละ บริจาคะแปลว่าสละสลัดออกไปเสียให้หมด นี่มันต่างกันอย่างไร ดูกันทีละอย่างอีกที



ทานหรือทานะ ในภาษาบาลีนี้ก็แปลก ใช้เป็นชื่อของการให้ก็ได้ ใช้เป็นชื่อของสื่อของที่ให้ ให้ทานอย่างนี้ก็ได้ ใช้เป็นชื่อสถานที่ก็ได้ คำว่าทานหมายถึงโรงทานก็ยังได้ ภาษาบาลีมันเป็นอย่างนั้น แต่คงเอาไว้เพียงคำว่าทานคำเดียว ทานคำเดียว แปลว่าให้
คำว่าให้ในที่นี้ให้อย่างมีผูกพัน ให้อย่างมีผูกพัน ที่จะได้รับผลอะไรคืนมา มันให้อย่างเอากำไร ให้อย่างมีการผูกพัน ว่าจะต้องได้รับการตอบแทน
คำว่าจาคะมันไม่ใช่อย่างนั้น มันให้ มันสละไปเลย มันไม่มีการผูกพัน ถ้าทานะมันมีผูกพันว่าจะต้องได้อะไรกลับมาให้แก่กู ส่วนจาคะนั้นสละ ๆ ออกไป ไม่มีการผูกพัน

ทีนี้บริจาค บริจาค คือให้ให้หมดเลิกกันเลย ให้กันหมดจนไม่มีอะไรจะให้ ให้ว่างไปเลย ยิ่งไม่มีความผูกพัน เพราะมันให้เพื่อจะเอาความว่างเป็นผลสุดท้าย
เห็นไหมว่า ๓ คำนี้มันยังเดินอยู่คนละทิศละทางไปกันไกลคนละทิศคนละทาง ทานะให้อย่างมีอะไรผูกพันแล้วก็มีผู้รับด้วย มีผู้ให้ด้วย มีการผูกพันกันระหว่างผู้ให้กับผู้รับ หรือการกระทำนั่น จาคะนี้ไม่เอาอย่างนั้น ฉันให้สละออกไป ๆ สละออกไป ไม่ให้มันเกิดการผูกพัน บริจาคมันเติม “บริ” เข้ามา แปลว่า มันสิ้นเชิงหมด เลิกกันสิ้นเชิงจนไม่มีอะไรจะต้องให้อีกต่อไป ๓ คำจำไว้ให้ดี ทานะแปลว่าให้ จาคะแปลว่าสละ บริจาคะแปลว่าสละหมด


ประเภทของทาน

ทีนี้มันยังมีแง่มุมต่าง ๆ นานา ที่เราจะเอามาเป็นเครื่องบัญญัติพูดจากันให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น ก็จะพูดในส่วนนี้โดยแบ่งเป็นประเภท
ประเภทแรก คือมีผู้รับ การให้ต้องมีผู้รับนี่มันการผูกพัน อย่างที่กล่าวมาแล้ว ประเภทที่สอง ไม่ต้องมีผู้รับ ให้ชนิดที่ไม่มีผู้รับ ให้สิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในตัวกู ตัวตนออกไปเสีย ใครมันจะรับใครมันจะเอา ไม่ต้องมีผู้รับ อย่างที่สามให้อย่างเลิกกัน อย่างให้บริจาคหมด ให้ตัวกู เช่นให้ตัวกูให้หมดไปเสีย ไม่มีปัญหาอะไร นี่ยิ่งไม่เป็นการผูกพันให้เป็นการทำลายการผูกพันไปเสียให้หมด ไม่มีการผูกพันโดยแง่ใด

นี่ก็พอจัดได้เป็น ๓ พวก ให้อย่างมีผู้รับแล้วก็ผูกพันกันว่าจะได้รับผลจากการให้ ให้โดยไม่ต้องมีตัวผู้รับและไม่ผูกพันว่าจะได้ ถ้ามันจะได้ผลมาก็ได้มาโดยฐานะเป็นปฏิกิริยา มันก็ได้เอง ไม่ต้องมีการผูกพันว่าจะต้องได้และไม่ต้องมีคนเป็นผู้รับ แล้วทีนี้ก็ให้ชนิดที่เลิกกัน ให้ใช้อย่างที่เลิกกัน ให้ใช้ต้นตอ ให้ต้นเหตุ ให้ต้นตอแห่งปัญหาออกไปเสีย คือ ให้ตัวกูออกไปเสีย ละตัวกู สลัดตัวกู เลิกตัวกู นี่มันสูงสุด มันกลับได้นิพพาน กลับมีนิพพาน โดยไม่มีข้อผูกพัน คือมันให้แล้วมันเกิดความว่าง ว่างจากตัวตน ว่างจากกิเลสไม่มีความทุกข์
ท่านทั้งหลายรู้จักแล้วหรือยัง ที่พูดว่าที่ท่านยังไม่รู้จักมันมีความจริงอย่างไร มีความจริงเท่าไร นี่เรียกว่าชั้น ก. ข. ก.กา กันแล้วก็ยังไม่รู้จัก แล้วมันก็ยังไม่รู้จักอีกมากมายแหละ
ทีนี้ก็จะพูดกันให้ละเอียดออกไป ในบรรดาที่เรียกว่าให้ การให้หรือการให้ออกไปมีหลายแง่ หลายเหลี่ยมหลายมุมที่มันเข้าใจยาก ที่มันรู้จักยาก ที่มันเข้าใจยาก

การให้ตัวเอง ๒ อย่าง

คู่แรกที่สุด เข้าใจยาก คือคำว่า ให้ตัวเอง “ให้ตัวเอง” ฟังให้ดีนะ คำนี้คำเดียว มีความหมายตรงกันข้ามทั้ง ๒ ฝ่ายเลย ให้ตัวเอง หมายความว่ายอมแพ้ ยอมแพ้ให้ตัวเองแก่ข้าศึก แล้วแต่ข้าศึกจะเอาไปทำอะไร นี่ให้ตัวเองอย่างนี้ใช้ไม่ได้ เสียหาย เสียหายหมดเลย ให้ตัวเอง มีคำกล่าว ธรรมะกล่าวว่า “เป็นคนทั้งทีอย่าให้ตัวเอง” คือให้ตัวเองไปเสียแก่กิเลสง่าย ๆ ชุ่ย ๆ ให้ตัวเอง ตัวกูให้กิเลสไปเสีย แล้วแต่กิเลสมันจะบังคับให้ทำอะไร ให้ตัวเองอย่างนี้ผิด ใช้ไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ ให้โทษ

แล้วทีนี้มันมีให้ตัวเองอีกชนิดหนึ่ง ให้ตัวกูออกไปเสีย ไม่ต้องมีตัวกูเหลือ บริจาคตัวกูให้หมด ไป ๆ ไม่มีตัวกูเหลือ นี่กลับได้นิพพาน ให้ตัวกูอย่างนี้กลับได้นิพพาน ไม่มีตัวตนอะไรเหลือ นี่กลับได้นิพพาน แต่ให้ตัวกู ให้ตัวตนตามธรรมดาสามัญนี้คือ แพ้ ขี้แพ้ ยอมแพ้ ยอมให้มันเอาไป ให้มันครอง


บ้านครองเมือง ให้มันยึดเอาไปเป็นขี้ข้าให้มันทำแล้วแต่มันจะทำ นี่คำพูดคำเดียวกัน ให้ตัวตน ให้ตัวตน ให้ตัวตน นี่อันหนึ่งไม่ควรให้ อันหนึ่งให้แต่ดี รู้จักหรือไม่รู้จัก อาตมาว่าท่านยังไม่รู้จัก ท่านยังไม่รู้จัก ต้องดูให้ดี ให้ตัวตน ให้ตัวตน อย่างหนึ่งไม่ควรให้ คือมันยอมแพ้ง่าย ๆ แต่อย่างหนึ่งควรให้เลิกตัวตน หมดตัวกู หมดตัวตน ก็เป็นหลุดพ้น เป็นนิพพาน ความหมาย ๒ อย่าง ในคำพูดคำเดียวกันว่า ให้ตัวตน รู้จักหรือไม่รู้จัก เคยรู้จักหรือไม่เคยรู้จัก

ให้แบบค้ากำไร

เอ้า ทีนี้ มาดูกันให้ละเอียดที่ถี่ยิบ ทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย แง่ได้แง่เสีย แง่ดีแง่ร้ายให้อย่างเอากำไรมหาศาล ตักบาตรสักช้อนหนึ่ง ได้วิมานหลังหนึ่ง ทำอะไรได้กำไรเท่านี้บ้าง ในโลกนี้มีการทำอะไรที่ไหนที่ได้กำไรเท่านี้บ้าง ตักบาตรช้อนหนึ่ง ได้วิมานหลังหนึ่ง ใครเคยค้ากำไรได้ถึงขนาดนี้บ้าง แต่ก็ยังมีพูด ยังมีสอนกันอยู่ นี้มันคอรัปชั่นชัด ๆ ตักบาตรช้อนหนึ่งเอาวิมานหลังหนึ่ง แต่ก็ยังเรียกทำทาน ทำทาน บริจาคทาน ตักบาตรหรือทำบุญสักบาท เอาวิมานหลังหนึ่ง ไม่รู้กี่ร้อยล้านบาท นี่ก็ต้องระวัง ว่ามันเป็นการให้ทาน ที่เป็นการค้ากำไรเกินควร มันทำคอรัปชั่น คนทั้งโลก จะไม่ไหว

ให้โดยสัญชาตญาณ

ทีนี้ให้โดยสัญชาตญาณ รู้สึก เป็นความรู้สึกของสัญชาตญาณ อย่างแม่ให้ แม่ให้ แม่ให้อะไรนี้ให้หมดเลย ให้ชีวิตก็ให้ ให้อะไรก็ได้ แม่อาจจะให้แก่ลูก ให้โดยสัญชาตญาณของความเป็นแม่ ให้หมด ให้ชนิดที่ให้ได้หมดนี่มันก็ให้เหมือนกัน ให้โดยความรู้สึกของสัญชาตญาณ ท่านลองคิดดู ก็เคยเป็นพ่อเคยเป็นแม่กันมาแล้ว ว่ามันให้เท่าไร ถ้าให้โดยสัญชาตญาณ ความเป็นพ่อและความเป็นแม่ เพราะว่ามีไกลไปถึงขนาดว่า ให้ชีวิตก็ยังได้ บางทีตายแทนลูกก็ยังได้

ให้อย่างแลกเปลี่ยน

ทาน..ทำอย่างไรจึงจะได้บุญมาก : ๔ เอ้า ทีนี้มันเป็น “การให้ที่แลกเปลี่ยน” แลกเปลี่ยนอย่างเขาเอาอะไรมาให้เรา เราก็รู้สึกกระดาก ที่ว่าจะไม่ให้อะไรตอบแทนเขา ว่าคนที่อยู่ทางเหนือ ชาวเหนือนั้นลงไปทางทะเล ชาวเลมันเอาผักหญ้า หัวมัน หัวบอน ไปให้นั่นน่ะ มันไม่ต้องออกปากหรอก เพียงแต่ไปให้เท่านั้นแหละ เราเลยก็อด

