PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ฝืนใจตัวเอง



Butsaya
02-13-2009, 01:01 PM
http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/YahooIM/105.gif http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/YahooIM/46.gif
อืม ... ถ้าเราฝืนใจตัวเองแล้วทำให้อีกคนหนึ่งมีความสุขนี่สำหรับเรามันคืออกุศลปนกับกุศล
ด้วยหรือเปล่าค่ะ หรือว่า อกุศลมากกว่ากำลังของกุศลอะค่ะ
เช่น เพื่อนชวนเราไปเที่ยวหรือไปทำบุญ สำหรับเราแล้วใจเราไม่อยากไป
อาจจะด้วยสาเหตุที่เราเหนื่อย ๆ ล้า ๆ ด้วย แต่ก็คิดว่าไปเหอะ
เพราะเพื่อนอุตสาห์ชวน กลัวเขาจะเสียน้ำใจ แล้วเขาก็ไม่กล้าไปอยากมีเพื่อนให้พาไปอะค่ะ
เขาว่าถ้าเราไปแล้วทำให้เขารู้สึกดี มีความสุขอะไรแบบนี้อะค่ะ ถ้าแบบเราจะแยกคิดแบบ
ทางธรรมได้แบบไหนบ้างอะค่ะ

D E V
02-13-2009, 01:55 PM
กุศล หมายถึง สิ่งที่ดีงาม ความดี บุญ

อกุศล หมายถึง สิ่งที่ไม่ดีงาม ความชั่ว บาป

ทั้งกุศลและอกุศลก็มีกำลังหลายระดับ
บางอย่างก็เป็นเพียงกุศลจิต หรือ อกุศลจิต
คือจิตที่ดีงามเป็นไปในทางที่ดี
หรือจิตที่ไม่ดีงามเป็นไปในทางที่ไม่ดี
ยังไม่ถึงขั้นเป็นกุศกรรม หรือ อกุศลกรรม
แต่บางครั้งก็มีกำลังมากถึงขั้นเป็นกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม
คือเป็นบุญ...เป็นบาป ที่ได้กระทำ

การที่เราจะรู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม หรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา หรือใจ
ให้ดูว่าล่วงกุศลกรรมบถ หรือ อกุศลกรรมบถ หรือไม่
ซึ่งขณะใดที่ล่วงกุศลกรรมบถ หรือ อกุศลกรรมบถ
ขณะนั้นเป็นกุศลจิตด้วย...เป็นกุศลกรรม (บุญ) ด้วย
หรือเป็นอกุศลจิตด้วย...เป็นอกุศลกรรม (บาป) ด้วย
(รายละเอียดของกุศลกรรมบถ หรือ อกุศลกรรมบถ คงหาดูเพิ่มเติมเองได้ไม่ยากอ่ะนะคับ)



http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

Dekbanyangsisuraj
02-13-2009, 02:15 PM
อ่านของพี่เดฟแล้ว ได้ไปนั่งหา อกุศลกรรมบถ ดูเลย


มาที่หัวข้อกระทู้ของคุณ บุตศยา สำหรับตัวผมแล้ว มีหลักง่าย ๆ
ผมถือศีล ๕ หลักของผมก็คือ ถ้าอันไหนที่มันไม่ผิดศีล ๕ แล้วอยากทำ ก็จะทำครับ
เช่น เพื่อนชวนไปวัด แล้วช่วงนั้นเราเหนื่อยเหลือเกิน ขี้เกียจไปตอนนั้น
ผมก็จะบอกเพื่อนว่าไม่ไป -*- เพราะการปฏิเสธเพื่อนแบบนี้ ผมถือว่าไม่ผิดศีล ๕

ถ้าเราถือศีล ๕ อันไหนที่มันไม่ผิดต่อหลัก ศีล ๕ อยากทำ ทำไปครับ ไม่มีโทษภัยใดใด ทั้งสิ้น

