เข้าสู่ระบบ

แสดงเวอร์ชันเต็ม : เรื่องดีมีสาระ และประโยชน์สำหรับผู้อ่าน (ใครมีเรื่องดีๆ ก็มาลงที่นี่น่ะครับ)



noppakorn
01-07-2009, 03:49 PM
ถ้าไม่ล็อกประตูรถอะไรจะเกิดขึ้น ?

เรื่องที่ 1 เหตุเกิดตอนประมาณ 21.00 ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
ผมเป็นคนที่สังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวอยู่เสมอ ดังนั้นหากมองเผินๆเหมือนกับว่าผมเดินไปดื่มน้ำในมือไปเรื่อยเปื่อย
สิ่งที่ผมรู้สึกก็คือ รู้สึกว่ามีคนเดินตามผมห่างๆแต่ผมยังไม่คิดอะไรในทีแรก
เพราะคงเป็นผู้มาใช้บริการที่จอดอยู่ชั้นเดียวกัน
อีกอย่างที่รถที่จอดชั้นเดียวกับผมนี้ยังค่อนข้างเยอะ
บังเอิญว่าผมอยากจะทิ้งแก้วน้ำในมือก็เลยมองหาถังขยะ
ซึ่งมันไม่ค่อยมีหรอกตามที่จอดรถ
เพราะทางศูนย์การค้าพวกนี้เค้ากลัวเรื่องการรอบวางระเบิด
ระหว่างที่ผมเดินหาที่ทิ้งในดวงใจอยู่นั้น
;ผมก็เดินเลยที่จอดรถตัวเองไปหลายคันเหมือนกัน แต่ก็ไม่มี
จะทิ้งมั่วๆมันก็น่าเกลียด
ก็ตัดสินใจว่าเอาไปไว้ตรงที่วางแก้วในรถก่อนก็ได้
( ซึ่งตลอดเวลาไอ้บ้านี่ก็ยังเดินตามผมอยู่)
พอหมุนตัวจะกลับมาที่รถตัวเอง
ไอ้บ้านี่มันก็ทำเป็นเดินให้เลยผมไปก่อน
แล้วก็หยุดเหมือนมองหารถมันว่าจอดไหน ไอ้ช่วงที่หมุนตัวกลับมานี่เอง
ที่ผมเห็นมันชัดๆว่า สภาพมันไม่ใช่ลักษณะคนขับรถเก๋งแน่นอน
คือมันมีสายร้อยกุญแจแบบ Flex( สายที่วนๆคล้ายสปริง)กับกุญแจดอกเดียว
ใส่แจ๊คเก็ตสีดำ แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าเป็นผู้ไม่หวังดีรึเปล่า
ก็เลยแกล้งทำเป็นเดินเลยรถตัวเองอีกสักสี่ห้าคัน
แล้วไปหยุดทำท่าทางจะไขกุ ญแจรถคันหนึ่ง ซึ่งมันก็รีบเดินตามกลับมา
คงกลัวว่าจะไม่ทันเดี๋ยวผมขึ้นรถไปเสียก่อน
แต่ผมก็ทำทางเป็นเปลี่ยนใจอีกครั้งมองหาที่ทิ้งแก้วน้ำ
แล้วเดินสวนกับมันในระยะที่ปลอดภัยสำหรับผมเอง
แต่เป็นอันตรายสำหรับมันเพราะผมก็พร้อมอยู่แล้ว
แน่นอนว่าผมเดินกลับไปหารถผมเองอย่างแท้จริง ซึ่งคราวนี้มันหลงกลผมเต็มๆ
เพราะมันไปยืนอยู่ท้ายรถคันที่ผมทำท่าจะไขประตู
มันไปยืนแบบแอบๆเพราะเดี๋ยวผมต้องกลับมาแน่นอน
แต่คราวนี้ผมเดินไปปั๊บ กดรีโมทปุ๊บ ขึ้นรถได้ผมก็สตาร์ทเครื่อง
กดเซ็นทรัลล็อค ขณะที่ผมขับออกไป ผมมองไปที่มันซึ่งกำลังทำหน้างงๆ
แต่ไม่กล้ามองแบบเต็มๆนัก เห็นหน้าตามันเหวอๆ ผมก็เลยคิดว่ายังไงต้องแจ้ง
ร.ป.ภ. ไว้ก่อน ไม่ว่ามันจะใช่อย่างที่ผมคิดหรือไม่ก็ตามแต่เพื่อความปลอดภัยของคนอื่นๆ
ผมขับเลยไปจอดตรงที่คืนบัตรจอดรถ แล้วแจ้งทางเจ้าหน้าที่ห้าง
รวมทั้งนำเจ้าหน้าที่ 4 คนไปเองด้วย
เพราะผมรู้อยู่คนเดียวนินา ไปเจอมันผลุ๊บๆโผล่ๆอยู่
ทางเจ้าหน้าที่จึงตรงเข้าไปสอบถามว่า ทำอะไร
มันตอบว่าไงรู้ไหมครับ......มันมาซื้อของแต่จำไม่ได้ว่าจอดรถไว้ตรงไหน
แต่พอสักไปสักมาว่ารถยี่ห้ออะไร ทะเบียนอะไร มันก็อึกอักตอบมาว่า
มันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เอามอเตอร์ไซด์มา มั่วๆแล้วก็แถ
พอเจ้าหน้าค้นตัวก็พบมีดปอกผลไม้หนึ่งเล่ม ทีนี้หน้ามันซีดอย่างชัดเจน
ที่จริงหน้าผมก็ซีดครับ ผมก็เลยบอกให้เจ้าหน้าที่คุมตัวแล้วแจ้งตำรวจเพื่อขยายผลต่อไป......
ต้องระวังนะครับ อย่าประมาทเด็ดขาด ถ้าเป็นสุภาพสตรี อย่าลีลาอย่างผม
เพราะไม่คุ้มแน่นอนถ้าเราพลาด
เป็นห่วงทุกคนนะครับ
โจ

noppakorn
01-07-2009, 03:53 PM
(ต่อ)

เรื่องที่ 2 อ่านเรื่องข้างล่างแล้วระวังตัวให้มากๆนะคะ
เพราะพี่ต่อก็เคยโดนลักษณะเดียวกัน โดยขับรถกลับบ้านตนเดียวประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ
พอเข้าซอยรู้สึกว่ามีรถมอเตอร์ไซด์ขับตามมา และเลี้ยวเข้าซอยเดียวกัน
และตามมาเรื่อยๆ พอพี่ต่อจอดรถหน้าบ้านเขาก็ขับเลยเข้าไปในซอยซึ่งเป็นซอยตัน
และเลี้ยวกลับมาจอดอยู่ใกล้ๆ และลงมาเปิดประตูข้างคนขับที่พี่ต่อนั่งอยู่
พอดีคอยระวังอยู่แล้วและคอยมองอยู่ และรถก็ล็อคอยู่ เขาจึงเปิดไม่ได้
แต่ทำท่าบุ้ยใบ้ให้เราเปิดประตูเหมือนจะถามอะไร
พี่ต่อก็เลยบีบแตรดังมากๆหลายครั้ง แล้วโบกมือให้รู้ว่าไม่เปิด
พอดีแม่บ้านเดินมาที่ประตู เขาก็รีบเดินไปขึ้นรถขับออกไป
ทั้งหมดนี่เกิดขึ้นเร็วมากนับจากที่จอดรถหน้าประตูบ้าน ประมาณ 2-3 นาทีเท่านั้น
ปกติเมื่อถึงบ้านพี่ต่อจะบีบแตร แล้วเปิดประตูรถ เพื่อส่งกุญแจประตูใหญ่ให้แม่บ้านไขประตูบ้านให้
พอดีวันนั้นมองเห็นรถมอเตอร์ไซด์คันนี้อยู่ เลยยังไม่ได้กดแตร
เขาอาจจะคิดว่าเราจะลงจากรถมาเปิดประตูบ้านเองก็ได้
ไม่อยากคิดเลยว่า ถ้ารถไม่ได้ล็อคอยู่จะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้หน้าบ้านเราเอง
พวกมิจฉาชีพพวกนี้จะลงมือเร็วมาก คนมาช่วยก็อาจช่วยไม่ทัน
ดังนั้น ขอย้ำให้ระมัดระวังมากๆ เพราะเหตุการณ์ประเภทนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก และขอให้ทุกคนปลอดภัยนะคะ
;
ฌลาวิภา เมฆใจดี

เรื่องที่ 3 ระหว่างที่รถผมหยุดรอไฟเขียว มีชาย 2 คนเดินมาข้างหลัง
ทั้งคู่กระตุกประตูหลังคนละข้าง โชคดีที่ประตูล๊อกอยู่ 1 ใน 2 คนนั้นพยายามดึงแรงขึ้นอีก
แล้วทั้งคู่ก็เดินเร็วผ่านรถผม แล้วปนไปในฝูงชน เดี๋ยวนี้ เหตุร้ายเกิดได้ตลอดไม่ว่ามืดหรือสว่าง
เราคงต้องระวังอย่าเผลอเชียวละ
Regards,
Suraphong

เรื่องที่ 4
ภรรยาผม จะมีนิสัยเมื่อขึ้นรถแล้วต้องกดเซนทรัลล๊อคทั้งก่อนสตาร์ทเครื่องและก่อนดับเครื่อง
มีรถเก๋งคันหนึ่งสีเงิน มีคนสองคนเดินลงมาจากรถแล้วก็เดินมาที่รถของเราอย่างสุภาพ
ขณะที่ภรรยาผมกำลังเล่นกับลูกอยู่ เพลินๆ ก็ได้ยินเสียงตึ๊กจากข้างหลัง
ภรรยาผมก็ตกใจรู้สึกตัวว่ามีคนพยายามเปิดประตูหลังของรถเรา
แต่เพราะรถล๊อคพวกเขาก็เดินกลับ ไปขึ้นรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนที่ภรรยาผมเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ผมคิดว่าเหลือเชื่อจริงๆ กลางวันแสกๆ แท้ๆ
ถ้าหากบังเอิญรถไม่ได้ ล๊อค ผมไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
อยากจะให้ทุกคนมีนิสัย ขึ้นรถต้องล๊อครถ
พวกผู้ร้ายมักจะลงมือจากเบาะหลัง เพราะจะ ควบคุมสถานการณ์ได้ง่าย

เรื่องที่ 5
หลังจาก จ่ายเงินค่าจอดรถเลี้ยวออกจากโรงพยาบาล ก็จอดติดไฟแดง
ขณะนั้น ( ยังไม่ ถึง 3 นาที ระบบล๊อคอัตโนมัติคงยังไม่ทำงาน )
ชายหนุ่ม สองคนก็เข้ามานั่งที่เบาะหลังของรถ
โชคดีที่พ่อแม่ของผมไหวตัวเร็วมาก รีบถอดเข็มขัดนิรภัย ดับเครื่อง ดึงกุญแจออกแล้วออกมายืนนอกรถโดยเร็ว
คนทั้งสองคนนั้นก็ยังนั่งอยู่ในรถหน้าตาเฉย จนกระทั่งคุณแม่ของผมตะโกนใส่พวกเขาว่า
พวกเรายังมีเพื่อนฝูงอยู่ในโรงพยาบาลอีกเยอะ จะให้ เรียกพวกเขาลงมาคุยกับพวกแกไหม ?
พวกเขาจึงออกมาจากรถแล้วบอกว่าขอโทษขึ้นผิดคัน ( นี่มันปล้นกันชัดๆ)
แล้วรถคันข้างหลัง ( มีคนอยู่ในรถสองคน) ก็ขับมารับพวกเขาจากไป
น่ากลัวที่สุด

เรื่องที่ 6
ตอนรถจอดติดไฟแดง รถของผมอยู่ห่างจากทางแยกประมาณคันที่สามหรือสี่
สักครู่ หนึ่ง จู่ ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่ท้ายรถผม บนรถมีชายหนุ่มอายุ ประมาณ 20 กว่า สองคน
แล้วที่น่าสงสัยก็คือ พวกเขาพยายามมองเข้ามาในรถของผม ผมจึงจ้องพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง
พอไฟเขียวก็ออกรถพร้อมมัน ผมบังเอิญได้ยินหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า 'รถมันล๊อคหมด' แล้วก็ขับเลย ไป

ขอให้ช่วยกันบอกต่อให้มากๆทั้งชายทั้งหญิงนะครับ
บอกแค่คนสองคนก็ได้บุญมากแล้วครับ

piangfan
01-08-2009, 09:18 PM
สาธุค่ะ พี่นพ
ขอบคุณค่ะ


http://ubn.ricethailand.go.th/document/kitsana/brown/GBR-2-O.K..gif



หลังจากแช่ข้าวกล้องนาน 12 ชม. แล้วหุ้มไว้อีก 12 ชม.
ก็จะได้เมล็ดข้าวกล้องงอกดังรูป







http://ubn.ricethailand.go.th/document/kitsana/brown/Pictures%20for%20Webpage/pic.4(new).gif



เปรียบเทียบระหว่างเมล็ดข้าวกล้องธรรมดา (แถวบน)
กับ เมล็ดข้าวกล้องงอก (แถวล่าง)




ท่านผู้รู้ขา!!!ออกมาช่วยหน่อยค่ะ
ตัวนี้ชอบติดตามมาจังค่ะ
พอจะเข้าไปแก้ก็มองไม่เห็นค่ะ
[/FONT][/SIZE][/COLOR]
ขอบคุณค่ะ


ตะวันส่องแสงธรรมนำ มิตรภาพไร้พรมแดน

grup'/yo..เพียงฝัน

ทั่นยาย
01-10-2009, 06:35 PM
สวัสดีค่ะ พี่นพกรณ์ ตาเปา ตะละแม่เกิดแก่ น้องโดด น้องอ๋อย
เพียงฝัน ปลายฟ้า ทั่นบีบี ครูวิทย์ ทั่นพญามาร เจ้าป้าฯ
ทั่นแปดคิว ตะขบ ลัคกี้ และญาติธรรมทุกๆท่านค่ะ


ขออนุญาตินำสระประโยชน์มาแบ่งปันกันรู้ค่ะ

"ลดบางอย่าง เพื่อ เพิ่มบางสิ่ง"

* หากลดบางอย่างให้น้อยลง คุณจะได้บางสิ่งมากขึ้น

* ลดความโกรธให้น้อยลง คุณจะได้สติกลับมามากขึ้น

* ลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง คุณจะได้เงินเก็บมากขึ้น

* ลดความคิดที่จะหาคนที่ถูกน้อยลง คุณจะได้คำตอบสำหรับทำเรื่องที่ถูกต้องมากขึ้น

* ลดการพูดให้น้อยลง คุณจะได้ทำหลายอย่างได้มากขึ้น

* คิดถึงคนที่คุณรักให้น้อยลง คุณเข้าใจคนที่คุณรักมากขึ้น

* รักตัวเองให้น้อยลง คนอื่นรักคุณมากขึ้น

* พูดให้ร้ายคนอื่นให้น้อยลง มีคนพูดถึงคุณในแง่ดีมากขึ้น

* แสดงความฉลาดให้น้อยลง คุณได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น

* ออกนอกบ้านให้น้อยลง คุณได้ความอบอุ่นในครอบครัวมากขึ้น

* นอนให้น้อยลง คุณทำหลายอย่างได้มากขึ้น

* คิดเรื่องเครียดให้น้อยลง คุณยิ้มได้มากขึ้น

* ลดความอายให้น้อยลง คุณได้ความกล้ามากขึ้น

* ดูละครให้น้อยลง คุณอ่านหนังสือได้มากขึ้น

* คุณวิ่งให้ช้าลง คุณมองเห็นคนข้างหลังมากขึ้น

* เชื่อให้น้อยลง คุณมองเห็นอะไรได้มากขึ้น

* ลดทิฐิให้น้อยลง คุณรู้จักอภัยมากขึ้น

* กระโดดให้น้อยลง คุณเดินได้มั่นคงมากขึ้น

* กินให้น้อยลง คุณอิ่มได้มากขึ้น

* ก้มหน้าให้น้อยลง คุณมองเห็นได้ไกลขึ้น

* พักเหนื่อยให้น้อยลง คุณรู้จักความสบายมากขึ้น

* เห็นแก่ตัวให้น้อยลง มีคนรอดชีวิตมากขึ้น

* แบกของหนักให้น้อยลง ชีวิตคุณเบามากขึ้น

* ทะเลาะกับเด็กให้น้อยลง คุณโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

* ทะเลาะกับผู้ใหญ่ให้น้อยลง คุณได้รับการเอ็นดูมากขึ้น

* เป่าลมออกให้น้อยลง คุณสูดลมเข้าได้มากขึ้น

* แอบฟังให้น้อยลง คุณได้ยินอะไรมากขึ้น

* คุณคิดคำถามให้น้อยลง คุณเห็นคำตอบมากขึ้น

...........แล้วคุณลดอะไรไปบ้างแล้ว............

noppakorn
01-11-2009, 03:27 PM
ฉันได้รับข้อความนี้จากเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง
ซึ่งเพื่อนคนนี้ได้เลือกไปแล้ว
ฉันเองก็ต้องเลือกเหมือนกัน และ
ฉันก็เลือกแล้ว
คราวนี้ตาพวกคุณแล้วล่ะที่จะต้องเลือกบ้าง
เรื่องมีอยู่ว่า.....
ชายคนหนึ่งเคยลงโทษลูกสาววัย 5 ขวบของเขา
เพราะนำเงินไปซื้อกระดาษห่อของขวัญสีทองม้วน
หนึ่งซึ่งมีราคาแพง
ในขณะที่การเงินที่บ้านฝืดเคือง
และเค้าก็อารมณ์เสียอีกครั้งเมื่อลูกสาวของเขานำกระดาษสีทองราคาแพงนั้น
มาห่อกล่องของขวัญเพียงเพื่อตกแต่งไว้ใต้ต้นคริสต์มาส
แต่กระนั้น...ลูกสาวตัวน้อยก็ได้มอบกล่องของขวัญนั้นให้พ่อของเธอในเช้าวันรุ่งขึ้น
และพูดว่า ' นี่สำหรับพ่อค่ะ '
พ่อของเธอกระอักกระอ่วนกับอาการที่ได้แสดงออกไปก่อนหน้านี้
แต่แล้วความโกรธก็ได้พุ่งพล่านขึ้นอีกครั้งเมื่อ
เขาพบว่ามันเป็นเพียงกล่องเปล่า
เขาพูดด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดว่า '
ลูกไม่รู้จริงๆอย่างนั้นหรือว่าการจะให้ของขวัญใคร
มันจะต้องมีอะไรอยู่ในกล่องของขวัญด้วย ? '
เด็กน้อยมองไปที่พ่อของเธอด้วยน้ำตา
และพูดว่า ' โอ...พ่อจ๋า มันไม่ใช่กล่องเปล่าเลย หนูเป่าจูบเข้าไปจนเต็ม '
ชายคนนั้นสะอึก ตัวชาด้วยความเสียใจ
เขาทรุดตัวลงแล้วโอบกอดลูกสาวไว้แน่น
เขาขอให้ลูกสาวยกโทษให้เขา กับท่าทางโกรธเกรี้ยวเกินเหตุของเขา
ต่อมาไม่นานอุบัติเหตุก็ได้คร่าชีวิตลูกสาวของชายคนนั้นไป
และว่ากันว่าเขาเก็บกล่องของขวัญสีทองล้ำค่านั้น ไว้ข้างเตียงตลอดชีวิตของเขาเลยทีเดียว
และเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกท้อแท้ใจ หรือต้องเผชิญกับปัญหาที่ยากเย็นแสนเข็น เขาจะเปิดกล่องใบนี้
เพื่อหยิบจูบในจินตนาการขึ้นมาหนึ่งจูบ
แล้วรำลึกถึงความรักของลูกน้อย ที่ได้ใส่จูบนั้นไว้ให้เขา
ในความเป็นจริง ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง พวกเราทุกคนล้วนได้รับกล่องของขวัญสีทองซึ่ง
บรรจุด้วยความรัก ที่ปราศจากเงื่อนไข และรอยจูบจาก ลูกๆ , ครอบครัว และ เพื่อนๆ ไม่มีสมบัติใด ล้ำค่าไปกว่านี้อีกแล้ว
ตอนนี้คุณมี 2 ตัวเลือกแล้วล่ะ คุณจะ
1. ส่งข้อความนี้ต่อไปยังเพื่อนๆ และ ญาติๆ ของคุณ หรือ
2. ลบมันทิ้งซะ
แล้วทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรกระทบใจคุณเลยแม้แต่น้อย อย่างที่เห็นนี่ล่ะ
ฉันได้เลือกข้อ 1 ไปแล้ว เพื่อนคือของขวัญ ผู้ซึ่งพยุงให้เรายืนขึ้นด้วยเท้า
เมื่อปีกของเราไม่รู้ว่าจะบินอย่างไร มองโลกในแง่ดี และปฏิบัติดี
ฉันขอขอบคุณสำหรับ.... สำหรับสามีที่นอนกรนทั้งคืน
เพราะนั่นหมายถึงเขากำลังหลับอยู่ที่บ้านกับฉัน ไม่ใช่กับผู้หญิงอื่น
สำหรับลูกสาววัยรุ่นที่กำลังบ่นเรื่องล้างจานอยู่ เพราะนั่นหมายถึงเธออยู่บ้าน ไม่ใช่ที่ถนน
สำหรับภาษีที่ต้องเสีย เพราะนั่นหมายถึงฉันมีงานทำ
สำหรับข้าวของต่างๆ ที่ต้องคอยเ ก็บหลังงานปาร์ตี้ เพราะนั่นหมายถึงฉันถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูง
สำหรับเสื้อผ้าที่พอดีจนเกือบจะคับเกินไป เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีกิน
สำหรับเงาที่คอยมองดูฉันทำงาน เพราะนั่นหมายถึงฉัน กำลังได้รับแสงแดด
สำหรับพื้นที่ต้องคอยขัดถู และหน้าต่างที่ต้องทำความสะอาด เพราะนั่นบ้านถึงฉันมีบ้านให้ดูแลรักษา
สำหรับคำบ่นต่างๆ ที่มีต่อรัฐบาล เพราะนั่นหมายถึงเรามีอิสระ ในการที่จะแสดงความคิดเห็น
สำหรับที่จอดรถที่อยู่ไกลสุดของลานจอดรถ เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถเดินได้ และฉันมีรถ
สำหรับผ้ากองโตที่รอการซักรีด เพราะนั่นหมายถึงฉันมีเสื้อผ้าสวมใส่
สำหรับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทุกสิ้นวัน เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถทำงานหนักได้
สำหรับเสียงปลุกในทุกๆ เช้า เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีชีวิตอยู่
และสุดท้าย.......
สำหรับอีเมล์ที่ส่งมาหาฉันมากมาย เพราะนั่นหมายถึงฉันมีเพื่อน

เกิดแก่
01-11-2009, 11:09 PM
สวัสดีค่ะท่านพี่ชายนพกรณ์ ท่านยาย น้องเพียงฝัน

ขอบพระคุณค่ะพี่ชายที่นำข้อความมาให้น้องได้เป็นผู้ที่ได้รับเลือกให้มีโอกาสอ่านข้อความดี ๆ มีสาระจากพี่ชายฯ และเตรียมตัวที่จะเป็นผู้เลือกข้อความนี้ให้ใคร
อีกบ้าง

plyfha
01-13-2009, 11:10 AM
http://by136w.bay136.mail.live.com/att/GetAttachment.aspx?tnail=1&messageId=c8a2d8c7-287e-421e-a8f1-b0df24c7934f&Aux=4|0|8C9B23CF4605080|
http://by136w.bay136.mail.live.com/att/GetAttachment.aspx?tnail=2&messageId=c8a2d8c7-287e-421e-a8f1-b0df24c7934f&Aux=4|0|8C9B23CF4605080|
http://by136w.bay136.mail.live.com/att/GetAttachment.aspx?tnail=3&messageId=c8a2d8c7-287e-421e-a8f1-b0df24c7934f&Aux=4|0|8C9B23CF4605080|
http://by136w.bay136.mail.live.com/att/GetAttachment.aspx?tnail=4&messageId=c8a2d8c7-287e-421e-a8f1-b0df24c7934f&Aux=4|0|8C9B23CF4605080|
ได้เมลล์มาค่ะ

ทั่นยาย
01-13-2009, 01:11 PM
สวัสดีค่ะ พี่นพกรณ์ ตาเปา ตะละแม่เกิดแก่ น้องโดด น้องอ๋อย
เพียงฝัน ปลายฟ้า ทั่นบีบี ครูวิทย์ ทั่นพญามาร เจ้าป้าฯ
ทั่นแปดคิว ตะขบ ลัคกี้ และญาติธรรมทุกๆท่านค่ะ
มีเรื่องดีๆอยากนำมาแบ่งกันรู้ปันกันอ่านค่ะ เชื่อว่าเมื่อทุกท่านได้อ่านแล้ว
จะเกิดความรู้สึกดีดี มีกำลังใจ มีความหวังเสมอนะคะ
อ่านเรื่องนี้ครั้งใดยิ้มคนเดียวครานั้น ประทับใจเจ้าของร้านที่สุดเลยค่ะ
อยากให้เมืองไทยมีร้านบะหมี่ที่เป็นตำนานแบบนี้มั่งจัง



http://www.msuetc.net/board_pic/b9514140.gif

บะหมี่น้ำหนึ่งชาม

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงที่ญี่ปุ่น เราให้ชื่อเรื่องนี้ว่า “ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม“
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ววันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่ร้านบะหมี่ “ ฮอกไก ”
บนถนนซัปโปโร

การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้เอง
จึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี “ ร้านฮอกไก ” ปีนี้ก็เช่นกัน ในวันนี้คนแน่นร้านแทบทั้งวัน
จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง โดยปกติแล้วบนถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่
แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ
เถ้าแก่ของร้าน “ ฮอกไก ”เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี

ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไป ในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ
มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน คนหนึ่งอายุประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งอายุประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน
เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ
“ เชิญนั่งครับ ” เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า
“ ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมค๊ะ ”
เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
“ ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ ”
เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า
“ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม ”
บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม
ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่องสามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินพลางพูดพลาง
“ ทานเถอะครับ ” ลูกคนพี่พูด
“ แม่ทานหน่อยสิครับ ” ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม
จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า
“ ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ) ”
พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป
“ ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ) ” ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ
ทำงานไปวันแล้ววันเล่า ยุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็นและแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง
ในวันส่งท้ายปีเก่า ร้านบะหมี่ “ ฮอกไก ” ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา
สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง 22.00 น.กว่า
ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน
พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่าและเชย เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง
“ ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยค่ะ ”
“ ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะค๊ะ ”
เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้วโต๊ะเบอร์สอง ตะโกนไปพลางว่า
“ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม ”
เถ้าแก่รับคำพลาง จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง
“ ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม ”
เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า
“ นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ ”
“ ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย ”
สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน
เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า “ เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ ”

ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก
แม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย
“ หอมจังเลย … ยอดไปเลย … อร่อยจริง ๆ ”
“ ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว ”
“ ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ ”
กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยนแล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป
“ ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ) ”
มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป สองตายายก็ยกเรื่อง สามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง

ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน
แต่พอเลย 21.00 น.ไปแล้ว สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา
พอถึง 22.00 น. พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป
พอคนกลับไปหมดแล้ว เจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า
“ บะหมี่ชามละสองร้อยเยน ” ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า
“ บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน ” 30 นาทีก่อนเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย “จองแล้ว ”
ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง
เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ
22.30 น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง
น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อน ดูหลวมและไม่พอดีตัว เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก
ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม
“ เชิญค่ะ เชิญค่ะ ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย
ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า
“รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ ”
“ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ”
เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง แล้วรีบเอาป้าย “จองแล้ว ” ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า “ บะหมี่น้ำสองชาม ”
“ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ ”
เถ้าแก่พลางตอบพลางโยนบะหมี่ ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน สามแม่ลูกกินไปพูไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก
สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกันในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย
“ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก ”
“ ขอบคุณ ?”
“ ทำไมครับ ”
“ เรื่องเป็นอย่างนี้ คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไป ได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ
และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน”
“เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ ”
ผู้เป็นพี่ตอบ ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร
“ แต่เดิมนั้นเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว ”
“ จริง ๆ หรือครับ แม่ ”
“จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์ ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร
ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก
จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด ”
“ ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ ”
“ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชาย เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ”
“ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ ”

ทั่นยาย
01-13-2009, 01:15 PM
“ แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายน
โรงเรียนของน้องได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง คุณครูของน้อง
ยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด
เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆ ของน้องนะครับผมถึงทราบ
ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง ”
“ จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ ”
“ หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ“ ความปรารถนาของข้าพเจ้า
” น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย ”
“ เรียงความเขียนว่า … หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย
เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหามรุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์
น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย …”
“ ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำอร่อยมาก…
สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก
แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป
พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด …”
“ ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่ แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยม
อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน … ขอให้มีความสุขครับ … ขอบคุณครับ …”
สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ จู่ ๆ ก็หายตัวไป พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลย
เพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุด
เหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ
“ พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่าวันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่
ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ “
“จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรหล่ะ ”
” ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ผมจึงพูดว่า … ขอบคุณทุกคน
ที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน
ดังนั้นในเวลาที่เพื่อนๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะอยู่ร่วมกิจกรรมต่างๆไม่ได้
เพราะต้องรีบกลับบ้าน เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร เมื่อครู่นี้
ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความ
เรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ จึงได้รู้สึกถึงความรู้สึกอายจริงๆว่าเป็นอย่างไร
“ หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกินกันสามคนนั้น
ผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยัน และดูแลแม่เป็นอย่างดี
และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ ” สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่
กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปี จ่ายเงินไปสามร้อยเยน กล่าวขอบคุณค้อมตัวลงเคารพ
และเดินออกจากร้านไป มองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่า
ปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ
พร้อมกับกล่าวว่า “ ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ) ”
และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง พอถึงเวลา 21.00 น. ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย “ โต๊ะจอง ” ไว้บนโต๊ะเบอร์สอง
และเฝ้ารอคอย การมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย แต่ในปีนี้สามคนแม่ลูกไม่ได้มา ปรากฏตัวที่ร้านเลย
ปีที่สอง ปีที่สาม โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย
กิจการของร้านฮอกไกดีมาก เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่
โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่ จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม
“ นี่มันเรื่องอะไรกัน ”
ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่อง บะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง
โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง และก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่ง
ลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา
โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า “ โต๊ะแห่งความสุข ” ลูกค้าต่างก็พูดต่อ ๆกันไป มีนักเรียนหลายคน
อยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกล มากินบะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้
ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลาย ๆ ปี เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก พอถึงวันสิ้นปี
หลังจากปิดร้านแล้วก็มักจะมารวมตัวฉลอง โดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก กินไปพลาง
ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง แล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว
ในวันนี้พอเลย 21.30 น.ไปแล้ว เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย
ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อย ๆเป็นระยะ บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา ปกติแล้วก็จะรวมตัวกัน
ได้ประมาณ 30-40 คน ต่างก็คึกคักกันมาก ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง
ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่าวันนี้ ” โต๊ะจอง ” ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง
มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้า ๆ ออกๆ
พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป พูดเรื่องการค้าบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง
ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุก ๆ เรื่อง
จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน
เวลาผ่านไปจนถึง 22.30 น.ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน
สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล
พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน
พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก
ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า “ ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ ”
เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน
ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า
“ เอ้อ … รบกวน … รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมค๊ะ ”
ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว
ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก
“ พวกคุณ .. พวกคุณ ” เขาพูดได้เพียงแค่นั้น คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ ชายหนุ่มหนึ่งในสองคน
เห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับเถ้าแก่เนี้ยว่า
“ พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มาสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชาม
ทานกันสามคนไงครับ และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้ ”
“ หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว
ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต ปีหน้าเดือนเมษายน
ก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว ”
“ วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ
และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต
ได้เสนอความคิดที่เริดเรออย่างหนึ่งก็คือ ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะ
เจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย”สองตายายฟังไปพลาง
พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตูพยายามใช้แรงอย่างเต็มที่
ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า
“ อ้าว … เถ้าแก่ … เป็นอะไรไปหล่ะ อุตส่าห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้ “ โต๊ะจอง ”
ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง
รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า ”
ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า
“ ยินดีต้อนรับค่ะ … เชิญนั่งข้างในค่ะ … นี่ตาเฒ่า … บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง”
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า
“ ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม ”
หากดูกันตามจริงแล้ว สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย
มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ รวมทั้งคำอวยพรว่า
“ ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ) ”
ก็เท่านั้นเอง แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ใน
สถานการณ์คับขับได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า อย่าพยายามมองข้ามตัวเอง ตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้
บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจของคุณ"เพียงเล็กน้อยเท่า นั้น"
เพียงเล็กน้อยเท่า นั้น ก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้
ด้วยเหตุนี้ความหวังความใฝ่ฝันที่แรงกล้าของพวกเรา เพื่อนพ้องทั้งหลาย อย่ามัวเห็นแก่ตัวกันหรือเสียดายมันอยู่เลย
หวังว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตาที่เราอัดเก็บไว้ในใจ
มาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจ จุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก ….
ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่านั้น แต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาว
มันเป็นประกายแห่งความอบอุ่น และแสงสว่างอันสุกสกาวจริง ๆ

เรื่องนี้ตอนที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจมานับไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่า
“ ใครที่อ่านนิทานเรื่องแล้ว ไม่มีใครเลยที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้ ”
ถึงแม้คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปบ้าง แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ได้อ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว รู้สึกประทับใจจริง ๆ
จนน้ำตาร่วง และน้ำตาที่ร่วงรินเหล่านั้น มันไม่ใช่น้ำตาจากความรันทดใจ แต่เป็นน้ำตาที่หลั่งให้แก่ความประทับใจ
ต่อความห่วงใยอย่างจริงใจ และน้ำใจไมตรีอันกว้างขวางที่มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ขอให้ผู้เขียนและผู้เผยแพร่เรื่องนี้พร้อมด้วยครอบครัว
มีแต่ความสุขกาย สุขใจ เจริญในทุกๆด้านตามปรารถนาเทอญ

noppakorn
01-13-2009, 11:10 PM
สวัสดีครับทั่นยาย

อ่านแล้วน้ำตาคลอจริงๆครับ หมี่น้ำที่น่าประทับใจจริงๆ

ทั่นยาย
01-14-2009, 11:56 AM
สวัสดีค่ะพี่นพฯ

แรกๆที่ได้อ่านก้ออาการเดียวกันค่ะ น้ำตาซึม เพราะสงสารสามแม่ลูกมากๆ
แต่หลังๆมานี่จะยิ้มได้ทุกครั้ง เพราะประทับใจเถ้าแก่ทั้งสองค่ะ
หากทั้งสองไม่มีจิตใจที่ดี รู้จักให้,แบ่งปัน,เอื้ออาทรอย่างจริงใจแล้ว
เรื่องนี้คงไม่เกิดเพื่อจะเป็นตำนาน เป็นกำลังใจให้กับทุกคนมาจนทุกวันนี้ค่ะ
อ่านเรื่องนี้ครั้งใด อยากทานบะหมี่น้ำมากๆเลยค่ะ แต่ใครจะเป็นเจ้ามือล่ะ http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/wink.gif

noppakorn
01-15-2009, 04:12 PM
วันนี้ขอนำเรื่องดีๆมาให้อ่านกันครับ

http://www.dvthai2.com/Myking.jpg



พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว
โดย พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร

ด้วยพระเมตตา แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิ พลอดุลยเดช ที่ทรงสละความสุขส่วนพระองค์ เพื่อพสกนิกร ชาวไทยพระองค์ประดุจพระผู้สร้างแผ่นดิน ทรงเป็นดั่งผู้ มอบชีวิต มอบความรุ่งเรือง มอบความเจริญงอกงามภายใน หัวใจคนไทยทั้งชาติ ทรงเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นแรง บันดาลใจจุดประกายพลังแผ่นดิน

หากเราได้มีโอกาสศึกษาพระบรมราโชวาท แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เราจะเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดด้วยคำสอน ที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ แต่ละข้อ แต่ละอย่างนั้น ล้วนเกิดขึ้นจากการที่พระองค์ ทรงไตร่ตรองพิเคราะห์ถึงปัญหานั้น อย่างถ่อง แท้ แล้วว่าจะเป็นหนทางแห่งการแก้ปัญหา การดับทุกข์ได้ด้วยสมาธิ

ธรรมดาสภาวะจิตอันเป็นสมาธินั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นจากการบังคับควบคุม เกิดขึ้นจาก ความผ่อนคลาย หรือเกิดขึ้นจากภาวะคับขันต่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าจะทำให้ต้อง เร่งรวบรวมสติให้มั่น ไม่ว่าสมาธิจะเกิดขึ้นอย่างไร สมาธิเป็นของดี เป็นของที่เกิดขึ้นได้จากการ ฝึกฝน เป็นของที่มีอยู่ในกาย และในจิตอันพร้อมเป็นของเข้าใจได้ เป็นของเข้าใจง่าย และใช้ได้ กับคนทุกเพศทุกวัยและความเข้าใจอันแจ่มชัดที่แสดงให้เห็นว่า สมาธิ เองก็มิใช่ของที่เกิดขึ้น โดยลำพังหรือใช้โดยลำพัง แต่สมาธิที่ดีจะยังประโยชน์แก่ผู้อื่นได้มากหากผู้ใช้สมาธิรู้จักการ ปฏิบัติอันถูกต้อง ถูกต้องทั้งแก่ตนแลถูกต้องทั้งแก่ผู้อื่น ดังที่ได้ศึกษาจากรอยพระจริยวัตร แห่ง องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อันได้แสดงไว้ถึงเรื่องราวของ "พระสมาธิ"

ผู้ที่เคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในงานหรือพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องประทับอยู่ เป็นเวลานานๆ เช่น ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร คงจะได้เห็นด้วยความพิศวงกันทุกคนว่า พระเจ้าอยู่หัวนั้น เมื่อทรงนั่งลงแล้ว จะประทับอยู่ในพระอิริยาบถนั้นตั้งแต่เริ่มพิธีไปจนกระทั่ง จบไม่ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถเลย

นอกจากนั้น ยังทรงปฏิบัติพระราชกรณีย์กิจอย่างกระฉับกระเฉง ต่อเนื่อง ไม่มีพระอาการที่ แสดงว่าทรงเหนื่อย หรือทรงเบื่อเลย ผมเคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร พิธีนั้นยาวถึงประมาณ ๔ ชั่วโมง และมี บัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาเฝ้าฯ รับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นจำนวนหลายพันคน ได้เห็นเหตุ การณ์เช่นว่านั้น แต่ผมได้เห็นมากกว่านั้นคือ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับไปถึงพระตำหนักจิตรลดารโหฐานในตอนค่ำวันนั้น พระเจ้าอยู่หัวยังทรงออกพระกำลังบริหารพระวรกายด้วยการวิ่งใน ศาลาดุสิตาลัยอีก

ในการประกอบพระราชกรณีย์กิจอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติด้วยพระอาการที่ แสดงว่า เอาพระทัยจดจ่ออยู่กับพระราชกรณีย์กิจนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ทรงเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย เช่น ในการทรงดนตรี ( ที่ใครๆ มักจะนึกว่าเป็นการหย่อน พระราชหฤทัย) เป็นต้น ผมเคยเห็น พระเจ้าอยู่หัวประทับทรงดนตรี ตั้งแต่หัวค่ำจนสว่าง โดยทรงนั่งไม่ลุกเลยแม้แต่จะเพื่อเสด็จฯ ไปห้องสรงในขณะที่นักดนตรีอื่นๆ ลงกราบแล้วถอยหลังลุกไปเข้าห้องน้ำกันเป็นครั้งคราวทุกคน

ในการทรงเรือใบก็เช่นเดียวกัน ทรงจดจ่ออยู่กับการบังคับเรืออย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระ ทั่งจบ ครั้งหนึ่งเสด็จฯ ออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นเรือใบเข้าฝั่ง ตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯ อยู่ ด้วยความฉงนว่าเสด็จฯ กลับเข้าฝั่งเพราะเรือใบพระที่นั่งแล่นไปโดนทุ่นเข้าซึ่งในกติกาการแข่ง เรือใบถือว่า ฟาวล์ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเห็น

แสดงว่าการทรงดนตรีก็ดี ทรงเรือใบก็ดี สำหรับพระเจ้าอยู่หัว เป็นงานอีกชนิดหนึ่ง ที่จะต้อง ทำด้วยความจดจ่อและต่อเนื่องไปจนกว่าจะเสร็จเหมือนกัน

พระราชกรณียกิจอื่นๆ ทั้งน้อยและใหญ่ ทรงปฏิบัติแบบเดียวกัน คือด้วยการเอาพระราชหฤทัย จดจ่อไม่ทรงยอมให้ขาดจังหวะจนกว่าจะเสร็จ และไม่ทรงทิ้งขว้างแบบทำๆ หยุดๆ เพราะฉะนั้น จึงจะเห็นว่าพระราชกรณียกิจทั้งหลายนั้น สำเร็จลุล่วงไปเป็นส่วนใหญ่
ผมไปรู้เอาหลังจากที่เข้ารับราชการในตำแหน่งนายตำรวจราชสำนักประจำอยู่ได้ไม่นานว่าที่ ทรงสามารถจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียกิจทุกชนิดได้เช่นนั้นก็เพราะพระสมาธิ

ผมไม่ทราบว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มฝึกสมาธิตั้งแต่เมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าคงจะเริ่มในเดือน ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ เมื่อทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) หลังจากทรง ผนวชแล้ว ประทับจำพรรษาอยู่ที่พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงอยู่ในสมณเพศเป็น เวลา ๑๕ วัน ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งทรงเป็นพระอุปัชฌาย์จารย์ทรงเลือกสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก (เมื่อครั้งยัง เป็นพระโสภณคณาภรณ์) ให้เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่ทราบกันดี ว่า แม้จะทรงมีเวลาน้อยแต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และคงจะได้ทรงฝึกเจริญพระกรรมฐานในโอกาสนั้นด้วย

เมื่อผมเข้าไปเป็นนายตำรวจราชสำนักประจำในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ นั้น ปรากฏว่าการศึกษา และปฏิบัติสมาธิหรือกรรม ฐาน ในราชสำนักกำลังดำเนินอยู่แล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติ เป็นประจำ และข้าราชสำนักข้าราชบริพารหลายคน ทั้งฝ่าย พลเรือน และทหารก็กำลังเจริญรอยพระยุคลบาทอยู่ด้วยการ ฝึกสมาธิอย่างขะมักเขม้น

ผมไม่ได้ตั้งใจจะหัดสมาธิ แม้จะเคยศึกษามาก่อน โดย เฉพาะจากหนังสือของ ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ แต่ ระหว่างการตามเสด็จฯ โดยรถไฟ จากกรุงเทพมหานคร ไปอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ การเดินทางไกลกว่าที่ผมคาดคิด หนังสือเล่มเดียวที่เตรียมไปอ่านฆ่าเวลาบนรถไฟ ก็อ่านจบเล่ม เสียตั้งแต่กลางทาง ขณะนั้นผมเห็นนายทหารราชองครักษ์ ประจำที่ปฏิบัติหน้าที่ถวายความ ปลอดภัยร่วมกันสองนาย ใช้เวลาว่างนั่งหลับตาทำสมาธิ ผมจึงลองทำดูบ้างโดยใช้อานาปานสติ
( คือกำหนดรู้แต่เพียงว่ากำลังหายใจเข้า และหายใจออก) อันเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ และ ท่านอาจารย์พุทธทาสแนะนำ ปรากฏว่าจิตสงบเร็วกว่าที่ผมคาด แลเห็นนิมิตเป็นภาพสีสวยๆ งามๆ มากมายและเป็นเวลาค่อนข้างนานด้วย ตั้งแต่นั้นมาผมก็ติดสมาธิและกลายเป็นอีกผู้หนึ่ง ที่ปฏิบัติสมาธิเป็นประจำมาจนทุกวันนี้

เมื่อความทราบถึงพระกรรณว่าผมเริ่มปฏิบัติสมาธิ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงกรุณาพระราชทาน หนังสือ และแถบบันทึกเสียงคำสอนของครูบาอาจารย์ต่างๆ ลงมา และบางครั้งก็ทรงพระกรุณา พระราชทานพระราชดำรัส แนะนำด้วยพระองค์เอง ผมจึงได้รู้ว่า พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว นั้นก้าวหน้าไปแล้วเป็นอันมาก รับสั่งเล่าเองว่าแม้จะทรงใช้ อานาปานสติ เป็นอุบายในการทำ สมาธิ แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ทรงสามารถที่จะกำหนดพระอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) และพระปัสสาสะ (ลมหายใจออก) ได้แต่ลำพัง ต้องทรงนับกำกับ วิธีนับของพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงทำดังนี้ หายใจเข้าครั้งที่หนึ่งนับหนึ่ง หายใจเข้าครั้งที่สอง นับสอง หายใจเข้าครั้งที่สาม นับสาม หายใจเข้าครั้งที่สี่ นับสี่ หายใจเข้าครั้งที่ห้า นับห้า หายใจออกครั้งที่หนึ่ง นับหนึ่ง หายใจออกครั้งที่สอง นับสอง หายใจออกครั้งที่สาม นับสาม หายใจออกครั้งที่สี่ นับสี่ หายใจออกครั้งที่ห้า นับห้า

เมื่อถึงห้าแล้ว หากจิตยังไม่สงบ ก็นับถอยหลังจากห้าลงมาหาหนึ่ง แล้วนับจากหนึ่งขึ้นไปหา ห้าใหม่ กลับไปกลับมาเช่นนั้น จนกว่าจิตจะสงบ

รับสั่งว่า ที่เห็นพระองค์ประทับอยู่นิ่งๆ นั้น พระจิตทรงอยู่กับหนึ่งเข้าหนึ่งออกตลอดเวลา
พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาเรื่องสมาธิด้วยการรวบรวม และประมวลคำสอนของครูบาอาจารย์ทุก คน แล้วก็ทรงพระกรุรา พระราชทานประมวลคำสอนนั้นแก่ผู้ที่ทรงทราบว่ากำลังปฏิบัติ สมาธิอยู่

ครั้งหนึ่ง ทรงพระกรุณาพระราชทานแถบบันทึกเสียงของ สมเด็จพระญาณสังวรฯ ให้ผม รับสั่งว่าเป็นบันทึกเสียงการ แสดงธรรมเรื่อง ฉฉักกสูตร (คือพระสูตรว่าด้วยธรรมะ หมวด ๖ รวม ๖ ข้อ ซึ่งอธิบายความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีตัวมีตนของสิ่งต่างๆ มีอายตนะภายนอก อายตนะภายใน วิญญาณ ผัสสะ เวทนา และตัณหา พระสูตรนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน) และ ทรงแนะนำให้ผมฟังธรรมบทนั้น

ผมรับพระราชทานแถบบันทึกเสียงม้วนนั้นมาแล้วก็เอาไป ใส่เครื่องบันทึกเสียงและเปิดฟัง ฟังไปได้ไม่ทันหมดม้วนก็ ปิดแล้วก็เก็บเอาไว้ไม่ได้ฟังอีก หลังจากนั้นไม่นานนัก ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสรับสั่งถามว่า ฟังเทปของสมเด็จฯ แล้วหรือยัง เป็นอย่างไร

ผมไม่อาจจะกราบบังคมทูลความอันเป็นเท็จได้ ต้องกราบบังคมทูลตรงๆ ว่าฟังได้ไม่ทันจบ ม้วนก็ได้หยุดฟังเสียงแล้ว ตรัสถามต่อไปถึงเหตุผลที่ผมไม่ฟังให้จบ และผมก็จำเป็นต้องกราบ บังคมทูลตรงๆ ว่า สมเด็จฯ ท่านเทศน์ฟังไม่สนุก พูดขาดเป็นวรรคๆ เป็นห้วงๆ เนื่องจากสมเด็จฯ พิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำและประโยคเทศน์ของท่านนั้น ถ้าเอามาพิมพ์ก็จะอ่านได้สบายกว่าฟัง

พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า ที่ฟังสมเด็จฯ เทศน์ไม่รู้เรื่องนั้นก็เพราะคิดไปก่อนใช้หรือไม่ว่า สมเด็จฯ ท่านจะพูดว่าอย่างนั้น อย่างนี้ ครั้นท่านพูดช้ากว่าที่คิด หรือพูดออกมาแล้วไม่ตรงกับที่ คาดหมายจึงเบื่อ เมื่อผมนิ่งไม่กราบบังคมทูลตอบ ก็ทรงแนะนำว่า ให้กลับไปฟังใหม่ คราวนี้อย่า คิดไปก่อนว่าสมเด็จฯ จะพูดว่าอย่างไร สมเด็จฯ หยุดก็ให้หยุดด้วย ผมกลับมาทำตามพระราช กระแสรับสั่ง เปิดเครื่องบันทึกเสียงฟังเทศน์ของสมเด็จฯ จากแถบบันทึกเสียงม้วนนั้นใหม่ตั้ง แต่ต้น ฟังด้วยสมาธิ

สมเด็จฯ หยุดตรงไหน ผมก็หยุดตรงนั้น และ ไม่คิดๆ ไปก่อนว่า สมเด็จฯ จะพูดว่าอย่างไร คราวนี้ ผมฟังได้จนจบและเห็นว่าจริงดังพระราชดำรัส แถบบันทึกเสียงม้วนนั้น เป็นม้วนที่ดีที่ สุดม้วนหนึ่ง

ครั้งหนึ่ง หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมได้มีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและกราบบังคมทูล ประสบการณ์ที่ได้ขณะทำสมาธิ ผมกราบบังคมทูลว่า ขณะที่นั่งสมาธิครั้งนั้น รู้สึกว่าตัวเองลอย ขึ้นจากพื้นสูงประมาณศอกหนึ่ง ทีแรกก็ยังไม่รู้สึกอะไรแต่ครั้นหัวเริ่มคล้อยลงไปข้างหน้า ทำท่า เหมือนจะตีลังกา ผมก็ตกใจและต้องเลิกทำสมาธิ

พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิจารณ์ว่า ถ้าหากสติยังอยู่ ยังรู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ควรจะ เลิก แต่ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามสภาพนั้น

อีกครั้งหนึ่ง หลังจากทำสมาธิแล้ว ผมกราบบังคมทูลว่า พอจิตสงบผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเลื่อน ต่ำลงไปในท่อขนาดใหญ่ครือตัวผม และที่ปลายท่อข้างล่างผมแลเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็กๆ แสดงว่าท่อยาวมาก กลัวจะหลุดออกจากท่อไป ผมก็เลยเลิกทำสมาธิรับสั่งเช่นเดียวกันว่า หากยังรู้ตัว (มีสติ) อยู่ ก็ไม่ควรเลิก ถึงหากจะหลุดออกนอกท่อไปก็ไม่เป็นไร ตราบเท่าที่สติยัง อยู่ และรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตน

ต่อมาภายหลังจากการศึกษาคำสอนของครูปาอาจารย์ทุก ท่าน และโดยเฉพาะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัส สอนให้ "ดำรงสติให้มั่น" ในเวลาทำสมาธิ

ในส่วนที่เกี่ยวกับพระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว เคยตรัสเล่า ให้ผมฟังว่า ครั้งหนึ่งขณะที่กำลังทรงทำสมาธิอยู่ พระจิต สงบและเกิดนิมิต ในนิมิตนั้น พระเจ้าอยู่หัวทรงทอดพระ เนตรเห็นพระกร (แขนท่อนล่าง) ลอกออกทีละชั้นๆ ตั้งแต่จากพระตจะ (หนัง) ลงไปจนถึงพระอัฐิ (กระดูก)

พระเจ้าอยู่หัวทรงประยุกต์พระสมาธิในการประกอบพระราชกรณียกิจทุกอย่างทั้งน้อยและ ใหญ่ จึงทรงสามารถเผชิญกับพระราชภาระอันหนัก ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ได้โดยไม่ทรง สะทกสะท้านหรือหวั่นไหว ไม่ทรงคาดการณ์ล่วงหน้าไปไกลๆ อย่างเลื่อนลอยและเปล่าประโยชน์ ไม่ทรงอาลัยอดีตหรืออนาคต ไม่ทรงเสียเวลาหวั่นไหวไปกับความสำเร็จ หรือความล้มเหลวอัน เป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ทรงจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ทรงสนพระราชหฤทัยอยู่แต่กับ พระราชกรณียกิจเฉพาะพระพักตร์เท่านั้น

ในฐานะที่เกิดมาเป็นพลเมืองของประเทศที่มีพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นพระประมุข และใน ฐานะที่ทุกคนมีหน้าที่ในการทำนุบำรุงเมืองไทยนี้ให้เป็นที่ร่มเย็นของเรา และของลูกหลานของเรา จึงสมควรที่เราจะเจริญรอยประพฤติตามพระยุคลบาทด้วยการศึกษาและปฏิบัติสมาธิกัน อย่างจริงจัง และนำสมาธิมาประยุกต์ในการดำเนินชีวิต เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา



บทความจาก :
http://www.dvthai2.com/myking.htm
(http://www.dvthai2.com/myking.htm)

plyfha
01-16-2009, 06:31 AM
http://i223.photobucket.com/albums/dd277/akapong/verse/18080806.gif (http://glitter.kapook.com/content.php?id=4750&category_id=11&sid=fb1acf39f090ea37a24932243918acb2)

noppakorn
01-18-2009, 07:53 PM
..ห้ามเบิกเงินแค่ที่มีในบัญชี ให้ใช้วิธี....ไม่กรอกตัวเลข...แต่..เขียน..ปิดบัญชี
เพียงเท่านี้..ธนาคารต้องจ่ายดอกเบี้ยคุณ 6 เดือน


วิธีนี้..เป็นวิธีที่ธนาคารไม่พยายามบอกคนฝากเงิน เพราะธนาคารมันเสียเปรียบ...

แต่ต้องเป็นกรณีที่เป็นบัญชีออมทรัพย์นะ ถ้าเป็นบัญชี ฝากประจำเราจะไม่ได้ดอก เพราะถือว่าฝากไม่ครบตามกำหนด
แต่ถ้าบัญชีเงินฝากแบบออมทรัพย์ หรือที่เรียกว่า savings (สะสมทรัพย์)
ธนาคาร จะคิดดอกให้ทุวันตามยอดเงินที่มี...เข้าๆออก ครบ6 เดือนทีหนึ่งก็จะมีดอกเข้ามาให้ ดังนั้นถ้าใครปิดบัญชี เขาก็ต้องคิดดอกมาให้ด้วย
ส่วนมากประชาชนจะไม่รู้ ก็จะถอนแค่จำนวนเงินที่มีในบัญชี
แล้วก็ทิ้งสมุดไว้..ตรงนี้แหละที่ธนาคารได้กำไร
เพราะสมุดนั้นพอทิ้งไว้นานเกินก็จะปิดไปเอง
และเดี๋ยวนี้ธนาคารส่วนมากจะกำหนดให้ บัญชีต้องมีเงินเหลือติดอยู่
อย่างน้อยๆ 500 บาท หากขาดการเคลื่อนไหวนานเกิน 3-6 เดือน ก็จะเริ่มหักค่ารักษาบัญชี
รายละประมาณ 50 บาทหรือไงเนี่ยแหละ

ที่บอกนี่เป็นผลประโยชน์ของผู้บริโภคน่ะ
แต่ส่วนมากมักจะไม่ชอบไปธนาคาร ถอนทางเอทีเอ็ม
แล้วก็คิดว่าที่เหลือแค่เศษสตางค์ช่างมัน..
พอเราขาดการติดต่อธนาคาร เขาก็หักค่ารักษาบัญชี
เงินไม่พอเขาก็ปิด บช เองตามกฎ

piangfan
01-19-2009, 06:33 PM
โรคไตเป็นสาเหตุความเจ็บป่วย และสาเหตุการตายที่สำคัญ ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบาหวานชนิดพึ่งอินสุลิน โดย 30-35 % ของผู้ป่วย จะเกิดภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งต้องทำการรักษาต่อด้วยวิธีไตเทียมหรือด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนไตที่เรียกเป็นทางการว่า การปลูกถ่ายไต
ผู้ป่วยเบาหวานที่มีความผิดปกติของไตในระยะแรกๆ จะไม่มีอาการแสดงใดๆ แต่จะตรวจพบโปรตีนไข่ขาวในปัสสาวะ เมื่อมีการเสื่อมของไตมากขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลาอีก 4-7 ปี จะมีการเปลี่ยนแปลงจนไตเสียหน้าที่ มีการสะสมการคั่งของของเสียภายในร่างกาย ผู้ป่วยอาจมีอาการบวมร่วมด้วย หลังจากระยะนี้อีกประมาณ 1-2 ปี จะเกิดภาวะไตวายเรื้อรังขึ้น
สำหรับหลักทั่วไปในการดูแลผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางไต หรือไม่ให้ไตเสื่อมเร็วเกินไป สรุปได้ดังนี้

เมื่อทราบว่าเป็นเบาหวาน ต้องพยายามรักษาระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับปกติ หรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด เพื่อทำให้ไตยังทำหน้าที่ได้ดีเหมือนเดิม
ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ , เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารโปรตีนสูง
ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
เมื่อจำเป็นต้องใช้ยา ควรหลีกเลี่ยงยาที่มีผลทำให้ไตเสื่อม

ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ (http://<A)


สาธุค่ะ พี่นพ ทั่นยาย พี่ปลายฟ้า และทุกท่านค่ะ
ขอบคุณค่ะ

grup&#39;/yo..เพียงฝัน

ตะวันส่องแสงธรมนำ มิตรภาพไร้พรมแดน

noppakorn
01-20-2009, 02:11 PM
http://www.watkoh.com/board/index.php?action=dlattach;topic=1371.0;attach=229;image

อีืกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ - ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊ก เกตุเสพย์สวัสดิ์


คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์
http://gfx2.hotmail.com/mail/w3/pr01/emoticons/smile_sarcastic.gifอุแม่เจ้า.........แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก...
เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข
*ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน
*เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง
*หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย..... กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน
น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!
http://gfx2.hotmail.com/mail/w3/pr01/emoticons/smile_cry.gifอุแม่เจ้าเทค 2
คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!
คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้าง ๆ
เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้
นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่
เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน
และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น ......
คำนวณเองบ้างซิว้อยย.....
เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่
ผลลัพธ์ที่ได้
เราจะทำยังไงกับมันดี .....
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อนั่งเอา


หัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอม


ให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า &#39; เงินเดือน &#39;
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ
ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ
ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน


เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี
บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น
ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น
แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความ
รู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ
ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า
และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม &#39; ฆ่าเวลา &#39; ชีวิตมันว่างจัด
ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย
บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล
เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี
อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ
ลองคิดแบบนี้บ้าง
ใช่แล้ว ... เราจะเกิดความเสียดาย
เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ
ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย .. ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า
เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ
ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว
ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก
ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง
รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว
ใช้เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้
กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล

....... คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด
ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น
แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง
เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน
ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก
ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ
อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก
รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ

http://gfx2.hotmail.com/mail/w3/pr01/emoticons/smile_omg.gif

เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่
http://gfx2.hotmail.com/mail/w3/pr01/emoticons/smile_baringteeth.gif
โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา

plyfha
01-20-2009, 05:16 PM
เรื่องเล่าสอนใจ กาแฟ กับถ้วยกาแฟ
มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แห่งหนึ่งของสยามประเทศ บรรดาศิษย์เก่าที่จบจากสถาบันนี้ แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพ มีชื่อเสียงในวงสังคม ตามวงการต่างๆ มากมาย มีทั้งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และที่กระท่อนกระแท่น ยังดิ้นรนอยู่ในหน้าที่การงานก็เยอะ

เนื่องในวาระ ที่อาจารย์พ่อซึ่งเป็นที่เคารพ ของศิษย์เก่าทุกคน เกษียณอายุ บรรดาศิษย์เก่า จึงถือเป็นโอกาสดี ที่จะกลับไปเยี่ยมสถาบัน เพื่อเลี้ยงสังสรรค์และรำลึกถึงอาจารย์พ่อ

หลังจากกินเลี้ยงกันมาได้พักใหญ่ วงสนทนาก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นการบ่นพร่ำเกี่ยวกับความเครียด ในการทำงานและ ปัญหาชีวิต แต่ละคน มีปัญหาแตกต่างกันออกไปมากบ้างน้อยบ้าง อาจารย์พ่อฟังปัญหาของลูกศิษย์ทุกคนอย่างตั้งใจ รับฟังโดยไม่มีคำวิจารณ์ หรือนำเสนอความเห็นของอาจารย์เลยแม้แต่น้อย

เมื่อฟังปัญหาของลูกศิษย์จบทุกคน อาจารย์พ่อเสนอเลี้ยงกาแฟกลุ่มลูกศิษย์เก่า ท่านเดินเข้าไปในครัว และออกมาพร้อมกับกาแฟเหยือกโตและถ้วยกาแฟ แบบต่างๆ บ้างเป็นถ้วยกระเบื้องบ้าง เป็นถ้วยพลาสติก และบ้างทำด้วยแก้ว มีถ้วยกาแฟหลายใบที่เป็นแบบพื้นๆ ธรรมดา บางใบ สวยวิจิตรสูงค่า

อาจารย์ ชงกาแฟใส่เหยือกมาให้แล้ว พวกเธอจัดการรินใส่แก้วดื่มกันเองนะ บรรดาลูกศิษย์ มองถ้วยกาแฟหลากหลาย ด้วยความสนใจ แล้วพากันเลือกถ้วยกาแฟพร้อมๆ กับรินกาแฟออกมาจากเหยือกใส่ถ้วยต่างกันออกไปเอามือไว้

เมื่อลูกศิษย์ทุกคนต่างมีถ้วยกาแฟในมือกันทุกคน แล้วอาจารย์พ่อ กล่าวว่า

&#39;ลองดูถ้วยกาแฟในมือของพวกเธอ กับถ้วยกาแฟที่เหลืออยู่ในถาดซึ่งไม่มีคนเลือกสิ สังเกตกันรึเปล่า…. ถ้วยสวยๆ แพงๆ ถูกเลือกไปหมด เหลือไว้แต่ถ้วยแบบธรรมดาราคาถูก เป็นเรื่องปกติ…ที่พวกเรามักจะเลือก สิ่งที่ดีที่สุดโดยลืมคิดถึงความต้องการที่แท้จริงของเราและ นี่คือที่มาของความเครียดและปัญ หาทั้งหลายในชีวิต&#39;

ความจริงวันนี้สิ่ง ที่พวกเราต้องการแท้จริงคือกาแฟ ไม่ใช่ถ้วยกาแฟ แต่จิตสำนึกกลับ นำพาเราไปเลือกที่ถ้วย มิหนำซ้ำยังคอยชำเลืองมองถ้วยของคนอื่นๆ อีกด้วย

หากชีวิตคือกาแฟ หน้าที่การงาน ตำแหน่งต่างๆ ในสังคม ก็คือ ถ้วยกาแฟ มันเป็นเพียงเครื่องมือ อุปกรณ์ช่วยหยิบจับหรือประคองชีวิตของเรา มันไม่ได้ทำให้เนื้อหาจริงๆ ของชีวิต เปลี่ยนไป บางครั้ง….การมัวเพ่งที่ถ้วยใส่กาแฟ มันก็จะทำให้เราลืมใส่ใจกับรสชาติของตัวกาแฟ

ถ้ารู้จักชีวิตที่แท้จริง….ของหรือตำแหน่งหน้าที่ มันก็แค่ส่วนเคลือบ ไม่ใช่เนื้อหาหรือแก่นแท้ที่สำคัญของชีวิต

noppakorn
01-21-2009, 10:09 AM
http://aksorn.com/images/document/1081000/0438_1.jpg


ในขณะที่คนไทยยกย่องให้ "ทุเรียน" เป็นราชาและ "มังคุด" เป็นราชินีแห่งผลไม้

เป็นที่ยอมรับกันว่าทุเรียนไทยมีรสชาติอร่อยและคุณภาพดีที่สุดในโลก ปัจจุบันมีการส่งออกไปขายยังสาธารณรัฐ ประชาชนจีนมากที่สุด ระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปี ทุเรียนจากเขตพื้นที่ ภาคตะวันออกจะออกสู่ตลาด คนไทยนิยมบริโภคทุเรียนกันมากมีผลทำให้ผลไม้ชนิดอื่น ๆ ที่ออกสู่ตลาดในช่วงเวลาเดียวกันมีราคาตกต่ำ ในขณะเดียวกันมักจะมีคำเตือนจากหมอว่าไม่ควรกินทุเรียนในปริมาณมากเกินไป บ้างก็ว่าในเนื้อทุเรียนมีปริมาณแป้งและไขมันสูง เป็นของแสลงของผู้ป่วยโรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูงและคนที่กลัวอ้วนทั้งหลาย

ขณะนี้มีเรื่องที่น่ายินดีที่จะทำให้คนที่บริโภคทุเรียนได้สบายใจขึ้น เพราะทุเรียนไม่ได้มีแต่เพียงความอร่อยอย่างเดียว รศ.ดร.ระติพร หาเรือนกิจ, รศ.ดร.สุมิตรา ภู่วโรดม จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกับ Professor Dr.Shela Gorinstein จากมหาวิทยาลัยฮิบบรูและคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยการเกษตรวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ได้ทำการศึกษาเชิงลึกของประโยชน์จากทุเรียนมีส่วนในการลดไขมัน ในเส้นเลือดในห้องปฏิบัติการและเมื่อทดลองกับหนูพบว่า ทุเรียนมีสารโพลีฟีนอลและสารฟลาโวนอยด์ ในปริมาณสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น โดยสารทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ

จากงานทดลองพบว่า
ทุเรียนที่มีความสุกพอดีจะมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าทุเรียนดิบหรือทุเรียนที่สุกเกินไป (ที่เรียกกันทั่วไปว่าทุเรียนปลาร้า) และยังพบว่าทุเรียน พันธุ์หมอนทอง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระดีกว่า พันธุ์ชะนี และ พันธุ์ก้านยาว นอกจากนั้นเมื่อมีการตรวจวิเคราะห์ แร่ธาตุอาหารที่มีอยู่ในเนื้อทุเรียน อ.สุมิตรา บอกว่า ทุเรียนมีปริมาณเส้นใยอาหารและธาตุเหล็กสูงมากซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เมื่อมีการเปรียบเทียบทุเรียนพันธุ์หมอนทองกับผลไม้เมืองร้อนชนิดอื่น พบว่ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่า สละ, มังคุด, ลิ้นจี่, ฝรั่ง และมะม่วงสุก ตามลำดับ

คณะผู้วิจัยยังได้นำทุเรียนไปเลี้ยงหนูทดลอง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่พิสูจน์ว่าทุเรียนมีดีจริงไม่ใช่ เพียงข้อมูลในห้องปฏิบัติการเท่านั้น จากการเลี้ยงหนูทดลองด้วยอาหารที่ผสมทุเรียนกับคอเลสเตอรอล พบว่า หนูทดลองที่ได้รับทุเรียนหมอนทองในอาหาร สามารถลดสารคอเลสเตอรอลทั้งหมดได้ 16% และลด LDL คอเรสเตอรอลได้ถึง 31.3% เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับอาหารที่มีคอเลสเตอรอล ผสมอย่างเดียว จากการทดลองในครั้งนี้ทำให้พบว่าถึงแม้ว่าในเนื้อทุเรียนจะมีปริมาณไขมันมากแต่ส่วนใหญ่เป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาย

จากงานทดลองในครั้งนี้ทำให้เห็นว่าทุเรียนจัดเป็นผลไม้ไทยอีกชนิดหนึ่งที่สามารถบริโภคเป็นอาหารและยาจัดเป็นผลไม้สุขภาพอีกชนิดหนึ่งของไทยแต่ควรจะบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ

ทั่นยาย
01-22-2009, 10:45 AM
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สำนักงานคณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์
126 ถนน ประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140
มือถือ : 08-1809-4631 , 08- 3913-3504
KING MONGKUT&#39;S UNIVERSITY OF TECHNOLOGY THONBURI
OFFICE OF THE DEAN, FACULTY OF ENGINEERING
126 Prachautit Rd. , Bangmod, Tungkru, Bangkok 10140 Thailand
Mobile: 08-1809-4631 ,08- 3913-3504

เรียน พี่ๆ น้องๆ และ เพื่อนที่เคารพ
ได้ทราบจากคุณวุฒิวงศ์ผู้เป็นเจ้าของ บริษัท วงศ์ธนาวุฒิ จำกัดว่า ได้ร่วมกับ เพื่อนๆ ประดิษฐ์ขาเทียม
สำหรับผู้พิการขาขาดตั้งแต่ เหนือ เข่า โดยเป็นเพียงรายเดียวที่สามารถประดิษฐ์ขาเทียม
ให้ผู้ที่สวมสามารถงอขานั่งพับเพียบและเดินได้เช่นคนปกติ ทำให้ผู้ พิการทุกคนที่ต้องการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ในการนี้ คุณวุฒิวงศ์ไม่ต้องการรับเงินบริจาคแต่อย่างใดเพียงแต่ ต้องการความช่วยเหลือ โดยหากท่านพบ
ผู้พิการในถิ่นห่างไกลที่ต้องการขา เทียมโปรดช่วยจดชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ให้แก่คุณวุฒิวงศ์โดยตรงที่
โทรศัพท์ 081-847 - 9374


ขออนุโมทนาในความเมตตาของทุกท่าน ขอผลบุญที่พวกท่านได้ กระทำในวันนี้
จงดลบันดาลให้ท่านและครอบครัวอยู่ เย็นเป็นสุข และมีความสุขตลอดไป สาธุ... สาธุ...สาธุ

piangfan
01-22-2009, 12:09 PM
http://gotoknow.org/file/phongphan/เปลวเทียน.jpg

แสงเทียนส่องธรรม
ด้วยใจใสพิสุทธิ์

อนุโมทนาสาธุ ค่ะ

สาธุค่ะ ทั่นยาย พี่นพ พี่ปลายฟ้า และทุกท่านค่ะ

grup&#39;/yo..เพียงฝัน

ตะวันส่องแสงธรรมนำ มิตรภาพไร้พรมแดน

ทั่นยาย
01-22-2009, 03:18 PM
ถึงเพื่อนผ้องและญาติธรรมทุกท่านค่ะ
เรื่องนี้อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจมาก ๆ เลยค่ะ

หัวเรื่อง : รับผ่าตัดฟรีสำหรับเด็กที่เป็นโรคหัวใจ
องค์กร : มูลนิธขนส่งความรัก ? สาขาประเทศไทย
ที่อยู่ : 1-3 ซ.พร้อมมิตร สุขุมวิท 39 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110
โทร. : 02-662-401201-923-4042,01-831-3143

สวัสดีครับ/ค่ะทุก ๆ ท่าน
ประเทศไทยกับประเทศเกาหลีมีความสัมพันธ์อันดีมาช้านาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อครั้งเกิดสงครามเกาหลี และประเทศไทยได้ช่วยส่งกำลัง ทหารมาร่วมรบ
ซึ่งประชาชนเกาหลียังระลึกอยู่เสมอ ขณะนี้ สมาชิกมูลนิธิขนส่งความรัก
ซึ่งเป็นคนขับรถแท็กซี่ในประเทศเกาหลี ได้ร่วมกันรณรงค์เพื่อช่วยเหลือเด็ก
ที่อาจจะเสียชีวิตเนื่องด้วยโรคหัวใจ การรณรงค์ดังกล่าวทำโดยการขายหมากฝรั่งอันละ 3-7 บาท
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 เป็นต้นมา ยอดบริจาคที่ได้รับ คิดเป็นจำนวนเงินเกินกว่า 60 ล้านบาท
และรายได้ดังกล่าวสามารถช่วยเหลือเด็กที่เป็นโครหัวใจได้ถึง 900 คน
ในปัจจุบัน มูลนิธิขนส่งความรักได้เข้ามาตั้งสาขาประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กไทย
ที่เป็นโรคหัวใจเช่นเดียวกับการช่วยเหลือเด็กชาวเกาหลี มูลนิธิจะสนับสนุนโอกาสให้เด็กที่เป็นสมาชิก
เข้ารับการรักษาที่ประเทศเกาหลี เพื่อให้มีชีวิตใหม่และมีสุขภาพดี
กรุณาติดต่อมูลนิธิของเราได้ตลอดเวลา ทางมูลนิธิยินดีจะสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือ
บำบัดรักษาโรคอย่างเต็มที่เพื่อช่วยชีวิตเด็กเหล่านั้นแม้เพียง 1 คน ก็ตาม
ข้อตกลงสำหรับผู้ที่จะเป็นสมาชิกมูลนิธิขนส่งความรัก สาขาประเทศไทย มีดังต่อไปนี้
1. อายุ : เป็นเด็กสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 0 -15 ปี
2. รายได้ของครอบครัว : ครอบครัวมีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน
3. ผู้ป่วยต้องเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ประเทศไทยก่อนที่จะเดินทาง
ไปผ่าตัดที่ประเทศเกาหลี
4. มูลนิธิขนส่งความรักประเทศเกาหลีจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการผ่าตัดทั้งหมด
5. มูลนิธิขนส่งความรัก สาขาประเทศไทยจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าเครื่องบินที่จะเดินทางไปประเทศเกาหลี
ประธานสาขาประเทศไทย : อธิการโบสถ์ Lee Kyu Sik
รองประธานสาขาประเทศไทย : Dr. Kim Se Hyun
ผู้จัดการ : Choi Young Mi
เจ้าหน้าที่สำนักงาน : Kwon Eun Suk

ทั่นยาย
01-24-2009, 09:26 PM
http://www.pama-deksri.com/images/1138555697/1138556475.jpg

Xin Nian Kwai Le ค่ะ ขอให้ทุกท่านและครอบครัว มีแต่ความสุข
มีโชคลาภ ร่ำรวยเงินทอง
มั่งมีศรีสุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีอายุยืนยาว เทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง มีแต่สิ่งดีๆตลอดไปนะคะ

plyfha
01-24-2009, 09:36 PM
ชายแก่เลยวัย 70 คนหนึ่งคุยกับลูกชายที่เพิ่งกลับมาเยี่ยม
หลังจากแต่งงานย้ายครอบครัวออกไปไม่กี่ปี

ชายแก่ : แจ๊ค (ชื่อลูกชาย) นั่นอะไรลูก? พ่อเห็นลางๆ
แจ๊ค : อ๋อ วัวหน่ะพ่อ
เวลาผ่านไป 2-3 นาที

ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรลูก?
แจ๊ค : วัวตัวเดิมนั่นแหละพ่อ ยังไม่ไปไหนเลย
ผ่านไปอีก 2-3 นาที

ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรอีกล่ะลูก?
แจ๊ค : (เริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด) วัวพ่อวัว !!
วัวตัวเดิมที่เพิ่งถามนั่นแหละ

เวลาผ่านไปอีก 2-3 นาที

ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรลูก?
แจ๊ค : (เริ่มทนไม่ไหว) เอ๊ะ!! พ่อนี่ยังไงนะ ถามซ้ำๆ ซากๆ อยู่ได้
ผมจะบอกครั้งสุดท้าย แล้วนะว่า วัว...!!

