DAO
02-10-2009, 01:50 PM
หลวงปู่จันทาถาวโร
****************
อสุภะ
จากเทปเรื่อง การฝึกจิต (๒๐ ก.ค.๓๕)
การเจริญวิปัสสนาค้นคว้าในกาย ขั้นเหตุนั้นจงกำหนดคาดหมายเสียก่อนว่า เป็นอย่างโน้น อย่างนี้ก็เราเคยเห็นมาแล้วมนุษย์เพื่อนร่วมโลกร่วมสงสาร หญิงชายตายแล้ว เห็นแต่เป็นอย่างนี้ เอาไว้วัน ๒ วันไม่ฉีดยา ก็เหม็น เหม็นเบื่อหน่าย เหม็นน่าเกลียดเหม็นมนุษย์ร้ายกว่าเหม็นหมานั่นแหละ ทำไมเหม็นเน่าขนาดนั้น
จึงว่าอสุภะ อสุภังเป็นของเปื่อยเน่า เป็นของเหม็น น่าเกลียดเหม็นอย่างสุดยิ่ง นั่นแหละ ปฏิกูลน่าเกลียดสกปรกโสโครก มีหนังหุ้มอยู่ภายนอกดูเกลี้ยงเกลาหลอกเรา หญิง ชาย หนุ่ม สาว ภายในนั้นมีอะไรบ้าง ดิน น้ำ ลม ไฟหลายอย่าง เอ็น กระดูก ชิ้นน้อย ชิ้นใหญ่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ทุกอย่าง อาการ ๓๒ก็ล้วนแล้วแต่ของปฏิกูลทั้งนั้น
นั่นแหละเมื่อเอาของภายในออกภายนอกแล้วเป็นอย่างไร ก็มีแต่ของเปื่อยเน่ามีแต่ของปฏิกูลน่าเกลียดทั้งนั้น นั่นแหละทีนี้ ก็เห็นๆ กันมาอย่างนั้นถึงแม้เรายังไม่เป็น ยังไม่ถึง คนอื่นก็เป็นมาให้เห็นอยู่ บางคนหญิงชายตายแล้วเก็บไว้คืน ๒ คืน ก็ส่งกลิ่นเหม็นออกมาแล้ว คืนที่ ๓ เอาไปป่าช้าเปิดหีบออกมันขึ้นสีเขียวหมดแล้ว สีเขียว สีดำ หน้าเบ้ อะไรก็ไม่น่าดู เปลี่ยนสภาพหมดมีกลิ่นเหม็น น้ำเน่าไหลออกจมูก ไหลออกปาก หญิง ชาย โอ๋...น่าเกลียด น้ำเน่านั้นเขาเลิกผ้าออกไปถึงทวารหนัก ทวารเบา น้ำเน่านั้นมันก็ไหลออกจากทวารหนักทวารเบา
แพทย์เขาบอกว่า ผู้หญิงมันเน่าทวารเบาก่อน เหม็นเน่าน่าเกลียด ผู้ชายเน่าที่ท้องก่อน เหม็นเน่าน่าเกลียด ปฏิกูลน่าเกลียดแสนที่จะไม่น่าปรารถนา นั่นแหละ เมื่อถึงสภาพนั้น อะไรเป็นเขา เป็นเราก็ถามจิตดู
เคยเห็นมาแล้ว หลายร้อยศพ ผลสุดท้ายก็เผาหรือฝังเมื่อเผาแล้วเป็นอย่างไร ก็เหลือแต่ร่างกระดูกขาวๆ นั่นแหละอสุภะอันละเอียด จากนั้นไฟก็สังหารเป็นเถ้าถ่านจนหมด ถ้าฝังถมดินไว้ ดินก็ดูดกลืนกินหมดเหลือแต่กระดูกธาตุแข็งเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นชิ้นดีหรอก ของเขา ของเราเมื่อถึงสภาพนั้นแล้ว สิ่งทั้งปวงก็เป็นอย่างนี้
นี่เป็นการเดินวิปัสสนาค้นคว้าในสกลกาย ธาตุขันธ์อสุภะคือ ความแก่อสุภะคือ ความเจ็บอสุภะคือ ความตาย นี่เป็นประจำอยู่ทุกธาตุทุกสังขาร แต่แล้วถ้าเราไม่พิจารณา ไม่ค้นคว้า มันก็ไม่เห็นของจริงตามที่พระองค์เจ้าทรงบัญญัติไว้
กระสอบ ๒ปาก
จากเทปเรื่อง ป่าช้า ๙ กอง (๑ ก.ย.๓๓)
กระสอบนั้น มี ๒ปาก ในกระสอบนั้น มีอะไรบ้าง บุรุษผู้มีสติปัญญาดีแก้เชือกร้อยกระสอบนั้นออกมีอะไรบ้าง มีถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ งา ข้าวเปลือกข้าวสาร ข้าวโพด มันแกว หลายประเภทที่เขายัดอยู่ในกระสอบนั้นบุรุษผู้มีตาดีก็ซอกค้นขุดก่นดูในกระสอบนั้นมีอะไรบ้าง เขาก็เปิดออกดูก็รู้เห็นทุกสิ่งอย่าง ควรที่เขาจะเลือกคัดจัดสรรของนั้น ไปทำอาหารเลี้ยงชีวิตและครอบครัวได้ นั่นแหละ ถ้าไม่เปิดออกดู ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรอยู่ในกระสอบนั้น
อันนี้ฉันใด พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลายก็น้อมนึกว่าสังขารร่างกายทุกตัวท่านนี้นั้น เปรียบเหมือนกระสอบ ๒ ปากนะ มีอะไรบ้างอยู่ในนั้นมีนานาชนิดนะ