แต่ถ้าเราถือศีล ๘ หรือที่มากกว่านี้ ก็คงต้องทำตามให้ได้ตามศีลที่เราถือครับ ถือศีลอะไร ต้องทำตาม
หลักของศีลนั้นให้ได้ ไม่งั้นจะเป็นโทษต่อตัวเอง

ผมว่าอย่างเรา ๆ เอาศีล ๕ นี้ก็พอเพียงแล้วนะครับ แต่ถ้าใครสามารถถือได้มากกว่านี้ ไม่ว่า ศีล ๘ หรือ ศีล ๑๐ เอย
ก็อนุโมทนาด้วยครับ

D E V
02-13-2009, 02:26 PM
อนุโมทนากับคุณเด็กบ้านยางสีสุราชคับ
ขอขยายความเพิ่มเติมนิดนึงละกันนะคับ

ศีล 5 นั้นเป็นพื้นฐานอันเป็นไปเพื่อการไม่เบียดเบียนผู้อื่น
แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าไม่ผิดศีล 5 แล้วจะไม่มีโทษภัยใดๆ ทั้งสิ้นอ่ะคับ
เพราะแม้ไม่ผิดศีล 5 แต่ขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิตได้
และกุศลจิตหรืออกุศลจิตนี้เองที่จะสั่งสมเป็นอุปนิสัย
ทำให้เราแต่ละคนมีพฤติกรรมต่างๆ กันไป

เช่น บางคนใจดี บางคนใจร้าย
บางคนคิดมาก บางคนคิดไม่เป็น
บางคนคิดเล็กคิดน้อย บางคนชอบเพ้อเจ้อ
บางคนเก็บกด บางคนรื่นเริงอยู่เสมอ
บางคนขี้งก บางคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น ฯลฯ

การที่แต่ละคนมีอุปนิสัยอย่างไร
น้อมไปในกุศลได้ง่าย หรือน้อมไปในอกุศลได้ง่าย
ก็เป็นไปตามกุศลจิต หรือ อกุศลจิตที่สั่งสมนั่นเองอ่ะคับ

แต่ก็เป็นธรรมดาของเราๆ ปุถุชน
ที่ยังชื่นชอบความบันเทิงเริงรมย์อยู่
เราก็อาจจะมีการไปเที่ยว ไปพักผ่อน
ไปสรวลเสเฮฮา กันเป็นเรื่องปกติธรรมดาอ่ะคับ
ไม่ใช่ว่าห้ามเที่ยว ห้ามสนุกสนานเฮฮา

เพียงแต่ให้ทราบตามความเป็นจริงอ่ะคับว่า
ขณะนั้น เป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิต
ซึ่งเราทุกคนก็ย่อมมีทั้งกุศลจิตและอกุศลจิต ครบถ้วนเลยอ่ะคับ อิอิ

ปล. ว่าแต่...เราจะไปเที่ยวไหนกันดี 55555



http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

Butsaya
02-13-2009, 04:55 PM
http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/Word_Positive/3.gif
การที่เรายิ่งรับทราบการรายละเอียดของสภาวะธรรมมากเท่าไร มันทำให้เรา
รู้สึกเกร็ง ๆ นะค่ะ พอจะทำอะไรก็คิดก่อนล่ะ ว่าจะเป็นกุศล หรืออกุศล กันละเนีย
มันยังไม่คุ้นชินกับสภาวะธรรมบางสภาวะอะค่ะ บางทีก็มานึก ๆ ว่า ถ้าเราไม่รู้
ไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย แต่ขอให้สิ่งที่เราทำไปแล้วเป็นสิ่งที่ดี ที่ถูกตามความรู้สึก
เราก็พอ แต่มันก็คงจะหยาบเกินไป ไม่ละเอียด แต่แบบนี้ก็คงเป็นการบ่มเพาะ
ไปเรื่อย ๆ บางทีจะดูทีวี ยังคิด วุ้ย.. เดียวหลง เพลิดเพลินเกิดโลภะ บางทีจะ
ทาครีมยังคิดว่า เอ... เราจะผิดข้อไหนเปล่าเนีย แล้วมันจะเป็นกุศลหรืออกุศล
ทำให้มีความลังเลสงสัยมากมายกายกอง ... มาคิด ๆ ดู เออ ... ก็ตลกดีเหมือน
กันนะค่ะ งี้บุษยาคิดมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ เริ่มสับสนแล้วอะค่ะ อิอิ....