ไม่ได้ ให้ปลา ให้กะปิ ให้อะไร ให้ชาวเหนือกลับไป นี่มัน “ให้โดยการตอบแทน” เป็นการตอบแทนเรียกว่าแลกเปลี่ยนก็ได้ เป็นการทอดไมตรีกันไว้ก็ได้ จะเรียกว่า เป็นการผูกพันอย่างยิ่ง โดยขนบธรรมเนียม โดยประเพณี เมื่อเขาเอาอะไรมาให้เรา ถ้าเราไม่ได้ให้อะไรแก่เขาเลย เราก็รู้สึกรำคาญตัวเอง ไม่สบายใจ มันจึงอดไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด มันก็ให้คำว่าขอบใจ ขอบคุณไปตามเรื่อง ให้ลม ๆ แล้ง ๆ ยังต้องให้ มันยังต้องให้ ที่จะไม่ให้อะไรเสียเลยนี่มันทนไม่ไหว

การให้อย่างนี้มันเป็นการแลกเปลี่ยน แต่ก็ต้องเรียกว่าเป็นการให้อยู่นั่นเอง ถ้าท่านไม่สังเกต ไม่รู้จัก ไม่เรียกมันว่าการให้ มันก็เหมือนกับไม่มี มันก็เป็นสิ่งที่ท่านยังไม่รู้จัก ว่าแม้ในการที่เราจะต้องให้สมนาคุณแก่กันและกัน ผูกพันกันอยู่ เวลาบ้านนี้มีงาน บ้านนู้นก็เอาเงินมาช่วย พอบ้านนู้นมีงาน บ้านนี้ก็ต้องเอาเงินไปช่วยอีกนั่นแหละ เป็นการผูกพันกันอย่างนี้ แต่มันก็คือการให้ คือการให้เหมือนกัน เรียกว่าการให้เหมือนกัน เป็นการให้ในความหมายหนึ่ง ในชื่ออย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยจะเรียกกันว่าเป็นการให้ หรือเป็นการให้ทาน กลับไปเรียก เป็นการผูกมัดร่วมมือ ร่วมอะไรกันก็ไม่รู้ ไม่เรียกว่าทาน แต่ก็ควรจะรู้ไว้ว่านี่มันก็เป็นการให้ทานชนิดหนึ่ง เป็นการแลกเปลี่ยน เป็นการผูกพัน



มีต่อคะ

DAO
11-18-2008, 12:09 PM
ให้ตามธรรมเนียม
ทีนี้ก็มาถึงคู่ที่ปนกันอีกแหละ ปนกันค่อนข้างจะปนกันให้ตามธรรมเนียมกับให้ตามหน้าที่ ให้ตามธรรมเนียมนี้ไม่รู้อะไรหรอก เห็นเขาให้ก็ให้ เขามีธรรมเนียมให้ก็ให้
เคยพบแม่ชีที่จังหวัดหนึ่ง เขาให้เป็นตามธรรมเนียม เขาจะต้องเอาของที่กินได้ เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปวางที่นั่นที่นี่ก่อน เสร็จแล้วจึงมานั่งกินเอง ว่าต้องให้เสียก่อนจึงจะกินเอง ต้องให้นก ให้หนู ให้มด ให้แมลงกิน เสร็จแล้วจึงจะมากินเอง อย่างนี้ก็เรียกว่า “ให้ตามธรรมเนียม” แต่เดี๋ยวนี้ชักจะหาดูยาก ไม่ค่อยมี มันหายไป หายไป

ให้ตามหน้าที่

ทาน..ทำอย่างไรจึงจะได้บุญมาก : ๕ ทีนี้ “ให้ตามหน้าที่” ตามหน้าที่ที่เรามีหน้าที่ที่จะต้องให้ นับตั้งแต่ว่าจะต้องสงเคราะห์เขา จนกระทั่งว่า เขาเป็นเพื่อนของเรา เป็นคนอยู่ในการดูแลคุ้มครองของเรา ก็ต้องให้ตามหน้าที่ ให้ในฐานะเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ก็ได้ นี่ก็เรียกว่า ให้ตามหน้าที่ ให้ตามธรรมเนียม มันก็มีความหมายอันหนึ่ง ดูไม่ค่อยจะมีอะไรบังคับนัก แต่ว่าบังคับโดยอ้อม ธรรมเนียมบังคับ ทีนี้ให้ตามหน้าที่ นี่คือหน้าที่มันบังคับ มันก็ต้องให้ แม้ที่จะต้องให้ลูกให้หลานให้คนใช้ ให้บริวาร อย่างนี้ก็มี
ลักษณะตามหน้าที่อยู่มากเหมือนกัน การไม่เอา ไม่ให้ข้าว ไม่ให้สุนัขกินข้าว ไม่ให้ข้าวแก่สุนัขนี่ มันก็เรียกว่าไม่มีหน้าที่ ไม่เคารพหน้าที่ เสียหายในทางหน้าที่ เรายังต้องเอาข้าวให้สุนัขกิน ถ้าสุนัขเจ็บป่วย บางทียังต้องลำบากรักษา รักษาสุนัข ทำความสะอาดให้สุนัข รักษามันตามหน้าที่ เพราะว่าเราเป็นคนเป็นเจ้าของสุนัข แล้วมันก็พึ่งพาอาศัยเขาอยู่อย่างนี้ ตามหน้าที่ ตามหน้าที่กับตามธรรมเนียม ตามธรรมเนียม

ให้อย่างลงทุน

เอ้าทีนี้ดูกันให้ละเอียดไปอีกความหมายหนึ่ง “ให้ที่เป็นการลงทุน” อย่างนี้ก็เรียกว่าให้เหมือนกันแหละ แต่เป็นการลงทุนไปก่อน ถ้าไม่ลงทุนไปก่อน มันไม่เกิดการผูกพัน อุตส่าห์ลงทุนไปก่อน ให้เป็นการผูกพัน แล้วต่อไป มันก็จะได้ให้ กลับไป ให้กลับมา กลับไปกลับมานี่เรียกว่า ให้อย่างลงทุน แล้วผลมันก็จะกลับมามากมายมหาศาล ถ้าฉลาดกระทำในเรื่องนี้แล้ว ก็รวยได้เหมือนกัน แล้วมันเป็นวิญญาณแห่งการค้า วิญญาณแห่งการแสวงหาประโยชน์ เป็นการให้อย่างลงทุน

ให้อย่างสหกรณ์

ทีนี้มันเป็นการให้อีกอย่างมีอีกอย่าง เรียกว่า “การให้อย่างสหกรณ์” สหกรณ์เรากระทำร่วมกัน เราอยู่บ้านเดียวกัน หลาย ๆ บ้าน หลาย ๆ คน มันมีอะไรที่ต้องทำร่วมกัน ถึงถ้าเฉยแล้วมันจะเกิดยุ่งยาก ลำบากที่สุดมันมีอะไรเกิดขึ้น ก็ต้องช่วยกัน หรือถ้ามีการเรี่ยไร ก็ต้องช่วยกัน ในความหมายแห่งคำว่าสหกรณ์ สหกรณ์เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของหมู่บ้านนี้ ก็มีการให้ ชนิดที่มันเป็นสหกรณ์ ถึงตอนนี้ขอพูดนอกเรื่องสักหน่อยนะ คำว่าสหกรณ์ สหกรณ์นี้ช่วยจำกันไว้ให้ดี มันเป็นวิญญาณของความรอดทีเดียว มันเป็นสิ่งที่ลึกลับ ความหมายสูงสุดของธรรมชาติที่มันต้องอยู่กันอย่างสหกรณ์ หมายความว่าอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก อย่าอวดดี อย่าอวดดี ถ้ากูอยู่คนเดียวในโลกได้ อย่าอวดดี เขาให้เราอยู่คนเดียวในโลก เขาไปกันหมด ให้เราอยู่คนเดียวในโลก มันก็ตาย อยู่ไม่ได้หรอก มันต้องอยู่กันครบที่มันควรจะอยู่ นี่ขอให้นึกถึงว่า ธรรมชาติแท้ ๆ ความหมายมันลึกซึ้งแท้ ๆ ของธรรมชาติมันก็อยู่กันอย่างสหกรณ์


ดวงอาทิตย์ดวงเดียวอย่าอวดดีไปว่า กูอยู่ได้ มันอยู่ไม่ได้ ดวงอาทิตย์ดวงเดียวก็อยู่ไม่ได้ มันต้องมีอะไรที่เป็นเนื่องกันกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวนั่นนี่หลายอย่าง เป็นระบบสุริยะจักรวาลระบบหนึ่ง ครบถ้วนนั่นน่ะมันจึงอยู่ได้ แล้วมันต้องหลายจักรวาล หลาย ๆ จักรวาลในหนึ่งจักรวาลมันก็หลายจักรวาล หลาย ๆ จักรวาลก็อยู่กันเต็มไปหมดในที่ว่างนี้ อยู่กันอย่างสหกรณ์ อยู่เดี่ยว ๆ ไม่ได้ มันไม่มีอะไรที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ต้องอยู่พร้อม ๆ กันอย่างสหกรณ์นี้ ธรรมชาติลึกซึ้ง ลึกซึ้งที่สุด มันก็อยู่กันอย่างสหกรณ์ ที่ในระบบสุริยจักรวาลเดี่ยว ๆ มันก็ยังต้องสหกรณ์ระหว่างดวงอาทิตย์ ระหว่างดวงจันทร์ ระหว่างดวงดาวที่เป็นบริวารไม่กี่ดวงของดวงอาทิตย์ มันก็อยู่กันอย่างสหกรณ์ ที่ในดวงดาวดวงเดียวเช่นตัวโลกหรือดวงจันทร์ หรือดวงดาวดวงไหนก็ตาม ในนั้นก็ต้องอยู่กันอย่างระบบสหกรณ์


อย่างในโลกนี้ต้องอยู่กันอย่างสหกรณ์ดิน น้ำ ลม ไฟ อย่างน้อยก็สหกรณ์ ออกมาเป็นสัตว์ ออกมาเป็นต้นไม้ ออกมาเป็นมนุษย์ ก็ต้องอยู่กันอย่างสหกรณ์ ต้องอยู่กันอย่างสหกรณ์ แม้แต่เป็นต้นไม้อยู่ต้นเดียว ก็อยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้ ต้องอยู่กันอย่างสหกรณ์ ต้นเล็กอาศัยต้นใหญ่ ต้นใหญ่อาศัยต้นเล็ก ต้นเล็ก ๆ ก็ให้ต้นใหญ่ได้ความชื้น ต้นใหญ่ก็ให้ร่มเงาแก่ต้นเล็ก ๆ ตะไคร่เขียว ๆ มันก็มีประโยชน์แก่ต้นใหญ่ ๆ ต้นใหญ่ ๆ ก็มีประโยชน์แก่ตะไคร่เขียว ๆ มันสหกรณ์กันอย่างนี้ โลกต้นไม้มันก็ต้องอยู่กันอย่างสหกรณ์ พอหมดสหกรณ์มันก็ตายแหละ


