PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : อสิลักขณชาดก ว่าด้วยเหตุอย่างเดียวคนได้ผลต่างกัน



*8q*
02-17-2009, 06:54 PM
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบของพระเจ้าโกศล ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้ :




ได้ยินว่าพราหมณ์นั้น ในเวลาที่พวกช่างเหล็กนำดาบมาถวายพระราชา ก็สูดดมดาบ แล้วชี้ถึงลักษณะดีชั่วของดาบ ถ้าเขาได้ลาภจากมือของช่างดาบพวกใด ก็กล่าวดาบของช่างพวกนั้นว่า สมบูรณ์ด้วยลักษณะ ประกอบด้วยมงคล ถ้าไม่ได้ลาภจากมือของช่างพวกใด ก็ติเตียนดาบของช่างพวกนั้นว่า อัปลักษณ์
ครั้งนั้น ช่างดาบคนหนึ่งกระทำดาบแล้ว ใส่พริกป่นอย่างละเอียดในฝัก นำดาบมาถวายพระราชา พระราชารับสั่งหาพราหมณ์มาตรัส ว่า ท่านจงพิจารณาดูดาบทีเถิด เมื่อพราหมณ์ชักดาบออกมาดม พริกป่นเข้าจมูก ทำให้เกิดอยากจามขึ้น เมื่อพราหมณ์กำลังจามอยู่นั่นแหละ จมูกก็ถูกคมดาบบาด ขาดเป็นสองชิ้น ข้อที่พราหมณ์ นั้นจมูกขาด รู้กันทั่วในหมู่สงฆ์
อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย พากันยกเรื่องขึ้นสนทนาในโรงธรรมว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ได้ยินว่า พราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบของพระราชา ดูลักษณะดาบ เลยทำให้จมูกขาดไปเสียแล้ว พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลาย กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พราหมณ์นั้นดมดาบถึงจมูกขาด แม้ในกาลก่อนก็เคยถึงจมูกขาดมาแล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :




ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระองค์ได้มีพราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบ เหมือนกัน เรื่องทุกอย่างก็เช่นเดียวกันกับเรื่องปัจจุบันนั้นแล แปลกแต่ว่า พระราชา ได้พระราชทานหมอแก่พราหมณ์ ให้รักษาจนยอดจมูกหายเป็นปกติ ให้ทำจมูกเทียมด้วยครั่ง ใส่แทน แล้วทรงตั้งพราหมณ์เป็นข้าเฝ้าตำแหน่งเดิม นั่นแหละ ก็พระเจ้าพาราณสีไม่มีโอรส มีแต่พระธิดาองค์หนึ่ง กับพระราชภาคิไนย พระองค์ทรงเลี้ยงพระราชธิดาและพระราชภาคิไนยไว้ในสำนักของพระองค์ทีเดียว เมื่อพระราชธิดาและพระราชภาคิไนย ทรงจำเริญร่วมกันมา ต่างฝ่ายต่างมีพระทัยปฏิพัทธ์กัน ฝ่ายพระราชาตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมา รับสั่งว่า หลานของเราจักได้เป็นเจ้าของราชสมบัตินี้เพียงผู้เดียว เราจักยกธิดาให้เขาแล้วทำการอภิเษกกันเลยทีเดียว แล้วทรงพระดำริใหม่ว่า หลานของเราก็คงเป็นญาติของเราโดยประการทั้งปวง เราจักนำราชธิดาอื่นมาให้เขาแล้วทำการอภิเษก และยกธิดาของเราให้แก่พระราชาองค์อื่น ด้วยวิธีนี้ เราจักเป็นเจ้าของราชสมบัติทั้งสองพระนคร
ท้าวเธอทรงปรึกษากับอำมาตย์ทั้งหลาย รับสั่งว่า ควรจะแยกคนทั้งสองนั้นเสีย แล้วรับสั่งให้แยกพระราชภาคิไนยประทับในตำหนักหนึ่ง และพระราชธิดาประทับในตำหนักหนึ่ง พระราชภาคิไนยและพระราชธิดาทั้งคู่นั้น มีพระชนม์ถึง ๑๖ พรรษาด้วยกันแล้ว ยิ่งมีพระทัยปฏิพัทธ์ต่อกันยิ่งนัก พระราชกุมารทรงพระดำริว่า ด้วยอุบายอย่างไรเล่าหนอ เราจึงจะอาจพาธิดาของเสด็จลุง ออกจากพระราชวังได้ ทรงเห็นว่ามีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง จึงรับสั่งเรียกหญิงแม่มดผู้ใหญ่เข้ามาเฝ้า ประทานสิ่งของมีค่าพันกหาปณะแก่นาง เมื่อนางกราบทูลถามว่า จะให้หม่อมฉันทำอะไร ? จึงรับสั่งว่า แม่เจ้า เมื่อท่านทำการในวันนี้ เรื่องที่ชื่อว่าไม่สำเร็จไม่มี ท่านจงอ้างเหตุอะไร ๆ ก็ได้ที่จะทำให้เสด็จลุงของฉันพาธิดาออกจากพระราชวังให้จงได้ก็แล้วกัน
หญิงแม่มดรับคำว่า สำเร็จเพคะ หม่อมฉันจะเข้าเฝ้าพระราชา แล้วจักทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่สมมติเทพ กาฬกรรณีกำลังกุมพระธิดาอยู่ ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ไม่มีทางที่มันจะหันกลับไปแล้ว (อย่างอื่น) หม่อมฉันขอพาพระธิดาขึ้นรถไปในวันโน้น จัดบุรุษถืออาวุธจำนวนมากตามไปด้วย ไปสู่ป่าช้าด้วยบริวารเป็นอันมาก ให้มนุษย์ที่ตายแล้ว นอนเหนือเตียงในป่าช้า อยู่เบื้องล่างของตั่งอันเป็นมณฑลพิธี ให้พระราชธิดาประทับนั่งเหนือเตียงชั้นบน ให้ทรงสรงสนาน ด้วยน้ำหอมประมาณ ๑๕๐ หม้อ ยังตัวกาฬกรรณีให้ลอยไป ครั้นหม่อมฉันกราบทูลอย่างนี้แล้ว จักพาพระราชธิดาไปป่าช้าได้
ในวันที่พวกหม่อมฉันจะไปป่าช้านั้น ให้พระองค์ก็ถือเอาพริกป่นหน่อยหนึ่ง ไปพร้อมด้วยทหารของพระองค์ขึ้นไปสู่ป่าช้าเสียก่อนพวกหม่อมฉัน แล้วให้พระองค์หยุดรถไว้ที่ประตูป่าช้าด้านหนึ่งก่อน ให้พวกคนที่ถืออาวุธเข้าไปในป่าช้าเสีย พระองค์เองเสด็จไปสู่แท่นพิธีมณฑลในป่าช้า ทำเป็นคนตายที่ที่เขาคลุมไว้ บรรทมอยู่ หม่อมฉันมาถึงที่นั้น ก็จักวางเตียงคล่อมพระองค์ไว้ ยกพระราชธิดาขึ้นวางไว้บนเตียง ขณะนั้นพระองค์ก็เอาพริกป่นใส่พระนาสิก ก็จะทรงจามสองสามครั้ง ในเวลาที่พระองค์ทรงจาม หม่อมฉันจะละพระราชธิดาไว้ แล้วหนีไป ตอนนั้น พระองค์จงให้พระราชธิดาสรงสนานพระเศียร แม้พระองค์เองก็สรงสนานพระเศียรเสียด้วย แล้วพาพระธิดาไปสู่ตำหนักของพระองค์