ผ่านไปอีก 2-3 นาที

ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรน่ะลูก?
แจ๊ค : โอ๊ย!!! พ่อเลอะเลือนแล้ว คุยกันไม่รู้เรื่อง
ผมไม่คุยกับพ่อแล้ว แล้วแจ๊คก็ผละจากพ่อไปอย่างอารมณ์เสียเป็นที่สุด

เวลาผ่านไป จวบจนตอนเย็น

ได้เวลาอาหารค่ำ เมื่อไม่เห็นผู้เป็นพ่อลงมา
แจ๊คจึงเดินขึ้นไปตามที่ห้อง ณ ที่นั่น เขาได้พบชายแก่
นั่งเหม่อลอย ข้างๆ มีไดอารี่เก่าๆ เล่มหนึ่งที่เพิ่งเขียนบันทึกในวันนี้เสร็จ
แจ๊คถือวิสาสะเข้าไปอ่าน ความว่า...ครั้งหนึ่งเมื่อ 40กว่าปีก่อนมาแล้ว
เรามีลูกชายคนหนึ่งที่เรารักมากที่สุด
เราตั้งชื่อเค้าเองว่า...แจ๊ค
ในวันที่อากาศแจ่มใสวันหนึ่ง เราพาแจ๊คออกไปเดินเล่น
ตอนนั้นแจ๊คกำลังพูดได้เก่งทีเดียว
เราพาเค้าไปนั่งที่สวนหลังบ้าน
พอดีมีวัวผ่านมา... แจ๊คถามเราว่า พ่อ นั่นอะไร...วัวไงลูก
เราตอบ เวลาผ่านไป
อีกไม่ถึงนาที แจ๊คก็ถามคำถามเดิมเราอีก เราก็ตอบเช่นเดิมอีก
เป็นอย่างนี้อย ู่ถึง 25 ครั้ง
... เราไม่เคยเบื่อหน่ายเลยที่จะตอบคำถามเดิม ๆ เหล่านั้น
เรากลับรู้สึกดีใจอย่างที่สุดที่ลูกสนใจเราอย่างไม่เบื่อหน่าย...
แต่ในวันนี้ ณ ที่แห่งเดิม คน 2 คน ที่เคยถามคำถามเดียวกัน
หากแต่ว่าเราเป็นฝ่ายถาม แจ๊คเป็นฝ่ายตอบ... เพียง 5
ครั้งเท่านั้นลูกก็ตวาดเสียงดังใส่เรา หาว่าเราเลอะเลือน
รังเกียจแม้แต่จะคุยกับเราต่อไป...
เมื่ออ่าบจบแจ๊ครู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ พ่อเลี้ยงเขามาอย่างดี
แต่วันนี้สิ่งที่เขาทำให้ท่านคือ การตวาดเสียงดัง
ไม่พูดด้วยแล้วก็เดินหนีไป เขาตระหนักว่า
เขาได้ทำสิ่งผิดพลาดซึ่งเขาเองแทบไม่รู้ตัว

แล้วคุณล่ะ วันนี้คุณได้ทำอะไรดี ๆ ให้ท่านเหล่านั้นหรือยัง

ทั่นยาย
01-28-2009, 03:38 PM
สวัสดีค่ะ พี่นพกรณ์ ตาเปา ตะละแม่เกิดแก่ น้องโดด
น้องอ๋อย เพียงฝัน ปลายฟ้า ทั่นบีบี ครูวิทย์ ทั่นพญามาร
เจ้าป้าฯ ทั่นแปดคิว ลัคกี้ ตะขบ และญาติธรรมทุกๆท่านค่ะ

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/576/2576/images/SamLong03.jpg
ขั้นตอนการทำน้ำสำรองค่ะ


5 ข้อดีของน้ำสำรอง...ที่ไม่เป็นรองใคร


ไม้ผลเม็ดเล็กๆ สีน้ำตาลแก่ดูแปลกตานี้มีชื่อว่า "สำรอง" ค่ะ เป็นไม้ผลพื้นเมืองซึ่งพบมากในแถบภาคตะวันออก โดยเฉพาะในจังหวัดจันทบุรีและตราด ส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีอยู่ที่อุบลราชธานี ซึ่งเรียกว่า "หมากจอง" และทางใต้เรียกว่า "พุงทะลาย"

ในสมัยก่อนนิยมนำผลสำรองแช่น้ำ รับประทานร่วมกับน้ำตาล เป็นของหวานตำรับชาววังและถือเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ เพราะสรรพคุณดีๆ ของลูกสำรองตามตำรับยาไทยมีมากมาย ดังนี้ค่ะ

แก้เจ็บคอและแก้ไข้ ใช้ลูกสำรองราว 10-20 ลูก ต้มกับชะเอมจีนพอหวาน จนได้น้ำยาเข้มข้น จิบน้ำสำรองบ่อยๆ ช่วยแก้ไข้เจ็บคอดีนัก

แก้ไอขับเสมหะ ใช้ลูกสำรอง 3-5 ลูก แช่ลงในน้ำ 1 แก้ว จนพองเป็นวุ้น ต้มให้เดือดสักพักและเติมรสหวานตามใจชอบ ดื่มทั้งเนื้อวุ้นและน้ำครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 เวลาก่อนอาหาร

แก้ร้อนใน หากในวันที่อากาศร้อนก็สามารถเรียกหาน้ำสำรองดื่มสัก 1-2 แก้ว แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ทำให้ชุ่มคอ และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้

แก้ตาอักเสบ โดยนำผ้าก๊อซชุบน้ำพอชื้นแล้วนำไปวางทับบนตาที่อักเสบ จากนั้นจึงวางแผ่นเปลือกหุ้มเมล็ดลูกสำรองที่แช่น้ำแล้วลงบนผ้าก๊อซ เปลือกหุ้มเมล็ดนั้นจะพองตัวเป็นวุ้นแทรกซึมในผ้าก๊อซ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บตาและตาอักเสบอย่างได้ผล

ลดความอ้วน เพราะกากใยสูงในน้ำสำรองนี้เอง จึงมีสรรพคุณที่ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย และทำให้อิ่มท้องจากการพองตัวของเนื้อสำรอง การดื่มน้ำสำรองจึงช่วยควบคุมน้ำหนักได้

รู้ข้อดีอย่างนี้แล้ว ต้องบอกว่าผลสำรองไม่ได้เป็นสองรองใคร และยังเป็นเครื่องดื่มคุณภาพที่เต็มไปด้วยคุณค่าต่อร่างกายของเราจริงๆ

หากท่านใดทำน้ำสำรองดื่ม เผื่อทั่นยายสักโอ่งด้วยนะคะ อิ อิ

plyfha
01-28-2009, 08:41 PM
นานมาแล้ว มีต้นแอปเปิ้ลใหญ่อยู่ต้นนึง
และก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ
คนนึง
ชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆและเล่นรอบๆต้นไม้นี้ทุกๆวัน

เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม้ และก็กินผลแอปเปิ้ล

และก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปิ้ล
เขารักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขา

เวลาผ่านไป เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว

วันหนึ่ง เด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้ เด็กน้อยดูเศร้า
&#39; มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ
&#39; ต้นไม้ถาม
&#39;ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆต้นไม้อีกแล้ว
ฉันต้องการของเล่น ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่น&#39; เด็กน้อยตอบ
&#39;ฉันไม่มีเงินจะให้ ....เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายสิ

เพื่อเอาเงินไปซื้อของเล่น
&#39; ต้นไม้ตอบ
เด็กน้อยตื่นเต้นมาก เขาเก็บลูกแอปเปิ้ลไปหมด และจากไปอย่างมีความสุข
หลังจากเขาเก็บแอปเปิลไปหมดแล้ว เขาไม่กลับมาหาต้นไม้อีกเลย
ต้นไม้ดูเศร้า
....
วันหนึ่ง เด็กน้อยกลับมา เขาดูโตขึ้น ต้นไม้รู้สึกตื่นเต้นมาก

&#39;มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ&#39; ต้นไม้ถาม
&#39;ฉันไม่มีเวลามาเล่นหรอก ฉันมีครอบครัวแล้ว

ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉันเอง
เราต้องการบ้าน ช่วยฉันได้ไหม
&#39; &#39;ฉันไม่มีบ้านจะให้ แต่... ตัดกิ่งก้านของฉันไปสิ ....เอาไปสร้างบ้าน&#39;
ดังนั้นเด็กน้อยตัดกิ่งก้านทั้งหมดของต้นไม้ไป และจากไปอย่างมีความสุข


อีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า
....
วันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กน้อยกลับมา
ต้นไม้ดีใจมาก
&#39;มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ&#39; ต้นไม้ถาม
&#39;เปล่า ฉันรู้สึกผิดหวังกับชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น

ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม
&#39;
&#39;ใช้ลำต้นของฉันได้ เอาไปสร้างเรือ เพื่อเธอจะได้เล่นเรือไปและมีความสุข&#39;

ต้นไม้ตอบ
ดังนั้น เด็กน้อยตัดลำต้นของต้นไม้ไปสร้างเรือ
เขาล่องเรือไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย

หลายปีผ่านไป ในที่สุดเด็กน้อยกลับมา
คราวนี้เขาดูแก่ลงไปมาก
&#39;ฉันเสียใจ ฉันไม่เหลืออะไรจะให้อีกแล้ว
ไม่มีผลแอปเปิ้ลให้ ...ฉันไม่มีลำต้นให้ปีนอีกแล้ว&#39;

&#39;ฉันไม่มีฟันจะกินแล้ว

ฉันปีนไม่ไหว และฉันก็แก่แล้ว
&#39; เด็กน้อยตอบ

&#39;ฉันไม่มีอะไรเหลือให้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย&#39;
&#39;ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว&#39;
&#39;รากของต้นไม้แก่ๆ จะเป็นที่พักพิงของหนูได้
...... มาสิ นั่งลงข้างๆฉัน ...หลับให้สบาย...&#39;
เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ ยิ้ม
...และน้ำตาไหล........

นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆคน ต้นไม้ในเรื่องคือพ่อแม่

เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ เรารักที่จะเล่นกับพ่อกับแม่...

เมื่อเราโตขึ้น เราทอดทิ้งพ่อ และแม่ และกลับมาหาท่าน

เมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อเรามีปัญหา

ไม่ว่าอย่างไร
...พ่อ และแม่ของเราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งอย่างที่ท่านทำได้

หวังเพียงเรามีความสุข
คุณอาจจะคิดว่า
&#39;เด็กน้อย&#39; ในเรื่องโหดร้าย

แต่นั่นคือความจริงที่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเราทำกับผู้มีพระคุณอย่างไร
?
........ แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ ....... เด็กน้อย .....???

ทั่นยาย
02-05-2009, 01:43 PM
สวัสดีค่ะ พี่นพกรณ์ ตาเปา ตะละแม่เกิดแก่ น้องโดด
น้องอ๋อย เพียงฝัน ปลายฟ้า ทั่นบีบี ครูวิทย์ ทั่นพญามาร
เจ้าป้าฯ ทั่นแปดคิว ลัคกี้ ตะขบ และญาติธรรมทุกๆท่านค่ะ


รู้ไว้ใช่ว่า.....

คุณค่ามหัศจรรย์ของ Vicks Vaporub เป็นข้อมูลที่ได้รับข้อความ
จากต่างประเทศที่ได้พบวิธีลดการไอ ด้วย Vicks Vaporub
และได้ผล 100% …. ด้วยเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้ มีการวิจัยจาก
Canada Reserch Council พบว่า การทา Vick Vaporub

ที่ใต้ฝ่าเท้าและสวมถุงเท้านอน จะลดการไอได้ผล 100%
และถือเป็นการยืนยันจากผู้ที่เคยทดลอง ทั้งเด็กและ ผู้ใหญ่ที่เวลานอน
มีอาการไอและสามารถลดการไอ ได้อย่างอัศจรรย์ ( Amazing!)
พวกเราถ้าใครมีปัญหาดังกล่าว ก็นำไปลองทำดู หากใช้ได้ผล....
ช่วยแจ้งบอกคนอื่นๆด้วย ถือเป็นวิทยาทาน และ ช่วยให้คนหายป่วยจาก
การไอที่ทุกข์ทรมารจะได้ผลบุญอันยิ่งใหญ่

สุดท้าย ขอให้อาการที่เคยไอจงหายไป การนอนไม่หลับหรือรู้สึกรำคาญ
เวลานอนไม่สามารถหลับต่อเนื่องก็จะหมดไป
ที่สำคัญบุตรหลานที่เคยต้องทนทุกข์กับการกินยาแก้ไออย่อย่างต่อเนื่อง
( อาจมีผลข้างเคียงก็ทำให้ผู้ปกครองหมดกังวลทั้งเรื่องรายจ่าย และ
ความปลอดภัยของผลข้างเคียงต่อเด็กๆ) อย่าลืม forward mail ดีๆ
เช่นนี้ให้กับคนที่คุณรักและ ห่วงใย เพื่อสังคมและพวกเราคนไทยทั่วประเทศค่ะ
เพื่อโปรดทราบและนำไปลองปฏิบัติค่ะ

ขอขอบคุณผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์นี้ ขอให้มีแต่ความสุขกาย สุขใจตลอดไปค่ะ

paobunjin
02-07-2009, 03:32 PM
เอามาฝากครับ
(dhamm33)

รบกวนช่วยกันส่งต่อไปยังบุคคลที่เป็นเบาหวานครับ (รพ มศว)

ในประเทศไทยมีผู้ป่วยเป็นเบาหวาน ที่ต้องรักษาแผลที่เท้า และต้องถูกตัดขาปีละ 40,000 ราย ( สี่หมื่นราย!!! ) ปัจจุบันนี้ได้มีความพยายามในงานวิจัยโดยความร่วมมือกับ คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมกับ พตอ.นพ.ไพบูลย์ มะระพฤกษ์วรรณ โรงพยาบาลตำรวจ และ นพ.ณรงค์ชัย ยิ่งศักดิ์มงคล ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ คลอง16 ถนนรังสิต-นครนายก ได้ช่วยผู้ป่วยให้ไม่ต้องถูกตัดขาไปแล้วหลายราย หากท่านใดมีญาติที่เป็นเบาหวาน มีแผลที่เท้า และมีปัญหาในการดูแลรักษา กรุณาช่วยประชาสัมพันธ์ให้ด้วยครับ

ติดต่อโดยตรงกับผู้ประสานงานโครงการ
คุณวุฒิพันธ์ บุญญกาญจน์ Tel. 081-3024707

ในงานวิจัยนี้ผู้ป่วยทุกรายจะได้รับการดูแลรักษาเรื่อง เบาหวานขึ้นจอประสาทตาด้วย โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น กรุณาบอกบุญเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ขาดทางเลือกในการรักษาด้วยครับ ขออุโมทนาบุญที่ได้ร่วมกันด้วย ขอบคุณครับ

noppakorn
02-13-2009, 02:35 PM
คนซื่อสัตย์ คือ สมบัติของพระราชา
ที่มา หนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับวันศุกร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑

เมื่อหลายปีก่อน (ประมาณสัก ๑๓ปี) มีนักธุรกิจคนหนึ่งไปหาอาตมาที่วัดสุทัศน์ฯ
เป็นนักธุรกิจที่ทำงานอยู่กับคุณเจริญ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี
เมื่อพบกัน ท่านผู้นี้ก็แจ้งความประสงค์ของการมาพบ และเล่าเรื่องที่เป็นจุดประสงค์ ดังนี้...
" ท่านคงพอจะจำผมได้นะครับ เราเคยพบกันที่บ้านของคุณเจริญ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี
ผมมีเรื่องอยากจะเล่าให้ท่านฟังดังนี้ว่า เมื่อก่อนผมเป็นครูสอนวิชาภูมิศาสตร์และวิชาประวัติศาสตร์
ปกติผมต้องไปค้นคว้าข้อมูลในหอสมุดแห่งชาติ ต่อมา ก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งผูกเปีย ๒ ข้างเข้าไปค้นข้อมูลอย่างจริงจัง ว่างก็สนทนากันถึงเรื่องวิชาการ ...
อยู่มาวันหนึ่งนักเรียนหญิงคนนั้นก็ชวนผมไปเที่ยวบ้าน โดยบอกว่าจะให้พ่อเลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อ ในฐานะที่ให้ความรู้ด้านวิชาการ โดยมีการนัดแนะกันที่พระราชวังดุสิต สวนจิตรลดา โดยเธอบอกว่าเมื่อเข้าประตูที่ ๑
แล้วขอให้บอกแก่คนที่เฝ้าประตูด้วยคำพูดนี้ (เป็นคำเฉพาะ) ...
ครั้นถึงวันนัดหมายผมก็เดินทางไปโดยรถแท็กซี่ เมื่อเข้าประตูผมก็มิได้สงสัย คงบอกเจ้าหน้าที่ตามนั้น
ครั้นถึงขั้นที่ ๒ ผมก็บอกตามนั้นอีก เจ้าหน้าที่ก็อัธยาศัยดี ให้ความเคารพผมอย่างยิ่ง
แต่พอถึงขั้นที่๓ ผมก็เริ่มเห็นภาพชัดเจนว่า...แท้ที่จริงเด็กผู้หญิงคนนั้นคือ
" สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี " ซึ่งตอนนั้นยังมิได้เฉลิมพระยศนี้......
ท่านครับ พอผมนึกออกก็เริ่มสั่นแล้ว แต่เหตุที่ผมนึกไม่ออกนั้น เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่า
เจ้าฟ้าจะสนพระทัยในวิชาการอย่างจริงจัง เวลาค้นคว้าก็ทรงสืบค้นด้วยพระองค์เองทุกอย่าง
ทรงค้นคว้าและจดจำอย่างขมีขมัน โดยมิได้มีข้าราชบริพารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพระองค์
และเวลาที่ทรงสนทนาก็ให้ความนับถือคู่สนทนา ยิ่งรู้ว่าผมเป็นครูสอนวิชาดังกล่าว...
เมื่อผมรู้ว่านักเรียนหญิงคนนั้นคือสมเด็จพระเทพฯ ผมก็ประหม่า
และแล้วรถแท็กซี่ก็ถึงที่นัดพบ
สักครู่พระองค์ก็เสด็จออกมาแล้วตรัสปฏิสันถาร ถึงตอนนี้ผมก็ก้มลงกราบกับพื้น
และที่ทำให้ผมสั่นยิ่งขึ้นก็คือ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณพ่อของเด็กผู้หญิงคนนี้คือ

"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "
... ท่านครับ สักครู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จออกมา ทรงมีพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มแล้วตรัสว่า
" เห็นลูกสาวบอกว่าเป็นเพื่อนกัน "
เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ ผมก็ก้มลงกราบด้วยความประหม่าเป็นที่สุด แล้วกราบบังคมทูลว่า
" มิเป็นการบังอาจ พระพุทธเจ้าข้า "
... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณตรัสว่า
ขอให้ทำตัวตามปกติไม่ต้องประหม่าหรือกลัวแต่อย่างใด
พระองค์ตรัสขอบใจที่ได้เป็นเพื่อนสนทนาในวิชาการดังกล่าว จากนั้นพระองค์ก็ตรัสว่า
" อันที่จริงก็มีผู้อยากขอเข้าเฝ้าฯ เป็นจำนวนมาก
บางรายก็ขอนำเงินขึ้นทูลเกล้าถวาย แต่เราก็ไม่สามารถจะรับเงินของบางคนได้
เราจะรับเงินของเขาได้อย่างไร ในเมื่อเงินที่เขานำมาถวายเรานั้น เป็นเงินที่เกิดจากการขายแผ่นดินของเรา
เราจึงรับเงินนั้นไม่ได้
... ถ้าจะถามพระราชาอย่างเราว่าพระราชาอย่างเราต้องการอะไร เราก็ขอตอบว่า...พระราชาอย่างเราต้องการ
คนที่ซื่อสัตย์ เพราะคนที่ซื่อสัตย์ คือ สมบัติของพระราชาอย่างเรา"
... ท่านครับ ผมก้มลงกราบถวายบังคมพระองค์อีกครั้ง ด้วยความซาบซึ้งน้ำตาไหล
ในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้แก่ครูสอนหนังสือเล็กๆ คนหนึ่ง
พระราชดำรัสของพระองค์มีคุณค่ายิ่งต่อชีวิตของผม จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว
เป็นอาหารที่ผมรับประทานแล้วอิ่มตลอดชีวิต........
... ท่านครับ จากวันนั้นมา ชีวิตผมก็เปลี่ยนแปลงไป โดยที่ผมเองก็มิได้รู้ว่าทำไม
ชีวิตของผมซึ่งเป็นครูต้องเปลี่ยนแปลงงานที่ทำโดยมิได้ตั้งใจ ชีวิตเจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ
แต่พระราชดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้นั้นจารึกอยู่ในใจผมเสมอ
... ผมอยากจะเรียนท่านให้ทราบเพียงเท่านี้แหละครับ

ถ้าท่านจะกรุณานำไปเล่าให้คนทั้งหลายได้รับทราบ ก็จะเป็นลาภของคนที่ฟัง
เขาจะได้รู้ว่าพวกเขาควรทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนของพระราชา
อาจารย์ท่านนี้เมื่อเล่าจบก็ลากลับด้วยสีหน้าที่อิ่มสุขและน้ำตาที่คลอเบ้าตา
มิใช่เพียงอาจารย์ท่านนี้ที่อิ่มสุขเท่านั้น
อาตมาเองซึ่งเป็นผู้ฟังก็อิ่มสุขน้ำตาคลอเบ้าเช่นเดียวกัน

บทความของ พระราชวิจิตรปฏิภาณ วัดสุทัศน์

ทั่นยาย
02-15-2009, 11:27 AM
พี่นพจ๋าข้อความขาดระเบียบมากมายค่ะมาจัดระเบียบให้ด้วยค่ะ
คนแก่อ่านแล้วตาลายเป็นม้าลายเลยค่ะ อิ อิ

ข้อความนี้เห็นว่ามีประโยชน์ก็เลยฝากมาบอกญาติธรรมทุกท่านค่ะ

1) Answer the phone by LEFT ear ฟังโทรศัพท์โดยใช้หูซ้าย
2) Do not drink coffee TWICE a day อย่าดื่มกาแฟถึง 2 ครั้งต่อวัน
3) Do not take pills with COOL water อย่ากินยาพร้อมกับน้ำเย็น (ใส่น้ำแข็ง)
4) Do not have HUGE meals after 5pm. อย่ากินอาหารมื้อใหญ่ หลังจาก 5 โมงเย็นไปแล้ว
5) Reduce the amount of OILY food you consume ลดปริมาณอาหารประเภทไขมัน ลงจากที่เคยกินซะบ้าง
6) Drink more WATER in the morning, less at night ดื่มน้ำให้มากในตอนเช้า และลดน้อยลงในตอนกลางคืน
7) Keep your distance from hand phone CHARGERS อยู่ห่าง ๆ จากการชาร์ตแบตโทรศัพท์มือถือ
8 ) Do not use headphones/earphone for LONG period of time อย่าใช้อุปกรณ์หูฟังเป็นเวลายาวนาน
9) Best sleeping time is from 10pm at night to 6am in the morning เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการนอนพักผ่อน คือ 22.00-06.00 น.
10) Do not lie down immediately after taking medicine before sleeping อย่าล้มตัวนอนทันทีหลังจากกินยาก่อนนอน
11) When battery is down to the LAST grid/bar, do not answer the phone as the radiation is 1000 times.
เมื่อโทรศัพท์เหลือแบตเตอรี่ถึงขีดสุดท้าย , พยายามอย่าใช้เพราะมันจะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าถึง 1000 เท่าตัว
12) Forward this to those whom you CARE about! ส่งต่อข้อความนี้ให้กับคนที่คุณห่วงใย

อนุโมทนาและขอบคุณผู้ที่รวบรวมข้อมูลอันเป็นประโยชน์เหล่านี้ค่ะ
ขอให้ท่านและครอบครัวมีแต่ความสุขกาย สุขใจ เจริญในทุกๆด้านค่ะ

noppakorn
02-19-2009, 05:44 PM
ลิงกับลา
หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัวคือ ลิงและลา

วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง
เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ ได้รับความเสียหาย

ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อยๆ คลายปมเชือกออกจาก
คอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้นห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจน
ทำให้ข้าว ของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะ
ที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ

สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาดเจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่าง ก็รีบเอาเชือกมาผูกคอ
ตนไว้ย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง

ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้น กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิด โทสะขึ้นทันที
หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่องและเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เองคือตัวปัญหา ทำให้กระท่อม
ของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมาทุบตีลาอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสาร
ก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำ อะไรได้เลย

เธอทั้งหลาย...

เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นักเพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของทำโทษ จนตาย ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้นและไม่ได้รับผลกรรมใดๆ แต่ แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ ต้องการชี้ให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำ ของหญิงชาวบ้านที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้ เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตาม
ความรู้สึกและประสพการณ์ส่วนตัว เธอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่าลาคงเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือกและไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย
เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือ ลิง
ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลยเพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน


เหตุที่องค์กรของเราต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวัน
นี้ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำ ที่ "ปล่อยให้ลิง
สร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์" ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติ
งานได้ตามหน้าที่ แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจา
ตรงไปตรงมาแต่ไร้เลห์เหลี่ยม ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาด
แกมโกง พูดมากพรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด
แต่ไม่เคยทำงานจริง นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริง
ว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ไม่มีทางรู้

ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่
รายงานในห้องประชุม รู้จักยอมเสียสละตน สละเวลา
อีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริงเพื่อควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่
เช่นนั้น องค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าลิงสงบได้องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไป
ด้วย

piangfan
02-19-2009, 08:40 PM
นมัสการพระคุณเจ้าค่ะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์เดฟ อาจารย์ดาว ลุงโจ คุณป้าวรรณ
พี่นพกรณ์ ลุงเปา พี่เกิดแก่ พี่โดด พี่อ๋อย
ทั่นยาย พี่ปลายฟ้า ลุงบีบี ครูวิทย์พี่พญามาร เจ้าป้าฯ
ทั่นแปดคิว ลัคกี้ ตะขบ และญาติธรรมทุกๆท่านค่ะ


แวะมาอ่าน สาระดีๆของทุกท่านค่ะ
ทั่นยายขา!! ใช่ทั่นยายตาลายคนเดียวค่ะ
เพียงฝัน ตา งง ค่ะ
พี่นพขา!! ออกมาไวๆค่ะ บทความพี่นพค่ะ
สงสัยเป็นลูกเล่นอันใหม่ๆค่ะ อิอิ

grup&#39;/yo..เพียงฝัน

ตะวันส่องแสงธรรมนำ มิตรภาพไร้พรมแดน

ทั่นยาย
02-19-2009, 09:15 PM
ใช่ค่ะเพียงฝันจ๋า สงสารลาก็สงสาร...สงสารตาตัวเองด้วยค่ะ
ยิ่งหูตาฝ้าฟางอยู่ด้วย มาอ่านแบบปราบเซียนเช่นนี้
ตาเป็นลายสกอตต์เลยค่ะ พี่นพจ๋าแกล้งคนแก่บาปนะรู้มั้ยคะ แหะ แหะ

เกิดแก่
02-20-2009, 02:43 AM
กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ

สวัสดีค่ะ พี่ชายนพกรณ์ ท่านลุงเปา ท่านบีบี ท่านยาย ท่านพญามาร
น้องโดด น้องอ๋อย น้องเพียงฝัน น้องปลายฟ้า เจ้ากี้ และญาติธรรมทุกๆท่าน

โธ่ โธ่ โธ่....สงสารท่านยายจังเลยค่ะ นี่แหละน๊า ที่เขาเรียกว่าขาดการพิจารณา
ใช่ไหมค่ะท่านพี่ชายฯ ท่านบีบี ท่านลุเปา

19 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 12.00-14.00 น.
วันนี้ เกิดแก่ได้ถูกพิจารณาคัดสรร แหม..ฟังดูเหมือนเป็นบุคคลที่เหมาะสม
กับกาลเช่นนี้ซะเต็มประดา เริ่มเรืองกันเลยดีกว่านะค่ะ เรื่องก็มีอยู่ว่า วันนี้
ทางหน่วยงาน ได้พิจารณาให้โอกาสเกิดแก่ไป โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์
เพื่อเข้ารับการฟังบรรยายธรรม เรื่อง "วิถีสู่ศานติสุขในโรงพยาบาล" บรรยาย
โดยท่านพระอาจารย์ ไพศาล วิสาโล สาธุ สาธุ สาธุ ครั้งแรกที่เห็นหัวข้อ
เรื่องก็เดาๆเอาเองว่าคงจะเป็นเรื่องการบ้านการเมืองหรืออย่างไร จวบจน
พระคุณเจ้าท่านเปิดประเด็นของเรื่อง โดยความว่า สัมพันธ์ภาพที่ดีเกิดขึ้นระหว่าง
ผู้รับบริการหรือผู้ป่วยกับผู้ให้บริการหรือแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าฯลฯ
อื่ม....ความเมตตา กรุณา ที่เราหยิบยื่นให้กับเพื่อนมนุษย์ นั้นไม่เพียงพอ
เสียแล้วหรือนี่ ต้องเพิ่มสัมพันธ์ภาพเข้าไปด้วย เอาแล้วซี เกิดแก่เอ๋ย..
เจ้าคงต้องดัดจริตตัวเองอีกแล้ว โอ้ย..โอดครวญ..
ท่านพระอาจารย์บรรยาย ไปเรื่อย ๆ จนไปถึงเรื่องของ น้ำใจ เกิดแก่
เพิ่งจะได้รู้วันนี้เองว่า น้ำใจ เป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาเอง
โดยกำเนิด จริงไหมหนอต้อง ศึกษาและค้นหากันตอไป เขียนไปเขียนมา
ได้เรื่องต่อเนื่องระหว่างเรื่อง ลากับลิงของพี่ชายเข้าพอดิบพอดี นี่แหละน๊า..
สัมพันธ์ภาพระหว่างลากับ หญิงชาวบ้านขาดหายไปจนเกิดทัศนคติที่ไม่ดีจึง
เกิดการด่วนสรุปอย่าง มิได้พิจารณานี่ก็แสดงให้เห็นว่าหญิงชาวบ้านขาด
หลักธรรมะสังคหวัตถุ4 หรือพรหมวิหาร 4 กันละค่ะเนี่ย วอนท่านผู้รู้ช่วย
แถลงแจ้งให้ทราบเพื่อเป็น ทานแก่ผู้ด้อยด้วยสติปัญญาเช่นเกิดแก่ด้วยเถิดค่ะ

ทั่นยาย
02-20-2009, 08:43 AM
อนุโมทนาสาธุกับตะละแม่เกิดแก่ด้วยค่ะ ได้ฟังธรรมจากผู้ทรงธรรม
ความฉ่ำใจในธรรมจึงบังเกิดฉะนี้แล

" น้ำใจเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาเองโดยกำเนิด
จริงไหมหนอต้องศึกษาและค้นหากันตอไป "

ในความคิดเห็นของทั่นยายเชื่อว่าจริงแท้แน่นอนค่ะ เพราะน้ำใจไม่มีแหล่งกำเนิด
ในธรรมชาติ ไม่มีให้ซื้อขายกันในท้องตลาด ดังนั้นน้ำใจจึงเกิดขึ้นเองในใจคน
เท่านั้นค่ะ แต่จะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลค่ะ ในยุคสมัยนี้แหล่งน้ำในธรรมชาติเริ่มเหือดแห้งลงเรื่อยๆ น้ำใจของคนก็เริ่มเหือดหายเช่นกันค่ะ
อะไรคือสาเหตุ และจะแก้ไขกันอย่างไรดี อันนี้คงต้องขึ้นอยู่กับผู้ที่จะมาแก้ไขปัญหาค่ะ
เพราะการแก้ปัญหาแหล่งน้ำตามธรรมชาตินั้นมีมากมายหลายวิธี แล้วแต่จะเลือก
ตามความเหมาะสม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องธรณีวิทยาและสิ่งแวดล้อมจะเป็นผู้บอกได้
อย่างดีค่ะ ว่าวิธีไหนเหมาะสม แต่ผู้ที่จะมาแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำใจคนเหือดหายนั้น
จะเป็นใครดีล่ะคะจึงจะเหมาะสม..ก็ฝากไว้ให้คิดกันเป็นการบ้านแล้วกันค่ะ

แต่คงไม่ใช่ทั่นยายแน่นอนค่ะ เพราะทั่นยายหน่ะถนัดก่อปัญหาไม่ถนัดแก้ปัญหาค่ะ อิ อิ

piangfan
02-20-2009, 12:21 PM
นมัสการพระคุณเจ้าค่ะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์เดฟ อาจารย์ดาว ลุงโจ คุณป้าวรรณ
พี่นพกรณ์ ลุงเปา พี่เกิดแก่ พี่โดด พี่อ๋อย
ทั่นยาย พี่ปลายฟ้า ลุงบีบี ครูวิทย์พี่พญามาร เจ้าป้าฯ
ทั่นแปดคิว ลัคกี้ ตะขบ และญาติธรรมทุกๆท่านค่ะ


สาธุ ค่ะ พี่เกิดแก่ ทั่นยาย

วาววับงดงามดั่งเทพธิดาพี่เกิดแก่นี่เองค่ะ


grup&#39;/yo..เพียงฝัน

ตะวันส่องแสงธรรมนำ มิตรภาพไร้พรมแดน

ทั่นยาย
02-20-2009, 05:23 PM
I t can happen anywhere. Better be careful than sorry!
มันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ควรระวังมากกว่าเสียใจ

Buying Cut fruit -Beware - better cut it yourself.
การซื้อผลไม้หั่นแล้ว - ระวัง - หั่นเองดีกว่า

Importance: High
ระดับความสำคัญ : สูง

It happens in Singapore - Waterloo Street.
A 10 year old boy, had eaten pineapple about 15 days back, and fell sick, from the day he had eaten. Later when he had his Health check done...
มันเกิดขึ้นที่ สิงคโปร์ - ถนน วอเตอร์ลู เด็กชายวัย 10 ขวบได้รับประทานสับปะรด
15 วันก่อนหน้าที่จะไม่สบาย หลังจากนั้น เมื่อเขาได้ไปตรวจสุขภาพ

Doctors diagnosed that he had AIDS. His parents couldn&#39;t believe it...Then the entire family under went a checkup...
หมอวินิจฉัยว่า...เขาเป็นเอดส์
พ่อแม่เด็กไม่อยากจะเชื่อดังนั้
นทั้งครอบครัวจึงตรวจสุขภาพด้วย

None of them suffered from Aids.
ไม่มีใครในครอบครัวที่ติดเอดส์

So the doctors checked again with the boy if
ดังนั้นหมอจึงตรวจอีกครั้ง และถามว่าได้กินอะไรเข้าไปรึเปล่า

He had eaten out...The boy said &#39;yes&#39;. He had pineapple that evening.
เด็กตอบว่า "ใช่ฮะ" วันนั้นเด็กได้กินสับปะรด ในตอนเย็น

immediately a group from the hospital went to the pineapple vendor to check.
ทันใดนั้น มีกลุ่มหนึ่งจากรพ. ได้ไปที่คนขายสับปะรดเพื่อตรวจสอบ

They found the pineapple seller had a cut on his finger while cutting the pineapple; his blood had spread into the fruit.
พวกเขาพบว่า คนขายสับปะรด ได้ทำมีดบาดนิ้วตอนหั่นสับปะรด
เลือดของเขากระจายลงไปที่ผลไม้

When they had his blood checked...the guy was suffering from AIDS...but he himself was NOT aware.
เมื่อตรวจเลือดของคนขายแล้ว ก็พบว่าเขาเป็นเอดส์โดยที่เจ้าตัวไม่รู้

Unfortunately the boy is suffering from it now.
โชคร้ายที่เด็กชายต้องมาติดเชื้อไปด้วยอีกคน

Please take care while you eat on the road side and pls
fwd this mail to your dear ones.
กรุณาใส่ใจขณะคุณกินอาหารริมถนน และช่วยส่งต่อให้คนที่คุณรัก

PLEASE FORWARD THIS MAIL TO ALL THE PERSONS YOU KNOW AS YOUR MESSAGE MAY SAVE ONE&#39;S! LIFE
กรุณาส่งต่อจดหมายนี้ให้ทุกคนที่คุณรู้จัก เผื่อว่าข้อความของคุณจะช่วยชีวิต
คนๆหนึ่งไว้!!!

เรื่องนี้มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนไม่ทราบนะคะ ขอท่านผู้รู้ช่วยชี้แจง
ความเข้าใจที่ถูกต้องให้ด้วยค่ะ

noppakorn
02-20-2009, 05:46 PM
ขอโทษท่านยายจริงน้อ ที่ทำให้ตาลาย
(แต่อันที่จริงตาลายก็ดีน่ะครับ ไม่มีใครเหมือน ว่าแต่ลายม้าลายหรือลายเสือครับ)

ตอนแรกก่อนลงก็ดูตัวอย่างแล้ว เห็นว่าเรียบร้อยครับ แต่พอตั้งกระทู้เสร็จไหง
กลายเป็นอย่างนี้ก็ไม่ทราบครับ

แก้ไขให้แล้วน่ะครับ

noppakorn
02-22-2009, 11:08 PM
มีประโยชน์ จริงๆนะจะบอกให้
เมื่อวานไปฟังคุณพ่อของคุณนุสบาที่ตึกช้างมาได้ความรู้มาเพียบเลยจะเล่าให้ฟัง
ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนว่า พ่อคุณนุสบาเขาเป็นนายแพทย์มากว่า 21 ปีแล้วและมีลูกศิษย์ที่เป็นหมอเยอะมาก และพ่อพี่นุสก็เป็นอาจารย์หมอด้วยหล่ะเคล็ดลับที่อาจารย์หมอเล่าแบ่งเป็นแพทย์แผนโบราณหรือเรียกว่า "หมอจีน" และ"หมอฝรั่ง" ดังนี้
หมอจีนแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ ดื่มแต่น้อย แต่ดื่มบ่อย ๆเพื่อให้ไตทำงานไม่หนัก
หมอฝรั่ง ให้ดื่มน้ำมากๆ

แต่รู้ไหมอาจารย์หมอเล่าว่าการดื่มน้ำมากๆ ในครั้งเดียวทำให้ไตทำงานหนัก และ อาจทำให้เกิดโรคไตขึ้นได้

จากนี้ก็เป็นเคล็ดที่ไม่ลับของหมอจีนมาฝาก
1. ยอดของพืชผักทุกชนิดห้ามกิน เพราะมีสารพิษตกค้างอยู่ เช่น ยอดต้นหอมเป็นต้น
2. ผู้หญิงหลังคลอด ห้ามกินหอมใหญ่เพราะจะทำให้ไม่มีน้ำนม และนมก็มี
รสแปลก ทำให้เด็กดื่มนมยาก
3. มีชาอยู่ 6 ชนิดที่ดื่มได้แล้วดี คือ ชาจีน, ชาฝรั่ง, ชาแขก, ชาเขียว,ชาใบหม่อน,
ชาดอกคำฝอย (นอกนั้นอย่าไปดื่ม)
4. ดื่มน้ำถั่วเหลือง หรือน้ำเต้าหู้ ดีกว่าดื่มนมวัวเสียอีก แต่มีข้อระวังคือ
อย่านำไปอุ่นในความร้อนเป็นรอบที่ 2 เพราะทำให้เสียคุณค่า
5. กระถิน อย่ากินบ่อย เพราะทำให้ผมร่วง หัวจะล้าน เนื่องจากมีสาร"มินอลซีน"
จำพวกสารหนูอยู่ด้วย
6. แตงกวาทานได้เยอะ ๆ ป้องกันมะเร็งในคนอายุไม่ถึง 40 แต่ถ้า 40 up
ห้ามกิน เพราะจะทำให้เกิดโรคเก๊าท์
7. ใบชะพลู ช่วยลดน้ำตาล, ไขมัน, ความดัน, ป้องกันโรคเลือด, ไอเรื้อรังให้ทานวันละไม่
เกิน 10 ใบเท่านั้น
8. สัปปะรด ให้ทานไม่เกิน 3 ชิ้น/วัน เพื่อช่วยย่อยได้
9. ขิง ช่วยย่อย ต้องต้มทานเป็นน้ำขิงร้อน แต่ห้ามดื่มติดต่อกัน 60 วัน ส่วนถ้าเป็นผู้ป่วยเรื่อง
ถุงน้ำดีห้ามทานขิงเด็ดขาด ให้กินใบกระเพราแทน
10. กระเทียม (อย่ากินมาก) ให้กินวันละ 2-3 กลีบสด ๆพร้อมกับอาหารเท่านั้น
และอย่าทานติดต่อกันเกิน 90 วัน ให้หยุดไป 15 วัน แล้วค่อยทานใหม่

piangfan
02-23-2009, 12:27 PM
นมัสการพระคุณเจ้าค่ะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์เดฟ อาจารย์ดาว ลุงโจ คุณป้าวรรณ
พี่นพกรณ์ ลุงเปา พี่เกิดแก่ พี่โดด พี่อ๋อย
ทั่นยาย พี่ปลายฟ้า ลุงบีบี ครูวิทย์พี่พญามาร เจ้าป้าฯ
ทั่นแปดคิว ลัคกี้ ตะขบ และญาติธรรมทุกๆท่านค่ะ

มารับสาระดีดีค่ะ
อ่านแล้วรู้จักวิธีการบริโภคให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้นค่ะ
อันที่จริงเพียงฝันชอบทานกะเทียมสดวันละสองกลีบค่ะ
รู้เช่นนี้แล้วคงต้องทานวันเว้นวันค่ะ
โดยที่มะ กัว ปากหอม ค่ะ
ปัจจุบันมีน้ำยาบ้วนปากค่ะ อิอิ!!!

สาธุ ค่ะ พี่เกิดแก่ ทั่นยาย
พี่นพ ลุงบีบี และทุกท่านค่ะ
ขอบคุณค่ะ

grup&#39;/yo..เพียงฝัน

ตะวันส่องแสงธรรมนำ มิตรภาพไร้พรมแดน

ทั่นยาย
02-25-2009, 05:15 PM
แจ้งเหตุร้ายจากสำนักงานสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ช่วยบอกต่อขณะนี้กำลังมีการระบาดของ กลุ่มมิจฉาชีพแกล้งทำที
มาขายสเปรย์ปรับอากาศในรถยนต์ แต่จริงๆแล้วสารในสเปรย์กระป๋องนั้นคือ
คลอโรฟอร์ม ที่ทำให้ท่านสลบได้เหตุการณ์ เริ่มจากเด็กสาววัยรุ่นท่าทางดี
มาเคาะกระจกขณะรถจอดหรือรี่เข้ามาขณะท่านกำลังจะเข้ารถบริเวณลานจอดรถ
ถามที่สาธารณะทั่วไป...หากท่านไม่ระวังหรือไขกระจกรถเพื่อพูดคุยด้วยสเปรย์
จะถูกฉีดเข้าในรถทันทีเมื่อท่านสลบ งัวเงีย สลึมสลือไม่ได้สติ ผู้ชายอีก 2-3คน
จะเข้ามาปลดทรัพย์ หรืออาจทำอันตรายร่างกายของท่านได้ เพื่อความปลอดภัย
สำหรับทุกท่าน ขอให้ระวังตัวในทุกย่างก้าว และไม่ประมาทด้วยความปราถนาดี
และห่วงใยเสมอ สำนักงานสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ


ช่วยกระจายต่อด้วยนะคะเพื่อความปลอดภัยของทุกท่านค่ะ !!
ยุคนี้ออกจากบ้านทุกครั้งพึงระวังไว้เสมอว่าอันตรายมีอยู่ทุกฝีก้าว
มาในหลายรูปแบบนะคะ อย่าประมาทค่ะ

noppakorn
02-26-2009, 02:52 PM
พระหมดกิเลสในสายหลวงปู่มั่น นี้ก็ไม่ใช่น้อย แต่ท่านไม่เปล่งบอกใครเพราะเกี่ยวกับอรรถกับธรรมเห็นธรรมดีเลิศกว่า แต่ที่เราบอกเราก็ไม่ได้อวดอุตริ ใดๆ ทั้งสิ้น จริงคือจริงไม่มีปิดบัง ไม่สงสัยในธรรม ใครจะเอาตำราไหนมาอ้าง ก็ให้มันเอามาได้เลย ที่วัดป่าบ้านตาด ดราไม่สะทกสะเทือน จะชี้แจงแถลงไขให้เข้าใจเอง เอ้าเชิญมา....."

ที่ได้ฟังท่านเปรย ๆ มาก็พอจับใจความมาว่าท่านไหนได้แล้ว...เสียดายที่ไม่ได้อัดเทบไว้ครับ....
และนี่ก็คือท่านเปรยว่าล้วนแล้วแต่เป็นพระอริยสงฆ์เนื้อนาบุญของโลกเลยทีเดียว
1. ท่านอาจารย์เจี๊ยะ จุนโท (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)วัดป่าภูริทัตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ประทุมธานี
2. หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
3. หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร วัดป่าประชาชุมพลพัฒนาราม อ.เมือง จ.อุดรธานี
4. หลวงปู่ขาล ฐานวโร (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดป่าบ้านเหล่า อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย
5. พระอาจารย์แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
6. หลวงปู่หลวง กตปุญโญ (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดคีรีสุบรรพต จ.ลำปาง
7. อาจารย์เหรียญ วรลาโภ (มรณภาพแล้วยังไม่ประชุมเพลิง) วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
8. อาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย (มรณภาพแล้วยังไม่ประชุมเพลิง) วัดเขาสุกิม อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
9. หลวงปู่หลอด ประโมทิโต วัดสิริกมลาวาส (วัดใหม่เสนานิคม) เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร
10.หลวงปู่มหาเนียม สุวโจ วัดเจริญสมณกิจ มรณะภาพแล้ว( หลังศาลภูเก็ต ) อ.เมือง จ.ภูเก็ต
11. หลวงปู่มหาเจิม ปัญญาพโล วัดสระมงคล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
12. หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดประชาคมวนาราม อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
13. พระอาจารย์สายทอง เตชธัมโม วัดป่าห้วยกุ่ม (ใกล้เขื่อนจุฬาภรณ์ ) อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ
14. หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป วัดป่าประทีปปุญญาราม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร
15. พระอาจารย์ประสิทธิ์ ปุญมากโร วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
16. พระอาจารย์เลี่ยม ฐิตธัมโม วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
17. หลวงปู่ทา จารุธัมโม วัดถ้ำซับมืด จ.นครราชสีมา
18. พระอาจารย์เพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
19. อาจารย์สาย เขมธัมโม วัดป่าพรหมวิหาร อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู
20. อาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
21. หลวงปู่วิริยังค์ สิรินธโร วัดธรรมมงคล เขตพระโขนง จ.กรุงเทพมหานคร
22. อาจารย์พวง สุขินทริโย วัดศรีธรรมมาราม อ.เมือง จ.ยโสธร
23. หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
24. หลวงตาแตงอ่อน กัลยาณธัมโม วัดป่าโชคไพศาล อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร
25. หลวงปู่บุญหนา ธัมทินโน วัดป่าโสตถิผล อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
26. หลวงปุ่บุญพิน กตปุญโญ วัดผาเทพนิมิตร อ.นิคมน้ำอูน จ.สกลนคร
27. หลวงปู่ลี ฐิตธัมโม (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดเหสลึก อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
28. หลวงปู่แปลง สุนทโร วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
29. หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดป่าสันติกาวาส อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี
30. หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป วัดโพธิ์สมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี
31. พระอาจารย์ท่อน ญาณธโร วัดศรีอภัยวัน อ.เมือง จ.เลย
32. พระอาจารย์อุ่นหล้า ฐิตธัมโม วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
33. พระอาจารย์คำบ่อ ฐิตปัญโญ วัดใหม่บ้านตาล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
34. พระอาจารย์อุทัย สิรินธโร วัดถ้ำพระ อ.เซกา จ.หนองคาย
35. หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต สำนักสงฆ์สวนทิพย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
36. พระอาจรย์วิไล เขมิโย วัดถ้ำพณาช้างเผือก อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ
37. หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูล จ.พิจิตร
38. อาจารย์อ่ำ ธัมกาโม วัดธุดงคสถานสันติวรญาณ อ.วังโป่ง จ.เพรชบูรณ์
39. หลวงปู่ถวิล จ.อุดรธานี (ไม่ทราบที่อยู่และฉายาท่าน)
40. อาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสโก วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี
41. อาจารย์วันชัย วิจิตโต วัดภูสังโฆ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
42. หลวงปู่มี (เกล้า) ประมุตโต วัดดอยเทพนิมิตร (วัดถ้ำเกีย ) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
43. อาจารย์เสน ปัญญาธโร วัดป่าหนองแซง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
44. อาจารย์คำแพง อัตสันโต วัดป่าหนองวัวซอ (วัดบุญญานุสรณ์ ) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
45. พระอาจารย์ปัญญาวัฒโท (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
46. หลวงปู่มี (เกล้า) ประมุตโต วัดดอยเทพนิมิตร (วัดถ้ำเกีย ) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
47. อาจารย์เสน ปัญญาธโร วัดป่าหนองแซง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
48. อาจารย์คำแพง อัตสันโต วัดป่าหนองวัวซอ (วัดบุญญานุสรณ์ ) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
49. พระอาจารย์ปัญญาวัฒโท (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
50. ท่านฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมญาณ ) ( ท่านมรณภาพแล้วคงคราบสังขารอยู่ แต่ชานหมากท่านกลายเป็นพระธาตุ ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ( หลวงปู่สิม เคยปรารภให้อาจารย์มหาบัวฟัง)
51. หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก จ.สุพรรณบุรี
52. หลวงปู่ครูบาพรหมมา (มรณะภาพแล้ว) วัดพระพุทธบาทตากผ้า ลำพูน
53. พระอาจารย์มหาโส กัสโป วัดป่าคำแคนเหนือ อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
54. หลวงปู่คำฟอง เขมจาโร (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดกุดเรือคำ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร
55. หลวงปู่บุญเพ็ง กัปโป วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าช้าเหล่างา) อ.เมือง จ.ขอนแก่น
56. พระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิตร อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
57. หลวงปู่ผาง โกสโล วัดภูหินแตก อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
58. หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ( มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดบนนพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร
59. ท่านพระอาจารย์สิงทอง ธัมวโร ( มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
60. หลวงปู่อ่อนศรี ฐานวโร (เพิ่งมรณะภาพเมื่อปีกลาย)วัดถ้ำประทุน ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
61. หลวงปู่ต้น สุทธิกาโม วัดบึงพลาราม ต.บ้านว่าน อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย
62. หลวงปู่สมศักดิ์ ปัณฑิโต วัดบูรพาราม ( วัดหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ) ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์
63. หลวงปู่ทอง จันทสิริ วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
64. หลวงปู่ทองใบ ปภสฺสโร สำนักวิปัสสนาธุระ (ภูย่าอู่) บ.นาหลวง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
65. หลวงปู่คูณ สุเมโธ วัดป่าภูทอง ต.บ้านผือ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
66. พระอาจารย์ฟัก สันติธัมโม วัดพิชัยพัฒนาราม ( วัดป่าเขาน้อยสามผาน ) ต.สองพี่น้อง อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
67. หลวงปู่สุทัศน์ โกสโล วัดกระโจมทอง ต.วัดชลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
68. หลวงปู่อ้ม สุขกาโม วัดภูผาผึ้ง อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร
69. ท่านพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม วัดป่าหนองไผ่ ต.ดงมะไฟ อ.เมือง จ.สกลนคร
70. ท่านพระอาจารย์หลอ นาถกโร วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม ( วัดถ้ำพวง วัดพระอาจารย์วัน อุตโม ) อ.ส่องดาว จ.สกลนคร
71. หลวงพ่อทองคำ กาญวันวัณโณ วัดถ้ำบูชา อ.เซกา จ.หนองคาย
72. หลวงปู่ถิร ฐิตธัมโม (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดทิพยรัฐนิมิตร (วัดป่าบ้านจิก) อ.เมือง จ.อุดรธานี
73. พระอาจารย์ทองอินทร์ กตปุญฺโญ วัดป่ากุง ( วัดป่าประชาคมวนาราม ) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
74. หลวงปู่เผย วิริโย วัดถ้ำผาปู่ ต.นาอ้อ จ.เลย
75. หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ วัดเกาะแก้วะดงคสถาน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์
76. คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) สำนักชีบ้านห้สยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
77. พระอาจารย์ทุย (ปรีดา) ฉันทกโร วัดป่าดานวิเวก อ.โซ่พิสัย จ.หนองคาย
78. พระอาจารย์สรวง สิริปุญโญ วัดป่าศรีฐานใน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร
79. พระอาจารย์สาคร ธัมวุธโธ วัดป่ามณีกาญจ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
80. พระอาจารย์จันทร์โสม กิตติกาโม วัดป่านาสีดา อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
81. พระอาจารย์แยง สุขกาโม วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) อ.ศรีวิไล จ.หนองคาย
82. หลวงปู่แฟ็บ สุภัทโท วัดป่าดงหวาย อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร
83. พระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิตร อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
84. หลวงปู่ผาง โกสโล วัดภูหินแตก อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
85. หลวงปู่หล้า เขมปัตโต (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดบนนพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร
86. ท่านพระอาจารย์สิงทอง ธัมวโร (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
87. หลวงปู่ต้น สุทธิกาโม วัดบึงพลาราม ต.บ้านว่าน อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย
88. หลวงปู่สมศักดิ์ ปัณฑิโต วัดบูรพาราม ( วัดหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ) ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์
89. หลวงปู่ทอง จันทสิริ วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
90. หลวงปู่ทองใบ ปภสฺสโร สำนักวิปัสสนาธุระ (ภูย่าอู่) บ.นาหลวง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
91. หลวงปู่คูณ สุเมโธ วัดป่าภูทอง ต.บ้านผือ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
92. พระอาจารย์ฟัก สันติธัมโมวัดพิชัยพัฒนาราม ( วัดป่าเขาน้อยสามผาน ) ต.สองพี่น้อง อ.ท่าใหม่จ.จันทบุรี
93. หลวงปู่สุทัศน์ โกสโล วัดกระโจมทอง ต.วัดชลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
94. หลวงปู่อ้ม สุขกาโม วัดภูผาผึ้ง อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร
95. ท่านพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโมวัดป่าหนองไผ่ ต.ดงมะไฟ อ.เมือง จ.สกลนคร
96. ท่านพระอาจารย์หลอ นาถกโรวัดถ้ำอภัยดำรงธรรม ( วัดถ้ำพวง วัดพระอาจารย์วัน อุตโม ) อ.ส่องดาว จ.สกลนคร
97. หลวงพ่อทองคำ กาญวันวัณโณวัดถ้ำบูชา อ.เซกา จ.หนองคาย
98. หลวงปู่ถิร ฐิตธัมโม (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดทิพยรัฐนิมิตร (วัดป่าบ้านจิก) อ.เมือง จ.อุดรธานี
99. พระอาจารย์ทองอินทร์ กตปุญฺโญ วัดป่ากุง ( วัดป่าประชาคมวนาราม ) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
100. หลวงปู่เผย วิริโย วัดถ้ำผาปู่ ต.นาอ้อ จ.เลย
101. หลวงปู่คำพอง ขันติโกวัดป่าอัมพวัน จ.เลย
102. หลวงปู่อว้าน เขมโก วัดป่านาคนิมิตร อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
103. ท่านพระอาจารย์วิชัย เขมิโย วัดถ้ำผาจม จ.เชียงราย
104. พระอาจารย์บุญทัน ปุญทัตโต (ท่านเพิ่งจะมรณภาพ เดือน ธค. 49 ) วัดป่าสามัคคีสันติธรรม อ.ฝาง จ.ขอนแก่น
105. หลวงปู่พิศดู ธรรมจารีย์ วัดเทพธารทอง ต.พลวง กิ่งอ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี
106. หลวงปู่เนย สมจิตฺโต วัดป่าโนนแสนคำ บ.ทุ่งคำ ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร
107. หลวงปู่สังข์ สังกิจโจวัดป่าพระอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
108. ท่านพระอาจารย์อุทัย ธมฺมวโร วัดภูย่าอู่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
109. หลวงปู่ประสาร สุมโน วัดป่าหนองไคร้ ต.หนองหิน อ.เมือง จ.ยโสธร

plyfha
02-26-2009, 07:19 PM
มารู้จักโรคกระดูกพรุนกันเถอะ


ภาวะกระดูกพรุน เป็นภาวะผิดปกติของระบบโครงสร้างซึ่งทำให้ความแข็งแรงของกระดูกเสียไป ส่งผลให้คนๆนั้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักสูงขึ้น<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" /><o:p></o:p> คำจำกัดความของโรคกระดูกพรุนโดยอาศัยผลการตรวจ BMD (ความหนาแน่นกระดูก) ตาม WHO
(องค์การอนามัยโลก)<o:p></o:p>
<o:p></o:p>

ภาวะ<o:p></o:p>[CENTER ALIGN=CENTER]ค่าความหนาแน่นกระดูก - BMD T-Score (SD) <o:p></o:p>[/CENTER ALIGN]กระดูกปกติ<o:p></o:p>มากกว่า -1<o:p></o:p>กระดูกบาง (Osteopenia)<o:p></o:p>น้อยกว่า -1 ถึง มากกว่า -2.5<o:p></o:p>กระดูกพรุน (Osteoporosis)<o:p></o:p>น้อยกว่าหรือเท่ากับ -2.5<o:p></o:p>กระดูกพรุนอย่างรุนแรง (Severe Osteoporosis)<o:p></o:p>น้อยกว่าหรือเท่ากับ -2.5 และมีกระดูกหักร่วมด้วย<o:p></o:p> ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน<o:p></o:p> ปัจจัยทางพันธุกรรม และครอบครัว จากสถิติ พบว่าบุคคลต่อไปนี้มีโอกาสที่จะมีกระดูกพรุนมากกว่า<o:p></o:p>
คนเชื้อชาติเอเชีย มีมากกว่าทางยุโรป <o:p></o:p>
หญิงที่มีประจำเดือนหมดเร็ว หรือ หญิงที่ตัดรังไข่ <o:p></o:p>
บุคคลที่มีรูปร่างผอมบางและน้ำหนักตัวน้อย<o:p></o:p>
มารดามีภาวะกระดูกพรุนพบว่า บุตรมีโอกาสเกิดภาวะกระดูกพรุนสูงเช่นกัน<o:p></o:p>
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม <o:p></o:p>
คนที่ทานอาหารที่มีแคลเซียมน้อย <o:p></o:p>
คนที่สูบบุหรี่ และดื่มสุราจัด<o:p></o:p>
คนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย หรือไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานานๆ<o:p></o:p>
การรับประทานยาบางชนิด เช่นยาประเภทสเตียรอยด์<o:p></o:p>
<o:p> </o:p> สาเหตุการเกิดโรคกระดูกพรุน เกิดขึ้นเมื่อร่างกาย มีอัตราการสูญเสียกระดูกเร็วกว่าการสร้างกระดูกใหม่<o:p></o:p>
<o:p> </o:p>

ทั่นยาย
03-05-2009, 07:49 AM
สวัสดีค่ะ พี่นพกรณ์ ตาเปา ตะละแม่เกิดแก่ น้องโดด
น้องอ๋อย เพียงฝัน ปลายฟ้า ทั่นบีบี ครูวิทย์ ทั่นพญามาร
เจ้าป้าฯ ทั่นแปดคิว ลัคกี้ ตะขบ และญาติธรรมทุกๆท่านค่ะ

อนุโมทนาสาธุกับพี่นพด้วยค่ะ ได้รับทราบข้อมูลแล้วปลื้มปิติใจยิ่งนักค่ะ
มีครูบาอาจารย์หลายท่านที่ทั่นยายได้มีวาสนาไปกราบนมัสการมาแล้วค่ะ
ถือเป็นบุญวาสนาในชีวิตอย่างยิ่งค่ะ สาธุ

นำเรื่องภัยใกล้ตัวของผู้หญิงมาให้อ่านค่ะ อาจจะเป็นประโยชน์ในสักวันก็ได้ใครจะรู้เน๊าะ
เพราะสังคมทุกวันนี้มีแต่อันตรายทุกย่างก้าวดดยเฉพาะผู้หญิงค่ะ อย่าไปหวังว่า
สักวันสังคมจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้ยากค่ะ เพราะทุกอย่างย่อมแปรเปลี่ยนไปตาม
กาลเวลา เป็นดังที่พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธทำนายไว้แล้วค่ะ ดังนั้นเราจึงทำได้แค่
มีสติคอยระมัดระวังตัวจากอันตรายรอบด้านให้ดีที่สุดค่ะ





ต้องอ่าน !!