ทีนี้สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน ต้องอยู่กันอย่างสหกรณ์ มีอะไรครบถ้วน มิฉะนั้นมันจะอยู่ไม่ได้ มันจะอยู่ไม่ได้ แต่อธิบายก็ยากนะ ดูเอาเองก็พอจะเห็นว่า มันต้องเป็นสหกรณ์อยู่กันในป่า อยู่กันอย่างสหกรณ์ ทำหน้าที่ในป่านี้คนละอย่าง คนละอย่าง แล้วทำให้ป่ามันอยู่ได้ มันยังสหกรณ์พิเศษ ช่วยกันควบคุมให้เกิดความถูกต้อง ต้องมีสัตว์ชนิดที่คอยทำลายสัตว์ชนิดอื่น ให้มันอยู่กันอย่างพอดี ให้มันอยู่กันอย่างพอดี ถ้าไม่มีอะไรกินหนู หนูก็เต็มไปทั้งโลก มันอยู่ได้ที่ไหน มันไม่มีอะไรคอยกินหนู ถ้าไม่มีอะไรคอยกินหนอน หนอนก็กินต้นไม้หมด ไม่มีอะไรเหลือสักต้น ระบบสหกรณ์อันเร้นลับมันมีอยู่อย่างนี้ ทาน..ทำอย่างไรจึงจะได้บุญมาก : ๗


นี่มนุษย์ พอมาถึงมนุษย์ก็ต้องอยู่กันอย่างสหกรณ์ แม้จะเป็นสมัยคนป่ายังไม่นุ่งผ้า มันก็ต้องยังสหกรณ์มนุษย์พวกหนึ่ง ทำอะไรอย่างหนึ่งที่สัมพันธ์กัน แลกเปลี่ยนกัน พอมาถึงสมัยปัจจุบันแล้ว ยิ่งมีความหมายแห่งสหกรณ์มากมายเหลือเกิน เพราะว่าคน ๆ หนึ่งจะต้องมีการพึ่งพาอาศัยทางเครื่องนุ่งห่ม ไม่รู้สักกี่ร้อยกี่พันคนสร้างเครื่องนุ่งห่ม สร้างที่อยู่อาศัยกี่ร้อยกี่พันคน สร้างหยูกสร้างยากี่ร้อยกี่พัน สร้างสารพัดอย่าง ซึ่งล้วนแต่ต้องสร้างกันมากมาย แต่เราไม่คิด ไม่มอง เราก็ไม่เห็น ก็อวดดี อวดดี กูอยู่คนเดียวได้ เท่าที่มันอยู่ที่เนื้อที่ตัว มันต้องอาศัยกันคนกี่มากน้อย นาฬิกาข้อมือของคุณเรือนหนึ่ง มันต้องอาศัยคนกี่ร้อยหรือร้อยล้านคน กี่พันคนที่จะผลิตมันขึ้นมาได้ ตั้งแต่แรกว่ามันจะผลิตออกมาเป็นธาตุชนิดใดชนิดหนึ่งครบทุก ๆ ธาตุ แล้วยังต้องรู้เรื่องประกอบขึ้นมาเป็นนาฬิกา แล้วยังต้องขนส่งต้องซื้อสารพัดอย่าง ต้องมีคนขาย มันเนื่องกันเป็นสหกรณ์ ถ้ามันสหกรณ์กันได้อย่างถูกต้อง มันก็มีผลน่าพอใจ


แต่เดี๋ยวนี้มันพร้อมที่จะเป็นสหโกง มันพร้อมที่จะเป็นสหโกงกันอยู่เสมอ สหกรณ์นี้อายุสั้น ๒-๓ ปีล้ม ๒-๓ ปีล้ม สหกรณ์ล้มเรื่อยเพราะมันมีแต่สหโกง มันไม่เคารพไอ้วิญญาณของธรรมชาติ ที่กำหนดมาว่าต้องอยู่กันอย่างเป็นสหกรณ์ ต้นไม้ต้นไร่ก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี มนุษย์ก็ดี ต่อให้เทวดาก็ดี มันขึ้นอยู่อย่างไม่สหกรณ์ มันก็ตายหมดแหละ มันอยู่กันอย่างผูกพันเป็นสหกรณ์เราก็ต้องให้ในฐานะที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ อย่างบ้านนี้พอเขาจะสร้างสะพาน สร้างอะไร มันก็ต้องออกกันทุกคน เงินบ้างแรงบ้าง ออกกันทุกคนจึงมีความเป็นสหกรณ์ เมื่อเราสร้างถนนเส้นนี้ใหม่ ๆ ตอนแรกยังไม่มี จากตรงนู้นมาสู่ตรงนี้ ก็มีคนมาช่วย ชาวบ้านมาช่วย คิดว่าจะได้เกิดถนนขึ้นมา แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็หลายคนเหมือนกันแหละ ฉันไม่ช่วย ฉันจะคอยเดิน ฉันจะเป็นผู้เดิน จะคอยเดินไม่ให้เสียเปล่า ถ้าอธิบายอย่างนั้นก็มี มันก็เป็นสหกรณ์ ช่วยทำให้ถนนไม่เป็นหมัน


นี่โลกนี้มันยังไม่มี “วิญญาณแห่งสหกรณ์ที่ถูกต้อง” ถ้ามันมีวิญญาณแห่งสหกรณ์ที่ถูกต้อง มันดีกว่านี้มาก มันดีกว่านี้มาก บ้านเมืองมันดีกว่านี้มาก มันรักบ้าน รักเมือง รักประเทศชาติกันดีกว่านี้มากมาย เดี๋ยวนี้มันไม่รับผิดชอบ มันคอยแต่จะเอาประโยชน์ พร้อมที่จะเป็นสหโกง สหกรณ์จึงเหลืออยู่น้อยมาก หาทำยาหยอดตาไม่ค่อยจะได้ เผลอมันโกง เผลอมันโกง นี่สหกรณ์เอาเถิด เราต้องทำทาน บริจาคทานอย่างในฐานะที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ ก็ขอให้ทำเถอะ มันก็จะเป็นทานชนิดหนึ่งเหมือนกัน แล้วบางทีก็จะเป็นทาน ชนิดที่ท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักก็ได้ นับไว้ในเรื่องนี้ ทานที่ยังไม่รู้จัก



ให้เพื่อสร้างบารมี

เอ้า ทีนี้ทานที่ให้ไปเพื่อสร้างบารมี คำว่าทานนี่เป็นชื่อของบารมีใน ๑๐ บารมีของพระพุทธเจ้า ให้ทานออกไปเพื่อสร้างบารมี อย่าคิดว่าเราไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เราจะสร้างบารมีไปทำไม มันไม่ถูก
คนเราจะต้องมีการให้ เพื่ออยู่ร่วมกันในโลกนี้ ต้องมีการทำให้จิตใจรักผู้อื่น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เจือจานออกไป ไม่กินคนเดียว ขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าน่ะดีมาก คือไม่กินคนเดียว ไม่อาจจะนั่งกินคนเดียว ถ้าใครผ่านมาต้องชวนกินด้วย แล้วก็อยากให้เพื่อนมากินข้าวบ้านเรา ความขี้เหนียวมันก็มีอยู่ในใจ มันก็รู้สึกแต่แล้วมันก็ค่อย ๆ ลด พยายามที่จะลดความตระหนี่ขี้เหนียวออกไปบ้างทีละนิดทีละหน่อย ทีละนิดทีละหน่อย


ด้วยความที่อยากจะเป็นคนใจกว้างนี่ แม้ไม่ต้องมีใครสอน มันก็เกิดได้ด้วยความรู้สึก ว่าเราอยากจะให้ขึ้นมา อยากจะให้ขึ้นมา จะดีจะวิเศษยังไงก็ไม่รู้ แต่ฉันอยากจะให้ ฉันอยากจะมีการให้ขึ้นมา มันก็เป็นการสร้างบารมี เพื่อดีกว่าคนธรรมดา สร้างบารมีเพียงเพื่อดีกว่าคนธรรมดา ให้ทานมากขึ้นกว่าคนธรรมดาเรื่อยไป ๆ ก็เรียกว่าสร้างบารมี ทาน..ทำอย่างไรจึงจะได้บุญมาก : ๘


นี่ค่อย ๆ เกิดผลเป็นที่รักใคร่นับถือพอใจ แล้วก็มีบารมีจริงด้วย คือมีเพื่อนมาก ออกปากวานใครก็มีแยะเท่านั้น บารมีมันเกิดแล้ว ถ้ามันได้สร้างทานบารมีไว้มาก เดี๋ยวบารมีมันก็เกิด พอมีอะไรขอแรงเพื่อนมาเต็มบ้าน มาช่วยกัน ไม่ต้องเป็นพระพุทธเจ้าหรอก บารมีที่สร้างไว้ทุกอย่างตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้ โดยเฉพาะทานบารมี อย่าขี้เหนียว อย่าขี้เหนียว ขี้เหนียวนั้นคือว่า มันไม่สร้างบารมี แล้วยังจะหดหรือทำให้อด
ไปดูกันเอาเองระหว่างคนขี้เหนียวกับคนไม่ขี้เหนียว โลกเขาอุปโลกน์ให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายขี้เหนียว ผู้ชายเป็นฝ่ายไม่ขี้เหนียว จริงไม่จริงดูเอาเอง การที่ผู้หญิงจะสร้างบารมีลำบากกี่มากน้อย จริงหรือไม่จริงที่ว่าผู้หญิงขี้เหนียวกว่าผู้ชาย มันจริงหรือไม่จริงไปดูกันเอาเอง จึงมีคำกล่าวว่า ผู้หญิงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ผู้หญิงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะมันมีอะไรต่างกันอยู่อย่างนี้


ขอให้มีการให้ทาน โดยที่เราตั้งใจว่าจะสร้างบารมีเพื่อจะขูดเกลาความเห็นแก่ตัว ขูดเกลาความเห็นแก่ตัวเรื่อยไป ๆ สร้างบารมี อย่าคิดว่ามันหายไป ไม่รู้อยู่ที่ไหน ไม่ใช่มันไปเก็บอยู่ที่ไหน แล้วมันจะออกมาทีหลัง ให้เขากินเถิดมันอิ่มนาน กินเองอิ่มเดี๋ยวเดียว ถ้าเราให้เขากินมันไปอยู่ในจิตใจของเขา ก็ไม่รู้จักลืม กี่ปี ๆ ก็ไม่รู้จักลืม แล้วมันยังอยู่ในจิตใจของเราผู้ให้ว่าเราได้ให้เขาไปหลายปีแล้ว มันยังอิ่มใจอยู่นี่ ถ้ากินเองไม่กี่ชั่วโมงถ่ายออกหมดเลิกกัน ไม่มีปัญหา ไม่มีอะไรเหลือ นี่ถ้ากินเอง มันอิ่มได้กี่ชั่วโมงเล่า ถ้าให้ผู้อื่นกินมันอิ่มใจอยู่ทั้ง ๒ ฝ่าย เป็นปี ๆ ๆ ๆ นี่ใครจะขี้เหนียว ขี้ตระหนี่ ก็ลองคิดเรื่องนี้ดูบ้าง สร้างบารมีกันเสียบ้าง ให้ทาน ให้ไปเพื่อสร้างบารมี



