PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธที่แปลกๆ -*-



*8q*
02-26-2009, 08:11 PM
http://upload.dhammakid.com/f.php/e0b9be6f1ca54939.jpg

ใน ช่วงเวลาที่ประเทศสยามกำลังวุ่นวายปั่นป่วนสุดขีดขณะนี้ มีเรื่องราวหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้รับทราบ เรื่องราวที่บอกเล่าถึงชีวิตหลังความตาย...เรื่องราวที่ข้าพเจ้าถึงกับ ตระหนักรู้อย่างชัดแจ้งในจิต และถึงกับหวาดกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด หวาดกลัวแทนผู้คนทั้งหลายที่กำลังวิ่งวุ่น ไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง และทำบาปกันอย่างไม่กลัวเวรกลัวกรรมขณะนี้
ข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธที่ แปลกๆ เริ่มแรกข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธตามใบทะเบียนบ้าน ตอนเด็กๆ ไปวัดสวดมนต์ตามคุณยาย ยายของข้าพเจ้าชอบทำบุญและเชื่อเรื่องเวรกรรม เชื่อเรื่องนรกและสวรรค์ เชื่อเรื่องเปรต แต่สำหรับข้าพเจ้าเติบโตมาจากโลกวิทยาศาสตร์ เชื่อเรื่องโลกกลม และมีแรงดึงดูดของโลกที่ทำให้คนทั้งหลายยืนอยู่บนโลกกลมๆใบนี้ได้ โดยที่ไม่ได้ร่วงหล่นออกไปยังอวกาศ

ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าอ่าน หนังสือวิชาวิทยาศาสตร์ หนังสือบอกว่าโลกกลม และลอยอยู่กลางอวกาศ ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดตามทันทีว่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง คนที่อยู่แถวขั้วโลกใต้ก็ต้องยืนกลับหัวกับเรา แล้วเขาจะต้องหล่นไปจากโลกด้วย แต่วิทยาศาสตร์อธิบายว่า มีแรงโน้มถ่วงของโลกดึงดูดเราไว้ นั่นคือเรื่องราวของกฏแรงโน้มถ่วงของนิวตัน กับเรื่องราวที่เขาค้นพบเรื่องนี้ ขณะที่นั่งอยู่ใต้ต้นแอบเปิ้ล และเห็นลูกแอบเปิ้ลตกลงมา นักวิทยาศาสตร์มีคำอธิบายเรื่องราวต่างๆ นี้ได้ แถมมีการทดลองพิสูจน์ยืนยันให้เราได้เห็นด้วย
.
พอมากล่าวถึงเรื่อง เทวดา เรื่องเปรต ข้าพเจ้ายากที่จะเชื่อได้เพราะไม่มีอะไรมาพิสูจน์ยืนยันว่าภพภูมิที่กล่าว ถึงนั้นมีจริง เพราะไม่มีเปรตหรือเทวดามาให้เราเห็นและพิสูจน์ทดลอง กลายเป็นว่า เรื่องของมนุษย์ต่างดาวดูจะน่าสนใจกว่า เพราะอย่างน้อยก็มีเรื่องเล่า มีรูปถ่ายจานบินแบบประหลาดๆ ให้เราได้คิดได้สงสัย การมีหลักฐานที่เป็นวัตถุพยานทางวิทยาศาสตร์ แบบที่ตาเนื้อเราเห็นได้ชัดๆ และมือของเราสัมผัสได้ แบบที่อายตานะของเรารับรู้ได้จริงๆ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากกว่า แต่ถ้าใครสักคนมาบอกว่าเห็นเปรต ข้าพเจ้าก็จะสงสัยก่อนว่า ตาฝาดรึเปล่า ? คิดไปเองมั๊ง?

ข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธแบบไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ กัลยาณมิตรของข้าพเจ้าหลายท่าน ต่างมีศรัทธาสูง แน่นอนพวกเขาเชื่อเรื่องชาติภพ การกลับชาติมาเกิด การมีเทวดา การมีเปรต และ พวกเขาเชื่อเรื่องเวรกรรมด้วย ถามว่าข้าพเจ้าเชื่อเรื่องนี้หรือไม่แน่นอนว่าข้าพเจ้าเชื่อเรื่องเวรกรรม แต่เรื่องชาติภพ และการเวียนว่าตายเกิด ชาตินี้ชาติหน้า ข้าพเจ้าเพียงแต่กล่าวว่า มีความเป็นไปได้