แก็งค์รถตู้รมยาฉุดขึ้นรถตู้แถวอ่อนนุชเตือนภัยหญิงสาวแก็งค์รถตู้รมยาฉุดขึ้น
รถตู้แถวอ่อนนุช ผมชั่งใจว่าจะเล่าเรื่องนี้หรือไม่เนื่องจากไม่อยากพบกับความยุ่งยาก
ที่อาจจะตามมาแต่เมื่อพิจารณาแล้วว่าความยุ่งยากที่ตามมาอาจจะไม่เทียบเท่า
กับความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนอื่นๆหากผมไม่แจ้งเตือน เมื่อวันที่
31 สิงหาคม 2551 เวลาประมาณ 20.00 น.เพื่อนผู้หญิงของผมคนหนึ่ง
อายุประมาณ 24-25 หน้าตาดี มีธุระต้องไปพบเพื่อนแถวอ่อนนุช จึงได้ขึ้นรถ
ไฟฟ้าไปลงที่สถานีอ่อนนุชและเดินลงจากรถไฟฟ้าตรงทางลงฝั่งตรงข้ามโลตัส
มุ่งหน้าไปทางบางจากระหว่างที่เดินอยู่ริมถนนสุขุมวิทฝั่งขาออก ก็มีผู้ชายคน
หนึ่งเข้ามาสอบถามทางกับเพื่อนผมสอบถามวกวน ขณะที่พูดคุยกับชาย
คนดังกล่าวสักพัก โดยที่ไม่มีการถูกเนื้อต้องตัวใดๆ
- เพื่อนผมก็รู้สึกว่าตัวชา
- ประสาทตอบสนองช้าลง
- อึดอัด
- ขยับตัวไม่ค่อยสะดวก
เมื่อรู้สึกผิดสังเกตดังนั้น เพื่อนผมจึงล้วงกระเป๋าสะพายหาอุปกรณ์ป้องกันตัว
(ปกติจะพกคัทเตอร์ติดตัว) และพยายามป่ายมือ ป้องกันตัวซึ่งขณะเดียว
กับที่เกิดอาการนั้น เมื่อผู้ชายคนนั้นเห็นอาการเพื่อนผมเริ่มผิดปกติก็พยายาม
เข้ามายื้อยุดแล้วก็มีผู้ชายอีกสองคนโผล่เข้ามา
กับมีรถตู้อีกหนึ่งคันเข้ามาจอดเทียบ และเข้ามาฉุดจะอุ้มเพื่อนผมขึ้นรถเพื่อนผม
ก็ต่อสู้เท่าที่ยังทำได้ และโชคดีเป็นที่สุดก็คือมีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเห็นความผิดปกติ
ตรงนั้น เข้ามาช่วยต่อสู้ ชกต่อยกับคนร้ายทั้งสามคนดังกล่าวเมื่อเห็นท่าไม่ดีคนร้าย
ทั้งหมดก็ขึ้นรถตู้หลบหนีไปพลเมืองดีท่านนั้นบาดเจ็บเล็กน้อย เพื่อนผมก็มีร่องรอย
ฟกช้ำดำเขียวหลายจุด เพื่อนผมต้องนั่งพักอยู่พักใหญ่ อาการดังกล่าวจึงหายไป
ระหว่างนั้นก็โทรหาพ่อให้มารับ เนื่องจากเธอต้องเดินทางไปต่างจังหวัดในวันนั้น
จึงตัดสินใจไม่เข้าไปแจ้งความผมเองได้ฟังแล้ว รู้สึกว่ามีสิ่งที่น่ากังวลมีหลาประการครับ
- เหตุการณ์นี้เกิดตอนสองทุ่มใจกลางกรุง (พื้นที่แถวนั้นบางจุดค่อนข้างเปลี่ยว)
- คนร้ายมีสารเคมีบางอย่าง ที่ทำให้เหยื่อเกิดอาการตัวชา ขยับตัวยากซึ่งใช้ได้โดยไม่ต้องสัมผัสกับร่างกายของเหยื่อ (ยังไ??
่ทราบชัดว่าใช้วิธีใดและเป็นสารเคมีใด)
- คนร้ายมิได้ประสงค์ต่อทรัพย์แน่ๆ กะจะเอาตัวไปเลยซึ่งไม่ทราบว่าเชื่อมโยงกับแก็งค์ค้ามนุษย์ใดๆหรือไม่
- คนร้ายใช้ความมีน้ำใจของเหยื่อเป็นเครื่องมือ เข้ามาสอบถามเหมือนคนหลงทางพูดคุย
(เข้าใจว่าเพื่อเบนความสนใจเพื่อให้ ทีมงานทำการบางอย่าง เช่นแพร่สารเคมีนั้นเข้าสู่ร่างกายเหยื่อ)
จึงอยากให้ท่านที่ได้ทราบ ได้แจ้งเตือน เพื่อน ญาติของท่านให้ใช้ความระมัดระวัง
มากยิ่งขึ้น ผมไม่แน่ใจว่าจะมีสักกี่คนที่จะโชคดีเหมือนเพื่อนผมและหากมีท่านใด
สามารถส่งข้อมูลนี้ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหน้า ที่รับผิดชอบเพื่อจะได้ตรวจสอบ
สอบสวน จับกุม คนร้ายแก็งค์นี้ต่อไปก็จะช่วยได้มากครับ
เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า ไม่ควรพูดกับบุคคลที่เราไม่รู้จัก ถึงแม้ว่าพวกเค้าจะมาขอ
ความช่วยเหลือ หรือไม่ก็เดินเข้าไปในกลุ่มคนเยอะๆ หรือตำรวจ ให้พวกเค้ามี
ส่วนร่วมในการช่วยเหลือ เพราะเราไม่รู้ว่าบุคคลที่เข้ามาคุยกับเรา ประสงค์ดี
หรือร้าย ป้องกันตัวเราไว้ก่อน ปลอดภัยที่สุด

ช่วยกันบอกต่อ โดยเฉพาะผู้หญิงและ ผู้ที่ต้องเดินทางด้วยรถเมล์+รถไฟฟ้าแถวอ่อนนุช*




หากใครเจอกรณีแบบนี้ เช่น มีคนเข้ามาถามอะไรก็ตามแต่ แนะนำว่า ให้รีบตัดบท
อย่าคุยด้วยแล้วรีบไปยืนในกลุ่มคนเยอะๆหรืออาจจะดึงคนที่อยู่ใกล้ๆกันนั้น
ให้เข้ามาเป็นกันชนเอาไว้ก่อนก็ได้ค่ะ โดยแกล้งไปถามและให้เขาเข้ามา
มีส่วนร่วมแก้ปัญหาด้วย อย่างน้อยก็ยังมีคนเข้ามาร่วมรับรู้ เป็นการกันคนร้าย
ให้ทำอะไรไม่สะดวกนัก จึงยังพอมีเวลาที่จะคิดหาหนทางลี้ภัยได้ค่ะ

ทั่นยาย
03-09-2009, 08:17 AM
โครงการคืนแสงสว่างให้ผู้ป่วยต้อกระจกและต้อเนื้อ

ขอเรียนเชิญผู้ป่วยทุกท่านมารับ บริการผ่าตัดต้อต้อกระจกและต้อเนื้อ ฟรี
โดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
โดยมีแพทย์ของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว(องค์การมหาชน) สาขาสุขุมวิท ซอย 24 ติดต่อได้ที่
บริษัททาสของแผ่นดิน จำกัด (02-2629454-5, 02-2618213-7) เวลาทำการ
วันจันทร์-วันศุกร์ 8.00-17.00 น. เลขที่ 99/359-360 ซอยสุขุมวิท 24(เกษม)
ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110


****เอกสารที่ต้องนำมาด้วย ถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรทอง อย่างละ 2 ใบ แพทย์จะทำการตรวจคนไข้ใหม่เฉพาะวันพุธและวันศุกร์ กรุณาโทรแจ้งล่วงหน้า****

คนบางคนอาจจะเห็นว่าไม่สำคัญแต่สำหรับบางคนอาจจะต้องการแสงสว่างเพื่อที่จะทำให้ชีวิตเค้ามีค่ามากว่าอยู่ในความมืดมัว ถ้าใครมีจิตศรัทธาที่จะทำบุญช่วยกัน บอกต่อๆไปด้วย การทำบุญด้วยการให้แสงสว่างแก่คนมาค่ามากกว่าสิ่งใดเพราะมันจะช่วยให้ชีวิตหนึ่งชีวิตที่พวกคุณหยิบยื่นไปให้ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง

สว่างตา ด้วยแสงไฟ สว่างใจ ด้วยแสงธรรม
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
สรณะอื่น ไม่มี ชีวิตนี้เพื่อพระรัตนตรัย

ธรรมะสวัสดีค่ะ

ทั่นยาย
03-09-2009, 10:21 AM
ทำอย่างไรเมื่อถูกงูกัด
ขัดกับที่เคยทราบกันมาก่อนหน้านี้ เมื่อถูกงูกัด เรามักจะต้องหาเชือกมารัด
แต่ รศ.นพ.อิศรางค์ นุชประยูร หน่วยปฏิบัติการวิจัยด้านพิษงูและงูพิษกัด
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กลับแนะนำว่า

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ถูกงูกัดไม่ควรนำเชือกมารัดหรือขันชะเนาะ
เพราะจำทำให้เสียเวลาในการนำผู้ที่ถูกงูกัดส่งโรงพยาบาล และเป็นการยาก
ที่จะบอกว่าต้องขันแน่นเท่าใดจึงจะเหมาะสม ถ้ารัดแน่นเกินอาจทำให้อวัยวะส่วนนั้น
ขาดเลือดจนต้องถูกตัดทิ้ง ทั้งที่งูอาจกัดแต่ไม่ปล่อยพิษก็ได้ จึงควรรีบนำส่ง
โรงพยาบาลให้เร็วที่สุด หรือหากเป็นมากก็อาจหาวัสดุมาดามและพันไว้
เพื่อให้อวัยวะส่วนที่ถูกกัดอยู่นิ่งๆ ก่อนนำส่งโรงพยาบาล
ส่วนวิธีการรักษานั้น รศ.นพ.อิศรางค์ บอกว่า หากจดจำลักษณะของงูหรือจับงูมาได้
ก็จะช่วยให้แพทย์ วินิจฉัยได้ง่ายขึ้น การให้เซรุ่มแก้ พิษงูจะต้องตรวจก่อนว่าได้รับ
พิษมากพอหรือไม่ หากไม่ได้รับพิษหรือได้รับพิษน้อยจะใช้วิธีเฝ้าดูอาการและระวัง
ไม่ให้แผลติดเชื้อเท่านั้น เพราะเซรุ่มอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ทำให้เป็นหอบหืด
อาจารย์จากหน่วยปฎิบัติการวิจัยด้านพิษงูและงูพิษกัดยังได้วิจัยเรื่อง "บทบาท
ของการใช้ยาเพรดนิโวโลนเพื่อลดอาการบวมในเด็กที่ถูกงูเขียวหางไหม้กัด "
ในกลุ่มตัวอย่างเด็กอายุ 3-15 ปี จำนวน 50 รายพบว่าอาการบวมของเด็กที่ได้รับ
ยาจริงและที่ได้รับยาหลอกลดลงพอๆกัน หมายความว่ายาเพรดนิโซโลนซึ่งเป็นยา
กลุ่มสเตียรอยด์ไม่สามารถช่วยให้อาการบวมหายเร็วขึ้นได้ ส่วนการรักษาแผลตามปกติสามารถทำให้อาการบวมลดลงอย่างชัดเจนภายใน 72 ชั่วโมง โดยไม่จำเป็น
ต้องให้ยาที่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเพิ่มเติม




จุดสังเกตสำหรับผู้ที่ถูกงูเขียวหางไหม้กัดจะมีอาการปวดบริเวณที่ถูกกัดอย่างรุนแรงเป็นเวลาหลายชั่วโมง แผลจะมีรอยเขี้ยวเป็นจุด 2 จุด และจะบวมมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งสำคัญคือเมื่อรู้ว่าถูกงูกัดอย่ารีบรัดเชือก แต่ให้รีบพามาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด

ก็ต้องใช้วิจารณาญาณกันเองนะคะ ว่าหากโดนงูกัดจะทำอย่างไรดี
สำหรับทั่นยายน่ะหากโดนงูกัดคงต้องลองกัดกับงูสักตั้งก่อนมังคะให้รู้กันไปว่า
พิษใครจะร้ายกว่ากัน ดีไม่ดีงูติดเชื้อเพี้ยนๆของทั่นยายไปจะกลายพันธ์เป็นงูติงต๊อง
กันหมดน่ะสิ อิ อิ

ทั่นยาย
03-09-2009, 10:42 AM
หากโดนงูกัดจะทำอย่างไร
ขัดกับที่เคยทราบกันมาก่อนหน้านี้ เมื่อถูกงูกัด เรามักจะต้องหาเชือกมารัด
แต่ รศ.นพ.อิศรางค์ นุชประยูร หน่วยปฏิบัติการวิจัยด้านพิษงูและงูพิษกัด
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กลับแนะนำว่า
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ถูกงูกัดไม่ควรนำเชือกมารัดหรือขันชะเนาะ
เพราะจะทำให้ เสียเวลาในการนำผู้ที่ถูกงูกัดส่งโรงพยาบาล และเป็นการยาก
ที่จะบอกว่าต้องขันแน่นเท่าใดจึงจะเหมาะสม ถ้ารัดแน่นเกินอาจทำให้อวัยวะส่วนนั้น
ขาดเลือดจนต้องถูกตัดทิ้ง ทั้งที่งูอาจกัด แต่ไม่ปล่อยพิษก็ได้ จึงควรรีบนำส่ง
โรงพยาบาลให้เร็วที่สุด หรือหากเป็นมาก ก็อาจหาวัสดุมาดามและพันไว้เพื่อให้
อวัยวะส่วนที่ถูกกัดอยู่นิ่งๆ ก่อนนำส่งโรงพยาบาล
ส่วนวิธีการรักษานั้น รศ.นพ.อิศรางค์ บอกว่า หากจดจำลักษณะของงูหรือจับงู
มาได้ ก็จะช่วยให้แพทย์ วินิจฉัยได้ง่ายขึ้น การให้เซรุ่มแก้ พิษงูจะต้องตรวจ
ก่อนว่าได้รับพิษมากพอหรือไม่ หากไม่ได้รับพิษหรือได้รับพิษน้อยจะใช้วิธีเฝ้าดูอาการ
และระวังไม่ให้แผลติดเชื้อเท่านั้น เพราะเซรุ่มอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ทำให้เป็นหอบหืด
อาจารย์จากหน่วยปฏิบัติการวิจัยด้านพิษงูและงูพิษกัด ยังได้วิจัยเรื่อง “
บทบาทของการใช้ ยาเพรดนิโซโลนเพื่อลดอาการบวมในเด็กที่ถูกงูเขียว หางไหม้กัด ”
ในกลุ่มตัวอย่างเด็กอายุ 3-15 ปี จำนวน 50 ราย พบว่าอาการบวมของเด็กที่ได้
รับยาจริงและที่ได้รับยาหลอกลดลงพอๆกัน หมายความว่า ยาเพรดนิโซโลนซึ่ง
เป็นยากลุ่มสเตียรอยด์ ไม่สามารถช่วยให้อาการบวมหายเร็วขึ้นได้ ส่วนการรักษา
แผลตามปกติสามารถทำให้อาการบวมลดลงอย่างชัดเจนภายใน 72 ชั่วโมง
โดย ไม่จำเป็นต้องให้ยาที่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเพิ่มเติม จุดสังเกตสำหรับผู้
ที่ถูกงูเขียวหางไหม้กัดจะมีอาการปวดบริเวณที่ถูกกัดอย่างรุนแรงเป็นเวลาหลาย
ชั่วโมง แผลจะมีรอยเขี้ยวเป็นจุด 2 จุด และจะบวมมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งสำคัญคือเมื่อรู้ว่าถูกงูกัดอย่ารีบรัดเชือก แต่ให้รีบพามาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด.

กรุณาใช้วิจารณญาณกันเองนะคะ ว่าหากโดนงูกัดจะทำอย่างไรกันดี
สำหรับทั่นยายนั้นหากโดนงูกัดก็คงต้องลองกัดกับงูสักตั้งก่อนค่ะ
ดูสิว่าพิษของใครจะร้ายแรงกว่ากัน อิ อิ

paobunjin
03-10-2009, 02:32 AM
กรุณาใช้วิจารณญาณกันเองนะคะ ว่าหากโดนงูกัดจะทำอย่างไรกันดี
สำหรับทั่นยายนั้นหากโดนงูกัดก็คงต้องลองกัดกับงูสักตั้งก่อนค่ะ
ดูสิว่าพิษของใครจะร้ายแรงกว่ากัน อิ อิ

อยากเห็นกะตาจังเล้ย...ว่าระหว่างงูกับพังพอน(ทั่นยาย) ไผสิแน่กว่าไผ? อิอิ

สำนักแห่งความสุขขอประกาศรายชื่อสมุนไพรอันตราย 13 ชนิดที่มีต่อชีวิตการทำงานดังนี้คือ :
1 ขิง / ข่า ขิง (ก็รา) ข่า (ก็แรง)
เป็นอันตรายต่อชีวิตการทำงานอย่างยิ่ง บางครั้งเป็นการกระทบกระทั่งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อไม่ยอมกันคนละก้าว ก็เสียทั้งงานและภาพพจน์ขององค์กร
ทางแก้ : การทำงานในสำนักงานไม่ว่าองค์กรราชการหรือเอกชนเป็นการรวมคนจากที่ต่างๆ เข้าด้วยกัน จึงเป็นเรื่องปกติที่มีการกระทบกระทั่งกันระหว่างเพื่อนร่วมงาน รู้จักยอมกันบ้าง ทำนอง "แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร" นอกจากจะได้ไม่เสียสุขภาพจิตแล้ว ยังได้ประสิทธิภาพของงานสูง
2 ขมิ้น (กับปูน)
ไม่ชอบเพื่อน ไม่ชอบเจ้านาย ไม่ชอบหน้าลูกค้า ไม่ชอบงานที่ทำ ไม่ชอบทุกอย่างในชีวิต !
ทางแก้ : ปรับเปลี่ยนทัศนคติมองผู้อื่นในด้านดี หรืออย่างน้อยก็ตามความเป็นจริง มองลูกค้าว่าเป็นผู้ที่ทำให้เราเลี้ยงครอบครัวได้ เพราะการทำงานโดยมีทัศนคติไม่ดียากจะก้าวหน้า และที่แย่ที่สุดคือผ่านชีวิตทำงานแต่ละวันอย่างทรมาน
3 มะนาว (ไม่มีน้ำ)
พูดไม่ดี พูดมากไป พูดไม่ไพเราะ พูดแต่เรื่องร้ายๆ เหล่านี้เป็นอันตรายต่อองค์กรอย่างยิ่ง นอกจากจะขัดใจกันในองค์กรแล้ว ยังอาจทำให้ลูกค้าหนีหายก็ได้
ทางแก้ : พูดน้อยหน่อย ทำงานมากหน่อย มองด้านดีของคนอื่นบ้าง
4 จิก (ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ใช้เป็นยาถอนผม อิอิ)
เจ้านายประเภทที่ใช้คนไม่เลือกเวลา ชอบบรี๊ฟงานห้านาทีก่อนเลิกงาน โทร . ตามจิกลูกน้องห้านาทีก่อนเที่ยงคืนและในวันหยุดเป็นประจำ
ทางแก้ : การทำงานที่ดีอยู่ที่การวางแผน และรักษาสมดุลของงานกับครอบครัว ลูกน้องที่พักผ่อนพอเพียงและมีชีวิตครอบครัวที่ดี ย่อมทำงานได้ประสิทธิภาพกว่าคนที่ทำงานใต้สภาวะของการจิก การทำงานชั่วโมงยาวนานมิได้หมายถึงประสิทธิภาพและคุณภาพเสมอไป
5 ว่านหางจระเข้ (ฟาดหาง)
เจอเรื่องไม่ดีที่บ้านก็นำมาฟาดหาง (จระเข้) กับเพื่อนหรือลูกน้อง หรือทั้งเพื่อนและลูกน้อง
ทางแก้ : แยกแยะงานกับเรื่องส่วนตัว งานส่วนงาน ไม่นำเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน เพราะทุกคนก็ประสบเรื่องไม่ดีทั้งนั้น แก้ปัญหาเรื่องส่วนตัวโดยวิธีการอื่น เช่นปรึกษาเพื่อนฝูง เป็นต้น
6 ชา (เย็น)
เย็นชากับลูกค้า ลูกค้าหลุดได้ เย็นชากับลูกน้อง ลูกน้องก็หนี เย็นชากับเจ้านาย ก็อาจตกงาน !
ทางแก้ : รักษาน้ำใจเพื่อนๆ ในที่ทำงาน จะทำให้หลายสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์ในที่ทำงานเป็นสวรรค์ ไม่ใช่นรก
7 สีเสียด (ใช้กินกับหมาก)
ใช้วาจาเสียดสี เหยียดหยาม กระแทกกระทั้นคนรอบตัวเพื่อความสะใจ ต่อหน้าลูกค้าเอ่ย " ครับๆ ค่ะๆ "
ลับหลังลูกค้าด่าว่าโง่ ฯลฯ
ทางแก้ : การใช้คำพูดในเชิงลบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ตรงกันข้ามจะทำให้ผู้พูดลดคุณค่าและความน่าเชื่อถือลง ลองมองด้านดีของคนอื่นบ้าง
8 กระทืบยอด (อก!)(อันนี้เคยได้ยินชื่อ ดอกกระทือ อ่ะนะ)
เป็นยอดในการย่ำคนอื่น เป็นเยี่ยมในการไต่ขึ้นที่สูงโดยเหยียบหัวเพื่อนร่วมงาน ฯลฯ ทางแก้ : ไต่ขึ้นที่สูงไปตามพัฒนาการของตนเอง จะเป็นฐานที่แข็งแรงที่สุด
9 มะขวิด (ลูกเหมือนมะตูม แต่ออกกลมๆสีขาว ข้างในสุกจะเป็นสีน้ำตาล หวาน)
ไล่ขวิดคนไปทั่ว ยุ่งเรื่องชาวบ้านโดยไม่ทำงานของตัวเอง
ทางแก้ : กลับไปทำงาน ! เพราะเวลาวัดผลงานในตอนท้าย ไม่ได้วัดกันที่ความคมของเขี้ยว เขา หรืองา
10 ยอ (ใครๆก็ชอบอ่ะนะ โดยเฉพาะคำว่าสวย หรือ ดูยังไม่แก่เลย...อิอิ)
ยกยอเจ้านายตลอดเวลา เสนอหน้าหลังเวลางาน
ทางแก้ : ความก้าวหน้าจากการประจบเอาใจผู้ใหญ่ไม่ใช่รากฐานที่มั่นคงของชีวิตการทำงานในระยะยาว
11 แมงลัก
ขโมยไอเดียของคนอื่น แล้วยกว่าเป็นของตัวเอง
ทางแก้ : พัฒนาตนเองตลอดเวลา เรียนรู้จากความคิดของผู้อื่น แล้วนำไปแตกหน่อต่อยอด เป็นการเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง
12 รางจืด (อันนี้ เป็นยาถอนพิษ กินของผิดสำแดง พวกกินหล้าบอกว่า กินเท่าไหร่ ก็ไม่เมา ถอนพิษเหล้าได้)
ใช้ชีวิตทำงานแบบจืดสนิท ทำงานแบบกางตำรา ไม่เริ่มงานเด็ดขาดแม้เข็มนาฬิกาอยู่ก่อนเวลาเริ่มงาน 1.025 วินาที พนักงานไม่เคยไปสังสรรค์ด้วยกัน ฯลฯ
ทางแก้ : เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตทำงานบ้าง แล้วอาจพบว่า การทำงานก็เป็นเรื่องสนุกได้
13 กระบือเจ็ดตัว (เป็นฝูงเลย นะ)
พอใจในความรู้ความสามารถที่ตนมีอยู่ไม่ว่ามันจะจำกัดเพียงใด ไม่ยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ทางแก้ : ความรู้หรือเทคโนโลยีที่เรียนมาเมื่อ 10-20 ปีก่อนอาจแก้ปัญหารูปแบบใหม่ๆ ในปัจจุบันไม่ได้ โลกเปลี่ยนไปนาทีต่อนาที คนทำงานต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทัน ต้องศึกษาเพิ่ม อาจเป็นการเรียนวิชาที่เพิ่งเกิดใหม่ สัมมนาทางวิชาการ ศึกษาภาคค่ำ แทนที่จะหาประสบการณ์จากการกินเหล้าและเข้าผับอย่างเดียว
ขออำนวยพรให้ทุกท่านทำงานอย่างมีความสุขจ้า...!!

paobunjin
03-10-2009, 04:59 PM
เมืองริยาด ซาอุดีอาระเบีย 10 กุมภาพันธ์ 2552 12.40 น.

วันนี้เช้าๆไปเดินสนามออกรอบเล่นกับเพื่อนๆ กลับมาถึงบ้านเที่ยงกว่าๆเปิดคอมมาเที่ยววัดเกาะ ได้หน่อยเดียว รู้สึกว่าได้กลิ่นฝุ่น จึงไปดูที่หน้าต่าง พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย ฝุ่นมืดฟ้ามัวดินเลย ท้องฟ้าเป็นสีแดงไปหมด ลมหอบกระดาษถุงพลาสติกและเศษขยะเบาๆปลิวว่อนไปทั่วบนท้องฟ้า ลักษณะอย่างนี้จะมีเป็นประจำช่วงเปลี่ยนอากาศจากหนาวเป็นร้อน นี่ก็เริ่มเข้าฤดูร้อนแล้ว อากาศจะเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ บางวันตอนกลางวันจะสูงถึง45-50องศา คิดถึงสมัยที่ทำงานก่อสร้างอยู่กลางแจ้ง ร้อนๆอย่างนี้ ต้องเอาสายยางเปิดน้ำฉีดพุ่งขึ้นไปให้เป็นสายฝนลงมาเลยทีเดียว พอเสื้อผ้าชุ่มก็พอบรรเทาความร้อนไปได้บ้าง ประเทศนี้ ถ้าวันไหนไฟดับอ่ะนะ แย่เลยล่ะ ทุกๆบ้านจะต้องมีแอร์ หรือแอร์น้ำที่ใช้พัดลมเป่า หน้าหนาวก็หนาวจัด บางวันพื้นหญ้าในสนามเป็นเกร็ดน้ำแข็งเลย ทุกบ้านจะต้องมีฮีทเตอร์ จึงจะอยู่ได้
ธรรมชาติ โหดร้ายอย่างนั้น ธรรมชาติก็ให้มีบ่อน้ำมันขายเป็นสินค้า เพื่อจะเลี้ยงประชาชนได้ บ้านเราเมืองไทยโชคดีมากๆ ที่ไม่ค่อยมีภัยธรรมชาติที่เป็นประจำอย่างนั้น นานๆปีจะมีน้ำท่วม ฝนแล้งกันบ้าง ก็ขอให้ภูมิใจในบ้านเกิดเมืองนอนของเรากันไว้เถิด พยายามที่จะหาวิชาความรู้ใส่ตัว ขยันขันแข็งในอาชีพการงาน อดทน อดออม รู้จักประหยัดเงินทองที่หามาได้ อย่าฟุ่มเฟือยกันให้มากนัก เมื่อมีเงินทองก็พยายามส่งเสียลูกๆหลานๆให้เรียนให้ได้ เพื่อจะได้เป็นผู้มีโอกาสในสังคมมือใครยาวสาวได้สาวเอานี้ จะได้เอาตัวรอดกันได้ และหมั่นดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายกันอย่างสม่ำเสมอพยายามห่างไกลจากยาสพติด สิ่งมัวเมาและอบายมุขต่างๆ หมั่นทำบุญให้ทานเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ดูแลคนรอบๆตัว ให้มีศีลมีธรรมประจำใจกัน จะได้อยู่ในโลกนี้ด้วยความสุขนะ ลูกหลานเอ๋ย....

plyfha
03-11-2009, 07:24 AM
http://co113w.col113.mail.live.com/mail/SafeRedirect.aspx?hm__tg=http://65.55.40.119/att/GetAttachment.aspx&hm__qs=file%3d67367b3d-b668-4d24-9ca7-14fe307d7fb4.gif%26ct%3daW1hZ2UvZ2lm%26name%3daW1hZ2UwMDEuZ2lm%26inline%3d1%26rfc%3d0%26empty%3dFalse%26imgsrc%3dcid%253a1.3587086490%2540web32401.mail.mud.yahoo.com&oneredir=1&ip=10.12.152.8&d=d5106&mf=0&a=01_399bf94ef4d8df6468a0ecf0b49a99052d27b1187158b9bde73595aeddbd4fd9
จากเมลล์ที่เค้าส่งต่อมาค่ะ

piangfan
03-13-2009, 01:12 PM
เพียงฝัน!!
แวะมาเก็บเกี่ยวผลผลิต ของทุกท่านค่ะ
ขอบคุณค่ะ

paobunjin
03-18-2009, 03:33 AM
สัญญาณอันตราย 8 ข้อ ส่อมะเร็ง
นพ.สัญชัย ปิยะพงษ์กุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า โรคมะเร็งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสารพันธุกรรมภายในเซลล์ ที่เรียกว่า ยีน ซึ่งมีสภาวะบางอย่างทำให้ "เซลล์" เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ กลายเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งเซลล์มะเร็งสามารถส่งผ่านหรือถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือเกิดขึ้นภายหลัง จากผลกระทบของสารเคมีหรือการติดเชื้อบางชนิดการเกิดโรคมะเร็ง โดยจะสัมพันธ์กับตัวผู้ป่วย สารก่อมะเร็ง หรือเชื้อโรค และสภาพแวดล้อม
ฉะนั้น คนที่ประสบกับภาวะเครียดจัด สูญเสียรุนแรง อาจป่วยเป็นมะเร็งได้ เพราะขณะนั้นภูมิต้านทานร่างกายจะลดลง รวมถึงการได้รับมลพิษ ควันบุหรี่ อาหารปิ้งย่างที่ไหม้เกรียม ก็อาจทำให้เกิดมะเร็งส่วนต่างๆ ในร่างกายได้ นอกจากนี้ การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่วัยรุ่นหรืออายุน้อยๆ ก็เพิ่มโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกได้เช่นกัน
ดังนั้น การตรวจหามะเร็งระยะเริ่มแรกนั้นมีประโยชน์มาก เพราะการรักษามะเร็งในระยะเริ่มแรก จะได้ผลการรักษาที่ดีมาก อีกทั้งเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเข้าสู่โรคมะเร็งระยะลุกลาม ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อชีวิต ฉะนั้นการสังเกตพบอาการผิดปกติในเบื้องต้น นับว่ามีความสำคัญยิ่ง
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี กล่าวอีกว่า สัญญาณอันตราย 8 ประการที่ควรทราบ เพื่อการมีสุขภาพดี คือ

1.มีการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำหรือปัสสาวะเป็นเลือด

2.กลืนอาหารลำบากหรือมีอาการเสียดแน่นท้องเป็นเวลานาน

3.มีอาการเสียงแหบและไอเรื้อรัง

4.มีเลือดหรือตกขาวที่ผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็น

5.แผลซึ่งรักษาแล้วไม่ยอมหาย

6.มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝตามร่างกาย

7.มีก้อนที่เต้านมหรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย

8.หูอื้อหรือมีเลือดกำเดา

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดความสงสัยในสัญญาณข้อใด ขอให้รีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาโดยด่วน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
http://www.thaihealth.or.th/node/8278 (http://www.thaihealth.or.th/node/8278)

ขอบคุณ คุณช่ออักษราลี ที่เอื้อเฟื้อ นำมาวางไว้ที่ "กรีนเวบ"สระแก้วhttp://sakaeofm89.com (http://sakaeofm89.com) ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

noppakorn
03-21-2009, 04:18 PM
วิธีปฐมพยาบาลผ้ป่วยเส้นโลหิตฝอยในสมองแตก (อ่านใน Attachment)
วันก่อน ไปเยี่ยมหลานที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ เป็นเด็กชายอายุแค่ 10 ขวบ อยู่ดีๆก็ล้มตึงลงกลางสนามฟุตบอล ร่างกายซีกซ้ายเคลื่อนไหวไม่ได้ มีอาการปากเบี้ยว พ่อของเด็กรีบแบกใส่รถนำส่งโรงพยาบาลจังหวัดตาก จังหวัดบอกต้องส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคที่เชียงใหม่ เลยเหมารถปุเลงๆส่งต่อไปที่เชียงใหม่ หมอบอกว่าเส้นเลือดในสมองอุดตันและแตก มีอาการเลือดคั่งในสมอง สาเหตุอาจเกิดจากมีอาการเครียดเป็นเวลานาน(เช่นเครียดเรื่องแม่เจ็บออดๆแอดๆ หรือเครียดเรื่องพ่อชอบมีอาการแปลกๆหลังดื่มเหล้าเมา) เด็กเดี๋ยวนี้มันคิดเป็นนะ เลยเก็บกด และอาจบวกกับการกินอาหารที่มีแต่คลอเลสตอรอลระดับสูงในสมัยนี้ ทำให้เกิดอาการแบบนี้ ทั้งๆที่โรคเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกแบบนี้ เมื่อก่อนเคยเจอแต่ในผู้สูงอายุเท่านั้น
แวบหนึ่ง คิดถึงข้อมูลเรื่อง “ เท็คนิคปล่อยเลือด ” ที่เคยอ่านเจอในภาษาจีน ว่าน่าจะเกี่ยวกับกรณีนี้ เลยอยากค้นหามาพิมพ์แจกให้ทุกๆคนไว้ติดบ้าน เผื่อจะเจอกับตัวเองหรือญาติพี่น้อง แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอข้อมูลเดิมสักที ไม่รู้ไปเก็บไว้ที่ไหน ก็พอดีคุณธีรพรรณ หลิม ส่งทางเมล์มาให้อ่านอีกเมื่อ 2 -3 วันก่อน (ยังกะรู้ใจ) ก็เลยถือโอกาสแปลและเรียบเรียงให้ดูง่ายขึ้น กะว่าจะพิมพ์แปะไว้ในบ้าน เผื่อเราเป็นแบบนี้บ้าง ลูกสาวในบ้านจะได้ช่วยเป็นและช่วยทัน ก็เท่านั้นแหละ เลยฝากมากให้ดู เผื่อใช้ประโยชน์ได้บ้าง

ใครที่อ่านภาษาจีนได้ ก็ดูภาษาจีนประกอบไปด้วยก็แล้วกัน ก๊อปปี้มาให้ด้วยแล้วอยู่ด้านล่าง

เท็คนิคการ"ปล่อยเลือด" ; วิธีปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเส้นโลหิตฝอยในสมองแตก
(ถ้าเป็นเส้นโลหิตใหญ่แตก ก็ไม่ต้องช่วแล้ว) มีคนทดลองแล้วไดผล เลยส่งมาห้ดูเป็นส่วนประกอบการพิจารณา
หากเกิดอาการเส้นโลหิตฝอยในสมองแตก (อาการที่สังเกตได้ คือ มีอาการล้มตึงลงเฉยๆ หรือที่เรียก "ล้มทั้งยืน" ให้ตั้งข้อสังเกตก่อนว่า เป็นอาการนี้ ซึ่งเป็นได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กที่เคยพบ ในเด็กอายุเพียง 10 ปีก็มี)
เส้นเลือดฝอยเหล่านั้นจะค่อยๆปริออก หากพบเหตุการณ์แบบนี้ อย่ารนรานรีบเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยเด็ดขาด เพราะการเคลื่อนย้ายจะยิ่งทำให้การแตกของเส้นโลหิตรุนแรงขึ้น ถ้าพบบนพื้นห้องน้ำหรือในห้องนอนหรือที่ใดก็ตาม ให้ยกผู้ป่วยขึ้นนั่งให้มั่นคง เพื่อกันการล้มลงอีก แล้วให้เริ่มปฏิบัติการ "ปล่อยเลือด" ทันที
หากในบ้านมีเข็มฉีดยาจะดีที่สุด แต่หากไม่มี ให้ใช้เข็มเย็บผ้าหรือเข็มหมุด ลนไฟสักนิดเพื่อฆ่าเชื้อ ทิ่มไปที่ปลายนิ้วมือทั้งสิบนิ้ว (ตำแหน่งไม่เจาะจงเป็นพิเศษ เอาเป็นว่าห่างจากปลายเล็บประมาณ 1 ซม. บ้างก็ว่าที่ปลายนิ้วเลย ที่จริงที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องไปกลัวผู้ป่วยเจ็บ เราะตอนนั้นผู้ป่วยมักจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวด้วยแล้ว) เอาเป็นว่าทิ่มให้เลือดออก ถ้าเลือดไม่ออก ก็ช่วยบิบให้มันออก เอาซักเม็ดถั่วเขียวก็พอ ให้เลือดออกทุกนิ้ว นิ้วละหยด ผ่านไปประมาณ 3-5 นาที ผู้ป่วยน่าจะฟื้น
หากมีอาการปากเบี้ยว ให้ดึงหูทั้งสองข้างจนแดง แล้วทิ่มที่ติ่งหู เพื่อให้เลือดออกข้างละหยด ไม่กี่นาที ปากก็จะคืนรูป
ให้ผู้ป่วยนั่งพักรอจนมีสติดีขึ้น (ให้สังเกตุง่ายๆว่าพูดชัดขึ้นหรือยัง) แล้วค่อยส่งโรงพยาบาลหรือให้แพทยรักษา ในระหว่างนี้ จะให้ดื่มได้อะไรร้อนๆก็ได้
ผู้ป่วยที่มีอาการเส้นโลหิฝอยในสมองแตก ส่วนใหญ่ จะมีอาการหนักขึ้นในระหว่างที่รีบนำส่ง โรงพยาบาล เนื่องจากการสะเทือนในระหว่างเดินทาง จะทำให้เส้นโลหิตแตกมากขึ้น ทำให้การรักษาต้องใช้เวลานานขึนฉะนั้น อย่ารีบเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างรุนแรงเด็ขาด
มีผู้ป่วยที่ได้รับการปฐมพยาบาลแบบนี้ ไปนอนรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล อีกเพียงวันเดียว ก็สามารถ กลับบ้านท่ำงานต่อไปได้แล้ว

paobunjin
03-22-2009, 11:50 PM
ความหวาน รสหวาน
ความหวาน, รสหวาน, น้ำตาล โปรดเข้าใจว่า " เป็นสิ่งเสพติด เป็นสารเสพติด" หากไม่ได้ทานจะลงแดง มือสั่น ไม่มีเรี่ยวแรง หงุดหงิด รสหวานมีความร้ายกาจพอๆกับ สุรา และบุหรี่ คนที่ดื่มสุรา ผลการดื่มสุราเป็นประจำคือ มะเร็งตับ ตับโตตับแข็ง บุหรี่ คนที่สูบบุหรี่เป็นประจำปลายทางคือ มะเร็งปอด แล้วความหวานหรือรสหวานล่ะ ปลายทางสุดท้าย ไตวาย, หัวใจวาย, มือ-เท้าซา เป็นอัมพฤก เป็นแผลเรื้อรัง
รสหวานหรือความหวานไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ทำให้ชีวิตในวัยสูงอายุมีความทุกข์ทรมาน ทั้งตัวผู้ป่วยและคนที่ดูแล ไม่ดูแลตนเองวันนี้เป็นการสร้างเวร สร้างกรรม ให้กับคนอื่นในวันหน้าอีกด้วย

ความหวาน รสหวาน ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยมากกว่า 100 อาการ วันนี้หากรู้สึกไม่สบายตัวลองงดหวานดู งดต่อเนื่องให้ได้ 28 วัน อาการป่วยที่เป็นอยู่จะดีขึ้นมาก ไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปรักษา
ค่าฟอกไต 1,500 – 2,000 บาท/ครั้ง เดือนละสามสี่หมื่นบาท
ทำเส้นเลือดหัวใจ 200,000 – 500,000 บาท
อัมพฤก รักษากันตลอดชีวิตหมดค่ารักษากันเป็นแสนๆ

ความหวานในที่นี้ หมายถึง ขนมหวาน ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม

คนที่เป็นเบาหวานอยู่อย่านิ่งนอนใจ กินยาคุมเบาหวานอยู่แล้ว น้ำตาลไม่ขึ้นไม่ต้องเป็นห่วง การกินยาคุมเบาหวานเป็นการรักษาแบบ คันหัว แต่เอามือไปเกาที่หลัง
ให้สังเกตตัวเอง ร่างกายมีเรี่ยวแรงหรือเปล่า หรืออ่อนแอลงเรื่อยๆหรือเปล่า สมรรถภาพทางเพศลดลงหรือเปล่า หากมีอาการเช่นนี้....แสดงว่าการรักษาที่ทำอยู่ไม่ได้ผลแล้วควรหาวิธีการใหม่ อย่านิ่งนอนใจ...!

มีปัญหาสุขภาพพูดคุย...ปรึกษาได้ 089-8972955 (คุณเสถียร)
ขอขอบคุณ คุณSatien แห่ง กรีนเวบ http://sakaeofm89.com ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

noppakorn
03-24-2009, 08:28 PM
จากเวป...
http://www.bangkokmap.com/pm/content/view/27/36/

บทความธรรมะบันเทิงของหลวงพ่อปราโมช



18. ชาติก่อน มีจริงหรือ
ในช่วงที่ผู้เขียนเรียน อยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น. เป็นช่วงที่แนวความคิดของท่านอาจารย์พุทธทาส อินทปัญโญ มีอิทธิพลต่อนักศึกษาอย่างสูง. หลักการสำคัญของแนวทางนี้ก็คือ ท่านเน้นที่การดับทุกข์ในปัจจุบัน. ทำให้ลูกศิษย์ซึ่งฟังคำสอนอย่างไม่รอบคอบเข้าใจว่า. ท่านอาจารย์ปฏิเสธเรื่องชาติก่อนและชาติหน้า. คิดว่าท่านอาจารย์เชื่อว่าตายแล้วสูญ. คิดว่าท่านอาจารย์เห็นว่า โอปปาติกสัตว์ เช่นเทวดาและพรหม ไม่มีจริง. และทุกอย่างที่แปลกๆ จะถูกอธิบายด้วยเรื่องภาษาคน ภาษาธรรม. เช่นอธิบายว่าสวรรค์คือจิตที่เป็นสุข นรกคือจิตที่เป็นทุกข์. อธิบายว่าพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานในวันเดียวกัน. หมายถึงว่าการตรัสรู้ คือการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า. และกิเลสก็นิพพานจากพระทัยของท่านในขณะเดียวกัน เป็นต้น. มีการตีความธรรมะออกไปอย่างกว้างขวาง และสมเหตุสมผล. รวมทั้งสอนกันเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งปวง.



ผู้ เขียนเป็นศิษย์หน้าโง่ของท่านอาจารย์พุทธทาสอย่างเต็มภูมิ. ตอนนั้นเชื่อสนิทว่า เมื่อตายแล้วก็สูญ. พระไตรปิฎกตัดทิ้งเสียบ้างก็ได้. พระพุทธรูปก็ไม่ต้องไหว้ เพราะเป็นก้อนอิฐและทองเหลือง. ตอนไปบวชที่วัดชลประทานก็ได้รับคำสอนว่า ให้รู้จักถือศีลอย่างฉลาด. กิเลสก็เลยพาฉลาดแกมโกงไปเลย เช่นฉันข้าวจนเกือบๆ จะเที่ยง เพราะไม่ถือมั่นในสิ่งทั้งปวง.
ขนาดรู้เห็นภพภูมิต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก. แต่พอเป็นวัยรุ่นที่ร้อนแรงเข้า กลับเชื่อลัทธิวัตถุนิยมเต็มหัวใจ. ความน่ากลัวของสังสารวัฏนั้น มันน่ากลัวขนาดนี้ทีเดียวครับ. คืออาจจะหลงผิดเมื่อไรก็ได้ แล้วแต่ความคิดปรุงแต่งจะพาไป.
บุญที่ผู้เขียนได้พบท่าน อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ (_/I\_). ท่านได้กรุณาชี้แจงให้ฟังว่า ผู้เขียนกำลังหลงผิดด้วยอุทเฉททิฏฐิ (คือเชื่อว่าตายแล้วขาดสูญ). ผู้เขียนจึงเริ่มเฉลียวใจ หันมาศึกษาพระไตรปิฎกอย่างจริงจัง ด้วยจิตใจที่เปิดกว้างกว่าเดิม. แทนที่จะเชื่อตามๆ ที่ได้รับคำบอกเล่ามา. ตั้งใจอ่านพระไตรปิฎกจนจบ ส่วนใดสงสัยก็กราบเรียนถามท่านอาจารย์สุชีพฯ เรื่อยมา.
เมื่อได้ครูบาอาจารย์ทางปฏิบัติอย่างหลวงปู่ ดูลย์ และหลวงปู่เทสก์. และปฏิบัติอย่างจริงจังจนเข้าใจจิตตนเองอย่างแจ่มแจ้งแล้ว. ผู้เขียนจึงทราบว่า ชาติก่อนและชาติหน้ามีจริง. แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจมาแต่เดิมว่า. พอร่างกายแตกดับ จิตก็ออกจากร่างไปเกิดใหม่. ซึ่งทัศนะนั้นเกิดจากความเห็นผิดว่าจิตเป็นอัตตา.
เหตุผล ที่ทำให้ผู้เขียนเชื่ออย่างหมดใจก็คือ. เมื่อผู้เขียนมีสติระลึกรู้ลงในกายในจิตของตนเอง. ผู้เขียนเห็นสันตติ คือเกิดดับสืบเนื่องกันตลอดเวลาของรูปและนาม. เหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านมาอย่างไม่ขาดสาย. ส่วนที่ดับไปแล้วก็เป็นอดีต หาประโยชน์อะไรไม่ได้. ส่วนที่ยังมาไม่ถึง แต่มีเหตุปัจจัยอยู่ มันก็จะต้องมาถึงในอนาคต. จะห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้นก็ไม่ได้. ส่วนปัจจุบันเองก็สั้นจนหาระยะเวลาไม่ได้. แม้จะมีอยู่ ก็เหมือนไม่มีอยู่ เพราะจับต้องอะไรไม่ได้เลย. เพียงแต่ปรากฏแล้วก็ผ่านไป ๆ เท่านั้น. ความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย จึงเป็นไปด้วยอำนาจของสัญญาและสังขาร. คือตามหลงสิ่งที่เป็นอดีตไปแล้วบ้าง. เพ้อเจ้อไปถึงสิ่งที่เป็นอนาคตบ้าง. ส่วนปัจจุบันจริงๆ เหมือนความกว้างของเส้นๆ หนึ่ง. คือไม่มีความกว้างพอที่สิ่งใดจะตั้งลงได้. เว้นแต่มหาสติเท่านั้น ที่จะหยั่งลงในปัจจุบันได้.
ผู้เขียนเป็นคนมีความจำดี. เรื่องที่ผ่านมาแล้วบางเรื่อง ที่เป็นอารมณ์อันรุนแรงประทับใจ. ก็ยังจำได้แม้วันเวลาจะผ่านไปนานนักหนาแล้ว. สิ่งนี้เป็นเครื่องมือเฉพาะตัว ที่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าชาติก่อนมีอยู่. แต่ไม่สามารถพิสูจน์ให้ผู้อื่นเห็นตามได้. ผู้เขียนจึงไม่เคยเปิดเผยมาก่อน นอกจากกับคนใกล้ชิดจริงๆ เท่านั้น. ไม่เหมือนการตามรู้วาระจิตผู้อื่น. ซึ่งผู้ถูกรู้สามารถเป็นพยานให้กับผู้เขียนได้. แต่เนื่องจากในลานธรรมแห่งนี้มีแต่กัลยาณมิตร. ปรึกษากับคุณดังตฤณแล้ว ก็เห็นว่าน่าจะพูดกันได้บ้าง.
ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างเล็ก น้อย เพียง 3 ชาติสุดท้ายนี้. ในช่วงประมาณสมัยต้นรัตนโกสินทร์. ผู้เขียนบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ริมแม่น้ำใกล้จังหวัดนนทบุรี. จิตใจในชาตินั้นท้อแท้ต่อการค้นหาสัจจธรรมอย่างยิ่ง. เพราะไม่ว่าจะหันหน้าไปทางใด ก็มีแต่ผู้ไม่รู้เหมือนๆ กัน. ความทอดอาลัยนั้น ทำให้กลายเป็นพระขี้เกียจ. วันหนึ่งๆ เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ที่ศาลาท่าน้ำบ้าง. ดูพระอื่นแกะสลักไม้ทำช่อฟ้าและหน้าบันบ้าง.
ในชาตินั้นผู้ เขียนอายุสั้น ด้วยผลกรรมในอดีตห่างไกลมาแล้ว. จึงเป็นลมตกน้ำตายตั้งแต่ยังหนุ่ม. และเพราะอกุศลกรรมที่สั่งสมในการปล่อยจิตหลงเหม่อไปเนืองๆ. ประกอบกับที่เป็นพระขี้เกียจ. ฉันข้าวของชาวบ้านโดยไม่ทำประโยชน์ใดๆ. ผู้เขียนจึงพลาดลงสู่อบายภูมิ ไปเกิดเป็นวัวของชาวบ้านข้างวัดนั้นเอง. และถูกนำตัวมาถวายวัด กลับมาอยู่ในวัดเดิมในฐานะใหม่.
เมื่อ สิ้นอายุขัยลง ผู้เขียนได้ตามครูบาอาจารย์ไปเกิดทางตอนใต้ของจีน แซ่ฉั่ว ชื่อเอ็ง. ต่อมาได้บวชเป็นเณรในวัดเซ็นอยู่บนเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง. ผู้เขียนก็หัดดูจิตอยู่เสมอๆ. ตอนเป็นหนุ่มขึ้นมาเกิดไปหลงรักสาวซึ่งถวายดอกลิลลี่มาให้. ประกอบกับทางบ้านไม่มีผู้สืบตระกูล จึงลาสิกขากลับมาทำนา. เรื่องนี้ชาวบ้านไม่ค่อยชอบใจอยู่แล้ว เพราะพระจีนนั้นเมื่อบวชแล้วมักนิยมบวชเลย. นอกจากนี้ ผู้เขียนยังทำตัวไม่เหมือนชาวบ้านทั้งหลาย. ซึ่งนอกจากจะทำนาแล้ว เพื่อนบ้านยังเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ และจับปลา. ส่วนผู้เขียนสมาทานมั่นในศีลสิกขา แม้จะอดอยากเพียงใดก็ไม่ยอมฆ่าสัตว์. ชีวิตความเป็นอยู่จึงแร้นแค้นกว่าคนอื่นๆ. และเป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของชาวบ้านทั่วไป. ว่าเป็นคนไม่รู้จักทำมาหากิน. กระทั่งพวกเด็กๆ เมื่อเจอผู้เขียน ก็ร้องเป็นเพลงเล่นว่า. ฉั่วเอ็งเป็นคนประสาท ฉั่วเอ็งเป็นคนอ่อนแอ. ผู้เขียนถือมั่นในศีลอยู่ท่ามกลางแรงกดดันนั้นด้วยความอดทนอย่างยิ่ง.
ต่อ มาเกิดฝนแล้งต่อกัน 2 - 3 ปี. คราวนี้ทั้งหมู่บ้านเผชิญกับความอดอยากอย่างยิ่ง. กระทั่งคนที่เคยจับปลาก็ไม่มีปลาให้จับ. ถึงตอนนั้นชาวบ้านทั้งหมู่บ้านจำต้องทิ้งถิ่นเข้าไปหางานทำในเมือง. ผู้เขียนและครอบครัวก็ไปกับเขาด้วย. และไปพบการเกิดจราจลในเมือง พลอยถูกลูกหลงตายไปด้วย.
ในบรรดาศิษย์ของหลวงปู่ดูลย์ นั้น มีพระที่ทรงอภิญญาเลื่องชื่ออยู่หลายองค์. เช่นหลวงปู่ฝั้น อาจาโร และเจ้าคุณโชติ แห่งวัดวชิราลงกรณ์. ส่วนในบรรดาศิษย์รุ่นหลัง ที่จะหาผู้ทรงอภิญญา. เสมอด้วยหลวงพ่อกิม ทีปธัมโม แห่งวัดป่าดงคู ผู้เขียนยังไม่เคยพบเลย.
หลวงพ่อกิมสนิทกับผู้เขียนมาก. แต่ท่านก็ไม่ค่อยยอมเล่าเรื่องแปลกๆ ให้ผู้เขียนฟังอย่างเปิดเผย. เพราะติดด้วยพระธรรมวินัย. แต่ถ้าแสดงธรรมอยู่แล้วพาดพิงไปถึง ท่านก็จะยอมเล่าให้ฟัง.
เคยถามท่านว่า อะไรเป็นเหตุให้ท่านเบื่อหน่ายในสังสารวัฏ. ท่านตอบว่า ท่านเห็นทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด. บางชาติเกิดเป็นท้าวพระยามหากษัตริย์. บางชาติตกนรกหมกไหม้ หรือมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน. มีชาติหนึ่งเกิดเป็นวัว เจ้าของเอาไปผูกกับหลักไม้ไว้กลางนาตั้งแต่เช้า. แล้วเขาไปทำธุระโดยคิดว่าไม่นานจะกลับมา. ปรากฏว่าเขาติดธุระจนเย็นจึงกลับมาพาท่านกลับบ้าน. ท่านบอกว่าวันนั้นแดดร้อนจัด. ท่านกระหายน้ำทรมานมาก. พอเห็นคนเดินผ่านไปมา ก็นึกดีใจว่าเขาคงเอาน้ำมาให้ดื่มบ้าง. แต่คนกลับกลัววัวที่ดิ้นไปดิ้นมา ไม่กล้าเข้าใกล้. จนเย็นเจ้าของจึงมาพากลับเข้าคอก.
หลังจากท่านทิ้งขันธ์ แล้ว พระอุปัฏฐากท่านจึงเล่าเรื่องอันหนึ่งให้ฟังว่า. หลวงพ่อกิมท่านบอกว่าเมื่อชาติก่อนหลวงปู่ดูลย์ และหลวงพ่อกิมเป็นพระจีน. ในชาตินี้มาเกิดที่เมืองไทย และมีศิษย์ในยุคนั้นตามมาอีก 10 คน. ขณะที่ท่านเล่านั้น เป็นพระ 3 รูป อุบาสก 3 คน และอุบาสิกา 4 คน.
สังสารวัฏ นี้ยาวนานนัก ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย. พระผู้มีพระภาคจึงทรงกล่าวว่า คนที่มาพบกันนั้น. ที่จะไม่เคยเป็นพ่อแม่พี่น้องกันมา หาได้ยากนัก.
จาก การที่ผมจำอดีตได้ยาวไกลมาก. จึงได้ข้อสรุปมาอย่างหนึ่งว่า. นิสัยของคนเรานั้น หมื่นปี ก็ยังแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย. เว้นแต่จะตั้งอกตั้งใจพัฒนาตนเองอย่างจริงจัง. จึงจะพัฒนาไปในทางที่ดีได้.
คนที่เคยขี้เกียจมาอย่างไร ก็มักจะขี้เกียจอย่างนั้น แล้วก็จะขี้เกียจต่อไปอีก. คนที่ชอบศึกษาปริยัติธรรม ก็จะชอบศึกษาปริยัติธรรม แล้วชาติหน้าก็จะชอบอย่างนั้นอีก.
สิ่ง เดียวที่จะเปลี่ยนแปลงคนได้เร็วที่สุด คือการเจริญมหาสติปัฏฐาน. แต่ถึงจะปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์แล้ว. บรรดาวาสนาคือความเคยชินต่างๆ ก็ยังติดอยู่เหมือนเดิม.
19. ชาติหน้ามีจริงหรือ
คราว นี้มากล่าวถึงเรื่องชาติหน้า หรือเรื่องตายแล้วเกิดบ้าง. ผู้เขียนเคยเห็นการตายและเกิดมาหลายคราวแล้ว. ในที่นี้จะเล่าถึงการตายแล้วเกิดสัก 4 ราย.
การตายแล้วเกิดนั้น ไม่ใช่ว่าพอร่างกายนี้แตกดับลง. จิตดวงเดิมก็ออกจากร่างไปเกิดใหม่. เพราะจิตเองก็ตายและเกิดอยู่แล้วตลอดเวลา.
เรื่อง นี้ผู้เขียนเคยนั่งดูพ่อแท้ๆ ถึงแก่กรรม. ตอนนั้นพ่อป่วยหนักอยู่ที่ศิริราช. ในขณะที่จะตายนั้น ต้องนอนหายใจด้วยการขยับไหล่ขึ้นลง. เพราะกระบังลมไม่มีกำลังจะหายใจแล้ว. ขณะนั้นมีเวทนาทางกายอย่างรุนแรง สลับกับการตกภวังค์เป็นระยะๆ. ผู้เขียนก็เพียรแผ่เมตตาให้เรื่อยๆ ไป. ถึงจุดหนึ่งจิตของพ่อเคลื่อนขึ้นจากภวังค์ แต่ไม่ได้ออกมาสู่โลกภายนอก. เป็นสภาวะคล้ายๆ การฝันไปนั้นเอง. จิตของผู้เขียนได้สร้างกายทิพย์ขึ้นในรูปของภิกษุ. ส่วนจิตของพ่อก็สร้างกายทิพย์ขึ้นมาประนมมือไหว้พระลูกชาย. ผู้เขียนก็เตือนให้พ่อระลึกถึงบุญที่เคยบวชลูกชายหลายคน. จิตของพ่อก็เบิกบานอยู่ช่วงหนึ่งแล้วตกภวังค์. พอเคลื่อนจากภวังค์ จิตมีอาการหมุนอย่างรวดเร็ว. ที่ว่าตายเป็นทุกข์นั้น จุติจิตหรือจิตที่เคลื่อนที่หมุนนี้ มันก็แสดงทุกข์ออกมาอย่างสาหัส. ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับตัวเรานี้เหมือนลูกข่างที่หมุนติ้วๆ จนสลบเหมือด. มันเป็นการหมุนอยู่กับที่ ไม่ได้เคลื่อนออกจากกายไปทางไหนเลย. จากนั้นก็ตกภวังค์ขาดความเชื่อมโยงกับกาย. ขณะเดียวกันก็มีจิตอีกดวงหนึ่ง หมุนขึ้นมาในภพใหม่. แสดงความทุกข์ของการเกิด. แล้วตกภวังค์อีกทีหนึ่ง. พอจิตถอนขึ้นจากภวังค์ คราวนี้ความปรากฏแห่งอายตนะที่ยึดเป็นชีวิตใหม่ ก็เกิดขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์.
จึงเห็นว่า จิตไม่ได้ออกจากร่างไปเกิด. และทันทีที่ตาย ก็เกิดทันที มีภวังค์คั่นอยู่นิดเดียวเท่านั้น.
อีกราย หนึ่งเป็นพ่อของเพื่อน แต่สนิทคุ้นเคยกันดี. เพราะที่บ้านของเพื่อนคนนี้ สร้างกุฏิไว้ให้พระป่ามาพัก. ในเวลาที่พ่อของเขาเจ็บหนักนั้น. เขาได้นิมนต์ครูบาอาจารย์พระป่า 2 รูปไปแผ่เมตตาให้. ผู้เขียนก็ตามไปดูด้วย. คนเจ็บนอนหลับๆ ตื่นๆ อยู่ แล้วก็ร้องโวยวายว่า. นั่นมดดำเดินเต็มไปหมดเลย. ลูกก็ร้องไห้กระซิกๆ บอกว่าพ่อเจอมดดำเดินแถวไม่ได้. จะเอานิ้วโป้งรูดฆ่าทั้งแถวด้วยความสนุกเสนอ. ทั้งลูกและพระก็ช่วยกันเตือนสติ ว่าไม่มีมดดำ. จิตของแกก็ตกภวังค์ลงอีกครั้งหนึ่ง.
ขณะที่จิตเคลื่อนออก จากภวังค์ มาอยู่ตรงที่เหมือนฝันนั้น. แกนิมิตเห็นไก่บ้านตัวหนึ่ง. พระทั้งสองรูปและผู้เขียนก็เร่งแผ่เมตตาให้มากขึ้น. นิมิตไก่ก็ดับลง เกิดนิมิตของอสุรกาย แล้วจิตก็เคลื่อน. พอตกภวังค์ลง ก็ไปเกิดเป็นอสุรกายทันที.
บางคนไม่ทำกรรมดี แต่กะว่าตอนตายจะค่อยตั้งใจตายให้ดี. โดยจะท่องนามพระอรหันต์บ้าง พุทโธบ้าง. ขอเรียนว่า เป็นความคิดที่เหลวไหลสิ้นเชิง. เพราะพอจะตายจริงๆ นั้น จิตจะเกิดนิมิตขึ้นเหมือนกับฝันไป. สิ่งที่ตั้งใจท่องไว้นั้น จะลืมจนหมด. แล้ววิบากก็จะแสดงนิมิตขึ้นมาให้จิตผูกพันเข้าสู่ภพใหม่ตามกรรมที่ให้ผล.
ถ้า ควบคุมความฝันไม่ได้ ก็ควบคุมการเกิดข้ามภพข้ามชาติไม่ได้. รายพ่อของเพื่อนนั้น เมื่อเล่าให้เขาฟังว่าหวุดหวิดจะไปเป็นไก่. เขาก็สารภาพว่าพ่อนั้นตั้งแต่หนุ่มๆ ชอบดื่มเหล้า. ตกเย็นจะมีเพื่อนมาชุมนุมที่บ้าน. พ่อจะสั่งเชือดไก่เลี้ยงเพื่อนทุกวัน วันละตัว. กรรมชั่วที่สะสมจนเคยชินเป็นเวลาหลายสิบปี จึงจะมารอให้ผล. แต่อาศัยที่เคยทำบุญมาในช่วงปลายชีวิต. ในขณะสุดท้ายนิมิตเกิดเปลี่ยนแปลงไป. จึงรอดจากสัตว์เดียรัจฉาน ไปเกิดเป็นอสุรกาย. เรียกว่าดีขึ้นขั้นหนึ่ง แต่ยังต่ำกว่าเปรต.
หลัง จากตายไม่นาน คืนหนึ่งลูกสาวนั่งภาวนาแล้วนึกถึงพ่อ. ขอให้มารับส่วนบุญด้วยตนเอง. ทันใดนั้น ทั้งบ้านก็เหม็นเน่าตลบไปหมด. ทั้งลูกทั้งหลานกลัวกันลนลาน. รีบกำหนดจิตบอกว่า ไม่ต้องมารับเองก็ได้ จะอธิษฐานจิตไปให้. วันนั้นพอดีมีพระเถระรูปหนึ่งมาพักในบ้าน. พอรุ่งเช้าท่านก็บ่นขึ้นเองว่า ไม่น่าไปเรียกเขามาเลย.
อีกราย หนึ่งเป็นสุนัขในบ้านของผู้เขียน. เป็นหมาไทยธรรมดาไม่มีประวัติและดีกรี. ผู้เขียนไปอุ้มมาจากจุฬาฯ เอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่เล็ก. เขาเป็นสุนัชตัวเมียที่มีจิตใจงดงามมาก. รู้จักให้ทาน ให้ลูกสุนัขอื่นๆดูดนมได้. เวลากินอาหาร จะให้แมวและสุนัขอื่นๆ กินก่อน ตัวอื่นอิ่มแล้วเขาจึงจะกินข้าว. และแม้จะถูกสัตว์เล็กกว่ารังแก เขาก็จะเดินหนี ไม่ตอบโต้ทำร้าย ทั้งที่ทำได้. ในเวลาที่เขาตายนั้น เขานอนตาแป๋ว. มีความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง. และไปสู่ภพภูมิที่สูงกว่าพ่อของผู้เขียนเสียอีก.
คนไปเกิดเป็นสัตว์ สัตว์ไปเกิดเป็นเทวดา. สังสารวัฏนี้เอาแน่นอนอะไรไม่ได้เลย. แต่มีความเที่ยงธรรมอย่างที่สุด.
ราย สุดท้ายเป็นยายห่างๆ ของผู้เขียน. แกเป็นคนขี้โมโหโทโส แถมเป็นนักเข้าทรงหลวงพ่อทวด. เป็นคนที่มีพลังจิตกล้าแข็งมาก. แกตายแล้วไปเกิดเป็นอสรุกาย มีผีหลายตัวเป็นบริวาร. ทั้งนี้โอปปาติกสัตว์นั้น. เขานับถือกันตามพลังอำนาจและบุญวาสนา.
ลูก หลานรู้สึกสงสารแก แต่ที่มากกว่าสงสารคือกลัวแก. เพราะญาติบางคนเห็นแกในสภาพที่น่ากลัวมาก. ผู้เขียนจึงเป็นต้นคิดจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ นอกเหนือจากการจัดงานศพตามประเพณี. โดยนำผ้าไตรไปถวายหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่วัดหินหมากเป้ง. เมื่อถวายทานแล้ว ก็กำหนดจิตอุทิศส่วนกุศลให้. พอกำหนดจิตถึง ภาพของแกก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตามีผู้เห็นถึง 3 คน. ในภาพนั้นแกยังเป็นอสุรกาย แต่หน้าตาสดใสขึ้นบ้าง. ในมืออุ้มผ้าไตรไว้อย่างงงๆ ว่าแกจะเอาไปทำอะไร. ทั้งนี้เพราะแกเองไม่เคยทำบุญชนิดนี้. เป็นเพียงบุญที่ผู้อื่นอุทิศให้ จึงขาดความประทับใจเท่าที่ควร.
รุ่งเช้าถวายอาหารต่อพระ ทั้งวัดโดยนำเงินไปทำบุญที่โรงครัว ให้เขาจัดการให้. แต่ทำบุญแล้วลืมอุทิศส่วนกุศลให้. ตกเย็นก็นั่งรถสองแถวที่จ้างไว้ออกจากวัด. สิ่งที่พากันเห็นนั้นน่ากลัวมาก. คืออสรุกายยายพร้อมทั้งบริวารพากันติดตามมาจากวัด. ตอนขึ้นรถไฟที่หนองคาย ขณะที่รถวิ่งลงมาทางจังหวัดอุดรธานี. อสุรกายก็มาโผล่หน้าใหญ่เต็มหน้าต่างรถไฟ. เล่นเอาสะดุ้งไปตามๆ กัน. ผู้เขียนนึกได้ว่ายังไม่ได้อุทิศส่วนกุศลให้. จึงกำหนดจิตบอกยายว่า เมื่อเช้านี้ได้ทำทานถวายอาหารพระทั้งวัด เพื่ออุทิศให้กับเขา. เมื่อบอกกล่าวถึงตอนนี้ อสุรกายก็ระลึกได้ว่า. เมื่อสมัยยังสาวนั้น เขาชอบนำอาหารใส่ปิ่นโตไปถวายพระ. ภาพพระนั่งฉันอาหารเต็มศาลาก็ปรากฏทางมโนทวารของเขา. จิตในขณะนั้นเกิดความร่าเริงเบิกบานในบุญที่ตนเองเคยสร้างไว้. จิตก็เคลิ้มลงเรื่อยๆ. ขณะนั้นเกิดกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นจากเท้าของเขา. แผ่ขยายจนคลุมตัวไว้ทั้งหมด. พอจิตตกภวังค์ดับวับลง กายอสุรกายก็สลายหายไป. เกิดรูปเทพธิดารูปหนึ่งลอยทะลุกลุ่มควันสีขาวนั้นขึ้นไป.
ความ ตายของโอปปาติกะนั้น เมื่อจิตจับนิมิตใหม่และดับลง รูปโอปปาติกะก็ดับลงด้วย. แล้วจิตดวงใหม่ในภพใหม่ก็เกิดขึ้น. แต่ผู้เขียนดูไม่ทันว่า รูปในภพใหม่เกิดก่อน หรือจิตเกิดก่อน.
สัตว์ ในภพอสุรกาย และภพอื่นๆ จะไม่รับส่วนบุญของผู้อื่น. อย่างมากก็เพียงอนุโมทนาบุญ. มีเพียงเปรตบางอย่างที่เป็นภพใกล้คนที่สุด จึงจะรับส่วนบุญจากผู้อื่นได้. กรณีที่เล่ามานี้ อสุรกายเพียงแต่อนุโมทนาบุญ และระลึกได้ถึงบุญของตนเอง.
อนึ่ง ธรรมดาสัตว์ตระกูลโอปปาติกะทั้งหลายนั้นมักจะอายุยืน. หากไม่มีบุญของตนเองเป็นที่พึ่งอาศัย. ก็จะอยู่ด้วยความยากลำบาก. เพราะจนลูกหลานเหลนตายหมดแล้ว สัตว์พวกนี้ก็ยังมักจะมีชีวิตอยู่. ดังนั้น ถ้ามีโอกาสทำบุญ ก็ควรจะทำไว้ เพื่อเป็นที่พึ่งอาศัยในการท่องสังสารวัฏต่อไป.
(16 มิถุนายน 2542)

ทั่นยาย
03-27-2009, 03:29 PM
รู้ไว้ใช่ว่า

-“ตะลึง”....คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจบางศพ
มีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 โล… แล้วเป็นเพราะอะไร ???

เค๊าว่า “อุจจาระตกค้าง ” อุจจาระตกค้าง เนื่องมาจาก
1. เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
2. กินอาหารที่มีกากใยน้อย
3. มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
4. ระบบดูดซึมเสีย เพราะน้ำมันพืชเคลือบ ทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไป ไม่หมุนเวียน
5. ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 เช้า

หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า ลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน
เวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด แต่ไม่รู้ตัว ที่ปลายลำไส้จะมีประสาทปลายทวาร
เมื่อมีอุจจาระที่เหลวพอ มาจ่อปลายทวาร ประสาทจะส่งสัญญานบอกสมอง
ให้ปวดอึ หลัง 7 โมงเช้า

ลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ บีบอุจจาระให้ขาดช่วง เวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว
เราก็หยุด แต่ความจริง อุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออก แต่มันถูกดันกลับขึ้นไป
ไม่มาจ่อปลายทวาร ทำให้เราไม่ปวดอึ เราก็นึกว่าหมดแล้ว อุจจาระที่ค้างไว้นี้
ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่า มันก็แซงหน้าไปก่อน
แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ค้างแข็งไว้ ก็เกาะติดแน่น

ฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลวพอ ส่วนที่เหลือ ก็เกาะไปเรื่อย ๆ
อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่าง ๆ
ในกระเพาะและ กดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมาย เช่น ท้องอืด
ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ
เป็นฝ้า ไมเกรน และ อื่น ๆ
“นั่นแหละเป็นที่มา..ที่คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้าง
ในลำไส้อย่างน่าตกใจ บางศพ มีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 กิโล”

การนำอุจจาระตกค้างออกจึงจำเป็นต้องหาว่าเป็นที่สาเหตุใดใน 5 สาเหตุข้างต้น
แต่ถ้าสามารถได้รับการตรวจด้วยลูกดิ่งเพนดูลั่มก็จะรู้ได้ สำหรับท่านที่ไม่สะดวก
ในการเดินทางมาให้ตรวจก็แนะนำให้ถ่ายพยาธิเสียก่อน แล้ว ลองสูตรอาหารดังต่อไปนี้

1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน
เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวัน หรือ 3-4 วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่จะชอบ

2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก
ทานก่อน 6 โมงเช้าช่วงแรกควรทานติดกัน 3 วัน หากถ่ายก่อน 7 โมงเช้า
เป็นปกติได้แล้ว ก็ลดมาเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้งหรือ ตามที่เห็นสมควร

3. ทานผักบุ้ง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา

Lucky
03-27-2009, 03:52 PM
โห คิดถึงหน้าวัดเลยทั่นยาย

Lucky ลากเข้........................................................http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/YahooIM/43.gif

ทั่นยาย
03-28-2009, 12:31 PM
กี้จ๋า บ่นอารายงึมงำๆ จ๊ะ สงสัยจะสะสมพิษไว้เยอะป่ะคะ มาล้างพิษกันเร้ว...