มีต่อคะ

DAO
11-18-2008, 12:11 PM
ให้เพราะจำเป็นต้องให้
เอ้าทีนี้ก็ดูในฝ่ายเลวร้ายบ้าง “ให้เพราะจำเป็นจะต้องให้” จำเป็นจะต้องให้ ความจำเป็นนี้มีหลายความหมาย จำเป็นเพราะถูกบังคับ มันต้องให้ ถ้าไม่ให้เขาเอาตายเลยนี่ก็ให้เหมือนกัน แต่ว่ามันไม่ได้จำเป็นถึงขนาดนั้น มันก็มีอยู่ที่จะต้องให้ ที่จะต้องให้ไม่ถึงกับตายหรอก แต่มันก็ลำบากหลาย ๆ อย่าง ว่าจำเป็นจะต้องให้แม้ไม่อยาก จะให้มันก็มีความจำเป็นบังคับให้ต้องให้ นี่ก็มี ไม่ใช่ไม่มี ดูเองเถอะ มันจะเห็นได้ว่า เรายังมีความจำเป็นจะต้องให้ในบางกรณี นี่ก็เรียกว่า การให้ทานเพราะมีความจำเป็นที่จะต้องให้
ทาน..ทำอย่างไรจึงจะได้บุญมาก : ๙

ให้เพราะกิเลสต้องการ

เอ้าทีนี้น่าหัวแล้ว ต่อไปว่า “มันให้เพราะกิเลสมันต้องการ” เพราะกิเลสมันต้องการ กิเลสมันต้องการ มันต้องการสถานเริงรมย์ หรืออะไรที่สำมะเลเทเมาทั้งหลาย กิเลสมันต้องการ แล้วคนก็ควักกระเป๋าจ่ายให้ ให้ไปเพราะว่ากิเลสมันต้องการให้เพราะกิเลสมันต้องการ ถ้าไม่มีกิเลสไม่ต้องให้ในกรณีอย่างนี้

เดี๋ยวนี้ใจมันยังพ่ายแพ้แก่กิเลส เมื่อกิเลสมันต้องการ คนมันก็ต้องให้ตามที่กิเลสมันต้องการ มันจึงมีมาก มากมาย ที่ว่ากิเลสมันต้องการ แล้วคนก็ต้องให้และยิ่งมาก ยิ่งเจริญ ยิ่งมากขึ้นในโลกนี้ เพราะว่าเหยื่อของกิเลสมันมากขึ้น มากขึ้น เพราะว่าเขาผลิตเหยื่อของกิเลสกันด้วยอุตสาหกรรม คือเครื่องจักรมหาศาล ผลิตเหยื่อของกิเลส ผลิตเหยื่อของกิเลส กิเลสมันทนไม่ไหวมันต้องการ คนก็ต้องไปซื้อหามาตามที่กิเลสมันต้องการ กิเลสนี้เข้าใจยาก เพราะมันมากมายหลายชนิด ซับซ้อนกันมากมาย ไม่ต้องมีมันก็เห็นเป็นต้องมีขึ้นมาแหละ ไม่ต้องมี มันก็เห็นเป็นต้องมีขึ้นมา

อย่างนาฬิกาข้อมือ จำเป็นกี่มากน้อย ไม่ต้องมีก็ได้ ใช่ไหม แต่แล้วมันก็ต้องมี มันก็ต้องมีจนได้ ต้องหามาใส่จนได้ กิเลสมันต้องการ กิเลสมันต้องการ นี่เรื่องอื่น ๆ ที่มันไม่จำเป็นกว่านัก มันไม่ต้องมีทีวีก็ได้ ไม่ต้องมีตู้เย็นก็ได้ มันไม่ต้องมีอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง แต่ว่ากิเลสมันต้องการ มันก็ต้องจ่ายออกไป ควักเงินจ่ายออกไป ตามที่กิเลสมันต้องการให้มี กิเลสในที่นี้ก็คือความต้องการด้วยอวิชชา ในทางกามารมณ์ ในทางหลอกลวง มันต้องการ

ให้เพื่ออวด

ทาน..ทำอย่างไรจึงจะได้บุญมาก : ๑๐ นี่ให้เพื่ออวด ให้เพื่ออวด นี่ก็ให้เพื่อประกาศ ประกาศความดี ความเด่น ความดังอะไรของตน เขาปิดทองข้างหน้าพระ หาคนปิดทองหลังพระนี่ยากที่สุด ทองด้านหลังพระไม่ค่อยมีใครปิด เจ้าภาพต้องปิดเอง เพราะคนทั้งหลายมันชอบปิดกันแต่หน้าพระ มันปิดทองหน้าพระ เดี๋ยวนี้มันก็อาศัยความอวด ความอยากอวด อยากจะเด่น อยากจะดัง มันก็ให้ทาน แล้วเราอาจจะทำอย่างนั้นไปแล้วโดยไม่
เอ้าทีนี้การให้บางชนิดอีก มันก็เป็น “การให้เพื่ออวด” เพื่ออวด การเสียสละเพื่ออวดน่ะ มันมีมากกว่าการเสียสละด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ เพราะเหตุนั้นแหละ ไอ้ตามเสาตามฝาผนัง ตามหน้าจั่ว มันมีชื่อคนบริจาคเต็มไปหมดเลย แต่เราขอร้องว่าที่นี่อย่ามี ขอยกเว้นสักที่ว่า ที่นี่อย่าต้องบริจาคชื่อคนที่บริจาคเลย แต่มันยังอดไม่ได้ มีสักแห่งสองแห่ง ยังมีสักแห่งสองแห่ง แต่ถ้าจะให้จดตามที่มันบริจาค เต็ม ไม่มีที่ว่างหรอก คนบริจาคไม่รู้กี่พันคนกี่หมื่นคน


รู้สึกตัวก็ได้ เราก็ทำอย่างนั้นกับเขาเหมือนกันแหละ แต่ไม่ได้เอามาคิดมานึก
นี่ก็ต้องเรียกว่า ที่ท่านยังไม่รู้จัก สิ่งที่ท่านยังไม่รู้จักเรื่องอวดนี้มันเป็นกิเลสละเอียดลึกซึ้งของสัญชาตญาณ แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน มันก็ทำเป็นในการที่จะอวด ก็ให้อภัยกันบ้าง ให้อภัยกันบ้าง เรื่องอวดมันอยากให้มันเหลือประมาณ อยากจะให้เขาเห็น จะทำอะไรสักหน่อยต้องไปเช่าเครื่องขยายเสียงมา ไปจ้างหนัง จ้างมโนราห์ มาเล่นเพื่อให้มันกระฉ่อน เพื่อให้มันดัง นี่เรื่องเพื่อจะอวดทั้งนั้นแหละ ความหลอกลวงจึงมีอยู่มาก มันจึงเหลืออยู่มาก

ถ้าโดยบริสุทธิ์ใจมันไม่ต้อง
คำกล่าวของฝ่ายพวกคริสต์ คำกล่าวของพระเยซูไม่ใช่พุทธนะ แต่พวกชาวพุทธก็ควรจะรับเอามา และถือว่าเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง อย่างพระพุทธเจ้ากล่าวเหมือนกันและ พระเยซูสอนว่า “มือขวาทำบุญอย่าให้มือซ้ายมันรู้ ถ้ามือซ้ายมันรู้ มันจะเที่ยวเป่าแตรดังลั่นไปหมดว่า กูทำบุญโว้ย” ถ้ามือขวาทำบุญอย่าให้มือซ้ายมันรู้ มันจะไปเที่ยวบอกกล่าว อวดโน่นอวดนี่

นี่พวกเราก็ควรจะฟังไว้บ้างนะ จะทำบุญสักนิดมันต้องทำให้ดังลั่นทั้งบ้านทั้งเมือง หนวกหูหามรุ่งหามค่ำ มันต้องการเสียอย่างนี้ นี่มันก็เป็นทานชนิดที่ท่านไม่รู้จัก ถ้าท่านรู้จักท่านจะไม่ทำ เพราะท่านไม่รู้จักท่านจึงทำ ก็ว่ากันอย่างนี้ดีกว่า



ให้อย่างตกเบ็ด

เอ้าทีนี้มาถึงการให้ทาน คือการให้เหมือนกันแหละ “ให้อย่างตกเบ็ด” ตกเบ็ด มันเอาเหยื่อเสียบไว้ที่เบ็ด กินเหยื่อเข้าไปมันติดเบ็ด มันเอาเหยื่อให้ปลากิน แต่มันมีเบ็ดอยู่ด้วย ปลากินเหยื่อมันติดเบ็ด ให้ทานอย่างตกเบ็ดนี่คือว่าให้เหยื่อนั่นเอง ให้เหยื่อนั่นเอง คอยดูให้ดีซิ เป็นทานหรือไม่เป็นทาน การให้เป็นเหยื่อน่ะ ถ้าให้เป็นเหยื่อให้ทานอย่างตกเบ็ด อย่างตกเบ็ด

บางทีก็ไม่มีอะไรผูกพันกันหรอก แต่ไปให้ ให้มันเกิดความผูกพันว่า พอเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องช่วยเราน่ะ ให้มันเกิดความผูกพันขึ้นมาว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้น เขาต้องมาช่วยเรา นี่เรียกว่าให้อย่างตกเบ็ด นี่มันอยู่ในอำนาจของผู้ให้ เข้ามาอยู่ในอำนาจของผู้ให้ ซึ่งก็มีอยู่มากบางทียังไม่เกิดขึ้น แต่ทำให้เกิดขึ้นมาเป็นฝ่ายแรก แล้วก็เกิดแก่กันและกัน ตอบแทนกันและกัน เป็นธรรมดาไปเสียก็มี แต่ถ้าคดโกงแล้ว มันเอาฝ่ายเดียว มันตกเบ็ดฝ่ายเดียว มันไม่รู้ นี่เรียกว่าให้ทานอย่างที่เรียกว่า ตกเบ็ดเอาเขามาไว้ในอำนาจของเรา เราจะเป็นผู้ทำ หรือเราจะเป็นฝ่ายถูกเขาทำ ระวัง ๆ ให้ดี อย่าไปกินเบ็ดของใครเข้าหรือเราจะเป็นผู้ตกเบ็ดเสียเองก็ดูให้ดี ๆ มันมีการให้ทานชนิดหนึ่งคือตกเบ็ด

ให้เพราะถูกหลอก

เอ้าต่อไป ๆ “ให้ทาน เพราะโง่กว่า” เพราะโง่กว่า เคยได้ยินไหม เขาว่ากันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า คนโง่ก็เป็นเหยื่อของคนมีปัญญา คนโง่ก็เป็นเหยื่อของคนมีปัญญาเพราะโง่กว่า ถูกเขาวางแผนการให้ ต้องให้เขา ต้องให้เขา ต้องทำให้เขาได้รับประโยชน์ เพราะเรามันโง่กว่า เพราะเรามันโง่กว่า ถ้าเราไม่โง่กว่านะ เราคงไม่ซื้อนาฬิกาข้อมือนี้มาแขวนนะ เราต้องไม่มีตู้เย็น ทีวี และต้องไม่มีวิทยุ ต้องไม่มีการหุงข้าวด้วยไฟฟ้า เราไม่ต้องใช้สิ่งเหล่านี้ ถ้าเราไม่โง่กว่า และเดี๋ยวนี้เรามันโง่กว่า โดยตกหลุมคำโฆษณา

คนเดินตลาดมันโฆษณาเก่ง คนเดินตลาดมันโฆษณาเก่ง มันโฆษณาจนคุณยายแก่ ๆ ซื้อตู้เย็นก็ได้นะ ระวังไว้ดี ๆ นะ ถ้าคนโฆษณามันเก่ง มันโฆษณาจนคุณยายแก่ ๆ ซื้อตู้เย็นก็ได้ ไม่รู้เอาไปทำอะไร นี่มันตกหลุมของการโฆษณา เรียกว่ามันทำทานเพราะว่ามันโง่กว่า มันโง่กว่า ทานอย่างนี้ก็ต้องรู้จักไว้ รู้จักไว้ ว่ามันมีอยู่ในโลก มันมีอยู่ในโลกนี่

