PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : พลัง จิตว่าง หลวงพ่อพุธ



*8q*
12-06-2008, 01:00 PM
พลังจิตจิตว่าง ธาตุ ๔ และ ธาตุ ๖





ถาม :




พลังจิตสามารถใช้ประโยชน์อะไรบ้าง



หลวงพ่อ :




อันนี้ก็แล้วแต่พลังจิตของเรา ถ้าเรามีพลังจิตสามารถบังคับจิตใจคนอื่นได้มันก็เป็นไปได้ดี แต่ก็ด้วยประการใดก็ดี ผู้ที่มีสมาธิแล้วคำพูดมักจะศักดิ์สิทธิ์สามารถที่จะโน้มน้าวจิตของผู้อื่นได้ ถ้าหากสมมติว่าเราโกรธใครสักคนหนึ่งอย่าไปแช่งเขา ให้ทำสมาธิ ให้แผ่เมตตาให้เขามาก ๆ ในเมื่อเราแผ่เมตตาให้เขามาก ๆมันจะเกิดผลขึ้นมา ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเขามาดีกับเรา อย่างที่ ๒ ถ้าเขาไม่ยอมมาดีเขาก็พังไปเอง เราไม่ต้องแช่ง ถ้าแช่งแล้วเราก็เป็นบาปแล้วก็ทำให้เราเสื่อมคุณธรรมด้วย





ถาม :




ช่วยอธิบายคำว่าจิตว่าง หมายความว่าอย่างไร มีลักษณะอย่างไร



หลวงพ่อ :




คำว่าจิตว่างอยู่ลึก ๆ คือจิตหลุดพ้น อันนี้เป็นจิตหลุดพ้นจากอารมณ์สัญญา หรืออารมณ์ภายนอกแต่ถ้าหากจิตนั้นมีการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดก็มิใช่เป็นจิตหลุดพ้นจากอารมณ์ แต่เป็นจิตหลุดพ้นจากกิเลส แต่ถ้ามันว่าง ๆมันก็หลุดพ้นอยู่เฉพาะในขณะที่อยู่ว่าง ๆ
ถ้าว่าง ๆ แล้วออกมารู้อะไร ไม่มีอาการของกิเลสเกิดขึ้น ความยินดีไม่มีความยินร้ายไม่มี ความรัก ความชังไม่มี ความยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์ไม่มีอันนี้มันก็เป็นจิตหลุดพ้น แต่ถ้าออกมาแล้วมันก็เกิดมีกิเลสความยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์อยู่ รูปยังเป็นของเราเวทนายังเป็นของเราในความรู้สึกอยู่ อันนั้นจิตมันหลุดเฉพาะในขณะที่อยู่ว่าง ๆเป็นวิกขัมพนปหาน ข่มกิเลสด้วยกำลัง ฌานคือ สมาธิแต่เมื่อออกจากสมาธิแล้วก็มีกิเลสอยู่อย่างเก่า
ทีนี้ถ้าเราทำจิตได้อย่างนี้แล้ว เราทำบ่อย ๆ ความว่างนี้มันจะสะสมกำลังขึ้นมาแล้วมันจะเป็นความว่างตลอดกาล แต่ความว่างของจิตในขั้นนี้มันมีอยู่ ๒ ลักษณะลักษณะที่ ๑ ความว่างจากอารมณ์ คือ ไม่มีอารมณ์รู้สึก นึกคิดจิตไปตกกระแสอยู่ในความว่าง แล้วก็ว่างอยู่เฉย ๆ ว่างอีกอย่างหนึ่งนั้นในเมื่อจิตว่างแล้วเกิดความรู้ขึ้นมา แต่ไม่ยืดถือ ไม่ติดในสิ่งนั้นอันนี้คือความว่างจากกิเลสคือความยึดถือในอารมณ์ เป็นการปล่อยวางอารมณ์ของจิตพึงเข้าใจความว่างของจิตในลักษณะ ๒ อย่างดังที่กล่าวมา





ถาม :




การพิจารณาความเป็นธาตุ ๔ นั้น ใช้ได้เฉพาะกายเท่านั้นหรือ



หลวงพ่อ :