ยอดอาหารล้างพิษ 20 ชนิด
------------------------------
คนโบราณและนักโภชนาการมักกล่าวว่าอาหารเป็นยาที่วิเศษสุด
หากได้ทราบว่าอาหารประเภทใดสามารถช่วยล้างพิษได้ คุณอาจจะต้องประหลาดใจ
เพราะอาหารเหล่านั้นอาจเป็นอาหารโปรดที่เรากินกันเป็นปกติอยู่แล้ว
บางอย่างก็หาได้ง่าย แถมราคาไม่แพงด้วย อาหารเหล่านี้ช่วยล้างพิษให้
แก่อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น ตับ ลำไส้ ไต ผิวหนัง
ช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษ รวมถึงช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
ซึ่งสารพิษต่างๆ ที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศ สารเจือปนในอาหาร
เช่น สีผสมอาหาร สารกันเสีย ยาฆ่าแมลง ปรุงรส เป็นต้น
คราวนี้ลองมาดูกันว่าอาหารชนิดใดสามารถช่วยล้างพิษให้คุณได้บ้าง

*1. กล้วย*
มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรง แก่กระเพาะอาหาร
ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส
โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว
หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว
หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย


* 2. อัลมอนด์*
เป็น ถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน
แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย ในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึง
ควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia )
ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia )
จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก

*3. แอปเปิล*
ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอล
และโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง
นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส
จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร
ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้

*4. ตำลึง*
ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้
ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ
แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ และมีหมูสับเต็มไปหมด
ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย

*5. อะโวคาโด*
อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป
ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน( Glutathione )
ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า
30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก
ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan )
พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่
ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

*6. บีตรูต*
ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผัก มหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล
( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด
ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด
ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง
อีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษที่ส่งเสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น
จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น
ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่าง
ในเลือดให้สมดุลด้วย

*7. กะหล่ำ*
เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูล อิสระ ( Antioxidant )
และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป
ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย
ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร
รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่
กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม
ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น
ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย
และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย

*8. บลูเบอร์รี่*
เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์
สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค
เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง
สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ
ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

*9. กระเทียม*
จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึง คุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย
นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร
และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้
ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต
นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น
แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป
ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย

*10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต*
เป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับ ความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก
สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต
สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด
ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด
นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อ
ร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน
สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

*11. มะเขือพวง*
คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภท ผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก
สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย
ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าง
แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่
จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน
มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย)
และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง
จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย

*12. แครอต*
เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and Beta-carotene )
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ วิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม
ช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษใน สิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง
ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอต
ช่วยลดการเกิดมะเร็งและช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจ และหัวใจแข็งแรงขึ้น

*13. ขึ้นฉ่าย*
ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความ สะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต
สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ
หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า
เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่
ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง
และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย

*14. พืชตระกูลถั่ว*
(เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว)
จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่
ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย
พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้
และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย

*15. ทับทิม*
ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ ว่า
การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้
เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ ปวด
ช่วยล้าง พิษลด การติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ
สำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม
เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง
ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น

*16. กระเจี๊ยบ*
น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความ
สะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ
ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้

*17. เมล็ดแฟลกซ์* ( ลูกมะเดื่อ )
ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น อย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง
ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น
*18. มะนาว*
เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง
น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษ
และท­ำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง
ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย
*19. หัวหอม*
ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD
ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ
นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ
โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรค เบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่


*20. สาหร่าย*
เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้าม คุณประโยชน์ แต่จากการศึกษา
ของ Mcgill University ที่ Montreal
แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย
ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้
ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้
ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย
นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

ดูแลสุขภาพกันนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีสดใสแข็งแรงตลอดไปค่ะ

piangfan
03-28-2009, 06:48 PM
http://www.thaigolfguru.com/article/Items/112/ReplyImage/Image_2.gif
อะโวคาโด

สาธุค่ะ พี่นพ ลุงบีบี ลุงเปา ทั่นยาย
พี่รักกี้ ขอบคุณบทความดีดีค่ะ

ทั่นยายขา!! ลูกอะโวคาโด มะอร่อยค่ะ
ทานแล้วเลียนๆค่ะ อิอิ!!

grup&#39;/yo..เพียงฝัน

ตะวันส่องแสงธรรมนำ มิตรภาพไร้พรมแดน

ทั่นยาย
03-28-2009, 07:50 PM
ใช่ค่ะเพียงฝันจ๋า อโวคาโดรูปร่างหน้าตาแปลกๆแล้วรสชาดยังไม่เอาไหนอีก
ทานเพียวๆแล้วเลี่ยนจริงๆค่ะ ต้องทานกับไอศครีมหรือทานกับปลาแซลมอลดิบ
จึงจะพอไหวค่ะ แต่ทั่นยายว่าหากเลือกได้ทานกล้วยน้ำว้าอร่อยกว่าอโวคาโดมากเลยค่ะ
ที่สำคัญประหยัดกว่าเยอะเลยค่ะ ลองเทียบดูนะซื้ออโวคาโดหนึ่งผลได้กล้วยน้ำว้าหนึ่งหวี
เชียวนะคะ อิอิ

paobunjin
04-02-2009, 05:47 PM
รู้มั้ย...อวัยวะเรา ก็ต้องตอกบัตรเข้างานน‏

01.00 น. – 03.00 น. เป็นเวลาของตับ

ขอบอกเลยว่า . . . ทุกคนควรนอนหลับพักผ่อนให้เป็นประจำในช่วงเวลานี้ให้ได้ เพราะตับจะหลั่งสาร มีราโทนิน ที่จะทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย เห็นมั้ยละว่าสำคัญแค่ไหน ที่สำคัญห้ามกินเด็ดขาดในเวลานี้เพราะจะทำให้ตับต้องทำงานหนักและเสื่อมเร็ว


03.00 น. – 05.00 น. เป็นเวลาของปอด


สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำคือ ตื่นนอน ลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ซะหน่อย เขาบอกว่าถ้าตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำจะทำให้ผิวพรรณดี


05.00 น. – 7 .00 น. เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่


เพราะฉะนั้นควรขับถ่ายให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าคนไหนมีโรคประจำตัวคือท้องผูกกว่าจะถ่ายแต่ละทียากเย็นเหลือเกิน แนะนำว่าให้ลองดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว น้ำ 1 แก้ว + น้ำผึ้ง 1 ช้อน + น้ำมะนาว 4-5 ลูก


07.00 น. – 09.00 น. เป็นเวลาของกระเพาะอาหาร


จึงควรกินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน เพราะถ้าปล่อยให้ท้องว่าง กระเพาะอาหารจะอ่อนแอกลายเป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ที่สำคัญจะหน้าแก่เร็วกว่าไว น่ากลัวมากๆๆ


09.00 น. – 11.00 น. เป็นเวลาของม้าม


พูดน้อย กินน้อย และไม่นอนหลับ


11.00 น. – 13.00 น. เป็นช่วงเวลาที่หัวใจทำงานหนักที่สุด


ควรทำใจให้สบาย หลีกเลี่ยงสิ่งทึ่จะทำให้เครียด พยายามไม่ใช้ความคิดหนัก ถ้าต้องเครียดกับงานตรงหน้ามากนักก็ผ่อนคลายซะบ้าง


13.00 น. – 15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก


งดกินอาหารทุกประเภทให้ลำไส้เล็กได้พักผ่อน


15.00 น. – 17.00 น. เป็นเวลาของกระเพาะปัสสาวะ


ออกกำลังกายหรืออบตัวให้เหงื่อออก อย่ากลั้นปัสสาวะ


17.00 น. – 19.00 น. เป็นเวลาของไต


อาบน้ำทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่ควรออกกำลังกายหนัก


19.00 น. – 21.00 น. เป็นเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ


ควรหยุดทำงาน พักผ่อนทำสมาธิและสวดมนต์


21.00 น. – 23.00 น. เป็นเวลาของพลังงานรวม


ทำให้ร่างกายอบอุ่นนอนหลับให้ร่างกายพักผ่อนเต็มที่


23.00 น. – 01.00 น. เป็นเวลาของถุงน้ำดี


นอนหลับให้สนิท (ถ้าไม่หลับช่วงนี้มีโอกาสเกิดโรคมากมายและร่างกายจะทรุดโทรมไว)


Siriluck Kitjamjang

Investment Operations

Tel 662 305 7559

Fax 662 305 7999 ext 8131

ขอขอบคุณ fw;เมล์ดีๆนะครับ

plyfha
04-03-2009, 11:11 PM
http://img24.imageshack.us/img24/2188/55976548.png (http://img24.imageshack.us/my.php?image=55976548.png)

ทั่นยาย
04-29-2009, 10:19 AM
สวัสดีค่ะ พีนพกรณ์ ตาเปา ทั่นบีบี เกิดแก่ เพียงฝัน ทั่นพญามาร ปลายฟ้า
ลัคกี้ ครูวิทย์ น้องโดด น้องอ๋อย เจ้าป้าฯ ทั่นแปดคิว และญาติธรรมทุกท่านค่ะ

เราเองก็มีเรื่องมาเล่าให้ฟังเหมือนกันนี่เจอกะตัวเอง เลยนะเหมือนที่แอนบอกแหล่ะถ้าไม่โลภก็ไม่ตกเป็นเหยื่อ
มีอยู่วันหนึ่งเอาเงินไปเข้าแบงก์กรุงไทยอ่าวอุดม แล้ว ขากลับลงมาสามีเจอบัตร atm ใส่ซอง
และด้านหลังบัตร บอกระหัส atm เบ็ดเสร็จ ทีแรกสามีไม่รู้ก็เก็บมาแล้วก็ขึ้นมาบนรถเราก็เอามาดู
เห็นมีระหัส ก็เลยบอกสามีว่าลองดูซิว่าเขามียอดเงินเท่าไร สามีบอกเธอลองเอาไปกดระหัสซิ
ตำรวจมาแน่เพราะตู้ atm มีกล้องบันทึกไว้ว่าใครกด เวลาอะไร สามีบอกเราว่าถ้าเราไม่คิด
อยาก ได้เงินเขาเราจะไปกดดูทำไมเราก็เออ จริงซิ แล้วเราก็เอาบัตรนั้นมาตัดทิ้ง
แล้วก็เล่าเรื่องนี้ให้พี่ชายฟัง พี่ชายเราบอกว่ามีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นเรา
ที่ไม่ตกเป็นเหยื่อ เพราะเมื่อเดือนที่แล้วเพื่อนพี่ชายก็เกิดเหตุการณ์นี้ในทำนองเดียวกัน
ที่ ธ.กรุงเทพฯ สาขา อ่าวอุดม และสังเกตุได้จะเป็นเฉพาะศุกร์แรกของทุกเดือนหลังจาก
แบงก์ปิดแล้ว คล้ายกับแกล้งทำบัตร atm ตกอะไรทำนองนี้ แล้วเพื่อนพี่ชายก็ไปกด
ตอนนั้นประมาณ 6 โมงเย็น กดได้ไม่นาน ตำรวจก็เข้าไปจับ พร้อมกับมีเจ้าของบัตรไปยืนยันตัว
เรียกค่าเสียหายกับเพื่อนพี่ชายไป 3 หมื่น ถ้าไม่อยากติดคุกคืนวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ 3 คืน
เราคิดว่าเขาต้องทำการเป็นขบวนการ รวมทั้งตำรวจด้วย คงเอาไปแบ่งกันเพื่อนๆ ต้องระวังนะจ๊ะ
เราเองก็เกือบไปแล้วดีที่สามีเตือนสติ

ในยุคสมัยที่ กิเลสแห่งความชั่วร้ายกำลังเบ่งบาน ต้องระวังตัวกันไว้ให้ดีนะคะ อย่าประมาทเชียวค่ะ

Lucky
04-29-2009, 05:40 PM
เรื่อง: ส่งต่อ: อ่านด่วน!!!!! ถ้ามีมือถือ


อย่าโทรกลับสายที่ miss call และ ช่วย forward ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้นะเพื่อชาติเราเองขอ Confirm ข่าวนี้ ค่ะ!!!

เมื่อตอนบ่ายแม่ของเพื่อนก็เพิ่งจะโทร มาเตือนเรื่องนี้เหมือนกันคือว่าแม่ของเพื่อนเจอมากับตัวเองเมื่อประมาณวันศุกร์ ที่ผ่านมา มี Miss call จากใครก็ไม่รู้เบอร์ แปลก ๆ ( ตอนนี้ก็ยังอยู่ในเครื่องนะ)ก็ยังไม่ได้โทรกลับไป พอวันอาทิตย์ก็ใช้ เบอร์เครื่องที่บ้านโทรไปเป็นเสียงผู้ชายพูดออกสำเนียงแขกๆ ใต้ ๆ รับ และถาม กลับมาว่า" ทำไมใช้เบอร์ที่บ้านโทรมาทำไมไม่ใช้มือ ถือ" พอถามกลับไปว่าเป็นใคร ก็ไม่ตอบ บอกว่า "ไม่มี อะไร" แล้วก็วางสายไป
&n bsp; แม่ของเพื่อนเพิ่งเห็นข่าวเมื่อตอนเช้า วันนี้เรื่องวิธีใหม่ที่โจรใต้ใช้ ก็ตกใจนะไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง ถ้าวันนั้น โทรกลับไปก็ซวยเลยวันนี้ก็เลยโทรมาบอกเพื่อนเพราะว่าเบอร์ของเพื่อนก็เปิดในเขต ภาคใต้เหมือนกันแต่ก็ไม่รู้นะว่าเบอร์ที่โจรใต้มันสุ่มเอาจะเลือกเอาเบอร์ที่ เปิดในเขตภาคใต้หรือเปล่า ???

" กลยุทธ์ " การจุดชนวนระเบิดโดยโทรศัพท์มือถือ
โจรจะสุ่มโทร.เข้ามือถือของผู้ใดผู้ หนึ่ง.. แล้ววางสายและต่อสัญญานรอไว้ เมื่อเจ้าของโทร ศัพท์เห็น miss call ก็จะ โทรกลับซึ่งเป็นการจุดชนวนระเบิดในจุดที่มีการต่อสัญญานไว้ !!!!!"

ดังนั้น... หาก มี miss call ที่เป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งท่านควรจัดระบบบันทึกเป็นชื่อหรือรหัสของผู้ที่เราติดต่อประจำไว้ อย่าโทรกลับเด็ดขาด มิฉะนั้น ท่านอาจจะเป็นเครื่องมือของโจร และถูกสืบค้นจากเจ้าหน้าที่ ตกเป็นผู้ต้องหา ซึ่งกว่าจะสืบค้นพยานแก้ต่างท่านอาจจะต้องเสียเวลาเสียทรัพย์สินมากมาย.. หากท่านใดได้ข่าวทำนองนี้ช่วย confirm และสื่อสารต่อๆไปด้วยคะ ขอบคุณมาก

ตอนนี้ ถ้ามีสายที่โทร.เข้ามา แล้วเป็น miss call ไม่ต้องโทร.กลับ เพราะถ้าเราโทร.กลับ มันจะไปจุดชนวนระเบิดของ 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ซึ่งพวกนี้ได้ idea มาจาก sim กระปุกที่บอกว่า โทร. แล้ว เป็นการเพิ่มค่าเลยเอาไปใช้กับเหตุการณ์ในภาคใต้เลวจริง ๆคิดได้แต่เรื่องเลว ๆ ยังไงก็ระวังกับเบอร์ที่ไม่รู้จักแล้วกันนะและที่สำคัญส่วนใหญ่เราก็ไม่โทร.กลับเบอร์ที่ไม่รู้จักกันอยู่แล้วนี่ และขอให้ช่วย forward mail ให้เยอะ ๆเพื่อเป็นการระวังและป้องกันภัยร้ายให้กับคนบริสุทธิ์ในภาคใต้

พญามาร
04-29-2009, 09:38 PM
เมี่ยงบัวหลวง เคล็ดลับ ดูแลสุขภาพ


เมื่อเอ่ยถึง ดอกบัว หลายคนคงคิดแต่เพียงว่าไว้สำหรับการไหว้พระเท่านั้น

แต่ผลงานวิจัยจากต่างประเทศที่ได้ศึกษาเฉพาะด้าน “บัว” พบว่า

กลีบบัว มีสรรพคุณ บำรุงร่างกาย ห้ามเลือด อีกทั้งยังมีไฟเบอร์สูง
เมล็ดหรือเม็ดบัว บำรุงกำลัง ทำให้นอนหลับดีและแก้ไข้
เกสรบัว เป็นยาสมานแผลในร่างกาย บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท และส่วนที่ถือได้ว่าเป็นหัวใจและสำคัญที่สุดคือ
ดีบัว ที่เมื่อเราทานเม็ดบัวจะรู้สึกขม คุณสมบัติของดีบัวคือสามารถขยายหลอดเลือดในหัวใจ

paobunjin
05-01-2009, 03:21 PM
อันตรายจากหมูปิ้ง

มีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังครับ ผมมีรุ่นน้องคนนึงสนิทกันมาก ทุกๆวันเสาร์เค้า
จะมาบ้านผม มีอยู่สัปดาห์หนึงน้องเค้าไม่มา ผมก็นึกว่าเค้าคงไม่ว่างหรือไปกับที่บ้าน
เลยไม่ได้โทรไป 5 วันผ่านไปน้องคนนี้ก็ยังเงียบไม่มีการติดต่อ (ปกติไม่ผมก็เค้าจะโทรมาคุยกันเสมอ)
จนแม่น้องภาแปลกใจ จึงโทรไปหา ปรากฏว่าน้องเค้าเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากอาหารเป็นพิษ
อาการหนักขนาดนอน ICU 2 คืน ให้ยาผ่านสายน้ำเกลือ วันที่โทรไปนี่เค้าจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว
พอเค้ากลับมาพักฟื้นที่บ้าน ผมก็โทรไปหา จึงรู้เรื่องว่า เย็นวันเสาร์ก่อนเลิกงาน น้องคนนี้ไปซื้อหมูปิ้งที่หน้า
โรงงานมากินกับเพื่อน รวมทั้งหมด4คน กินไปคนละ3-4ไม้ กับข้าวเหนียวคนละห่อ แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านแต่
รุ่นน้องผมเค้ายังต้องอยู่เคลียร์งานอีกนิดหน่อย หลังจากที่กินหมูปิ้งกับข้าวเหนียวไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
รุ่นน้องผมก็เริ่มมีอาการท้องใส้ปั่นป่วน จึงเก็บของแล้วขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ที่ทำงานอยู่พระราม7 บ้านอยู่บางโพ
ก็ถือว่าไม่ไกลมาก แค่10นาทีก็ถึง พอน้องเค้าขี่ไปได้ซักป้ายรถเมล์เดียว ก็เกิดอาการมึนหัวมากๆอยากอ้วก
(ขออภัยที่ต้องใช้คำไม่สุภาพนะครับ เนื่องจากจะให้เห็นอาการว่ารุนแรงมากครับ)
เค้าจึงจอดรถถอดหมวกแล้วค่อยๆลงจากรถ พอลงมาได้ก็อ้วกเต็มถนนเลย พออ้วกเสร็จ ก็รู้สึกดีขึ้น
จึงรีบขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน พดถึงบ้าน น้องเค้าก็บอกพ่อกับแม่ว่าสงสัยไม่สบาย มึนหัวมาก
แล้วก็เดินเข้าไปอ้วกในห้องน้ำอีกที แล้วก็เดินกลับมาที่ห้องพอขึ้นเตียงได้ เค้าก็บอกว่าเค้าวูบไปเลย ไม่รู้สึกตัว
จนดึกน้องชายของรุ่นน้องผมก็เข้ามาในห้อง แรกๆก็ไม่ได้คุยอะไรกัน แต่น้องชายของรุ่นน้องผมเห็นว่าอาการไม่ดี
รุ่นน้องผมนอนเหงื่อแตกทั้งๆที่ห้องเปิดแอร์อย่างเย็นมากๆ น้องชายเค้าเลยรีบไปบอกพ่อกับแม่ให้รีบพารุ่นน้องผมไปโรงพยาบาล

พอไปถึงหมอตรวจแล้วบอกว่าความดันต่ำมากต้องให้น้ำเกลือ และต้องนอนดูอาการ
พอกลางดึกอาการทรุดหนังลง หมอจึงเอาเข้าICU ขณะนั้นก็อ้วกออกมาอีกครั้ง
หมอจึงเอาเศษอาหารไปตรวจพบว่าถูกสารพิษ ยังโชคดีที่เอามาโรงพยาบาลก่อนไม่งั้นไม่รอดแน่ๆ

2วันผ่านไป พออาการดีขึ้นหมอก็ให้ออกจากICU แต่ยังต้องดูอาการอีก2-3วัน จนวัน
ที่ผมโทรไปน้องเค้ากำลังจะออกจากโรงพยาบาลพอดี เค้าก็บอกผมว่า
ตอนกลางวันเค้าโทรไปลางานที่โรงงานจึงรู้ว่าเพื่อนอีก3คนที่กินด้วยกันก็ เป็นเหมือนกัน
แต่มีคนนึงที่อาการหนักปางตายยังไม่ออกจากโรงพยาบาลเลย (5วันไปแล้ว)

สรุปคือทุกคนกินหมูปิ้งร้านเดียวกัน 1ใน4คนไม่ได้กินข้าวเหนียว ก็ตัดเรื่อง
ข้าวเหนียวไปได้ ดังนั้นก็ต้องมองที่หมูปิ้ง น้องเค้าเล่าว่าตอนซื้อก็ได้กลิ่นแปลกๆ แต่ไม่ได้คิดอะไร
เพราะหิวมาก เข้าประชุมตั้งแต่11โมง ออกมาตอนบ่าย4โมง เลยไปซื้อมากิน แล้วแยกย้ายกันกลับ
รุ่นน้องผมเป็นคนไปซื้อ ผมก็ถามว่าได้กลิ่นแปลกๆแล้วทำไมยังกิน หมูมันเน่าหรือปล่าว เค้าก็บอกว่าปกติ ไม่
เห็นหมูเขียวหรือหมูเหม็น แต่ที่บอกว่าได้กลิ่น มันเหมือนกลิ่นยา เท่านั้นแหละ ผมรู้เลย ""ถ่าน""
แน่นอน ผมเลยถามไปว่า เห็นถ่านที่ใส่ในเตาปิ้งไม๊ น้องเค้าบอกว่าเห็น มันเป็นแผ่นๆแบนๆไม่เป็น
ก้อนกลมๆ ผมบอกว่านั่นแหละโดนจากถ่านชัวร์ น้องเค้าก็งงว่า มันจะเกิดจากถ่านได้ไง
ผมก็บอกว่าได้เพราะมันคือถ่านที่ทำจากเศษไม้ที่อบยาแล้ว พูดง่ายๆคือเป็นเศษไม้ที่เหลือจากไม้ที่ทำเฟอร์นิเจอร์
แล้วมีคนเอามาทำถ่านออกขาย

ทำไมผมถึงรู้ เพราะเมื่อ2ปีก่อนที่สวนกล้วยไม้ที่บ้านแม่น้อ??ภาก็โดนถ่านแบบนี้มาหลอกขาย
ว่าถ่านแบบนี้จะเบาตาชั่ง อมน้ำดี ไม่ต้องทุบ ใช้ได้เลย โดยปกติที่สวนจะต้องใช้ถ่านปลูกกล้วยไม้จำพวกแวนด้า
และแคทรียาบางพันธุ์ ถ่านที่ใช้จะใช้ถ่านไม้โกงกาง เป็นท่อนๆ มาทุบให้เป็นก้อนๆ
แต่ตอนที่โดนร้านขายถ่านเอามาหลอกขาย มันจะเป็นแบบชิ้นๆแผ่นๆซึ่งตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่า
ถ่านพวกนี้เป็นเศษไม้เฟอร์นิเจอร์ซึ่งอาบน้ำยากัน ปลวก และอบน้ำยากันเชื้อรามา ก็เลยเอามาปลูก
พิษของมันแรงขนาดที่ยังไม่โดนไฟ แค่เอากล้วยไม้ลงปลูก ยังรากขาด รากเน่า ต้นแคระแกรน
จนสุดท้ายที่สวนส่งต้นกล้วยไม้ไปตรวจที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงรู้ว่าไม่เกิดจากสายพันธุ์
แต่เกิดจากเครื่องปลูกนั่นก็คือถ่านทางมหาวิทยาลัยยังแจ้งมาว่า ให้เผาทิ้งและต้องทำลายให้หมด
อย่าให้คนงานเอาไปหุงหรือทำอาหารเพราะมันจะมีพิษต่อระบบทางเดินอาหาร

Lucky
05-06-2009, 06:59 PM
ความสุขของ พระมหากษัตริย์

เราใส่ เสื้อเหลือง เราใส่ สาย รัดข้อมือสีเหลือง

คนนับแสน ไปนั่งรอเป็นชั่วโมงๆหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อจะได้เห็นพระพักตร์ของพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพียงไม่กี่ นาที
วันนั้น ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มเชื่อศรัทธาในระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เราได้แสดงให้โลกได้เห็นว่ามีประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งที่คนทั้งชาติยังซื่อ สัตย์ จงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีและพระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของคน ไทย

.....สิบสองปีที่ผ่านมา......

พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจเพราะทรงงานหนักเกิน ไป

ในขณะ เดียวกันสมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนัก อยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่น กัน

เรายังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยม พระราชชนนีไม่กี่วันหลังจากการผ่าตัดใหญ่ถวายพระ หัตถ์ข้างหนึ่งกุมอยู่ที่พระ อุระ และในพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งทรงถือม้วนแผนที่ กรุงเทพฯเพราะน้ำกำลังท่วม กรุงอยู่
ยังจำกันได้ ไหม?


..... 34 ปีที่ผ่านมา.....
วัน ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่เกิด วิกฤติด้านการเมืองรุนแรงที่สุด

วันนั้นนิสิตนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนเดินขบวน ประท้วงรัฐบาล เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น ตำรวจทหารยิงประชาชน ในขณะที่นิสิตนัก ศึกษาก็เผาสถานที่ราชการเกิดกลียุคทุกหย่อมหญ้า คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกัน เอง

คืนนั้น สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดจากพระราชวังสวน จิตรลดาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวทรงมีพระราชดำรัสกันคนไทยทุกคน ว่า “คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างต้องสงบโดยฉับ พลัน”
และ ทุกอย่างก็สงบโดยฉับพลัน หลังจากนั้นไม่นานมีฝรั่งคนหนึ่ง มาถามผม ว่า “เป็นไปได้อย่างไร ที่คนๆ เดียวจะมีอำนาจเหนือคนทั้ง ประเทศได้อย่างนั้น?”

ผมไม่ได้ ตอบ แต่ตอนนั้นใจผมคิดถึงประโยค ที่ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชฯ ได้ให้ สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC ว่า พระองค์ทรงเป็น &#39;SOUL OF THE NATION&#39; หรือ “จิตวิญญาณของคนไทยทั้งชาติ”
ยังจำกัน ได้ ไหม? แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่? เราสร้างค่านิยมผิดๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่ สุด เราโกง ทุก ครั้งที่มีโอกาส
เราเรียก ร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่ “ สิทธิ” แต่ลืมคำว่า “ หน้าที่” เรากำลัง ฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้ เรา สร้าง “กฎหมู่” ให้เหนือ “กฎหมาย” เราเดิน ขบวนประท้วงในทุกอย่างที่เราไม่เห็นด้วย เราก้าว ร้าวต่อกัน เราแตกแยกกัน และทั้งโลกกำลัง จับตามองเราอยู่

เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวของเราจะทรงเสียพระทัย เพียงใด?


80 ชันษา
ของ พระองค์ท่าน หากเปรียบ กับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ ได้รับการดูแล และ ระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก หรือกระทบกระเทือนใจ แต่ อย่างใด
แต่กลับ เป็นว่า ในปีที่ครบ 80 ชันษา ของ พระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวาย การ ดูแลของคณะแพทย์
พระองค์ต้องรับ ทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ
ความสุข ของพระมหากษัตริย์พระองค์ นี้ ไม่ใช่จะประทับอยู่ในพระราชวังใหญ่โตสวยงาม แห่ ล้อมด้วยข้าราช บริพาร

หากแต่ ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้คือ เมื่อ ประชาชนของพระองค์ท่านรักสามัคคี กัน รู้จักความพอเพียง และมีสติ- เพียงเท่านี้เอง

แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่?
หรือนี่คือการ แสดงความกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์ของ เรา?

noppakorn
05-08-2009, 06:44 PM
ทานอะไรช่วยรักษาสุขภาพ ?
ล้างระบบดูดซึม

1. นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว : ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และ บีบมะนาว 2 ลูก คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม
คุณสมบัติ : ให้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อย, นมสดให้แคลเซียม
2. บอระเพ็ดยาว 1 เกียก (กางนิ้วชี้ให้ห่างจากหัวแม่โป้งที่สุด แล้ววัดความยาวระหว่างปลายนิ้วชี้ กับ ปลายนิ้วโป้ง) ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ บอระเพ็ดล้างไขมัน บำรุงถุงน้ำดี
3. ดีบัว ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ
4. ชามะละกอ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป) และ ใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง ต้มในน้ำ จนเดือด พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่าปล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก แล้วตักใบชาทิ้ง จะได้น้ำชามะละกอ ดื่มร้อน หรือ เย็นได้ น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน เกินกว่านั้นจะบูด (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ)
5. ไวทาไลท์ สมุนไพรสกัดสูตรจีน : รากหญ้าคา เก๋ากี๊ (บำรุงตับ) เก๊กฮวย (บำรุงหัวใจ) ดอกคามิลเลีย 1 pack มี 10 ซอง 1 ซอง ชงกับน้ำ 1-2 ลิตร แล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ใช้ดื่มวันละ 4-6 แก้ว
ุุุ6. ข้าวต้มยางมะละกอ : มะละกอดิบ หั่นเป็นชิ้น ๆ ชิ้นละประมาณ 1 ข้อของนิ้วมือ ไม่ต้องปอกเปลือก ครึ่งลูกต่อน้ำประมาณ 2 ลิตร ต้มในหม้อ เมื่อเดือดแล้ว เคี่ยวต่อ จนมะละกอเละ เมื่อเละแล้ว ให้ช้อนมะละกอทิ้ง เหลือน้ำไว้ น้ำนั้นคือ น้ำยางมะละกอ นำน้ำยางมะละกอ มาหุงกับข้าวกล้อง ควรจะใส่ใบเตยหุงไปด้วย เพื่อความสดชื่น จะใช้น้ำเท่าไหร่ ให้กะเอากับจำนวนข้าวกล้อง กะให้หุงมาเป็นข้าวต้ม ไม่ใช่แห้งเป็นข้าวสวย น้ำยางมะละกอที่เหลือ แช่ตู้เย็นเก็บไว้ก่อน ห้ามใช้ข้าวขาว เพราะข้าวกล้อง จะมีสารไปลดพิษจากยางมะละกอ หุงกับข้าวกล้อง ให้กลายเป็นข้าวต้ม เมื่อได้ข้าวต้มยางมะละกอแล้ว ทานติดกัน 10-14 วัน ทุกมื้อ แทนข้าว ทานกับกับข้าวปกติ ช่วยล้างระบบดูดซึม ล้างไขมัน และ น้ำตาลในเลือด ลดกรดยูริค


กำจัดไวรัส

1. เม็ดมะรุมตากแห้ง แกะเปลือกแล้วทานเม็ดข้างใน วันละ 5-30 เม็ด เป็นเวลา 7-40 วัน แล้วแต่คำแนะนำของนักประเมินสุขภาพ
2. ข้าวต้มแครอท ป้องกันไวรัส (ไม่ได้กำจัด) ทานช่วงฤดูหนาว นำแครอทหั่นเป็นชิ้นเล็ก ต้มกับข้าว ทานเป็นข้าวต้ม ป้องกันไวรัส

แก้คัดจมูก ภูมิแพ้

1. ใบยอเผา ปิ้ง ยำ หรือใส่ในห่อหมก แก้ไอ คัดจมูก
2. เนยใส (Ghee) ชุบสำลี แยงจมูกให้ลึกที่สุด แก้คัดจมูก และ ภูมิแพ้ ฆ่าเชื้อในโพรงจมูก
3. ชามะละกอ ล้างไขมันในลำไส้ แก้ภูมิแพ้
4.ไวทาไลท์ ดื่มวันละ 1 ซอง รักษาภูมิแพ้ เจ็บคอ ร้อนใน

ล้างเชื้อรา

1. กินผักเมือก ๆ เช่น ผักบุ้งแดง, กระเจี๊ยบเขียว, ผักปรัง, บวบ, น้ำเต้า, เม็ดแมงลัก, ใบมะรุม เป็นต้น เมือก(เพคติน)จะไปล้างเชื้อราในระบบดูดซึมออกมา
2. ใบย่าน่าง คั้นน้ำ ทานน้ำ
3. อัลฟ่า 20 ซี สมุนไพรสกัดแบบเม็ด สร้างเม็ดเลือดขาว ล้างเขื้อรา
*ผู้ที่มีเชื้อรา ต้องงด อาหารหวาน และ ผลไม้,โปรตีนจากเนื้อสัตว์, ถั่วแห้ง เช่น ถั่วลิสง, งา

ถ่ายพยาธิ

1. เม็ดมะรุม วันละ 7 เม็ดขึ้นไป, น้ำมันมะรุม ทานไล่พยาธิ
2. กระเจียบเขียว 7 กำมือของผู้ป่วย ทานให้หมดภายใน 3 วัน ไล่พยาธิตัวจี๊ด และ อื่น ๆ
3. ยาถ่ายพยาธิทั่วไป ปรึกษาเภสัชกรประจำร้าน
4. เนื้อลูกยอ ช่วยขับพยาธิ
5. Sun Smile สมุนไพรสกัดจาก แป้งข้าวโพด น้ำมันมะพร้าว หยดในน้ำดื่ม



ล้างอุจจาระตกค้าง

1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวัน หรือ 3-4 วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่สมควร
2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า
3. ทานผักบุ้งแดง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา
4. กระเจี๊ยบเขียว ทานวิธีใดก็ได้ 4-7 ฝักต่อวัน
5. โซดา 1 ขวด ผสมนมข้มหวาน 6 ช้อนโต๊ะ

รักษานิ่วในไต

1. เหล้าขาว หรือ Vodka 1 ก๊ง (2 ช้อนโต๊ะ) ผมมน้ำมะนาว 1 ลูก ทานก่อนนอนทุกวัน เป็นเวลา 10 วัน
2. แกนสับปะรด 3 ลูก กินเฉพาะแกน หรือ เอาแกนไปต้มน้ำพอประมาณ ทานเป็นเวลา 5-10วัน

บำรุงไต

1. ของสีดำตามธรรมชาติ ทุกชนิด เช่น ถั่วดำ, ข้าวเหนียวดำ, เห็นหูหนูดำ, เฉาก๊วย, งาดำ เป็นต้น
2. หน่อไม้ดอง
3. เม็ดบัว
4. ไขเยี่ยวม้า
5. น้ำฟักทอง
6. เห็ดหูหนูดำ ต้มกับหญ้าหวาน ใส่น้ำตาลกรวด ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงสมอง ดีต่อปอด ไต ม้าม
แต่อย่ากินตอนเย็น เพราะจะเย็นเกินไป

บำรุงปอด

1. พืช ผัก ธัญพืช ที่มีสีขาวโดยธรรมชาติ บำรุงปอด เช่น ถั่วขาว, เห็ดหูหนูขาว เป็นต้น
2. น้ำสำรอง ทานก่อนตีห้า บำรุงปอด
3. หัวต้นหอมดีกับปอด หางกินแล้วเย็น
4. ข้าวเหนียว 2 ส่วน ต้มกับลำไยแห้ง 1 ส่วน ใส่น้ำมากๆ กินบำรุง ปอด หัวใจ ตับ

บำรุงตับ

1. ขมิ้นชัน ทานก่อนนอน
2. ถั่วเขียว บำรุงตับ
3. ชาแคลลี่ ดื่มก่อนนอน ช่วยตับขับสารพิษ
4. ลูกเดือยต้มกับถั่วขาว ถั่วขาว 1 ส่วน ลูกเดือย 2 ส่วน ต้มน้ำ 20 เท่า กินแต่น้ำ บำรุงตับ

บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ

1. ผักสด ผลไม้สด ทุกชนิด (กล้วย ส้ม ขนุน มีโปตัสเซียมมาก) และเนื้อหมู
2. งด ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง เต้าหู้ เพราะมีโซเดียมเยอะจะไปทำร้ายกล้ามเนื้อหัวใจ
3. ใบเตย ต้มน้ำ ทานแต่น้ำ
4. ถั่วแดง บำรุงหัวใจ

บำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ

1. ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง เต้าหู้ ไข่เยี่ยวม้า มีโซเดียมสูง บำรุงเยื้อหุ้มหัวใจ
2. งด ผลไม้สด และ ผักสด เนื้อหมู ซึ่งมีโปตัสเซียมสูง จะไปทำร้ายเยื่อหุ้มหัวใจ

ยังมีต่อครับ

noppakorn
05-08-2009, 06:48 PM
ละลายลิ่มเลือด แก้ช้ำใน
1. เหล้าขาว หรือ Vodka 2 ช้อนโต๊ะ ผสม น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ วันละครั้ง ดื่ม 3-7 วัน แล้วแต่อาการ
2. นมสด 1 แก้ว ชมิ้นชัน 1 ช้อนโต๊ะ เนยใส 1 ช้อนโต๊ะ (หรือ น้ำมันมะรุม1 ช้อนโต๊ะ แทนเนยใส หรือ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ แทนเนยใส ) ทานติดกัน 3-5 วัน แล้วแต่อาการ

ล้างสารพิษตกค้าง, ไทรอยด์เป็นพิษ, เนื้องอก

1. เห็ด 3 อย่าง ใช้เห็ดที่ทานได้ (ไม่มีพิษ) ชนิดใดก็ได้ ต้มรวมกันไม่น้อยกว่า 3 ชนิด แล้วทานน้ำ จะช่วย บำรังตับ และ ขจัดสารพิษ สลายพังผืดในมดลูก ลดอนุมูลอิสระ ลด cell มะเร็ง เพิ่มโลหิตขาว ลดไขมันในเลือด แก้ภูมิแพ้
2. ชาแคลลี่ สมุนไพรสกัด ล้างสารพิษตกค้าง
3. เนื้อลูกยอ ทานในฤดูหนาว ล้างพิษ

ริดสีดวงทวาร

สูตรแผนจีน กล้วยหอมทั้งเปลือก ฝานลงต้มกับน้ำตาลทรายแดง ทานทั้งน้ำทั้งเนื้อลดไขมันในเลือด

1. กระเจี๊ยบแดง+พุทราจีน อย่างละเท่ากัน ต้ม ใส่น้ำเท่าไหร่ ให้กะเอง ใส่น้ำตาลทรายแดงนิดหน่อย ต้มแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ดื่มทุกวัน ดื่มมากน้อยเท่าไหร่ แล้วแต่พอใจ ไม่มีอันตราย สูตรนี้ยังช่วยลดหินปูนในเลือด ลดหินปูนในสมอง บำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ แต่ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจ
* น้ำกระเจี๊ยบแดงอย่างเดียว ที่ไม่ใส่พุทราจีน ทานมากจะมีผลต่อไต ไตจะเสื่อม ต้องใส่พุทราจีนด้วยจึงครบสูตร ทานได้ทุกวัน
2. มะละกอปลอกเปลือก ต้มในน้ำแกง หรือแกงส้ม ทานได้ทั้งน้ำและเนื้อ ลดไขมันในเลือด
3. มะเขือทุกชนิด มะเขือเทศ มะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือยาว เป็นต้น
4. กะทิ และ ไข่แดง มี HDL Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันตัวดี มีประโยชน์ ช่วบลด LDL Cholesterol (ไขมันตัวร้าย) ฉะนั้น ควรทาน กะทิ และ ไข่แดงเป็นประจำ
5. สะเดา ลวกสุก ทานล้างไขมัน ไม่ควรทานทุกวัน เพราะจะทำให้ปวดเมื่อยเนื้อตัว


ลดความอ้วน ลดไขมันสะสม

1. ทานมันเทศสีเหลือง หรือ บุก หรือ ฮ่วยซัว ระหว่าง 0900-1100 น. ช่วยอุ้มไขมันไปทิ้ง
2. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทานก่อนนอน หรือ ทานน้ำสำรองเป็นประจำ
3. ไวทาไลท์ 1 ซอง ผสมน้ำ 1 ลิตร ดื่มให้หมดภายใน 1 วัน ดื่มติดกันจนกว่าจะได้น้ำหนักที่พอใจ
4. แกงบอน ช่วยลดความชื้นในร่างกาย ปอดชื้น ไตชื้น ม้ามชื้น ลดความอ้วน

ขยายหลอดเลือด

1. หน่อไม้ ต้มกับใบย่านาง (หรือซุปหน่อไม้) ใบย่านางจะล้างพิษของหน่อไม้ สูตรนี้ช่วยขยายหลอดเลือด
2. กุ๊ยช่าย ลดความดัน ฟอกเลือด

ลดน้ำตาลในเลือด รักษาเบาหวาน

1. ใบมะยม หรือ หญ้าหวาน หรือ อบเชย หรือ รากเตย ต้ม ทานน้ำ
2. ซันนี่ดิว สมุนไพรสกัดจากหญ้าหวาน
3. สูตร อ.จัสติน รากเตยหอม ผสม กับ อบเชย ต้มน้ำดื่ม ดื่ม ตอน 9 นาฬิกา วันละ 1 แก้ว
4. ว่านรางจืด ช่วยล้างพิษจากน้ำตาลในเลือด
5. ใบมะรุม


โรคปอดหรือหอบหืด

ขิงเท่าหัวแม่มือของผู้ป่วย หอมแดงเท่าขิง กระเทียมเท่าขิง ปั่นหรือตำเติมน้ำ 1 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 3-4 ลูก ไม่เกิน 1 เดือน


กระเพาะอาหาร, กรดในกระเพาะ

1. ขมิ้นชัน 5-7 เม็ด ทานระหว่าง 0700-0900 เช้า บำรุงกระเพาะอาหาร
2. Assimilaid สมุนไพรสกัด บำรุงกระเพาะ
3. กระเจี๊ยบเขียว 3-5 ฝัก เมือกเพคติน สมานแผลในกระเพาะ


ข้อมูลจาก email.ทีมีผู้ส่งให้ครับ

piangfan
05-08-2009, 08:56 PM
สาธุค่ะ พี่นพ ลุงเปา ทั่นยาย
พี่รักกี้ และทุกท่านค่ะ

เด๋วเพียงฝันจะเก็บเกี่ยวไว้ให้หมดค่ะ
ขอบคุณค่ะ

Lucky
05-12-2009, 09:31 AM
> >ชายคนหนึ่งมีภรรยาอยู่ 4 คน
> >
> >
> >ภรรยาคนที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจ ตลอดอยากได้อะไร เขาหาให้
> >ทุกอย่าง
> >ภรรยาคน ที่ 2 เขารักมาก เขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อภรรยาคน นี้ และจะไปหา
> >ภรรยาคนนี้เสมอ
> >ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบางเป็นครั้ง คราว
> >ภรรยาคน ที่ 4 เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไป หาไม่คิดถึงเลย
> >ด้วยซ้ำ
> >
> >ต่อมาชาย คนนี้ไปกระทำความผิดร้ายแรงและถูกจับ ต้องถูก ประหารชีวิต
> >ก่อน ที่จะถูกประหาร เขาขอร้อง ว่า เขาขอกลับ
> >บ้านเพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซักครั้ง
> >ผู้คุมเห็นใจจึง อนุญาต
> >
> >เมื่อกลับ มาถึงบ้าน เขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่ 1
> >เล่า เหตุการณ์ต่างๆ ให้ ฟัง
> >
> >และถามภรรยา คนที่ 1 ว่า “ ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 1 จะ ทำอย่างไร? ”
> >ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ ถ้าเธอตาย เราก็จบ กัน”
> >คำตอบที่ได้รับ เหมือนสายฟ้าที่ผ่า เปรี้ยง!! ลงมาที่เขาอย่าง จัง
> >เขารู้สึก เจ็บปวดและเสียใจเป็นอย่าง ยิ่งนึกเสียดาย
> >ว่าเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้ เลย
> >
> >จากนั้นเขาก็ ไปหาภรรยาคนที่ 2 ด้วยอาการเศร้าโศก เล่า เรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง
> >และถามคำถาม เดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า“ ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 2
> >จะทำอย่างไร?
> >ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า “ ถ้าเธอตาย ฉันจะมี ใหม่ ”
> >เหมือนสาย ฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขาอย่างจัง เขารู้สึกเสียใจ มาก และนึก
> >เสียดายว่าที่ผ่านมาเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่น กัน
> >เขาเดินคอตก มาหาภรรยาคนที่ 3 เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง
> >และถามภรรยา คนที่ 3 ว่า“ ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 3 จะทำ อย่างไร? ”
> >
> >
> >ภรรยา คนที่ 3 ตอบว่า “ ถ้าเธอตาย ฉันจะไป ส่ง ”
> >ทำให้เขา คลายความเศร้าโศกขึ้นมาได้ บ้าง อย่างน้อยก็ ยังมีภรรยาที่จริงใจกับ
> >เขา
> >
> >ก่อนกลับไป รับโทษ เขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคนซึ่งไม่ เคยไปหาเลย
> >จึงไป หาภรรยาคนที่ 4 และถามว่า“ ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 4 จะทำอย่าง ไร? ”
> >
> >
> >ภรรยาคน ที่ 4 ตอบว่า “ ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไป ด้วย ”
> >แทนที่เขา จะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก
> >เพราะ...มัน สายเกินไปเสีย แล้ว ช่วงที่เขา มีชีวิตอยู่
> >เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคน นี้
> >แต่ภรรยาคน นี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขา จะติดตามเขาไปอยู่ ด้วย
> >แล้วชายคน นี้ก็กลับไปรับโทษประหาร และเมื่อเขาตาย ภรรยาคน ที่ 4 ก็ตายตามไป
> >ด้วย.....
> >เราทุกคนก็มีภรรยา 4 คน นี้ มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร ? ลองคิดกันก่อน
> >นะ แล้วค่อยดู เฉลย
> >
> >............................................
> >....................................................................................
> >ทีนี้เรามาดูกัน ว่า ภรรยาคนที่ 1, 2, 3 และ 4 เป็นใครกัน บ้าง
> >ภรรยาคน ที่ 1 = ร่างกายของ เรา
> > เพราะเวลาเรา มีชีวิตอยู่ เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่ง
> >ทุกอย่าง อยากได้ อะไรก็หาให้
> >แต่ พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา เมื่อเราตาย
> >ร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่า นั้น
> >ภรรยาคนที่ 2 = ทรัพย์ สมบัติ
> > เพราะเวลา เรามีชีวิตอยู่ เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มัน มา
> >แต่พอเราตาย มันกลับไม่ไปกับเรา แต่ไปเป็นของคน อื่น
> >ภรรยาคนที่ 3 = พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่ น้อง
> > เพราะพอเรา ตาย เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไป ให้ แปลว่า เขา
> >แค่ไปส่งเราเท่า นั้น
> >
> >ภรรยาคนที่ 4 = บุญกับ บาป
> > เมื่อเราตาย ไป เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วย ได้
> >มีเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้นที่จะตามเราไป
> >
> >..... หลังจากอ่านจบแล้วได้แง่คิดอะไรกันบ้าง ? ..... จะให้ความ
> >สำคัญกับภรรยาคนไหนมากกว่ากัน?

ทั่นยาย
05-21-2009, 07:34 AM
สวัสดีค่ะ พี่นพกรณ์ ตาเปา ทั่นบีบี เกิดแก่ น้องโดด น้องอ๋อย เพียงฝัน
ลัคกี้ ปลายฟ้า ทั่นพญามาร ทั่นแปดคิว เจ้าป้าฯ และญาติธรรมทุกท่านค่ะ

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิด ต่างๆ

อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย มีดังนี้

1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ
อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจ
โดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่า
มีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่อง ท้อ

3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออนหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศ สัมพันธ์
มีปัญหา เกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว
หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหาร ปวด ตามข้อต่าง ๆ
ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง

5. มะเร็ง ปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้?หนักลดอย่างฮวบฮาบ
เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็ง ตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็ง สมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติ
ของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง
หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว
ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา
หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก
หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืด
หรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา
ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวัง
เพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุ
ของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่

13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ
มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ ** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือ
ถ้าใช้กระดาษทิช ชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ
อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้
เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษา
อยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตราย
อีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma ) คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่
เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ


ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล
จากที่เผยแพร่ให้ผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธาและกุศลจิตของท่าน

Lucky
05-21-2009, 01:15 PM
รบกวนสาวสวย ขอบริจาคผ้าอนามัยและชุดชั้นใน ให้เด็กกำพร้า วัดโบสถ์วรดิษฐ์ ด้วยค่ะ
วันอาทิตย์ไปทำบุญที่วัดโบสถ์วรดิษฐ์ จ.อ่างทองมาค่ะ ที่วัดนั้นเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้ 400 กว่าคน มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ก่อนหน้าโทรไปถามคนรับสายบอกว่าของที่ขาดแคลนคือข้าวสาร อาหารแห้ง รองมาอยากได้สมุดดินสอ และอื่นๆตามแต่จะศรัทธา ให้อะไรก็เอาหมดค่ะ

เรากับเพื่อนเลยคิดบริจาคข้าวสารแต่น้ำหนักมากเลยขับรถไปหาซื้อ เอาแถวนั้น แล้วเจอร้านขายส่งไม่ไกลจากวัดก็แวะซื้อข้าวสาร 1 กระสอบ 1400 บ าท(คนขายแนะนำให้ซื้อแบบนี้) ป้าเจ้าของร้านเขียนแผนที่ไปวัดให้ค่ะ แล้วก็สอบถามเด็กที่ขายของ ทราบว่าในวัดมีเด็กผู้หญิงด้วย เราเลยซื้อผ้าอนามัย 2 แพ็คใหญ่ แพ็คแบบเค้าขายส่งกันน่ะค่ะ

พอมาถึงวัดก็คุยกับท่านเจ้าอาวาสนิดหน่อย แล้วก็ให้คนพาไปดูเด็ก เราเดินไปดูตรงโรงนอนแออัดมากเลยเจ้า T-T เข้าไปในโรงนอนเด็กผู้หญิงแล้วไล่เพื่อน(ผู้ชาย)ออกไปก่อน ชิ้ว ๆ ๆ เราก็พยายามถามว่ามีเด็กกี่คน ต้องการอะไรเพิ่มเติมไหม น้องๆเค้าบอกว่ามีเด็กที่ถึงวัยประจำเดือน 80 กว่าคน ผ้าอนามัยไม่พอใช้เลยต้องซื้อกันเอง ฟังแล้วดูธรรมดานะคะซื้อผ้าอนามัยกันเองใครก็ซื้อกันเองเน! ้อ แต่ถ้าเห็นโรงนอนแล้วคำว่า &#39; ซื้อกันเอง &#39; เนี่ย คงเป็นอะไรที่ลำบากมากๆเลยค่ะ T-T เราอยากถ่ายรูปมาให้ดูมากแต่เกรงใจน้องเค้าเพราะแค่ไปถามก็ดูน้องๆอายกันมากแล้ว ถามว่าชุดชั้นในมือสองต้องการไหม เด็กก็บอกเอาค่ะ พูดคุยเสร็จก็เดินออกมาเจอเพื่อน

เพื่อนบอกว่าเด็กน่ารักไม่ส่งเสียงหนวกหูหรือทะเลาะกันเลย สิ่งที่ต้องการสำหรับเด็กผู้หญิงที่เราไปถามมา แล้วไม่ค่อยมีคนบริจาค อยากให้สาวสวยโต๊ะแป้งช่วยกันบริจาคหน่อยค่ะ
1. ผ้าอนามัย ซื้อแบบยกแพ็คใหญ่จะถูกกว่าซื้อปลีกมาก
2. กางเกงใน ขอเป็นของใหม่ก็ดีนะคะ
3. บราเซียร์ อันนี้มือสองก็ได้ค่ะ

ที่อยู่จัดส่งทางไปรษณีย์ ( แนะนำให้ส่งแบบพัสดุธรรมดาถูกดีค่ะ)
วัดโบสถ์วรดิษฐ์
210/ ค ต.ป่าโมก อ.ป่าโมก อ่างทอง 14130

เบอร์โทร 035-661134 ! มือถือ 086-1345003 แฟกซ์ 035-623356

เลขบัญชีวัดโบสถ์วรดิษฐ์ กสิกรไทยสาขาป่าโมก
ออมทรัพย์ 1822-113-644
http://sn115w.snt115.mail.live.com/mail/SafeRedirect.aspx?hm__tg=http://65.55.85.231/att/GetAttachment.aspx&hm__qs=file%3dfca0704c-3ffb-4974-9057-869ddafb5d50%26ct%3daW1hZ2UvanBlZw_3d_3d%26name%3dQVRUMDAwMDE_3d%26inline%3d1%26rfc%3d0%26empty%3dFalse%26imgsrc%3dcid%253a3.152097596%2540web36603.mail.mud.yahoo.com&oneredir=1&ip=10.13.28.8&d=d6041&mf=0&a=01_1a32199a232b5000b12972628e907ddcbdeaf7ba27befd0921a7083b80057250
http://sn115w.snt115.mail.live.com/mail/SafeRedirect.aspx?hm__tg=http://65.55.85.231/att/GetAttachment.aspx&hm__qs=file%3d81213ce3-0d48-450c-87e5-2e703632045b%26ct%3daW1hZ2UvanBlZw_3d_3d%26name%3dQVRUMDAwMDQ_3d%26inline%3d1%26rfc%3d0%26empty%3dFalse%26imgsrc%3dcid%253a4.152097596%2540web36603.mail.mud.yahoo.com&oneredir=1&ip=10.13.28.8&d=d6041&mf=0&a=01_1a32199a232b5000b12972628e907ddcbdeaf7ba27befd0921a7083b80057250
http://sn115w.snt115.mail.live.com/mail/SafeRedirect.aspx?hm__tg=http://65.55.85.231/att/GetAttachment.aspx&hm__qs=file%3de7634a4f-43c3-47b7-a970-7fcce0e122e9%26ct%3daW1hZ2UvanBlZw_3d_3d%26name%3dQVRUMDAwMDA_3d%26inline%3d1%26rfc%3d0%26empty%3dFalse%26imgsrc%3dcid%253a5.152097596%2540web36603.mail.mud.yahoo.com&oneredir=1&ip=10.13.28.8&d=d6041&mf=0&a=01_1a32199a232b5000b12972628e907ddcbdeaf7ba27befd0921a7083b80057250
http://sn115w.snt115.mail.live.com/mail/SafeRedirect.aspx?hm__tg=http://65.55.85.231/att/GetAttachment.aspx&hm__qs=file%3d2d4df20c-c564-4261-98c3-19851c7e6dbe%26ct%3daW1hZ2UvanBlZw_3d_3d%26name%3dQVRUMDAwMDY_3d%26inline%3d1%26rfc%3d0%26empty%3dFalse%26imgsrc%3dcid%253a6.152097596%2540web36603.mail.mud.yahoo.com&oneredir=1&ip=10.13.28.8&d=d6041&mf=0&a=01_1a32199a232b5000b12972628e907ddcbdeaf7ba27befd0921a7083b80057250
พระครูวุฒิธรรมาทร พ่อของเด็กกว่า 400 ชีวิต เคยออกรายการมหาลัยชีวิตด้วยค้ะ
ดีใจแทนหลวงพ่อค่ะ ท่านก็แก่มากแล้ว เราเห็นท่านมาตั้งแต่เราเด็กๆ ว่าท่านได้ทำประโยชน์มากมายให้กับวัด ให้กับน้องๆ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://hilight.kapook.com/view/25206 (http://hilight.kapook.com/view/25206)



[HR]




พวกหนูไม่ใช่ดารา
ไม่ใช่คนดัง ไม่มีคนรู้จัก พวกหนูจะขอบริจาคบ้างได้ไหมคะ/ครับ

พวกหนูเป็นเด็กจากที่ต่างๆ บางคนก็เป็นเด็กกำพร้า อาศัยวัดที่อ่างทองอยู่ค้า เศรษฐกิจไม่ดีคนก็บริจาคน้อยลง
พวกหนูมีปัจจัยสี่ไม่พอ พี่ช่วยพวกหนูหน่อยได้ไหมคะ

พวกหนู 400 กว่าคนมีอาหารกิน(บ้างไม่ได้กินบ้าง) แต่หลวงพ่อบ่น ว่าข้าวสารไม่พอค่ะ วันไหนมีคนมาบริจาคหนูจะได้กินอาหารดีๆ
ถ้าวันไหนไม่มีพวกหนูจะกินผักค่ะ พวกหนู 2 คนมีอาหารกินนะคะ แต่จานข้าวไม่พอแค่นั้นเอง หนูเลยต้องรอเพื่อนๆกินกันเสร็จก่อน
หนูถึงจะกินได้ค่ะ หนูไม่อยากได้จานข้าวใหม่ หนูขอแค่จานชามช้อนส้อมเก่าๆมาให้พวกหนูได้กินข้าวพร้อมเพื่อนๆบ้างได้ไหมคะ
http://sn115w.snt115.mail.live.com/mail/SafeRedirect.aspx?hm__tg=http://65.55.85.231/att/GetAttachment.aspx&hm__qs=file%3d38d0d338-aa8a-423e-917a-94fc2600a6f4%26ct%3daW1hZ2UvZ2lm%26name%3dQVRUMDAwMDg_3d%26inline%3d1%26rfc%3d0%26empty%3dFalse%26imgsrc%3dcid%253a7.152097596%2540web36603.mail.mud.yahoo.com&oneredir=1&ip=10.13.28.8&d=d6041&mf=0&a=01_1a32199a232b5000b12972628e907ddcbdeaf7ba27befd0921a7083b80057250
ที่อยู่หนูมีค่ะไม่ต้องห่วง เด็กผู้ชายนอนกับพระ เด็กผู้หญิงมีโรงนอนแยกต่างหากให้ค่ะ ที่นอนเป็นไม้กระดาน
! ไม่มีฟูก หมอนก็ไม่พอค่ะ หนูไม่อยากได้บ้านใหญ่ๆที่นอนดีๆ หนูขอแค่หมอนมาหนุนนอนบ้างได้ไหมคะ
ในภาพเป็นโรงนอนของพระกับเด็กผู้ชายเจ้า
http://sn115w.snt115.mail.live.com/mail/SafeRedirect.aspx?hm__tg=http://65.55.85.231/att/GetAttachment.aspx&hm__qs=file%3dc6d06fd0-1b27-432f-9220-e88ef11d8690%26ct%3daW1hZ2UvZ2lm%26name%3dQVRUMDAwMDU_3d%26inline%3d1%26rfc%3d0%26empty%3dFalse%26imgsrc%3dcid%253a8.152097596%2540web36603.mail.mud.yahoo.com&oneredir=1&ip=10.13.28.8&d=d6041&mf=0&a=01_1a32199a232b5000b12972628e907ddcbdeaf7ba27befd0921a7083b80057250

ตรงนี้เป็นหน้าโรงนอนของเด็กผู้หญิงค่ะ

http://sn115w.snt115.mail.live.com/mail/SafeRedirect.aspx?hm__tg=http://65.55.85.231/att/GetAttachment.aspx&hm__qs=file%3dc5ded572-d274-48e7-9c17-2184a705f9a1%26ct%3daW1hZ2UvZ2lm%26name%3dQVRUMDAwMTA_3d%26inline%3d1%26rfc%3d0%26empty%3dFalse%26imgsrc%3dcid%253a9.152097596%2540web36603.mail.mud.yahoo.com&oneredir=1&ip=10.13.28.8&d=d6041&mf=0&a=01_1a32199a232b5000b12972628e907ddcbdeaf7ba27befd0921a7083b80057250

ข้างในโรงนอนของเด็กผู้หญิง ที่แขวนอยู่นี่เป็นเสื้อผ้าของพวกหนูเองค่ะ ! แต่ไม่ค่อยพอใช้ค่ะ พวกหนูไม่อยากได้ของใหม่
แค่เสื้อผ้าเก่าที่พี่ๆไม่ใช้แล้วส่งมาให้หนูหน่อยได้ไหมคะ ด้านข้างที่มีบันไดเป็นที่นอนของพว ? หนูเองค่ะ
ไม้กระดานที่นอนของพวกหนูก็อย่างที่พี่ๆเห็นค่ะ

http://sn115w.snt115.mail.live.com/mail/SafeRedirect.aspx?hm__tg=http://65.55.85.231/att/GetAttachment.aspx&hm__qs=file%3da9a7efbf-8441-424d-9a65-1f8db1b1f310%26ct%3daW1hZ2UvZ2lm%26name%3dQVRUMDAwMDI_3d%26inline%3d1%26rfc%3d0%26empty%3dFalse%26imgsrc%3dcid%253a10.152097596%2540web36603.mail.mud.yahoo.com&oneredir=1&ip=10.13.28.8&d=d6041&mf=0&a=01_1a32199a232b5000b12972628e907ddcbdeaf7ba27befd0921a7083b80057250

อยู่กับหลวงพ่อพวกหนูดีใจมาก พวกหนูมีที่นอน มีอาหารกิน ได้เรียนฟรีด้วยค่ะ ถ้าไม่มีหลวงพ่อพวกหนูไม่รู้จะเป็นยังไง อาจต้องไปนอนข้างถนนก็ได้ค่ะ

http://sn115w.snt115.mail.live.com/mail/SafeRedirect.aspx?hm__tg=http://65.55.85.231/att/GetAttachment.aspx&hm__qs=file%3d50f45446-7192-4420-83d4-2475208c7f68%26ct%3daW1hZ2UvZ2lm%26name%3dQVRUMDAwMDc_3d%26inline%3d1%26rfc%3d0%26empty%3dFalse%26imgsrc%3dcid%253a11.152097596%2540web36603.mail.mud.yahoo.com&oneredir=1&ip=10.13.28.8&d=d6041&mf=0&a=01_1a32199a232b5000b12972628e907ddcbdeaf7ba27befd0921a7083b80057250

หลวงพ่อบอกว่าของแพงขึ้นทุกวัน คนบริจาคก็น้อยลง ถ้ายังเป็นแบบนี้อาจต้องปิดโรงเรียนค่ะ
พี่ๆช่วยพวกหนูหน่อยเถอะค่ะหนูอยากเรียนค่ะ โตขึ้นหนูจะได้ไปทำงานเลี้ยงตัวเองได้นะคะ

เด็กๆน่ารักมากเจ้าค่ะ ! ; เราไปคุย กับเจ้าอาวาสถามว่าต้องการอะไร ท่านบอกว่าข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องใช้ทั่วไป เครื่องเขียน และให้อะไรก็เอาค่ะ
ถามเด็กๆก็บอกเหมือนกัน &#39; ให้อะไรก็เอา &#39; ต้องไล่ถามทีละอย่าง นั่นพอใช้ไหมคะ นี่พอใช้ไม่ค่ะ เท่าที่จำได้

ค่าน้ำค่าไฟ ไม่พอจ่ายต้องผ่อนเอาค่ะ ถ้าเป็นที่อื่นโดนตัดน้ำตัดไปไปนานแล้วเนี่ย - _-&#39;

อาหารไม่ค่อยพอ เน้นผัก ไม่ค่อยมีโปรตีนให้เด็กเลยค่ะ ท่านเจ้าอาวาสบอกว่าอยากได้เป็นอาหารแห้งมากกว่าเพราะเก็บได้นานค่ะ

เสื้อผ้า ของใช้ ก็...อย่างที่เห็นตามรูปอะค่ะ แม้แต่จานข้าวยังไม่พอเลยค่ะ

ผ้าอนามัยก็ไม่พอใช้ค่ะ มีคนบริจาคแต่ก็ยัง! ไม่พออยู่ดี ที่นี่มีเด็กตั้งแต่อนุบาลถึงม. 6 ค่ะ เด็กผู้หญิงบางคนน่าจะใส่ชุดชั้นในได้แล้ว แต่เรายังเห็นเค้าไม่มีอยู่อะค่ะ
กลัวเป็นอันตรายกะเด็กจัง สองอย่างนี้ได้ตั้งกระทู้ขอบริจาคที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วค่ะ สาวๆห้องนั้นน่ารักมาก สวยแล้วใจดีอีกบริจาคเพียบเลยค่ะ @^ . ^@

รองเท้า เด็กๆหลายคนไม่มีใส่ค่ะ T-T

แล้วอะไรอีกหว่า โต๊ะ เก้าอี้ ไม้แขวนเสื้อ สบู่ ขันน้ำ หมอน อุปกรณ์เครื่องครัว

เออ...สรุปว่าขาดหมดละกันจ้า





จัดปาย

ทั่นยาย
05-23-2009, 11:41 AM
สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือชื่อ
&#39;ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ &#39; เช่น

1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว
กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง

2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว
3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมัน ไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด
4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็น ประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี
5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง
6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ( ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล
ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง
7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และข ิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป
8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี ( ไม้เมืองหนาว) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้
9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล
และความคิดสับสนได้
10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก
ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้
11.. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือ หอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี
12.. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย
13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง
14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี
ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก
เพราะใช้! ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต
15. มะเร็งปอด กิน ส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน
16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคม! ีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้
17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก ช่วยให้อาการปั่นป่วน ในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง
18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี &#39; โมโรอันแซตเทอเรต &#39; ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว
&#39; คลอเลสเตอรอล &#39; ได้
19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง
20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้

พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกัน
และรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง

คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร
โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน
ในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานไทย
ขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
ของ เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้าและคิดค้นตามแนวทาง
ที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้ ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป.

ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเพื่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล
จากที่เผยแพร่ให้ผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธาและกุศลจิตของท่านค่ะ
ขอให้ท่านและครอบครัวมีแต่ความสุขกาย สุขใจ เจริญทั้งในทางโลกและทางธรรมค่ะ

ทั่นยาย
06-08-2009, 01:20 PM
สวัสดีค่ะ พี่นพกรณ์ ตาเปา ทั่นบีบี เกิดแก่ ครูวิทย์ น้องโดด น้องอ๋อย
เพียงฝัน ลัคกี้ ปลายฟ้า ทั่นพญามาร ทั่นแปดคิว เจ้าป้าฯ และญาติธรรมทุกท่านค่ะ

หากท่านใดพบเจอคนพิการที่ต้องการใช้รถเข็นช่วยกันกระจายข่าวให้เค้าทราบด้วยนะคะ
เพื่อให้พวกเค้าได้มีโอกาสมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นค่ะ
ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับผู้จัดตั้งและผู้มีส่วนร่วมในโครงการอันเป็นกุศลนี้ทุกท่านค่ะ
ขอให้ทุกท่านและครอบครัว ประสบแต่ความสุขกาย สุขใจ เจรญทั้งใทงโลกและทางธรรมนะคะ สาธุ

noppakorn
07-09-2009, 07:33 PM
สูตรแห่งความสุข...ตำราชีวิตประจำวัน B y สุทธิชัย หยุ่น
(http://www.oknation.net/blog/account.php?id=44)

พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้...บอกว่าเป็น “สูตรแห่งชีวิตประจำวัน”
ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...
ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ
เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น “ตำราแห่งชีวิต” ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา
และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้,
เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไร
ให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง
สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น, ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยง และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะกวด, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลา ของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการ ผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ
๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของ อีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่าง กันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ ในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้งไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้า คนที่เราร่วมงานด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?
และสุดท้ายที่สำคัญที่สุด

ส่งบทความที่ต่อไปให้คนที่คุณรักและห่วงหาอาทรด้วย

piangfan
07-09-2009, 09:12 PM
ขอบคุณค่ะ พี่นพ
สาธุค่ะ

lek
07-13-2009, 09:21 AM
http://www.dhammajak.net/images/stories/other/yoga.jpg
ความเครียด
วิธีจัดการกับความเครียด


การจะจัดการกับความเครียดท่านต้องหาว่าความเครียดเกิดจากสาเหตุใดและร่างกายเราตอบสนองต่อความเครียดนั้นอย่างไร ขั้นตอนต่อมาต้องเรียนรู้วิธีการจัดการเกี่ยวกับความเครียดซึ่งมีวิธีดังนี้

ค้นหาปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียด เป็นข้อที่สำคัญที่สุดหากไม่ทราบสาเหตุก็ไม่สามารถป้องกันได้ บางท่านอาจจะไม่ทราบว่าเครียดจากอะไร ท่านผู้อ่านลองสำรวจตัวเองสิว่าชีวิตประจำวันของท่านมีอะไรบ้างที่ท่านเบื่อ เช่นการพูดคุยกับภรรยา การอาบน้ำลูก รถติด งานเร่ง งานน่าเบื่อ งานมาก บทบาทไม่ชัดเจนฯลฯ ท่านลองสำรวจอาการของท่านเมื่อพบสิ่งที่ไม่ชอบหรือน่าเบื่อ เช่นโกรธ เบื่อ ท้อแท้ ปวดศีรษะ เหล่านี้คือเหตุที่ให้เกิดความเครียด ปัจจัยใดที่ทำให้ท่าเครียดที่สุด ภาวะใดที่ท่านกลัวมาก ท่านอาจจะจดลงในสมุดบันทึกเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด อาการที่แสดงออก หลังจากที่ทราบสาเหตุแล้วก็ลองแก้ไข หากบางสิ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ให้หลีกเลี่ยงเช่นบางท่านไม่ชอบการเมืองก็ไม่ต้องดูข่าวหรือพูดคุยเกี่ยวกับการเมือง
การป้องกัน (http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/neuro/psy/stress/manage.htm#การป้องกัน)
แก้ไข (http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/neuro/psy/stress/manage.htm#แก้ไข)
ยอมรับความจริง (http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/neuro/psy/stress/manage.htm#)
หลีกเลี่ยง (http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/neuro/psy/stress/manage.htm#หลีกเลี่ยง)
การปรับเปลี่ยน (http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/neuro/psy/stress/manage.htm#การปรับเปลี่ยน)
เรียนรู้วิธีผ่อนคลาย (http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/neuro/psy/stress/reduce.htm)
มีความเชื่อมั่นในตัวเอง (http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/neuro/psy/stress/self_esteem.htm)
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ (http://www.siamhealth.net/public_html/Health/good_health_living/exercise/index.htm)
รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ (http://www.siamhealth.net/public_html/Health/good_health_living/diet/diet_index.htm)
ผักผ่อนอย่างเพียงพอ (http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/neuro/insomnia/index.htm)
การป้องกัน (http://<A)
หลังจากทราบสาเหตุแล้วการป้องกันความเครียดจะเป็นวิธีที่ไม่ให้เกิดความเครียดซึ่งมีวิธีการต่างๆดังนี้ การเตรียมตัวเพื่อรับความเครียดสามารถทำได้ดังนี้

การวางแผน เมื่อเกิดปัญหาหรือความเครียดพยายามตั้งสติและใช้ปัญญาหาทางแก้ไข
เมื่อมีปัญหาพยายามหาทางเลือกหลายๆทาง และเลือกทางแก้ที่ดีที่สุด
ขณะทำงานก็วางแผนอนาคตไปด้วย ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และท้าทายการตั้งเป้าหมายเกินความสามารถเล็กน้อยจะเป็นการท้าทาย หากทำสำเร็จก็จะเกิดความภูมิใจความมั่นใจในตัวเองก็จะตามมา
ตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลซึ่งจะทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะกระทำ หากตั้งเป้าเกินความจริงจะทำให้เกิดความเครียด หากต้องการประสบความสำเร็จต้องพัฒนาความสามารถเพิ่มแต่ถ้าไม่พยายามก็ไม่ประสบผลสำเร็จความเครียดก็จะเกิดตามมาและในที่สุดก็เลิกไปเอง
จัดลำดับความสำคัญ และความเร่งด่วนของงาน งานที่สำคัญอาจจะไม่ใช่งานที่เร่งด่วนก็ได้ ให้ทำงานที่เร่งด่วนก่อน และก็ไปงานที่สำคัญ ขณะทำงานก็อย่ากังวลงานที่ยังไม่ได้ทำ ให้ทำงานที่ยากที่สุดก่อนงานอื่น
กระจายงานให้แก่คนที่เหมาะสมโดยแบ่งงานเป็นส่วนแล้วกระจายงานออกไป
การสื่อสาร การสื่อสารจะช่วยลดความขัดแย้ง
ใช้เหตุผลในการสื่อสาร การใช้เหตุผลจะทำให้เพื่อนร่วมงานได้เสนอปัญหาและแนวทางแก้ไข คนส่วนให้ต้องการแก้ปัญหาเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น การใช้เหตุจะทำให้เพื่อนร่วมงานยอมรับและให้ความร่วมมือ ห้ามใช้ความก้าวร้าว
พูดความจริง การพูดความจริงจะมีความเครียดน้อยกว่าการโกหก
แก้ไขความขัดแย้ง เมื่อเกิดความขัดแย้งให้จับเข่าแก้ปัญหา และเมื่อได้ข้อสรุปจงลืมว่าปัญหาเกิดจากใคร และอย่าเครียดแค้น
ให้เป็นนักฟังที่ดี ไม่มีใครที่สามารถเรียนรู้ขณะที่ตัวเองกำลังพูด การเป็นผู้ฟังที่ดีจะได้แนวความคิดใหม่ การเป็นผู้ฟังที่ดีมิใช่คุณจะต้องเชื่อทุกอย่างเป็นเพียงคุณมีข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งช่วยในการตัดสินใจ
การเปลี่ยนมุมมองคนบางคนมองวิกฤติเป็นโอกาส น้ำครึ่งแก้วบางคนมองเหลืออีกครึ่งหนึ่ง
การผักผ่อน การนอนพักผ่อนอย่างพอเพียงวันละ 7-8 ชั่วโมงจะทำให้ลดความวิตกกังวลได้
เมื่อเกิดปัญหาให้ควบคุมอารมณ์ให้สงบ ให้หยุดงานที่ทำอยู่ หายใจเข้าลึกๆ หรือหลีกหนีไปเดิน 15 นาที
ให้นึกถึงผลเสียที่จะเกิด ผลเสียหายอย่างแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็นึกถึงโอกาสที่จะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
[/URL]แก้ไข (http://<A)
แม้ว่าเราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงความเครียด แต่เราสามารถลดโรคที่เกิดจากความเครียดโดย

ปรึกษากับเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงานจะช่วยท่านมองปัญหาในแง่มุมอื่นๆ ท่านจำเป็นต้องบอกเพื่อนร่วมงานว่าบางสิ่งไม่สามารถทำได้ ต้องรู้จักปฏิเสธ ท่านอาจจะต้องลดงานพิเศษบางอย่างขณะเกิดความเครียด ท่านต้องเคารพตัวเองไม่เอาเปรียบตัวเอง ไม่ทำงานเกินความสามารถตัวเอง ไม่ทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อน การทำงานต้องมีขอบเขตหากมิเช่นนั้นท่านอาจจะเป็นผู้ปกครองที่ไม่ดี เป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่ดี ต้องสามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ดี เมื่อโกรธก็หาสิ่งที่ชอบทำเช่นการฟังเพลง การเดิน
อย่าซึมเศร้า เมื่อท่านมีโรคประจำตัวหรือประสบกับความผิดหวัง ท่านอาจจะหมดกำลังใจ ซึมเศร้า ชีวิตนี้ไม่มีความหวังอีกแล้ว อาการซึมเศร้าจะทำให้ท่านประสบกับความทุกข์ยากและทำให้อาการเจ็บปวดเพิ่มขึ้น ท่านอาจจะคิดว่า "ทำไมต้องเป็นเรา" "ทำไมเราถึงต้องทำสิ่งนั้น" "ทำไมเราทำสิ่งนั้นไม่ได้"คนปกติทุกคนจะคิดเหมือนกัน ท่านต้องทำใจและพยายามแก้ไข
ทำชีวิตให้สบายๆอย่าทำชีวิตให้วุ่นวาย ทำตัวสบายๆงานที่ไม่สำคัญก็ไม่ต้องทำเลือกงานที่จำเป็นไม่ว่าจะเป็นงานบ้านหรืองานประจำทำให้เสร็จแล้วจึงเลือกงานที่น่าเบื่อทำต่อ
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ให้พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและมีความสุข
บริหารเวลาให้เหมาะสม จัดลำดับความสำคัญของงานให้ทำงานที่หนักเมื่อรู้สึกสบายหรือทำในตอนเช้า จัดเวลาสำหรับพักด้วย
ให้ทำงานที่ละอย่างจนสำเร็จโดยการตั้งเป้าหมายในแต่ละวัน การตั้งเป้าหมายไม่จำเป็นต้องเป็นงานอาจจะเป็นงานอดิเรกก็ได้เมื่อได้กระทำสำเร็จจะเกิดความภูมิใจ
เมื่อไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ปรึกษาแพทย์
ยอมรับความจริง (http://<A)