เกสาคือ ผมทั้งหลายโลมาคือ ขนทั้งหลายอันนี้อยู่นอกเป็นขนของกระสอบ
นขาคือ เล็บทั้งหลายทันตาคือฟันทั้งหลายตะโจคือ หนัง
มังสังคือ เนื้อนะหารูคือ เอ็นทั้งหลายอัฏฐีคือ กระดูกทั้งหลาย
อัฏฐิมิญชังเยื่อในกระดูกวักกังม้ามหะทะยังหัวใจยะกะนังตับกิโลมะกังพังผืดปิหะกังไตบัปผาสังปอดอันตังไส้ใหญ่
อันตะคุณังไส้น้อยอุทะริยังอาหารใหม่กะสีสังอาหารเก่าปิตตังน้ำดีเสมหังน้ำเสลดปุพโพน้ำเหลืองโลหิตังน้ำเลือดเสโทน้ำเหงื่อ
เมโทน้ำมันข้นอัสสุน้ำตาวะสาน้ำมันเหลวเขโฬน้ำลาย
สิงฆานิกาน้ำมูกละสิกาน้ำไขข้อมุตตังน้ำมูตร
มันมีอยู่ในกระสอบ กระสอบเดินได้ หมายถึงร่างกายของเราทุกท่านนั้นแหละ อยู่ภายในนี้มีครบทุกอย่าง ก็รวมเรียกว่า ธาตุ ๔ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ นี่เรียกว่า ธาตุกรรมฐานก็ควรที่จะแยกแยะออกพิจารณาดู ให้รู้เห็นจนสิ้นสงสัย
ธาตุโยสุญญะโต ปัสสะธาตุกรรมฐานนี้นั้นมันก็สูญอยู่ทุกระยะจงพิจารณาน้อมนึกให้เห็นอยู่อย่างนั้น มันจึงจะมีสติปัญญาฉลาดรู้ต่อธาตุกรรมฐาน
กรรมคือ การกระทำ
ฐานเป็นที่อยู่ เป็นที่อาศัย เป็นที่ตั้ง เจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานเป็นบ่อนฐานอันดีเลิศประเสริฐ สำหรับที่จะลงมือประพฤติปฏิบัติอาศัยฐานนี้เป็นมูลฐาน เป็นเป้าใหญ่ สำหรับที่จะสู้รบขบกัดกับพญามัจจุราชผู้มีอำนาจเสนาใหญ่ แล้วจะได้เปลื้องเครื่องร้อยรัดของพญามัจจุราช ออกจากจิตได้นั่นแหละ ไม่มีฐานใดที่จะดีเลิศประเสริฐไปกว่านี้
ฉะนั้นจงพิจารณาแล้วพิจารณาเล่า ให้รู้เท่าทันต่อภพชาติฐานอันนี้ เป็นฐานอันดีเลิศแม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ปางก่อนโน้นก็มาตรัสรู้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคในฐานอันนี้ มิได้ไปรู้ฐานสิ่งอื่น ก็รู้อยู่ในฐานนี้
กระสอบมี ๒ปาก ปากหนึ่งไหลเข้า อีกปากหนึ่งไหลออก ได้แก่ ร่างกายของเราท่านทั้งหลายนี้นั้นนั่นแหละ จงพิจารณามูลฐานนี้เป็นที่ยับยั้งเป้าหมายสู้รบขบกัดกับเจ้าตัวกิเลสสิ่งเป็นเหตุ คือ ข้าศึกใหญ่รบราฆ่าฟัน ทำชาติภพสมบัติสังขารให้ย่อยยับแตกดับลงนอนทับแผ่นดิน อยู่ทุกภพทุกชาติ ไม่มีวันจบสิ้น อันนี้เป็นมูลฐานใหญ่ควรจะพิจารณาแล้วพิจารณาเล่า จะไปพิจารณาอยู่ที่อื่นก็ไม่เห็นไม่ใช่ทางออกจากโลก
ทางออกจากโลก ก็อยู่ในมูลฐานนี้ คือ ธาตุ ๔ ดินน้ำ ลม ไฟ นี้นั้น นั่นแหละ ดวงแก้วอันประเสริฐ เกิดขึ้นที่นี่ก็เกิดขึ้นที่จิตนี่แหละ เพราะจิตอาศัยมูลฐานนี้มาเจริญสมณธรรมกรรมดีเพื่อว่าจะนำจิตเข้าสู่ความสงบ ดวงธรรมจะเกิดขึ้นจะรู้สว่างกระจ่างแจ้งทุกสิ่งทุกอย่างจากมูลฐานนี้นั้น
นี่แหละสังขารร่างกายของเราท่านทั้งหลาย เปรียบเหมือนกระสอบมี ๒ ปาก ปากหนึ่งไหลเข้าปากหนึ่งไหลออก มีอะไรบ้างอยู่ในนั้น นั่นแหละ เป็นฐานให้พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลายได้พิจารณาให้มันสิ้นสงสัยอันนี้เป็นการฝึกจิตให้มีสติปัญญาฉลาดรู้
นายโคฆาต
จากเทปเรื่อง ป่าช้า ๙ กอง (๑ก.ย.๓๓)
การฝึกจิตให้มีสติปัญญาฉลาดรู้ก็ต้องมาพิจารณาร่างกายนี้นั้น เปรียบเหมือนนายโคฆาตนายเพชฌฆาตฆ่าโคเมื่อฆ่าโคลงไปแล้ว เขาก็ปาดหนังไว้กองหนึ่ง หัวไว้กองหนึ่งกระดูกน้อยใหญ่ไว้อีกกองหนึ่ง ตับ ไต ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ปอด พุง เอาไว้คนละกอง ๆชิ้นเนื้อไว้คนละกอง ๆ นั่นแหละ ลูกมือเขาก็แยกแยะเป็นอย่าง ๆ ไปจำหน่ายซื้อจ่ายขายกิน นั่นแหละ เขาก็ต้องทำอย่างนั้น