การพิจารณาความเป็นธาตุ ๔ในเบื้องต้น ใช้ได้เฉพาะกาย คีอเรากำหนดธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟในตอนนี้เราจะรู้สึกว่ากายเรามีอยู่ในตอนต้น เมื่อจิตพิจารณาธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟละเอียดลงไปถึงขนาดที่ว่าจิตมองเห็นกายนี้ สลายตัวไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟแล้วก็หายสาบสูญไป จิตยังเหลือแต่ความนิ่ง ว่าง สว่าง ในตอนนี้ จิตมันทิ้งวัตถุคือธาตุ ๔ ไปแล้ว แล้วจิตจะไปอยู่กับวิญญาณธาตุ และอากาศธาตุ ความว่างเป็นอากาศธาตุรู้เป็นวิญญาณธาตุ ตอนนี้เราพิจารณานาม นามก็คือตัวจิตที่รู้อยู่จิตรู้อยู่เฉพาะตัวก็เป็นนาม ถ้าหากในขณะนั้นมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งผ่านเข้ามาเป็นเครื่องรู้ของจิต ก็เป็นนาม เพราะมันไม่ใช่วัตถุเพราะฉะนั้น การพิจารณาธาตุ ๔ นี้ ถ้าพูดแต่เฉพาะธาตุ ๔ ก็ต้องพิจารณาเฉพาะ ดิน น้ำลม ไฟ ถ้าพิจารณาธาตุ ๖ ใช้คำว่าพิจารณาธาตุ ๖ ก็ต้องพิจารณา ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศวิญญาณ ธาตุทั้งหมดนี้มี ๖ ในเมื่อธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ดับไปแล้ว อากาศธาตุวิญญาณธาตุ หายไป คำว่า อากาศ ไม่ใช่ลม เป็นช่องว่างจิตในตอนนี้เมื่อมันถึงขั้นนี้แล้ว จะมองเห็นแต่ความว่างเปล่าตอนนี้ถ้าถึงขั้นนี้แล้ว นักกาวนาถ้าสติไม่ดีไปหลงความว่าง จะกลายเป็นโอภาสนิมิต เป็นวิปัสสนูปกิเลสท่านให้กำหนดรู้ลงที่จิตตัวผู้รู้ถ้ากำหนดตัวผู้รู้ได้อย่างแน่วแน่ จะไม่หลงความสว่าง หรืออากาศธาตุนั้น





ถาม :




สติเป็นจิตหรือเปล่า



หลวงพ่อ :