ยอมรับความจริงว่าท่านสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แต่ท่านไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่น เพราะหากท่านคิดเปลี่ยนแปลงคนอื่นแล้วไม่สำเร็จท่านก็จะเกิดความเครียด
ยอมรับความจริงว่าคนทุกคนไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบต้องมีข้อบกพร่องยอมรับกับข้อบกพร่องความเครียดจะน้อยลง หลายคนคาดหวังว่าคนใช้จะสามารถทำงานได้ดีเท่ากับที่ตัวเองทำ เมื่อคนใช้ทำไม่ได้ก็เกิดความเครียด
สร้างอารมณ์ขันให้กับตัวเองโดยเฉพาะเมื่อเวลาเกิดความเครียด ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความเครียดแนะนำให้หัวเราะเมื่อมีความเครียด โดยจัดเวลาสำหรับงานบันเทิง คุยเรื่องตลกกับเพื่อนหรือดูตลก การหัวเราะจะช่วยลดความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี อย่าปล่อยให้ตัวท่านตึงเครียดมืดมน มองโลกในแง่ดี
ให้นึกว่าท่านสามารถเรียนรู้บางสิ่งจากเหตุการณ์ทุกอย่าง
[URL=<A]หลีกเลี่ยง (http://<A)

หลีกเลี่ยงความเครียดเล็กน้อย เช่นรถติดก็ออกจากบ้านให้เช้าขึ้น หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น
หลีกเลี่ยงหรืออยู่ห่างๆบุคคลที่ทำให้ท่านเครียด เช่นแฟนที่ขี้บ่น เจ้านายที่จุกจิก
หลีกเลี่ยงการรับผิดชอบงานที่มากเกินไป
เมื่อมีความเครียดให้หยุดงานสักพักและหลีกหนีจากสถานการณ์ที่ทำให้คุณเครียด
หลีกเลี่ยงการถกเถียงประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หรือประเด็นที่หาข้อสรุปไม่ได้
การปรับเปลี่ยน (http://<A)
เป็นการปรับเปลี่ยนขบวนความคิดและการปฏิบัติตนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า

ปรับเปลี่ยนวิธีคิด มองโลกในแง่ดีเสมอไม่พยายามมองโลกในแง่ร้าย ทุกปัญหามีทางออก เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โลกมี่ทั้งกลางวันและกลางคืน หาหนทางที่จะพลิกสถานการณ์
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รู้จักปฏิเสธในส่วนไม่ใช่ความรับผิดชอบของตัวเอง ลดความรีบร้อน หัดทำงานให้เสร็จที่ละอย่าง หัดกระจายงานสู่ผู้อื่น หางานอดิเรกทำที่ทำให้หายเบื่อ
ปรับเปลี่ยนสภาพทำงาน ปรึกษากันเพื่อลดข้อขัดแย้งในการทำงาน กำหนดความรับผิดชอบของแต่ละคน กำหนดเจ้านายให้แน่นอน กำหนดกฎเกณฑ์ที่เอื้อต่อการทำงาน มีระบบให้คำปรึกษาเรื่องความเครียด
ปรับเปลี่ยนความรู้สึกของตัวเอง หัดสร้างอารมณ์ขันในภาวะที่เครียด ยอมรับคำตำนิ รู้จักผ่อนคลายเครียด

piangfan
07-17-2009, 12:14 PM
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบส้มตำปู !!-อันตรายมากๆ


พิษร้ายของส้มตำปู
จะเลิกกินปูเถอะนะ เป็นห่วงสุขภาพ สงสารคนที่ต้องดูแล เวลาป่วย
สงสารความเหนื่อยยากของเราเองที่ต้องทำงานหาเงินเพื่อที่จะต้องมารักษาตัวเอง
พิษร้ายของส้มตำปู
รู้มั๊ยว่ามีพยาธิกินสมองอยู่ในปูเค็มด้วยนะ
ส้มตำปูเค็มที่เป็นปูน้ำจืดอันตรายมาก..มาก
เพราะในปูเค็มน้ำจืดนั้น
เต็มไปด้วยพยาธิใบไม้ในปอด
พยาธิตัวจี๊ด
และพยาธิอีกหลายชนิด
ตัวที่ร้ายที่สุดมันจะไปชอนไชสมอง
ทำให้เลือดออกในสมอง
และอาจเสียชีวิตทันที
และข่าวร้ายก็คือส้มตำปูเค็มที่มีขายอยู่ทั่วไป นิยมใช้ปูเค็มน้ำจืด
ฉะนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือเลิกทานปูเค็มไปเลยดีกว่า
โรคพยาธิในปอดจากปูเค็มจะรักษายาก
เพราะแพทย์อาจวินิจฉัยโรคผิดโดยคิดว่าเป็นอาการของวัณโรคที่ปอดเพราะอาการ
คล้ายกันเพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยก็หลีกเลี่ยงการทานปูเค็มกันดีกว่า
สาธุค่ะ

ปีศาจ
07-23-2009, 10:58 AM
สวัสดีครับญาติธรรมทุกๆท่านไม่ได้มาเยี่ยมเยียนกันตั้งนาน
ยังคงรักและคิดถึงทุกท่านเสมอครับ
ใครชื่ออะไรตอนนี้ผมคงจำไม่ได้เสียแล้วก็ต้องขออภัยด้วยครับ
วันนี้อยากขอฝากเนื้อฝากตัวกับทุกท่านอีกครั้งหนึ่งนะครับ

ยึดติด

โดย
พระไพศาล วิสาโล
สุด .. ได้เลขท้าย ๓ ตัวมาจากหลวงพ่อ เลยแทงไป ๑๕ บาท ปรากฏว่าถูกเผง ได้มา ๖๐๐ บาท เขาดีใจมาก เที่ยวอวดใครต่อใครในหมู่บ้านว่าถูกหวย แต่พอรู้ว่า คอนซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ก็แทงหวย ๓ ตัวถูกเหมือนกัน แต่ได้เงินมากกว่าคือ ๒,๐๐๐ บาท เพราะแทงมากกว่า สุดเลยยิ้มไม่ออก หงอยไปทั้งวัน แถมยังโมโหตัวเองที่แทงน้อยไป

ใจ .. ไปเที่ยวไนท์บาซ่า เห็นผ้าพื้นเมืองลายงาม ราคา ๕๐๐ บาท แต่เธอต่อได้ ๓๕๐ บาทจึงคว้าผ้าผืนนั้นกลับโรงแรมด้วยความดีใจ แต่พอรู้ว่าไก่เพื่อนร่วมห้องก็ซื้อผ้าแบบเดียวกันมา แต่ได้ราคาถูกกว่า คือ ๓๐๐ บาท ใจก็หุบยิ้มทันที ไม่รู้สึกโปรดปรานผ้าของตนอีกต่อไป

แม้เราจะมี "โชค" หรือได้ของดีที่ถูกใจ
แต่หากไปเปรียบเทียบกับของคนอื่นเมื่อใด
สุขก็อาจกลายเป็นทุกข์ทันที หากรู้ว่าคนอื่นได้มากกว่า ได้ของดีกว่า
หรือได้ของที่ถูกกว่า ส่วนของดีที่เราได้มากลับด้อยคุณค่าไปถนัดใจ

บางครั้งอาจทำให้เราทุกข์กว่าตอนที่ยังไม่ได้ของนั้นมาด้วยซ้ำ
ที่จริงไม่ต้องไปเทียบกับของคนอื่นก็ได้
เพียงแค่เห็นของรุ่นใหม่วางขายหรือโฆษณาตามสื่อต่าง ๆ
ก็เกิดความไม่พอใจในของเดิมที่มีอยู่ทันที
ทั้ง ๆ ที่มันก็ยังใช้ได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรรบกวนใจ
ยกเว้นข้อเดียวคือ มันสู้ของใหม่ที่วางขายไม่ได้
ทั้งๆ ที่มีของดีอยู่กับตัว แต่คนเราแทนที่จะพอใจกลับรู้สึกเป็นทุกข์
เพียงเพราะใจไปจดจ่ออยู่กับสิ่งดีกว่า (หรือมากกว่า) ที่ตัวเองยังไม่มี

แต่เมื่อใดก็ตามที่ของชิ้นนั้นเกิดมีอันเป็นไป
เช่นทำตกหล่นหรือถูกขโมยไป เราก็จะกลับมาเห็นคุณค่าของมัน
และนึกเสียใจที่เสียมันไป จะกินจะนอนก็ยังนึกถึงมันด้วยความเสียดาย
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นใน กรณีที่เป็นสิ่งของเท่านั้น
แต่ยังเกิดกับกรณีที่เป็นคนด้วย เช่น คนรัก หรือแม้แต่พ่อแม่และลูก

ผู้คนจำนวนมากไม่เห็นคุณค่าหรือมีความสุขกับคนใกล้ชิด
เพราะไปนึกเปรียบเทียบคนอื่นว่าเขามีพ่อแม่ คนรัก หรือลูกที่ดีกว่าเรา
แต่วันใดที่เราเสียเขาไป เราถึงจะกลับมาเห็นคุณค่าของเขา
และเศร้าโศกเสียใจจนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว
เฝ้าหวนคำนึงถึงวันคืนเก่า ๆ ที่เขาเคยอยู่กับเรา

คนเรามักทุกข์เพราะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ยังไม่มี หรืออาลัยในสิ่งที่สูญเสียไป
พูดให้ครอบคลุมกว่านั้นก็คือ
ทุกข์เพราะใจยังติดยึดอยู่กับอนาคตและอดีต
อนาคตและอดีตที่ว่ามิได้หมายถึง
สิ่งดี ๆ ที่ยังไม่มีหรือที่เสียไปเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงสิ่งไม่พึงปรารถนาที่ (คาดว่า) รออยู่ข้างหน้า
เช่น อุปสรรคและสิ่งไม่พึงปรารถนาที่พานพบ คำต่อว่า หรือการกระทำที่น่ารังเกียจ

คำตำหนิติเตียนไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน แต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้
หากเราไม่เก็บเอาคิดซ้ำคิดซาก คำพูดเหล่านั้นผ่านพ้นไปนานแล้ว
แต่ที่ยังบาดใจเราอยู่ก็เพราะเราไม่ยอมปล่อยวางมันต่างหาก
ยิ่งคิดคำนึงถึงมันมากเท่าไรก็ยิ่งซ้ำเติมตัวเองมากเท่านั้น

การเอาเปรียบ กลั่นแกล้ง ทรยศ หักหลัง ก็เช่นกัน
แม้เป็นอดีตไปนานแล้ว แต่เราก็ยังทุกข์อยู่กับเหตุการณ์ดังกล่าว
ไม่ใช่เพราะเขายังทำเช่นนั้นกับเราอยู่
แต่เป็นเพราะเราชอบย้อนภาพอดีต
กลับมาฉายซ้ำในใจอย่างไม่ยอมเลิกรา
ย้อนแต่ละทีก็เหมือนกับกรีดแผลลงไปที่ใจ
หยุดย้อนอดีตเมื่อใดใจก็หายเจ็บเมื่อนั้น

อดีตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนอนาคตยังมาไม่ถึง
แต่จะมาถึงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้
แต่บ่อยครั้งเรากลับยึดมั่นสำคัญหมายอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ว่ามันจะต้องเกิด ขึ้นแน่ เท่านั้นยังไม่พอถ้าเป็นเรื่องแง่ลบด้วยแล้ว
เรามักจะวาดภาพไปในทางเลวร้าย
แล้วก็ยึดมันเอาไว้ไม่ให้คลาดไปจากใจ ทั้งๆ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์

ชายผู้หนึ่งเดินขึ้นตึกไปหาหมอ เพื่อฟังผลตรวจโรค
พอหมอบอกว่า พบก้อนมะเร็งระยะที่สองในปอดของเขา
เขาก็ถึงกับทรุด เข่าอ่อนเดินไม่ได้ กลับถึงบ้านก็กินไม่ได้
นอนไม่หลับ ซึมไปเป็นเดือน

ส่วนหญิงผู้หนึ่ง ป่วยกระเสาะกระแสอยู่นานหลายสัปดาห์
แล้ววันหนึ่งหมอก็บอกว่า เธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ตับ
จะอยู่ได้ไม่เกิน ๓ เดือน ปรากฏว่าผ่านไปแค่ ๑๒ วัน เธอก็สิ้นใจ
ทั้งสองกรณีไม่ได้ทรุดฮวบเพราะโรคมะเร็งเล่นงาน
แต่เป็นเ พราะใจเสีย ทันทีที่ได้ยินข่าวร้าย
ใจก็นึกภาพอนาคตของตัวเองไปในทางเลวร้าย
ยิ่งผู้ป่วยรายที่สองด้วยแล้ว
เธอนึกไปถึงวันตายของตัวเองเลยทีเดียว
แถมยังปรุงแต่งไปในทางที่มืดมน
เท่านั้นไม่พอเธอยังหมกมุ่นกับภาพดังกล่าวไม่หยุดหย่อน
ทั้งๆ ที่มันยังไม่เกิดขึ้น ผลก็คือถูกความทุกข์ท่วมทับจนมิอาจทานทนต่อไปได้

บ่อยครั้งเราเป็นทุกข์เพราะเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
เช่น การสอบไม่ติดหรือตกงาน
โดยตัวมันเองไม่ก่อปัญหาแก่เรา มากเท่ากับใจที่ปรุงแต่งไปล่วงหน้า
ว่านับแต่นี้ไปชีวิตจะลำบากยากแค้นเพียงใด แล้วจะอยู่ดูโลกนี้ต่อไปได้อย่างไร
แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจพบว่าที่แท้เราตีตนก่อนไข้ไปเอง
เพราะปัญหาต่างๆ ที่ตามมาไม่ได้หนักหนาสาหัสอย่างที่คิด
สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ในที่สุด

อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ปรุงแต่งเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงเท่านั้น
กับสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า บางครั้งเราก็ปรุงแต่งให้เลวร้ายเกินจริง
เช่น อยู่รีสอร์ตคนเดียวกลางดึก ได้ยินเสียงผิดปกติ
ก็ปรุงแต่งไปทันทีว่าถูกผีหลอก หรือไม่ก็มีคนจะมาทำร้าย
เห็นคู่รักกำลังคุยอย่างสนิทสนมกับชายหนุ่มในร้านอาหาร
ก็คิดไปทันทีว่า เธอกำลังนอกใจ

การคิดปรุงแต่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงนั้น
เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่เมื่อใดที่เราหลงยึดว่ามันเป็นเรื่องจริง
เราก็กำลังก่อทุกข์ให้กับตัวเอง
แถมยังสามารถสร้างปัญหาให้แก่คนอื่นได้ด้วย

วัยรุ่นนั่งกินอาหารอยู่หน้าร้าน เผอิญขี้นกหล่นใส่หัว
แต่เขากลับคิดว่าเจ้าของร้านถ่มน้ำลายใส่หัว
จึงทะเลาะกับเจ้าของร้านอย่างรุนแรง
สักพักก็ออกจากร้านแล้วกลับมาพร้อมกับพวกอีกหลายคน
ควักปืนออกมายิงกราด
ถูกภรรยาเจ้าของร้านซึ่งกำลังท้อง ๕ เดือนตายคาที่
กลายเป็นฆาตกรที่ถูกตำรวจหมายหัวทันที

การยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง
เป็นที่มาอีกประการหนึ่งของความทุกข์
ทีแรกเราเป็นฝ่ายปรุงแต่งมันขึ้นมา
แต่เผลอเมื่อใดมันก็กลับมาเป็นนายเรา
สามารถผลักใจของเราไปสู่ความทุกข์
และชักนำชีวิตของเราไปในทางเสื่อมได้ง่าย ๆ

กี่ครั้งกี่หนที่เราทำร้ายตัวเองและทำร้ายซึ่งกันและกัน
เพียงเพราะหลงเชื่อ ความคิดที่เราปรุงแต่งขึ้นมา
พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ไม่ได้ปรุงแต่งขึ้นมาเอง
แต่เป็นความจริงแท้ ๆ จะไม่ก่อปัญหา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่สร้างความทุกข์แก่เรา
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ อยู่ในขณะนี้
เช่น รถเสีย เงินไม่พอใช้ ทะเลาะกับคนรัก ลูกคบเพื่อนไม่ดี งานไม่ก้าวหน้า
แต่ถ้าเรามัวแต่นึกถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะทำอะไร ก็กวาดเอาปัญหาต่างๆ มาครุ่นคิดด้วย
ทั้ง ๆ ที่ไม่เกี่ยวกันเลย เช่น กำลังทำงานอยู่
ก็ไปกังวลถึงรถ ถึงลูก ถึงพ่อแม่ แล้วยังห่วงคู่รักอีก
อย่างนี้แล้วจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร

ปัญหาเป็นเรื่องที่ต้องแก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม
แต่เมื่อใดที่เรากวาดเอาปัญหาต่าง ๆ มาทับถมจิตใจ
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้ไข
ก็เตรียมตัวกลุ้มได้เลย นี้เป็นการยึดติดอีกแบบหนึ่ง

อันที่จริงแม้มีปัญหาแค่เรื่องเดียว
แต่ถ้าหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา ก็ทำให้คลั่งได้
ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องเล็กแต่ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายๆ
เช่น หมกมุ่นกับสิวไม่กี่เม็ดบนใบหน้าวันแล้ววันเล่า
ก็อาจทำให้เจ็บป่วยหรือถึงกับทำร้ายตัวเองได้

การยึดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจ
บางครั้งก็ไปไกลถึงขนาดไปกวาดเอาปัญหาของคนอื่น
มาเป็นของเราเสียเอง เช่น เพื่อนมาปรึกษาปัญหาชีวิต
ก็เลยเอาปัญหาของเขามาเป็นของตนด้วย
จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

เท่านั้นยังไม่พอบางคนถึงกับแบกปัญหาของประเทศมาไว้กับตัว
เลยเป็นเดือน เป็นแค้นกับสถานการณ์บ้านเมือง
ทะเลาะกับใครไปทั่วที่คิดต่างจากตน
สุดท้ายก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาบ้านเมืองไป

การยึดติดที่ลึกไป กว่านั้นคือ การยึดติดในตัวตน
สาเหตุที่เราทะเลาะกับคนที่คิดไม่เหมือนเรา
ก็เพราะเรายึดติดในความคิดของเรา

ความสำคัญมั่นหมายว่านี้เป็น "ความคิดของฉัน"
สะท้อนถึงความยึดติดในตัวตน
หรือที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า ยึดติดใน "ตัวกู ของกู"

นอกจากความคิดแล้ว เรายังยึดติดสิ่งต่าง ๆ อีกมากมายว่า
เป็นตัวฉันของฉัน อาทิ สิ่งของ บุคคล ชุมชน ประเทศ ศาสนา
มีอะไรมากระทบกับสิ่งนั้น ก็เท่ากับว่ากระทบ "ตัวฉัน"
ด่าว่ารถของฉัน ก็เท่ากับด่าฉันด้วย
วิจารณ์ศาสนาของฉันก็เท่ากับวิจารณ์ฉันด้วย

เป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อสิ่งของสูญหาย คนรักจากไป
เราจึงอดหวนนึกถึงไม่ได้ เพราะใจยังยึดว่าเป็นของฉันอยู่
จึงยังมีเยื่อ ใยที่ดึงให้ใจย้อนระลึกถึงอยู่เสมอ
เวลาให้ของแก่ใครไป ความยึดติดในของชิ้นนั้นก็ยังมีอยู่
จึงเฝ้าดูว่าเขาจะใช้ของชิ้นนั้นหรือไม่
ถ้าไม่ใช้ก็รู้สึกเป็นทุกข์ที่เขาไม่ได้ใช้ของ "ของฉัน"
ญาติโยมหลายคนจึงไม่สบายใจที่พระไม่ได้ฉันอาหารที่ตนถวาย

ยึดติดในตัว ตนอีกอย่างคือการยึดมั่นสำคัญหมายว่า
ฉันเก่ง ฉันหล่อ ฉันเป็นส.ส. ฯลฯ ไปไหนก็อดตัวพองไม่ได้
อยากแสดงบารมีให้ใครรู้ว่า "นี่กูนะ"
อยู่ที่ใดก็ต้องการให้คนชื่นชม สรรเสริญ เคารพ นบไหว้
แต่ถ้าไม่ได้รับการปฏิบัติดังกล่าว ก็จะโมโหขุ่นเคือง
จนอาจคำรามว่า "รู้ไหมว่ากูเป็นใคร?"
ยิ่งเจอคำวิจารณ์ด้วยแล้ว ยิ่งทนไม่ได้เข้าไปใหญ่

การ ยึดติดใน "ตัวกู ของกู หรือนี่กูนะ" เป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ นานัปการ
นำไปสู่การกระทบกระทั่งขัดแย้งและทำร้ายกัน
ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความเครียดบีบคั้นภายใน
เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
ใช่แต่เท่านั้น แม้ได้สิ่งที่พึงปรารถนา
ก็ยังทุกข์เพราะได้ไม่สมใจ หรือทุกข์ที่คนอื่นได้มากกว่า

ที่น่าแปลกก็คือเราไม่ได้ยึดเอาแค่สิ่งดี ๆ ที่ถูกใจ
ว่าเป็นตัวกูของกูเท่านั้น สิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกใจ
เราก็ยังยึดเป็นตัวกูของกูอีกเช่นกัน
เช่น ความเจ็บปวด เมื่อเกิดกับกาย
แทนที่จะเห็นว่า กายปวดเท่านั้น กลับไปยึดเอาว่า "ฉันปวด"
ความปวดเป็นของฉัน

เมื่อความโกรธเกิดขึ้นกับใจ
ก็ยึดมั่นสำคัญหมายว่า "ฉันโกรธ" ความโกรธเป็นของฉัน
ความยึดมั่นดังกล่าวรุนแรงชนิดที่ใจไม่ยอมไปไหน
มัวจดจ่อวนเวียนอยู่กับความปวดหรือความโกรธนั้น ๆ อย่างเดียว
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความเผลอของใจ
รู้ทั้งรู้ว่ายึดแล้วทุกข์แต่ก็ยังยึดเพราะขาดสติ
ถ้าใจมีสติ ก็จะไม่เผลอยึดต่อไป

ความปวดความโกรธยังมีอยู่ก็จริง แต่คราวนี้มันทำอะไรจิตใจไม่ได้
เพราะใจไม่โดดเข้าไปให้ความปวดความโกรธเผาลน
เหมือนกองไฟที่ยังลุกไหม้อยู่
แต่ตราบใดที่เราไม่โดดเข้าไปในกองไฟ
หากถอยออกมาห่าง ๆ เป็นแค่ผู้สังเกตเฉย ๆ ไฟก็ทำอะไรเราไม่ได้

สติช่วยให้ใจแยกออกมาอยู่ห่างๆ
จากความเจ็บปวดแ! ละอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
กลายเป็น "ผู้ดู" มิใช่ "ผู้ปวด" หรือ "ผู้โกรธ"
จากความยึดติดกลายเป็นการปล่อยวาง

การปล่อยวางดังกล่าว
คือ หัวใจของการเป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งหลาย
เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว
ความทุกข์ทั้งมวลเกิดจากความยึดติด
ยึดติดอดีตกับอนาคต ยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง
ยึดติดปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
รวมทั้งยึดเอาปัญหาต่าง ๆ มาเป็นของตน
ที่สำคัญคือ การยึดติดในตัวตน
เมื่อใดที่ปล่อยวางจากความยึดติดดังกล่าวได้
ความทุกข์ก็ไม่อาจทำอะไรเราได้อีกต่อไป

สติช่วยให้เรารู้ตัวเมื่อเผลอไปอาลัยอาวรณ์ในอดีต หรือวิตกกังวลกับอนาคต
พาจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบันเมื่อรู้ตัวว่า
เผลอไปจมอยู่กับเหตุร้ายที่ผ่านไปแล้ว
คอยทักท้วงใจไม่ให้หลงเชื่อความคิดปรุงแต่ง
เพราะตระหนักว่า ความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่คิด
ในยามที่เผลอกวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจจนหนักอึ้ง

สติช่วยให้เราแก้ปัญหาเป็นเปลาะ ๆ เป็นเรื่อง ๆ
ไม่เอาปัญหาใดมาครุ่นคิดหากยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้
เวลาพักผ่อน ก็พักผ่อนเต็มที่
เมื่อถึงเวลาแก้ปัญหา ก็ใช้ปัญญาอย่างเต็มที่
ไม่มามัวตีโพยตีพาย หรือน้อยเนื้อต่ำใจว่า "ทำไมถึงต้องเป็นฉัน?"

ความทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา
แต่อยู่ที่ว่าเรามีท่าทีหรือรู้สึกอย่างไรกับมันต่างหาก

แม้ปัญหาจะหนัก แต่ถ้าเริ่มต้นจากการยอมรับมันว่า
เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
ไม่ปฏิเสธผลักไสมันหรือก่นด่าชะตากรรม
ตั้งสติให้ได้แล้วหาทางแก้ไขมัน
แต่ขณะที่มันยังไม่หายไปไหน ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน

ไม่หวนนึกถึงอดีตอันผาสุก หรือปรุงแต่งอนาคตไปในทางเลวร้าย
ขณะเดียวกันก็ไม่หมกมุ่นอยู่กับปัญหา
หากปล่อยวางมันบ้าง ความสุขก็หาได้ไม่ยาก

นายทหารผู้หนึ่งไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานที่ทรงเคยเป็นอุปัชฌาย์ของตนมาก่อน
พอ! ไปถึงประโยคแรกที่กราบทูลก็คือ "หนักครับ ช่วงนี้แย่มากเลยครับ"
ว่าแล้วเขาก็ทูลเล่าปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าเข้ามาในชีวิต

สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงฟังอยู่นาน
แทนที่จะตรัสแนะนำหรือปลอบใจ
พระองค์กลับรับสั่งให้เขานั่งคุกเข่า ยื่นมือสองข้าง
แล้วพระองค์ก็เอากระดาษแผ่นหนึ่งวางบนฝ่ามือของเขา
"นั่งอยู่นี่แหละ อย่าไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา"

รับสั่งเสร็จพระองค์ก็เสด็จเข้าไปในตำหนัก
นายทหารนั่งในท่านั้นอยู่นาน จาก ๑๐ นาทีเป็น ๒๐ นาที
สมเด็จพระสังฆราชก็ยังไม่เสด็จออกมา
เขาเริ่มเหนื่อย มือและขาเริ่มสั่น กระดาษชิ้นเล็กๆ หนักขึ้นเรื่อย ๆ
จนประคองแทบไม่ไหว พอสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเสด็จกลับมา
ก็ทรงถามว่า "เป็นไง?"

คำตอบของเขาคือ "หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว"
"อ้าว ทำไมไม่วางมันลงเสียละ?"
สมเด็จรับสั่ง "ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่ยังงั้นนะซี
มันจะเป็นอื่นไปได้ยังไง"

กระดาษที่เบาหวิว แต่หากถือไว้นาน ๆ
ไม่ยอมปล่อย ก็กลายเป็นของหนักไปได้
แต่ปัญหาถึงจะใหญ่โตเพียงใด
ถ้าไม่ยึดถือเอาไว้ ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้

ใช่หรือไม่ว่าหินก้อนใหญ่จะกลายเป็นของหนัก
และสร้างทุกข์ให้แก่เราก็ต่อ เมื่อเราแบกมันเอาไว้เท่านั้น
เมื่อมีสติรักษาใจ รู้เท่าทันความคิด ไม่เผลอยึดติดจนจิตหนักอึ้ง
แม้งานจะยาก อุปสรรคจะเยอะ ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
คัดลอกจาก...ยึดติด
[สารคดี กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑]
โดย พระไพศาล วิสาโล

plyfha
07-23-2009, 03:34 PM
http://co113w.col113.mail.live.com/att/GetAttachment.aspx?tnail=0&messageId=88316cad-131e-48d2-955d-bf9e4f3c2ea8&Aux=44|0|8CBBEA91941A690|
http://co113w.col113.mail.live.com/att/GetAttachment.aspx?tnail=1&messageId=88316cad-131e-48d2-955d-bf9e4f3c2ea8&Aux=44|0|8CBBEA91941A690|
http://co113w.col113.mail.live.com/att/GetAttachment.aspx?tnail=2&messageId=88316cad-131e-48d2-955d-bf9e4f3c2ea8&Aux=44|0|8CBBEA91941A690|
http://co113w.col113.mail.live.com/att/GetAttachment.aspx?tnail=3&messageId=88316cad-131e-48d2-955d-bf9e4f3c2ea8&Aux=44|0|8CBBEA91941A690|

ทั่นยาย
07-25-2009, 09:57 AM
สวัสดีค่ะ พี่นพกรณ์ ตาเปา ทั่นบีบี ครูวิทย์ เกิดแก่ เพียงฝัน น้องโดด น้องอ๋อย
ลัคกี้ ปลายฟ้า ทั่นพญามาร ทันแปดคิว คุณเล็ก น้องรัก และญาติธรรมทุกท่านค่ะ


คำเตือน : 9 เคล็ดลับ...
สำหรับสุภาพสตรี และบุคคลทั่วไป

1 . เคล็ดลับจากวิชาเทควันโด้ " ข้อศอก" คือจุดที่แข็งแกร่งที่สุด
ของร่างกายหากถูกทำร้าย หรือกำลังจะถูกทำร้าย
และคุณอยู่ในระยะที่ใกล้พอ จงใช้ข้อศอกให้เป็นประโยชน์
( ถองกบาลหรือกกหูมันแรง ๆ )

2 . ข้อแนะนำจากหนังสือแนะนำ นักท่องเที่ยวเมืองนิวออร์ลีนส์
หากถูกโจรจี้และขอกระเป๋าถือหรือกระเป๋าสตางค์
อย่ายื่นกระเป๋าให้โจร แต่ให้เขวี้ยงกระเป๋าไปไกล ๆ
เพราะเป็นไปได้ว่าเจ้าโจรนั่นอาจสนใจแค่เงินหรือข้าวของในกระเป๋า
มากกว่าตัวคุณ มันจะวิ่งไปคว้ากระเป๋าที่คุณโยนออกไป
ทีนี้ก็จงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ไปในทิศทางตรงกันข้าม

3. ถ้าถูกจับขังในฝากระโปรงท้ายรถ พยายามทุบให้ไฟท้ายรถ
หลุดออก จากนั้นยื่นแขนออกมาจากรูโหว่แล้วโบกสุดฤทธิ์
คนขับมองไม่เห็นคุณ แต่รับรองชาวบ้านเห็นแน่ ๆ
วิธีนี้ช่วยชีวิตคน มานักต่อนักแล้ว

4. อย่านั่งแช่ในรถ สาวๆ ทั้งหลาย เมื่อเสร็จภารกิจช้อปปิ้ง
กินข้าว เลิกงาน ฯลฯ สาว ๆ เมื่อก้าวขึ้นรถแล้ว ก็มักจะ นั่งแช่
ทำอะไรต่อมิอะไรกระจุกกระจิก เป็นต้นว่า ดูสมุดบัญชี
จดลิสต์รายการ ข้าวของ หรือเรื่องที่จะต้องทำ หรืออื่น ๆ
ขอเตือนว่า..อย่าทำเช่นนี้เป็นอันขาด ผู้ร้ายอาจกำลังจับตา
เฝ้าดูคุณอยู่ การที่นั่งจ่อมอยู่อย่างนี้แหละ
จะเป็นโอกาสอันงาม ที่มันจะก้าวขึ้นมานั่งในรถข้าง ๆ
คุณ เอาปืนจี้แล้ว สั่งให้พาไปไหนต่อไหน
เพราะฉะนั้นก้าวขึ้นนั่งในรถเมื่อไร ให้รีบล็อคประตูแล้วออกรถทันที

5. ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำเล็กๆ น้อยๆ
เมื่อคุณต้องเดินไปยังรถที่จอดในลานจอดรถ
โรงจอดรถ หรืออาคารที่จอดรถ

ก. สำรวจรอบตัวมองข้างในรถทั้งที่นั่งข้างคนขับ
พื้นรถรวมถึง เบาะหลังด้วย
ข. ถ้ารถคุณจอดอยู่ข้างรถตู้คันใหญ่
แนะนำให้ขึ้นรถด้านประตูผู้โดยสาร
ผู้ร้ายส่วนใหญ่มักฉวยโอกาสจังหวะที่เหยื่อกำลัง
เปิดประตูรถลากตัวเหยื่อขึ้นรถตู้
ค. ดูรถที่จอดอยู่ข้างรถคุณทั้งฝั่งซ้ายและขวา
หากมีผู้ชายนั่งอยู่คนเดียวตรงเบาะด้าน
ที่ใกล้รถคุณ ควรหลีกเลี่ยงด้วยการ
เดินกลับเข้าไปในห้างหรือที่ทำงาน
แล้วขอให้เจ้าหน้าที่ห้าง หรือ รปภ.
หรือเพื่อนชายเดินกลับมาส่งที่รถ
ปลอดภัยไว้ก่อน ดีกว่าต้องเสียใจทีหลัง
(โดนหาว่าประสาทยังดีกว่าต้องซี้ม่องเซ็ก)

6. ควรใช้ลิฟต์แทนการขึ้นลงทางบันได
บันไดเป็นจุดที่น่ากลัวที่สุดถ้าอยู่คนเดียว
รวมทั้งเป็นจุดที่เกิดอาชญากรรมได้ดีที่สุด

7. หากผู้ร้ายมีปืน และคุณยังไม่ได้ถูกจี้ ..วิ่งหนี!!!
โอกาสที่มันจะยิงโดนคุณมีเพียง 4 ใน
100 ครั้งเท่านั้น (เป้าเคลื่อนที่)
และถึงจะยิงโดน ก็เป็นไปได้มาก ว่า
จะไม่ถูกอวัยวะสำคัญเพราะงั้นวิ่งลูกเดียว!

8. อย่าใจอ่อน ผู้หญิงมักขี้สงสารและเห็นอกเห็นใจ
งานนี้อย่าเชียวนะ!! เพราะอาจนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย
ข่มขืน หรือฆาตกรรมได้ กรณีนี้มีตัวอย่างมาแล้ว
ฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่งในอเมริกาชื่อ เท็ด เบินดี้ม
เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี มีการศึกษา
ใช้กลวิธีเรียกร้องความสงสารจากเหยื่อเพศหญิง
ซึ่งไม่ได้เกิดความสงสัยสักนิด
เขาหลอกลวงเหยื่อให้ตายใจด้วยการเดินโดยอาศัยไม้เท้า
หรือแสร้งทำขากะเผลก แล้วขอ &#39;ความช่วยเหลือ&#39;จากเหยื่อ
ให้ช่วยพยุงขึ้นรถ จากนั้นก็ใช้จังหวะนั้น ลักพาตัวไป.....ฆ่า????

9. ให้ร้องว่า &#39; ไฟไหม้ &#39; แทนคำว่า &#39; ช่วยด้วย&#39;
จากหนังสือภัยจาก 108 มงกุฏ เมื่อคุณกลับบ้านในเวลากลางคืน
หากถูกคนร้ายจี้ ชิงทรัพย์ ฯลฯ เวลาร้องขอความช่วยเหลือ
คำว่าไฟใหม้จะทำให้ชาวบ้านในละแวกนั้น ตกใจตื่น
และออกมาดูสถานการณ์ได้เร็วกว่า

หากท่านเห็นว่าข้อความที่อ่านมาอาจเป็นประโยชน์
ต่อคนที่ท่านรู้จักท่านสามารถส่งต่อได้ โดยเฉพาะเพื่อน
พี่ น้องที่เป็นเพศหญิง เพื่อเตือนให้เธอเหล่านั้นระลึกอยู่เสมอว่า
&#39;โลกใบนี้มีคนวิกลจริตอาศัยอยู่มาก ... ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าเสียใจภายหลัง

noppakorn
08-08-2009, 10:51 AM
สาธุๆๆ ขออนุโมทนาสาธุกับเรื่องดีงามของญาติธรรมทุกๆท่านด้วยครับ


การปล่อยปลาปล่อยเต่าในวัด คือทำบุญหรือทำบาป ?
คำถามที่มีคำตอบจาก Professor
เกี่ยวกับสัตว์น้ำและเต่าของ รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ (หมอหนิ่ง) รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคสัตว์ป่า ผู้ก่อตั้งชมรมรักษ์เต่า

วันพระ วันออกพรรษา วันมงคลต่างๆ ทุกคนต่างมุ่งหน้าเข้าหาวัด เพื่อปล่อยนำปล่อยปลา เพราะเชื่อว่าเป็นการทำบุญปล่อยอิสรภาพให้สัตว์เหล่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วการกระทำด ังกล่าว กลับเป็นตรงข้าม เพราะแท้ที่จริงแล้ว " วัดคือนรก"
ของสัตว์เหล่านี้ เพราะเต่า นก และปลา ถูกใช้เป็นสินค้าเพื่อการทำบุญของคนทำบาป หลายคนที่ชอบทำบุญปล่อยนก ปล่อยปลา หรือปล่อยเต่า ไม่เคยทราบว่าแท้ที่จริงแล้วคือการปล่อยให้สัตว์เหล่านี้ไปสู่จุดจบของชีวิต ไม่ก็ถูกนำมารีไซเคิลเพื่อขายต่อ
หมอหนิ่ง ได้คลุกคลีในแวดวงสัตว์น้ำ ได้มองเห็นถึงปัญหาและต้องการสะท้อนไปสู่สังคมให้รู้จักทำบุญอย่างถูกวิธี เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องจึงเกิด โครงการ ช่วยเต่าจากวัด โดยเริ่มต้นจากวัดบวรฯ
" หน้าที่ของดิฉันคือช่วยสัตว์จรจัดที่ไม่มีใครเหลี่ยวแลอย่างเข่น เต่า ซึ่งดิฉันทำอยู่กับคุณขจร จิระวนนท์ Rescue เต่าวัด เพราะวัดเป็นนรกของสัตว์ ..
เริ่มแรกพระโทร.มาบอกว่าเต่าตายเห็นสภาพเต่ามีปลิงเกาะ ไม่มีที่ตากแดดให้ปลิงออก เจาะเลือดออกมาจึงรู้ว่าเพราะสารเคมีในน้ำคลองที่วัดทำให้เต่าตาย เพราะฉะนั้นใครเอาสัตว์ปล่อยวัดคิดให้ดีว่าทำบุญหรือทำบาป " หมอหนิ่งเล่าถึงภารกิจในการช่วยชีวิตเต่า

ภารกิจของหมอหนิ่งในการช่วยชีวิตเต่าในวัด เริ่มจากเต่า 500 ตัวในวัดบวรฯ ซึ่งเป็นวัดใหญ่ที่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าอาวาสอย่างดี แต่การเดินทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ปัญหาเรื่องทุนทรัพย์ เครื่องมือ บุคลากร ตลอดจนความเข้าใจของแต่ละฝ่าย ทำให้การทำงานเพื่อช่วยเต่าไม่สามารถเดินไปไกลเท่าที่ควร แต่หมอหนิ่งก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อไปเพื่อช่วยเหลือเต่า สัตว์ที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบขององค์กรใดๆ
สิ่งหนึ่งที่ช่วยแบ่งเบาภาระของหมอหนิ่งได้ คือการส่งผ่านความเข้าใจไปยังคนในสังคม ทั้งชาวบ้านที่ค้าขายเต่าในวัด พระ ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่ชอบเลี้ยงเต่าหรือชอบทำบุญปล่อยเต่าให้มีความเข้าใจที่ถูกในเบื้องต้น หมอหนิ่งบอกว่า " ก่อนจะเลี้ยงสัตว์อะไรเราต้องศึกษาให้รู้ว่าเขากินอย่างไร และอยู่อย่างไร ถึงจะไปซื้อมาเลี้ยง และสัตว์ที่มาจากแหล่งค้าส่วนใหญ่ตจะมีโรคเยอะมักจะไม่รอด หลังจากซื้อมาแล้วควรนำไปให้สัตวแพทย์ตรวจก่อน "
การนำเต่าจากวัดมารักษาภารกิจที่ทำด้วยหัวใจของหมอหนิ่ง เมื่อรักษาเต่าจนหายดีจะต้องมีบ้านให้เต่าอยู่ออกสู่อิสรภาพ โดยล็อทแรกได้ปล่อยที่คลอง 14 ภารกิจหน้าที่ทั้งหมดได้เงินช่วยเหลือจากโครงการ ซึ่งหมอหนิ่งบอกว่า " เงินเกินบัญชีเยอะ และควักเงินส่วนตัวตลอด"
ในขณะนี้การเดินทางเพื่อช่วยเหลือเต่าจรจัดต้องประสบปัญหามากมาย โดยเฉพาะปัญหาด้านทุนทรัพย์ในการนำมาต่อยอดเพื่อช่วยต่อไป
ข้อมูลเพิ่มเติมจากรายการจุดเปลี่ยน ตอน 2 ออกอากาศวันที่ 17 มี.ค. 2550 ที่ทีมงานสัมภาษณ์ รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ (หมอหนิ่ง) สรุปมาได้ว่า ในการปล่อยเต่านั้น

1 ท่านต้องรู้ว่าเต่าที่ท่านจะปล่อยนั้นคือ เต่าบกหรือเต่าน้ำ เพราะเต่าไม่ใช่สัตว์น้ำแต่เต่าเป็นสัตว์เลื้อยคลาน

เต่าบก ที่เท้าจะคล้ายๆเท้าช้าง ขายาว กระดองรูปร่างนูนขึ้นมากกว่าเต่าน้ำ

เต่าน้ำ เท้าจะแบน ขาสั้น เอาไว้ไหว้น้ำ

ถ้าปล่อยเต่าบกลงน้ำเต่าจะจมน้ำตายได้ เพราะเต่าหายใจด้วยปอดเหมือนมนุษย์

2 สถานที่ปล่อย จะต้องเป็นบริเวณที่มีตลิ่ง เพื่อให้เต่าขึ้นมาพักผึ่งแดดได้ และน้ำไม่ไหลเชี่ยวจนเกินไป การที่เต่าต้องขึ้นมาพักบนตลิ่งเพราะ
2.1 เต่าต้องการพักหายใจ และพักเหนื่อย เพราะเต่าเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ไม่ใช้สัตว์น้ำ( โรงเรียนเราสอนผิดมาโดยตลอด ) จึงว่ายน้ำตลอดเวลาเหมือนปลาไม่ได้

2.2 เต่าต้องการผึ่งแดด เพื่อให้ปลิงที่ติดอยู่ตามตัวหลุดออก มิฉะนั้นเต่าอาจป่วยได้ และเต่าต้องอาศัยแสงแดดในการสร้างวิตามินที่จำเป็นสำหรับร่างกาย

ดังนั้นการปล่อยเต่าน้ำลงในบริเวณที่ๆไม่มีตลิ่งให้เต่าขึ้นมาผึ่งแดด เช่น ตามคลองประปา ,บ่อน้ำในวัดที่มีการก่อคอนกรีดเป็นบล็อกสูงๆ ( บ่อในวัดบวรฯ ที่หมอหนิ่งไปช่วยมา ) คือการทำร้ายเต่าอย่างทารุนโหดร้ายมากๆ
แม้ว่าบางวัด หรือบางสถานที่จะมีการต่อแพ ให้เต่าขึ้นมาผึ่งแดดได้แต่นั่นไม่ใช่สถานที่อยู่ตามสภาพธรรมชาติที่แท้จริงของเต่า เปรียบเหมือนเราถูกจับไปขังคุก เขามีข้าวให้กินมี ที่ให้นอน แล้วเราชอบหรือไม่ ถ้าเราไม่ชอบเต่าก็เช่นเดียวกับเรา

3 สภาพน้ำบริเวณที่จะปล่อย ต้อง ไม่สกปรก ถ่ายเทยาก และแออัด เช่น บ่อน้ำในวัดบวรฯ กทม. มีเต่าหลายตัวที่หมอหนิ่ง และเพื่อนชมรมรักษ์เต่า ได้ช่วยชีวิตขึ้นมาจากในวัดบวรฯ สถานที่ทำบุญของเรานี่แหละ หลายตัวติดเชื้ออย่างรุนแรง กระดองแตก กระดองเปื่อยยุ่ยจนลึกเข้าไปถึงกระดูกเต่าชั้นใน ( กระดองเป็นกระดูกเต่าชั้นนอก) หลายตัวมีเลือดจางมากต้องให้วิตามีนเพื่อการบำบัดฟื้นฟู บางตัวอาการโคม่าต้องให้น้ำเกลือกันเลย หลายตัวสุขภาพอ่อนแอเพราะ มีปลิงเกาะอยู่ตามร่างกายเป็นจำนวนมากสมาชิกชมรมรักษ์เต่า ต้องช่วยกันนำไปแช่น้ำเกลือ แล้งใช้ผ้าเช็ดออก เต่าทุกตัวที่ชมรมรักษ์เต่า ช่วยมาไดนั้น จะนำไปบำบัดฟื้นฟูอีกที่ในสถานอนุบาลสัตว์น้ำที่ ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ ( หมอหนิ่ง)เป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด
เมื่อเต่าหายดี แล้วจะมีการนำไปปล่อยยังที่ๆเหมาะสมชนิดของเต่า เพราะเต่ามีแยกออกไปมากมายหลายชนิด เช่น เต่านาต้องการอาศัยในที่ชื้นแฉะแบบในนาข้าวเป็นต้น ดังนั้นถ้าคิดจะปล่อยเต่าต้องแน่ใจว่าเราปล่อยเต่าในสภาพที่เหมาะกับเค้าหรือไม่

โครงการคืนชีวิตเต่าสู่ธรรมชาติ

วันที่ 8 ก.พ. 2550 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร โครงการช่วยเต่าในวัดบวรฯ จากที่รายการไปถ่ายทำมา เห็นว่าทำกันมา 4 ปีแล้ว

หากผู้มีจิตศรัทธาท่านใดอยากเข้ามามีส่วนช่วยทำบุญในครั้งนี้สามารถติดต่อได้ที่

ชมรมรักษ์เต่า
02-699-3110-1

ช่วยกรุณาส่งต่อวิธีการปล่อยเต่าที่ถูกต้องไปยังเพื่อนๆหรือใครก็ตามที่คุณรู้จักเพื่อที่เขาจะได้ ปล่อยสัตว์ได้บุญ มิใช้ปล่อยสัตว์ได้บาปอย่างที่แล้วๆมานะคะ ขออนุโมทนากับทุกๆท่านที่เข้ามาอ่าน และช่วยเผยแพร่กระทู้นี้ด้วย


http://us.mg1.mail.yahoo.com/ya/download?mid=1%5f13198%5fAKbIjkQAADXQSnzuRQS9uRLgF2Y&pid=2&fid=Inbox&inline=1


http://us.mg1.mail.yahoo.com/ya/download?mid=1%5f13198%5fAKbIjkQAADXQSnzuRQS9uRLgF2Y&pid=5&fid=Inbox&inline=1


ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนี่เอง ถ้าใครไปไม่ถูกลองนึกภาพสยามสแควร์ ตรงถนนอังรีดูนัง ฝั่งเดียวกับแคนตันสุกี้ ถ้าขับรถมาจากถนนพระราม 4 เมื่อเลี้ยวเข้า ถนนอังรีดูนังแล้วก็ตรงมาเรื่อยๆ จนถึง โรงเรียนเตรียมอุดม สังเกตสะพานลอยคนข้ามถนนครับ ทางเข้าคณะจะอยู่ระหว่างโรงเรียนเตรียมอุดมกับทางเข้าสยามสแควร์ มองด้านซ้ายมือให้ดีนะครับจะได้ไม่หลงทาง เมื่อเลี้ยวเข้าไปแล้วก็ตรงไปสัก 50 เมตรจะเจอตึกสูงประมาณ 4 ชั้น อยู่ด้านขวามือ หาที่จอดแถวนั้นเลย ที่จอดรถจะมีมากพอสมควร เพราะเขาไม่อนุญาตให้นักศึกษาและบุคคลภายนอกเข้าไปจอด จอดรถแล้วก็เดินเข้าตึกไปเลยไปแลกบัตรผ่านก่อนแล้วก็ขึ้นลิฟท์ไปที่ ชั้น 2 ดูตามป้ายบอกทางได้เลย

ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ถนนอังรีดูนัง ปทุมวัน กทม. โทร.
02-2189510 , 02-2189514

เปิดจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 8.00-16.00 น.


http://us.mg1.mail.yahoo.com/ya/download?mid=1%5f13198%5fAKbIjkQAADXQSnzuRQS9uRLgF2Y&pid=4&fid=Inbox&inline=1


เต่าบก ที่เท้าจะคล้ายๆเท้าช้าง ขายาว กระดองรูปร่างนูน ขึ้นมากกว่าเต่าน้ำ

ถ้าปล่อยเต่าบกลงน้ำ เต่าจะจมน้ำตายได้ เพราะเต่าหายใจด้วยปอดเหมือนมนุษย์

เต่าน้ำ เท้าจะแบน ขาสั้น เอาไว้ไหว้น้ำ

http://us.mg1.mail.yahoo.com/ya/download?mid=1%5f13198%5fAKbIjkQAADXQSnzuRQS9uRLgF2Y&pid=3&fid=Inbox&inline=1

piangfan
08-27-2009, 12:04 PM
สวัสดีค่ะ พี่นพกรณ์ ลุงเปา ลุงบีบี ครูวิทย์ พี่เกิดแก่ ทั่นยาย
พี่โดด พี่อ๋อย
พี่รักกี้ พี่ปลายฟ้า พี่พญามาร พี่แปดคิว
คุณเล็ก น้องรัก และญาติธรรมทุกท่านค่ะ

ขอบคุณทุกท่านค่ะ ที่นำสาระดีๆมาฝากค่ะ

สาธุค่ะ พี่นพ
เพียงฝันก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบไปปล่อยเต่าค่ะ
สถานที่ปล่อยเต่าริมตลิ่งยังเป็นคันดินค่ะ
ยังไม่ได้เป็นปูนซีเมนต์ค่ะ

ไม่แน่ใจเจ้าเต่าจะรอดหรือไม่ค่ะ
ว่าจะตามไปเฝ้าทุกวันก็อ่อนแรงซะก่อนค่ะ



สารกลูตาไธโอน ช่วยให้ขาวได้จริงหรือ

สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่เซลล์ในร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย
เช่น ตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ เมื่อรวมตัวกับสารกลูตาไธโอน จะช่วยให้ละลายน้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ในที่สุด สารพิษจำพวกโลหะหนักหรือสารกำจัดแมลง สามารถถูกขจัดออกจากร่างกายได้โดยการทำงานของกลูตาไธโอนร่วมกับตับ


สารกลูตาไธโอนยังมีหน้าที่สำคัญอีกมากมายในร่างกาย
เช่น สังเคราะห์โปรตีน ช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง ช่วยเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง

โดยสรุปสารกลูตาไธโอน จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีหรือวิตามินอี เมื่ออายุคนเรามากขึ้นปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายจะลดน้อยลง มีผลทำให้เซลล์และอวัยวะทุกส่วนเสื่อมโทรมลง ในทางตรงกันข้าม นักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรง มักจะตรวจพบสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด



การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์

สารกลูตาไธโอนมีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยามามากกว่า 30 ปี การรักษามักจะให้โดยการฉีดเข้าเส้นหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ อาการข้างเคียงของยาดังกล่าวตอนนี้ยังไม่พบ แต่อย่างไรก็ตามพบว่า สารกลูตาไธโอนมีผลข้างเคียงในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ผลข้างเคียงนี้จึงทำให้มีการแตกตื่นและนำกลูตาไธโอนมาเตรียมเป็นยาเม็ดเพื่อใช้เป็นอาหารเสริม เพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู


ยาเม็ดกลูตาไธโอน ได้ผลจริงหรือ ?

ในวงการของอาหารเสริม มีการนำสารกลูตาไธโอนมาทำเป็นยาเม็ดในขนาดความแรงต่างๆ กัน เพื่อใช้ในการรับประทานเป็นอาหารเสริม โดยหวังผลว่า จะสามารถเสริมและทดแทนปริมาณกลูตาไธโอนที่ร่างกายมีไม่พอหรือบกพร่องไป อันเนื่องมาจากสาเหตุของโรคต่างๆ




จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า สารกลูตาไธโอนจะไม่สามารถถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหารได้
เพราะจะถูกย่อยสลายและขับออกทางลำไส้ ดังนั้นการรับประทานยาเม็ดกลูตาไธโอนจึงไม่ได้รับประโยชน์เลย ไม่ว่าจะกินครั้งละหลายๆ เม็ดหรือในขนาดที่สูงมากๆ ก็ตาม


กลูตาไธโอนช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือ?



ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ของการใช้ยากลูตาไธโอนคือ การยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง
รวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสีที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริมและเพิ่มความเข้มข้นของกลูตาไธโอนในกระแสเลือดให้มากๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผล เพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่างกาย ไม่ถูกดูดซึม แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลงโดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อเช่นเดียวกับการรักษาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ควรใช้ยานี้ในทางที่ผิด

ภาวะที่ร่างกายขาดกลูตาไธโอน


เนื่องจากสารดังกล่าวร่างกายสร้างได้เอง แต่สภาวะที่ร่างกายอาจขาดหรือมีกลูตาไธโอนไม่เพียงพอ เช่น เมื่อร่างกายมีโรคแทรกซ้อน ทำให้กลูตาไธโอนลดน้อยลงด้วยสาเหตุการถูกทำลายด้วยยารักษาหรือด้วยตัวโรคเอง หากร่างกายขาดหรือมีกลูตาไธโอนน้อย จะมีผลทำให้เกิดโรคตับอักเสบง่าย ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ มีโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจ โรคหืด ผู้ที่มีกรรมพันธุ์เกี่ยวกับความบกพร่องของกลูตาไธโอนมักจะมีปัญหาโรคแทรกซ้อนทางระบบประสาท ผู้ที่ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ ปริมาณกลูตาไธโอนในระบบเลือดจะต่ำมากๆ ผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็เช่นกัน ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย
กลูตาไธโอนในธรรมชาติ

พบมากในผลไม้ ได้แก่ แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวกาโด ส่วนในผักพบมากใน หน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบได้ใน ปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ดังนั้นควรเลือกรับประทานจากธรรมชาติดีกว่าที่จะหลงไปใช้สารนี้อย่างผิดๆ และขาดความเข้าใจ

paobunjin
08-29-2009, 04:26 AM
เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง

เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขา
เป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาว
เศรษฐีบอกชาวนาว่า
"ท่านเป็นหนี้สินข้าจำนวนหนึ่ง แต่หากท่านยกลูกสาวให้ข้า จะยกเลิกหนี้สินทั้งหมดให้"
ชาวนาไม่ตกลง
เศรษฐีบอกว่า
"ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม ข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาจากสวนกรวดใส่ในถุงผ้านี้
ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว ให้ลูกสาวของท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้
หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว ข้าจะยกหนี้สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้องแต่งงานกับข้า และแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย"
ชาวนาตกลง
เศรษฐีหยิบกรวดสองก้อนใส่ในถุงผ้า
หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่ากรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำ เธอจะทำอย่างไร?
หากเธอไม่เปิดโปงความจริง ก็ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกง หากเธอเปิดโปงความจริง
เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้ แต่บิดาของเธอก็จะยังคงเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน
เราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้มองปัญหาแบบขาวกับดำ แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้อย่างขาวกับดำเสมอไป ในทางตรงข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบว่าหนทางการแก้ปัญหามีมากกว่าหนึ่งสายเสมอ และการยืดหยุ่นพลิกแพลงไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่ง
บางครั้งในการแก้ปัญหา เราอาจต้องสร้างเครื่องมือในการแก้ปัญหาขึ้นมาใหม่
ในยุคสงครามเย็นที่กินเวลานานหลายสิบปี สูญเสียชีวิตและทรัพยากรโลกมหาศาล
ไม่มีใครกล้าเชื่อว่า สงครามเย็นสามารถยุติลงได้ หรือเร็วเช่นนี้
ในยุคของ มิคาอิล กอร์บาชอฟ กอร์บาชอฟ กล่าวว่า "เป็นเรื่องเขลาที่คิดว่า ปัญหาที่รุมเร้ามนุษยชาติในวันนี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยเครื่องมือและวิธีการที่เคยใช้ได้ผลในอดีต"
หากเขาไม่ได้คิดเช่นนี้ บางทีวันนี้สังคมนิยมโซเวียตยังไม่เปิดประเทศ
และสันติภาพระหว่างฝ่ายขาว-ฝ่ายแดงคงล้าหลังไปอีกหลายปี
โลกไม่ได้มีเพียงแค่สีขาวกับดำ
ลูกสาวชาวนาเอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อน
พลันเธอปล่อยกรวดในมือร่วงลงสู่พื้น กลืนหายไปในสีดำและขาวของสวนกรวด
เธอมองหน้าเศรษฐี เอ่ยว่า
"ขออภัยที่ข้าพลั้งเผลอปล่อยหินร่วงหล่น แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำอย่างละหนึ่งก้อนลงไปในถุงนี้ ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุงออกดู สีกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อมรู้ทันทีว่า
กรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อครู่เป็นสีอะไร"
"ที่ก้นถุงเป็นกรวดสีดำ "...
"ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว"
ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้และลูกสาวไม่ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“หากเราพยายามมากพอที่จะแก้ไขปัญหา เราจะพบว่าทุกปัญหา ?
ย่อมมีวิถีทางแก้ไขเสมอ ”

Lucky
09-09-2009, 12:04 PM
รอบที่แล้วยึดบ้านป้าดาวไปแล้ว เรียงร้อยถ้อยคำกลอนผ่านเพลง รอบนี้จะยึดบ้านลุงนพไบก้อนแระน๊า.....

วันละเรื่อง สองเรื่องพอนะ นั่งพิมตาลาย แห่ะ ๆ

noppakorn
09-09-2009, 01:21 PM
เห็นนิสัย คนใกล้ตัว 12 คนในโลก

คนเกิดเดือนมกราคม
เป็นคนค่อนข้างรอบคอบ ระมัดระวังวิตกจริต คิดมากตลอดเวลา ในบางคนก็ชอบเก็บสะสมของเก่า ของโบราณ รู้จักเก็บ มัธยัสถ์ งก ขี้เหนียว เสียดายของ ประหยัด ชอบที่จะแชร์ค่าใช้จ่าย มองกำไรขาดทุนไว้ก่อนเสมอ ดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่จริง ๆ แล้วฉลาดจึงสามารถเป็นนักธุรกิจที่ดีได้ ทะเยอทะยาน ชอบเอาชนะ บางทีก็คิดเล็กคิดน้อยอะไรไม่รู้ เชื่อมั่นในตัว เองสูงมาก ทรหดอดทนเป็นยอดเลยล่ะ โดยเฉพาะในเรื่องงานแล้วล่ะก็บ้างานมาก บ้าจนทำให้บางทีความรักที่มีอยู่จืดไปเลย จะแต่งงานช้าก็เพราะมัวแต่เลือกมากคิดมากอยู่ นั่นแหละ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความรักสักเท่าไหร่ถ้างานที่ต้องรับผิดชอบนั้นยังไม่เสร็จสิ้น เพราะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง เป็นนักปฏิบัติ
แต่ในด้านความรัก ก็ใช่ย่อยมีเสน่ห์ล้ำลึกนัก มีความต้องการทางเพศค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน บางครั้งก็ขี้หงุดหงิดเอาแต่ใจตัวเอง แต่ทำเป็นขรึมเย็นชาซะอย่างนั้น แหล่ะ บางทีก็ชอบเก็บตัวชอบสร้างกำแพง ทำเป็นหยิ่งแต่จริง ๆ กลับเป็นคนง่าย ๆ ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีพิษไม่มีภัยกับใคร สงบนิ่ง เจ้าระเบียบซะอีกแน่ะ รักเกียรติยศชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่ ทำอะไรไม่ค่อยพึ่งใครชอบทำเอง แต่ก็เป็นคนมีบุญ มักได้คู่ดี

คนเดือนกุมภาพันธ์
มักเป็นคนที่มีอุปนิสัยร่าเริง เพื่อนฝูงมากมาย เพราะเป็นคนที่ต้องการมิตรที่แท้จริง แต่ก็มักไม่ค่อยมีเพื่อน และที่ สำคัญมีเพื่อนแท้น้อยมาก ชอบอยู่ในแวดวงสังคมที่ดี เพราะเป็นคนที่สามารถยิ้มแย้มแจ่มใสได้กับทุกสถานการณ์ ถึงแม้ว่าตนเองจะทุกข์อยู่ก็ตาม ชอบที่จะทำให้คนอื่นมีความสุข เป็นคนที่ช่างพูดช่างคุย ตีหน้าได้เก่ง มีนิสัยช่างคิดช่างจำแถมยังมีแผนการมากอีกด้วย เชื่อมั่นและมีความเห็นเป็นของตัวเอง ซื่อตรงดี ชอบอิสระไม่ชอบขึ้นกับใคร หรือให้ใครบังคับขู่เข็ญให้ทำ หรืออยู่ใต้การควบคุมของใคร อยากทำอะไรทำเองไม่ต้องมาสั่ง ชอบชีวิตที่เรียบง่ายมากกว่าถึงแม้ว่าตัวจะต้องอยู่ในสังคมก็ตาม เป็นคนที่มีหัวคิดริเริ่มมีไอเดียอะไรดี ๆ และแปลกใหม่อยู่เสมอ เพราะเป็นคนที่ใส่ใจเรียนรู้และสร้างสรรค์ ตามยุคตามสมัยทันเหตุการณ์ของโลกอยู่เสมอ ชอบเปลี่ยนแปลงจนคนรอบข้างตามไม่ทันหรือคิดไม่ถึงก็มี จริงใจเปิดเผยตรงไป ตรงมา นิสัยไม่ดีคือมักเอาแต่ใจและดื้อรั้นมาก ในบางครั้งก็ดูก้าวร้าวขวานผ่าซากและขี้งอน ขี้น้อยอกน้อยใจ เป็นคนที่ชอบสนุกสนาน ชอบช่วยเหลือเพื่อน ทั้งที่ทำคุณกับใครไม่ค่อยขึ้นหรอก คบกับใครก็ได้ ช่างเลือกด้วย แถมไม่ชอบผูกมัดหรือมีพันธะติดกับใคร จึงหาคู่ที่ ถูกใจยากออกสักหน่อย

คนเดือนมีนาคม
เป็นคนที่ชอบเห็นอกเห็นใจชาวบ้าน ชอบช่วยเหลือคนอื่นแล้วก็ไปรับแบกภาระซะอย่างนั้นแหล่ะ เข้ากับคนง่าย ปรับตัวได้ดีมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีจิตใจที่เมตตาโอบอ้อมอารี มีคุณธรรมสูง ชอบสร้างบุญสร้างกุศล แต่มักเป็นคนที่ขี้เหงา ว้าเหว่ หรือไม่ชอบอยู่ในที่แคบ ๆ มักชอบที่จะอยู่ในที่โล่งแจ้งมากกว่า แต่อารมณ์มักอ่อนไหวง่ายมาก ๆ ในบางครั้งก็ขี้หงุดหงิด จิตใจไม่แน่นอน อารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนน้ำ ที่วันนี้ไม่รู้จะอยู่ในโอ่งหรือว่าขวดกันแน่ บางครั้งก็ดูแข็ง
บางทีก็อ่อนไหวง่ายเหลือเกิน ด้วยความใจอ่อนนี่แหล่ะมักทำให้สูญเสียโอกาสดี ๆ ไปเสมอ ดูอ่อนโยนสุภาพแต่ก็มีอารมณ์ที่ก้าวร้าว และปากร้ายได้เหมือนกัน เพราะเป็นคนที่เย็นก็ได้ ร้อนก็ได้ เสียใจง่าย ดีใจง่าย คล้อยตามคนอื่นได้ ไม่ค่อยแข่งขันอะไรกับใคร มักพอใจในสิ่งที่ตนมี เป็นคนที่เชื่อเรื่องโชคลางสิ่งลี้ลับ และชอบที่จะจดจำเรื่องเก่า ๆ หลงรักใครได้ง่าย ๆ และมักจะจมอยู่กับรักเก่า ๆ นั้น แบบพวกมีรักฝังใจไม่ยอมลืม แต่กับบางเรื่องกลายเป็นคนที่ขี้ลืมบ่อย ๆ เหมือนคนแก่ และก็เป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจใฝ่หาอะไรที่มันใหม่ ๆ ซะด้วยซิ ยกเว้นชอบที่จะซื้อรองเท้าใหม่ ๆ อยู่เรื่อยเลย ว่ากันว่าใครที่เกิดในเดือนนี้เท้าสวยแล้วจิตใจจะดีแถมเป็นคนชอบชิมชอบกินเสียด้วยซิ

คนเดือนเมษายน
เป็นคนที่มีนิสัยเหมือนเด็ก ๆ อยากรู้ อยากเห็น อยากได้อยากเป็นไปเสียหมด พอรู้พอเห็นแล้วก็เบื่อ ไม่เอาแล้ว อยากได้ของใหม่อีกแล้ว คือ เป็นคนขี้เบื่อเหมือนเด็ก ๆ ไม่ค่อยยอมฟังใครง่าย ๆ กล้าได้กล้าเสียไม่ค่อยกลัวอะไร ลุยลูกเดียว แล้วก็เจ็บ แถมเจ็บไม่รู้จักจำอีกด้วย ชอบกลับไปทำซ้ำใหม่แล้วก็เจ็บอีก บางทีก็ชอบทำเรื่องง่าย ๆ ให้เป็นเรื่องยากได้ จู้จิ้จุกจิกกับเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ได้
แต่เป็นคนที่น่าคบนะ เพราะเป็นคนที่จริงใจตรงไปตรงมา ไม่ชอบเอาใจใครหรือเยินยอใคร ชอบไม่ชอบบอกกันตรง ๆ เลย แบบว่าถือของให้ใครก็ไม่เป็น ไม่ชอบผูกมัด ชอบอิสระ ชอบที่จะให้คนมาเอาใจมากกว่า และมักจะหึงและหวงคนรักนะ เพราะถ้ามีรักเมื่อไร จะเป็นคนที่รักเดียวใจเดียว รักแบบบริสุทธิ์ใจซะด้วยซิ และมักเป็นคนที่มีความต้องการทางเพศสูงอยู่เหมือนกันนะจ๊ะ
ทะเยอทะยานใจร้อน ทำอะไรก็รวดเร็วทันใจ เดินยังดูรีบ ๆ เลย มีอารมณ์รุนแรงขี้โมโหหงุดหงิดง่าย แต่ก็หายเร็ว ทำอะไรหุนหันพลันแล่น อยู่นิ่ง ๆ ไม่เป็นจะอึดอัดหงุดหงิด เครียด ต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เช่น ชอบออกกำลังกาย หรือทำอะไรที่มันดูเป็นภาคสนามสักหน่อย จะสบายใจกว่าให้นั่งเฉย ๆ ใครอยากเป็นแฟนต้องเข้าใจและเอาใจ อย่าปล่อยให้เหงาเชียวแหล่ะ

คนเดือนพฤษภาคม
เราจะเห็นว่าเดือนนี้มีสัญลักษณ์เป็นรูปวัวเพราะฉะนั้นต้องเข้าใจก่อนเลยว่า คนที่เกิดในเดือนนี้มักต้องทำเพื่อคนอื่นและต้องอดทนอย่างมาก เหมือนวัวนั่นแหล่ะ ดื้อรั้นเงียบแบบสงบเสียด้วยซิ มักเป็นคนที่ดูจะนิ่ง ๆ ไม่ค่อยแสดงออกสักเท่าไหร่ เป็นคนที่โกรธใครยาก แต่ถ้าโกรธนานเชียว แล้วถ้ามีใครมาแหย่ ให้โกรธเข้าล่ะก็ คุณแกจะกลายเป็นวัวกระทิงทันทีเลยล่ะ
เป็นคนที่รักสวยรักงาม สะอาด รักความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำอะไรถูกกาลเทศะ ความคิด ความอ่านมักค่อนข้างหัวโบราณสักหน่อย เป็นบุคคลที่เปลี่ยนแปลงอะไรยากมาก ๆ เช่น การกิน หรือความเชื่อ ใครบอกก็ไม่เปลี่ยน นอกจากตัวเองจะเปลี่ยนแปลงความคิดหรือการกระทำเอง ไม่ค่อยยืดหยุ่นกับชีวิต ชอบคิดว่าฉันเป็นฉันเอง เป็นคนที่ชอบอยู่นิ่ง ๆ สงบ ๆ อยู่คนเดียวก็ได้ อยู่กับเพื่อน ๆ ก็ได้
โคตรอดทนและบึกบึนมาก งานทำได้ทุกอย่างหนักเอาเบาสู้ได้หมด แถมเป็นคนมัธยัสถ์ ประหยัด ชอบเก็บสะสมทรัพย์สินอีกด้วย เรียกว่าเศรษฐีได้เลย แต่ก็ไม่ค่อยได้ใช้เองหรอกชอบให้คนอื่น ยิ่งถ้าเป็นคนที่ตัวเองรักแล้วล่ะก็...เต็มที่ไปเลย เป็นคนที่อ่อนไหวต่อความรักมาก รักแล้วทุ่มเทเกินเหตุ มักถือดีเรื่องความรักเสมอ หรือจะชื่นชม ให้กำลังใจหน่อยก็จะดี คนเดือนนี้ชอบให้ชมบ่อย ๆ พวก บ้ายอไง

คนเดือนมิถุนายน
เป็นคนที่ฉลาดมาก มักคิดอะไรได้รวดเร็วกว่าชาวบ้าน คือ มีความถนัดในการใช้สมองมากกว่ากำลัง ชอบคิดชอบพูด ชอบเขียน อยากรู้ อยากเห็น อยากลอง ต้องการเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ เพื่อความอยู่รอด จึงมักเป็นคนที่ดูทันสมัยอยู่ตลอดเวลา และในชีวิตมักมีอะไรเข้ามาทีละสองอย่างเสมอ ทำให้ต้องลำบากใจที่จะต้องเลือก ไม่ว่าจะเป็นความรัก หรือ การงาน ความคิดก็มักลังเล รักพี่เสียดายน้องอยู่นั่นแหล่ะ เป็นคนที่มีความสามารถหลายอย่าง สามารถทำอะไรหรือคิดอะไรได้ หลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน บางทีกลายเป็นคนสองบุคลิก หรือ คนสองหน้าได้เหมือนกัน สามารถแก้ปัญหาให้ใครต่อใครได้ในพริบตาเชียวล่ะ เป็นที่ปรึกษาและให้กำลังใจที่ดีเลยคนเดือนนี้น่ะ ชอบท่องเที่ยวไม่ชอบอยู่กับที่นาน ๆ
ชอบเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรอยู่ตลอดเวลา ทำให้ดูเหมือนเป็นคนที่ขาดความอดทน เป็ นคนที่ค่อนข้างตรงและเอาแต่ใจตนเอง ไม่ค่อยเก็บความสงสัยเอาไว้ จะถามให้รู้เรื่องไปเลย จะทำอะไรก็เหมือนกันจะต้องทำให้มันสำเร็จ ชนิดไม่เสร็จไม่เลิก มีความว่องไวใจร้อนมากโดยเฉพาะเรื่องงาน ไม่ชอบให้ใครมาจู้จี้ขี้บ่น หรือซักถามยิ่งเวลาไปไหนมาไหน ไม่ต้องถาม ถ้าอยากบอกจะบอกจะเล่าเอง ด้วยความทันสมัยและชอบเที่ยวจึงเป็นผู้ที่ใช้เงินเปลืองมาก