ทีนี้พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย ก็จงแยกแยะพิจารณาร่างกาย เปรียบเหมือนตัวโคนะใจเปรียบเหมือนนายเพชรฆาตผู้ฆ่าโคนั่นแหละ เราก็ต้องแยกแยะออกเป็นส่วน ๆให้มันเป็นอัน ๆ เป็นชิ้น ๆ ให้มันรู้อะไรเป็นอะไร กำหนดแยกแยะออกด้วยการเอามีดถากเถือ สับ ฟัน นั่นแหละ กำหนดคาดหมายไปเสียก่อนตอนแรก ก็เพื่อว่าเป็นการศึกษาเป็นการฝึกจิตให้รู้ต่อซากโค คือ ร่างกายนี้
จิต คือเรา เราคือจิตกับสติปัญญาวิชาความรู้นั้น นั่นแหละ สติเป็นผู้ยังจิตให้อยู่กับฐานนั้น ๆไม่ลดละ
เมื่อขยายออก เรียกว่า ปาดออกแล้ว ตกไป จากชื่อว่าโคแล้วมาเป็นเนื้อของโค กองนั้นเป็นกองตับ กองนั้นเป็นกองปอด กองนั้นเป็นพุงใหญ่กองนั้นไส้น้อยไส้ใหญ่ กองนั้นศีรษะ กองนั้นหนัง กองนั้นขา เขาเอาไว้เป็นกองๆเราก็จงพิจารณาแยกแยะ เป็นอย่างนั้น แล้วก็รวบรวมเข้า เรียกว่า โคนั่นแหละ
เนื้อโคทั้งหมด เมื่อทำลายแยกแยะออกแล้วกระจัดกระจายออกไปคนละแห่ง ทีนี้จะเอาคืนมาสู่ฐานเดิมให้เป็นตัวโคขึ้นอีกก็ไม่ได้เพราะถูกทำลายแล้ว
อันนี้ฉันใดร่างกายของเราท่านทั้งหลายก็ให้พิจารณาแจ้งชัดเปรียบเหมือนเนื้อโคที่นายโคฆาตฆ่าแล้ว นั่นแหละ เมื่อมันถูกทำลายลงไปแล้ว หมดภพชาติน้อยใหญ่ถูกพญามัจจุราช ผู้มีอำนาจเสนาใหญ่สังหารแล้ว ย่อยยับดับสิ้นไปหมดทุกสิ่งอย่าง ธาตุ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้นแตกสามัคคีกันแล้ว ก็พลอยที่จะทำงานไปคนละหน้าที่ต่างคนต่างก็จะไปตามหน้าที่
ธาตุดินก็พลอยที่จะดับไปเป็นดินธาตุน้ำก็ดับไปเป็นน้ำสูญไปธาตุลมก็ไปเป็นลมธาตุไฟก็ดับไปตามเยี่ยงอย่างของธาตุนั้น นั่นแหละ ให้เราแยกแยะให้พิจารณาดูให้แจ้งสิ้นสงสัยในภพชาติ นี่ธาตุกรรมฐาน
ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟนี้เรียกว่าธาตุกรรมฐานให้เราศึกษาอบรมเล่าเรียนอย่ทุกวันคืน ยืน เดิน นั่ง นอน พิจารณาแยกแยะให้มันเห็นเป็นอย่างนั้นอยู่เป็นนิจ มันจึงจะเป็นไป ในไตรวัฏฏ์ และโลกธาตุไม่มีสิ่งใดหนอที่ปราชญ์เจ้าทั้งหลายผู้ฉลาด จะรื้อฟื้นตนออกจากหลุมลึก คือกิเลสได้ มีแต่มาพิจารณามูลฐานกรรมฐานนี่ให้เห็นจริงแจ้งชัดแล้วก็น้อมลงสู่ไตรลักษณ์
อนิจจตามูลฐานนี้ไม่เที่ยงแต่เดิมมันก็รวมสามัคคีกันเป็นรูปนามธาตุขันธ์ แม้โคก็ดี ตัวของเราก็ดีก็ฉันนั้นเมื่อถูกทำลายแล้ว ต่างคนก็ต่างเป็นรูปนามสัณฐาน เป็ฯคนละอย่าง นั่นแหละน้อมลงสู่ไตรลักษณ์อนิจจตาไม่เที่ยงทุกขตาก็เป็นทุกข์อนัตตาก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงสภาพอยู่อย่างนั้น
นั่นแหละจงใชัปัญญาวิจัยหาเหตุผล เราจะรู้แจ้งเห็นจริงแจ้งชัดในภพชาติสังขารว่าเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ เหตุใดโลกคือหมู่สัตว์มันจึงหลงยึดมั่นถือขันธ์ว่าธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุกรรมฐานนี้เป็นเราเราเป็นธาตุ ธาตุมีในเรา เรามีในธาตุ
เพราะเหตุใดจึงว่าหลงยึดมั่นถือมั่น ก็เพราะว่าอินทรีย์อ่อน บารมีธรรมก็อ่อนการฝึกซ้อมอบรมในธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งหลาย นั้นมีน้อยบ่มอินทรีย์บารมีธรรมมาน้อย จึงเป็นเหตุให้หลงยึดมั่นถือมั่นพิทักษ์รักษาประเล้าประโลมอยู่ทุกวันคืน ไม่ลดละ