จิตเป็นแต่เพียงความรู้สึกรู้นึก รู้คิด รู้ร้อน รู้เย็น เท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกอาตมาขอถามดูสิว่า คนวิกลจริตเราเรียกว่าคนไม่มีสติใช่ไหม ใช่ค่ะแล้วเขามีจิตหรือเปล่า เขายังมีจิต พอจิตเขาไม่มีสติ เขาก็กลายเป็นคนวิกลจริตสติถ้าจะว่าโดยส่วนรวมแล้ว ถ้าจิตไม่มี อะไรก็ไม่มี ธรรมก็ไม่มี สติก็ไม่มี ศรัทธาวิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็ไม่มี ถ้าไม่มีจิตโดยธรรมชาติของคนเราจะต้องมีส่วนประกอบ๒ อย่าง คือ กาย จิต ทีนี้เมื่อมีจิตเพียงหนึ่ง ไม่มีกายเป็นส่วนประกอบทำอะไรไม่สำเร็จ แต่เมื่อมาก่อร่างเป็นตัว เป็นตน เป็นรูป เป็นร่างขึ้น มี ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วจิตอันนี้ก็อาศัยประสาท ๕ คือ ประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กายและหัวใจ ซึ่งเรียกว่า มันสมอง เป็นสื่อสัมพันธ์ ความรู้สึกนึกคิดซึ่งแสดงอาการออกมาด้วยการคิดดี และคิดชั่ว ดังนั้นสภาพความเป็นจริงของจิตนั้นเป็นแต่เพียงรู้สึก รู้นึก รู้คิด แต่หาระเบียบไม่ได้คิดเรื่อยเปื่อยไป แต่เมื่อมีสติเป็นเครื่องประกอบซึ่งเรียกว่า เจตสิกที่ประกอบอยู่ในจิต ถ้าคนมีสติอ่อน ๆ ก็กลายเป็นคนปัญญาอ่อน ถ้าคนมีสติเข้มแข็งก็กลายเป็นคนมีปัญญาโดยธรรมชาติ ถ้าสติที่ได้ฝึกฝนอบรมด้วยการเพ่งพินิจในเครื่องรู้อันเป็นอุบายให้เกิดกำลังกล้าขึ้นมา สติมีกำลังเราเรียกว่า "พลังจิต" เช่นนักใช้อำนาจจิตทั้งหลาย โดยปกติแล้วเป็นเพียงแต่ใช้การนึกอย่างเดียวแล้วจิตจะไม่มีพลัง ต้องอาศัยการฝึกหัดเพ่งเทียน เพ่งกสิณ อะไรก็แล้วแต่ในเมื่อจิตมีเครื่องรู้ จิตก็มีสติสัมปชัญญะดี จิตก็มีพลัง ถ้าหากอาศัยการเพ่งกสิณก็สามารถใช้พลังจิต ใช้ประโยชน์ในทางโลกได้ เช่นอาจใช้พลังจิตช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ อะไรต่าง ๆ เช่น หมอมนต์ไสยศาสตร์ทั้งหลายเป็นต้นว่า หมอต่อกระดูก ถ้าลำพังเพียงแต่นึกในจิตว่า ให้กระดูกต่อกัน ๆมันก็ไม่เกิดผล เขาจึงมีคาถาอาคมท่องบ่นเป่าลงไป กระดูกสามารถต่อกันได้คาถานั้นแหละ คือ เครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติเป็นส่วนประกอบให้จิตกับสติเกิดพลังขึ้นมา เพราะฉะนั้นจิตกับสติเราจึงต้องเข้าใจว่า จิตนี้ เพียงแต่นึก แต่คิด แต่หาความเป็นระเบียบไม่ได้แต่เมื่อมีสติเข้าประกอบเป็นเจตสิกแล้วความคิดของจิตมันจะเป็นระเบียบยิ่งขึ้นอย่างที่เรามาหัดภาวนานี้หัดเพื่อให้จิตของเราเกิดสติ มีสติเข้มแข็งขึ้นเพื่อจะได้จัดระบบความคิดของจิตให้มีระเบียบดีขึ้น จะปราศจากกันไม่ได้