คนเดือนกรกฎาคม
นับได้ว่าเป็นคนอ่อนไหวไวต่อความรู้สึก ระมัดระวังตัวหวาดระแวงตกใจง่ายไม่ค่อยไว้ใจใครง่าย ๆ รู้รักษาผลประโยชน์รู้จักเก็บออมเงินเก่ง (ปูมักจะลากทุกอย่างเข้ารู) ถ้าเจอปัญหาเศร้าทุกข์อะไร จะขอหลบไปก่อน ไม่รับโทรศัพท์ ไม่รับแขก ไม่ยอมเจอใคร แต่พอตั้งสติได้จะค่อย ๆ กลับมาแก้ไขและกลับมาเป็นคนเดิมเอง เป็นคนรักบ้าน รักครอบครัวมาก ชอบอยู่กับบ้านและทำกิจกรรมที่บ้านมากกว่าให้ออกนอกบ้าน เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้ชาวกรกฎรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น มีความสุขที่สุด ดูจากภายนอกออกจะแข็งกร้าว ปากแข็งแต่จริง ๆ ภายในอ่อนปวกเปียกมาก ลองดูจากสัญลักษณ์ที่คนโบราณเปรียบเทียบไว้เป็นปูไง มีกระดอง แต่ข้างในนิ่มเชียว มีความอดทนต่อความยากลำบาก ชอบใส่ใจความรู้สึกคนอื่น ไม่ว่าเป็นหญิงหรือชายมักมีความเป็นแม่อยู่ในตัว มีสัญชาตญาณในการให้ ห่วงใยเอื้ออาทร ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน เอาอกเอาใจ (เฉพาะ) คนที่ตัวรัก เก็บรายละเอียดได้ดีไม่ว่าจะเรื่องอะไร โดยเฉพาะเรื่องเก่า ๆ หรือพวกรักฝังใจ ไม่ยอมลืม
แต่เจ้าอารมณ์ชะมัดเลยล่ะ จู้จี้จขี้บ่น เจ้าระเบียบ ต้องปล่อยให้บ่นไป เดี๋ยวเหนื่อยก็หยุดไปเองแหละ ต้องระวังเรื่องเครียด เพราะเป็นคนวิตกจริตคิดมาก รักใครแล้วไม่ค่อยปล่อยง่าย ๆ แถมขี้หึงถึงตายเลยล่ะ (ปูหนีบ)

คนเดือนสิงหาคม
คนที่เกิดในเดือนนี้เหมือนจ้าวป่าจึงมักจะเริ่ดเชิดหยิ่งไว้ก่อนเดินยังเอาหน้าไปก่อนเลย ไม่ค่อยยอมก้มหัวให้ใครง่าย ๆ ไม่ง้อใครถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ชอบที่จะเป็นหัวหน้า เป็นผู้นำมากกว่าคล้อยตาม ชอบความเป็นอิสระทั้งด้านงานและการใช้ชีวิต
ไม่ชอบขึ้นอยู่กับใคร เชื่อมั่นในตัวเองมาก ใจใหญ่ถึงไหนถึงกัน เล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ ทำ รักเกียรติยศชื่อเสียง เสียอะไรไม่ว่า เสียหน้าข้าไม่ยอม ใจร้อนหงุดหงิด ขี้โมโห จริงจังกับชีวิตมากจนกลายเป็นพวกบ้าอำนาจ หรือจอมเผด็จการ ฉลาดหลักแหลม เจ้าปัญญา เจ้าความคิด คิดโน่นนี่ได้ตลอดเวลา แต่บางทีก็ไม่ยอมทำเอง ชอบใช้คนอื่นทำแทน จึงควรเป็นที่ปรึกษานั่นแหล่ะดี เพราะเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อใจหรือไว้ใจใครเลย และไม่ค่อยชอบพึ่งใครด้วย รักเฉพาะพวกพ้องพี่น้องและครอบครัวของตัวเอง สามารถเสียสละให้ได้ทุกอย่าง เป็นคนที่อยากให้ทุกคนมารัก อยากให้ทุกคนยอมหรือยกย่องตัวเอง อย่าไปขัดใจหรือโต้แย้ง
ปกติใครอยู่ด้วยจะน่ารักมาก เพราะจริง ๆ เป็นคนที่ขี้สงสารและชอบให้อภัย หรือให้โดยไม่ค่อยหวังผลตอบแทน เพียงแต่ไม่ชอบที่จะแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นเท่านั้นเอง เป็นคนที่หาเงินเก่งและก็ใช้จ่ายเก่งด้วย ถ้าพอใจอยากได้อะไรต้องได้จะจ่ายไม่อั้น ยังไงก็ต้องรักษาหน้าไว้ก่อน จะหาคู่ครองต้องเป็นคนใจเย็นเป็นผู้ใหญ่กว่า มีปัญญาที่เหนือกว่าจึงจะอยู่กันได้ หรือไม่ก็อยู่ใต้เท้าคุณสิงหาคมแกไปเลยหมดเรื่อง

คนเดือนกันยายน
นับว่าเป็นคนที่เฉลียวฉลาด คล่องแคล่วว่องไว มีเสน่ห์ ไม่ว่าเป็นชาย หรือ หญิงมักมีแต่เรื่องหยุมหยิม มีข้อสงสัย หรือ วิเคราะห์ ทุกอย่างจนเกินเหตุ เป็นคนที่เข้าใจยากอยู่สักหน่อย เพราะชอบเอาแต่ใจทำอะไรตามอารมณ์เหมือนผีเข้า ผีออก ไม่แน่นอน คนอื่นอาจจะงง ๆ เหมือนจะประสาทหลอน แต่จริง ๆ แล้วเพราะเป็นคนที่ละเอียดลออ เอามาก ๆ ชอบสังเกต พิถีพิถันออกแนวหัวโบราณ วิตกจริตคิดมากเท่านั้นเอง ช่างคิดช่างฝันช่างจินตนาการ มินิสัยชอบเปลี่ยนแปลงหรือพยายามทำสิ่งต่าง ๆ ที่คนอื่นเขาทำทิ้งไว้ ค้างไว้ ให้เสร็จสมบูรณ์ตามแบบฉบับของตัวเอง พูดง่าย ๆ ก็คือชอบ จู้จี้จุกจิก เจ้าระเบียบ ชอบจับผิดคนเก่งมาก แต่ก็เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีนะ ถึงจะชอบจับผิดก็เถอะ แล้วชอบที่จะช่วยเหลือชาวบ้าน หรือดันไปแบกรับภาระคนอื่นมา จะดูเหมือนเรื่องมาก และเลือกมากไปเสียทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวต้องดูดีก่อนออกจากบ้านหรืออาหารการกินต้องสะอาด โดยเฉพาะเรื่องความรักมักจะใช้เวลาเลือกค่อนข้างนาน แต่ถ้าได้รักแล้วมักจะรักนานเลยเช่นกัน
เป็นคนที่ขยันทำมาหากินมาก บางครั้งประหยัดจนดูเหมือนขี้เหนียว ช่างพูดช่างเจรจา พูดเก่งและแก้ตัวเก่งอย่างมีเหตุผลเสียด้วยซิ ผิดกับการบอกรักกลับเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ปากแข็งมาก ถ้าคิดจะเอ่ยปากบอกรักใครสักคน เวลารักใครชอบรักจนหมดหัวใจ จึงมักโดนคนที่ตนรักหลอกหรือเอาเปรียบอยู่เสมอ

คนเดือนตุลาคม
คนเดือนนี้เป็นคนสุภาพอ่อนโยน นุ่มนวล สะอาดน่ารัก เป็นนักการทูต มีพรสวรรค์ในการเจรจา (กะล่อน) แต่ประนีประนอม หรือ โน้มน้าวจิตใจคนได้ดี เป็นคนค่อนข้างตรงและเอาจริงเอาจัง คิดยังไงก็พูดออกมาอย่างนั้น สามารที่จะโอนอ่อนผ่อนตาม คล้อยตามมากกว่าขัดใจ ใครว่าอะไรก็ว่าด้วย
เป็นคนที่มีเสน่ห์ อยู่ในตัวเอง ถ้าไม่หน้าตาดี บุคลิกก็ต้องดูดีมีราศี สามารถดึงดูดคนให้เข้ามาหาได้อย่างง่ายดาย ในบางคนก็รักสวย รักงานศิลปะ ชอบเข้าสังคมทำอะไรเพื่อสังคม ชอบความสนุกสนานร่าเริง ฟุ้งเฟ้อ ชอบความหรูหรา เป็นคนที่ถ้ารู้จักใคร ถูกชะตาจะรักมาก รักเร็วและทุ่มเทซะเกินเหตุ แต่ถ้านึกอยากจะเลิกก็เลิกเลยแบบไม่มีเหตุผลเช่นกัน เรียกได้ว่ารักง่าย หน่ายเร็ว เป็นคนที่รักพวกพ้องเพื่อนฝูงเอามาก ๆ ใครไม่เป็นพวกข้า ไม่ดีด้วย
จนในบางครั้งดูเหมือนดื้อและก้าวร้าวมาก อารมณ์บางครั้งก็ขึ้น ๆ ลง ๆ จะตัดสินใจทำอะไรได้แต่ละอย่างคิดอยู่นั้นแหล่ะ (ลังเล) ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเอง มักต้องรอจังหวะ เหมือนตาชั่ง (สัญลักษณ์) กว่าตาชั่งที่เอียงไปเอียงมาจะตรงหรือสมดุลกันได้ก็เล่นเอานานเหมือนกัน ขยันทำงานฉลาดในการทำธุรกิจ มีความสุขุมรอบคอบและเยือกเย็นได้ แต่สิ่งที่ควรระวังก็คือมักเชื่อคนง่าย จึงมักมีสิทธิ์โดนหลอกใช้ได้เหมือนกัน

คนเดือนพฤศจิกายน
คนเดือนนี้เป็นคนที่ดูแล้วค่อนข้างจะลึกลับ ถ้าไม่สนิทกันจริงไม่ค่อยเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟัง ค่อนข้างไม่ค่อยไว้ใจใครง่าย ๆ มีความระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่ง เก็บความลับเก่ง ชอบทำตัวลึกลับ มีความในใจซ่อนเร้น มีความสงสัยอยู่ตลอดเวลา มีความทิฐิมานะ วางท่า ไว้ตัว ทำตัวเหมือนหยิ่ง อดทน อดกลั้น แต่ถ้ามีอารมณ์โกรธฉุนเฉียวขึ้นมาล่ะก็ กล้าเผชิญกับทุกสิ่ง จะหน้าไหนหรือใหญ่แค่ไหนก็ไม่ค่อยกลัว
ช่างประชดประชัน เหน็บแนมเก่งมาก คำพูดคำจาบางทีชอบพูดแรง ๆ ตรงเกินกว่าที่ค
นรอบข้างจะรับได้ แต่ก็พูดออกมาจากใจจริงของตัวเองนะ เป็นคนขี้งอนใจน้อย อารมณ์แปรปรวน เอาแต่ใจเจ้าอารมณ์ ไม่ค่อยสนใจใส่ใจใคร ดูเหมือนดุร้าย ไม่น่าเข้าใกล้ จนบางครั้งคนรอบข้างจะคิดว่าเป็นบ้า แต่แท้ที่จริงแล้ว ทำไปเพื่อจะป้องกันหรือปิดบังอะไรบางอย่าง ที่เป็นปมด้อยในตัวเองที่ไม่อยากให้ใครรู้ เป็นคนฉลาดเจ้าความคิดจะตายไป ชอบพลิกแพลงเอาชนะด้วยมันสมอง ไม่ค่อยชอบใช้กำลังสักเท่าไร มักมีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงในการทำธุรกิจ

ด้านความรักก็มักแต่งงานช้า หรือหาคนถูกใจยากสักหน่อย เพราะมัวแต่ขี้ระแวงอยู่นั่นแหล่ะ และไม่ค่อยชอบให้ใครมาจู้จี้มากนัก มีโลกส่วนตัวสูง แต่ก็เข้าได้กับทุกคนนะ เพียงแต่คนอื่นอ่านไม่ค่อยออก ก็เท่านั้นเอง

คนเดือนธันวาคม
ด้วยความชอบผจญภัยให้อยากอยู่บ้านแทบตาย ยังไงก็ต้องมีเหตุอันให้ต้องออกจากบ้านจนได้ ในชีวิตมักต้องไปได้ดีเอาไกลบ้าน ไกลเมือง ไกลถิ่นฐานที่เกิด หรือได้คนรักในแดนไกลแล้วชีวิตจะดีกว่า เป็นคนที่มักโชคดีเรื่องการเงิน เป็นคนอารมณ์ดี ขี้เล่นชอบพูด ชอบเล่าอะไรสนุกสนาน จนในบางครั้งเกินความเป็นจริงไปซะไกลเลยเชียว ชอบที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากที่ตัวเองรู้ ชอบพัฒนาชอบสำรวจ สามารถให้คำปรึกษากับคนรอบข้างได้ดี เพราะเป็นผู้รอบรู้และเป็นนักวางแผนที่ดีได้ เป็นคนที่ฉลาดและรอบคอบ คิดสร้างสรรค์อะไรมักจะไปเจริญหรือเป็นจริงได้ในอนาคต คือมีความคิดที่ก้าวไกลกว่าคนอื่น ๆ เหมือนหยั่งรู้อนาคตได้ยังงั้นแหล่ะ สามารถแก้ไขปัญหาได้ดี มีรสนิยมดีตรงไปตรงมาและ จริงใจ ชอบการเดินทาง เปิดหูเปิดตา ชอบกีฬา เรียกว่าอยู่นิ่ง ๆ ไม่ค่อยเป็น และชอบที่จะเป็นอิสระมากว่ามีเจ้านายคอยควบคุม อยากจะแสดงความสามารถที่มีอยู่ให้ใคร ๆ เห็นมากกว่า ชอบแหกกฎ อาจเป็นได้ว่าความถือดีว่าตัวเองมีปัญญาฉลาดกว่าคนอื่น เป็นคนที่โกรธง่ายหายเร็ว แต่อย่าย้ำซ้ำเติมความผิด ของเขานะ จะไม่ค่อยยอมรับผิดหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ด้วยเลยล่ะ ทำให้เราเสียอารมณ์เปล่า ๆ ด้านความรักเป็นคนที่ไม่

Lucky
09-09-2009, 02:04 PM
ตายอย่างเงียบ ๆ


เติบโตมาก็หลายฤดูฝน ถามเด็กก็ต่างอยากโตหนูจะโตโต๊โต ถามผู้ใหญ่ ยิ่งอายุมากยิ่งใจหาย เหลียวมองข้างหลัง เวลาช่างผ่านไปนานยิ่งนัก เส้นแห่งความชราพาดผ่านใบหน้าทีละเส้น ๆ อย่างช้า ๆ สัญลักษณ์แห่งความตายปรากฎทุกขณะ ทุกนาที พวกเราเห็นแล้วอาจจะเฉยมาก แต่สำหรับพระพุทธองค์ เพียงแค่สัมผสเทวฑูต 4 ถึงกับตัดใจออกเนกขัมมะ ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ เบื้องหลัง จิตท่านแววไว แต่จิตปุถุชนช่างด้านชา ! รู้น้อยต้องเจียมตัว มีชีวิตเหมือนต้นข้าว ที่ต้องคอยค่อมหัวยามเมื่อลมพัดผ่าน เคยสั่งสอนคนมามาก ทำตัวเป็นตำรวจประจำบ้าน ประจำที่ทำงาน เที่ยวสอน เที่ยวทักท้วงเค้าไปเรื่อย ทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์กฎ อะไรผิดนิดหน่อยก็ไม่ได้ ไม่ยอม ต้องอย่างนี้ ๆ ๆ ๆ นี่ แหละหนารู้บ้างไหม คนน่าเบื่อ เหมือนชอบเอาเสื้อคับไปจัดการใส่ให้คนนั้นคนนี้ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก คนเรามีอัตตามานะ หลงตัว เคยเที่ยวสั่งเที่ยวสอน ลดละมาหน่อยดีมั้ย? หันมาจับผิดตัวเองให้มากกว่าเก่า เหล่ตามองคนอื่นให้น้อยลง

ความรู้สึกมีตัวเรา มีตัวกู ของกู พลอยทำให้เกิดความยึดถือ เกิดความยึดมั่น เกิดอัตตาตัวตน เป็นอึ่งอ่างที่พองลม เบ่งคับเต็มกะลา!

"ใหญ่แค่นี้พอมั้ย ?" คุณแม่อึ่งอ่างถามลูก ๆ

แต่ชีวิตจริงของคนเราก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน คบหากัน ต่างก็เบ่งพองลม ใส่กันและกัน ฉันก็แน่ ฉันก็ไม่กระจอกนะพรรคพวก เครื่องประดับ เครื่องแต่งตัว เสื้อผ้าหน้าแพร รถยนต์ เครื่องประทินโฉม เฟอร์นิเจอร์สารพัน ล้วนเป็นร่างกายของ "อึ่งอ่างปุถุชน" มีให้ครบ มีให้มาก เมื่ออึ่งอ่างออกสังคมจะได้สบายใจ จะได้มั่นใจ! ชีวิตบนโลกธรรม ข่มเหง เอาชนะกันด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ จึงมิใช่ของง่ายที่จะรู้เท่าทัน รู้แล้วไม่ปฏิบัติ รู้แล้วไม่ฝึกฝน ก็ยิ่งหมดทางเอาชนะ ท่ามกลางกระแสโลกีย์เชี่ยวกราด ต่างมอมเมาซึ่งกันและกัน

"เราต้องมี เราต้องเป็น เราต้องได้"

ค่านิยมเหล่านี้ประดุจกาฝากที่งอกบนต้นไม้ วันแล้ววันเล่าจนหยั่งลากลึก เกาะแน่นบนต้นแม่ พานจะกัดกร่อนต้นแม่ให้เหน็ดเหนื่อยหมดแรง ต้นไม้ต้นนั้น ณ วันนี้ มันรู้สึกขาดไม่ได้ ชีวิตของฉันจะต้องมีกาฝากยิ่งมากต้นยิ่งทำให้ฉันเชื่อมั่น มีศักดิ์ศรี มีคุณค่า มีความสุข !

นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ คนเรายากจะเห็น "ตัวตน" ที่ไม่ใช่ "ตัวตน" แท้ ๆ

ชีวิตที่ต้องเบ่ง ย่อมเหน็ดเหนื่อย
ชีวิตควรเรียบง่าย มีความเป็นอยู่อย่างสมถะ
ขยันขันแข็ง มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ
พร้อมจะช่วยผู้อื่น ยามที่เขาเดือดร้อน

"ตายอย่างเงียบ ๆ " เป็นความปรารถนาที่ไม่อยากรบกวนผู้ใด ไม่ขอเป็นภาระผู้อื่น ไม่รบกวนผู้อื่นให้ยุ่งยาก ก็แน่นอนคงมีคนเห็นคุณค่า คงมีคนเห็นน้ำใจเรา แต่ไม่จำเป็นต้องมากก็ได้ จะได้ไม่เสียเวลา

"ตายอย่างเงียบ ๆ " เป็นความรู้สึกของหัวใจ สอนใจบ่อย ๆ ให้คิดเล็ก ๆ ไว้บ้าง

"คนเราเพราะหลงใหญ่ ตัวเองจึงเดือดร้อน ผู้อื่นก็วุ่นวาย"

บางคนแค่เห็นคนมากมายในงานศพของเพื่อน ก็เกิดความปรารถนา ถ้าเราตาย เราอยากให้คนมางานศพเยอะ ๆ เพื่อเราจะได้ภาคภูมิใจ... เหตุการณ์รอบตัว ล้วนอบรมสั่งสอนพวกเรา

! ชีวิตควรเจียมตัว ชีวิตควรเรียบง่าย ไม่จำเป็นอย่าไปรบกวนใคร อย่าเบิกน้ำใจใครมาใช้ฟุ่มเฟือย !

อย่าเลย แม้แต่ใครจะร้องไห้ ก็อย่าได้เสียน้ำตาเพราะเรา คิดเพียงนี้ หัวใจบางคนอาจร่ำร้องไม่ยอมเด็ดขาด ! ขอตายอย่างยิ่งใหญ่ มีเกียรติยศพรั่งพร้อม !

"ตายอย่างเงียบ ๆ " ถ้อยคำสิริมงคลนี้ คือเครื่องมือกำหราบความอหังการของชีวิตในหลาย ๆ ตัว คงพอทำให้หายยโสได้

นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา

ชีวิตคือ การหัดกระทำ คิดดี พูดดี ทำดี ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ เอาอะไรนักหนากับชีวิต เลิกแบ่งชั้นได้แล้ว ทุกขณะลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เตือนตนเสมอ ๆ ว่า "เราจะต้องตายอย่างเงียบ ไ ไม่ต้องให้ใครมาวุ่นวาย มาโศกเศร้ารำพันกับฉัน

! คิดให้เป็นตอนตายจริง ๆ จะได้ "สอบผ่าน" !!!!

piangfan
09-09-2009, 09:11 PM
สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือ ชื่อ
&#39; ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ &#39; เช่น

1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง

2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว

3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด

4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี

5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง

6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า (ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง

7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป

8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี (ไม้เมืองหนาว) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้

9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้

10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้

11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี



สวัสดีค่ะ พี่นพ ทั่นยาย พี่รักกี้ ลุงเปา พี่เกิดแก่
ลุงบีบี พี่โดด พี่อ๋อย พี่ปลายฟ้า ครูวิทย์ พี่พญามาร
พี่ปิศาจ คุณเล็ก คุณแพะอ้วนและญาติธรรมทุกท่านค่ะ

หน้านี้ยาวเป็นกิโลแล้วหนอ?
กว่าจะเดินมาถึงปลายทางขอนั่งหอบก่อนค่ะ เอิ๊กๆๆๆ

ขอบคุณทุกๆท่านค่ะ

ปรากฎข้อผิดพลาดตังต่อไปนี้ขณะส่งข้อความนี้: ข้อความมีตัวอักษรมากเกิน ตัวอักษรที่อนุญาตสูงสุด (20000 ตัวอักษร)

piangfan
09-09-2009, 09:21 PM
12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย

13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง
โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว &#39; คลอเลสเตอรอล &#39; ได้ ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้ พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นภูมิปัญ ญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของ เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้า และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้ ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป.

14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี

15. มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน

16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้

17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก

18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี &#39;โมโรอันแซตเทอเรต&#39;

19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี

20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร


4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัส สาว ะ
< /FONT>
8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือการเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร


13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ ****ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใ ช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคือ อาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย

15. มะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma)คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ด ทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ

ทั่นยาย
09-12-2009, 09:19 AM
ท่าบำรุงอวัยวะภายใน‏

ท่าที่ 1 บริหารลำไส้ใหญ่แก้ท้องผูก
คว่ำมือใช้แนวนิ้วชี้ถึงนิ้วโป้ง โค้งเป็นรูปตัว C ทั้งสองข้าง กระทบกันเบาๆ 36 ครั้ง

http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249612-ATT00001.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249613-ATT00002.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249615-ATT00003.jpe

ท่าที่ 2 บริหารลำไส้เล็ก
หงายมือให้แนวนิ้วก้อยถึงสันมือกระทบกันเบา ๆ 36 ครั้ง

http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249616-ATT00004.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249617-ATT00005.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249619-ATT00006.jpe

ท่าที่ 3 บริหารเหยื่อหุ้มหัวใจ
ตั้งมือทั้งสองข้างขึ้น หงายมืออกเป็นรูปดอกบัวแล้วใช้อุ้งมือตีกันนับ 36 ครั้ง

http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249620-ATT00009.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249621-ATT00008.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249620-ATT00009.jpe

ท่าที่ 4 สร้างภูมิต้านทานโรค
กางนิ้วมือทั้งสองข้างออกแล้วสอดเข้าหกันให้มีเสียดังฉับ
บีบนิ้วมือทั้งสองข้างเล็กน้อยแล้วดึงออก ทำ 36 ครั้ง

http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249623-ATT00010.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249624-ATT00011.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249626-ATT00012.jpe

ท่าที่ 5 บริหารปอดซ้ายขวา
กางมือซ้ายออกไม่ต้องเกร็ง แล้วใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือขวาหนีบแล้ว
ดึงตรงกลาง
ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือของมือซ้าย นับ 36 ครั้ง และสลับข้างทำอีก 36 ครั้ง

http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249629-ATT00013.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249630-ATT00014.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249632-ATT00015.jpe

ท่าที่ 6 บริหารกล้ามเนื้อหัวใจ
ให้กำมือขวาและกางมือซ้ายออก จากนั้นให้เอาสันหมัดต่อยอุ้งมือซ้าย
ไม่ให้มีเสียง นับ 36 ครั้ง และ สลับข้างทำ นับ 36 ครั้งเช่นเดียวกัน

http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249634-ATT00016.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249636-ATT00017.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249639-ATT00018.jpe

ท่าที่ 7 การบริหารไตขวาและไตซ้าย
ให้หงายมือขวาขึ้น มือซ้ายคว่ำลง ใช้หลังมือขวาตีบนหลังมือซ้าย ทำ 36 ครั้ง
และสลับข้างทำนับ 36 ครั้งเช่นเดียวกัน

http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249641-ATT00019.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249642-ATT00020.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249644-ATT00021.jpe

ท่าที่ 8 กระตุ้นเส้นลมปราณ (เปิดจุดรับพลังซ้าย-ขวา)
ให้กางมือซ้ายออก จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือขวาหมุนตามเข็มนาฬิการอบจุดเล่ากง
คือบริเวณเหนือกลางฝ่ามือขึ้นไป ค่อนไปทางนิ้วโป้ง นับ 36 รอบ และสลั้บข้างทำ
นับ 36 รอบเช่นเดียวกัน

http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249645-ATT00022.jpe http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/11/1252662769568/image/__fwdDer.com__-165249646-ATT00023.jpe

ขอให้ญาติธรรมทุกท่านมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยใดๆมาแผ้วพาลตลอดไปนะคะ

ทั่นยายหน่ะร่างกายแข็งเป็นหย่อมๆ แต่หัวใจอ่อนแอคะนองกระจายไปทั่วพื้นที่ค่ะ อิ อิ


ขอขอบคุณ Fw เมล์จากกัลยาณมิตรที่แสนดีค่ะ

piangfan
09-12-2009, 12:08 PM
ทั่นยายขา !! เด๋วเพียงฝันจะนำมาปฎิบัติการค่ะ
เพื่อสุขภาพตนเองค่ะ ทัมแล้วคงแข็งแรงทนทานเน๊าะ อิอิ
ขอบคุณค่ะ

สาธุค่ะ ทั่นยาย พี่นพ พี่รักกี้
และญาติธรรมทุกท่านค่ะ

paobunjin
09-12-2009, 11:48 PM
เมื่อต้นเดือน ผมได้ไปในงานมงคลสมรสระหว่าง
น.ส.วรรณพร อุดมชาติ กับ นายสหทัช ถาวรนาน
ที่สโมสรทหารบก
ในงานมีแขกผู้ใหญ่ขึ้นไปกล่าวอวยพรคู่บ่าวสาวตามพิธีการแต่งงานที่ถือปฏิบัติกันมานาน
มีพ่อของเจ้าสาวคือ
พลตรีสิทธิพร อุดมชาติ ขึ้นไปกล่าวขอบคุณแขกและอวยพรคู่บ่าวสาวด้วย
พ่อของเจ้าสาว ไม่ได้อวยพรแบบธรรมดาทั่วไป แต่ได้ขึ้นไปขับเสภา
บนเวทีอย่างไพเราะ และ จับใจ ชนิดว่า แขกผู้มาร่วมงานต้องหยุดกินอาหารอย่างลืมตัว
เพื่อฟังเสภาอย่างเดียว การขับเสภาของพ่อเจ้าสาวนั้น
เป็นการอวยพรแบบสอนแนะนำลูกสาวในการครองใจสามีให้อยู่หมัด
พร้อมกับฝากฝังลูกเขยไปในตัวด้วย และต่อไปนี้คือบทเสภาที่ว่า

อันบ้านเรือนใหญ่โต รโหฐาน
มีเสาทาน หลายต้น พอทนไหว
เกิดเป็นคน อยู่เดียว ก็เปลี่ยวใจ
ต้องแต่งงาน กันไว้ อาศัยกัน

ธรรมชาติ ของชีวิต พ่อคิดแล้ว
ว่าลูกแก้ว คงต้องพราก จากอกฉัน
ได้ออกเรือน มีคู่ครอง ฉลองวัน
มีงานหมั้น วิวาห์ตาม ประเพณี

เป็นเมียเขา พ่อขอสั่ง ไว้เจ็ดอย่า
หนึ่งเป็นกงสุล ออกวีซ่า เขาจะหนี
กำหนดเวลา ไปและกลับ ให้สามี
มันไม่ดี อย่าไปทำ จะช้ำใจ

อย่าที่สอง คิดเป็นนัก โบราณคดี
ผัวเรานี้ แอบซ่อนเงิน ไว้ที่ไหน
เที่ยวรื้อค้น ดูโน่นนี่ จะบรรลัย
ลามปามไป แฟ้มงานผัว ตัวจะตรม

อย่าที่สาม อย่าเป็นกรม สรรพากร
เงินทุกบาท มีขั้นตอน น่าขื่นขม
คอยจัดแจง เรื่องการเงิน แถมอบรม
เมียคนไทย มักนิยม คิดว่างาม

อย่าที่สี่ คิดเป็นผู้ พิพากษา
ตัดสินโทษ ลงอาญา โดยไม่ถาม
ชีวิตคู่ ยากตัดสิน อย่าวู่วาม
คิดก่อนทำ สองประสาน บ้านมั่นคง

อย่าที่ห้า ยื่นคำขาด กับสามี
ทำแบบนี้ รังแต่จะ เป็นผุยผง
ความรุนแรง เหตุบานปลาย จะเพิ่มวง
นวลอนงค์ ลูกของพ่อ อย่าพึงทำ

อย่าที่หก คิดว่าเป็น ดาราดัง
เอาใจยาก ไม่ค่อยฟัง ช่างน่าขำ
มีเรื่องมาก ให้ผัวทุกข์ ควรจดจำ
ชีวิตคู่ ลูกอย่าทำ เป็นดารา

อย่าสุดท้าย คิดเป็นหญิง เพียงคนเดียว
ตลอดเสี้ยว ชีวิตของ คุณพี่ขา
ต้องมีน้อง คนเดียว นะพี่ยา
รักเท่านั้น มีคุณค่า มามัดใจ


โปรดอ่านต่อ....เพราะยาวเกินกำหนด อิอิ

paobunjin
09-12-2009, 11:58 PM
มาแล้ว........ โปรดติดตามตอนต่อไป
หันมาบอก ลูกเขย ว่าพ่อขอ
ถ้าถามพ่อ ได้ลูกเขย ถูกใจไหม
วันมาขอ พ่อแม่มา พ่อถูกใจ
ยกลูกให้ เอ็งเอาไป ไม่รับคืน
พร้อมกับฝาก ลูกสาว ให้ช่วยสอน
ยามเธองอน ช่วยฝึกหัด ค่อยขัดขืน
พาครอบครัว ถาวรนาน ให้ยั่งยืน
ความชื่นมื่น ผูกสมัคร รักนิรันดร์..


ที่ผมอุตส่าห์ขอต้นฉบับจากพ่อเจ้าสาวมาลงพิมพ์ตรงนี้ก็เพื่อให้ผู้หญิงที่เพิ่งแต่งงานได้อ่าน
หรือที่แต่งงานไปนานแล้วก็ควรอ่าน เพราะถ้าเมียทำได้ตามบทเสภาที่ว่านี้
รับรองว่า ถูกใจผู้เป็นสามีทุกคน จะทำให้ครองคู่กันยาวนาน
ผมเขียนคอลัมน์อาทิตย์นี้สบาย
เพราะแทบไม่ได้เขียนอะไรเลย.

ไมตรี ลิมปิชาติ
ขอบคุณ FW; จากเพื่อน ที่นำข้อเขียนดีๆของคุณไมตรี ลิมปิชาติมาฝาก

paobunjin
09-14-2009, 02:18 AM
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้แก๊งค์หลอกลวงผ่านโทรศัพท์ได้เปลี่ยนรูปแบบใหม่
จากเดิมที่อ้างว่าเป็นผู้โชคดีถูกรางวัล หรือได้รับคืนภาษีเงินได้
ล่าสุดได้เปลี่ยนมาอ้างว่า มีหมายศาล ถูกฟ้องคดีอาญา
เพื่อหลอกให้เหยื่อตกใจให้ข้อมูลเลขบัตรประชาชนหรือโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มให้

หนึ่งในผู้ตกเป็นเหยื่อของกระบวนการนี้ กล่าวว่า มิจฉาชีพโทรเข้าโทรศัพท์มือถือของตน
โดยไม่แสดงเลขหมาย เมื่อรับสายได้มี ระบบอัตโนมัติ แจ้งว่า
"ขณะนี้ท่านมีหมายศาล ถูกฟ้องในคดีอาญา หากต้องการทราบรายละเอียด กด 1"
ทำให้ตกใจมาก จึงรีบกด 1 เพื่อขอทราบรายละเอียดทันที

หลังจากนั้นจะมีผู้รับสายแจ้งว่า "ศาลอาญา สวัสดีคะ ติดต่อเรื่องอะไรค่ะ"
ผู้เสียหายจึงได้แจ้งว่าขอทราบรายละเอียดที่ตนถูกหมายศาล ปลายสายจึงได้แจ้งว่า
ขอเลขบัตรประชาชนเพื่อตรวจสอบข้อมูล ด้วยความตกใจจึงรีบหาบัตรประชาชน
เพื่อเตรียมบอกเลขบัตร 13 หลัก แต่บังเอิญแบตมือถือของตนหมดเสียก่อน

" ด้วยความตกใจกลัวมาก เลยรีบโทรกลับไปศาลอาญา กรุงเทพฯ
ปรากฏว่า ประชาสัมพันธ์ของศาลแจ้งให้ทราบว่า ตนเองถูกหลอกแล้ว
ศาลอาญาไม่เคยโทรศัพท์ไปหาประชาชนในกรณีแบบนี้

ตอนนี้มิจฉาชีพเริ่มใช้กลอุบายนี้หลอกลวงประชาชนเพื่อขอเลขบัตรประชาชน

และหลอกให้โอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มมากขึ้น หลังจากคนเริ่มรู้ทันกลลวง
เรื่องเป็นผู้โชคดีถูกรางวัล หรือได้รับภาษีคืน"

ดังนั้นหากผู้ใดได้รับโทรศัพท์ในลักษณะดังกล่าว ประชาสัมพันธ์ศาลอาญาแจ้งว่า
อย่าให้ข้อมูลเลขบัตรประชาชน หรือไปที่ตู้เอทีเอ็มตามที่แก๊งค์มิจฉาชีพแจ้งมาเด็ดขาด

หากมีข้อสงสัยให้ติดต่อไปที่ศาลอาญา โทรศัพท์
02-541-2284 ถึง 90
ขอบคุณ FW; เมล์จากเพื่อนที่ส่งสาระดีๆอย่างนี้มาเตือนกัน นะครับ

piangfan
09-15-2009, 08:57 PM
สาธุค่ะ ทั่นยาย พี่นพ ลุงเปา

plyfha
09-15-2009, 10:33 PM
ใจ 5 ประการที่ควรเลี่ยง




ประเภทที่ 1 ใจเบา หมายถึง คนที่เชื่อใครง่ายๆ เรามักพูดถึงคนประเภทนี้ว่า พวกหูเบา ได้ยินมาไม่เคยได้คิดไตร่ตรองว่าควรเชื่อหรือไม่ หรือต้องตรวจสอบก่อนหรือเปล่า ถ้าเราเป็นคนเช่นนี้ คงเล่นกับข่าวทั้งวัน คำครหานินทานี่แหละชอบนัก สุดท้ายอาจตกเป็นเครื่องมือของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ดีไม่ดีต้องเสียเพื่อนเสียลูกน้อง ที่หนักกว่า ก็คือ อาจต้องเสียคนรัก เพราะความหูเบาของเรานี่แหละ



ประเภทที่ 2 ใจรั้น ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเชื่อมั่นตนเองเกินไป จนไม่ฟังความเห็น ข้อแนะนำหรือข้อท้วงติงจากผู้อื่น พวกคนดื้อรั้นอาจสูญเสียโอกาสดีๆ งามๆ ไป เพราะคิดว่าตัวเองถูกเสมอ หรือบางครั้งก็ห่ามเกินไป ไม่ดูจังหวะจะโคน สร้างความเสียหายได้เช่นกัน

ประเภทที่ 3 ใจชอบยึดติด คนแบบนี้จะกลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าคิดทำสิ่งใหม่ๆ หรือพูดง่ายๆ พวกติดกรอบ ไม่กล้าคิดนอกกรอบกลายเป็นกบในกะลา ถ้าเราเป็นพวกแบบนี้คงหาความก้าวหน้าในชีวิตยาก เพราะจัดอยู่ในพวกหญิงโบ(ราณ) เป็นแน่แท้

ประเภทที่ 4 ใจผูกพยาบาทจองเวร พวกนี้คิดอยู่เสมอว่า แค้นต้องชำระ เพราะฉะนั้นถ้าใครทำให้โกรธหรือเจ็บแค้น จะจดจารึกไว้ในสมองอย่างดี และคอยหาจังหวะล้างแค้นกลับ เพราะฉะนั้น ใจจึงมีแต่ทุกข์ ในทรวงมีแต่ไฟ หามีสุขไม่



ประเภทที่ 5 ใจบาป คิดแต่จะเอาเปรียบและมุ่งร้ายต่อผู้อื่น ขอเพียงแต่ทำแล้วตนได้ดีเป็นใช้ได้ ใครเดือดร้อนฉันไม่สน ไม่คิดถึงใจเขาใจเราเอาแต่ใจตนเอง พร้อมที่จะใช้คนอื่นเป็นสะพานข้ามไปสู่ความสำเร็จ เหยียบได้เหยียบ ข้ามได้ข้าม

ขอบคุณข้อความจาก FW Mail ค่ะ

paobunjin
09-16-2009, 05:20 AM
ขอบใจปลายฟ้า ที่เอา “ คติเตือนใจ ”

อย่างง่ายๆ มาฝาก เพื่อจะได้เอาไว้เตือนใจตนเอง

ในยามที่โมหะเข้าครอบงำ หลง ตกอยู่ในความประมาท จะได้รู้สึกตัว

เอามาฝากบ่อยๆ นะ

noppakorn
09-18-2009, 01:09 PM
แม่กูสอน

เพื่อน ๆ บอกผมว่า
ทำไมมึงดูหน้าตาไม่ค่อยฉลาด แต่เรียนเก่งจังวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้ขยันแล้วก็ตั้งใจเรียน
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมพอมึงมีตังค์ มึงชอบเอาไปทำบุญ แจกเด็ก เลี้ยงพระวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้รู้จักแบ่งปันคนอื่น ถึงเราจะมีตังค์น้อย แต่ก็มีคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเรา
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงชอบเล่นกีฬา เล่นเป็นหลายอย่าง แล้วไม่เคยเห็นมึงป่วยนอนโรงพยาบาลเลยวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้กูออกกำลังกาย จะได้แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ๆ เพราะเรามีตังค์น้อย เจ็บป่วยจะลำบาก
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงอารมณ์ดี ไม่เครียด ไม่โกรธใครบ้างเลยหรือไงวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้เป็นคนอารมณ์ดี ทำให้คนที่อยู่ใกล้เรามีความสุข แล้วจะสบายใจกันทุกคน
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงพูดกับคนอื่น ดูสุภาพ อ่อนน้อม ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลุงแก่ ๆ เป็นเด็กเสริฟอาหาร
หรือแม้แต่ขอทานที่มึงให้เศษตังค์แล้วเขาอวยพรให้มึง ทำไมมึงต้องขอบคุณขอทานวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้พูดดี ๆ กับทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เราพูดดี ๆ กับเขา เขาก็จะได้พูดดี ๆ กับเรา
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมพี่ ๆ น้อง ๆ มึงตั้งหลายคน ทำไมรักใคร่กันดี ไม่เคยทะเลาะกันเลยวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้พี่น้องรักกันทุกคน เพราะหมากับแมวที่อยู่บ้านเดียวกัน มันยังรักกันได้
ทำไมพี่น้องกัน จะรักกันไม่ได้
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงถึงรักชาติ รักแผ่นดิน รักในหลวง มากมายนักวะ
ผมบอกเพื่อนว่า
แม่กูสอน ให้กูสำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน บุญคุณของพระมหากษัติรย์ ทุกพระองค์
แม่กูสอน ให้กูรู้จักคำว่า จงรักภักดี ตั้งแต่กูยังไม่รู้ความหมาย จนทุกวันนี้ กูรู้แล้วว่า
คำว่า จงรักภักดี นั้น ยิ่งใหญ่เพียงใด
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมแม่มึงถึงสอนอะไรมึงมากมายจังเลยวะ
ผมบอกเพื่อนว่า
ที่กูเป็นกูอยู่จนทุกวันนี้ ก็เพราะ &#39; แม่กูสอน &#39;

แม่กูสอนอะไร กูทำตามแม่กูสอนทุกอย่าง
มีอย่างเดียวที่แม่กูไม่ได้สอน แต่กูทำ แล้วกูทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว
แม่กูไม่ได้สอนให้รักแม่ แต่......กูรักแม่ว่ะ

ใครไม่รัก..................กูรัก

paobunjin
09-18-2009, 10:19 PM
http://i271.photobucket.com/albums/jj142/paobunjin/4c2102b0.jpg
หลวงปู่ทวด

วัดช้างให้ จ.ปัตตานี ท่านเป็นพระมหาเถระที่รู้จักกันทั่วประเทศ ในนาม
" หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด "
คาถาบูชาท่าน คือ นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
ชาติกาล 3 มีนาคม พ.ศ. 2125

ชาติภูมิ บ้านเลียบ ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ จ.สงขลา
บรรพชา เมื่ออายุได้ 15 ปี
อุปสมบท เมื่ออายุ 20 ปี
มรณภาพ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225

สิริรวมอายุได้ 99 ปี


คติธรรมคำสอน ของ หลวงปู่ทวด

ธรรมประจำใจ
พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์

ละได้ย่อมสงบ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ
สันดาน
" ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได้ แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก ชีวิตทุกข์

การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ เมื่อเราจะออกจากบ้านก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย
บรรเทาทุกข์
การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเองและเราจะต้องวินิจฉัย ในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่าส่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ
ยากกว่าการเกิด
ในการที่เราเกิดมา ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย
ไม่สิ้นสุด
แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น

ยึดจึงเดือดร้อน
ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโนน่ ยึดนี่ ยึดพวกยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะ ยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรม สากลจักรวาลโลกมนุษย์นี้ ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก สัตว์โลกทุนคนต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน เกิดการฆ่าฟันกัน เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ

อยู่ให้สบาย
ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์ เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง

ธรรมารมณ์
การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ในการงาน คือรู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆแล้ว ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจ เป็นทุกข์
ยาวมาก อ่านต่อ นะครับ

paobunjin
09-18-2009, 10:33 PM
เชิญพิจารณาต่อ นะครับ

กรรม
ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างที่ว่า เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์ มีความรื่นเริง


มารยาทของผู้เป็นใหญ่
" ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง "
มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ


โลกิยะหรือโลกุตระ
คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้ คนที่เดินทางโลกิยะย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ?
ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ ?
แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน เราต้องตัดสินใจ ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง


ศิษย์แท้
พิจารณากาย ในกาย พิจารณาธรรม ในธรรม พิจารณาวิญญาณ ในวิญญาณ นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
รู้ซึ้ง
ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ
เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา


ใจสำคัญ
การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ จะต้องทำด้วยความศรัทธา ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้น เกินความคาดหมาย


หยุดพิจารณา
คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน และถ้าภาวะนั้นตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือหยุดพิจารณาแล้วค้นสัจจะของ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้



บริจาค
ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอก การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก นี่คือเรื่องของนามธรรม

ทำด้วยใจสงบ
เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเราไปสู่หายนะ เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จงอย่าทำ นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้วปัญญาก็เกิด เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก

มีสติพร้อม
จะทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม คือ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผลมาอยู่เหนือความจริง

เตือนมนุษย์
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีงานทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า

พิจารณาตัวเอง
คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10
นาที ไม่ติดต่อกับใคร ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ
ว่าที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้ มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง

คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของหลวงปู่ทวดขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
ขอบคุณ FW; เมล์ดีๆจากกัลยาณมิตร นะครับ

paobunjin
09-18-2009, 10:45 PM
หลัก(ทำ)ประจำใจ
วันนี้ขอเสนอหลักทำ 2 ข้อ คือ &#39;เอาวะ&#39; กับ &#39;ช่างแม่ง&#39;

ข้อที่ 1 เอาวะ
หลักทำ &#39;เอาวะ&#39; ใช้กับเหตุการณ์ที่จะตัดสินใจทำอะไรซักอย่าง
เมื่อท่านจะคิดจะทำอะไรซักอย่างให้พูดคำว่า &#39;เอาวะ&#39;
หลักทำ &#39;เอาวะ&#39; จะช่วยให้ท่านได้ลงมือทำตามปรารถนา

ข้อที่ 2 ช่างแม่ง
หลักทำ &#39;ช่างแม่ง&#39; ใช้เมื่อเกิดความผิดพลาด หรือผิดหวัง
เมื่อเกิดความผิดพลาดหรือความผิดหวังขึ้นกับตัวท่าน ให้ท่านพูดคำว่า &#39;ช่างแม่ง&#39;
หลักทำ &#39;ช่างแม่ง&#39; จะช่วยสลัดท่านออกจากความเศร้าหมองที่ท่านตอกย้ำตนเอง

ขอบคุณFW; จากกัลยาณมิตร ที่ส่งมาให้อย่างสม่ำเสมอ นะครับ

noppakorn
09-19-2009, 11:36 AM
โมทนาสาธุ ครับลุงเปาฯ

paobunjin
09-23-2009, 04:08 AM
STR.<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" It only takes a minute to read this...
ใช้เวลาอ่านบทความนี้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

A neurologist says that if he can get to a stroke victim within 3 hours he can totally reverse the effects of a stroke...totally. He said the trick was getting a stroke recognized, diagnosed, and then getting the patient medically cared for within 3 hours, which is tough.
แพทย์ด้านประสาทวิทยากล่าวว่า ถ้าแพทย์สามารถไปถึงตัวผู้ป่วยเส้นเลือดสมองอุดตันได้ภายใน 3 ชั่วโมง แพทย์จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้แน่นอน ที่สำคัญก็คือต้องทราบว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคนี้ วินิจฉัยได้ได้ จากนั้นก็ให้การรักษาภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งเรื่องจริงนั้นเป็นไปได้ยากอยู่

RECOGNIZING A STROKE
ต้องรู้ก่อนว่ามันคือเส้นเลือดสมองอุดตัน

Thank God for the sense to remember the &#39;3&#39; steps, STR . Read and Learn!
ขอบคุณพระเจ้าที่หาวิธีจำง่ายๆมาให้ STR

Sometimes symptoms of a stroke are difficult to identify. Unfortunately, the lack of awareness spells disaster. The stroke victim may suffer severe brain damage when people nearby fail to recognize the symptoms of a stroke.
บางครั้งอาการของโรคเส้นเลือดสมองอุดตันก็เป็นการยากที่จะรู้กันได้ แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ การไม่รู้อาจหมายถึงหายนะได้ สมองผู้ป่วยอาจจะโดนทำลายอย่างรุนแรง แต่คนรอบข้างไม่ได้รู้เลยว่านี่คืออาการของเส้นเลือดสมองอุดตัน

Now doctors say a bystander can recognize a stroke by asking three simple questions:
หมอบอกว่า คนที่ยืนอยู่รอบข้างก็สามารถรู้อาการได้ โดยคำถาม 3 ข้อ ดังนี้

S *Ask the individual to SMILE.
S คือบอกให้ผู้ป่วย ยิ้ม

T *Ask the person to TALK and SPEAK A SIMPLE SENTENCE (Coherently)
(i.e.. It is sunny out today.)
T คือบอกให้ผู้ป่วยพูด โดยอาจจะเป็นประโยคง่ายๆ เช่น วันนี้อากาศดีนะ

R *Ask him or her to RAISE BOTH ARMS.
R คือบอกให้ผู้ป่วยยกแขนทั้งสองข้างขึ้น

If he or she has trouble with ANY ONE of these tasks, call emergency number immediately and describe the symptoms to the dispatcher.
ถ้าผู้ป่วยมีความลำบากในการทำข้อใดข้อหนึ่ง ให้โทร.หาเบอร์ฉุกเฉินทันทีและแจ้งไปว่าผู้ป่วยมีอาการอย่างไร

New Sign of a Stroke -------- Stick out Your Tongue
สัญญาณใหม่ของเส้นเลือดสมองอุดตัน -- แลบลิ้นออกมาดู

NOTE: Another &#39;sign&#39; of a stroke is this: Ask the person to &#39;stick&#39; out his tongue.. If the tongue is &#39;crooked&#39;, if it goes to one side or the other, that is also an indication of a stroke.
หมายเหตุ: สัญญาณอีกประการหนึ่งก็คือ ลองให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออกมา หากลิ้นมีลักษณะม้วนงอ ตกไปด้านใดด้านหนึ่ง นั่นคือข้อบ่งชี้ว่ามีอาการเส้นเลือดสมองอุดตัน

plyfha
09-23-2009, 09:32 AM
สุภาษิต ดีดี ที่อยากนำมาแบ่งปันค่ะ อาจจะเป็นทั้งข้อคิด
เตือนสติหรือแม้กระทั้งเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
1 ถ้าท่านมักง่าย ก็เท่ากับทำลายสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่นั่นเอง
2 ถ้าท่านเห็นแก่ได้ ท่านจะต้องสูญเสียสิ่งที่ได้แล้ว
และสิ่งที่กำลังจะได้ข้างหน้า
3 ถ้าท่านพูดพล่อยๆก็คือท่านเปิดรูรั่วให้เกียนติยศของท่าน
ค่อยๆรั่วจนหมดไป
4 ถ้าท่านทำงานเห็นแก่หน้า ท่านจะพบและเพิ่มปัญหาเรื่อยไป
5 ถ้าท่านเห็นแกตัวก็อย่าหวังนำใจจากเพื่อนฝูง
6 ถ้าท่านกลัวจนเกินไป ท่านก็ไม่มีทางจะทำอะไรได้สำเร็จ
7 ถ้าท่านกล้าจนเกินงาม ก็จะมีแต่พบกับความเดือดร้อน
8 ถ้าท่านขาดความยั้งคิด ชีวิตจะหมดความหมาย โดยไม่ทันรู้ตัว
9 ถ้าท่านทำใจให้สงบ ท่านจะพบความสุขที่เยือกเย็นอยู่ตลอดเวลา
10 ถ้าท่านมีความงง ท่านก็จะเป็นยาจกในเรือนเศรษฐี
11 ถ้าท่านมีเมตตากรุณา ท่านก็จะมีมิตรสหายญาติกาไปทั้งบ้าน
12 ถ้าท่านมีเมตตาเกินประมาณ ก็จะพบคนอันธพาลทั่วบ้านทั่วเมือง
13 ถ้าท่านทำดีเพื่อเด่น ก็จะถูกเขารุมเขม่น
แม้จากญาติมิตรของตนเอง
14 ถ้าทำตัวเป็นผู้รับฝ่ายเดียว
โลกนี้ก็จะไม่มีผู้ให้เหลืออยู่แม้แต่คนเดียว
15 ถ้าไม่มีความทุกข์แล้ว จะสร้างความสุขขึ้นบนรากฐานของอะไร
จงขอบคุณความทุกข์กันเสียบ้าง
16 ถ้าอยากเป็นคนมีเกียรติ ก็อย่าไปหยามเหยียดคนอื่นเขา
เพราะเขาจะสาบแช่งกลับมา พวกเทวดาก็ไม่เห็นด้วย
17 จะตำหนิติเตียนคน ก็ต้องดูอย่าให้ตนมีข้อควรตำหนิติเตียน
อย่างเดียวกัน มันจะย้อนกลับมาหาตนก่อนเขา
...
มีข้อไหนที่โดนใจเป็นพิเศษรึป่าวคะ

ที่มา จากเมลล์ FW

noppakorn
10-05-2009, 04:50 PM
แชร์มาให้ลองอ่านดู
คิดว่า มีประโยชน์บ้าง ไม่มาก ก็น้อย


เดินจังหวะลูก

รายงานโดย :ธนา เธียรอัจฉริยะ
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น:
วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ผมมีลูกสาวตัวเล็กๆ น่ารักสองคน คนโตชื่อ โมเนต์ อายุห้าขวบกว่าๆ คนเล็กชื่อเมนิ อายุสี่ขวบ
กำลังอยู่ในวัยอ้อนพ่ออ้อนแม่ ไม่รู้ว่าใครติดใครกันแน่ รู้แต่ว่า ผมต้องพยายามกลับบ้านให้ทัน
ก่อนสองสาวนอนหลับเกือบทุกวัน เสาร์อาทิตย์ ก็ตัวติดกันตลอด

คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็มักจะนึกถึงแต่ว่าจะสอนลูกให้เป็นคนยังไง ให้มีน้ำใจ ไหว้สวย
ไม่งอแง นึกอะไร ออกก็พยายามสอน ก็ไม่ค่อยได้นึกว่าจะเรียนรู้อะไรจากลูกได้
เพราะลูกยังเด็กยังเล็กอยู่ แต่ด้วยความ ที่อยู่ด้วยกันตลอด
มีบ่อยครั้งที่ลูกผมพูดหรือแสดงท่าทีอะไรที่ทำให้ผมต้องหยุดคิด และทบทวนตัวเองเป็นประจำ

เมื่อไม่นานมานี้ ผมพาเด็กๆ กับภรรยาไปเที่ยวอเมริกาไปอยู่หลายเมือง
สองอาทิตย์ที่ไปเที่ยว เป็นสองอาทิตย์ที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตผมได้มีโอกาสตะลอนๆ
ไปทั้งครอบครัว ได้ผจญภัยเล็กๆ ตามที่ต่างๆ
มีอุปสรรคบ้างนิดหน่อยพอเป็นน้ำจิ้ม ได้เห็นตัวเล็กทั้งสองสนุกสนานกับของเล่นบ้าง
ทิวทัศน์รอบทางบ้าง เป็นความสุขเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่

ระหว่างทางในหลายๆครั้ง
ผมกับภรรยาก็จะเดินดูโน่นดูนี่เป็นปกติในจังหวะก้าวย่างของเรา
ก็จะได้ยิน เสียงเมนิ ลูกสาวคนเล็กบ่นปวดขา เดินไม่ทัน เหนื่อย
เวลาไปเดินในที่ที่คนเยอะ ก็มีเผลอไปจับมือคนอื่น

คิดว่าเป็นพ่อแม่บ้าง เราก็ได้แต่ขำๆ ในตอนแรก
แต่พอใช้ชีวิตด้วยกันตลอดเวลา มีจังหวะหนึ่งที่ลูกผมบ่นว่า เดินไม่ทัน
ซึ่งปกติผมก็คงไม่ได้สนใจอะไร แต่จังหวะนั้นผมบอกลูกว่า เดี๋ยวจะลองเดินก้าวช้าๆ เท่าลูกดู

ผมก็เลยลองเดินช้าๆ ช้ามาก เพราะลูกผมยังเล็ก ก้าวได้สั้นๆ และไม่ไกล
ผมพยายามเดินในจังหวะของลูก
ช่วงแรกๆ ก็อึดอัดนิดหน่อย ต้องก้าวเท้าถี่ๆ สั้นๆ แต่พอลองบ่อยๆเข้า
ผมก็เริ่มมองเห็นมุมของเขาว่า ทำไมเขาถึงเดินไม่ทัน ปวดขา หรือเหนื่อย

เวลาเดินจังหวะผู้ใหญ่ พอเริ่มเห็นมุมแปลกๆของเด็ก ผมก็เลยลองพยายามย่อตัวลงให้เท่าลูก
ในมุมที่เรามองเงยหน้าขึ้นไปทำให้รู้สึกว่าผู้ใหญ่ในสายตาเขาเหมือนยักษ์ที่อยู่สูง
มองไม่ค่อยถนัดถึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงจับมือคนผิดอยู่เรื่อยเวลาคนเยอะๆ
หลังจากนั้นผมก็พยายามเดินช้าลงให้ได้จังหวะของเขา
พยายามย่อตัวเวลาคุยกับลูกลูกผมก็ดูจะสนุกขึ้น
อารมณ์ดีขึ้นและชอบมากเวลาพ่อย่อตัวคุยด้วย

ลูกผมสอนให้ผมรู้จักสนใจจังหวะของคนอื่น
ลองใช้จังหวะของคนอื่นในการดำเนินชีวิตบ้าง
ชีวิตของ คนทำงานหลายๆครั้งก็พยายามบงการให้คนอื่นเดินจังหวะเรา
ไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเรา
พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็จะพยายามลองสังเกตจังหวะคนอื่นดูทุกที

ที่ดิสนีย์แลนด์ช่วงเที่ยงๆผมกับโมเนต์ลูกสาวคนโตไปต่อคิวยาวเหยียดเพื่อซื้ออาหารกลางวัน
รอตั้งสิบกว่านาที อยู่ดีๆก็มีแม่ลูกตัวอ้วนๆคู่นึงทำเนียนมาแซงคิวเอาโค้งสุดท้ายข้างหน้าผม
คงเห็นว่าเราหน้าเอเชียดูใจดี ก็เลยเบียดซะอย่างนั้น
ผมก็เลือดขึ้นหน้า โมโหสุดๆ กำลังจะโวยวายด้วยความฉุน
ก่อนจะโวยก็บอกโมเนต์เพื่อให้ลูกเข้าใจว่าพ่อจะต้องโกรธเพราะอะไร

โมเนต์สะกิดแขนผม แล้วทำหน้าชิลล์มากๆบอกผมว่า "พ่อขา เขาอาจจะรีบก็ได้นะพ่อนะ"

ผมอึ้งไปพักใหญ่ในหัวหายโกรธเป็นปลิดทิ้งดีใจที่ลูกมองโลกในแง่ดีแบบนี้
แถมรู้สึกตัวเองแย่มากๆที่ต้องให้ลูกสอนการมองโลก
การให้อภัยระหว่างรอแถวผมนึกถึงเพลงอื่นๆอีกมากมายของวงเฉลียงอยู่ในหัว
เด็กหนีไม่ยอมเรียน
โดดเรียนเพราะเหตุใด
ใครตอบได้ไหม
เด็กไปเพราะใจเบ่ง
แม่ให้ไปขายของ
ครูสอนไม่ดีเอง
เด็กรักเป็นนักเลง
อื่นๆ อีกมากมาย

เมื่อวานก่อน
ผมพาเด็กหญิงสองคนไปทำฟัน
คุณหมอตรวจเจอว่าโมเนต์ฟันผุต้องอุดฟันน้ำนม
คุณหมอก็เลยทำการอุดให้
เราก็คอยบอกโมเนต์ว่าถ้าเจ็บให้ยกมือขึ้น
เพราะอุดฟันเด็กห้าขวบ
โดนเหงือก โดนปากเด็กคงต้องเจ็บน่าดู

ตลอดการอุดฟันผมก็ถามเป็นระยะว่าเจ็บรึเปล่า
โมเนต์ไม่ยกมือว่าเจ็บเลยซักครั้ง
ผมก็นึกว่าคงไม่เป็นไร
อุดเสร็จ เรียบร้อยก็กลับบ้าน
ระหว่างทางกลับบ้าน ผมก็ถามลูกว่า อุดฟันเจ็บมั้ย
โมเนต์บอกว่า เจ็บมากเพราะโดนเหงือก
ผมก็ถามต่อด้วย ความสงสัยว่าทำไมไม่ยกมือ
หรือร้องล่ะ

โมเนต์บอกสั้นๆ ยิ้มอายๆ "หนูอดทน อยากให้พ่อดีใจ"
หนูสอนพ่อเยอะเหลือเกิน...

lek
10-05-2009, 07:32 PM
เพื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหนครับ
ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือเรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ
ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ
1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดาหรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหมเช่นดื่มตอนเช้าดื่มระหว่างทานข้าวดื่มก่อนนอนเป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไรเช่นน้ำเปล่าน้ำอัดลมชากาแฟเป็นต้น
เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับพร้อมที่จะรู้ความผิดของ
ตัวเองหรือยังครับ

ข้อหนึ่งนั้นเป็นความเชื่อที่ผิดครับทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษต้องหาจุดสมดุลของมันครับ
น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับเดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน

ข้อสองคิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้วว่าแต่
ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับผมจะอธิบายให้ฟังว่าน้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน
น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก
ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะอุจจาระเหงื่อและทางลมหายใจ
แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับคนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย500 มิลลิลิตรต่อวัน
ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด
นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตรหรือ1 ลิตรต่อวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว
(แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ
ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สูตรคือ
(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับเช่นหนัก60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้
ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้เลือดซึ่ง90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวกร่างกายก็จะขับของเสียได้ยากขณะเดียวกัน
สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้าทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มามาเป็นลิ่มเลือดสีเข้มหนืดปวดประจำเดือนก็แหงละครับ
น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกันทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ

lek
10-13-2009, 09:00 PM
ข้อสามอย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันทีเกิดเป็นอาหารไม่ย่อยอาหารบูดเน่าหมักหมมอยู่ในกระเพาะ
และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา
เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไปโดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อนทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็นเสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆกินกัน
จนเป็นเรื่องธรรมชาติก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆแต่พอตอนนี้เห็นแล้วกลัวไปเลยครับบ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว

ข้อสี่ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกันที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละใครที่ชอบทานข้าวไป
จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้วข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับเป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ
คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำพอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว
เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลยผิดผิดผิด
ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับเพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้นร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้วน้ำย่อยก็จะเจือจางก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อยหมักหมมพิษถูกดูด
เข้าเส้นเลือด
เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ
ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้วเพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระปัสสาวะที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร
ก่อนอาหาร 15 นาทีระหว่างทานอาหารและหลังอาหาร 40 นาทีทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ
ในที่นี้หมายรวมถึงซุปน้ำแกงและของเหลวทุกประเภทนะครับ
และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆให้จิบครั้งละ 2-3 อึกแต่จิบถี่ๆหาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัวจิบไปทั้งวันครับ
ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับเหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียวทะลักล้นเขื่อนออกไปหมดแล้วจะเอาอะไร
กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับเหมือนทำยากแต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ
ผมแต่ก่อนทานน้ำ2-3 แก้วพร้อมทานข้าวด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิดเช่นควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ
เพื่อให้อิ่มจริงหรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ)
หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากินกินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว
เบียร์ก็อีกตัวครับสังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไปทุกวันนี้เลิกครับ
ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะมันควรกินแกล้มอาหารเลยได้เลิกเหล้า
เลิกเบียร์กันไป
แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอดท้องอืดมากก็งงหรือว่าเรากินเยอะไปแต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด
เสียบุคลิกมากพอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อกินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ
พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ

lek
10-13-2009, 09:02 PM
นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับโดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลายเช่น
ส้มแก้วมังกรสาลี่แตงโมเป็นต้น
มีสองเหตุผลครับ
หนึ่งเพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหารอาหารยังย่อยไม่เสร็จผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะร่างกายก็ดูดซึม
สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน
สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อย?าหารด้วย
เหตุผลที่สองคือน้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี
เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน

มาถึงข้อสุดท้ายแล้วเป็นไงบ้างครับคอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียวยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ
ทานน้ำอะไรกันครับบางคนชอบทานน้ำอัดลมมากดื่มทุกวันไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม
เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้วคุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร
อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมีใส่น้ำตาลจำนวนมากกินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ
ยิ่งอัดแก๊สอีกกินเข้าไปท้องก็อืดการย่อยอาหารก็ไม่ดีเสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ
พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย
แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่งชม.ครับเพราะชามีฤทธิ์เย็นทำให้อาหารไม่ย่อย
รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียงแต่มันไม่ดีครับ
เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้วผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่าท่าจะรุ่ง

อีกอย่างขอแถมนิดนึงคนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆอร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ



ครบห้าข้อแล้วโอยเหนื่อยเอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้าแต่ก็จำเป็นต้องเขียนเพื่อประโยชน์สุขของมวลชน555 ว่าไปนั่น
ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับอยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ
หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับและหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง
เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอดความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่ว
ข้ามคืนแต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน
สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอได้ยามาทานแล้วหายแต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง
ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ

ปล. If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับอีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับคนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก <!-- / message -->

plyfha
10-14-2009, 01:06 PM
โกรธเกินไป
ทำลายตับ ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกายสับสน

เศร้าโศกเกินไป
ทำลายปอด ทำให้เจ็บหน้าอก มีความผิดปกติที่ระบบทางเดินหายใจและผิวหนัง

กลัวเกินไป
ทำลายไต ทำให้พลังใจเหือดหาย กระดูกไขสันหลังเสื่อม ระบบกระเพาะปัสสาวะและอวัยวะเพศถูกกระทบกระเทือน

วิตกกังวลเกินไป
ทำร้ายหัวใจและม้าม ทำให้อ่อนเพลีย หมดพลัง ไม่มีสมาธิ

คิดมากเกินไป
ทำให้สูญเสียความแจ่มใสของสมอง จมอยู่กับอดีตมากเกินไป ทำให้พลังชีวิตเสื่อมถอย

สนุกสนานมากเกินไป
มีผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ รีบเร่งมากเกินไป ทำให้ร่างกายสึกหรอเร็ว




๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ขนาดอารมณ์ดี แต่ถ้าดีเกินไป ก็เป็นอันตรายเหมือนกันแหะ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ที่มาจาก : จาก วารสาร Secret
จากเมลล์ FW ค่ะ

lek
10-14-2009, 07:20 PM
~good to read ~
ในระหว่างทานข้าวกลางวัน วนิดาซึ่งเป็น CEO
ถามกิตติผู้บริหารระดับสูงที่ขึ้นตรงต่อเธอว่า
“ กิตติ พี่สังเกตว่าคุณไม่เคยปิดมือถือเลย
แม้กระทั่งเวลาประชุม แล้วพี่ก็เห็นคุณขอตัว
ออกไปจากที่ประชุมกลางคันเพื่อรับโทรศัพท์
พี่อยากรู้ว่าเป็นโทรศัพท์ของใครหรือ
ทำไมมันสำคัญขนาดรอจนจบประชุมไม่ได้
พี่เห็นเป็นประจำเลยนะ ”
กิตติมีท่าทีอึดอัด เขาตอบว่า
“ ไม่มีอะไรหรอกครับ เป็นธุระเกี่ยวกับเรื่อง
ส่วนตัวนะครับ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ”

วนิดายิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี เธอเงียบไปสักครู่จึงพูดต่อ
“ กิตติ เราสองคนทำงานด้วยกันมาพอสมควร
คิดว่าพี่เป็นพี่สาวของคุณก็ละกัน
เพราะพี่อายุมากกว่าคุณสองสามปี
มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังซิคะ เผื่อว่า
พี่อาจจะแนะนำอะไรให้ได้บ้าง ”
วนิดาเลือกใช้แนวทางพี่น้อง
แทนที่เธอจะตำหนิเขาโดยตรง
ในเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
ในที่ประชุมแบบเจ้านายกับลูกน้อง

วิธีนี้ได้ผล! กิตติสารภาพออกมา
แบบกระอักกระอ่วน “ ก็ ... คือว่า ...
พี่อย่าโกรธผมนะครับ มันเป็นโทรศัพท์
มาจากลูกสาวผมเอง เธอเพิ่งไปเรียน
ไฮสคูลที่ออสเตรเลียเมื่อไม่กี่เดือน
โรงเรียนที่ลูกสาวผมเรียนนี้
ค่อนข้างจะเข้มงวด แถมมีการบ้านจมเลย
ตอนลูกสาวผมเรียนที่นี่ ผมช่วยติวและ
ทำการบ้านร่วมกับเธอบ่อยๆ
ลูกคนเดียวของผม เธอคือดวงใจของผมเลยครับ
ผมบอกเธอว่าไปอยู่นั่น ติดขัดเรื่องการบ้านละก็
โทรมาหาผมได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะเป็นเวลาใด
ผมจะคอยช่วยเหลือเธอ
ผมไม่ต้องการเห็นเธอล้มเหลว ตอนค่ำเมื่อกลับบ้าน
ผมก็แทบจะไม่ได้พักผ่อน แต่จะไปช่วยเธอ
ทำการบ้านแล้วก็แฟ็กซ์ส่งไป
เรื่องคณิตศาสตร์บ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง
ผมอยากให้เธอประสบความสำเร็จ
ผมต้องขอโทษที่บริหารเวลาไม่ค่อยได้เรื่อง ”
กิตติจบเรื่องลงด้วยท่าทีละอายใจ
วนิดาแสดงความเห็นใจ

“ เรื่องของคุณมันฟังแล้วคุ้นๆมากเลย
พี่พอจะจินตนาการออก
ถึงความลำบากใจของเธอ
พี่เองก็มีลูกสาวเรียนปริญญาโทอยู่ที่อเมริกา
พี่เคยทำแบบคุณเหมือนกัน เพราะลูกสาวพี่
จบตรี แล้วไปต่อโทเลย จึงไม่มีประสบการณ์
ในการทำงาน ดังนั้นพอทำกรณีศึกษา
ก็มักจะไม่ทันเพื่อนเขา หรือไม่เข้าใจ
แถมยังไม่กล้าถามอาจารย์อีก พี่เลยต้องช่วยทำเคส
แล้วก็อีเมล์ไปให้เธอ แต่ว่าตอนนี้
พี่หยุดช่วยเธอแบบนั้นแล้วล่ะค่ะ ”

กิตติถามด้วยความประหลาดใจ
“ ทำไมล่ะครับ พี่ไม่รักเธอแล้วหรือ
หรือว่าพี่เห็นว่างานมีความสำคัญ
กว่าครอบครัวครับ ”

วนิดาตอบพร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดีว่า
“ พี่ยังรักลูก และเห็นคุณค่าของครอบครัว
และงานเหมือนเดิม พี่โชคดีที่มีเพื่อน
ชาวอเมริกันคนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นวิธีที่
พี่ช่วยลูกสาว แล้ววันหนึ่งเขาก็ให้หนังสือ
เล่มหนึ่งชื่อ The Power of Failure
โดย Charles C. Manz และมีการแปลเป็นไทย
ในชื่อ วิกฤติคือโอกาส โดยพสุมดี กุลมา
เรียบเรียงโดย นราทิป นัยนา
เพื่อนอเมริกันเขาคั่นเรื่องๆหนึ่งให้พี่อ่าน
โดยเฉพาะเลย พี่จะเล่าให้เธอฟัง ”
.........
มีชายคนหนึ่งนั่งมองผีเสื้อที่กำลังดิ้นรน
จะออกจากรังไหม เจ้าผีเสื้อดิ้นรนไปซักพัก
จนกระทั่งใยรังไหมเริ่มขาดเป็นรูเล็กๆ
ชายคนนั้นมองด้วยความสนใจ
เจ้าผีเสื้อดูเหมือนจะหยุดไป
ที่จริงผีเสื้อมันพักเพื่อที่จะดิ้นรนต่อไป
แต่ว่าชายคนนั้นคิดไปเองว่าผีเสื้อคงติดใยรังไหม
ไม่สามารถจะออกมาได้ด้วยตนเอง
ด้วยความหวังดี เขาจึงนำกรรไกรขนาดเล็ก
มาตัดใยรังไหมนั้น ทำให้รูมันขยายใหญ่ขึ้น
เจ้าผีเสื้อเห็นรูขยายใหญ่ขึ้น มันก็คลานต้วมเตี้ยมออกมา
แต่เขาสังเกตว่าตัวมันมีขนาดเล็กกว่าปกติ ปีกเหี่ยวย่น
แถมลำตัวของเจ้าผีเสื้อก็มีลักษณะบวมผิดปกติ
กลายเป็นว่าในขณะที่ผีเสื้อต้องดิ้นรนออกแรง
ตะเกียกตะกาย เพื่อพยายามจะดันตัวมัน
ออกจากรังไหมนั้น เป็นกระบวนการธรรมชาติ
ที่จะกระตุ้นให้ของเหลวชนิดหนึ่งที่อยู่ในลำตัวผีเสื้อ
เคลื่อนที่มาสู่ปีก เพื่อทำให้ปีกแข็งแรงเพียงพอจะบินได้

ด้วยความปรารถนาดีของชายคนนั้น
ผีเสื้อตัวนี้ปีกจึงเหี่ยวย่นไม่แข็งแรงเพียงพอจะบินได้
แถมยังมีรูปร่างพิกลพิการ เพราะของเหลวที่ควรจะ
อยู่ที่ปีก ดันไปติดคั่งค้างอยู่ที่ลำตัว
เจ้าผีเสื้อตัวนี้ออกจากใยมาได้ด้วยความสบาย
แต่ต้องพิกลพิการ และบินไม่ได้ไปชั่วชีวิตของมัน

..... สรรคและความล้มเหลวในชีวิตของคน
ก็คล้ายๆกันกับสิ่งที่เจ้าผีเสื้อเผชิญ
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในชีวิต
การพัฒนาทักษะ ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น
ล้วนแล้วแต่น่าสงสารและน่าเห็นใจ
แต่จะได้คุณค่ามาก็ด้วยการล้มเหลวอย่างถูกวิธี

เราจะคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต
โดยไม่มีความล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้

เมื่อเราเผชิญอุปสรรค แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไข
หรือหลีกเลี่ยงที่จะต่อสู้กับมัน เท่ากับว่าเรากำลัง
เสียโอกาสสำคัญในการเรียนรู้บทเรียน
ที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในชีวิตของคน
กิตติฟังด้วยความสนใจ
“ โอ้โฮ เรื่องนี้จุดประกายน่าดูครับ
แต่ผมกลัวว่าลูกผมจะเกลียดผมนะซีครับ ”

วนิดาเสริมต่อ “ มีคำพูดที่ว่า
&#39;No pain No gain&#39; " ไม่เจ็บ ไม่ได้เรียนรู้"
ที่จริงพวกเรานะผิดเองที่ป้อนลูกๆ เรามากไป
สำหรับกรณีของพี่ พี่อธิบายให้ลูกเขาเข้าใจ
ด้วยการเล่าเรื่องนี้แหละ หลังจากนั้น
พี่ก็ขอโทษสำหรับการให้ความช่วยเหลือลูก
แบบผิดๆในอดีต ลูกๆ ของเรา
เขาฉลาดพอจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้นะ ...