ท่านผู้มีอินทรีย์แก่บารมีแก่มาแล้ว ท่านก็พิจารณามูลฐานนี้เดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละก็แตกกระจัดกระจายทำลายสูญ ไม่มีอะไรเป็นเขาเป็นเรา ท่านผู้ฉลาดรื้อฟื้นดวงจิตออกจากหลุมลึก คือ กิเลสได้หมดแล้ว ก็พ้นไปจากเครื่องจองจำ พ้นไปจากเครื่องร้อยรัดพ้นไปจากการสังหารของพญามัจจุราช ผู้มีอำนาจเสนาใหญ่
อุปมาขันธ์ ๕
วัน คืน ปี เดือน ล่วงไป ๆบัดนี้ เราทำอะไรอยู่นะ อริยสมบัติ หมายถึง บุญกุศลนั้น ทาน ศีล ภาวนา พุทธโธ ธัมโมสังโฆ เราได้เจริญแล้วหรือยัง ที่จะทำให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขินในเมื่อพญามัจจุราชมาถึงแล้ว เราจะได้ไม่เดือดร้อนอาทรใจไม่หลงไหลไปตามธาตุขันธ์ที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ มีแต่ความร่าเริงบันเทิงอยู่ด้วยวิบากของขันธ์ทั้งนั้น นั่นแหละ มีแต่สุขกับสุขหาทุกข์ไม่มี
ถ้าเราไม่เจริญแล้วเป็นอย่างไร ติดอยู่ด้วยกิเลสกามวัตถุกาม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข นั้น ได้เท่าไรไม่พอ กินไม่อิ่มไม่พอสำคัญว่าจะเป็นของเราแท้ ตะเกียกตะกายขวนขวาย อันนั้นแหละ เปรียบเหมือนกับคนตาบอดหูหนวก เดินทางไม่รู้อะไร วกหน้าเวียนหลัง ผลสุดท้ายก็ตกบ่อ ตกหลุม คอหัก แขนหักตายเท่านั้นแหละ
อันนี้ฉันใดผู้เจริญสมณธรรมก็ไม่เป็นอย่างนั้นอยู่ดีไปดี มีโชคชัยสุคโตไปดีมาดีสุคตัสสะจะเป็นผู้ไม่มีภัยและเวร เรียบร้อย สะอาดดีเป็นของดีเลิศประเสริฐสุด
ฉะนั้นจงตั้งใจเจริญให้พร้อมอยู่เป็นนิจ จงรักตน อย่าเพิ่งเกลียดชังตนอย่างเพิ่งเอาคนอื่น จงเอาตนนี่ดีกว่า หมายความว่า มาเจริญสมณธรรมนี่แหละขยำเสียซึ่งกิเลส กอบโกยซึ่งอริยทรัพย์ คือ บุญใส่ตนให้พร้อมทุกเมื่อได้ชื่อว่าเป็นผู้รื้อฟื้นตนออกจากหลุมลึก คือ กิเลส อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จะเป็นผู้ผ่านพ้นไปจากทุกข์ได้ ทุกข์ภัยน้อยใหญ่ เกิด แก่ เจ็บ ตายนี่มันเป็นมหันตทุกข์โทษภัยใหญ่ กรรมชั่วช้าลามกก็ดี นั่นแหละเปรียบเหมือนศัตรูร้าย
สำหรับผู้เห็นภัยอย่างนี้นักปราชญ์เจ้าทั้งหลายก็รีบเร่งฉวยโอกาสเจริญสมณธรรมอยู่เป็นนิจไม่หวั่นไหวในชีวิตสังขาร กลัวย่านอยู่ทั้งวันคืน ตื่นเต้นตระหนกตกใจอยู่อย่างนั้นเพราะภัยใหญ่นี้ ไหนๆ ก็หนีไปไม่พ้นเสียแล้ว สิ่งที่ไปพ้นนั้นก็มีแต่การเจริญสมณธรรมเท่านั้น อันนี้ข้อสำคัญ
นกในกรง
ภารา หะเว ปัญจักขันธาขันธ์ ๕ เป็นภาระหนัก เปรียบอุปมาเหมือนบุรุษคนหนึ่งนั่นแหละบุรุษคนนั้นผู้เจริญธรรม ทำจิตใจไม่ให้สนิทสนมกับธาตุขันธ์ หาทางออกจากโลกวัฏฏทุกข์อยู่เป็นนิจ เปรียบเหมือนนกคุ่ม นกกระทา ที่เขาขังไว้ในคอกในกรงนั้นถึงจะมีอาหารและน้ำให้กินอิ่มหนำสำราญก็ไม่ยินดี เพราะนกคุ่ม นกกระทานั้นมันอยู่ในที่คุมขังคับแคบ จะบินไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ มีความหวั่นไหวอยู่เป็นนิจว่าเมื่อไหร่หนอที่เจ้าของจะหิวอาหารจะมาเอาไปฆ่าทำลาบใส่หยวกกล้วยกินเท่านนั้นแหละ
นักปราชญ์ทั้งหลายเห็นเพียงแค่นั้น ก็ทำจิตใจหาทางออกจากที่คุมขังใหญ่ คือ โลกวัฏฏทุกข์อยู่เป็นนิจไม่ติดไม่คา ไม่ข้องอยู่ในอะไรทั้งปวงนั้นรีบแสวงหาทางพ้นทุกข์อยู่เป็นนิจ