ถ้าเราตั้งใจจะฟังคำพูดของผู้พูด เมื่อจิตของเราอยู่กับคำพูด ก็เหมือนเราขาดสติอันนี้ว่ากันโดยธรรมดา ๆ ทีนี้อีกอันหนึ่งไม่ใช่ลักษณะของการขาดสติอันนี้เกิดขึ้นสำหรับผู้ที่เคยภาวนาเป็นมาแล้ว ถ้าหากการฟังเทศน์ ถ้าจิตไม่ยอมรับก็เข้าไปสู่ความสงบ ในเมื่อสงบแล้ว ก็จะเข้าไปค้นคว้าตามหน้าที่ของมันถ้าเป็นแบบนี้ไม่ใช่เรื่องขาดสติ อย่างการฟังเทศน์ ฟังไป ๆถ้าหากว่าภูมิของผู้เทศน์กับภูมิของเราไม่ตรงกัน จิตจะไม่เอาไหนก็จะเข้าไปสู่ความสงบ แล้วก็เข้าไปค้นคว้าของมันเอง โดยไม่สนใจคำพูดของผู้พูดอันนี้ไม่ใช่ลักษณะของการขาดสติ แต่ถ้าเราตั้งใจให้จิตอยู่กับคำพูดของผู้พูดพอเสร็จแล้วไม่ใช่ลักษณะของความสงบ แต่มันลอยเลื่อนลืม ๆ ไปนี้เป็นลักษณะของการขาดสติ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นสิ่งมีคุณ มีประโยชน์และมีความจริงตามขั้นภูมิของเขาหลักวิชาไสยศาสตร์ก็มีความจริงตามขั้นภูมิของเขา เช่น มนต์ต่อกระดูกที่กล่าวมาแล้วความจริงก็ปรากฏเป็นส่วนมาก คือ ผู้ที่เขาเรียนแล้วก็สามารถต่อกระดูกได้แม้ในระดับชนชั้นปัญญาชน เช่น คุณหลวงศุภชลาศัยก็เก่งในวิชาต่อกระดูกอันนี้ถ้าเอาคาถามาท่องบ่นนั้นเป็นความผิดหรือไม่ ต้องอยู่ที่ความรู้จริงและความรู้เท่าเอาทันของผู้ใช้ พระพุทธเจ้าก็ใช้วิชาไสยศาสตร์ในคราวจำเป็นเคยได้ยินไหม พระพุทธเจ้าใช้วิชาไสยศาสตร์อะไรที่เราน้อมไปเพื่อผลตอบแทนในการท่องบ่นคาถาอาคม หรืออธิษฐานจิตอันนี้คือไสยศาสตร์และต้องการความสำเร็จ ถ้าเราไปไหว้พระ ก็เป็นไสยศาสตร์ถ้าเราท่องบ่นเพื่อกราบไหว้ อันนี้เรียกว่าเป็นการฝึกฝนอบรมจิต เป็นพุทธศาสตร์ล้วนๆ อาจจะเป็นคาถาในศาสนาพราหมณ์ที่เขาท่องบ่นก็ตามแต่ถ้าเราเอามาท่องเพื่อให้จิตเป็นสมาธิ ให้รู้แจ้งเห็นจริงโดยไม่ต้องขออะไรอันนี้เป็นพุทธศาสตร์ เราท่อง พุทโธ พุทโธ แล้วเราขอว่าภาวนาแล้วพอเลิกภาวนาขอให้ร่างลอยนั้น เป็นเรื่องของไสยศาสตร์พระพุทธรูปองค์เดียวนี้เป็นได้ทั้งไสยศาสตร์ และพุทธศาสตร์
ทำสมาธิก็เป็นไสยศาสตร์ เช่น พอทำสมาธิแล้ว ให้สามารถเกิดเป็นหมอดูได้มองหาทรัพย์สมบัติหรือใช้พลังจิตเพื่อจะใช้กดขี่ข่มเหงน้ำจิตน้ำใจของคนอื่นให้ตกมาอยู่ในอำนาจของตนนอกจากเป็นไสยศาสตร์แล้ว ยังเป็นมิจฉาสมาธิอีก แต่ถ้าทำไปโดยไม่หวังผลอะไรคือทำด้วยใจบริสุทธิ์แล้วเป็นพุทธศาสตร์ล้วน ๆ
ไสยศาสตร์ บางคนเรียนแล้วเกิดความยุติธรรม และอยุติธรรมขึ้นมา เช่นสมมติว่าใครก็ตามเรียนพวกเสน่ห์มหานิยม พระพุทธเจ้าว่าเป็น ดิรัจฉานวิชาเรียนเครื่องลางของขลังก็เป็น ดิรัจฉานวิชา ทำไมถึงว่าอย่างนั้นก็ท่านไปกำหนดเอาที่ว่า เมื่อเก่งแล้วขาดศีลธรรม ไม่มีศีลห้าอย่างเรียนมนต์เสน่ห์เก่งแล้วอยากได้ลูกสาวใครก็เอาสีผึ้งไปติดเธอ ให้เธอวิ่งตามอันนี้ไม่ยุติธรรมเป็นการกดขี่ข่มเหงคนที่เธอไม่เลื่อมใสศรัทธากับเอาวิชาไปข่มเหงเธอ เป็นการทำเยี่ยงสัตว์ดิรัจฉาน แต่ถ้ารู้ไว้แต่ไม่ทำอย่างนั้นพระองค์ก็ไม่ตำหนิ การทำสมาธิ เมื่อเราทำสมาธิมาดีแล้วไม่ว่าท่องคาถาบทไหนขลังหมดเช่น