กิตติ คุณลองมองไปรอบๆตัวเราสิ
เรามีพนักงานที่มีความรู้ มาจากครอบครัวที่มีฐานะ
หลายคนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ พวกเขาไม่อดทนต่อ
ปัญหาและอุปสรรค คนที่ควรถูกตำหนิคือ
พ่อแม่ของเขา คุณอยากถูกคนอื่นเขาต่อว่าแบบนี้
ในอนาคตไหมล่ะ แถมลูกๆ ของเรายังอ่อนแอ
ไม่สามารถจะฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคได้ ..

... คุณมีสิทธิ์เลือกนะ … ”

piangfan
10-27-2009, 06:01 PM
สวัสดีค่ะ พี่นพ พี่ปลายฟ้า คุณเล็ก ทั่นยาย
ลุงเปา ลุงบีบี พี่พญามาร ครูวิทย์พี่โดด พี่อ๋อย
พี่รักกี้ คุณมายา คุณแพะอ้วน พี่เกิดแก่ คุณพิกุลแก้ว
และญาติธรรมทุกท่านที่ไม่ได้เอ่ยนามค่ะ

แป่ว แวะมาเก็บเกี่ยวปัญญาค่ะ ขอบคุณทุกท่านค่ะ

piangfan
10-28-2009, 01:00 PM
สวัสดีค่ะ พี่นพ พี่ปลายฟ้า คุณเล็ก ทั่นยาย
ลุงเปา ลุงบีบี พี่พญามาร ครูวิทย์พี่โดด พี่อ๋อย
พี่รักกี้ คุณมายา คุณแพะอ้วน พี่เกิดแก่ คุณพิกุลแก้ว
และญาติธรรมทุกท่านที่ไม่ได้เอ่ยนามค่ะ

10ความลับสุดยอดที่คุณไม่รู้

ผมเองเป็นเจ้าของร้านอาหาร ม ีประสบการณ์ต่างๆมาshareให้อ่านเล่นๆ
ลองสังเกตุดูนะว่า มันจริงมั้ย
1. แก้วน้ำล้างแบบไม่ใช้น้ำยาล้างจาน
เกือบทุกร้าน 90% จะล้างแบบจ้วงๆน้ำสักสองสามครั้งเป็นอันเสร็จพิธี
แล้วมันจะสะอาดมั้ยเนี่ย ยิ่งหวัด2009กำลังระบาดนะ
2. ประหยัดน้ำล้างจานกันจัง กะละมังเดียว ล้างเกือบ 200 จาน
ร้านเหล่านี้มักมีแหล่งน้ำน้อย หรือต้องจ่ายตังค่าน้ำแพง
3. ตะเกียบเก๊าส์เก่าส์ บางร้านเป็นพลาสติกดั๊มดำ บางร่านไม้ไผ่ขึ้นราดำ เศร้าง่ะ
4. กระทะผัดแล้วผัดอีก จนกลิ่นไหม้ติด เลย ระหว่างจานแค่ราดน้ำแล้วใช้ตะหลิวเขี่ยกระทะกัง เชี๊ยะ
เชี๊ยะ เชี๊ยะ เสร็จเรียกว่าไม่ล้งไม่ล้างมันและ
5. น้ำเปล่าที่ให้กินฟรีน่ะ น้ำก๊อกล้วนๆ บางร้านใจดีใช้น้ำก๊อกมาต้มกะใบชา
โอเคละครับ น้ำประปาดื่มได้
6. ทำไมมีแต่ข้าวเสาไห้ง่ะ มีข้าวหอมมะลิบ้างไหมครับ หรือว่าคนรุ่นใหม่กินข้าวหอมมะลิไม่เป็น???
7. เกือบทุกร้านไม่ใช้น้ำปลาทิพรสจริง เอาน้ำปลาถูกๆมากรอกใส่ขวดทิพรสเฉย ถ้าโชคดีก็เจอร้านที่
เปลี่ยนพริกทุกวัน โชคร้ายเจอพ ริก?น่าข้ามปี
8. ผัดกะเพรายอดฮิตของทุกท่าน มีส่วนผสมของผงชูรสประมาณ 1 ช้อนชา (ถ้าคุณกินทุกวัน ปีนึง 300
กว่าช้อนชา) มิน่าแชมพูหยุดการหลุดร่วงของเส้นผมจึงขายดี๊ ดี อีกอย่างมีร้านไหนล้างกะเพราบ้าง
สังเกตุมาหลายร้านแล้ว เด็ดจากกิ่งมาผัดไม่เคยเห็นร้านไหนล้างเลย แล้วขี้ดิน สารพิษฯลฯ เต็มๆครับ
9. น้ำมันที่ใช้ผัด เป็นน้ำมันเก่า (ผ่านการทอดจนใช้ไม่ได้แล้ว) เค้าเก็บรวบรวมใส่ปี๊บเก่าๆ
(ขึ้นสนิมง่ะ) ขายต่อให้พ่อค้านำไปผ่านกรรมวิธีแล้วนำมาแบ่งถุงขาย (มา เล็ง แน่ นอน ครับ ผม)
10. เคยกินหมูนุ่มๆ เนื้อนุ่มๆมั้ยครับ แหะๆทั้งหมดนั้นเค้าไม่ได้หมักด้วยกรรมวิธีธรรมชาติหรอกครับ ใช้
ผงปิศาจ (เพื่อนผมเรียกผงปิศาจฮะ) มาหมักให้นุ่มเร็วๆ ที่สำคัญไม่มียี่ห้อไหนผ่านการรับรองด้วย อิอิ
อยากรู้ว่าแรงแค่ไหน ให้ตักใส่มือสัก 1/4ช้อนชาครับหยดน้ำลงไป1หยด กำไว้1นาที หนังมือไม่ลอกก้อ
แสดงว่าคุณไม่ใช่มนุษย์ครับ
ผมทำร้านอาหารเห็นสิ่งเหล่านี้ในสังคมไทยแล้ว รับไม่ด้ายครับ
ถ้าคุณไม่แคร์ก็ช่างปะไร แต่ผมห่วงใยสุขภาพน่ะครั บ

แป่ว!! เพียงฝันคัดลอกมาจากเมล์ค่ะ
ขอบคุณค่ะ

เท่าที่เพียงฝันสัมผัสมากับสายตา
การต้มข้าวโพดและถั่วใช้ปีบเป็นภาชนะในการต้มค่ะ
และแป้งขนมถังแตกใช้ถังสีทาบ้านใส่ค่ะ
บางส่วนค่ะ ไม่ทั้งหมดค่ะ ต้องขอโทษด้วยค่ะ
ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งค่ะ

noppakorn
10-31-2009, 05:50 PM
เรื่องนี้ไม่ทราบซ้ำใครหรือยังครับ

อืม... จะมีสักกี่คนในโลก ที่คิดแบบนี้

ผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากบ้านของเธอ
และได้เห็นชายชราที่มีเคราสีขาว 3 คน
นั่งอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านของเ ธอ
เธอไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร เธอพูดกับเขาว่า

' ฉันไม่คิดว่าฉันรู้จักพวกคุณ
แต่ท่าทางคุณต้องหิวแน่เลย
โปรดเข้ามาในบ้านและทานอะไรซักหน่อยเถอะ '

' สามีของเธออยู่ในบ้านไหม ' เขาถาม

' ไม่ ' เธอตอบ ' เขาออกไปข้างนอก '

' ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็เขาไปข้างในไม่ได้ดอก ' เขาตอบ

ในตอนเย็น เมื่อสามีเธอกับมาบ้าน
เธอเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น

' ไปบอกพวกเขาซิ ฉันกลับมาบ้านแล้ว
และเชิญเข้ามาในบ้านเถิด '

เธอก็ออกไปและเชิญพวกชายชรานั้นให้เข้ามาในบ้าน

' เราเข้าไปในบ้านพร้อมกันไม่ได้หรอก ' เขาตอบ

' ทำไมล่ะ ' เธอถาม

ชายชราคนหนึ่งอธิบายว่า ' เขาชื่อ ความมั่งคั่ง '

เขาพูดและชี้ไปยังเพื่อนของเขา
และชี้ไปยังอีกคนหนึ่งว่า

' เขาคือ ความสำเร็จ และฉันคือ ความรัก '

เขากล่าวต่อไปว่า

' บัดนี้ จงเข้าไปข้างในและปรึกษากับสามีของเธอว่า
คนไหนในพวกเราที่คุณต้องการจะให้เข้าไปในบ้านของคุณ '

เธอกลับเขามาข้างในและบอกกับสามีของเธอ
สามีของเธอรู้สึกดีใจมาก

' วิเศษจริงๆ ' เขากล่าว

' เมื่อ เป็นเช่นนี้ เราจะเชิญ ความมั่งคั่ง
เมื่อเขาอยู่กับเรา บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง '

ฝ่ายภรรยาไม่เห็นด้วย

' ที่รัก ทำไมเราไม่เชิญ ความสำเร็จ ล่ะ '

ขณะนั้นลูกสะใภ้ได้ยินทั้งสองกำลังปรึกษา
จากมุมหนึ่งของบ้าน เธอก็เข้ามาและแนะนำว่า

' จะไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเราเลือก ความรัก
บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความรักไง '

' เราฟังสิ่งที่ลูกสะใภ้แนะนำเถอะ ' สามีกล่าวกับภรรยา

' ออกไปข้างนอกและเชิญความรัก เข้ามาเป็นแขกของเราเถอะ '

ภรรยาออกไปและถามชายชราทั้ง 3 ว่า

' ใครคือความรัก โปรดเข้ามา และเป็นแ ขกของเราเถอะ '

ความรักลุกขึ้นและเดินไปยังบ้าน
ชายชราอีก 2 คนก็ลุกขึ้นและตามเขาไป ด้วยความประหลาดใจ
ภรรยาถาม ความมั่งคั่ง และความสำเร็จ ว่า

' ฉันเชิญเพียงความรัก ทำไมคุณถึงเข้ามาด้วยล่ะ '

ชายชราตอบพร้อมกันว่า
' ถ้าคุณเชิญความมั่งคั่ง หรือ ความสำเร็จ
คนใดคนหนึ่ง อีกสองคนก็จะอยู่ข้าง นอก
แต่เมื่อคุณเชิญความรัก ที่ใดที่เขาไป
เราจะไปกับเขา ที่ใดมีความรัก
ที่นั่นก็จะมีความมั่งคั่งและความสำเร็จ '

คุณมีตัวเลือก 2 ข้อคือ
1. ปิดมันเสีย
2. เชิญความรัก
โดยแบ่งปันเรื่องนี้กับทุกคนที่รัก
"อย่าเอาความมั่งคั่ง, สำเร็จในการงาน โดยไม่คำนึงถึงความรักต่อเพื่อนร่วมงาน, สังคม และครอบครัว"

plyfha
11-01-2009, 06:42 PM
. . คาถาคนทำงาน ขั้นแรก...ท่อง นะโม 3 จบ ก่อน แล้วจึงค่อยท่องคาถานะ

อาจจะมี ... เซ็งไปบ้าง...ในบางครั้ง
อาจจะมี ...เบื่อกันบ้าง.... ในบางหน
อาจจะมี ...เหม็นขี้หน้า...กับบางคน <====== อันนี้ โดน
พยายามทน ทำงานไป เพราะได้ตังค์ <====== อันนี้โดนก่า

2. คาถาปล่อยวาง
กูว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา
เขาไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ
สาม ประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย
จงวางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย

3. คำสอนของพระพุทธเจ้า
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' เหนือ กว่าเรา เพราะทำให้เกิดปมด้อย
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' ต่ำ กว่าเรา เพราะทำให้เกิดทิฐิ
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' เสมอ เท่าเรา เพราะทำให้เกิดการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น
จงนึกเสมอว่า 'คนอื่นทุกคน' เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด

noppakorn
11-08-2009, 07:44 PM
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

.........คิดอะไรให้วุ่นวาย.........

...ทำตัวสบายๆมีความสุขกว่ากันเยอะ...


30 บาทรักษาทุกโรค
ในขณะที่ในหลวงท่านทรงประชวรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ข้าพเจ้าศึกษาอยู่เมื่อต้นปีนี้
มีข้าราชบริพารเข้าเยี่ยมจำนวนมาก
ทุกคนคงจำได้ที่เป็นข่าวใหญ่โตที่นายกฯท่านหนึ่ง บังอาจถวายบัตร 30 บาท ให้พระองค์เพื่อใช้สิทธิ์
สร้างความแค้นเคืองใจให้พสกนิกรชาวไทยทุกคน
แต่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังว่าพระองค์ทรงตอบว่าอย่างไร
ในหลวงทรงตรัสว่า .....
"ไม่เป็นไรหรอกหากข้าพเจ้าไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้ แต่คงสามารถใช้บัตรผู้สูงอายุได้หรือจะใช้สิทธิข้าราชการของบุตรี (ฟ้าหญิง) ก็ได้"

ท่านพูดเสียงเรียบๆ
ไม่ได้รู้สึกว่าถูกลบหลู่เลยพูดเสร็จก็ยื่นบัตรทองใบนั้น ให้นายกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ว่าท่านตอบได้น่ารักมาก

เคยมีคนถามผมว่านับถือใครมากที่สุด
คิดถึงคนแรกและคนเดียวเลยคือ
ในหลวงท่านเหนือกว่ากษัตริย์ใดในโลกหล้ายิ่งใหญ่กว่าวีรบุรุษคนใดในตำนาน
มีคุณธรรมประเสริฐล้ำเทียบพระโพธิสัตว์

ขอถวายความจงรักภักดีจนกว่าชีวีจะหาไม่
**********************

เชื้อโรคตายหมด หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ผู้อำนวยการโครงการหลวง
....... เหตุการณ์ในปี ๒๔๑๓ ที่ควรจะนำมากล่าว เพราะมีผลต่อจิตใจของชาวเขา
และควรที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ทราบเพื่อพยายามเดินตาม "เบื้องยุคลบาท"
วันนั้นเสด็จฯ ไปหมู่บ้านดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่
ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ "ไปแอ่วบ้านเฮา"
ก็เสด็จฯ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ และมุงหญ้าแห้งเขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ
แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำ ๆ จับ

ผู้เขียนรู้สึกเป็นห่วงเพราะตามปกติ ไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ
จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวยแล้วส่งถ้วยมาพระราชทานให้ผู้เขียนจัดการ
แต่ก็ทรงดวดเองกร้อบเดียวเกลี้ยง
ตอนหลังรับสั่งว่า.."ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้น เชื้อโรคตายหมด"

จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ


ข้าวผัดไข่ดาว โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
วันหนึ่งเสด็จฯเขาค้อเปิดอนุสาวรีย์
พอเปิดอนุสาวรีย์เสร็จพระองค์ท่านก็ขอกลับไปที่พระตำหนักเฟื่อจะทรงเปลี่ยนฉลองพระบาท
เพราะเดี๋ยวจะไปดูงานในป่าในดง.........
เราก็ไม่ได้ทานข้าวไม่มีใครทานข้าว

ตอนนั้นบ่ายสองโมงแล้วก่อนจะเปลี่ยนฉลองพระบาท
สักยี่สิบนาทีน่าจะพุ้ยข้าวทัน ก็รีบวิ่งไปห้องอาหารที่เตรียมไว้
ปรากฏว่าพวกที่ไม่ได้ตามเสด็จเขาทานกันหมดแล้ว
ในนั้นจึงเหลือข้าวผัดติดก้นกระบะกับมีไข่ดาวทิ้งแห้งไว้ 3-4 ใบ
เราก็ตัก ... เห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้มีข้าวผัดเหมือนอย่างเรา
ไข่ดาวโปะใบหนึ่ง มีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางอยู่
เพื่อนผมก็จะไปหยิบมา
มหาดเล็กบอกว่า "ไม่ได้ๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ท่านรับสั่งให้มาตัก"
ดูสิครับตักมาจากก้นกระบะเลย ผมนี่น้ำตาแทบไหลเลย ท่านเสวยเหมือนๆ กันกับเรา......

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ


พับเพียบ รองศาสตราจารย์ดร.สุธี อักษรกิตติ์ผู้สนองพระราชดำริ ในโครงการระบบสื่อสารสายอากาศและอิเล็กทรอนิกส์
... ในครั้งแรก ผมทำงานตามพระราชดำริ โดยไม่ทราบว่าเป็นงานของพระองค์
จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนบอกว่า ให้เข้าไปในวังด้วยกัน และให้นำระบบสายอากาศชนิดใหม่ขึ้นไปติดตั้ง
ก็ไม่ได้คิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ มา
แต่ว่าแปลกใจทำไมอยู่ดีๆ เจ้าหน้าที่ที่กำลังติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ อยู่บนดาดฟ้าของพระตำหนักถึงปีนลงมา
ทั้งๆ ที่งานยังไม่เสร็จ
แท้ที่จริงพระองค์ท่านเสด็จฯ มายืนอยู่ข้างหลัง
ผมเหลียวหลังไปมองนิดหนึ่ง ครั้นพอเห็นพระองค์ท่านก็ตกใจ
เป็นอาการวูบขึ้นมาทันที นึกอยู่ในใจว่า ใช่แล้ว ใช่แน่ๆ
เพราะคิดว่าเหมือนในรูป ผมก็รีบทำความเคารพ แล้วก็ทำอะไรไม่ถูก
สิ่งที่ผมจำได้คือ เราต้องอยู่ต่ำกว่า จึงรีบคุกเข่าให้ต่ำลงมา เป็นเหมือนชันเข่า
เพราะว่าตอนนั้นพระองค์ท่านประทับยืนอยู่
ถ้านั่งพับเพียบเลยก็จะต่ำเกินไป เพราะว่าผมต้องพูดอธิบายด้วย
ปรากฏว่าพระองค์ท่านก็คุกเข่าลงไปด้วย ผมก็เลยนั่งพับเพียบให้ต่ำลงไปอีก
พระองค์ท่านก็ประทับพับเพียบเหมือนกัน
เลยกลายเป็นว่าวันนั้น นั่งพับเพียบสนทนากัน ๒-๓ ชั่วโมงบนดาดฟ้าพระตำหนัก
ในเวลาช่วง บ่ายที่ร้อนเปรี้ยง .......

จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ


ไม่ต้องกั้น โดยดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

มีอยู่ครั้งหนึ่งเสด็จฯไปที่เซ็นทรัลวันที่มีประชุมรัฐสภาโลก
วันนั้นผมจำได้ผมติดอยู่บนท้องถนน ฝนตก ผมก็มีวิทยุเลยได้ยินรับสั่งมากับตำรวจมาเลย
"วันนี้ไม่ต้องกั้นรถ"ทรงเข้าใจความทุกข์ของราษฎรอยู่ตลอดเวลา
วันนี้เป็นวันฝนตกรถติดกันอย่างมหาศาล ถ้าขืนต้องไปติดขบวนอีก สร้างความทุกข์ให้กับประชาชน
ทรงวิทยุบอกตำรวจว่า
"ขบวนจะแล่นไปพร้อมกับรถของประชาชน ไม่ต้องกั้นเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน"

จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ


กส.๙ พลตำรวจตรีสุชาติ เผือนสกนธ์อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข
..พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้เครื่องวิทยุที่ทรงมีอยู่ เฝ้าฟัง
และติดต่อกับ "ปทุมวัน" และ "ผ่านฟ้า" เป็นครั้งคราวเมื่อทรงว่างพระราชภารกิจอื่น
การติดต่อทางวิทยุได้ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ผู้ที่ติดต่อกับพระองค์ท่านไม่ต้องใช้ราชาศัพท์
พระองค์ท่านทรงจดจำสัญญาณเรียกขาน, ประมวลคำย่อ (โค๊ด "ว") ได้อย่างแม่นยำ
และใช้ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยยังปฏิบัติไม่ได้

โดยการรับฟังการติดต่อในข่ายวิทยุของตำรวจนี้เอง
จึงทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบข่าวรายงานเหตุการณ์ต่างๆ
เช่น ข่าวโจรกรรม, อัคคีภัย, การจราจร ได้ทุกระยะ

ในการเสด็จจากที่ประทับของพระองค์ท่านเพื่อปฏิบัติพระราชภารกิจ
... จึงทรงพระกรุณารับสั่งให้สมุหราชองครักษ์ติดต่อประสานงานกับกรมตำรวจ
ให้สั่งการสถานีตำรวจท้องที่ติดต่อสื่อสารทางวิทยุกับแผนกรักษาความปลอดภัย
บุคคลสำคัญ กรมราชองครักษ์ เพื่อจะได้ทราบกำหนดเวลาเสด็จออกจากพระตำหนักที่ใกล้เคียง
และปิดการจราจรในเส้นทางผ่านเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ประชาชนจะได้ไม่เดือดร้อน

... มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้รับสั่งทางวิทยุกับพนักงานวิทยุ สถานีวิทยุกองกำกับการตำรวจนนทบุรี
เพื่อจะพระราชทานคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติการสื่อสารบางประการ
โดยทรงใช้สัญญาณเรียกขานว่า "กส. ๙" ติดต่อเข้าไป

พนักงานวิทยุผู้นั้นจำพระสุรเสียงไม่ได้จึงได้สอบถามว่า "เป็น กส.๙" จริงหรือปลอม
ทั้งดูเหมือนจะใช้คำพูดไม่สู้จะเรียบร้อยเรื่องนี้จึงเดือดร้อนมาถึงผู้เขียน
เนื่องจากได้รับสั่งเล่าเหตุการณ์มาให้ทราบเพื่อให้ช่วยยืนยันว่าเป็น "กส.๙ จริง"

...ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ท่าน ยังทรงห่วงใยว่าพนักงานวิทยุผู้นั้น จะถูกลงโทษทางวินัย
จึงได้รับสั่งทางวิทยุให้ผู้เขียนติดต่อประสานงานกับผู้บังคับบัญชาของพนักงานวิทยุ
ขออย่าให้มีการลงโทษเลย

จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ


ตัวยึกยือ มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อดีตเลขาธิการสำนักงานกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
...... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จะพระราชดำเนินด้วยพระบาท
เข้าไปในป่ายางท่ามกลางฝนตกหนัก โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตามรอยพระยุคลบาทไปไม่ห่างเป็นระยะทางถึง ๒ กม. เศษ

.... นี่คือสิ่งที่มิใช่สามัญธรรมดาในความรู้สึกของผู้คน
และความไม่สามัญธรรมดานี้ ก็ยิ่งไม่ธรรมดามากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ
เนื่องเพราะบริเวณนี้คือ "ดงทาก" หรือ"รังทาก"อันมีทากชุกชุมที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้

...กว่าจะถึงจุดหมายคือบริเวณพื้นที่ที่จะพิจารณาสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อใหม่มีน้ำไว้ใช้
สำหรับพื้นที่ ๕,๐๐๐ ไร่ใน ๓ เขตตำบลคือ เชิงคีรี มะยูง และรือเสาะ เกือบทุกคนก็โชกฝน และโชกเลือด
แม้ทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์ก็มิได้รับยกเว้น

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า อุบาสกนพกรณ์

piangfan
11-17-2009, 11:36 AM
"แง่คิดจากผีเสื้อ"


ชายคนหนึ่งพบรังไหมของตัวอ่อนผีเสื้อ
เขาเฝ้าจับตาความคืบหน้ามาตลอด
กระทั่งได้เห็นรอยปริขนาดเล็กปรากฏอยู่ที่ผิวภายนอก

ชายคนนั้นจึงนั่งลงและเฝ้าจับตามองความคลื่อนไหว
ของตัวอ่อนผีเสื้ออยู่นานหลายชั่วโมง
เขาเห็นมันพยายามดิ้นรนจะพ้นจากช่องเล็กๆของรังไหมให้ได้
แต่เมื่อไม่สำเร็จ เจ้าตัวน้อยก็หยุดการเคลื่อนไหว
เหมือนจะยอมรับว่า ไม่อาจขืนทำอะไรไปมากกว่านั้น

เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะช่วยตัวอ่อนแล้ว..

ชายคนนั้นจึงหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดเปิดช่องรังไหม
จนกว้างพอที่ตัวอ่อนจะสามารถออกมาได้อย่างง่ายดาย
ตัวอ่อนผีเสื้อน้อยจึงออกมาเผชิญโลกทั้งสภาพร่างกายบวมกลม
ตรงข้ามกับปีกที่มีขนาดเล็กนิดเดียว !

แต่เขาก็เฝ้าจับตามองตัวอ่อนนั้นต่อไป
ด้วยความหวังว่าอีกไม่ช้าปีกของมันจะขยายใหญ่ขึ้น
และแข็งแรงพอจะพยุงร่างกายมันได้เมื่อถึงเวลาอันควร

แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง !

ผีเสื้อน้อยต้องเดิน และคลานไปมาทั้งชีวิต
ด้วยสภาพร่างกายบวมกลม และ ปีกแห้งเล็กที่ไม่มีโอกาสจะบินได้
ภายใต้การดูแลอย่างอ่อนโยนของชายผู้หวังดี

สิ่งที่ชายคนนี้ไม่เคยเข้าใจก็คือ ธรรมชาติได้กำหนดมาแล้วว่า
ตัวอ่อนจะออกไปเผชิญโลกได้ ก็ต่อเมื่อของเหลวในร่างกายลดน้อยลง
จนลำตัวมีขนาดสมดุลกับปีกเท่านั้น จึงจะสามารถลอดออกจากช่องว่างขนาดเล็กของรังไหมได้สำเร็จ
และถ้าตัวอ่อนได้ผ่านการดิ้นรนจนถึงเวลานั้น
มันจึงจะเติบโตเป็นผีเสื้อที่พร้อมโบกบินจากรังได้อย่างอิสระโดยแท้

การมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องผ่านอุปสรรคใด ๆ เลย จึงมีแต่จะทำให้เราพิการและไม่แข็งแรง

การดิ้นรนฝ่าฟันอุปสรรคต่างหาก ที่เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินชีวิต ซึ่งจะช่วยให้เรายืนหยัดอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง
เพราะอย่างนั้นภูมิใจกับการดิ้นรนในวันนี้เถอะ
ถ้าคุณหวังจะไปให้ถึงวันดีๆ ของชีวิตที่สามารถโบยบินได้อย่างเสรี...

สาธุค่ะ พี่นพ พี่ปลายฟ้า คุณเล็ก ทั่นยาย ลุงเปา
และญาติธรรมทุกท่านค่ะ

กระทู้หัวข้อ เดินตามลูกเยี่ยมค่ะ พี่นพ
เพียงฝันยังจำได้เช่นกันค่ะ เมื่อตอนด็กเดินก้าวตามพ่อแม่ไม่ทันค่ะ
ปวดเมื่อยขา เดินตามพ่อแม่จนปวดน่องอ่อนเพลียค่ะ อิอิ

noppakorn
11-19-2009, 02:48 PM
http://variety.teenee.com/foodforbrain/img5/67664.jpg

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
ของฉันมีกัน
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า
"ผมขโมยเองครับ"
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้
และด่าว่าน้องชายของฉัน
" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแ กจะทำชั่วอะไรอีก
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
หลายปีผ่านไป
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า
" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ
ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
" ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้”
แต่ในขณะเดียวกัน
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
ใครจะรู้ได้ .......
วันต่อมาในตอนเช้ามืด
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
ขณะฉันกำลังหลับ
" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิท ยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ...ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"
ฉันนั่งอยู่บนเตียง
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า.......
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี.....
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น
กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ.......
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า
"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
ฉันถามเขาว่า
"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ "
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า
"ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
ก้อได้หัวเร าะเยาะพี่กันพอดี"
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง’’
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ. เขาติดกิ๊บให้ฉัน
แล้วพูดว่า
"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
ฉันสังเกตเห็นว่า
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า
" แม่ไม่ได้จ้างหรอก ...น้องชายลูกต่างหาก
วันนี้เค้าขอเลิกงา นเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด"เจ็บมากไหม"
ฉันถาม
"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
และ..."
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
"เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน....
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อออกไปแล้ว
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
จึงได้ย้า ยกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป...
เขาบอกกับฉันว่า
"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
“ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้
ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขย เพิ่งจะได้เป็นประธาน
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย.....
ฉันบอกกับน้องว่า
"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."
"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล"พี่สาวของผมครับ".....
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
ราสองคน พี่น้อง ต้องใช้เวลาถึง2ชม.
เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน
วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้าง เดียวเดินเป็นระยะทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ.......นับจากวันนั้น
ผมสาบานกับตัวเอง
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
และจะทำดีกับเธอ"
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก.......
"ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
วันในชีวิตของคุณและเขา
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม
จบบริบูรณ์....

ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและ
ในเครือกว่า 20 บริษัทส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า
"ซัมซุง"

paobunjin
11-23-2009, 02:28 AM
คติเตือนใจ

1. อย่าขับรถเร็วเกินกว่าที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด

2. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ

3. ความหมายของความสุข ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น

4. อย่ากลัวความฝันของคุณ เพราะหากคุณจะทำตามฝัน มันก็ง่ายกว่าที่คิด

5. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ 4 คน จะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆ ลองเช็คเพื่อนคุณสัก 3 คนสิ
ถ้าทุกคนปกติดีก็คุณน่ะแหล่ะ

6. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว

7. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ

8. สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ

9. การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจ คือ การก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น

10. คนๆ หนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่าง แต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆ
เมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น

11. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี

12. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ

13. คุณค่าของคนๆ หนี่ง บอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ

14. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด

15. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็น การให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง

16. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้า สำหรับเรามีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น

17. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น

18. เด็กๆ ต้องการความรักมากที่สุด เมื่อพวกเขาทำตัวไม่น่ารัก

19. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)

20. บางครั้งตัวเราเองต่างหากที่เอาแต่ใจตัวเอง

21. ความจริงกับความฝัน ต่างกันที่ตรงที่ "ทำ" กับ "ไม่ทำ"

22. สุนัขไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย ที่มันโดนรถชนตายตายเพราะไม่ได้ระวัง

23. คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตคุณ มักจะเป็นคนสุดท้ายที่คุณนึกถึง

24. อย่าคิดว่ารู้จักใครดีพอ เพราะตัวเราเองที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด ยังไม่รู้จักตัวเองดีด้วยซ้ำ

เครดิตจากเวบ doosiam.com ค่ะ

ขอบคุณ fw; ดีๆ จากกัลยาณมิตร ที่ส่งมาให้อย่างสม่ำเสมอ นะครับ จะได้แบ่งปันสิ่งดีๆให้ต่อกัน

noppakorn
11-24-2009, 03:28 PM
http://mail.google.com/mail/?ui=2&ik=7eb7b60d1a&view=att&th=125200c4da8c90b7


เงิน 20 บาท มีค่ามากสำหรับคนบางคน

ในขณะที่ใครหลายๆ คนกินอิ่ม นอนหลับอยู่ในบ้านที่แสนสบาย ใช้เงินฟุ่มเฟือยเต็มสูบไม่มีจำกัด อยากได้อะไรซื้อ อยากกินอะไรกิน ทิ้งๆ ขว้างๆ บ้างตามประสาคนเหลือกินเหลือใช้

แต่ในอีกมุมหนึ่ง...กลับมีคนที่ยอมเดินด้วยเท้า จากจังหวัดอุบลราชธานี ไปยังจังหวัดอยุธยา ด้วยระยะทางไกลมากว่า 600 กิโลเมตร เพียงเพื่อเงินวันละ 20 บาท

เรื่องที่ทางทีมงานจะขอนำเสนอต่อไปนี้
เป็นเรื่องที่เพื่อนสมาชิกเว็บไซต์ พันธ์ทิพย์ดอทคอม
ประสบเหตุการณ์ด้วยตัวเอง และอยากนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟัง
ซึ่งเขาก็เล่าว่า ... ผมและครอบครัวได้เดินทางไปเที่ยวจังหวัดอยุธยา ระหว่างทางก่อนที่จะถึงจุดหมาย ผมได้มองไปข้างทางและเห็นชายแก่คนหนึ่งใส่เสื้อสีขาว กางเกงขายาวสีน้ำเงิน กำลังเดินอยู่ข้างทางแบกถุงปุ๋ย พร้อมห่อผ้าขาวม้า 1 ห่อ เดินกลางแดดกลางวันร้อนๆ ยามบ่าย ผมจึงให้แฟนจอดรถและลงไปถามชายชราคนนั้นว่า

ผม : ตาจะไปไหน ทำไมมาเดินตากแดดแบบนี้เล่า
ตา : (ยิ้ม) จะไปอยุธยา
ผม : ตาจะไปทำไมที่อยุธยา ไปหาใครเหรอ
ตา : ไปรับจ้างเลี้ยงวัว มีคนเขาบอกว่าที่อยุธยา มีคนเขาหาคนเลี้ยงวัว
ผม : เขาจ้างวันละเท่าไหร่ ตารู้จักเขาเหรอ
ตา : เขาจ้างวันละ 20 บาท มีที่พักให้ด้วย (ตาหมายถึงนอนกับวัวเลย) ตาไม่รู้จักเขาหรอก ที่ไปนี้ก็ต้องไปถามเขาอีกทีว่าใครจะจ้างตาเลี้ยงวัวบ้าง
ผม : แล้วใครบอกตาว่าที่อยุธยาเขาหาคนเลี้ยงวัว
ตา : คนแถวบ้านตาบอก เขาพูดกันว่าที่อยุธยามีคนเขาหาคนเลี้ยงวัวเยอะ
ผม : ตามาจากไหนละ มาคนเดียวเหรอ แล้วยายไปไหนล่ะ
ตา : ตามาจากอุบลฯ ตามาคนเดียว เพราะยายตายแล้ว
ผม : ลูกๆ ไม่มีเหรอตา
ตา : มีลูก 2 คน ชายคน หญิงคน มีครอบครัวกันหมดแล้ว ไม่เคยเห็นหน้ามาหลายปีแล้ว ยายตายนี่พวกมันยังไม่รู้เลย
ผม : แล้วทำไมตาไม่อยู่บ้าน หางานแถวบ้านทำล่ะ
ตา : ตาไม่มีบ้าน พอยายตาย พี่น้องยายเขาก็ไม่ให้อยู่ในที่ของเขา งานแถวบ้านมี แต่เขาไม่จ้างตาทำ เขาบอกว่าตาแก่แล้ว ทำอะไรช้าไม่ทัน เขาก็ไม่จ้างตา
ผม : แล้วตามาถึงที่นี่ได้อย่างไง
ตา : ตาเดินมาเรื่อยๆ
ผม : เดินมาจากอุบลฯ นะเหรอตา ทำไมไม่นั่งรถเมล์มาล่ะ
ตา : (ยิ้ม) ตาไม่มีตังค์ (ควักเงินออกมาให้ดู ซึ่งในมือตามีเงิน 15 บาท เหรียญ 5 บาท 1 เหรียญ ที่เหลือเป็นเหรียญบาทเก่าๆ สีเขียว)
ผม : แล้วตาออกจากอุบลฯ มาวันไหน
ตา : หลังสงกรานต์ 2 วัน (ยิ้ม)
ผม : แล้วตาเอาอะไรมาด้วย นี่ห่ออะไรที่ตาถือมา
ตา : อ๋อ ห่อกระดูกยาย กับถุงเสื้อผ้าตา
ผม : แล้วตากินอะไรอยู่
ตา : เดินผ่านร้านที่เขาขายมันต้ม แม่ค้าเขาเลยให้ตามากินฟรีๆ
ไม่เอาตังค์ตาด้วย
ผม : (สายตาของผมมองไปที่เท้าของตา เห็นรองเท้าของตามีกระดาษติดที่ส้น) กระดาษติดที่เท้าตานะ ระวังหกล้ม
ตา : (ยิ้ม) อ๋อ ตาเอามันมารองที่เท้าตาเอง เพราะส้นรองเท้ามันขาดแล้ว เวลาเดินมันร้อนส้นเท้า
ผม : แล้วนั่นน้ำอะไรจ๊ะตา (เห็นน้ำสีน้ำตาลในขวดสีขาวขุ่นมากๆ วางอยู่ข้างๆ ตา)
ตา : น้ำกินตาเอง

หลังจากนั่งคุยกับตาแกไปเรื่อยๆ ก็ได้รู้ว่า ตา อายุ 76 ปีแล้ว
แต่ผมดันลืมถามชื่อแกมา รู้แต่ว่าสิ่งที่ได้สังเกตเห็นตลอดเวลาคือ
เนื้อตัวค่อนข้างเลอะ มีรอยยุงกัดตามตัวเยอะมาก
เพราะแกบอกว่าอาศัยนอนข้างถนน นอนศาลา
และดวงตาของแกฝ้ามัวมาก เหมือนมีเส้นใยบางๆ ในดวงตา
และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นก็คือ "รอยยิ้ม" ที่เห็นฟัน 1 ซี่
ของแกมีมาให้ตลอดเวลาระหว่างที่สนทนากัน

ทำให้ผมรู้สึกว่าตาเป็นคนอารมณ์ดี
จากนั้นผมจึงได้ส่งร่มในมือที่ถือก่อนลงจากรถให้แกไว้ใช้
พร้อมเงินอีก 190 บาท (เพราะมีอยู่แค่นั้น)
ซึ่งตอนที่แกได้ร่ม ตาแกดีใจมาก ยิ้มตลอดเวลา
ในใจแกคงคิดว่าต่อไปนี้แกคงไม่ต้องเดินร้อนแล้วล่ะ
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมตาแกไม่ไปบวช
หรือขอข้าววัดกิน เรื่องนี้พวกเราคุยกันว่า
ตาแกยังคงอยากทำงานหาเลี้ยงตัวเอง
ไม่อยากจะขออาศัยวัดกิน
มีมือมีเท้าก็อยากทำให้เกิดประโยชน์บ้าง …

...และนี่คือตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า
ยังมีคนอีกจำนวนมากต้องปาดกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
รู้แบบนี้แล้วทำไมไม่ลองมองย้อนมาดูตัวเอง
ว่าวันนี้คุณ "พอเพียง" แค่ไหนกัน ?

ทั้งนี้ผู้เล่าประสบการณ์ คิดได้ว่า
เขาโชคดีเหลือเกินที่มีกินมีใช้ เกิดมาไม่ลำบาก มีพ่อแม่ มีเงินให้ใช้
แต่หลังจากเจอตาแล้วทำให้เขาคิดได้ว่า
ต่อไปนี้เขาต้องรู้จักใช้เงิน รู้คุณค่าของเงินมากขึ้น
เผื่อวันหน้าจะได้ไม่ลำบาก

lek
11-30-2009, 04:27 AM
100 ข้อคิด
1.เอาใจเขามาใส่ใจเรา
2.เชื่อมั่นตัวเอง
3.อย่ามองคนที่หน้าตา
4.กล้าคิด พูด และทำ
5.เมื่อมีเรื่อง จงหมั่นปรึกษาผู้อื่น
6.และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย
7.อย่าโกหกกับเรื่องที่คุณคิดว่าผิด
8.ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ
9.เปิดใจให้กว้าง
10.มองการณ์ไกล
11.วางแผนอนาคต
12.อย่าโทษตัวเอง
13.มีความรับผิดชอบ
14.ตอบแทนเมื่อได้รับ
15.ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้และไม่มี
16.อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด
17.คิดถึงส่วนรวมให้มาก
18.ดูแลตัวเองให้เป็น
19.รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี
20.อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
21.อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียไปแล้ว
22.จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร
23.ที่ทำอยู่มีผลดี ผลเสีย มีประโยชน์ หรือไร้ประโยชน์
24.อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก
25.ให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่น
26.อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตนเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน
27.คนไม่ผิดคือคนที่ใหม่เคยทำอะไร
28.ได้หน้าอย่าลืมหลัง
29.คุณไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อนความรู้สึก แต่จงวางแผนที่จะดูแลมันไม่ให้เสีย
30.อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ
31.อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง
32.รู้จักแบ่งเวลา และหน้าที่
33.ทำประโยขน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง
34.อย่าเห็นแก่ตัว
35.อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
36.อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันได้
37.กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุณเอง
38.เพื่อนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันก็คุยกันได้
39.อย่าคิดว่าเขาไม่โทร.มา ถ้าคุณก็ไม่เคยโทร.ไป
40.จง เป็นฝ่ายให้มากกว่าเป็นฝ่ายรับ
41.ดูแลบิดามารดาให้ดี คุณมีโอกาศ รีบทำซะก่อนที่จะไม่มี
42.อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมา แต่คุนสามารถทำมันใหม่หรือเรียนรู้จากมันได้
43.คำพูดเมื่อพูดไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาได้ ดังนั้น คิด ก่อนพูด
44.อย่าทุ่มเทในสิ่งที่ไร้ประโยชน์
45.คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้ที่จะพูด
46.ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วไม่สามารถเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้
47.หาจุดหมายให้กับชีวิต
48.เครียดได้ แต่เครียดให้เป็น
49.ถ้างง เขียนหนังสือได้ แต่เขียนให้เป็นภาษา
50.วันๆหนึ่งคุณทำอะไรบ้าง ที่ไม่ใช่ กิน นอน เล่น
51.ไม่มีหมอคนไหนรอให้คนไข้จะตายแล้วค่อยช่วยหรอกนะ
52.เพื่อนคุณก็เช่นกัน อย่าปล่อยให้เขาเครียดจนจะตายแล้วถึงไปถามหรือดูแล
53.ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง
54.คุณซื้อนาฬิกาได้ แต่คุณไม่สามารถซื้อเวลาได้
55.ตอนนี้มีใครคอยคุณอยู่รึเปล่า ถ้ามีกลับไปหาซะ
56.ตอนนี้คุณถึงเมื่อไหร่ ทำอะไรซะบ้าง
57.อย่ากล่าวคำขอโทษบ่อย มีอะไรดีๆตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วไม่ต้องตามไปขอโทษ
58.ตอนคุณลำบากคุณคิดถึงใคร คุณอยากให้ใครช่วยเหลือ
59.ตอนนี้คนกำลังสบายอยู่ แล้วคนที่คุณเคยขอความช่วยเหลือล่ะ หมดประโยชน์แล้วหรือ
60. ไม่ใช่ แล้วไง ต้องให้บอกต่อมั้ย
61.ทำอะไรก้อได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าบนทุกข์ของคนอื่น
62.ตอนที่คนกำลังอ่านประโยคนี้ จงจำไว้ว่าคุณเป็นมนุษย์ และยังมีชีวิตอยู่
63.ใครเป็นคนทำให้คุนมีชีวิต ตอบแทนเขาบ้างหรือยัง
64.ไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ แค่เข้าไปบอกเขาว่ารักก้อเพียงพอแล้ว
65.อย่ารอให้ถึงวันเกิดเพื่อน ถึงจะได้คุยกันหรือให้ของขวัญกัน
66.ไม่มีกฏหมายข้อใดห้ามให้ของขวัญในวันธรรมดา
67.ถ้าเป็นคุณอยู่ดีๆ มีเพื่อนเอาขนมมาให้ คุณจะรู้สึกดีมั้ย หรือดูที่ราคาขนม
68.เหล้าทำให้คุณลืมได้ตอนเมาแอ๋ แต่เพื่อนแท้ทำให้คุณลืมเรื่องร้ายๆได้ตลอดชีวิต
69.อย่าคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใคร อย่างน้อยๆถ้าคุณได้อ่านข้อความนี้ จงรู้ไว้ว่าคุณยังมีคนพิมพ์คนนี้อีกคน
70.อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคดีที่สุด
71.อย่าพูดว่าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ถ้า งั้นคุณก้อไม่รู้เรื่องของเขาเช่นกัน
72.เหนื่อยนักก็หยุดพักซะบ้าง
73.อย่าคิดว่าคนดีไม่มีในสังคม เพราะคุณก็เป็นคนเพียงแต่คุณยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง
74.ปริศนาในเกมคุณแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุณแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปอยู่ในตัวคุณ
75.คุณมองเพชรที่ความงามภายในหรือป้ายราคาภายนอก
76.ถ้าคุณกินอาหารเหลือ ลองนึกถึงเด็กที่ไม่มีอันจะกิน
77.มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือ ลองค้นคว้าดูจะรู้
78.ลูกธนูที่ถูกปล่อยจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่เเทงมาจากข้างหลัง
79.การถูกหักหลังเป็นสิ่งที่เจ็บปวด อย่าให้มันเกิด
80.ทำยังไง ต้องให้ขโมยขึ้นบ้านก่อน ถึงไปดูรั้วบ้านใช่มั้ย
81.ทำใจกับสิ่งต่างๆ ล่วงหน้าไว้บ้างก้อดี
82.จะยกตัวอย่าง สมมติคนที่คุณรักจากไปตอนนี้ คุณคิดว่า คุณทำอะไรให้เขาบ้างหรือยัง
83.อย่าตอบว่าทำยังไงก็ตอบแทนไม่หมด ขอถามว่าทำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
84.คุณทำใจได้แล้วหรือถ้ามันเกิดอะไรขึ้น คุณไปร้องไห้ข้างโลงศพ ยังไงเขาก้อไม่ฟื้นมาได้ยินหรอกนะ
85.ตัวคุณมีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุณรู้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า
86.หัดคุยกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอะไรอีกมากมายที่คุณยังไม่รู้
87.ร่างกายใช้มากี่ปีแล้ว เคยดูแลมันบ้างรึเปล่า หรือเอาไว้เพื่อให้วิญญาณมีที่สิงสถิต
88.การใส่เสื้อสวยๆไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นหรอกนะ ที่ดีขึ้นคือบุคลิกต่างหาก
89.หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้
90.ลองทำอะไรบ้าๆบ้างก้อดี อย่ายึดติดนักเลย
91.ผู้พิมพ์ไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย ไม่ได้มาโชว์ว่าตัวเองอวดรู้ แต่อยากให้คุณได้รุ้อะไรไว้บ้างก็ดี
92.สิ่งที่คุณปล่อยผ่านๆ ไปในชีวิตหรือเรื่องคุนเห็นว่าไม่สำคัญ กลับมาดูเเลตรงนั้นบ้างก็ดี
93.อย่าไว้ใจใครเกินไป ไม่ได้สอนให้ระแวงไม่ไว้ใจใคร แต่ระวังไว้บ้างก็ดี
94.อย่าตามเพื่อนนัก กินเหล้า เล่นไพ่ เที่ยวหญิงเที่ยว
95.ยาเสพติดทุกชนิด อย่าคิดจะลองเด็ดขาด
96.อย่าทำตามเพื่อนเพราะเพื่อนทำกันหมด ร่างกายเขากับร่างกายเรา แน่นอนจิตใจก็เหมือนกัน
97.ผู้ชายยังไงก้อคือผู้ชาย ผู้หญิงยังไงก็คือผู้หญิง
98.บางครั้งการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป
99.ไม่มีมิตรถาวรและศัตรูที่เเท้จริง
100.จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรา รัก และคนที่อยู่รอบกายเรา

plyfha
11-30-2009, 11:49 AM
http://upic.me/i/4g/dwev1.jpg (http://upic.me/show.php?id=9da8ad26a43d7870eaf1948587a9f577)

http://upic.me/i/v4/guao2.jpg (http://upic.me/show.php?id=7a78f2e0f38f191644b3add0d64fd3d2)

http://upic.me/i/v5/nve53.jpg (http://upic.me/show.php?id=6733bbd5513a1feff8f8aa0349e81732)

http://upic.me/i/r6/wgrx4.jpg (http://upic.me/show.php?id=d8dae2a7806e79730d668faf2e2ffa50)

http://upic.me/i/ke/018e5.jpg (http://upic.me/show.php?id=ae1b34b085849b5f1f5311c149167619)

จากเมลล์ FW

paobunjin
02-01-2010, 03:17 AM
แม่ปุ้มได้รับบทความนี้จากน้องที่รักคนนึงส่งมาให้
อ่านแล้วทำให้ได้คิดและคิดได้ในหลายๆเรื่อง จึงไม่อยากให้เพื่อนๆพลาดค่ะ

“แอม” เสาวลักษณ์ ลีละบุตร เล่าว่าได้พบเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเพิ่งกลับจากการไปปลูกป่า หน้าตาของเธอเบิกบานด้วยความปีติที่ได้ช่วยฟื้นฟูธรรมชาติ เธอพรรณนาถึงคุณประโยชน์มากมายของการปลูกป่า
ทั้งบรรเทาโลกร้อน เพิ่มออกซิเจน ให้ร่มเงา ปกป้องหน้าดิน และช่วยให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ฯลฯ

เธอยังเล่าถึงนักปลูกป่าอย่าง ด.ต.วิชัย ที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนมากมาย
“ดีจังเลย” แอมยินดีกับเพื่อน “ตอนนี้เธอปลูกต้นไม้ที่บ้านเยอะเลยซีท่า”
เพื่อนทำหน้าเซ็งทันทีแล้วตอบว่า “โอ๊ย ใครจะไปกวาดใบไม้ไหว ร่วงอยู่ได้ เลยตัดทิ้งไปแล้ว”

รักป่า รักต้นไม้ทั่วทั้งโลกนั้น บางครั้งกลับง่ายกว่ารักต้นไม้ในบ้าน เราพร้อมจะไปปลูกป่าทั่วทุกหนแห่ง
แต่คร้านที่จะดูแลต้นไม้ในบ้าน
ปลูกป่านอกบ้านไม่ใช่เรื่องยาก แค่หย่อนกล้าไม้ลงหลุมแล้วกลบ จากนั้นก็กลับบ้านได้เลย
แต่ปลูกต้นไม้ที่บ้านสิ เรายังต้องรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยนานนับปี
ครั้นต้นไม้เติบโตสูงใหญ่ก็ยังต้องเสียเวลากวาดใบไม้ร่วงไม่หยุดหย่อน
วันดีคืนดีกิ่งไม้อาจตกมากระแทกหลังคาเป็นรู
เป็นเพราะต้นไม้นอกบ้านให้แต่สิ่งดี ๆ มีแต่สิ่งที่น่าชื่นชม ไม่เป็นภาระแก่เราเลยเราจึงรักเขาได้ง่าย
ส่วนต้นไม้ในบ้านนั้นเรียกร้องการดูแลเอาใจใส่จากเรา แถมยังอาจก่อปัญหาให้ด้วย
หลายคนจึงมองเห็นแต่ข้อเสียของเขาจนรู้สึกระอาขึ้นมา

เป็นเพราะเหตุผลเดียวกันนี้หรือเปล่า ผู้คนเป็นอันมากจึงรักและชื่นชมคนอื่นได้ง่ายกว่าคนในบ้าน
เราเห็นแต่ความดีของคนไกลตัวเพราะเขาไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเราเลย
ส่วนคนในบ้านนั้นอยู่ใกล้กับเรามากเกินไปจึงเห็นแต่ข้อเสียของเขา
หรือเห็นเขาเป็นภาระที่ต้องดูแลเอาใจใส่จนกลบข้อดีของเขาไปเกือบหมด

ผลก็คือเรามักสุภาพอ่อนโยนกับคนไกล แต่มึนตึงฉุนเฉียวง่ายมากกับคนใกล้ตัว

ลองมองให้เห็นคุณประโยชน์หรือความดีของต้นไม้ในบ้านบ้าง เราอาจจะรักเขาได้ง่ายขึ้น
หลายคนมาเห็นประโยชน์ของต้นไม้ในบ้านก็หลังจากที่โค่นจนเหลือแต่ตอ แต่นั่นก็สายไปแล้ว
จะไม่ดีกว่าหรือหากเรารู้จักชื่นชมเขาขณะที่ยังอยู่กับเรา กับคนในบ้านก็เช่นกัน
เราควรหัดชื่นชมคุณความดีของเขาบ้าง ที่แล้วมาเราอาจมองข้ามไป
เพราะคุ้นชินความดีที่เขาทำกับเราจนมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

เพลงที่แสนไพเราะ หากได้ฟังทุกวันทุกคืนก็กลายเป็นเพลงดาษ ๆ ไม่มีเสน่ห์สำหรับเรา ฉันใดก็ฉันนั้น
คำพูดที่ไพเราะของภรรยา น้ำใจของสามี หรือความใส่ใจของพ่อแม่
หากเราได้ยินได้ฟังหรือได้รับติดต่อกันเป็นปี ๆ หรือนานนับสิบปี
ก็กลับกลายเป็นสิ่งสามัญจนเรามองไม่เห็นความสำคัญ
ไม่ต่างจากอากาศที่เราไม่ค่อยเห็นคุณค่าทั้ง ๆ ที่ขาดมันไม่ได้เลย

น่าแปลกก็ตรงที่หากคนใกล้ ตัวทำผิดพลาดหรือสร้างความไม่พอใจแก่เรา แม้เพียงครั้งเดียว
การกระทำนั้น ๆ กลับฝังใจเราได้นานหรือลึกกว่าความดีที่เขาทำกับเรานับร้อยนับพันครั้ง
ใช่หรือไม่ว่าเวลาเขาทำดีกับเรา เรามองว่านั่นเป็น “หน้าที่ของเขา” หรือเป็น “สิทธิที่เราควรได้รับ”
แต่เมื่อใดที่เขาทำไม่ดีกับเรา ทำให้เราไม่พอใจ เรากลับมองว่าการกระทำเช่นนั้นเป็น “สิ่งที่ไม่สมควร” เป็นเรื่อง “ไม่ธรรมดา” ดังนั้นจึงฝังใจเราได้ง่ายกว่า

อันที่จริงเขาอาจไม่ได้ทำผิดพลาดเกินวิสัยปุถุชน แต่ความที่เรามักจะมีความคาดหวังสูงจากคนใกล้ชิด
ความผิดพลาดของเขาแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เราหัวเสีย ขุ่นเคือง หรือน้อยเนื้อต่ำใจได้ง่ายและนาน
คนในบ้านหรือคนใกล้ตัวนั้น ไม่ว่าจะดีแสนดีเพียงใด ก็ย่อมมีวันที่ต้องกระทบกระทั่งกับเราบ้าง
แต่หากเราไม่ฝังใจอยู่กับเหตุการณ์เหล่านั้น หันมามองและชื่นชมคุณความดีของเขา
เปิดใจรับรู้ความรักที่เขามีต่อเรา เราจะรักเขาได้ง่ายขึ้น
และตระหนักว่าเขามีความสำคัญต่อชีวิตของเรายิ่งกว่าคนไกลตัวเสียอีก

อย่ารอให้เขาจากไปเสียก่อนถึงค่อยมาเห็นคุณค่าของเขา ถึงตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว
อะไรก็ตามยิ่งอยู่ใกล้ตัวมากเท่าไร เราย่อมหน่ายแหนงและระอาได้ง่ายมากเท่านั้น
เพราะใจที่ชอบเห็นแต่แง่ลบมากกว่าแง่บวก
มิใช่แค่ต้นไม้ในบ้าน หรือคนในบ้านเท่านั้น หากยังรวมถึงทรัพย์สมบัติในบ้านด้วย
แต่นั่นยังไม่ใกล้เท่ากับร่างกายและจิตใจของเราเอง ไม่ว่าสวยเท่าใดก็ยังเห็นแต่ความไม่งามของตัวเอง
ไม่ว่าจะทำดีเพียงใดก็ยังเห็นแต่ตัวเองในแง่ร้าย คนที่เกลียดตัวเองนั้นทุกวันนี้มีมากมาย
ยิ่งรักก็ยิ่งเกลียดเพราะไม่ดีอย่างที่หวัง
ยิ่งยึดติดคาดหวังกับความสมบูรณ์พร้อม ก็ยิ่งเห็นแต่ความพร่องของตนเอง

ลอง มองให้เห็นความดีของตัวเองบ้าง ให้อภัยกับความผิดพลาด ยอมรับความไม่สมบูรณ์พร้อม
ใช้สิ่งที่มีอยู่แม้น้อยนิดเพื่อการสร้างสรรค์สิ่งดีงาม
แล้วคุณจะรักตัวเองได้มากขึ้น

BG จากบ้านยายเก๋าค่ะ

ขอบใจป้าหู้ แห่งบล๊อกแก๊งมากเลยจ้า

lek
03-11-2010, 05:13 AM
[color=red][center][size=18pt]ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก
คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก
เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน
ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร
มาเรียนที่อเมริกา
เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส
ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน
ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู
ว่าสะอาดจริงมั้ย

กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย
ต้องให้ดีที่สุด
เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน
แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ
แกเสนอแผนที่สอง
แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม
ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย แกมีบ้าน
มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจ
มีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง

วันหนึ่งแกพักผ่อน
หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย
ลูกเมียไปขอพบ บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต

วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป
ภรรยาพาเข้าโรงบาล ตรวจพบมะเร็ง
พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย
จริง ๆ เค้าก็เตือนตลอด
แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้
แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล
แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน
บันทึกชีวิตแกก่อนจะเสียชีวิต
แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว
แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่
กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก

ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า
พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ

ปริญญาใบที่หนึ่ง ' ปริญญาวิชาชีพ '
เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น
พูดง่าย ๆ
ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง

แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ แต่ ' ปริญญาวิชาชีวิต '
ปริญญาใบที่สอง ' ปริญญาวิชาชีวิต ' คือวิชาธรรมะ
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง

ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้
แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง

ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ
แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก เพราะอะไร
เพราะทำงานจนป่วยตาย
ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง
บ้าน รถ มอบมันให้กับลูกและภรรยา
แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา

สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้
สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย
เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย

นี่คือปริญญาวิชาชีวิต
ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ
เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง

ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี

ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว
อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ

แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเอง
ดูจิต ดูใจตัวเอง ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์
มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า
แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ เกินไปหรือเปล่า
พยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ

เพื่อที่ว่าอะไร

เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต

หนึ่งปริญญาวิชาชีพ
เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง
มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่
แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง
คือวิชาธรรมะ
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง
ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป
ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุข
อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก
อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ
ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง
อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด
และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี

เพราะอะไร
เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา

เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า
ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด บางคนก็ตอบเงิน
บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง
บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์
พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต
สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ
และก็ชีวิตของเรา

ที่มาจากเมลล์เพื่อนกัลยามิตรแสนใจดีขอรับ

noppakorn
03-17-2010, 05:27 PM
Good Idea
> >
> >
> > เป็นความคิดที่ไม่เลว กับการวาง "กุญแจรถ"
> > ของคุณข้างเตียงคุณในเวลากลางคืน
> > บอกคู่สมรสคุณ ลูกคุณ เพื่อนบ้านคุณ พ่อแม่ และทุกคนที่คุณรู้จัก ให้วาง
กุญแจรถไว้ข้างเตียงนอน
> > ถ้าคุณได้ยินเสียงข้างนอกบ้านคุณ หรือมีใคร(ที่คุณไม่รู้จักหรือไม่ต้องการให้
เข้าบ้านคุณ)พยายามจะเข้ามา
> > ในบ้านคุณ เพียงกดปุ่ม Panic ที่รีโมทรถคุณ สัญญาณเตือนภัยจะดังจนกระทั่ง
คุณปิดมันหรือแบตฯหมด นี่
> > เป็นคำแนะนำจาก “ผู้ประสานงานเพื่อนบ้านเฝ้าระวัง”
> > คราวหน้าหากคุณกลับถึงบ้าน ในตอนกลางคืนเมื่อคุณจะวางกุญแจรถ ให้คิดถึง
ว่า: รีโมทรถคือระบบ
> > ป้องกันขโมย และมันจะทำงานจนกว่าแบตฯจะหมด หรือคุณจะปิดมัน เมื่อ
มิจฉาชีพเข้ามาได้ยินเสียงก็เผ่น
> > แล้วครับเพราะเสียงของสัญญาณกันโขมยที่ดังผิดปกติจะเรียกให้เพื่อน
บ้านออกมาดู....รวมทั้งเมื่อคุณเดิน
> > ไปขึ้นรถในลานจอดรถที่คุณรู้สึกว่าจะไม่ปลอดภัยก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน
ครับ
> > โปรดส่งต่อให้กับทุกคนที่ท่านรู้จัก อาจจะช่วยชีวิตเขาให้รอดพ้นอันตรายจาก
พวกอาชญากรได้.....
>

noppakorn
03-22-2010, 04:00 PM
ขณะที่ชายคนหนึ่งกำลังขัดล้างรถอย่างขะมักเขม้น
ลูกชายวัย 4 ขวบ ก้มลงเก็บก้อนหินขึ้นมา
แล้วบรรจงขูดขีดไปบนด้านข้างของตัวรถ
พักใหญ่ต่อมา...
เมื่อพ่อได้ยินเสียงครูดของหิน
ก็เกิดความฉุนเฉียว โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เขากระชากมือลูกมา
ตีลงบนมือน้อย ๆ นับครั้งไม่ถ้วน
โดยไม่ทันนึกว่าตนได้ถืออะไรอยู่ในมือ
ณ โรงพยาบาล..

นิ้วลูกชายถูกตัดออก เพราะกระดูกแตก
จนหมอไม่สามารถเชื่อมต่อได้

ขณะที่พ่อเข้ามาดูลูกในห้อง
ลูกมองพ่อด้วยสายตาปวดร้าว
แล้วถามพ่อว่า
" เมื่อไร นิ้วหนูจึงจะยาวเหมือนเดิม ? "
คำถามนั้น...
เหมือนคมมีดกรีดลึกลงไปในหัวใจผู้เป็นพ่อ

เขารู้สึกละอายใจ รู้สึกผิด
และเสียใจในการกระทำตนอย่างไม่อาจให้อภัย

เขาจึงกลับไปที่รถ
เตะมันสุดแรงเกิดโดยไม่ยั้งจนเหนื่อยหอบ
แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างรถอย่างเศร้าใจ
สายตาพลันเหลือบไปเห็นรอยขูดขีด เขาเบิกตากว้าง !
จ้องมองคำว่า "รักพ่อ"

น้ำใส ๆ เริ่มเอ่อ แล้วไหลอาบแก้ม

เขาเอามือปิดหน้า
ร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับใจจะขาด

รุ่งขึ้น...
ชายคนนั้นได้ฆ่าตัวตาย

อารมณ์โกรธ มีโทษมหันต์

ปัญหาของโลกในทุกวันนี้
คือ

คนบางคน..

รักรถ หวงรถ หรือสิ่งของอื่น

ยิ่งกว่ารักและห่วงใยลูก
หรือ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
จำไว้เสมอว่า
สิ่งของมีไว้ให้ใช้
และ
คนมีไว้ให้รัก

piangfan
03-22-2010, 07:39 PM
สาธุค่ะ พี่นพ พี่ปลายฟ้า คุณเล็ก
และญาติธรรมทุกท่านค่ะ
ขอบคุณค่ะ

lek
03-23-2010, 06:46 AM
http://upic.me/i/9n/a11889471.gif (http://upic.me/show.php?id=7737f6433840bc33ae56bea030fcd265)

ขอบพระคุณที่มา http://images.google.co.th/imglanding?q=%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1&imgurl=http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m4/wimutti.jpg&imgrefurl=http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m4/Unit2/unit2-20.php&usg=__2YzLEvG6MfxTb5eaVlsP3hUFhBw=&h=369&w=350&sz=14&hl=th&um=1&itbs=1&tbnid=Tn1T8JOD6x5kEM:&tbnh=122&tbnw=116&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%26um%3D1%26hl%3Dth%26sa%3DX%26tbs%3Disch:1&um=1&sa=X&tbs=isch:1&start=13#tbnid=ksUlRdgxgAjuuM&start=338

lek
04-01-2010, 09:26 AM
วันศุกร์ ที่ 11 กันยายน 2552
ชายสามคน
Posted by idin , ผู้อ่าน : 214 , 07:52:14 น.
หมวด : วรรณกรรม/กาพย์กลอน Share Share





ชายสามคนยืนมองฟ้าในที่ที่เดียวกัน
ชายหนึ่งรุ่นกระทงมองฟ้าหน้าตาสดใส
ใจฝันอยากสร้างครอบครัวใหม่ มีภรรยาสาว มีลูกมีบ้าน ฝันถึงความสุข

ชายสองวัยย่างสี่สิบ มองฟ้าหน้าตาครุ่นคิด
คิดถึงลูกถึงภรรยา จะเลี้ยงจะหาเงินที่ไหนมา ให้ครอบครัวมีความสุข

ชายสามผมสีเทาเต็มหัว หลังค่อมสายตาพร่ามัว ทอดสายตามองฟ้าอย่างเงียบงัน
ลูกก็โตไปสร้างครอบครัวใหม่ ภรรยาก็ตายจาก ไม่มีสิ่งที่หวัง สิ่งที่ฝันอันใด

ชายหนุ่มรุ่นกระทงออกเดินทาง
ทำงานหนัก สร้างเนื้อสร้างตัว หวังสร้างครอบครัวใหม่

ชายวัยกลางคน ดิ้นรนกู้เงิน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ
ทำงานหนักหาเลี้ยงลูกเมียให้อยู่สุขสบาย

ชายวัยชรา กลับมาที่บ้าน
นั่ง ๆ นอน ๆ ก่ายกอดเงินทองที่หามา
เหงาวันใด ก็คุยกับไก่ กับหมา
สิ่งที่ไล่ตามไขว่คว้าตั้งแต่หนุ่มยันแก่แท้คือความสุขจอมปลอม


:) :) :)



เขาและใครและเรา
Posted by idin , ผู้อ่าน : 264 , 17:15:01 น.
หมวด : วรรณกรรม/กาพย์กลอน Share Share





เขาคนนั้นเขาว่าเขาแสนเหงา
เขาอีกเขา เขาก็ว่าเขาแสนเศร้า
ใครหลายเขา เขาก็บ่นว่างานมันรุมเร้า
เขาและเขาว่าโลกเรามันวุ่นวาย

* คนขายของก็ขายของไป
คนกวาดใบไม้ก็เก็บใบไม้ไป
คนใจร้ายก็อย่าร้ายให้เกินงาม
คนใจงามก็แบ่งความงามให้กันหน่อย

** มันก็เป็นอย่างนี้ มันก็มีแค่ดีกับไม่ดี
แล้วแต่ใจใครจะคิดไป
แล้วแต่ใครจะมองและคิดได้
เวลาเศร้าใจ เสียใจ
คงไม่มีใครรู้สึกได้เหมือนใจเรา

จะแบ่งเหงาแสนเหงาให้ใครกัน
จะแบ่งเศร้า กี่พันเศร้า
ใครเขาคงไม่รับ
จะแบ่งงานที่หนัก สักกี่งาน
เขาและเขาคงไม่ต้องการ
จะเป็นเรื่องงาน เรื่องเหงา เรื่องเศร้า
ใจของใจเรา ต้องแบ่งเบามันเอง …………………..