ให้เพราะบ้าดี เมาดี หลงดี

เอ้าอีกซักข้อ “ทำทานเพราะว่ามันบ้าดี เมาดี หลงดี” บ้าดี เมาดี หลงดี บ้าสวรรค์ เมาสวรรค์ หลงสวรรค์นี่ก็ตาม แล้วมันบ้าดี มันบ้าดี มันจึงทำงาน ถ้าอย่างนี้ก็มี นี่ก็เพราะว่ามันบ้าดี เพราะว่ามันเมาดี แต่มันก็ไม่พ้นไปจากเพราะโง่กว่า แล้วเขาบอกว่าตักบาตรสักช้อนได้วิมานหลังหนึ่ง มันก็อยากได้วิมานหลังหนึ่ง มันบ้าหรือมันเมา จะเอาวิมานหลังหนึ่งก็ทำบุญ นี่ว่าทำเพราะบ้าดี เพราะเมาดี เพราะหลงดี แล้วก็อวดดีด้วย นี่มันมีความจริงอยู่ข้อหนึ่งนะ ระวังกันให้ดี ๆ ถ้าบ้าดี เมาดี หลงดี แล้วมันจะมีอวดดีด้วยเสมอไป คนนั้นมันจะต้องอวดดีด้วยเสมอไป ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะบ้าดี เมาดี หลงดีไปทำไม มันต้องการจะไปอวดดี มันจึงบ้าดี เมาดี หลงดี นี่การทำทานเพราะบ้าดี เมาดี หลงดีนี่ก็มีอยู่ พูดจา เก่ง ๆ ก็ได้คนมาช่วยกันบริจาคทานเยอะแยะ เยอะแยะมันกลายเป็นเรื่องโฆษณาชวนเชื่อ คดโกงไปในตัว ถ้าเราไม่บ้าดี เมาดี หลงดี ใครก็มาหลอกเราไม่ได้ แต่ถ้าเราเป็นคนบ้าดี เมาดี ก็หลอกได้ทุกเมื่อเชื่อวัน หลอกกันได้


เอ้าทีนี้พอกันทีมั้งทานหลอก ๆ เอาทานที่มันไม่หลอกกันบ้าง



มีต่อคะ

DAO
11-18-2008, 12:13 PM
ให้เพราะกลับตัว กลับใจ


“ให้ทานเพราะกลับใจ กลับเนื้อ กลับตัว” มันเคยทำผิดคิดร้าย คิดร้าย โกหก หลอกลวงอะไรมามากมายแล้ว เดี๋ยวจะกลับตัวเป็นคนดีแล้ว จะกลับใจจะกลับเนื้อกลับตัว มันก็ทำทาน แล้วมันก็ให้ทาน นี่ข้อความในคัมภีร์มีอย่างนี้มากเหมือนกันแหละ ไอ้สัตว์นรกที่ตกอยู่ในรกหมกไหม้อยู่ มันพูดกันปรึกษากันหารือกันว่า ถ้ากูได้รอดไปจากนรกคราวนี้ แล้วไปเกิดเป็นมนุษย์แล้วกูจะทำบุญ ทำบุญให้เหลือประมาณมหาศาล สัตว์นรกมันกลับใจ สัตว์นรกมันกลับใจ มีการทำบุญ เพราะว่ามันกลับใจ มันจะเปลี่ยนชีวิต


นี่ก็มีส่วนดี ไม่ใช่ว่าไม่ดี มันมีทางจะไปในทางฝ่ายดี จะกลับใจให้ทานเพราะมุ่งหมายจะกลับใจ จะลอกคราบใหม่ มันจะเปลี่ยน มันจะเปลี่ยนชีวิต มันก็เป็นสิ่งที่ควรรู้จัก และก็ควรจะปรับปรุง ปรับปรุง มันละจากความผิดทั้งหลาย มาสู่ความถูกต้อง แล้วก็มีการทำความถูก ความดี ความงามทุกอย่าง รวมทั้งการให้ทานนี้ด้วย ยกตัวอย่างกันง่าย ๆ อย่างนี้ก็ได้ว่า คนคนหนึ่งมันขี้เหนียว ขี้ตืด มันเห็นแก่ตัว มันไม่ช่วยใคร ทีพอถึงคราวมันเจ็บไข้ เป็นตายขึ้นมา มันไม่มีใครมาช่วย มันก็นึกได้ว่า โอ..ผิดแล้ว ทีนี้กลับใจ กลับเนื้อ กลับตัว เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อให้เกิดมิตรสหาย ให้มีเพื่อนฝูง มันให้ทานเพราะกลับใจ ตั้งตนทำความดีกันใหม่ เพราะกลับใจ เพราะกลับใจ


ขอให้คิดไว้ว่า “กลับใจ ๆ” นี่เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งช่วยจำไว้นะ คำว่า “กลับใจ” นี่เป็นคำสำคัญคำหนึ่ง ถ้าไม่มีอันนี้แล้ว ไม่มีละ มันไม่มีทางรอดหรอก เพราะที่แล้วมาหรือที่เป็นอยู่ มันจมลงไป จมลงไปในทางที่ว่ากิเลสตัณหามันพาไป คือถ้ามันมีอะไรก็ตาม มันทำให้รู้สึกว่าอะไร เป็นอย่างไร อะไร เป็นอย่างไร มันเปลี่ยนเลย มันเปลี่ยนหลักการเลย อย่างนี้เรียกว่า กลับใจ


“การกลับจากมิจฉาทิฐิ มาเป็นสัมมาทิฐิ อันนี้สำคัญ” ถ้าไม่มีการกลับใจ จะไม่มีการบำเพ็ญบุญกุศลชนิดที่ถูกต้อง มันจะมีแต่บุญกุศลชนิดคอรัปชั่น หลอกลวงทั้งนั้นแหละ ถ้าเมื่อไรมันมีความกลับใจ กลับมิจฉาทิฐิ เป็นสัมมาทิฐิ กลับใจอย่างนี้แล้วก็เรียกว่าใช้ได้ จะรอดตัว ภาษาฝรั่งมันก็เรียกว่ากลับใจ Repention Repention คำนี้แปลว่ากลับใจ กลับใจ ถือเป็นจุดตั้งต้นของชีวิตใหม่ ซึ่งมีการกลับใจอย่างนี้ แล้วก็มีการกระทำแนวใหม่ สายใหม่ แล้วก็ไปสู่พระเจ้า ไปสู่ความรอด


อันธพาล คนโง่ คนเขลา ปุถุชน มาอย่างโง่เขลาตามความต้องการของกิเลสตัณหา นานเข้าจุดหนึ่ง พอมันถึงจุดที่เห็นแจ้ง มันกลับใจที่แล้วมาทันที มันเปลี่ยนหมดมันเป็นจุดตั้งต้นใหม่ คือการกลับใจ ที่เราจะต้องช่วยส่งเสริม ส่งเสริมการกลับใจ นี้ให้มันถูกจังหวะ ให้มันเหมาะสม พอดิบพอดี ให้การกลับใจมันเป็นไปได้อย่างง่ายดาย


นี่มีการให้ทานและการกลับใจ ความกลับใจอย่างนี้ก็หมายความว่ามันเป็นนิมิตหมายที่ดีแล้ว มันเป็นนิมิตหมายที่ดีแล้ว ค่อยทำต่อไป มันก็เดินไปตามทางที่ถูกต้อง คือว่าจะถูกต้องยิ่งขึ้น


การให้สูงสุดคือการสละตัวตน


สละ ๆ ๆ สละที่ง่าย ๆ หยาบ ๆ ก่อน จนกระทั่งสละสูงสุด สละตัวตน สละตัวกู สละของกู ดับอุปาทานว่าตัวกู ว่าของกู มันยอดสุดของความเสียสละ ยอดสุดของการให้ทาน ยอดสุดของการให้ทาน หมด บริจาคหมดตัวกูของกู มีกี่ชนิดบริจาคหมดถึงความว่าง ความว่างจากสิ่งยึดมั่นถือมั่นโดยประการทั้งปวง นี่เป็นยอดสุดของการให้ทาน กลายเป็นนิพพานขึ้นมา คือจิตได้เปลี่ยนไปอยู่ในลักษณะที่สัมผัสพระนิพพาน


อยากจะบอกให้รู้ว่า เราพูดกันผิด ๆ กันอยู่มาก ท่านทั้งหลาย นี่ช่วยกันจำกันไว้เถิดว่า เรากำลังพูดผิด ๆ กันอยู่มากว่า ไปนิพพาน ไปนิพพาน บางคนหลับตาพูด คนโง่มันพูดตาม ๆ กันไป มันหลับตาพูดว่า ไปนิพพานยิ่งไปยิ่งไม่ถึง การไปนิพพานยิ่งไปยิ่งไม่ถึง นิพพานมันไม่ถึงได้ด้วยการไป มันถึงได้ด้วยการเปลี่ยนใจให้เหมาะสมเปลี่ยนจิตให้เหมาะสม คือ เอาอวิชชาออกไปเสียจากที่หุ้มห่อจิตใจ นิพพานก็มาเอง นิพพานก็ถึงเอง “นิพพานถึงได้ด้วยการที่เราทำจิตใจให้เหมาะสม” เปลี่ยนจิตใจเสียให้เหมาะสม แล้วก็ถึงกับนิพพาน ไม่ต้องไปหานิพพาน


ที่พูดว่าไปนิพพาน มันหลับตาพูดตามแบบคนธรรมดาพูด มันไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องไป ไม่ต้องมา ไม่ต้องวิ่งเต้น เปลี่ยนจิตใจเสียให้ถูกต้อง ให้เหมาะสม ทีนี้พระนิพพานก็มาสัมผัสเอง เราก็เปิดม่านเปิดหน้าต่าง เปิดอะไรเสีย แสงสว่างก็เข้ามาเอง ที่แล้วมามันปิดม่าน ปิดประตู ปิดหน้าต่าง แสงสว่างเข้ามาไม่ได้ พอเปิดแล้วแสงสว่างมันก็เข้ามาเอง นิพพานไม่ต้องไป ไม่ต้องไปหาพระนิพพาน ยิ่งไปหายิ่งไม่ได้ ยิ่งหายิ่งไกล ช่วยจำไว้ด้วย ใครจะพูดก็ไม่รู้ ยิ่งหายิ่งไกล ทำจิตใจให้เหมาะสม ให้ถูกต้องที่นี่ มันก็จะได้สิ่งนี้ คือให้ตัวตน ให้ตัวตนออกไปเสีย สละตัวตนออกไปเสีย จิตใจก็มีความเหมาะสม ๆ ๆ จนมีการสัมผัสกันกับพระนิพพานที่รออยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าที่ไหนรออยู่เหมือนกับอากาศ ลมหายใจนี้


