PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : พันธนาคารชาดกว่าด้วยเครื่องผูก



*8q*
02-23-2009, 02:54 PM
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเรือนจำ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้

ได้ยินว่าในครั้งนั้น พวกราชบุรุษได้จับพวกโจร ผู้ตัดช่องย่องเบา ฆ่าผู้คนในหนทาง ฆ่าชาวบ้านเป็นอันมาก นำเข้าถวายพระเจ้าโกศล พระราชารับสั่งให้จองจำพวกโจรเหล่านั้น ด้วยเครื่องจำ คือ ขื่อคา เชือก และโซ่ ภิกษุชาวชนบทประมาณ ๓๐ รูป ประสงค์จะเฝ้าพระศาสดาจึงพากันมาเฝ้าถวายบังคม รุ่งเช้าออกบิณฑบาตผ่านเรือนจำเห็นพวกโจรเหล่านั้น กลับจากบิณฑบาต เวลาเย็นเข้าเฝ้าพระตถาคต ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้พวกข้าพระพุทธเจ้าออกบิณฑบาต ได้เห็นพวกโจรมากมายที่เรือนจำ ถูกจองจำด้วยขื่อคา และ เชือกเป็นต้น ต่างก็เสวยทุกข์ใหญ่หลวง พวกโจรเหล่านั้นไม่สามารถจะตัดเครื่องจองจำเหล่านั้นหนีไปได้ ยังมีเครื่องจองจำอย่างอื่นที่มั่นคงกว่าเครื่องจองจำเหล่านั้นอีกหรือไม่ พระเจ้าข้า
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เครื่องจองจำเหล่านั้น จะชื่อว่า เครื่องจองจำอะไรกัน ส่วนเครื่องจองจำ คือกิเลสได้แก่ ตัณหาในทรัพย์ ในข้าวเปลือก ในบุตรภรรยาเป็นต้น นี่แหละ มั่นคงยิ่งกว่าเครื่องจองจำเหล่านั้นตั้งร้อยเท่า พันเท่า แต่เครื่องจองจำนี้แม้ใหญ่หลวง ตัดได้ยากอย่างนี้ บัณฑิตแต่ก่อนยังตัดได้ แล้วเขาไปหิมวันตประเทศ ออกบวชแล้วทรงนำเรื่องอดีตมา ตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลคหบดียากจนตระกูล หนึ่ง ครั้นเจริญวัยแล้วบิดาได้ถึงแก่กรรม พระโพธิสัตว์ได้ทำการรับจ้าง เพื่อหาทรัพย์มาเลี้ยงมารดา ครั้งนั้นมารดาจึงได้ไปสู่ขอธิดาตระกูลหนึ่งมาไว้ในเรือนให้พระโพธิสัตว์ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องการ แล้วนางก็ถึงแก่กรรม.
ฝ่ายภรรยาของพระโพธิสัตว์ก็ตั้งครรภ์ พระโพธิสัตว์ไม่รู้ว่านางตั้งครรภ์จึงบอกว่า ดูก่อนนาง เจ้าจงรับจ้างเขาเลี้ยงชีวิตเถิด ฉันจักบวชละ นางจึงกล่าวว่า ฉันตั้งครรภ์ เมื่อฉันคลอดแล้ว พี่เห็นเด็กแล้วก็บวชเถิด พระโพธิสัตว์ก็รับคำ พอนางคลอด จึงบอกกล่าวว่า น้องคลอดเรียบร้อยแล้ว พี่จักบวชละ นางจึงกล่าวว่า จงรอให้ลูกหย่านมเสียก่อนเถิด แล้วก็ตั้งครรภ์อีก พระโพธิสัตว์ดำริว่า เราไม่อาจให้นางยินยอมก่อนที่เราจะไปบวชได้ ครั้งนี้เราจะไม่บอกกล่าวนาง จะหนีไปบวชละ พระโพธิสัตว์จึงมิได้บอกกล่าวนางผู้เป็นภรรยา พอตกกลางคืนก็ลุกหนีออกจากบ้านไป
ครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลพระนครได้จับพระโพธิสัตว์นั้นไว้ พระโพธิสัตว์จึงบอกว่า เจ้านาย ข้าพเจ้าเป็นผู้เลี้ยงมารดา โปรดปล่อยข้าพเจ้าเถิด ครั้นให้เขาปล่อยแล้วก็ไปอาศัยในที่แห่งหนึ่ง รุ่งเช้าออกทางประตูเมืองใหญ่นั้นเอง เข้าป่าหิมพานต์ บวชเป็นฤาษียังอภิญญาและสมาบัติให้เกิด เพลิดเพลินอยู่ด้วยฌาน พระโพธิสัตว์เมื่ออยู่ ณ ที่นั้น เมื่อจะเปล่งอุทานว่า เราได้ตัดเครื่องจองจำ คือบุตรภรรยา เครื่องจองจำ คือกิเลสที่ตัดได้ยากเห็นปานนี้แล้ว ได้กล่าวคาถา เหล่านี้ว่า :
[๒๕๑] เครื่องผูกอันใด ที่ทำด้วยเหล็กก็ดี ทำด้วยไม้ก็ดี ทำด้วยหญ้าปล้องก็ดี
นักปราชญ์ไม่กล่าวเครื่องผูกนั้นว่า เป็นเครื่องผูกอันมั่นคง
ความกำหนัดยินดีในแก้วมณีและกุณฑลก็ดี ความห่วงใยในบุตรและภรรยาก็ดี.
[๒๕๒] นักปราชญ์กล่าวเครื่องผูกนั้นว่า เป็นเครื่องผูกอันมั่นคง
ทำให้สัตว์ตกต่ำ ๑ หย่อน ๒ แก้ได้ยาก ๓
แม้เครื่องผูกนั้น นักปราชญ์ก็ตัดได้ ไม่มีความห่วงใย ละกามสุข หลีกออกไปได้.
๑ เครื่องจองจำทำให้ตกต่ำ เพราะชักนำลงใน เบื้องต่ำ โดยฉุดให้ตกลงในอบาย ๔
๒ เครื่องจองจำย่อหย่อน เพราะไม่ตัดผิวหนังและเนื้อ ไม่ทำ ให้เลือดออกตรงที่ผูก ไม่ให้รู้สึกว่าเป็นเครื่องจองจำด้วย ยอม ให้ทำการงานทั้งทางบกและทางน้ำเป็นต้น
๓ เครื่องจองจำแก้ได้ยาก เพราะเครื่องจองจำ คือ กิเลสเกิดขึ้นแม้คราวเดียว ด้วยอำนาจตัณหาและโลภะ ย่อม แก้หลุดได้ยาก เหมือนเต่าหลุดจากที่ผูกได้ยาก
พระโพธิสัตว์ครั้นทรงเปล่งอุทานนี้อย่างนี้แล้ว มีฌาน ไม่เสื่อม มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุบางพวกได้เป็นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระอนาคามี บางพวกได้เป็นพระอรหันต์ แล้วทรงประชุมชาดกว่า มารดาในครั้งนั้นได้เป็นพระนางมหามายาในครั้งนี้ บิดาได้เป็นพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ภรรยาได้เป็นมารดาพระราหุล ส่วนบุรุษผู้ละบุตรและภรรยาออกบวช คือ เราตถาคตนี้แล.
จบ พันธนาคารชาดก





http://board.agalico.com/showthread.php?t=27364<!-- / message -->