มีต่อคะ
****************
อสุภะ
จากเทปเรื่อง การฝึกจิต (๒๐ ก.ค.๓๕)
การเจริญวิปัสสนาค้นคว้าในกาย ขั้นเหตุนั้นจงกำหนดคาดหมายเสียก่อนว่า เป็นอย่างโน้น อย่างนี้ก็เราเคยเห็นมาแล้วมนุษย์เพื่อนร่วมโลกร่วมสงสาร หญิงชายตายแล้ว เห็นแต่เป็นอย่างนี้ เอาไว้วัน ๒ วันไม่ฉีดยา ก็เหม็น เหม็นเบื่อหน่าย เหม็นน่าเกลียดเหม็นมนุษย์ร้ายกว่าเหม็นหมานั่นแหละ ทำไมเหม็นเน่าขนาดนั้น
จึงว่าอสุภะ อสุภังเป็นของเปื่อยเน่า เป็นของเหม็น น่าเกลียดเหม็นอย่างสุดยิ่ง นั่นแหละ ปฏิกูลน่าเกลียดสกปรกโสโครก มีหนังหุ้มอยู่ภายนอกดูเกลี้ยงเกลาหลอกเรา หญิง ชาย หนุ่ม สาว ภายในนั้นมีอะไรบ้าง ดิน น้ำ ลม ไฟหลายอย่าง เอ็น กระดูก ชิ้นน้อย ชิ้นใหญ่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ทุกอย่าง อาการ ๓๒ก็ล้วนแล้วแต่ของปฏิกูลทั้งนั้น
นั่นแหละเมื่อเอาของภายในออกภายนอกแล้วเป็นอย่างไร ก็มีแต่ของเปื่อยเน่ามีแต่ของปฏิกูลน่าเกลียดทั้งนั้น นั่นแหละทีนี้ ก็เห็นๆ กันมาอย่างนั้นถึงแม้เรายังไม่เป็น ยังไม่ถึง คนอื่นก็เป็นมาให้เห็นอยู่ บางคนหญิงชายตายแล้วเก็บไว้คืน ๒ คืน ก็ส่งกลิ่นเหม็นออกมาแล้ว คืนที่ ๓ เอาไปป่าช้าเปิดหีบออกมันขึ้นสีเขียวหมดแล้ว สีเขียว สีดำ หน้าเบ้ อะไรก็ไม่น่าดู เปลี่ยนสภาพหมดมีกลิ่นเหม็น น้ำเน่าไหลออกจมูก ไหลออกปาก หญิง ชาย โอ๋...น่าเกลียด น้ำเน่านั้นเขาเลิกผ้าออกไปถึงทวารหนัก ทวารเบา น้ำเน่านั้นมันก็ไหลออกจากทวารหนักทวารเบา
แพทย์เขาบอกว่า ผู้หญิงมันเน่าทวารเบาก่อน เหม็นเน่าน่าเกลียด ผู้ชายเน่าที่ท้องก่อน เหม็นเน่าน่าเกลียด ปฏิกูลน่าเกลียดแสนที่จะไม่น่าปรารถนา นั่นแหละ เมื่อถึงสภาพนั้น อะไรเป็นเขา เป็นเราก็ถามจิตดู
เคยเห็นมาแล้ว หลายร้อยศพ ผลสุดท้ายก็เผาหรือฝังเมื่อเผาแล้วเป็นอย่างไร ก็เหลือแต่ร่างกระดูกขาวๆ นั่นแหละอสุภะอันละเอียด จากนั้นไฟก็สังหารเป็นเถ้าถ่านจนหมด ถ้าฝังถมดินไว้ ดินก็ดูดกลืนกินหมดเหลือแต่กระดูกธาตุแข็งเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นชิ้นดีหรอก ของเขา ของเราเมื่อถึงสภาพนั้นแล้ว สิ่งทั้งปวงก็เป็นอย่างนี้
นี่เป็นการเดินวิปัสสนาค้นคว้าในสกลกาย ธาตุขันธ์อสุภะคือ ความแก่อสุภะคือ ความเจ็บอสุภะคือ ความตาย นี่เป็นประจำอยู่ทุกธาตุทุกสังขาร แต่แล้วถ้าเราไม่พิจารณา ไม่ค้นคว้า มันก็ไม่เห็นของจริงตามที่พระองค์เจ้าทรงบัญญัติไว้
กระสอบ ๒ปาก
จากเทปเรื่อง ป่าช้า ๙ กอง (๑ ก.ย.๓๓)
กระสอบนั้น มี ๒ปาก ในกระสอบนั้น มีอะไรบ้าง บุรุษผู้มีสติปัญญาดีแก้เชือกร้อยกระสอบนั้นออกมีอะไรบ้าง มีถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ งา ข้าวเปลือกข้าวสาร ข้าวโพด มันแกว หลายประเภทที่เขายัดอยู่ในกระสอบนั้นบุรุษผู้มีตาดีก็ซอกค้นขุดก่นดูในกระสอบนั้นมีอะไรบ้าง เขาก็เปิดออกดูก็รู้เห็นทุกสิ่งอย่าง ควรที่เขาจะเลือกคัดจัดสรรของนั้น ไปทำอาหารเลี้ยงชีวิตและครอบครัวได้ นั่นแหละ ถ้าไม่เปิดออกดู ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรอยู่ในกระสอบนั้น
อันนี้ฉันใด พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลายก็น้อมนึกว่าสังขารร่างกายทุกตัวท่านนี้นั้น เปรียบเหมือนกระสอบ ๒ ปากนะ มีอะไรบ้างอยู่ในนั้นมีนานาชนิดนะ
