PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ปุฏภัตตชาดกว่าด้วยการคบ



*8q*
02-25-2009, 02:21 PM
ว่าด้วยการคบ

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารถกุฏุมพีคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้

ได้ยินว่า กุฏุมพีชาวกรุงสาวัตถีผู้หนึ่ง ได้ทำการค้าขายกับกุฏุมพีชาวชนบทผู้หนึ่ง กุฏุมพีชาวกรุงนั้นได้พาภรรยาของตนไปหาผู้เก็บเงินของกุฏุมพีชาวชนบทนั้น ผู้เก็บเงินบอกว่าเราไม่สามารถจะให้ได้ จึงไม่ให้อะไรไป กุฏุมพีชาวกรุงโกรธไม่ยอมบริโภคอาหารออกไปเลย ครั้งนั้นบุรุษผู้เดินทางทั้งหลายเห็นกุฏุมพีชาวกรุงผู้นั้นหิวโหยในระหว่างทาง จึงให้ห่อข้าวด้วยบอกว่า ท่านจงแบ่งให้ภรรยาด้วย แล้วบริโภคเสีย
กุฏุมพีชาวกรุงรับห่อข้าวแล้ว ไม่อยากให้ภรรยา จึงกล่าวว่า แน่ะน้องตรงนี้เป็นถิ่นโจร น้องจงล่วงหน้าไปก่อน ส่งภรรยาไปแล้ว จึงบริโภคอาหารจนหมด แล้วเอาห่อเปล่า ๆ มาพูดว่า น้องพวกบุรุษเดินทางให้ห่อข้าวเปล่า ๆ ไม่มีข้าวเลย ภรรยารู้ว่าสามีบริโภคแต่ผู้เดียว ก็มีความน้อยใจ
ทั้งสองสามีภรรยาผ่านไปทางหลังพระเชตวันมหาวิหาร จึงแวะเข้าไปเชตวันมหาวิหารด้วยคิดว่าจักดื่มน้ำ แม้พระศาสดาก็ประทับนั่งคอยดูการมาของสามีภรรยานั้น ใต้ร่มเงาพระคันธกุฏี ดุจพรานซุ่มดักเนื้อฉะนั้น
สามีภรรยาพบพระศาสดาแล้ว จึงเข้าไปถวายบังคมนั่งแล้ว พระศาสดาทรงกระทำการปฏิสันถารกับสามีภรรยานั้น ตรัสถามว่า อุบาสิกาสามีท่านเอาใจใส่ห่วงใยท่านดีอยู่หรือ ภรรยากราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์มีความห่วงใยต่อเขา แต่เขาไม่มีความห่วงใยต่อข้าพระองค์เลย วันอื่นยกไว้เถิด วันนี้เอง สามีของข้าพระองค์ บริโภคเฉพาะตน พระศาสดาตรัสว่า อุบาสิกาท่านเป็นผู้เอาใจใส่ห่วงใยสามีเสมอมา สามีของท่านนั้นไม่ห่วงใยท่านเลย แต่พอรู้คุณของท่าน เพราะอาศัยบัณฑิต ครั้งนั้นจึงได้มอบความเป็นใหญ่ทั้งปวงให้ นางทูลอาราธนาขอให้เล่าจึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลอำมาตย์ ครั้นเจริญวัย ได้เป็นผู้สอนอรรถและธรรมของพระเจ้าพรหมทัต ครั้งนั้นพระราชาทรงระแวงโอรสของพระองค์ว่าจะกบฏต่อพระองค์จึงทรงเนรเทศออกเสียจากอาณาจักรนั้น พระโอรสนั้นพาชายาของตนออกจากนครไปอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแคว้นกาสีแห่งหนึ่ง ครั้นต่อมาพระโอรสนั้นทราบข่าวว่า พระบิดาสวรรคตแล้วคิดว่า เราจักไปครองราชสมบัติอันเป็นสมบัติของตระกูล จึงกลับมาสู่เมืองพาราณสี ได้ข้าวห่อในระหว่างทาง โดยผู้ให้สั่งว่าจงแบ่งให้ภรรยาบ้าง แล้วบริโภคเถิด ไม่ยอมให้ชายานั้น บริโภคเสียเองทั้งหมด นางเสียใจว่า บุรุษนี้ใจคอโหดร้ายจริงหนอ
พระโอรสนั้นครองราชสมบัติในกรุงพาราณสีแล้ว ตั้งนางไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี มิได้ประทานเครื่องสักการะและยกย่องอย่างอื่น โดยทรงเห็นว่า เท่านั้นก็พอแล้วสำหรับนาง แม้แต่คำว่าเจ้าเป็นอยู่อย่างไร ก็มิได้ตรัสถามนางเลย พระโพธิสัตว์คิดว่าพระเทวีนี้มีอุปการะมาก มีความจงรักภักดีต่อพระราชา แต่พระราชามิได้สนพระทัยถึงพระนางแม้แต่น้อย เราจักให้พระองค์ทรงประทานเครื่องสักการะและยกย่องพระนาง จึงเข้าไปเฝ้าพระเทวี ไว้ระยะพอสมควรแล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง
เมื่อตรัสถามว่า อะไรเล่าพ่อ
จึงทูลเพื่อต่อเรื่องราวขึ้นว่า ข้าแต่พระเทวี ข้าพระองค์รับราชการบำรุงพระองค์ไม่ควรจะให้ท่อนผ้าหรือก้อนข้าวแก่มารดาบิดาผู้เฒ่าบ้างเทียวหรือ
พระเทวีตรัสว่า แม้ตัวเราเองยังไม่ได้อะไรเลย เราจะเอาอะไรให้ท่านเล่า ในเวลาที่ได้ เราก็ให้ท่านมิใช่หรือ แต่บัดนี้พระราชามิได้พระราชทานอะไรให้เรา การพระราชทานอย่างอื่นจงยกไว้เถิด พระองค์เมื่อกำลังเสด็จเพื่อจะรับราชสมบัติ ได้ข้าวห่อหนึ่งในระหว่างทาง ยังมิได้ประทานแม้แต่อาหารแก่เรา พระองค์เสวยเสียเองหมด
พระโพธิสัตว์ทูลถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระองค์จักกล้าทูลอย่างนี้ในสำนักพระราชาหรือ
ตรัสว่า กล้าซิ พ่อคุณ
จึงทูลว่าถ้าเช่นนั้น ในเวลาที่ข้าพระองค์เฝ้าอยู่ในราชสำนักวันนี้แหละ เมื่อข้าพระองค์ทูลถามขึ้น ขอพระนางจงตรัสอย่างนี้ วันนี้แหละข้าพระองค์จักให้พระราชารู้สึกคุณของพระองค์
ครั้นทูลอย่างนี้แล้วพระโพธิสัตว์จึงล่วงหน้าไปก่อน ยืนเฝ้าพระราชา ฝ่ายพระเทวีก็ไปยืนเฝ้าพระราชา
ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์กราบทูลพระเทวีว่า ข้าแต่พระแม่อยู่หัว พระแม่เจ้าทรงมีพระทัยจืดเหลือเกิน การที่พระแม่เจ้าจะให้ท่อนผ้าหรือเพียงก้อนข้าวแก่มารดาบิดาไม่สมควรหรือ
พระเทวีตรัสว่า เราเองยังไม่ได้อะไรจากพระราชา จักเอาอะไรให้ท่านเล่า
พระโพธิสัตว์ทูลถามว่า พระองค์ได้ตำแหน่งอัครมเหสีมิใช่หรือ
พระเทวีตรัสว่า แน่ะพ่อ เมื่อไม่มีการยกย่องตำแหน่งอัครมเหสีจักทำอะไรได้ พระราชาของท่านจักพระราชทานอะไรแก่เราในบัดนี้เล่า พระองค์ได้ข้าวห่อระหว่างทางยังไม่พระราชทานให้สักหน่อย เสวยเสียเอง
พระโพธิสัตว์ทูลถามว่า ข้าแต่พระมหาราชได้ยินว่าอย่างนั้นหรือ
พระราชาทรงรับ
พระโพธิสัตว์ทราบว่า พระราชาทรงรับแล้วจึงทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะมีประโยชน์อะไร เพราะการร่วมกับผู้ไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์ในโลก เมื่อพระองค์ประทับอยู่ที่นี้ การร่วมกับความไม่เป็นที่รักของพระราชาจักเป็นทุกข์ ธรรมดาว่าสัตว์เหล่านี้ย่อมคบผู้ที่คบด้วย รู้ผู้ที่ไม่คบว่าเขาไม่อยากคบ ก็พึงไปเสียที่อื่น ด้วยว่าที่อาศัยคือ โลกกว้างใหญ่ แล้วได้กล่าวคาถาว่า :
บุคคลควรนอบน้อมต่อผู้ที่นอบน้อมตน
ควรคบกับผู้ที่คบตน ควรทำกิจตอบแทนแก่ผู้ที่ช่วยทำกิจของตน
ไม่ควรทำประโยชน์แก่ผู้ปรารถนาความฉิบหายให้
และไม่ควรคบกับผู้ที่ไม่คบตน
บุคคลควรละทิ้งผู้ที่ละทิ้งตน
ไม่ควรทำความอาลัยรักใคร่ในบุคคลเช่นนั้น
ไม่ควรสมาคมกับคนที่เขาไม่ใฝ่ใจกับตน
นกรู้ว่าต้นไม้หมดผลแล้ว ก็ละทิ้งไปหาต้นไม้อื่น
เพราะโลกเป็นของกว้างใหญ่
พระเจ้าพาราณสีทรงสดับดังนั้นแล้ว ได้พระราชทานอิสสริยยศทั้งปวงแก่พระเทวี ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่กันอย่างพร้อมเพรียงชื่นชม
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบสัจธรรม สามีภรรยาตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้าพาราณสีและพระเทวีในครั้งนั้นได้เป็นสองสามีภรรยาในครั้งนี้ ส่วนอำมาตย์บัณฑิต คือเราตถาคตนี้แล
จบ ปุฏภัตตชาดก



http://board.agalico.com/showthread.php?t=27410

<!-- / message -->