นี่เรียกว่า ทานสูงสุดให้ตัวกู ให้ของกู ให้ตัวตนออกไปเสียเท่านั้นแหละ ก็ถึงนิพพานเอง ไม่ต้องไป เราพูดว่าต้องไปนิพพานไปกันหมื่นชาติ แสนชาติ กี่ชาติก็ไม่รู้นี่ ยิ่งหลับตาพูดที่ใด เมื่อไร ที่ไหน เมื่อไร ไม่มีตัวกูนิพพานก็มีอยู่ที่นั่นแหละ พอตัวกูของกูเข้ามา นิพพานก็หนีหายไปเสีย ไม่ปรากฏ


นี่เราจะต้องทำให้จิตใจเหมาะสม เหมาะสมที่นิพพานจะปรากฏ คือเปลื้องอวิชชา ม่านบังออกไปเสียให้ได้ แล้วนิพพานก็สัมผัสใจเอง เดี๋ยวนี้ม่านของอวิชชามันบังเราไว้ เราไม่รู้จักพระพุทธเจ้าบ้าง ไม่รู้จักพระนิพพานบ้าง ไม่รู้จักความหลุดรอดบ้าง เพราะม่านของอวิชชามันปิดบังอยู่


พระพุทธเจ้าท่านนั่งอยู่หลังม่านของความโง่ของคุณแหละ รูปภาพในโรงหนังนี้ มีรูปนี้ดีที่สุด ไม่มีใครดู ควรดู รูปภาพรูปแรกทางด้านประตู พระพุทธเจ้านั่งอยู่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ ม่านแห่งความโง่ของคุณมันบังอยู่ พระพุทธเจ้าอยู่ข้างหลัง ไม่เห็น ไปหาพระพุทธเจ้าที่อินเดียบ้าง ที่ไหนบ้าง ที่วัดบ้าง ไม่หาที่หลังม่านแห่งความโง่ ทำไม? เพราะมันไม่รู้ ม่านแห่งความโง่อยู่ที่ไหนมันไม่รู้จักว่าม่านแห่งความโง่อยู่ที่ไหน มันก็ไม่ได้ไปเปิดม่านดู เลยไม่พบพระพุทธเจ้าที่นั่งอยู่หลังม่านแห่งความโง่


คำพูดนี้ไม่ใช่พูดเล่น ๆ แล้ว มันจริง จริงเกินจริง เอาม่านแห่งความโง่ออกไปเสียซิ พระพุทธเจ้าก็นั่งอยู่ตรงนั้น
แหละ เอาอวิชชาออกไปเสีย นิพพานก็วูบเข้ามาถึงจิตใจทันที หรือเกิดขึ้นเองในจิตใจทันที ไม่ต้องไป

เอาละเป็นอันว่า “ทานอันสุดท้ายประเสริฐสูงสุด ไม่มีอันไหนจะยิ่งไปกว่านั้น คือ การให้ ตัวกู ของกู คือให้อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ว่าตัวกู ว่าของกู ออกไปเสียให้หมดสิ้นจากจิตใจ” จบเรื่องทาน จบ มีกี่อย่างกี่อย่างที่ว่ามาแล้วนี้ มันเป็นเรื่องทานที่ท่านทั้งหลายยังไม่รู้จัก รู้จักผิด ๆ ถูก ๆ ก็มี รู้จักกลับตรงกันข้ามก็มี ไม่รู้จักเลยก็มี รู้จักกันเสียซิ เท่าที่กล่าวมานี้ มันเป็นตัวอย่างมากพอแล้วที่ทำให้เรารู้จักทานที่เรายังไม่รู้จัก


วันนี้พูดถึงเรื่อง สิ่งที่ท่านยังไม่รู้จัก โดยชื่อของมันว่า ทานบริจาค คือการให้ทานที่ท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักเข้าวัดจนตาย ไม่รู้จักทานนี้ก็ได้ อย่าอวดดีไป ถ้าทำจิตใจให้ดี ๆ ศึกษาให้ดี ๆ ไม่เท่าไรก็จะรู้จัก จะดำรงชีวิตจิตใจให้เต็มไปด้วยทานที่ควรจะมี เดี๋ยวก็จะมีพระนิพพานเป็นผลตอบแทน โดยไม่ต้องเรียกร้อง ไม่ต้องมีผู้เรียกร้องผูกพันอะไร



มีต่อคะ

DAO
11-18-2008, 12:16 PM
“บริจาค”

ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย
การบรรยายเรื่องทศพิธราชธรรม เป็นการกระทำตามลำดับ เพื่อมหาชนตามรอยพระยุคลบาท ด้วยทศพิธราชธรรมฝ่ายพสกนิกรทุกคน

คำว่า พระราชา คือผู้ที่ทำให้ผู้อื่นร้องออกมาว่า “พอใจ-พอใจ” ดังที่ทราบกันอยู่แล้ว สำหรับมหาชนเป็นผู้ดำเนินตามเพื่อให้เกิดการมีฝามีตัว ถูกฝาถูกตัว และความพอใจก็จะมีความหมายถึงที่สุด เกิดมีรากฐานแห่งศีลธรรมอันมั่นคง ของประเทศชาติอย่างสูงสุด

ทีนี้ จะพิจารณากันต่อไป ถึงเรื่องทศพิธราชธรรมข้อที่จะบรรยายในวันนี้คือ “การบริจาค” มีคำท่องที่คล่องปากว่า ทานํสีลํ ปริจฺจาคํ อาชฺชวํ มทฺทวํ ตปํ อกฺโกธํ อวิหึสญฺจ ขนฺติญฺจ อวิโรธนํ, ทานํ สีลํ แล้วก็ “ปริจฺจาคํ” คือหัวข้อธรรมะที่จะได้อธิบายในวันนี้

บริจาค เป็นคู่กันกับ ทาน แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เราใช้พูดสับสนปนเปกัน ไม่สำเร็จประโยชน์ จึงขอให้แยกให้เห็นชัดว่า มันต่างกันอย่างไร

ทาน นั้น สละสิ่งของในภายนอก แล้วก็มีผู้รับ

*ปาฐกถาธรรมถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
วันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๐



บริจาค นั้น สละสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในตนในภายใน ซึ่งเป็นนามธรรม ไม่มีผู้รับ และก็ไม่มีใครอยากรับ คือการสละ ตัวกู-ของกู ออกไป
ความยึดมั่นถือมั่นอันเลวร้ายว่า ตัวกู-ของกู เป็นเหตุให้เกิดความเห็นแก่ตัว และเกิดโรคจิต เรียกว่า มันเป็นปัจจัยแห่งโรคจิต จะต้องสละปัจจัยแห่งโรคจิตนี้ออกไปเสียให้ได้ ด้วยการบริจาค
ทาน ผูกพันกันในภายนอก หวังผลว่าจะได้ความเป็นมิตรไมตรี จะได้บุญ ได้มีรูปสวย รวยทรัพย์ จะได้เกิดในสวรรค์ เป็นต้น อย่างนี้ก็เป็นทาน

ถ้าเป็นการบริจาค ก็คือการบริจาคกิเลสออกไปออกไป ให้ตัวกูมันหมดไป ให้มันเกลี้ยงเกลาจากตัวกู ไม่มีกิเลสใด ๆ เหลืออยู่ แม้แต่ความเครียดสักนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นปัจจัยแห่งโรคจิต คือผู้บริจาคสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในใจนั้น จะเป็นเหมือนกับผู้ล้างบาปออกอยู่ตลอดเวลา

มีคำเรียกในพระบาลีว่า โธวะนะ น้ำล้างบาป วิเรจะนะ ยาถ่าย วะมะนะ ยาให้อาเจียน เหล่านี้หมายถึง การสละสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในตน ออกไปจากตนทั้งนั้น ละมิจฉาทิฐิเสียแล้ว ก็มีสัมมาทิฐิ ละมิจฉาสังกัปปะเสีย ก็มีสัมมาสังกัปปะ ละมิจฉาวาจาเสีย ก็มีสัมมาวาจา ละมิจฉากัมมันตะเสีย ก็มีสัมมากัมมันตะ ละมิจฉาอาชีวะเสีย ก็มีสัมมาอาชีวะ ละมิจฉาวายามะเสีย ก็มีสัมมาวายามะ ละมิจฉาสติเสีย มีสัมมาสติ ละมิจฉาสมาธิเสีย ก็มีสัมมาสมาธิ แล้วก็เกิดสัมมาญาณความรู้อันถูกต้อง ละมิจฉาญาณะเสีย ก็เกิดสัมมาวิมุติ สัมมาวิมุติหลุดพ้นโดยชอบ โดยถูกต้อง โดยประการทั้งปวง ไม่ใช่หลุดพ้นอย่างพวกมิจฉาทิฐิเขาพูดกัน

ดูให้ดีเถิด ละความเห็นแก่ตัว ละทิฐิมานะ ละกามทันที ละการอาฆาตมาดร้าย ละการมุ่งร้ายกอบโกยประโยชน์ของผู้อื่น ลักล้วงประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตัว อย่างนี้แหละ เรียกว่า “บริจาค” โดยแท้จริง ถ้าจะละถึงหมดทั้งอุปกิเลส ๑๖ ประการที่ศึกษากันอยู่ทั่วไปโดยรายละเอียดก็ยิ่งเป็นการสมบูรณ์ ละความเห็นผิด คือ มิจฉา-มิจฉา-มิจฉา เหล่านี้ออกไป แล้วก็ไม่บิดพลิ้วในหน้าที่ ทำหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอดพ้นอยู่ได้โดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง เพราะว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางนั้น เราได้บริจาคออกไปหมดแล้ว

ขอสรุปความสั้น ๆ ว่า เมื่อมีตัวกูของกูเป็นอุปาทานอันลึกซึ้งอยู่แล้ว ก็มีกิเลสคือ ความเห็นแก่ตัว “เห็นแก่ตัว-เห็นแก่ตัว” ขอให้สนใจคำนี้เถิด เพราะว่าโลกกำลังจะวินาศอยู่ด้วยสิ่ง ๆ นี้ โลกมีคนครองด้วยความเห็นแก่ตัว แม้จะแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย เป็นฝ่ายซ้ายฝ่ายขวาอะไรก็ตาม มันมีแต่เรื่องเห็นแก่ตัว มันเลยพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เลยตกลงกันไม่ได้ ในการที่จะสร้างสันติภาพให้แก่โลก ขอให้บริจาคความเห็นแก่ตัวออกไปเสียเท่านั้น มันก็จะไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่

นายทุนก็เห็นแก่ตัว กรรมกรก็เห็นแก่ตัว แล้วก็สงวนความเห็นแก่ตัวอย่างเฉียบขาด มันก็ไม่มีความถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ที่จะทำให้เกิดสันติสุข สันติภาพได้

เมื่อเห็นแก่ตัวแล้ว ก็ทำไปตามกิเลสของตัวด้วยกันทั้งนั้น ประชาธิปไตยชนิดไหน ถ้ายังเห็นแก่ตัวอยู่ ก็ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น ประชาธิปไตยแบบเสรีนายทุน หรือประชาธิปไตยแบบชนกรรมาชีพกรรมกร ถ้ามีความเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว ล้วนแต่เป็นผลร้ายกาจแก่สันติภาพของโลกด้วยกันทั้งนั้น