http://upload.dhammakid.com/f.php/5dc086f544cb039a.jpg

หลัง จากเข้าสู่หนทางแห่งการปฎิบัติธรรม ได้เรียนรู้เรื่องราวทางอภิธรรมมาบ้างประปราย ข้าพเจ้าทึ่งที่ในคำสอนของพระพุทธองค์มีคำกล่าวถึงการกำเนิดของโลกและ จักรวาล และมีกล่าวถึง 31 ภพภูมิด้วย ทำให้ข้าพเจ้าไม่อาจปฎิเสธได้ว่า 31 ภพภูมิ นั้นไม่มีจริง อย่างไรก็ดีข้าพเจ้าไม่ได้สนใจมากมายนัก การมีหรือไม่มีไม่ใช่ประเด็นที่ต้องพิสูจน์ยืนยัน การรู้ว่ามีหรือไม่มีไม่ใช่สิ่งที่จะช่วยให้เราหลุดพ้นความทุกข์ เพราะพุทธองค์ให้เราสนใจใบไม้ที่อยู่ในหนึ่งกำมือเดียวที่พระองค์เน้นย้ำ มากกว่า สิ่งนอกเหนือจากนี้เป็นเรื่องของอจินไตย เราไม่ควรจะสนใจ และไม่ใช่วิสัยของเราที่จะรู้ได้ เพราะมันไม่สามารถรับรู้ได้ในวิสัยตาเนื้อของเรา ไม่อาจเข้าใจได้ในวิสัยคนธรรรมดาแบบโลกๆอย่างเรา
.
มีสิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าสนใจก็คือ การกำเนิดของโลกและจักรวาลท่านว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของ อจินไตยเช่นกันแต่นักวิทยาศาสตร์ก็สนใจอย่างมาก การเกิดบิ๊กแบงในครั้งนั้นที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวถึงและอธิบายมันน่าทึ่งมากแต่มันอธิบายได้เพียงการเกิดขึ้นของวัตถุธาตุเท่านั้นบอกถึงการเกิดของดวงดาวต่างๆแต่บอกไม่ได้ชัดเจนถึงการเกิดของชีวิตต่างๆบนโลก การเกิดของจิตวิญญาน ...

http://upload.dhammakid.com/f.php/32445fc2a8a74c05.jpg

หลังเข้าสู่หนทางแห่งการปฎิบัติธรรมข้าพเจ้าก็ยังสนใจในเรื่องวิทยาศาสตร์และก็ยังวนเวียนหาความรู้ว่า การเกิดของโลกนี้ จักรวาลนี้เป็นมาอย่างไรแต่อาจจะยุ่งยากไปอีกว่า การกำเนิดของจิตวิญญานมาอย่างไรเพราะในทางบิ๊กแบงไม่ได้อธิบายไว้ เพราะในทางพุทธศาสนามนุษย์เรานั้นประกอบด้วยกายกับจิต กายนั้นเราพอจะทราบที่มาแต่จิตเรานั้นมาจากไหนกัน ก่อนที่จะมีเราก่อนที่กายกับจิตเรามารวมกันในครรภ์มารดา จิตเรานั้นมาจากไหนเราเป็นใครมาก่อน เราคือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรืออย่างไร มาแล้วก็ไปถ้าเราคิดว่าเรามาด้วยความบังเอิญ เมื่อพ่อกับแม่อยู่ด้วยกัน มีเราขึ้นกายเรามาจากพ่อและแม่อย่างละครึ่ง แล้วจิตเรามาจากไหนจิตเราคือจิตใหม่ที่เป็นผลิตผลมาจากการทำงานของสมองใหม่ๆในร่างกายนี้ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้น เราก็มีชาตินี้ชาติเดียวอย่างแน่นอนพอกายเสื่อม สมองเสื่อมเราก็จากไป นั่นคือเรามาจากสิ่งไม่มีอะไรมาโดยบังเอิญ จากนั้นก็จากไปสู่ความไม่มีอะไร จบแล้วจบเลย ตายแล้วตายเลยนั่นคือข้อสรุปของคนรุ่นใหม่ที่ชัดเจนมากและอาจจะเป็นความคิดของนักวิทยาศาสตร์หลายๆท่านด้วย พวกเขาต่างคิดว่าชาตินี้ชาติเดียว และคนบางคนถึงขั้นคิดว่า ถ้าชาตินี้ชีวิตนี้มันทุกข์นักก็ฆ่าตัวตายเสีย จบชีวิตลงเสีย เมื่อจบชีวิตลงเราก็จะพ้นทุกข์จบแล้วจบเลยเช่นกัน แล้วเรื่องเวรกรรมล่ะ ?