ขอบพระคุณที่มา http://www.oknation.net/blog/phupha/2008/10/01/entry-1

noppakorn
04-02-2010, 09:31 AM
เพื่อญาติธรรมทุกๆท่าน จะได้ทันสมัยตามยุค จึงขอเอาศัพท์ใหม่มาให้เรียนรู้ไว้ครับ

1. เหวง = คืออาการพูดจาไม่รู้เรื่อง ฟังไม่ได้ศัพย์
ตัวอย่าง = นี่ แก!..ทำไมแกพูดจา "เหวง" แบบนี้วะ

2. กี้ = คืออาการดันทุรัง มุทะลุดุดันแบบโง่ๆ
ตัวอย่าง = เมื่อวานนี้เซ็งพวกตำรวจ ship หาย...ก็แมร่ง "กี้" บอกว่ารถกรูวิ่งไม่เปิดไฟหน้าตอนกลางวัน

3. จตุพร = คืออาการของคนไร้สติ และขาดซึ่งปัญญา
ตัวอย่าง = นี่เธอ!..เธอรู้มั้ยว่าสิ่งที่เธอได้ทำลงไปนั้น มันจตุพรมากๆเลย

4. วีระ = คืออาการของคนสำรวม แบบไม่มีความคิดที่เป็นชิ้นเป็นอัน
ตัวอย่าง = นายแป้นเป็นเด็กที่ "วีระ" มากที่สุดในชั้นเรียน

5. ณัฐวุฒิ = คืออาการของคนเมาค้าง แล้วยังสามารถโกหกอย่างหน้าด้านๆว่ามันมีอยู่จริงๆ
ตัวอย่าง = เมื่อวานนี้กรูไปเจอคนๆนึงว่ะเพื่อน แมร่ง "ณัฐวุติ" น่าดู มันบอกว่าทักษิณจะได้กลับมาเป็นใหญ่

6. การุณ = คืออาการของคนเถื่อนดิบถร่อย เตะต่อยได้แม้กระทั่งจิ้งจก (คือเลวโดนสันดานอ่ะ)
ตัวอย่าง = นักเรียนที่มีพฤติกรรม "การุณ" หากทางโรงเรียนจับได้ มีโทษถึงไล่ออกสถานเดียว

7. ทักกี้ = คือพฤติกรรมการโกงแบบเชิงนโยบ าย และมีวาทะศิลป์ดี
ตัวอย่าง = ปลายเดือนก่อน ตำรวจได้จับข้าราขการผู้หนึ่ง ซึ่งมีพฤติกรรม "ทักกี้" มาสอบสวน

8. โอ๊คอ๊าค = คือพฤติกรรมของการลอกข้อสอบแบบเนียนๆ
ตัวอย่าง = โหเพื่อน!....แก "โอ๊คอ๊าค" ได้งัยวะเนี่ย สุดยอดเลยว่ะ จารย์ยังจับแกไม่ได้เลย...โห..นับถือๆ

9. เอม = คือพฤติกรรมของการแอบฝากเข้าเรียนหนังสือ
ตัวอย่าง = นี่เธอ ดูผู้หญิงคนนั้นสิ ได้ข่าวว่าพ่อเขาแอบ "เอม" เข้ามานะนั่น

10. อุ๊งอิ้ง = คือพฤติกรรมโกงข้อสอบแบบสอบผ่านและคะแนนเกือบเต็มทุกวิชา
ตัวอย่าง = ใครเขาจะไปรู้ล่ะว่าลูกของพ่อจะ "อุ๊งอิ๊ง" ได้ขนาดนี้

11. หญิงพจ = คืออาการขี้เหนียว ขี้ตืดอย่างรุนแรง
ตัวอย่าง = ไรวะเพื่อน..เงินแค่นี้ แกอย่ามา "หญิงพจ" กะเพื่อนเลย

12. จิ๋ว = คืออาการของคนรู้ทันเหตุการณ์แล้วหลบเลี่ยงได้หมด
ตัวอย่าง = ทางการได้เข้าทลายแหล่งผลิตยาบ้า ได้ของกลางกว่า 1 ล้านเม็ด แต่ผู้ต้องหา "จิ๋ว" กันหมด

13. เด็จพี่ = คืออาการของคนชอบทำร้ายเมีย/แฟน (เมียจะดีกว่านะแต่แฟนก็ใช้ได้ ไม่ผิดหรอก)
ตัวอย่าง = เมื่อวานนี้ข้างบ้าน ลุงแย้มแก "เด็จพี่" เมี ยแกอีกแล้ว

14. เหลิม = คืออาการของคนพูดจาวกวนไปมา เสียงดังบ้างในบางครั้ง แล้วมักจะไม่รู้ว่าลูกของตัวเองมีพ่อชื่อว่าอะไร
ตัวอย่าง = เมื่อวานนี้เจอคนเมาว่ะ แมร่ง "เหลิม" น่าดู

15. เสแดง = คืออการของคนที่ชอบพูดจาโวยวาย ซึ่งคล้ายๆกับ "กี้" แต่รุนแรงกว่านิดหน่อย
ตัวอย่าง = เฮ้ย.....ทำไมเวลาแกพูดกะชั้น แกต้องมา "เสแดง" ทุกทีด้วยวะ

16. เคทอง = คืออาการของคนที่ไม่สะทกสะท้านต่อความผิดที่ตัวเองได้ก่อ
ตัวอย่าง = ผู้ต้องหาที่ถูกจับได้นั้นมีอาการ "เคทอง" อย่างเห็นได้ชัดเจน

17. นุพงศ์ = คืออการของคนที่สงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่แอบแฝงเอาไว้ด้วยเล่ห์เหลี่ยม
ตัวอย่าง = แกเห็นไอ้เป้ามัน "นุพงศ์" ก็เหอะนะ รู้มัยว่ามันมีเงินจากการเล่นแชร์เดือนละหลายแสนเลยนะ

18. เทือก = คืออาการของคนชอบขวางผู้อื่นไม่ให้ทำงานทำการได้สำเร็จ
ตัวอย่าง = เจ้าเอมันเป็นคนที่ "เทือก" มากๆเลย ใครจะมาจัดการมันได้บ้างเนี่ย

19. นาธาน = คืออาการของคนที่ชอบพูดจาโกหกพกลม หรือแหลขั้นพ่อ
ตัวอย่าง = นี่หล่อน เงินแค่นี้ หล่อนจะมา "นาธาน" กะชั้นทำไม

20. มาร์ค = คืออาการ ของคนฉลาด รอบครอบ พูดน้อย สุขุม สง่างาม ......ที่สำคัญ หล่อด้วยอ่ะ
ตัวอย่าง = อืม...แฟนของลูกคนนี้ช่าง "มาร์ค" จริงๆเลย

ทั่นยาย
05-02-2010, 10:37 AM
สวัสดีค่ะ พี่นพกรณ์ เพียงฝัน และญาติธรรมทุกๆๆท่านค่ะ

นักวิชาการโลกฟันธงแล้วชนิดอาหารก่อมะเร็ง
บริโภค 'แกงเลียง' 'แกงเหลือง' ต้านโรคได้

โรคภัยที่คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกมาเป็นอันดับหนึ่งนั้นคือโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งตามมาอยู่อันดับสอง
หลายสิบปีมาแล้วที่วงการแพทย์ทั่วโลกพยายามหาสาเหตุของโรคมะเร็งแต่ละอวัยวะเพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไข
เพื่อสรุปให้ได้ข้อชัดเจนเสียทีว่าการบริโภคหรือระบบโภชนาการของมนุษย์โลกเป็นสาเหตุของมะเร็งแต่ละชนิดได้แค่ไหน
ล่าสุดหน่วยงาน เวิลด์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช ฟัน (World Cancer Research Fund) ร่วมกับ อเมริกัน อินสติติว ฟอร์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช
(American Institue for Cancer Research) ได้ตัดสินและสรุปงานวิจัยกว่า 7,000 เรื่องที่ศึกษาวิจัยความสัมพันธ์ของอาหาร
การออกกำลังกาย ภาวะน้ำหนักเกิน และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก

http://www.thaitox.org/media/upload/image/committee/Chaniphan.jpg

ชนิพรรณ บุตรยี่ นักวิชาการจากสถาบัน โภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำงานวิจัยนี้มาบรรยายในงานประชุมเรื่อง “ความท้าทาย
ทางพิษวิทยาในศตวรรษที่ 21” ว่า งานวิจัยใช้ระยะเวลาสรุปผล 5 ปี โดยนำงานวิจัยขนาดใหญ่ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างมากสุด ถึง 100,000 คน
และบางชิ้นมีการเก็บข้อมูลนานนับ 10 ปี ใช้เงินทำวิจัยมหาศาล จึงจัดเป็นงานวิจัยที่น่าเชื่อถือและยึดเป็นข้อมูลทางวิชาการได้
ถือเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่ชัดแล้ว โดยเน้นเรื่องการกินและการออกกำลังกายเป็นหลัก แบ่งเป็น 3 ระดับ ระดับแรกเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่นอน
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอาหาร วิถีชีวิต การออกกำลังกาย สิ่งแวดล้อม โดยพบว่าการดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
ทั้งวัยหมดประจำเดือนและก่อน มีประจำเดือน มะเร็งช่องปาก คอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (เฉพาะผู้ชาย)
มีไขมันในร่างกายเกินจากค่าดัชนีมวลกายหลังจากอายุ 21 ปีไปแล้ว เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมหลังหมดประจำเดือน
มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งไต และเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากระดับไขมันที่เป็นส่วนเกิน
แล้วยังแยกย่อยออกมาอีกว่า คนที่อ้วนลงพุง มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งลำไส้และทวารหนัก

สำหรับอาหารที่คลางแคลงใจกันมานานพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ในงานวิจัยนี้ฟันธงออกมาอย่างแน่ชัดแล้วว่าการ บริโภคเนื้อแดง
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว แกะ แพะ ในปริมาณที่สูงเกินจะก่อมะเร็งลำไส้ มีคำแนะนำให้บริโภคเพียงสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม
ควรหันมาบริโภคเนื้อสีขาว อย่างเนื้อไก่ หมู หรือปลา รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่ผ่าน กระบวนการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก แฮม เบคอน
อาหารเหล่านี้ต้อง รมควัน บางครั้งต้อง ปรุงรส ใช้เคมีเพื่อให้สี รสชาติและมวลของอาหารอยู่ครบ เป็นอาหาร ที่กินแล้วก่อมะเร็งเช่นกัน
ที่น่าตกใจพบว่าการ บริโภคเบต้าแคโรทีน ในรูปแบบอาหารเสริม จะเร่งให้เกิดมะเร็ง แต่ เบต้าแคโรทีนจะให้ผล ต่อร่างกายสูงสุดเมื่อ
บริโภคผักผลไม้สด ๆ ที่มีสารเหล่านี้ ประเภทผลไม้สีเหลือง เช่น มะละกอ มะม่วง แครอท

http://www.rd1677.com/backoffice/PicUpdate/37611.jpg
ผลไม้สีเหลือง

ขณะเดียวกันเมื่อมนุษย์ขึ้นสู่วัยหนุ่มสาวออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างสม่ำเสมอวันละ 30 นาที
จนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งเต้านม (โดยเฉพาะหญิงวัยหมดประจำเดือน)
และมะเร็งเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากนี้ผลวิจัยเป็นที่แน่นอนแล้วว่าแม่ควรให้นมลูกและเด็กทารกควรที่จะได้รับน้ำนมแม่
สามารถ ลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมทั้งก่อนและหลังหมดประจำเดือน ทั้งนี้ควรให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกคลอดจนถึง 6 เดือน
โดยไม่มีการให้อาหาร หรือเครื่องดื่มใด ๆ เลย รวมทั้งน้ำด้วย

http://www.moph.go.th/ops/iprg/news_pic/แกงเลียง1.jpg
แกงเลียง

ต่อมาข้อสรุปลำดับที่ 2 เรียกว่าเป็นที่แน่นอนบ่งชัดเจนหากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ในข้อนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในข้อแรกเชื่อได้ 90 เปอร์เซ็นต์
ในข้อนี้เน้นหนักด้านอาหารพบว่าการบริโภคผักใบ ลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งช่องปากคอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร
ผักกลุ่มหอมป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร การบริโภคผลไม้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด ช่องปาก
คอหอย กล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร

http://farm4.static.flickr.com/3359/3188034938_616424c5aa.jpg
แกงเหลือง

ลำดับที่ 3 ลดหลั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ลงมาภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือความสัมพันธ์ของอาหาร วิถีชีวิต ในข้อนี้เรียกว่ามีความเป็นไปได้
พบว่าการบริโภคอาหารที่มีไลโคปีน ซึ่งมีมากในมะเขือเทศลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก
นักวิชาการคนเดิมจากสถาบันโภชนาการ ม.มหดิล บอกอีกว่า แม้สารไลโคปีนจะมีมากในมะเขือเทศแต่ถ้าไม่ทำให้มะเขือป่นละเอียด
บริโภคไปร่างกายก็ไม่ได้ รับสารไลโคปีนอยู่ดี ดังนั้นการบริโภคมะเขือเทศสด แบบชิ้น ๆ กับการบริโภคซอสมะเขือเทศอย่างหลังได้รับ
ไลโคปีนมากกว่า นอกจากในงานวิจัยเรื่องการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง นักวิชาการทั่วโลกแนะนำว่าไม่ควรบริโภค
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง เว้นแต่เจ็บป่วยหรือมีภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง

ปัจจุบันพฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยเปลี่ยนไปโดยเฉพาะกลุ่มเด็กและคนวัยหนุ่มสาวบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ที่เห็นได้ชัด
จากวัฒน ธรรมการกินอาหารบุฟเฟ่ต์ ร้านเนื้อย่างหมูกระทะต่าง ๆ สอดคล้องกับงานวิจัยนี้ ข้อแนะนำของการกินเพื่อต้านมะเร็ง
ในแบบไทยซึ่งแม้งานวิจัยยังไม่ได้ถูกเลือกจากนักวิชาการ เพราะเป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ตามอัตภาพของทุนที่มี แต่น่าชื่อถือและนำไปใช้ได้

ในงานประชุมดังกล่าวข้างต้น ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล นักวิชาการจากสถาบันเดียวกัน ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง
“ศักยภาพต้านมะเร็งของตำรับอาหารไทย”

http://www.thaispecial.com/bookimages/9743870792/cover1.jpg
อาหารไทยทุกภาคมีคุณค่าทางโภคชนาการเป็นเลิศ

ดร.สมศรี กล่าวว่า ได้ศึกษาเรื่องนำสมุนไพรต่างชนิดมาทำเป็นน้ำพริกแกงต่าง ๆ ได้ทดลองสารสกัดของน้ำพริกแกง 4 ชนิด
ได้แก่ น้ำพริกแกงป่า แกงเลียง แกงส้ม แกงเหลือง และน้ำต้มยำนำมาเลี้ยงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่าน้ำแกงป่า น้ำแกงเลียง
และน้ำแกงส้มมีศักยภาพให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นในร่างกาย ได้มากถึง 45 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่แกงเหลืองทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่าเมื่อเทียบกัน ดีกว่าการใช้ยาถึง 2 เท่า
สมุนไพรสำคัญในเครื่องแกงน่าจะมาจากกระเทียมและพริกรวมทั้งสมุนไพรอื่น ๆ

จากงานวิจัยนี้สรุปได้ว่าการบริโภคอาหารที่เป็นสำรับแบบไทย อาทิ แกงเลียงกุ้งสด ห่อหมกใบยอ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ข้าวสวย
หรือ สำรับ ข้าวเหนียว ส้มตำใส่ แครอท ไก่ทอดสมุนไพร ต้มยำ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง


ขอขอบคุณ FW เมล์ดีๆจากกัลยาณมิตรค่ะ

ทั่นยาย
05-03-2010, 01:18 PM
สวัสดีค่ะพี่กรณ์ และญาติธรรมทุกท่านค่ะ

พูดถึงเรื่องอาหารที่ทานแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกายกันไปแล้วนะคะ
ที่นี้มาพูดถึงระเบียบในการกินกันบ้างค่ะว่าเราควรจะจัดระเบียบการกินอย่างไร
เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าเกิดโทษต่อร่างกายค่ะ

คำตอบคือกินสายกลาง กินสายกลางคือกินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง งดมื้อเย็น เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์
ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง
ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้ สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม
ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่
จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 ก.ก. ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที
ขี่อยู่นาน 60 นาที จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด
ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก
เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดยตับเป็นผู้ทำงานนี้
ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก ทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ
จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้น้อยลง
อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่นถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก
ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร
ฉะนั้นการกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง
ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน

การไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน
และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ แต่ท่าน ต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน วิธีฝึกมี 4 วิธี

1. ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ 1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่า
หลังอาหาร เย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ
ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น
2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น 3 โมงเย็น ฯ
3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่ม น้ำตามอีก 4-5 แก้ว
4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์
พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน

ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน
ท่านทราบแล้วใช่ใหมว่า ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติให้พระฉันเพียง 2 มื้อ คือ เช้า กับ เพล

amulet
07-15-2010, 03:45 PM
;D ;D ;D ;D ;D

noppakorn
07-22-2010, 01:21 PM
คุณๆที่ชอบซื้อ ไอครีม กลับบ้าน

อ่านแล้วสรุปได้ว่า ดรายไอซ์ หรือน้ำแข็งแห้ง ที่ช่วยเก็บความเย็นของไอครีม ทำให้ไอครีมไม่ละลาย


เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้หายใจไม่ออก แม้ว่าจะใส่ไว้ในกระโปรงหลังของรถก็ตาม

เหตุการณ์ที่ 1
วันนี้ไปซื้อไอติมฮาเก้นดาดแล้วให้เขาใส่น้ำแข็งแห้ง กะสักประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าจะถึงบ้านเพราะต้องแวะไปซื้อของที่อื่นด้วย ไปได้สัก 1 ชั่วโมงเราก็จอดลงไปซื้อขนมประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ขึ้นมาบน รถเห็นแฟนที่รออยู่บนรถหอบเหนี่อย
ก็ไม่สนใจอะไร สตาทรถออกมาตามปรกติ เราก็ไม่เอะใจอะไร สักพัก
ลูกเรา 5 เดือนก็ร้องไห้จ้าขึ้นมา ปรกติเขาไม่เคยร้องแบบนี้
เราก็เอานมให้ลูกกินคิดว่าลูกหิว เขาก็ไม่กิน
เราเองก็รู้สึกเหนี่อยขึ้นทุกทีคล้ายจะหอบ ก็เลยบ่นกับแฟนว่าเป็นอะไรไม่รู้
รู้สึกเหนี่อยเหลือเกิน แฟนก็ เลยบอกว่าเขาก็เป็น
ตอนแรกเขาคิดว่าเขาอ้วนเลยเป็นอย่างนั้น เราก็เลยรีบเปิดกระจกรถกันใหญ่
พออากาศถ่ายเทเข้ามาในรถเท่านั้นแป็บเดียวก็เป็นปรกติลูกเราหยุดร้องทันที อาการทั้งของเราและแฟนก็หายเป็นปรกติทันที
รถเราเป็นรถโตโยต้าวิช มันทะลุถึงกันหมด เพิ่งรู้ว่าคนที่จอดรถนอนแล้วตาย
เป็นอย่างนี้นี่เอง ขอให้เป็นอุทธาหรณ์ของทุกๆคนนะค่ะ สงสารลูกที่สุดเลยค่ะ
เขาคงทรมานมากพูดก็พูดไม่ได้

ก้อนน้ำแข็งแห้ง มันคือคาร์บอนไดออกไซด์เพียวๆ เลย
ซึ่งจัดว่าเป็นก๊าซอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ


เหตุการณ์ที่ 2
เรื่องน่ากลัวค่ะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ไปไหว้พระบาทกัน ขับรถไปกันเอง
ป๊าน้องปลื้มเป็นคนขับ ไปกัน 7 คน นั่งตอนละ 2 คน น้องปลื้มก็นั่งคาร์ซีทตอน 2 ไหว้พระเสร็จก็ประมาณบ่าย 2-3 โมง ขากลับหิวข้าวเลยแวะกินสเต็ก
(ลือชื่อแถวรังสิต)

ทานเสร็จอาม่าของน้องปลื้มกับอาเหล่าโกวก็ช็อปปิ้งไอติมกัน แล้วก็ซื้อกลับบ้านด้วย ทางร้านก็แพคใส่กล่องโฟม มีสติ๊กเกอร์แปะ อยู่ 2 ข้างเพื่อไม่ให้ฝาหลุด

ขากลับน้องปลื้มไม่ยอมนั่งคาร์ซีท เลยเอาไอติมวางไว้ที่คาร์ซีท
แล้วน้องปลื้มก็มานั่งกับเราที่ตอน 3 ระหว่างทางอาม่าก็บอกว่าทำไมรู้สึก
เหนื่อยจัง เหมือนหายใจไม่ออก แล้วเค้าก็มีอาการหอบ
ป๊าของน้องปลื้มก็บอกว่าเค้าก็เป็น ทำไมถึงเป็นไม่รู้

คุยกันไม่มานึกว่า เค้า 2 คนกินอะไรเหมือนกันที่คนอื่นไม่ได้กินหรือเปล่า
เราก็สังเกตุเห็นทำไมน้องปลื้มหายใจแรงจัง หายใจหอบๆ เสียงลมหายใจฟี้ดๆ แล้วน้องปลื้มก็เอานิ้วแคะจมูก เราก็นึกว่ามี ขึ้มูกทำให้หายใจไม่สะดวก
ก็เลยแคะให้ แต่ก็ไม่เห็นมีนี่นา อาม่าของปลื้มก็หอบใหญ่เลย
ปลื้มก็หายใจถี่แรง แล้วก็หอบมากขึ้น

อาเหล่าโกวก็เอะใจถามว่าไอติมที่เราซื้อมามีดรายไอซ์หรือเปล่า
มีนะเพราะซื้อทุกครั้งเค้าก็แพคให้

เลยถึงบางอ้อ! ค่ะ เพราะดรายไอซ์นี่เอง มันเป็นคาร์บอนไดออกไซค์ รถปิด หน้าต่างเปิดแอร์ ทำให้ออกซิเจนในรถน้อยลง อากาศไม่ไหลเวียน
เลยรีบเปิดหน้าต่าง อาการของทั้ง 3 คน หายทันทีเลยคะ

ตกอกตกใจกันไปทั้งรถ มั่วแต่หาสาเหตุอื่นๆ ไม่ได้คิดถึงกล่องไอติมเลย รู้
ทั้งรู้ แต่นึกไม่ถึงคะ
ถ้ารถเก๋งวางไว้กระโปรงหลังคิดว่าคงไม่เป็นไร แต่นี่รถ 3 ตอน แถมวางไว้ตรง
ตอน 2 กลางรถพอดี มันก็เลยไหวเวียนอยู่ในรถนั่นแหละ น่ากลัวมากๆเลย
ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าทุกคน หลับกันหมด หรือน้องปลื้มหลับ
เค้าจะมีอาการแสดงให้เราเห็นหรือเปล่า

ป๊าของน้อง! ปลื้มบอกว่ารู้แล้วว่าคนขาดอากาศหายใจตายเป็นไง รีบเอาดรายไอซ์ทิ้งหมดเลยค่ะ หรือถ้าแพคใส่กล่องแต่ปิดเทปรอบปากกล่องก็คงดีกว่า
เลยอยากมาเล่าให้พ่อ ๆ แม่ๆฟังกัน เรื่องที่รู้ทั้งรู้นะแต่นึกไม่ถึงว่าจะ
อันตรายขนาดนี้คราวหน้าคราวหลังถ้าซื้อไอติมมาคงต้องแพคให้หนาแน่นกว่านี้

เหตุการณ์ที่ 3

ยืนยันด้วย อันนี้เรื่องจิงคับ เคยโดนมากะตัวเหมือนกัน เราทำงาน CP เกี่ยวกะอาหารส่งออก ต้องไปเอาสินค้าตัวอย่างให้ลูกค้า โรงงานก็ pack ใส่กล่องโฟมใหญ่ ๆ หลายกล่อง แล้วใส่ Dry ice เยอะมากทุกกล่อง เพราะกลัวสินค้าเสียหาย พอออกรถไปซักพัก หายใจไม่อ อกกันทั้งรถ เกือบตายเหมือนกัน นึกขึ้นมาได้ว่ามี dry ice ในกล่อง เลยรีบจอด แล้วเอา dry ice ออก (นี่ก็ไว้กระโปรงท้ายรถเหมือนกันนะ) เล่นเอาเกือบตาย

lek
07-23-2010, 07:17 PM
ความสุขอยู่ที่เดียวกับความทุกข์
« เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2010, 12:54:40 am » อ้างถึง

--------------------------------------------------------------------------------





ความสุขอยู่ที่เดียวกับความทุกข์











ความสุขอยู่ที่เดียวกับความทุกข์

ความทุกข์อยู่ที่เดียวกับความสุข

มือเกิดจากด้านทั้งสองของมือมารวมกัน ฉันใด

ชีวิต ก็คือ องค์รวมของความสุขความทุกข์มาประสานกัน ฉันนั้น

อย่ากลัวทุกข์

เพราะที่สุดแห่งทุกข์นั้น ผลิบานเป็นความสุขได้

ขอบพระคุณที่มาhttp://www.loengjit.com/board/index.php?topic=773.0

lek
07-23-2010, 07:42 PM
http://upic.me/i/ks/521104034.jpg (http://upic.me/show.php?id=ace29d1771916e8c7ccc4e23e1956704)
http://upic.me/i/bs/521104035.jpg (http://upic.me/show.php?id=5c734734529081d7aac36a7856fedbe9)
http://upic.me/i/hg/521104036.jpg (http://upic.me/show.php?id=5f3ec1e6d25f3e3802ca20eb0c3cfe26)
http://upic.me/i/h6/521104037.jpg (http://upic.me/show.php?id=832d17e6b8663e877848261ef8fb24fc)


http://upic.me/i/4j/521104040.jpg (http://upic.me/show.php?id=a9cc166eb17257d8e3b1823f13d7a7f2)
http://upic.me/i/97/521104042.jpg (http://upic.me/show.php?id=db490562b51c9b29a1c6d94ae5f4075c)
http://upic.me/i/ni/521104043.jpg (http://upic.me/show.php?id=0e0e2da17711bc55c177ad6dfe5956ca)
http://upic.me/i/oz/521104044.jpg (http://upic.me/show.php?id=27e8b3aeaa671f88601e326bf21ec4eb)
http://upic.me/i/fp/521104045.jpg (http://upic.me/show.php?id=7a4da4bc1627bd5ca0546f18af832d9a)
http://upic.me/i/fj/521104046.jpg (http://upic.me/show.php?id=df0a83261a6b58ce06e3cdbfdd10b25e)
ขอบพระคุณที่มาจากเมลล์เพื่อนที่แสนดี

lek
08-15-2010, 06:17 AM
อาหารแสลงของผู้ป่วยมะเร็ง

1. กลุ่มเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทุกชนิด
โดยเฉพาะ กบเต่า ปลาไหล ตะพาบ ปลากระเบน
เป็ด ห่าน ไข่นกกระทา ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาเจ่า
ปลาส้ม แหนม ปูเค็ม ปูทะเลสด อาหารทะเล
หอยทุกชนิด เนื้อวัว เนื้อควาย กระเพาะปลา
เย็นตาโฟ รวมทั้งไข่ นมและไขมันจากสัตว์

2. พืชบางชนิด โดยเฉพาะที่มีรสหวานจัด
เช่น ขนุน ลำไย ทุเรียน กล้วยหอม ละมุด
กะทิ มะพร้าวอ่อน พืชบางอย่างที่แสลง
เช่น หน่อไม้ แตงกวา ใบชะพลู ฝรั่ง


3. งดเครื่องปรุงที่มีวัตถุกันเสีย ที่มีผงชูรส
น้ำปลา กะปิ น้ำตาลทรายขาว ของหมักดอง
เต้าเจี้ยว สีผสมอาหาร

4. งดเครื่องดื่ม เช่น ชา กาแฟ รังนก ซุปไก่สกัด โอวัลติน
นอกจากนี้ยังไม่ควรใช้เครื่องใช้ที่อาจมีสารพิษปนเปื้อน
เช่น พลาสติก หม้ออะลูมิเนียม แต่ควรใช้หม้อดิน
สเตนเลส เซรามิค หม้อเคลือบ หรือทัพพีไม้

อาหารที่ควรรับประทาน
1. ข้าวกล้อง เผือก มัน ข้าวโพด ข้าวฟ่าง
ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์
2. โปรตีนจากพืช เช่น ถั่วฝักอ่อน ถั่วงอก
ถั่วฝักยาว ถั่วแขก ถั่วพลู
3. ควรทานผักสด ผลไม้สดที่ไม่มีข้อห้าม
น้ำผัก(ควรใช้เครื่องแยกกาก) ควรใช้ผงถ่านแช่ล้าง
เพื่อดูดซับสารพิษ
ขอบพระคุณที่มาhttp://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=10&t=33848

lek
09-26-2010, 08:49 PM
1. ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน

คำตอบคือกินสายกลาง กินสายกลางคือกินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง งดมื้อเย็น เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน
หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้ สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ
มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่
จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 ก.ก. ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน 60 นาที
จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น
พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดยตับเป็นผู้ทำงานนี้
ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก ทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด
ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น
ถ้าวันไหนอุดตัน เช่นถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง
ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร ฉะนั้นการกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก
มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน

การไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี
ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ แต่ท่าน ต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน วิธีฝึกมี 4 วิธี

1. ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ 1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่า หลังอาหาร
เย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้
สุดท้ายงดอาหารเย็น
2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น 3 โมงเย็น ฯ
3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว
4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์
พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน

ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน
ท่านทราบแล้วใช่ใหมว่า ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติให้พระฉันเพียง 2 มื้อ คือ เช้า กับ เพล

2.โรค Attention Deficit Trait
โดย ผศ. ดร. พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th

ท่านผู้อ่านเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทำงานในลักษณะของ Multitasking หรือไม่ครับ? คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลาย ๆ อย่างไปในขณะเดียวกัน เช่นในขณะที่กำลังเช็คอีเมลทางคอมพิวเตอร์ ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้อง พร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุม ก็สั่งงานพร้อมทั้งหาข้อมูล และตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ข้างหน้า

ในอดีตผมก็เคยชื่นชมคนพวกนี้นะครับว่า มีความสามารถมาก สามารถทำงานได้หลายอย่างในขณะเดียวกัน สามารถทำงานได้ออกมาเยอะ และดูยังสงบไม่ตื่นเต้นโวยวายเท่าใด

แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ ว่า การทำงานในลักษณะ Multitasking นั้น กลับเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน ที่เราเรียก Attention Deficit Trait หรือ ADT โรคนี้เป็นโรคที่เราจะเจอมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะแวดล้อมที่บังคับให้คนทำงานจะต้องทำงานด้วยความรวดเร็วมากขึ้น ทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา ไม่มีเวลาหรือโอกาสได้สงบพัก

ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองหรือบุคคลรอบข้างนะครับว่า เป็นโรคนี้หรือไม่ ?

ผมอ่านพบเจอโรคนี้จากวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม 2548 ในบทความชื่อ
Why Smart People Underperform เขียนโดย Edward M. Hallowell ซึ่งเป็นจิตแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรคที่เกี่ยวกับสมองและสมาธิทั้งหลาย คุณหมอท่านนี้ทำการรักษาอาการ Attention Deficit Disorder หรือ ADD มากว่า 25 ปี และ โรค ADD นี้เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน เรามักจะเรียกโรคนี้ว่าเป็นโรคสมาธิสั้น

ผู้เขียนบทความนี้เขาพบว่า ในช่วงหลังๆ เริ่มมี ผู้ใหญ่เข้ามารับการรักษาในอาการที่คล้ายกับโรคสมาธิสั้นกันมากขึ้น แต่เมื่อวินิจฉัยดูก็ไม่ได้เป็นโรคสมาธิสั้น แต่เป็นโรคอีกชนิดหนึ่ง ที่มีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้น คุณหมอท่านนี้ เลยตั้งชื่อใหม่ว่าเป็น Attention Deficit Trait หรือ ADT โดยสาเหตุของ ADT จะต่างจากโรคสมาธิสั้น เนื่องจากโรคสมาธิสั้นจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมและสภาวะแวดล้อม แต่ ADT นั้น จะมาจากสภาวะแวดล้อมเป็นหลัก

ผู้ที่เป็นโรค ADT นั้น มักจะมีอาการสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ ก็จะถูกดึงดูดด้วยงานอย่างอื่น มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน (แต่มักจะไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น ) ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่างๆ (Unorganized) การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารเวลา

โรค ADT นี้ มักจะเริ่มก่อเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ การที่มีความรู้สึกว่ามีงานด่วน หรือสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อยๆ และท่านพยายามที่จะจัดการกับงานด่วนเหล่านั้นให้สำเร็จ จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADT เพราะเมื่อเรามีงานที่เร่งด่วน หรือจำเป็นเข้ามาเรื่อยๆ เราก็มักจะรับภาระความรับผิดชอบต่องานเหล่านั้น อีกทั้งไม่บ่นไม่โวยวายต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้น เราจะก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้งานสำเร็จ ทั้งๆ ที่กำลังความสามารถ และเวลาของเราไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณของงานที่เข้ามา ดังนั้น เมื่อเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนขึ้น เราก็มักจะอยู่ในอาการของความรีบร้อนตลอดเวลา พยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็ว

การทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน และขาดสมาธิต่อการทำงานๆ หนึ่ง (Unfocused) แต่ในขณะเดียวกัน บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่บ่นไม่โวยวาย ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยครับว่าโรค ADT จะก่อให้เกิดปัญหาอะไรขึ้น? ง่ายๆ ก็คือ ทำให้สมองเราสูญเสียความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง จะส่งผลให้งานที่ออกมาเป็นงานที่เร็วแต่ไม่ลึก จะทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดน้อยลง การที่สมองเราจะต้องรับ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลง อีกทั้งความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้มากขึ้น

โรคนี้ถือเป็นโรคใหม่ในที่ทำงานอย่างหนึ่งครับ เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการทำงาน ที่ต้องการความรวดเร็ว และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สมองเราจะต้องรับและประมวลผลข้อมูลต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิม วัฒนธรรมในการทำงานในปัจจุบัน ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของความเร็วในการทำสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันดูเหมือนว่าเราต้องการความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ (เรามักจะคิดว่าในเมื่อคนทุกคนมีเวลาเท่ากัน ดังนั้น ผู้ที่มีความเร็วมากกว่าจะทำงานได้มากกว่า )

ท่านผู้อ่านลองสังเกตซิครับเวลาท่านขึ้นลิฟต์ ปุ่มไหนที่ท่านจะกดบ่อยที่สุด ปุ่มนั้นก็คือปุ่ม "ปิดประตู" เนื่องเพราะทุกคนเป็นทาสของความเร็ว ไม่สามารถรอให้ลิฟต์ปิดได้เอง

*** ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเป็นโรค ADT กันบ้างไหมครับ ผมลองสังเกตตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นเหมือนกันครับ ทั้งสาเหตุและอาการก็เหมือนกับที่คุณหมอเขาเขียนไว้ในบทความของเขาเลยครับ เพียงแต่ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจนะครับ ถ้ารู้สึกว่าตนเองเป็น ADT เนื่องจากคนแต่ละคนจะมีวิธีการในการบริหารและจัดการกับโรค ADT ที่ต่างกัน ( เนื่องจากสมองของคนแต่ละคนต่างกัน)***

3. ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง

เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งลงบทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอกท่านหนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก เมนส์ไม่มา แถมเธอยังเข้าใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้างแล้วแต่อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติขอผู้หญิงซะอีก เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่แต่ ในกองถ่ายจะหาห้องน้ำสะอาดๆยาก เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้ หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำจะได้ไม่ต้องปัสสาวะ พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอก มีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้ อาจจะ เป็นเพราะภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกัน ท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว ไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกัน กลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี พอทำอย่างนี้ไปนานๆ เข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่าไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลย โดยร่างกายเข้าใจว่าวิธีการนี้ถูกต้อง ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์ กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซนต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไป เพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด

เลือดเราจะข้นหนืด ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง

จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตุได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้ และก็ฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอให้เส้นเลือดอุดตันได้เลย

เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใส ตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมาทำให้ น้ำขุ่นอีกอยู่ดี เช่นเดียวกัน เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออก ยังนอนก้นอยู่ในร่างกายเรา ดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือด เราอีก เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้ง ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้ และลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีกเลือดเราก็ยังสกปรกและข้นหนืดมากขึ้นไปอีก และลองพิจารณาดูครับว่า เลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้น จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายเพียงใด

ที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ 1-3 ครั้งทุกๆวัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่ เราทานเข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา 1 ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุง ร่างกายเราทั้งหมดหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่ การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมาๆหยุดๆ แล้วแต่อารมณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป ที่ถูกสำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตก และไม่ได้รับการผสมพันธุ์ เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติ ร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด

ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ
2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ
4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน

เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์ หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น สิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้น ดังนั้นถ้าเรามีอาการดังที่กล่าวมา ก็ขอให้เราจงเข้าใจด้วยว่าร่างกายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้ว มันเป็นสัญญาณเตือนภัย ที่เราไม่ควรมองข้าม หรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออก เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา หรือบำบัดโรคต่างๆให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อยๆ เหมือนรุกใต้ดิน โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว...


4. เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง - เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการโรค Apoplexy

เพื่อนคนหนึ่งหกล้มในงานบาบีคิวปาร์ตี้ เพื่อนในงานแนะให้หาหมอ
แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไร เพียงแต่ใส่รองเท้าใหม่แล้วสะดุดเท่านั้น
อิงอิงดู ยืนไม่ค่อยมั่นคง

เพื่อนช่วยปัดเป่าเสื้อผ้าให้แล้วยกอาหารจานใหม่ให้ร่วมสนุกกันต่อ
หลังจากนั้น ผู้สามีแจ้งมาว่า อิงอิงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล แต่แล้วก็เสียชีวิตตอน 6 โมงเย็น

ถ้าหากเพื่อนๆรูจักวินิจฉัยอาการโรค ป่านนี้อิงอิงอาจยังมีชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ
บางคนเส้นโลหิตในสมองแตก อาจไม่ตาย แต่ก็อาจเป็นอัมพฤตหรืออัมพาด

แพทย์ทางประสาทวิทยากล่าวว่า หากผู้ป่วยถึงมือแพทย์ภายใน 3 ชม.ก็จะมีโอกาสรอด
ถ้าคนข้างเคียงไม่รู้จักวินิจฉัยอาการ สมองผู้ป่วยก็จะถูกทำลายอย่างร้ายแรง



วิธีวินิจฉัยอาการ

แพทย์แนะว่า คนข้างเคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ

โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนี้
> S: (smile) ให้ผู้ป่วยยิ้ม
> T: (talk) ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์ เช่น วันนี้อากาศสดใสดีจัง
> R: (raise) ให้ผู้ป่วยชูแขนสองข้าง

อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก
ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ใช่แล้ว ส่ออาการอันตราย !!!

ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบติดต่อแพทย์ ส่งร.พ.โดยด่วน

โปรดส่งข้อความนี้ให้เพื่อนๆ เพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น

jokerzero
09-30-2010, 06:34 PM
นักวิชาการโลกฟันธงอาหารก่อมะเร็ง ไทยพบแกงเลียง-แกงเหลือง ต้านได้


http://btgsf1.fsanook.com/weblog/entry/177/889239/curry.jpg

โรคภัยที่คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกมาเป็นอันดับหนึ่งนั้นคือโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งตามมาอยู่อันดับสอง หลายสิบปีมาแล้วที่วงการแพทย์ทั่วโลกพยายามหาสาเหตุของโรคมะเร็งแต่ละอวัยวะ เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไข เพื่อสรุปให้ได้ข้อชัดเจนเสียทีว่าการบริโภคหรือระบบโภชนาการของมนุษย์โลก เป็นสาเหตุของมะเร็งแต่ละชนิดได้แค่ไหน

ล่าสุด หน่วยงาน เวิลด์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช ฟัน (World Cancer Research Fund) ร่วมกับ อเมริกัน อินสติติว ฟอร์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช (American Institue for Cancer Research) ได้ตัดสินและสรุปงานวิจัยกว่า 7,000 เรื่องที่ศึกษาวิจัยความสัมพันธ์ของอาหาร การออกกำลังกาย ภาวะน้ำหนักเกิน และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก

ชนิพรรณ บุตรยี่ นักวิชาการจากสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำงานวิจัยนี้มาบรรยายในงานประชุมเรื่อง ความท้าทายทางพิษวิทยาในศตวรรษที่ 21 ว่า งานวิจัยใช้ระยะเวลาสรุปผล 5 ปี โดยนำงานวิจัยขนาดใหญ่ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างมากสุด ถึง 100,000 คน และบางชิ้นมีการเก็บข้อมูลนานนับ 10 ปี ใช้เงินทำวิจัยมหาศาล จึงจัดเป็นงานวิจัยที่น่าเชื่อถือและยึดเป็นข้อมูลทางวิชาการได้ ถือเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่ชัดแล้ว โดยเน้นเรื่องการกินและการออกกำลังกายเป็นหลัก แบ่งเป็น 3 ระดับ ระดับแรกเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่นอน เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอาหาร วิถีชีวิต การออกกำลังกาย สิ่งแวดล้อม โดยพบว่าการดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้า นม ทั้งวัยหมดประจำเดือนและก่อน มีประจำเดือน มะเร็งช่อง ปาก คอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (เฉพาะผู้ชาย) มีไขมันในร่างกายเกินจากค่าดัชนีมวลกายหลังจากอายุ 21 ปีไปแล้ว เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมหลังหมดประจำเดือน มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งไต และเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากระดับไขมันที่เป็นส่วนเกินแล้วยังแยกย่อยออกมาอีกว่า คนที่อ้วนลงพุง มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งลำไส้และทวารหนัก

สำหรับ อาหารที่คลางแคลงใจกันมานานพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ในงานวิจัยนี้ฟันธงออกมาอย่างแน่ชัดแล้วว่าการบริโภคเนื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว แกะ แพะ ในปริมาณที่สูงเกินจะก่อมะเร็งลำ ไส้ มีคำแนะนำให้บริโภคเพียงสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม ควรหันมาบริโภคเนื้อสีขาว อย่างเนื้อไก่ หมู หรือปลา รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่ผ่าน กระบวนการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก แฮม เบคอน อาหารเหล่านี้ต้องรมควัน บางครั้งต้องปรุงรส ใช้เคมีเพื่อให้สีรสชาติและมวลของอาหารอยู่ครบ เป็นอาหารที่กินแล้วก่อมะเร็งเช่นกัน ที่น่าตกใจพบว่า การบริโภคเบต้าแคโรทีนในรูปแบบอาหารเสริม จะเร่งให้เกิดมะเร็ง แต่เบต้าแคโรทีนจะให้ผลต่อร่างกายสูงสุดเมื่อบริโภคผักผลไม้สดๆ ที่มีสารเหล่านี้ ประเภทผลไม้สีเหลือง เช่น มะละกอ มะม่วง แครอท

ขณะ เดียวกันเมื่อมนุษย์ขึ้นสู่วัยหนุ่มสาว การออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างสม่ำเสมอวันละ 30 นาทีจนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งเต้านม (โดยเฉพาะหญิงวัยหมดประจำเดือน) และมะเร็งเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากนี้ผลวิจัยเป็นที่แน่นอนแล้วว่า แม่ควรให้นมลูก และเด็กทารกควรที่จะได้รับน้ำนมแม่ สามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้า นมทั้งก่อนและหลังหมดประจำเดือน ทั้งนี้ ควรให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกคลอดจนถึง 6 เดือนโดยไม่มีการให้อาหาร หรือเครื่องดื่มใดๆ เลย รวมทั้งน้ำด้วย

ต่อมาข้อสรุปลำดับที่ 2 เรียกว่าเป็นที่แน่นอนบ่งชัดเจนหากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ในข้อนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในข้อแรกเชื่อได้ 90 เปอร์เซ็นต์ ในข้อนี้เน้นหนักด้านอาหารพบว่าการบริโภคผักใบ ลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งช่องปากคอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ผักกลุ่มหอมป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร การบริโภคผลไม้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด ช่องปาก คอหอย กล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร

ลำดับ ที่ 3 ลดหลั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ลงมาภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือความสัมพันธ์ของอาหาร วิถีชีวิต ในข้อนี้เรียกว่ามีความเป็นไปได้พบว่าการบริโภคอาหารที่มี ไลโคปีน ซึ่งมีมากในมะเขือเทศ ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก

นักวิชาการคนเดิมจากสถาบันโภชนาการ ม.มหดิล บอกอีกว่า แม้ สารไลโคปีนจะมีมากในมะเขือเทศ แต่ถ้าไม่ทำให้มะเขือป่นละเอียด บริโภคไปร่างกายก็ไม่ได้รับสารไลโคปีนอยู่ดี ดังนั้นการบริโภคมะเขือเทศสดแบบชิ้นๆ กับการบริโภคซอสมะเขือเทศ อย่างหลังได้รับไลโคปีนมากกว่า นอกจากในงานวิจัยเรื่องการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง นักวิชาการทั่วโลกแนะนำว่า ไม่ควรบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง เว้นแต่เจ็บป่วยหรือมีภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง

ปัจจุบัน พฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยเปลี่ยนไป โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและคนวัยหนุ่มสาวบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ที่เห็นได้ชัดจากวัฒ ธรรมการกินอาหารบุฟเฟ่ต์ ร้านเนื้อย่างหมูกระทะต่างๆ สอดคล้องกับงานวิจัยนี้ ข้อแนะนำของการกินเพื่อต้านมะเร็งในแบบไทยซึ่งแม้งานวิจัยยังไม่ได้ถูกเลือกจากนักวิชาการ เพราะเป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ตามอัตภาพของทุนที่มี แต่น่าชื่อถือและนำไปใช้ได้

ในงานประชุมดังกล่าวข้างต้น ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล นักวิชาการจากสถาบันเดียวกัน ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง ศักยภาพต้านมะเร็งของตำรับอาหารไทย

ดร.สม ศรี กล่าวว่า ได้ศึกษาเรื่องนำสมุนไพรต่างชนิดมาทำเป็นน้ำพริกแกงต่างๆ ได้ทดลองสารสกัดของน้ำพริกแกง 4 ชนิด ได้แก่ น้ำพริกแกงป่า แกงเลียง แกงส้ม แกงเหลือง และน้ำต้มยำ นำมาเลี้ยงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่า น้ำแกงป่า น้ำแกงเลียง และน้ำแกงส้ม มีศักยภาพให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นในร่างกายได้มากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่แกงเหลืองทำให้เซลล์มะเร็งตาย แบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่าเมื่อเทียบกัน ดีกว่าการใช้ยาถึง 2 เท่า สมุนไพรสำคัญในเครื่องแกงน่าจะมาจากกระเทียมและพริกรวมทั้งสมุนไพรอื่นๆ

จาก งานวิจัยนี้สรุปได้ว่า การบริโภคอาหารที่เป็นสำรับแบบไทย อาทิ แกงเลียงกุ้งสด ห่อหมกใบยอ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ข้าวสวย หรือ สำรับข้าวเหนียว ส้มตำใส่แครอท ไก่ทอดสมุนไพร ต้มยำ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง สอดรับกับงานวิจัยระดับโลกที่ว่าอาหารการกินเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนห่างไกลมะเร็งได้อยู่


สนับสนุนเนื้อหา http://btgsf1.fsanook.com/weblog/category/1/5231/newspaper-dalinews.gif

คำที่เกี่ยวข้อง : แกงเลียง (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87.html) เนื้อสัตว์ (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C.html) แกงส้ม (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1.html) สารก่อมะเร็ง (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87.html) ไลโคปิน] (http://[url=http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%99.html) ไลโคปิน (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%99.html) มะเร็ง (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87.html)

jokerzero
10-01-2010, 07:38 PM
วิธีทานของปิ้งย่างแบบไม่เสียสุขภาพ


http://btgsf1.fsanook.com/weblog/entry/185/927016/102743741.jpg


เป็นที่ทราบกันดีว่าอาหารประเภทย่างที่โปรดปรานของ หลายคนนั้นอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพนัก เพราะการทำให้อาการสุกโดยใช้ความร้อนสูงโดย การปิ้ง ย่าง และทอดนั้น จะมีสารที่ก่อมะเร็งหรือ heterocyclic amines (HCAs) and polycyclic aromatic hydrocarbons (PAHs) ออกมาขณะทำอาหาร แต่หากอดใจไม่ไหวกับความหอมหวนของอาหารประเภทนี้ เหล่านี้คือวิธีลดความเสี่ยงจากการปิ้งย่างลง

- เพิ่มผักตระกูลผักกาดลงไป เช่น บล็อกโคลี กะหล่ำปลี ผักประเภทนี้จะอุดมไปด้วย sulforaphane ที่จะช่วยป้องกันการถูกทำลายของดีเอ็นเอ เคยมีงานวิจัยระบุไว้ว่า ผู้ที่รับประทานกะหล่ำดาววันละประมาณสองถ้วยครึ่งทุกวัน สามารถช่วยลดความเสียหายของดีเอ็นเอในร่างกายได้

- จุ่มเนื้อด้วยน้ำซอสขณะย่าง เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดปริมาณของสารก่อมะเร็งลงได้ร้อยละ 92 - 99 การศึกษาวิจัยพบว่าน้ำซอสที่มีส่วนผสมของไวน์หรือเบียร์ช่วยลดสารก่อมะเร็ง ลงได้ ทั้งยังช่วยต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

- เปลี่ยนจากเนื้อเป็นปลา อาหารทะเล จะทำให้เกิดสารก่อมะเร็งน้อยกว่าเนื้อสัตว์ เพราะมีกรดอะมิโนน้อยกว่า และใช้เวลาในการปิ้งย่างน้อยกว่า

- ลดไขมันลง หากคุณชอบเนื้อสัตว์มากกว่าอาหารประเภทปลา ลดการบริโภคไขมันจากเนื้อสัตว์ลงด้วยการนำหนังไก่ออกก่อนย่าง เพราะหนังไก่ หรือเนื้อขาวจะทำให้เกิดการปะทุของไฟขณะย่าง ซึ่งเป็นตัวการของมะเร็ง นอกจากนี้ยังเป็นต้นเหตุของมะเร็งเต้านม

- ชุบแป้ง การนำเนื้อไปหมักกับสมุนไพร หรือแป้งเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยลดสารก่อมะเร็งขณะย่างลง เพราะนอกจากสมุนไพรจะมีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระแล้ว การชุบแป้งยังช่วยลดสารก่อมะเร็งได้เป็นอย่างดี อย่าลืมเพิ่มอาริกาโน ใบโหระพา มินท์ หรือเครื่องเทศ ลงในเนื้อของคุณก่อนย่างทุกครั้ง


สนับสนุนเนื้อหา http://btgsf1.fsanook.com/weblog/category/1/5291/sanook-women-2.gif

คำที่เกี่ยวข้อง : สุขภาพ (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E.html) สารก่อมะเร็ง (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87.html) กินปิ้งย่างปลอดภัย (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2.html) โรคมะเร็ง (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87.html) อาหารย่าง (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87.html) อาหารปิ้ง (http://www.smilefine.com/index.php/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87.html)

noppakorn
03-22-2011, 04:34 PM
"สามเหลี่ยมชีวิต" วิธีรอดตายจากแผ่นดินไหว

http://us.mg1.mail.yahoo.com/ya/download?mid=1%5f895%

Edited for MAA Safety Committee brief
เรียบเรียงสำหรับการสรุปให้คณะกรรมการด้านความปลอดภัย MAA



My name is Doug Copp. I am the Rescue Chief and Disaster Manager of the American Rescue Team International (ARTI), the world's most experienced rescue team. The information in this article will save lives in an earthquake.

ผมชื่อ ดัก คอบบ์ ผมเป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัยและผู้จัดการด้านพิบัติภัยของทีมกู้ภัยนานาชาติแห่งสหรัฐฯ ซึ่ง
เป็นทีมกู้ภัยที่มีประสบการณ์มากที่สุดในโลก ข้อมูลในบทความนี้จะช่วยชีวิตคนในกรณีแผ่นดินไหว

I have crawled inside 875 collapsed buildings, worked with rescue teams from 60 countries, founded rescue teams in several countries, and one of the United Nations experts in Disaster Mitigation for two years. I have worked at every major disaster in the world since 1985.

ผมเคยคลานเข้าไปในตึกที่ถล่มมา 875 ตึก เคยทำงานกับหน่วยกู้ภัยจาก 60 ประเทศ ก่อตั้งหน่วยกู้ภัยในหลายประเทศ
และเป็นเหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการอพยพผู้คนกรณีเกิดพิบัติภัยขององค์การสหประชาชาติมา 2 ปี ผมได้ทำงานกับพิบัติภัยใหญ่ๆ ในโลกมาตั้งแต่ปี 1985

In 1996 we made a film, which proved my survival methodology to be correct. We collapsed a school and a home with 20 mannequins inside. Ten mannequins did 'duck and cover,' and the other ten mannequins used my 'triangle of life' survival method. After the simulated earthquake, we crawled through the rubble and entered the building to film and document the results. The film showed that there would have been zero percent survival for those doing duck and cover; and 100 percent survivability for people using my method of the 'triangle of life.'

เมื่อปี 1996 เราได้ทำภาพยนต์ขึ้นมาเรื่องหนึ่งซึ่งได้พิสูจน์ว่าวิธีการรักษาชีวิตของผมถูกต้อง เราได้ถล่มโรงเรียนและบ้านที่มีหุ่นมนุษย์ 20 ตัว อยู่ภายใน
หุ่น 10 ตัว'มุดและหาที่กำบัง' และอีกสิบตัวใช้วิธีการรักษาชีวิตแบบ 'สามเหลี่ยมชีวิต' ของผม หลังจากแผ่นดินไหวทดลอง เราคลานผ่านซากปรักหักพัง
และเข้าไปในตึกเพื่อถ่ายภาพและเก็บข้อมูลของผลที่เกิดในภาพยนต์แสดงให้เห็นว่าอัตราการอยู่รอดของพวกที่มุดและหาที่กำบังคือศูนย์ และโอกาสรอด 100%
สำหรับพวกที่ใช้วิธี 'สามเหลี่ยมชีวิต' ของผม

This film has been seen by millions of viewers on television in Turkey and the rest of Europe, and it was seen in the USA , Canada and Latin America on the TV program.

ภาพยนต์ชุดนี้ได้ผ่านสายตาของผู้ชมโทรทัศน์เป็น ล้านๆ คนในตุรกี และส่วนที่เหลือของยุโรป เคยออกอากาศทางโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกา คานาดา และลาตินอเมริกา

The first building I ever crawled inside of was a school in Mexico City during the 1985 earthquake. Every child was under its desk. Every child was crushed to the thickness of their bones. They could have survived by lying down next to their desks in the aisles.

ตึกแห่งแรกที่ผมได้คลานเข้าไปคือโรงเรียนแห่ง หนึ่งในเมืองเม็กซิโกซิตี้ในแผ่นดินไหวปี 1985 เด็กทุกคนอยู่ใต้โต๊ะเรียน เด็กทุกคนถูกอัดแบนจนกระดูกแหลก พวกเขาอาจจะมีชีวิตรอดด้วยการนอนราบกับพื้นตรงบริเวณทางเดินข้างๆ โต๊ะเรียนของตัวเอง

At that time, the children were told to hide under something. Simply stated, when buildings collapse, the weight of the ceilings falling upon the objects or furniture inside crushes these objects, leaving a space or void next to them. This space is what I call the 'triangle of life'. The larger the object, the stronger, the less it will compact. The less the object compacts, the larger the void, the greater the probability that the person who is using this void for safety will not be injured.

ในเวลานั้น เด็กๆ ได้รับคำแนะนำให้หลบใต้อะไรบางอย่าง อธิบายอย่างง่ายๆ เมื่อตึกถล่ม น้ำหนักของเพดานที่ตกลงมาบนสิ่งของหรือเครื่องเรือนที่อยู่ภายในจะทับทำลายสิ่งของเหล่านั้น เหลือที่ว่างหรือช่องว่างข้างๆ มัน ที่ว่างเหล่านี้คือสิ่งที่ผมเรียกว่า'สามเหลี่ยมชีวิต' สิ่งของชิ้นยิ่งใหญ่ ยิ่งแข็งแรงโอกาสถูกทับอัดยิ่งน้อย โอกาสที่สิ่งของถูกทับอัดยิ่งน้อย ช่องว่างก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น โอกาสที่คนที่อาศัยช่องว่างเหล่านั้นหลบภัยจะไม่เป็นอันตรายก็ยิ่งมาก

The next time you watch collapsed buildings, on television, count the 'triangles' you see formed. They are everywhere. It is the most common shape.

ครั้งต่อไปที่คุณดูอาคารที่ถล่มในโทรทัศน์ ลองนับ 'สามเหลี่ยม' ที่เกิดขึ้นที่คุณเห็นดู มันทีอยู่เต็มไปหมดทุกที่ เป็นรูปทรงที่เห็นได้มากที่สุดอยู่ทั่วไป


TEN TIPS FOR EARTHQUAKE SAFETY
สิบวิธีเพื่อความปลอดภัยยามแผ่นดินไหว

1) Almost everyone who simply 'ducks and covers' when buildings collapse are crushed to death. People who get under objects, like desks or cars, are crushed.

1) เกือบทุกคนที่ 'มุดและหาที่กำบัง' เมื่ออาคารถล่มถูกทับอัดจนตาย คนที่เข้าไปอยู่ใต้สิ่งของ อาทิ โต๊ะหรือรถยนต์ถูกอัดทับ

2) Cats, dogs and babies often naturally curl up in the fetal position. You should too in an earthquake. It is a natural safety/survival instinct. You can survive in a smaller void. Get next to an object, next to a sofa, next to a large bulky object that will compress slightly but leave a void next to it.

2) แมว หมา และเด็กทารก โดยธรรมชาติมักจะขดตัวในท่าเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา คุณควรทำเช่นกันในกรณีแผ่นดินไหว มันเป็นสัญชาติญาณเพื่อความปลอดภัย/รักษาชีวิต คุณสามารถมีชีวิตรอดในช่องว่างที่เล็กกว่า ไปอยู่ข้างๆ สิ่งของ ข้างเก้าอี้โซฟา ข้างของหนักๆ ชิ้นใหญ่ๆ ที่จะบี้แบนไปบ้างแต่ยังเหลือที่ว่างข้างๆ มันไว้

3) Wooden buildings are the safest type of construction to be in during an earthquake. Wood is flexible and moves with the force of the earthquake. If the wooden building does collapse, large survival voids are created. Also, the wooden building has less concentrated, crushing weight. Brick buildings will break into individual bricks. Bricks will cause many injuries but less squashed bodies than concrete slabs.

3) อาคารไม้เป็นสิ่งก่อสร้างที่ปลอดภัยที่สุดที่จะอยู่ภายในขณะแผ่นดินไหว ไม้มีความยืดหยุ่นและเคลื่อนตัวตามแรงของแผ่นดินไหว ถ้าอาคารไม้จะถล่มจะเกิดช่องว่างขนาดใหญ่เพื่อช่วยชีวิต และอาคารไม้ยังมีน้ำหนักทับทำลายที่เป็นอันตรายน้อยกว่า อาคารอิฐจะแตกพังเป็นก้อนอิฐมากมาย ก้อนอิฐเหล่านี้เป็นสาเหตุของการบาดเจ็บ แต่จะทับอัดร่างกายน้อยกว่าแผ่นคอนกรีต

4) If you are in bed during the night and an earthquake occurs, simply roll off the bed. A safe void will exist around the bed. Hotels can achieve a much greater survival rate in earthquakes, simply by posting a sign on the back of the door of every room telling occupants to lie down on the floor, next to the bottom of the bed during an earthquake.

4) หากคุณกำลังนอนอยู่บนเตียงตอนกลางคืนและเกิดแผ่นดินไหว เพียงกลิ้งลงจากเตียง ช่องว่างที่ปลอดภัยจะเกิดรอบๆ เตียง โรงแรมจะสามารถเพิ่มอัตราผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหวได้ โดยเพียงติดป้ายหลังประตูในทุกห้องพักบอกให้ผู้เข้าพักนอนราบกับพื้นข้างๆ ขาเตียงระหว่างแผ่นดินไหว

5) If an earthquake happens and you cannot easily escape by getting out the door or window, then lie down and curl up in the fetal position next to a sofa, or large chair.

5) หากมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นและคุณไม่สามารถหนี้ออกมาง่ายๆ ทางประตูหรือหน้าต่าง ก็ให้นอนราบและ ขดตัวในท่าทารกในครรภ์ข้างๆ เก้าอี้โซฟาหรือเก้าอี้ตัวใหญ่ๆ

6) Almost everyone who gets under a doorway when buildings collapse is killed. How ? If you stand under a doorway and the doorjamb falls forward or backward you will be crushed by the ceiling above. If the doorjamb falls sideways you will be cut in half by the doorway. In either case, you will be killed!

6) เกือบทุกคนที่อยู่ตรงช่องประตูตอนตึกถล่มไม่รอด เพราะอะไร? หากคุณยืนอยู่ตรงช่องประตูและวงกบประตูล้มไปข้างหน้าหรือข้างหลัง คุณจะโดนเพดานด้านบนตกลงมาทับ หากวงกบประตูล้มออกด้านข้าง คุณจะถูกตัดเป็นสองท่อนโดยช่องประตู ไม่ว่ากรณีไหน คุณไม่รอดทั้งนั้น!

7) Never go to the stairs. The stairs have a different 'moment of frequency' (they swing separately from the main part of the building).The stairs and remainder of the building continuously bump into each other until structural failure of the stairs takes place. The people who get on stairs before they fail are chopped up by the stair treads - horribly mutilated. Even if the building doesn't collapse, stay away from the stairs. The stairs are a likely part of the building to be damaged. Even if the earthquake does not collapse the stairs, they may collapse later when overloaded by fleeing people. They should always be checked for safety, even when the rest of the building is not damaged.

7) อย่าใช้บันไดเด็ดขาด บันไดมี 'ช่วงการเคลื่อนตัว' ที่แตกต่างไป (บันไดจะมีการแกว่งแยกจากตัวอาคาร) บันไดและส่วนที่เหลือของตัวอาคารจะชนกระแทกกันอย่างต่อเนื่อง จนเกิดปัญหากับโครงสร้างของบันไดคนที่อยู่บนบันไดก่อนที่บันไดจะถล่มถูกตัดเป็นชิ้นโดยชั้นบันได--ถูกแยกส่วนอย่างน่าสยดสยอง ถึงอาคารจะไม่ถล่มก็ควรอยู่ห่างบันไดไว้ บันไดเป็นส่วนของอาคารที่มีโอกาสถูกทำให้เสียหาย ถึงแม้แผ่นดินไหวจะไม่ได้ทำให้บันไดถล่ม มันอาจถล่มในเวลาต่อมา เมื่อรับน้ำหนักมากเกินไปจากคนที่กำลังหนี มันควรได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยเสมอ ถึงแม้ส่วนที่เหลือของอาคารจะไม่ได้รับความเสียหายก็ตาม

8) Get near the Outer Walls Of Buildings or Outside Of Them if possible. It is much better to be near the outside of the building rather than the interior. The farther inside you are from the outside perimeter of the building the greater the probability that your escape route will be blocked.

8) ไปอยู่ใกล้กำแพงด้านนอกของอาคารหรือออกจากอาคารถ้าเป็นไปได้ จะเป็นการดีกว่ามากที่จะอยู่ใกล้ส่วนนอกของอาคารมากกว่าจะอยู่ที่ส่วนในของอาคาร คุณยิ่งอยู่ลึกเข้าไปหรือไกลจากบริเวณภายนอกของอาคารมากเท่าไหร่ โอกาสที่ทางหนี้ของคุณจะถูกปิดกั้นยิ่งมีมาก

9) People inside of their vehicles are crushed when the road above falls in an earthquake and crushes their vehicles; which is exactly what happened with the slabs between the decks of the Nimitz Freeway. The victims of the San Franciscoearthquake all stayed inside of their vehicles. They were all killed. They could have easily survived by getting out and sitting or lying next to their vehicles. Everyone killed would have survived if they had been able to get out of their cars and sit or lie next to them. All the crushed cars had voids 3 feet high next to them,except for the cars that had columns fall directly across them.

9) คนที่อยู่ภายในรถยนต์ถูกทับอัดเมื่อถนนด้านบนตกลงมาเพราะแผ่นดินไหวและทับรถของพวกเขา นี้เป็น สิ่งที่เกิดขึ้นกับแผ่นคอนกรีตระหว่างชั้นของถนนหลวงนิมิทซ์ ผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดจากแผ่นดินไหวที่ซานฟรานซิสโกอยู่ในรถของตัวเอง พวกเขาตายทั้งหมด พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดได้ง่ายๆ ด้วยการออกจากรถและนั่งหรือนอนราบอยู่ข้างๆ รถตัวเอง คนที่ตายทุกคนอาจรอดได้ถ้าพวกเขาสามารถออกจากรถ และนั่งหรือนอนราบอยู่ข้างรถตัวเอง รถที่ถูกทับอัดทุกคันมีช่องว่างสูง 3 ฟุตอยู่ข้างๆ ยกเว้นรถที่ถูกเสาคานตกทับกลางคันรถ

10) I discovered, while crawling inside of collapsed newspaper offices and other offices with a lot of paper, that paper does not compact. Large voids are found surrounding stacks of paper.

10) ผมค้นพบ--ขณะที่คลานเข้าไปในซากสำนักงานหนังสือพิมพ์และสำนักงานอื่นที่มีกระดาษจำนวนมาก--ว่ากระดาษไม่อัดตัว จะพบช่องว่างขนาดใหญ่รอบๆ กองกระดาษที่เรียงทับซ้อนกัน


Spread the word and save someone's life.
กระจายข้อมูลนี้และช่วยชีวิตคนบางคน

noppakorn
05-07-2011, 03:31 PM
ข้าวโพดต้มสุก กับ มะเร็ง

อ่านแล้ว ก็กินข้าวโพดต้มสุกให้เยอะๆๆๆเลย ตอนที่แม่เรากำลังรักษามะเร็งช่วงใกล้ๆหาย เริ่มจะทานอาหารได้ เค้าจะกินข้าวโพดต้มทุกวัน ไปเหมาจาก Supermarket ทุก week แล้วเค้าก็ฟื้นตัวเร็วมาก ช่วงนั้น ลิ้นเค้าจะ Anti เนื้อสัตว์ กลืนไม่ลง ทานได้แต่ผักกะผลไม้ และจะอยากกินข้าวโพดทุกวัน ข้าวโพดสุก ต้านมะเร็ง การแทะข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็ง มีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษ ในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทาง
อาหารลงไป สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถ เก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวาน ด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสาร อันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์ เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรค อันเนื่องมาจากความแก่ชรา ต่างๆ อย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวาน ที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก (Ferulic acid) อันเป็นคุณกับร่างกาย ยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้น หรือเวลานานขึ้น กรดเฟรุลิก (Ferulic acid) เป็นพวกพฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบม ีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพด ผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่น การทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มัน ปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น

pridbaby
11-13-2011, 11:26 PM
เป็นข้อมูลที่ดีมากเลยครับ ช่วยอัฟไป

piangfan
11-26-2011, 07:28 PM
สาธุค่ะ

paobunjin
05-23-2012, 08:11 PM
http://sn125w.snt125.mail.live.com/att/GetAttachment.aspx?tnail=0&messageId=92694575-a220-11e1-82e9-00215ad6b006&Aux=2044|0|8CF044477874410||0|1|0|0|1|5,53&maxwidth=220&maxheight=160&size=Att
รางรถไฟกับการตัดสินใจ
มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นกันใกล้รางรถไฟ2 ราง
> รางหนึ่งอยู่ในระหว่างการใช้งาน
> ในขณะที่อีกรางหนึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว
> มีเพียงเด็กคนเดียวเท่านั้นที่เล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
> ส่วนเด็กที่เหลือนั่งเล่นอยู่บนรางที่ยังใช้งานอยู่
>
> เมื่อรถไฟแล่นมาคุณอยู่ใกล้ๆที่สับรางรถไฟ
> คุณสามารถเปลี่ยนทางรถไฟไปยังรางที่ไม่ได้ใช้งาน
> เพื่อช่วยชีวิตเด็กส่วนใหญ่
> แต่นั่นหมายถึงการเสียสละชีวิตของ
> เด็กคนที่เล่นอยู่บนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
>
> หรือคุณเลือกจะปล่อยให้รถไฟวิ่งทางเดิม?
>
> ลองหยุดคิดสักนิดมีทางเลือกใดที่เราสามารถตัดสินใจได้
> คุณต้องทำการตัดสินใจก่อนที่จะอ่านต่อไป
> แต่ รถไฟไม่สามารถหยุดรอ ให้คุณไตร่ตรองได้
>
> คนส่วนมากอาจเลือกที่จะเปลี่ยนทางรถไฟ
> และยอมสละชีวิตของเด็กคนนั้น
>
> ผมคิดว่า คุณก็อาจจะคิดเช่นเดียวกัน
> แน่นอน ตอนแรกผมก็คิดเช่นนี้เพราะการช่วยชีวิตเด็กส่วนมาก
> ด้วยการเสียสละชีวิตเด็กหนึ่งคนนั้นดูสมเหตุผล
> ทั้งทางศีลธรรมและความรู้สึก
>
> แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าเด็กที่เลือกเล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
> ที่จริงเขาได้ตัดสินใจถูกต้องที่จะเล่นในสถานที่ๆปลอดภัยแล้วต่างหาก
> แต่ทว่า เขากลับต้องเสียสละชีวิตให้กับเพื่อนที่ไม่ใส่ใจ
> และเลือกที่จะเล่นในที่อันตราย
>
> สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นรอบตัวเราทุกวัน
> ในสถานที่ทำงานย่านชุมชนการเมือง
> โดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย
> คนกลุ่มน้อยมักจะถูกเสียสละให้กับผลประโยชน์ของคนหมู่มาก
>
> แม้ว่าคนกลุ่มน้อยจะฉลาดมองการณ์ไกลและคนหมู่มากจะโง่เง่าไม่ใส่ใจก็ตาม
> เด็กคนที่เลือกที่จะไม่เล่นบนรางที่อยู่ในการใช้งานตามเพื่อนๆของเขา
> และคงไม่มีใครเสียน้ำตาให้หากเขาต้องสละชีวิตก็ตาม
>
> เพื่อนที่ส่งต่อเรื่องนี้มาบอกว่าเขาจะไม่พยายามเปลี่ยนเส้นทางรถไฟ
> เพราะเขาเชื่อว่าเด็กที่เล่นอยู่บนรางที่อยู่ในการใช้งานย่อมรู้ดีว่า
> รางนั้นยังอยู่ในระหว่างการใช้งาน
> และพวกเขาควรจะหลบออกมาเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหวูดรถไฟ
>
> ถ้าทางรถไฟถูกเปลี่ยนเด็กหนึ่งคนนั้นต้องตายอย่างแน่นอน
> เพราะเขาไม่เคยคิดว่ารถไฟจะเปลี่ยนมาใช้เส้นทางนั้น
> นอกจากนั้น รางที่ไม่ได้ถูกใช้งานอาจเป็นเพราะรางนั้นไม่ปลอดภัย
> ถ้ารถไฟถูกเปลี่ยนเส้นทางมาที่รางนี้
> เราทำให้ชีวิตของผู้โดยสารทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย
> ในขณะที่คุณพยายามช่วยชีวิตเด็กจำนวนหนึ่งโดยการสละชีวิตเด็กหนึ่งคน
> อาจกลายเป็นการสังเวยชีวิตผู้คนนับร้อยก็เป็นได้
>
> เรารู้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยการตัดสินใจอันยากลำบากบางครั้งเราอาจลืมไปว่า
> การตัดสินใจอันรวดเร็วใช่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
> จำไว้ว่า สิ่งที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่นิยมปฎิบัติ
> และสิ่งที่เป็นที่นิยมไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไป
> ทุกๆคนสามารถทำสิ่งผิดพลาดได้
> และนั่นคือเหตุผลที่เขาใส่ยางลบไว้ที่ปลายของดินสอ
............................................................................................

คอมเม้นท์ กันหน่อยถ้าเป็นคุณจะตัดสินใจอย่างไร..??

ขอบคุณของฝากจาก fw;เมล์นะครับ

"เปาบุ้นจิ้น"