คาถาต่อกระดูกบทหนึ่งว่าไว้ว่า "จัตตาโร ยถา ปัตโต เอโก ปัตโต อธิฏฐามิ"เกิดขึ้นเมื่อท้าวมหาราชทั้ง ๔ เอาบาตร ๔ ใบ ไปถวายพระพุทธเจ้าทีนี้พระพุทธเจ้าจะอธิษฐานใช้ของใครอันใดอันหนึ่ง ก็กลัวจะเสียพระทัยจึงเอาบาตรทั้ง ๔ มารวมกันเข้า แล้วพระองก์อธิษฐานจิตว่า "จัตตาโร ยถา ปัตโตเอโกปัตโต อธิฏฐามิ" บาตรนี้มี ๔ ใบ เราอธิษฐานจิตเพื่อให้บาตรนี้มีรวมใบเดียวนี้คือพระพุทธเจ้าใช้ไสยศาสตร์ จะมีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์ก็ขึ้นอยู่กับขั้นภูมิของเราที่มีประโยชน์คือสำหรับผู้ใช้ให้เกิดศีลธรรมแต่ไปใช้ผิดศีลธรรมจนทำให้คนอื่นเดือดร้อนแล้วเรียกว่า ดิรัจฉานวิชาเพราะฉะนั้นวิชาอาคม หรืออาวุธ เช่น ปืน คนไม่มีศีลธรรมก็ใช้ในทางไม่ถูกต้อง
กิเลส เป็นเครื่องเศร้าหมองใจ แต่กิเลสก็เป็นสิ่งมีประโยชน์สำหรับคนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความอยาก อย่างเห็นได้ชัดในวันนี้ที่ท่านทั้งหลายตั้งใจมาฟังเทศน์นี้ นอกจากอยากจะรู้ธรรมะแล้ว ยังอยากจะได้บุญอยากจะไปสวรรค์ อยากจะไปนิพพาน สิ่งเหล่านี้เป็นอาการของกิเลสทั้งนั้นแต่ว่าที่เรามีกิเลสนี้เป็นสิ่งกระตุ้นเตือนความรู้สึกของเราให้เกิดความกระตือรือร้น เช่นผู้ที่จะสร้างโลกหรือสร้างหลักฐานให้มั่นคง ก็อาศัยกิเลสโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวตัณหานี่แหละคือความทะเยอทะยานมันเป็นสิ่งกระตุ้นเตือนจิตใจของคนให้อยากได้ อยากดี อยากเป็นซึ่งเป็นวิสัยของฆราวาสผู้ครองเรือน ถ้าฆราวาสหมดจากกิเลสแล้วโลกจะเสื่อมต้องรักษาความอยากเอาไว้แต่เมื่อเราจะใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง คือเกิดประโยชน์แก่ตนเองด้วย แก่ผู้อื่นด้วย หมายถึงว่า ไม่ทำตัวเองให้เดือดร้อนไม่ทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อน เราก็ควรจะมีศีล เป็นขอบเขตของการใช้กิเลสถ้าหากว่าใครจะใช้กิเลสไปในทางไหนก็ตาม ให้นึกถึงศีล ๕ ข้อ อยากรวย อย่าริเป็นขโมยอยากรวย อย่าริเป็นโจรปล้น อยากรวยอย่าฉ้อโกง โดยเอาศีลข้อ อทินนาทาน มาเป็นขอบเขตนี่ยกตัวอย่างให้ฟังเพียงข้อเดียว นอกนั้นคิดเอาเอง
และอีกอันหนึ่งที่ชาวพุทธเข้าใจผิด และตำหนิพระพุทธเจ้าซึ่งหลายปีมาแล้วได้ยินท่านผู้รู้ท่านหนึ่งเขียนบทความไปอ่านในที่ประชุมของเจ้าคณะจังหวัด ๗๑ จังหวัด สมัยนั้นมีเพียง ๗๑จังหวัด มีข้อความตอนหนึ่งว่า คำสอนในพระพุทธศาสนาบางอย่างพระสงฆ์ไม่ควรนำมาสอนประชาชน เพราะจะทำให้ประชาชนขี้เกียจงอมืองอเท้า เช่นคำว่า สันโดษ เป็นต้น อันนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าชัด ๆ คำว่าสันโดษ แปลว่าความพอ ไม่ได้หมายความว่า พอเฉพาะเท่าที่มีอยู่แต่พอตามสติปัญญาความสามารถของตน