เกสาคือ ผมทั้งหลายโลมาคือ ขนทั้งหลายอันนี้อยู่นอกเป็นขนของกระสอบ
นขาคือ เล็บทั้งหลายทันตาคือฟันทั้งหลายตะโจคือ หนัง
มังสังคือ เนื้อนะหารูคือ เอ็นทั้งหลายอัฏฐีคือ กระดูกทั้งหลาย
อัฏฐิมิญชังเยื่อในกระดูกวักกังม้ามหะทะยังหัวใจยะกะนังตับกิโลมะกังพังผืดปิหะกังไตบัปผาสังปอดอันตังไส้ใหญ่
อันตะคุณังไส้น้อยอุทะริยังอาหารใหม่กะสีสังอาหารเก่าปิตตังน้ำดีเสมหังน้ำเสลดปุพโพน้ำเหลืองโลหิตังน้ำเลือดเสโทน้ำเหงื่อ
เมโทน้ำมันข้นอัสสุน้ำตาวะสาน้ำมันเหลวเขโฬน้ำลาย
สิงฆานิกาน้ำมูกละสิกาน้ำไขข้อมุตตังน้ำมูตร
มันมีอยู่ในกระสอบ กระสอบเดินได้ หมายถึงร่างกายของเราทุกท่านนั้นแหละ อยู่ภายในนี้มีครบทุกอย่าง ก็รวมเรียกว่า ธาตุ ๔ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ นี่เรียกว่า ธาตุกรรมฐานก็ควรที่จะแยกแยะออกพิจารณาดู ให้รู้เห็นจนสิ้นสงสัย
ธาตุโยสุญญะโต ปัสสะธาตุกรรมฐานนี้นั้นมันก็สูญอยู่ทุกระยะจงพิจารณาน้อมนึกให้เห็นอยู่อย่างนั้น มันจึงจะมีสติปัญญาฉลาดรู้ต่อธาตุกรรมฐาน
กรรมคือ การกระทำ
ฐานเป็นที่อยู่ เป็นที่อาศัย เป็นที่ตั้ง เจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานเป็นบ่อนฐานอันดีเลิศประเสริฐ สำหรับที่จะลงมือประพฤติปฏิบัติอาศัยฐานนี้เป็นมูลฐาน เป็นเป้าใหญ่ สำหรับที่จะสู้รบขบกัดกับพญามัจจุราชผู้มีอำนาจเสนาใหญ่ แล้วจะได้เปลื้องเครื่องร้อยรัดของพญามัจจุราช ออกจากจิตได้นั่นแหละ ไม่มีฐานใดที่จะดีเลิศประเสริฐไปกว่านี้
ฉะนั้นจงพิจารณาแล้วพิจารณาเล่า ให้รู้เท่าทันต่อภพชาติฐานอันนี้ เป็นฐานอันดีเลิศแม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ปางก่อนโน้นก็มาตรัสรู้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคในฐานอันนี้ มิได้ไปรู้ฐานสิ่งอื่น ก็รู้อยู่ในฐานนี้
กระสอบมี ๒ปาก ปากหนึ่งไหลเข้า อีกปากหนึ่งไหลออก ได้แก่ ร่างกายของเราท่านทั้งหลายนี้นั้นนั่นแหละ จงพิจารณามูลฐานนี้เป็นที่ยับยั้งเป้าหมายสู้รบขบกัดกับเจ้าตัวกิเลสสิ่งเป็นเหตุ คือ ข้าศึกใหญ่รบราฆ่าฟัน ทำชาติภพสมบัติสังขารให้ย่อยยับแตกดับลงนอนทับแผ่นดิน อยู่ทุกภพทุกชาติ ไม่มีวันจบสิ้น อันนี้เป็นมูลฐานใหญ่ควรจะพิจารณาแล้วพิจารณาเล่า จะไปพิจารณาอยู่ที่อื่นก็ไม่เห็นไม่ใช่ทางออกจากโลก
ทางออกจากโลก ก็อยู่ในมูลฐานนี้ คือ ธาตุ ๔ ดินน้ำ ลม ไฟ นี้นั้น นั่นแหละ ดวงแก้วอันประเสริฐ เกิดขึ้นที่นี่ก็เกิดขึ้นที่จิตนี่แหละ เพราะจิตอาศัยมูลฐานนี้มาเจริญสมณธรรมกรรมดีเพื่อว่าจะนำจิตเข้าสู่ความสงบ ดวงธรรมจะเกิดขึ้นจะรู้สว่างกระจ่างแจ้งทุกสิ่งทุกอย่างจากมูลฐานนี้นั้น
นี่แหละสังขารร่างกายของเราท่านทั้งหลาย เปรียบเหมือนกระสอบมี ๒ ปาก ปากหนึ่งไหลเข้าปากหนึ่งไหลออก มีอะไรบ้างอยู่ในนั้น นั่นแหละ เป็นฐานให้พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลายได้พิจารณาให้มันสิ้นสงสัยอันนี้เป็นการฝึกจิตให้มีสติปัญญาฉลาดรู้
นายโคฆาต
จากเทปเรื่อง ป่าช้า ๙ กอง (๑ก.ย.๓๓)
การฝึกจิตให้มีสติปัญญาฉลาดรู้ก็ต้องมาพิจารณาร่างกายนี้นั้น เปรียบเหมือนนายโคฆาตนายเพชฌฆาตฆ่าโคเมื่อฆ่าโคลงไปแล้ว เขาก็ปาดหนังไว้กองหนึ่ง หัวไว้กองหนึ่งกระดูกน้อยใหญ่ไว้อีกกองหนึ่ง ตับ ไต ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ปอด พุง เอาไว้คนละกอง ๆชิ้นเนื้อไว้คนละกอง ๆ นั่นแหละ ลูกมือเขาก็แยกแยะเป็นอย่าง ๆ ไปจำหน่ายซื้อจ่ายขายกิน นั่นแหละ เขาก็ต้องทำอย่างนั้น