ประชาชนเห็นแก่ตัวยิ่งกว่าเห็นแก่ชาติ นี้ก็ยังมีอยู่มาก นักการเมืองเห็นแก่ตัวยิ่งกว่าเห็นแก่ชาติก็มีอยู่โดยมาก นักการเมืองเห็นแก่ตัว เห็นแก่พรรคของตัว โดยไม่เห็นแก่ชาติก็โต้แย้งทัดทาน ก็ทำการหมายมั่นไปแต่เพื่อประโยชน์ของตัวหรือพรรคของตัว อย่างนี้ไม่มีทางที่จะเป็นไปเพื่อสันติภาพ คือบางกรณีหรือในบางที่บางแห่ง ที่ไม่ขอระบุแต่ว่าได้มีอยู่จริง รัฐบาลกับรัฐสภา ในบางคราวดูจะพูดกันแต่เรื่องเห็นแก่ตัวของแต่ละฝ่าย โดยไม่อาจจะปรองดองใด ๆ กันได้ นี่ก็เพราะความเห็นแก่ตัว
ในที่สุด มามุ่งกันทำลายความเห็นแก่ตัว เพิกถอนความเห็นแก่ตัว ด้วยการบริจาคที่แท้จริง โดยถือธรรมะเป็นหลัก ถือกฎของธรรมชาติเป็นหลักที่ว่า ถ้ายังเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว สร้างสันติภาพไม่ได้ มีแต่จะหาประโยชน์ของตนบนประโยชน์ของผู้อื่นอยู่เรื่อยไป มันเป็นไปไม่ได้ที่ว่าเห็นแก่ตัวแล้วจะมีสันติภาพ คือพอสักว่าไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ผู้อื่นก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

เดี๋ยวนี้เราไม่เห็นแก่ผู้อื่น หรือไม่เห็นแก่ความถูกต้อง ไม่เห็นแก่ความเป็นธรรม เพราะมี
ความเห็นแก่ตัวหนาแน่นมากเกินไป พอไม่เห็นแก่ตัวก็จะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ ขอให้นึกถึงคำว่าอัตโนมัติ เมื่อไม่เห็นแก่ตัว ก็จะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ จะเห็นแก่ธรรมะหรือความถูกต้องโดยอัตโนมัติ หมดความเห็นแก่ตัวในโลกแล้ว นายทุนกระดาษซับก็จะหายไป จะเหลืออยู่แต่เศรษฐีใจบุญ คือคนมั่งมีที่เอาส่วนเกินแห่งทรัพย์สมบัติความสุขของตัวนั้นออกตั้งเป็นโรงทาน เพื่อให้โรงทานหล่อเลี้ยงผู้ยากจน นักบวชบรรพชิตหรือผู้ที่ควรจะหล่อเลี้ยงโดยทั่วไป อย่างนี้เรียกว่า “เศรษฐีใจบุญ”

แต่ถ้าคนมั่งมีใช้ทรัพย์ของตน ๆ เพื่อประโยชน์แก่การที่จะดูดซับเอาประโยชน์ของผู้อื่น อย่างลึกลับซับซ้อนง่ายดายเหมือนกระดาษซับที่ซับน้ำ ซับน้ำหมึก ใคร ๆ ก็เห็นนายทุนกระดาษซับที่ใช้กลอุบายดูดซับประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตน โดยทำนองนั้นจึงขอเรียกในที่นี้ว่า “นายทุนกระดาษซับ”

พอหมดความเห็นแก่ตัวออกไปเท่านั้นแหละ นายทุนกระดาษซับก็เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อไม่มีนายทุน คอมมิวนิสต์ก็สลายตัวเอง โดยไม่ต้องปราบ ขอให้คิดปราบคอมมิวนิสต์โดยชนิดที่อย่ามีนายทุนขึ้นมาในโลกเถิด คอมมิวนิสต์ก็จะตายเอง ไม่ต้องปราบ จะสลายตัวเอง
เดี๋ยวนี้ ถ้ายังมีนายทุนกระดาษซับอยู่เรื่อย ๆ ไป ก็เป็นธรรมดาที่มันจะต้องเกิดคอมมิวนิสต์ แล้วมันก็เป็นการสมควรแก่ฝ่ายมนุษย์อีกพวกหนึ่ง ที่ยากจนข้นแค้นมันก็ธรรมดา ที่จะต้องมีการต่อสู้ ผู้ที่ยึดถือยึดครองประโยชน์ของตัว ที่ควรจะได้แก่ตัวไว้มากเกินไป นายทุนกระดาษชนิดนี้ก็จะหายไป เศรษฐีใจบุญก็จะเกิดขึ้นแทน กรรมกรทั้งหลายก็จะกลายเป็นลูกหลานผู้กตัญญูของเศรษฐีใจบุญมีส่วนร่วมในการบริจาคทานตามหลักการของเศรษฐี ในยุคที่ไม่มีนายทุนกระดาษซับ มีแต่เศรษฐีใจบุญ ก็ เลี้ยงข้าทาสกรรมกรไว้มากมาย ผลิตด้วยกันกินอยู่ด้วยกัน ไปวัดด้วยกัน ทำบุญด้วยกัน และมีความเห็นร่วมเป็นอันเดียวกัน ว่าทรัพย์ที่เหลือนั้นจะตั้งโรงทาน



มีต่อคะ

DAO
11-18-2008, 12:21 PM
เศรษฐีแท้จริงก็มีโรงทาน และมีหลาย ๆ โรง กรรมกรก็รู้สึกว่าทำเงินให้เศรษฐีนี้ เพื่อไปตั้งโรงทานเป็นการได้บุญด้วย ไม่มีนายทุนกระดาษซับอย่างนี้แล้ว คอมมิวนิสต์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร เหลืออยู่แต่กรรมกรชนิดเป็นลูกหลานผู้กตัญญู มีส่วนร่วมในการบำเพ็ญทาน นี่เราจะกลับไปสู่ยุคอย่างนั้นได้อย่างไร นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ในทีนี้ขอบอกกล่าวถึงประโยชน์อานิสงส์อันสูงสุดแห่งความไม่เห็นแก่ตัว อันจะทำให้นายทุนกระดาษซับหมดไปจากโลก ด้วยการบริจาค คือจะทำให้กลายเป็นเศรษฐีใจบุญขึ้นมาเต็มโลก ด้วยการบริจาค ทำให้กรรมกรเป็นลูกหลานที่กตัญญูของเศรษฐีผู้ใจบุญ เสียสละอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์แห่งการเป็นอยู่ แล้วเอาส่วนที่เหลือมาตั้งโรงทานด้วยกัน


นี่แหละคือผลของการบริจาค ปริจฺจาคํ ลองบริจาคกันทั่วไปหมดเถิด โลกนี้ก็เป็นโลกของพระศรีอาริยเมตไตรย โดยไม่ต้องสงสัย


บริจาค – บริจาคนั้น มันไม่ใช่ให้ทาน เพื่อเอาผลตอบแทน เพื่อสวยเพื่อรวย เพื่อให้มีชื่อเสียง เพื่อมีสวรรค์วิมานในเทวโลก ทานมันไปตามแบบนั้น หรืออย่างบริสุทธิ์ก็อยู่กันด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เจือจาน แต่ก็ยังไม่สามารถจะครอบงำกิเลสที่มาจากความเห็นแก่ตน ยังอยากดีกว่า สวยกว่า รวยกว่า อะไรกว่าอยู่เสมอ แล้วก็ไม่ได้ทำด้วยความที่ไม่หวังอะไรตอบแทน แต่หวังอะไรตอบแทนอยู่ตลอดเวลา
ทาน เกี่ยวกับสิ่งของภายนอก และหวังของตอบแทน


บริจาค ตอบแทนภายใน ด้วยสิ่งที่ไม่ควรอยู่ในภายใน ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยแห่งโรคจิต โรคประสาทไปเสียทั้งนั้น แล้วไม่ต้องมีผู้รับดอก ดูให้ดี ๆ มันน่าหัว ให้ใครจะเอากิเลสไปให้ใคร ใครมันจะเอา ทานกับบริจาคต่างกันคนละทิศทางอย่างนี้ ขอให้สนใจในคำว่า “บริจาค บริจาค” อย่างถูกต้องเถิด
ขอออกความคิดเห็นถึงการที่จะกำจัดความเห็นแก่ตนออกไปจากโลก ขอให้ทุกคนร่วมมือกันบริจาค บริจาคความเห็นแก่ตน บริจาคสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในจิตใจ มีแล้วเป็นปัจจัยแห่งโรคจิต โดยขอให้ศาสนาทุก ๆ ศาสนา ไม่ว่าศาสนาไหนมาร่วมมือกันกระทำให้สมาชิกแห่งศาสนานั้น ๆ หมดความเห็นแก่ตัว ไม่มัวขัดแย้งกันแม้แต่ในระหว่างศาสนา แล้วยังพร้อมเพรียงกันที่จะอบรมสั่งสอนสมาชิกแห่งศาสนาให้ไม่เห็นแก่ตัว ทุกศาสนามีหัวใจแห่งศาสนาเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัวด้วยกันทุกศาสนา
ถ้าเป็นศาสนามีพระเจ้า ก็ถือว่าพระเจ้าต้องการไม่ให้เห็นแก่ตัว ต้องการให้เห็นแก่พระเจ้า อะไร ๆ ก็เอาไปมอบให้แก่พระเจ้าเสีย อย่าเอามาเป็นของกูของกู อย่างนี้ก็ยังทำได้ ศาสนานั้น ๆ ก็มีวิธีการตามแบบนั้น ๆ ทาน..ทำ


ส่วนพุทธศาสนา เรามีคำสอนเรื่องมันไม่มีตัวตน ไม่มีตน เป็นความว่างจากตัวตน มีแต่สิ่งที่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ


สรุปความว่า พุทธศาสนาสอนเรื่องไม่มีตัวไม่มีตน เมื่อไม่มีตัวไม่มีตนโดยแท้จริงแล้ว จะเห็นแก่ตนได้อย่างไร คิดดูเองก็แล้วกันข้อนี้ ก็คือไม่เห็นแก่ตนแล้วก็เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ธรรมะ
“ธรรมะ” แปลว่าหน้าที่ หน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอด
“ธรรมะ ธรรมะ” คำนี้ เขาพูดกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด
ธรรมะ ธรรมะ คำสั่งสอนของผู้สอนเหล่านั้น ๆ หมายถึง หน้าที่ ที่เกิดมีมนุษย์คนแรกสังเกตเห็นว่า สิ่งที่เรียกว่า หน้าที่ หน้าที่ นี้สำคัญที่สุด ไม่ทำก็คือตาย จึงมาบอกเพื่อนฝูง เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายว่า มีสิ่งสำคัญสูงสุดคือธรรมะ หรือหน้าที่ในภาษาไทย ธรรมะในภาษาอินเดียโบราณ ธรรมะคือการกระทำหน้าที่ ไม่ใช่อยู่เฉย แล้วก็ทำอย่างถูกต้อง แล้วก็ทำอย่างที่เรียกว่าเป็นไปเพื่อความรอด ไม่ใช่เพื่อสร้างความวิบัติพินาศขึ้นมาเพราะความเห็นแก่ตัว