พระราชกุมารรับสั่งว่าอุบายเหมาะจริง ดีแท้ ๆ ฝ่ายหญิงแม่มด ก็ไปกราบทูลความนั้นแด่พระราชา พระราชาทรงรับสั่งอนุญาต แล้วไปทูลความนั้นให้พระราชธิดาทรงทราบไว้ แม้พระราชธิดาก็รับคำ ในวันที่จะออกไป หญิงแม่มดให้สัญญาณแก่พระกุมาร แล้วไปสู่ป่าช้าด้วยบริวารจำนวนมาก กล่าวขู่เพื่อให้เกิดความกลัว แก่พวกมนุษย์ที่อารักขาว่า ในเวลาที่เราวางพระธิดาลงบนเตียง คนตายที่อยู่ใต้เตียงจักจาม และครั้นแล้วจะลุกออกจากใต้เตียง เห็นผู้ใดก่อน จักจับผู้นั้นไป พวกท่านพึงระวังตัวให้ดี อย่าประมาท
พระราชกุมารไปถึงก่อนแล้วบรรทมอยู่ที่นั้น โดยนัยดังกล่าวแล้ว แม่มดใหญ่อุ้มพระธิดาขึ้นเดินไปสู่แท่นมณฑล กราบทูลปลอบว่า หม่อมแม่อย่ากลัวเลย ให้สัญญาณแล้ววางลงบนเตียง ขณะนั้น พระราชกุมารก็เอาพริกป่นใส่จมูกจามขึ้น พอพระราชกุมารจามขึ้นเท่านั้น แม่มดใหญ่ก็ละพระราชธิดาไว้ ร้องเสียงดังลั่น หนีไปก่อนคนทั้งหมด พอแม่มดใหญ่หนีไปแล้ว ก็ไม่มีใครแม้คนเดียวที่จะรั้งรออยู่ ทุกคนต่างทิ้งอาวุธที่ถือมา พากันหนีไปสิ้น พระราชกุมารทำทุกอย่างตามที่ปรึกษาตกลงกันไว้ แล้วพาพระราชธิดาไปสู่นิเวศน์ของพระองค์
หญิงแม่มดไปกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา พระราชาทรงพระดำริว่า แม้โดยปกติเล่า เราก็เลี้ยงนางไว้เพื่อยกให้แก่เธออยู่แล้ว ก็เป็นเหมือนทิ้งเนยใสลงในข้าวปายาส จึงทรงรับรอง ในเวลาต่อมาก็ทรงมอบราชสมบัติแด่พระภาคิไนย ทรงตั้งพระราชธิดาเป็นมหาเทวี พระภาคิไนยก็ได้อยู่ร่วมสมัครสังวาสกับพระราชธิดานั้น ครองราชสมบัติโดยธรรม พราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบ ก็ได้เป็นอุปัฏฐากของพระองค์ อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพราหมณ์เข้าเฝ้าพระราชา ยืนเฝ้าสวนดวงอาทิตย์ ครั่งละลาย จมูกเทียมตกลงที่พื้น พราหมณ์ต้องยืนก้มหน้าด้วยความละอาย ครั้งนั้น พระราชาทรงพระสรวลแก่พราหมณ์ ตรัสว่า ท่านอาจารย์ อย่าได้คิดเลย ธรรมดาการจามได้เป็นผลดีแก่คนหนึ่ง เป็นผลร้ายแก่คนหนึ่ง ท่านจามจมูกขาด ส่วนฉันจามได้ธิดาของเสด็จลุง แล้วได้ราชสมบัติ แล้วตรัสพระคาถานี้ ความว่า :
"เหตุอย่างเดียวกันนั่นแหละ เป็นผลดีแก่คนหนึ่ง
แต่กลับเป็นผลร้ายแก่อีกคนหนึ่งได้
เพราะฉะนั้นเหตุอย่างเดียวกัน มิใช่ว่า จะเป็นผลดีไปทั้งหมด
และมิใช่ว่าจะเป็นผลร้ายไปทั้งหมด" ดังนี้.
พระราชาทรงนำเหตุการณ์นั้นมาแสดงด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้ ทรงกระทำบุญ มีให้ทานเป็นต้น แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงประกาศความที่แห่งความดี ความชั่ว ที่โลกสมมติกันแล้ว เป็นการไม่แน่นอนด้วยพระเทศนานี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า พราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบในครั้งนั้น ได้มาเป็นพราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบในครั้งนี้ ส่วนพระราชา ผู้เป็นภาคิไนยในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อสิลักขณชาดก

http://board.agalico.com/showthread.php?t=27134


<!-- / message -->