ทีนี้พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย ก็จงแยกแยะพิจารณาร่างกาย เปรียบเหมือนตัวโคนะใจเปรียบเหมือนนายเพชรฆาตผู้ฆ่าโคนั่นแหละ เราก็ต้องแยกแยะออกเป็นส่วน ๆให้มันเป็นอัน ๆ เป็นชิ้น ๆ ให้มันรู้อะไรเป็นอะไร กำหนดแยกแยะออกด้วยการเอามีดถากเถือ สับ ฟัน นั่นแหละ กำหนดคาดหมายไปเสียก่อนตอนแรก ก็เพื่อว่าเป็นการศึกษาเป็นการฝึกจิตให้รู้ต่อซากโค คือ ร่างกายนี้
จิต คือเรา เราคือจิตกับสติปัญญาวิชาความรู้นั้น นั่นแหละ สติเป็นผู้ยังจิตให้อยู่กับฐานนั้น ๆไม่ลดละ
เมื่อขยายออก เรียกว่า ปาดออกแล้ว ตกไป จากชื่อว่าโคแล้วมาเป็นเนื้อของโค กองนั้นเป็นกองตับ กองนั้นเป็นกองปอด กองนั้นเป็นพุงใหญ่กองนั้นไส้น้อยไส้ใหญ่ กองนั้นศีรษะ กองนั้นหนัง กองนั้นขา เขาเอาไว้เป็นกองๆเราก็จงพิจารณาแยกแยะ เป็นอย่างนั้น แล้วก็รวบรวมเข้า เรียกว่า โคนั่นแหละ
เนื้อโคทั้งหมด เมื่อทำลายแยกแยะออกแล้วกระจัดกระจายออกไปคนละแห่ง ทีนี้จะเอาคืนมาสู่ฐานเดิมให้เป็นตัวโคขึ้นอีกก็ไม่ได้เพราะถูกทำลายแล้ว
อันนี้ฉันใดร่างกายของเราท่านทั้งหลายก็ให้พิจารณาแจ้งชัดเปรียบเหมือนเนื้อโคที่นายโคฆาตฆ่าแล้ว นั่นแหละ เมื่อมันถูกทำลายลงไปแล้ว หมดภพชาติน้อยใหญ่ถูกพญามัจจุราช ผู้มีอำนาจเสนาใหญ่สังหารแล้ว ย่อยยับดับสิ้นไปหมดทุกสิ่งอย่าง ธาตุ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้นแตกสามัคคีกันแล้ว ก็พลอยที่จะทำงานไปคนละหน้าที่ต่างคนต่างก็จะไปตามหน้าที่
ธาตุดินก็พลอยที่จะดับไปเป็นดินธาตุน้ำก็ดับไปเป็นน้ำสูญไปธาตุลมก็ไปเป็นลมธาตุไฟก็ดับไปตามเยี่ยงอย่างของธาตุนั้น นั่นแหละ ให้เราแยกแยะให้พิจารณาดูให้แจ้งสิ้นสงสัยในภพชาติ นี่ธาตุกรรมฐาน
ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟนี้เรียกว่าธาตุกรรมฐานให้เราศึกษาอบรมเล่าเรียนอย่ทุกวันคืน ยืน เดิน นั่ง นอน พิจารณาแยกแยะให้มันเห็นเป็นอย่างนั้นอยู่เป็นนิจ มันจึงจะเป็นไป ในไตรวัฏฏ์ และโลกธาตุไม่มีสิ่งใดหนอที่ปราชญ์เจ้าทั้งหลายผู้ฉลาด จะรื้อฟื้นตนออกจากหลุมลึก คือกิเลสได้ มีแต่มาพิจารณามูลฐานกรรมฐานนี่ให้เห็นจริงแจ้งชัดแล้วก็น้อมลงสู่ไตรลักษณ์
อนิจจตามูลฐานนี้ไม่เที่ยงแต่เดิมมันก็รวมสามัคคีกันเป็นรูปนามธาตุขันธ์ แม้โคก็ดี ตัวของเราก็ดีก็ฉันนั้นเมื่อถูกทำลายแล้ว ต่างคนก็ต่างเป็นรูปนามสัณฐาน เป็ฯคนละอย่าง นั่นแหละน้อมลงสู่ไตรลักษณ์อนิจจตาไม่เที่ยงทุกขตาก็เป็นทุกข์อนัตตาก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงสภาพอยู่อย่างนั้น
นั่นแหละจงใชัปัญญาวิจัยหาเหตุผล เราจะรู้แจ้งเห็นจริงแจ้งชัดในภพชาติสังขารว่าเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ เหตุใดโลกคือหมู่สัตว์มันจึงหลงยึดมั่นถือขันธ์ว่าธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุกรรมฐานนี้เป็นเราเราเป็นธาตุ ธาตุมีในเรา เรามีในธาตุ
เพราะเหตุใดจึงว่าหลงยึดมั่นถือมั่น ก็เพราะว่าอินทรีย์อ่อน บารมีธรรมก็อ่อนการฝึกซ้อมอบรมในธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งหลาย นั้นมีน้อยบ่มอินทรีย์บารมีธรรมมาน้อย จึงเป็นเหตุให้หลงยึดมั่นถือมั่นพิทักษ์รักษาประเล้าประโลมอยู่ทุกวันคืน ไม่ลดละ