หน้าที่ หน้าที่นี้เป็นสิ่งสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าทรงเคารพ เป็นพระพุทธเจ้าแล้วยังมีสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าทรงเคารพ เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วใหม่ ๆ ท่านสงสัยขึ้นมาว่า จะเคารพใคร ในที่สุดก็ตกลงพระทัยเคารพหน้าที่เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า เคารพหน้าที่ของพระพุทธเจ้า คือหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอดพ้น ท่านมีหน้าที่ที่จะสอนผู้อื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือสอนให้รู้หน้าที่ที่ถูกต้อง เพื่อความรอดพ้นอันสูงสุด
ดังนั้น จึงสอนต่อยอด ต่อยอดจากที่เขาสอนกันอยู่แล้วเรื่องหน้าที่ต่ำ ๆ นั้น หรือกลาง ๆ ก็ดี ให้สูงสุดขึ้นไปจนถึงกับหมดความเห็นแก่ตัวตน ไม่เห็นแก่ตัวตนเป็นพระอรหันต์อย่างที่รู้กัน คำสอนหน้าที่อันดับสูงสุด แล้วท่านเคารพหน้าที่อย่างเหลือประมาณ
อย่างเราจะมองดูกันว่า ก่อนรุ่ง พระพุทธเจ้าใคร่ครวญว่า วันนี้จะไปโปรดใครให้สำเร็จประโยชน์ เพราะเห็น ๆ อยู่ทุกวัน พอรุ่งเช้าก็ไปทางนั้น ไปหมู่บ้านชาวนา ไปหมู่บ้านคนร่ำรวย แม้กระทั่งไปในสำนักเดียรถีย์อื่น ซึ่งมิใช่พุทธศาสนา เรียกว่าเดียรถีย์อื่นก็มี จึงได้เกิดการพูดจาสนทนาได้ประโยชน์ ตามที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย แม้จะไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร เพราะทรงมุ่งหมายถึงที่สุด ทำดีถึงที่สุด แต่ที่บันทึกอยู่ในที่ทั่วไป ปรากฏว่าประสบความสำเร็จ


ครั้นเที่ยงแล้ว พักผ่อนหน่อยหนึ่งแล้ว ตอนบ่ายก็สอนประชาชนที่ไปหาถึงที่วัด ตลอดบ่ายตลอดเย็น พอค่ำลงก็สอนภิกษุสามเณรประจำวัด พอดึกก็สอนเทวดา ซึ่งกล่าวไว้ว่าเทวดาราชามหากษัตริย์ทั้งหลายก็ดี เทวดาจากสวรรค์ก็ดี ล้วนแต่มาเวลาเที่ยงคืนทั้งนั้น อย่างเช่น สามัญญผลสูตรนี้ อ่านดูมีพระราชายกกองทัพคบเพลิงไปทูลถามปัญหา เมื่อแก้ปัญหาให้เทวดา พักผ่อนหน่อยหนึ่งแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะเล็งญาณส่องโลก ส่องตรวจดูโลก ว่าวันนี้จะไปสอนใครที่ไหน นี่ทรงถืออย่างนี้ เป็นกิจจะลักษณะโดยแน่นอน จะมีเหตุขัดขวางบ้างนั้นก็เป็นธรรมดา ก็ถือเป็นหลักปฏิบัติอย่างนี้เป็นแน่นอน ตามตำนานที่ปรากฏอยู่


ขอให้สังเกตดูว่า วันนี้ค่ำลงจะปรินิพพานอยู่แล้ว ตอนกลางวันยังเสด็จดำเนินเป็นโยชน์ ๆ พูด ง่าย ๆ คนจะตายอยู่หยก ๆ คืนนี้แล้ว กลางวันยังดำเนินทำหน้าที่ทำตามหน้าที่อยู่เป็นโยชน์ ๆ พอถึงเวลาค่ำที่จะปรินิพพานอยู่แล้ว ก็ยังโปรดปริพพาชกอีกคนหนึ่งที่เข้ามาทูลถาม เข้ามาขอความช่วยเหลือ พระสงฆ์ทั้งหลายห้ามว่า อย่ามากวน อย่ามากวน จะปรินิพพานอยู่แล้ว ท่านยังไม่ยอม ท่านยังบอกว่า เข้ามา เข้ามา เอาตัวเข้ามา ให้เอาตัวเข้ามา แล้วก็ตรัสสอนปริพพาชกนั้นจนสำเร็จประโยชน์จนได้เป็นพระอรหันต์
นี่เรียกว่าท่านทำหน้าที่ถึงวินาทีสุดท้ายอย่างนี้ พวกเราทำกันหรือเปล่า ถ้าพวกเราทำหน้าที่กันครบวงจรอย่างนี้ตลอดวินาทีสุดท้ายอย่างนี้ นั่นก็หมายความว่า ได้บริจาคความเห็นแก่ตัวออกไปหมดสิ้น บริจาค บริจาค บริจาคความเห็นแก่ตัว คือความรู้สึกไม่ควรจะมีอยู่ในใจออกไปเสียจนหมดสิ้น


ขอให้สนใจคำว่า “บริจาค บริจาค” อันเป็นทศพิธราชธรรมข้อที่ ๓ เป็นการบริจาคภายใน ทำให้การบริจาคภายนอกเป็นของบริสุทธิ์ ให้คนที่บริจาคทานซื้อสวรรค์วิมาน ตักบาตรช้อนหนึ่งเอาวิมานหลังหนึ่ง ก็จะได้หยุดคิดอย่างนั้น คือจะบริจาคความเห็นแก่ตนออกไปด้วยการบริจาคของภายนอก ด้วยความหวังจะทำลายความเห็นแก่ตัวในภายในออกไป นี่มันจึงบริสุทธิ์


ทานภายนอกบริสุทธิ์ เพราะมีการบริจาค ในภายในทานยังมีส่วนแห่งความเห็นแก่ตัว มีตัวผู้ให้ มีตัวผู้รับ มีตัวทั้ง ๒ ฝ่าย ถ้าบริจาคต้องไม่มีตัว ต้องไม่เห็นแก่ตัว ต้องไม่มีตัวทั้ง ๒ ฝ่าย นี่เรียกว่าต่างกันมาก
บริจาคความไม่เห็นแก่ตัวออกไป ออกไป ออกไป ก็ไม่มีความเห็นแก่ตัวเหลือ บริจาคตัวตน ให้เขาบริจาคตัวตน ด้วยการบริจาคตัวตน ก็มีผลถึงพระนิพพานในที่สุดแล้วจะเอาอะไรกันอีกเล่า
การศึกษาจะช่วยได้มาก ถ้าในโลกนี้มีการศึกษาให้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง คือทำลายความเห็นแก่ตัวแล้ว โลกนี้จะรอด เดี๋ยวนี้โลกยังมีการศึกษาที่เปรียบเหมือนสุนัขหางด้วน มีเพียง ๒ อย่าง คือให้วิชาความรู้ฉลาด และให้วิชาอาชีพไปทำกินให้ร่ำรวย แต่ไม่มีวิชาที่จะเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง คือ บังคับความเห็นแก่ตัวอย่างถูกต้อง อย่างสมแก่ความเป็นมนุษย์ ซึ่งแปลว่า สัตว์ผู้มีใจสูง ถ้าการศึกษาของโลกสอนกันให้ถึงการบริจาค บริจาค บริจาคความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเช่นนี้แล้ว โลกก็จะมีการศึกษาที่สมบูรณ์ จะไม่เกิดปัญหายุ่งยากลำบาก เพราะความเห็นแก่ตัวอย่างที่มีอยู่ในบัดนี้


หวุดหวิดเต็มที่แล้ว ที่จะใช้อาวุธอันร้ายกาจที่สุดนั้น ออกทำลายล้างกัน ถ้าความเห็นแก่ตัวยังคงมีอยู่ และแก่กล้าขึ้นไป สักวินาทีหนึ่งเขาก็จะอดกลั้นไว้ไม่ได้ ก็จะใช้อาวุธอันร้ายกาจนี้ทำลายล้างกัน แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร ทาน..ทำอย่างไรจึงจะได้บุญมาก : ๒๑
ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจในคำว่า “ความเห็นแก่ตัว” เห็นแก่ตัวอยู่คนเดียว ก็เป็นทุกข์นอนไม่หลับอยู่คนเดียว อึดอัดอยู่คนเดียว ความเห็นแก่ตัวพาดพิงไปถึงคนอื่น ก็ทำลายบุคคลอื่น เอาเปรียบบุคคลอื่น ความเห็นแก่ตัวเป็นไปทั่วโลก โลกนี้ก็เป็นโลกของความเห็นแก่ตัว แบ่งออกเป็นซีก ๆ ส่วน ๆ
แล้วก็ปะทะคารมกันด้วยเรื่องความเห็นแก่ตัว เป็นเวทีแห่งประกวดการเห็นแก่ตัวกันเท่านั้นเอง เชื่อว่าไม่อาจจะสร้างสันติภาพใด ๆ ขึ้นมาได้
สรุปความแล้ว ถือเป็นหลักได้ว่า ทานไม่ใช่บริจาค คือมันเป็นของภายในของภายนอก เป็นของทางวัตถุ เป็นของทางจิตใจ


ทาน ยังมีตัวของตัวอยู่ทั้ง ๒ ฝ่ายอย่างซ่อนเร้นต้องการประโยชน์ตอบแทน และต้องตอบแทน อย่างนี้เป็นต้น
บริจาค เป็นรากฐานของทานที่แท้จริง ให้ทานบริสุทธิ์ เป็นบริจาคขึ้นมา กลายเป็นการบริจาคขึ้นมา บริจาคจะทำให้ทานทุก ๆ อย่างกลายเป็นถูกต้อง คือเป็นบริจาคขึ้นมา ฉะนั้น ขอให้ทุกคนสนใจในการทำลายความเห็นแก่ตัว ศัตรูอันร้ายกาจทั้งมนุษย์และเทวดา มนุษย์ก็ทะเลาะกัน เพราะความเห็นแก่ตัว เทวดาก็ทะเลาะกันเพราะความเห็นแก่ตัว ซึ่งมีเรื่องราวที่ชัดเจนอยู่ในเรื่องราวนั้น ๆ ว่าเทวดาก็ทะเลาะกัน เพราะความเห็นแก่ตัว


จงเป็นไทจากความเห็นแก่ตัว คือเป็นไทจากกิเลสข้อนี้ด้วยการบริจาคอันนี้ แล้วไทก็จะเป็นไทสมชื่อ มีอิสระที่จะพัฒนาตัวเองไปในทางที่ถูกต้อง ถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยไม่มีวิกฤตการณ์เลวร้ายใด ๆ เกิดขึ้นมาได้ เป็นไทจากความเห็นแก่ตัว นั่นคือ บริจาค เป็นไทแล้วก็สามารถทำสิ่งที่ถูกต้องได้ จะละอบายมุขได้ จะละความเกียจคร้าน ความเหลวไหลไม่มีงานทำได้ จะละได้ทุกอย่าง ทุกอย่าง ที่เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว
หวังว่าท่านสาธุชนทั้งหลายจะได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการบริจาคนี้ และชวนกันบริจาคให้กลายเป็นสิ่งประจำใจ ทำอะไรเป็นไปเพื่อความเห็นแก่ตัว จนไม่มีตัวเหลือ จนเป็นไปสู่พระนิพพาน แม้อยู่ในโลกนี้ก็ดำเนินกิจการในหน้าที่อยู่ได้ เป็นสุขทุกทิพาราตรีกาล เทอญ.



ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.dhammakid.com/board/index.php?PHPSESSID=de59314d1c7800c441bc65ef2e87ca96&topic=1094.0