ปล. ถึงชวนพี่เดฟ ก็ไม่ไปหรอกค่ะ บุษยารู้ดี อิอิ....

Dekbanyangsisuraj
02-13-2009, 07:26 PM
โฮ ยากจัง -*-
ผมก็นึกว่าศีล ๕ นี้ถือว่าเพียงพอแล้วนะ เอาไว้ผมค่อยฝึกไปทีละเล็กละน้อยล่ะกันครับ

D E V
02-13-2009, 10:38 PM
งี้บุษยาคิดมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ เริ่มสับสนแล้วอะค่ะ อิอิ....


ใช่แล้วคับ คิดมากไปจริงๆ อ่ะคับ อิอิ

คือเราต้องเข้าใจตามความเป็นจริงอ่ะคับ
ว่าเรายังเป็นปุถุชน ยังเป็นผู้หนาแน่นด้วยกิเลส
ที่จะไม่ให้มีกิเลส หรือไม่ให้เป็นอกุศลเกิดเลย...ย่อมเป็นไปไม่ได้
แม้แต่พระโสดาบันซึ่งละกิเลสสังโยชน์เบื้องต้น 3 อย่างได้แล้ว
แต่ก็ยังมีกิเลสอื่นๆ เหลืออยู่ ยังมีจิตที่เป็นอกุสลบางดวงที่ยังไม่ได้ดับอยู่

การที่เราไม่ประมาทในอกุศลแม้เล็กๆ น้อยๆ นั้นก็เป็นสิ่งดี
แต่การที่กังวลจนเกินไป...ความกังวลนั้นเองก็เป็นอกุศลจิตประเภทหนึ่งเหมือนกัน
ก็กลายเป็นอกุศลจิตซ้ำซ้อนกันเข้าไปอีกอ่ะคับ
ดังนั้น ความกังวลไม่ได้ช่วยอะไรเลย
หากแต่การที่มีสติระลึกได้ต่างหาก...ที่เป็นกุศลเกิดขึ้นแทนอกุศล
มีการระงับยับยั้งอกุศลไว้ได้ด้วยจิตที่ผ่องใส...ไม่ใช่กังวล

การที่เราเข้าใจในรายละเอียดของสภาพธรรมแต่ละอย่าง
ว่าอย่างไรเป็นกุศล...อย่างไรเป็นอกุศล
ก็ทำให้เราได้รู้ว่าขณะใดที่เป็นกุศล ขณะใดที่เป็นอกุศล
เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง...ไม่เข้าใจผิด เห็นผิด
จึงมีการละคลายจากอกุศลได้...และเจริญกุศลขึ้นได้
แต่ถ้าไม่รู้ แล้วเอาความรู้สึกของตนเองเป็นที่ตั้ง (ความรุ้สึกของปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส)
หากเป็นความเห็นผิด ก็เท่ากับสั่งสมความเห็นผิดนั้นไปเรื่อยๆ
โดยที่เข้าใจว่าเป็นความเห็นถูก
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น พระธรรมในระดับต่างๆ ที่ทรงแสดงไว้
ก็จะไม่เป็นประโยชน์อะไรกับใครเลยอ่ะคับ