ท่านผู้มีอินทรีย์แก่บารมีแก่มาแล้ว ท่านก็พิจารณามูลฐานนี้เดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละก็แตกกระจัดกระจายทำลายสูญ ไม่มีอะไรเป็นเขาเป็นเรา ท่านผู้ฉลาดรื้อฟื้นดวงจิตออกจากหลุมลึก คือ กิเลสได้หมดแล้ว ก็พ้นไปจากเครื่องจองจำ พ้นไปจากเครื่องร้อยรัดพ้นไปจากการสังหารของพญามัจจุราช ผู้มีอำนาจเสนาใหญ่
อุปมาขันธ์ ๕
วัน คืน ปี เดือน ล่วงไป ๆบัดนี้ เราทำอะไรอยู่นะ อริยสมบัติ หมายถึง บุญกุศลนั้น ทาน ศีล ภาวนา พุทธโธ ธัมโมสังโฆ เราได้เจริญแล้วหรือยัง ที่จะทำให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขินในเมื่อพญามัจจุราชมาถึงแล้ว เราจะได้ไม่เดือดร้อนอาทรใจไม่หลงไหลไปตามธาตุขันธ์ที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ มีแต่ความร่าเริงบันเทิงอยู่ด้วยวิบากของขันธ์ทั้งนั้น นั่นแหละ มีแต่สุขกับสุขหาทุกข์ไม่มี
ถ้าเราไม่เจริญแล้วเป็นอย่างไร ติดอยู่ด้วยกิเลสกามวัตถุกาม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข นั้น ได้เท่าไรไม่พอ กินไม่อิ่มไม่พอสำคัญว่าจะเป็นของเราแท้ ตะเกียกตะกายขวนขวาย อันนั้นแหละ เปรียบเหมือนกับคนตาบอดหูหนวก เดินทางไม่รู้อะไร วกหน้าเวียนหลัง ผลสุดท้ายก็ตกบ่อ ตกหลุม คอหัก แขนหักตายเท่านั้นแหละ
อันนี้ฉันใดผู้เจริญสมณธรรมก็ไม่เป็นอย่างนั้นอยู่ดีไปดี มีโชคชัยสุคโตไปดีมาดีสุคตัสสะจะเป็นผู้ไม่มีภัยและเวร เรียบร้อย สะอาดดีเป็นของดีเลิศประเสริฐสุด
ฉะนั้นจงตั้งใจเจริญให้พร้อมอยู่เป็นนิจ จงรักตน อย่าเพิ่งเกลียดชังตนอย่างเพิ่งเอาคนอื่น จงเอาตนนี่ดีกว่า หมายความว่า มาเจริญสมณธรรมนี่แหละขยำเสียซึ่งกิเลส กอบโกยซึ่งอริยทรัพย์ คือ บุญใส่ตนให้พร้อมทุกเมื่อได้ชื่อว่าเป็นผู้รื้อฟื้นตนออกจากหลุมลึก คือ กิเลส อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จะเป็นผู้ผ่านพ้นไปจากทุกข์ได้ ทุกข์ภัยน้อยใหญ่ เกิด แก่ เจ็บ ตายนี่มันเป็นมหันตทุกข์โทษภัยใหญ่ กรรมชั่วช้าลามกก็ดี นั่นแหละเปรียบเหมือนศัตรูร้าย
สำหรับผู้เห็นภัยอย่างนี้นักปราชญ์เจ้าทั้งหลายก็รีบเร่งฉวยโอกาสเจริญสมณธรรมอยู่เป็นนิจไม่หวั่นไหวในชีวิตสังขาร กลัวย่านอยู่ทั้งวันคืน ตื่นเต้นตระหนกตกใจอยู่อย่างนั้นเพราะภัยใหญ่นี้ ไหนๆ ก็หนีไปไม่พ้นเสียแล้ว สิ่งที่ไปพ้นนั้นก็มีแต่การเจริญสมณธรรมเท่านั้น อันนี้ข้อสำคัญ
นกในกรง
ภารา หะเว ปัญจักขันธาขันธ์ ๕ เป็นภาระหนัก เปรียบอุปมาเหมือนบุรุษคนหนึ่งนั่นแหละบุรุษคนนั้นผู้เจริญธรรม ทำจิตใจไม่ให้สนิทสนมกับธาตุขันธ์ หาทางออกจากโลกวัฏฏทุกข์อยู่เป็นนิจ เปรียบเหมือนนกคุ่ม นกกระทา ที่เขาขังไว้ในคอกในกรงนั้นถึงจะมีอาหารและน้ำให้กินอิ่มหนำสำราญก็ไม่ยินดี เพราะนกคุ่ม นกกระทานั้นมันอยู่ในที่คุมขังคับแคบ จะบินไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ มีความหวั่นไหวอยู่เป็นนิจว่าเมื่อไหร่หนอที่เจ้าของจะหิวอาหารจะมาเอาไปฆ่าทำลาบใส่หยวกกล้วยกินเท่านนั้นแหละ
นักปราชญ์ทั้งหลายเห็นเพียงแค่นั้น ก็ทำจิตใจหาทางออกจากที่คุมขังใหญ่ คือ โลกวัฏฏทุกข์อยู่เป็นนิจไม่ติดไม่คา ไม่ข้องอยู่ในอะไรทั้งปวงนั้นรีบแสวงหาทางพ้นทุกข์อยู่เป็นนิจ
มีต่อคะ