มาไขความอยู่ตอนนี้ใครจะมีความสามารถใช้สติปัญญาของตนเอง เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง หรือส่วนรวม ขนาดไหนอย่างไร ใช้ไปเถอะ รวมแล้วคืออย่าให้เกินขอบเขตของศีลห้าก็แล้วกันศีลห้าข้อนี้นอกจากเป็นขอบเขตของการใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์แล้วยังเป็นอุบายตัดผลเพิ่มของบาปกรรม วันนี้เรามีศีลห้าบริบูรณ์ถ้าเรายึดศีลห้าเป็นหลักปฏิบัติตลอดไป
บาปกรรมที่จะเพิ่มผล อันเป็นวิบากที่เราจะต้องไปรับในกาลข้างหน้านั้นมีเท่าไรก็ยุติอยู่เพียงแค่นี้ ถ้าหากเราไม่เคร่งในศีล ๕ ข้อเราไปละเมิดข้อใดข้อหนึ่งเรียกว่า บาปเก่า แทนที่จะมีน้ำหนักเพียงกิโลเดียวถ้าไปทำเพิ่มก็หนักเพิ่มขึ้นไปอีก ทำทีไรก็เพิ่มขึ้นทุกที ถ้าเรางดเว้นไม่ทำแล้วก็ยุติเพียงแค่นี้ ส่วนที่มีแล้วก็แล้วไป กาลข้างหน้าเราไม่ได้ทำ เราทำแต่ความดีผลเพิ่มของบาปก็ไม่เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น หลักการทำความดีนี้ก็ คือ เราต้อง ทำดีทำดี ทำดี อย่างเดียวเท่านั้น ในเมื่อตั้งใจแต่จะทำดีอย่างเดียว มันก็ดีไปเรื่อย ๆเพราะเราไม่ได้ทำความชั่วมาเป็นเครื่องถ่วงความดี
ถ้าเป็นวัตถุ บุญกับบาป เมื่อชั่งน้ำหนักก็มีน้ำหนักเท่ากัน บุญเป็นของเบาบาปเป็นของหนัก อันนี้เป็นโวหารในทางเทศน์ เป็นข้อเปรียบเทียบให้ผู้ฟังเข้าใจการเรียนไสยศาสตร์ราศีดำ ไม่ใช่ราศีเขาดำเพราะการเรียนไสยศาสตร์แต่ดำเพราะใช้ไสยศาสตร์ไปทำความชั่ว เรียกว่าไปทำในสิ่งที่ไม่ยุติธรรม ก็เป็นบาปบาปก็ทำให้ผู้ทำนั้นหมดสง่าราศี ไสยศาสตร์มันเป็นของกลาง ๆ พูดเฉพาะหลักวิชาแต่ทำให้คนหน้าดำ หน้าแดง หรืออะไรได้ทั้งนั้น แต่ที่แน่ ๆ คือใช้ไสยศาสตร์ไม่ถูกทาง นั่นคือคนที่ทำความชั่วบ่อย ๆ ผิวหน้าเขาจะไม่ผ่องใส ดำความไม่คิดอย่างนั้น จะมีอาการอะไรเกิดขึ้นก็ตามกำหนดรู้จิตกับบริกรรมภาวนาเท่านั้นแล้วจิตก็ค่อยสงบลงไปเอง ถ้าเราไปแปลกใจหรือไปเอะใจทักท้วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น จิตจะถอนจากสมาธิ
อาจารย์บางองค์ที่ปลุกเสกของในพาน พอปลุกเสกได้ที่แล้ว ของนั้นจะกระโดดบางทีก็กระโดดตีกัน ในสายลูกศิษย์ของอาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่นนี่มีอยู่องค์หนึ่งแต่องค์นั้นไม่ได้ตั้งใจจะปลุกเสก ไม่ได้เรียนไสยศาสตร์อะไรถ้าท่านภาวนาจิตสงบลงไปแล้ว ถ้วยที่อยู่ใกล้ ๆ ตัวท่าน ห่างประมาณ ๑ เมตรกระโดดตีกันโผงผางขึ้นมา เป็นแบบนี้ก็มีได้ อำนาจของจิตเป็นสิ่งที่มีพลังมากพระพุทธเจ้าจึงกำหนดขอบเขตเอาไว้ว่า มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิการเริ่มต้นด้วยการภาวนานี้ ก็จะให้มีศีลและเจริญเมตตาเพื่อฝึกหัดจิตของผู้ภาวนาให้มีความรู้สึกละอายต่อบาปอกุศล

http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=25098