การที่เรารู้จักและเข้าใจตนเองตามความเป็นจริง
ว่าในเมื่อเรายังมีกิเลส
จะไปพยายามทำให้เหมือนบริสุทธิ์หมดจด
เหมือนผู้ไม่มีกิเลสย่อมเป็นไปไม่ได้...ใช่มั้ยคับ
แต่สิ่งที่กระทำได้คือ รู้จักกิเลสตามความเป็นจริง
เข้าใจในโทษภัยของกิเลส
ซึ่งขณะใดที่สติเกิดระลึกได้ หากสตินั้นมีกำลังพอ
ก็จะระงับยับยั้งปิดกันอกุสลไว้ได้ในขณะนั้น
เพราะเวลาที่สติเกิด ไม่ได้มีแต่สติตัวเดียวที่เกิด
แต่ยังมี หิริ โอตตัปปะ เกิดร่วมด้วยเสมอ

หากแต่ก็ย่อมเป็นไปตามกำลังของแต่ละบุคคล
ว่าสติจะเกิดมากน้อย บ่อยห่าง แค่ไหน
การเจริญสติเป็นเรื่องที่สามารถเริ่มฝึกฝนอบรมมีการประพฤติปฏิบัติได้ทุกขณะ
ไม่มีการรีรอใดๆ หรือเพียงอ่านเอาว่าสติเป็นอย่างนั้นอย่างนี้...จริงมั้ยคับ
แต่ต้องมีการน้อมไปที่จะเจริญสติขึ้นจริงๆ เดี๋ยวนี้...ขณะนี้เลยอ่ะคับ
แต่ก็ไม่ใช่ถึงกับต้องบังคับให้สติเกิดตลอดเวลา...เพราะเป็นไปไม่ได้
สติไม่ใช่สิ่งที่จะบังคับให้เกิดได้ตามใจอยาก
หากแต่ขณะใดที่รู้ตัวว่ามีสติ ขณะนั้นคือสติเกิด
หรือว่าขณะใดที่รู้ตัวหลงลืมสติ...สติก็เกิดแล้วในขณะนั้นอ่ะคับ




http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

D E V
02-14-2009, 12:00 AM
กำ คำตอบของเดฟหายไปอันนึงอ่ะ
ส่วนสำคัญซะด้วย 55555 (เกิดจากความผิดพลาดของเดฟเอง)

อันที่ต่อจากคำตอบอันแรก และก่อนของคุณเด็กบ้านยางสีสุราชอ่ะคับ
ที่ยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นว่าขณะใดเป็นกุศลจิต ขณะใดเป็นอกุศลจิต
และเป็นที่มาของความเห็นต่อไปของคุณเด็กฯ และคำถามต่อไปของคุณบุษฯ

อิอิ จะอ่านกันรู้เรื่องต่อเนื่องได้ใจความมั้ยคับเนี่ย 55555




http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

tian*
02-14-2009, 04:13 PM
ง่ะ พี่เดฟคับ http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/rolleyes.gif



http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/grin.gifhttp://www.watkoh.com/board/Smileys/default/grin.gif

tian*
02-14-2009, 04:20 PM
แล้วๆ....ตกลงว่า คุณบุษหรือพี่เดฟน่ะคับที่ฉับฉน อิอิ

http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cheesy.gif http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/rolleyes.gif

tal
02-14-2009, 04:59 PM
สวัสดีค่ะ พี่เดฟ พี่เทียน พี่บุษ พี่ฝน คุณเด็ก และญาติธรรมทุก ๆ ท่าน

เข้ามาอ่าน ๆ ก็งง พี่เดฟ เหมือนกันอ่ะคะ อิอิ หายไปข้อความไหนบ้างก็ไม่รู้

เหมือนดูละครเลยนะคะ

ถ้าไม่ได้ดูตอนนึงนี่จะไม่รู้เรื่องเลยนะคะ อิอิ (เหมือนกันรึป่าวเน้อ..)

แต่ยังไง ก็ยังดีกว่าไม่ได้ดูละคะ

ขออนุโมทนากับทุก ๆ ท่านด้วยนะคะ