<!-- / message --><!-- sig -->

*8q*
02-26-2009, 08:13 PM
http://upload.dhammakid.com/f.php/47b302a82dbca88d.jpg
เพราะความคิดแบบชาตินี้ชาติเดียว ผู้คนหมู่หนึ่งจึงใช้ชีวิตในโลกนี้ที่มีอยู่อย่างฟุ่มเฟือยและไร้สาระ เมื่อคิดว่าชาตินี้คือชาติเดียว การกลัวบาปกรรมอย่างจริงๆจังๆจึงยังไม่มี ตราบใดที่พวกเขายังมีอำนาจ ยังครอบครองวัตถุปัจจัยต่างๆ เช่นเงินทอง หรืออาวุธ กรรมอะไรที่ว่า ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ตราบใดที่พวกเขาคือผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เขาจึงสามารถกระทำสิ่งต่างๆได้ตามอำเภอใจ เขาสามารถจะฆ่าหรือทำร้ายใครก็ได้ เวรกรรมคืออะไรล่ะ ตราบใดที่พวกเขาเป็นผู้ชนะและมีอำนาจ เวรกรรมอะไรก็ตามไม่ทัน และอันที่จริงแล้วพวกเขาหลายคนไม่เชื่อเรื่องเวรกรรมด้วยซ้ำ แถมเมื่อใครมากล่าวว่าเวรกรรมจะตามไปในชาติหน้า พวกเขาก็จะหัวเราะในใจว่า ชาติหน้าชาติไหนกัน ชาตินี้มีชาติเดียวเท่านั้น แต่บางคนก็คิดไปเองว่า ถ้าชาติหน้ามีจริง การที่เขาบริจาคทานให้วัดด้วยเงินเป็นหลายๆ สิบล้านนั้นจะทำให้เขาไปอยู่ในสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง ส่วนเรื่องความเบียดเบียนและการฆ่าที่เขาทำไว้แก่คนอื่นๆนั้น แค่การทำบุญด้วยวัตถุปัจจัยก็สามารถแก้บาปแก้กรรมนั้นได้ จึงไม่ต้องแปลกใจ ที่บรรดานักการเมืองไทยหลายท่าน จะเดินทางไปทำบุญร้อยวัดสิบวัด เพื่อแก้ไขอะไรสักอย่างในชีวิตยามตกอับ แต่ข้าพเจ้ากลับมองเห็นไปว่า การเข้าวัดปฎิบัติธรรมนั่งสมาธิภาวนาสักสิบวัน ในสำนักที่สอนวิถีพุทธที่แท้ ท่านเหล่านี้อาจจะได้บุญใหญ่กว่า และอาจจะแก้กรรมได้มากกว่า และจะเป็นบุญของประเทศสยามครั้งใหญ่ ที่จะได้นักการเมืองดี มีธรรมะในใจจริงๆ กลับสู่สังคม

เมื่อเราพอ จะเข้าใจว่ากายเรามาจากไหนแบบวิทยาศาสตร์ แต่จิตหรือตัวรู้นั้นมาจากไหนกันล่ะ ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า จิตคือผลผลิตจากการทำงานของสมอง แบบที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเชื่อกัน การที่เราเชื่อในโลกกายภาพมากไปอาจจะทำให้เราเวียนวนและสับสนได้ เมื่อเราถามใครสักคนว่าคุณมีความสุขหรือไม่ ถ้าเขาตอบว่า มี เราก็น่าจะลองถามว่า ความสุขของคุณอยู่ตรงส่วนไหนของสมองล่ะ ? อยู่สมองarea ไหน บางทีเขาอาจจะงงๆ และตอบไม่ได้เช่นกัน ถ้าความสุขความทุกข์มันอยู่ตรงที่สมองจริง บางครั้งที่ชีวิตเราทุกข์ เราก็เพียงแต่ไปจี้ทำลายสมองส่วนที่ทำให้รู้สึกทุกข์นั้นเสีย เราก็คงจะมีความสุขกันตลอดไป แต่เรื่องราวมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น

ก่อนที่เราจะมาเป็นเรา จิตเรามาจากไหนกัน???

จิตไม่ใช่ผลผลิตจากการทำงานของสมอง
จิตเชื่อมต่อกับสมอง และใช้สมองเพื่อติดต่อกับโลก
การ เปลี่ยนแปลงใดๆ ในจิต จะทำให้ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในคลื่นสมองได้ จิตที่สงบ คลื่นสมองก็เป็นแบบหนึ่ง จิตที่ไม่สงบและอยู่ในภาวะตื่นตระหนก คลื่นสมองก็เป็นอีกแบบหนึ่ง
จิตของผู้ปฎิบัติธรรมขั้นสูง และสงบนิ่ง จะมีคลื่นสมองอีกแบบหนึ่ง
.
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ทำให้ข้าพเจ้าตั้งคำถามในใจว่า จิตเรานี้ แต่เดิมมาจากไหน ก่อนที่เราจะมาก่อกำเนิดในท้องแม่นี้ จิตเรานี้มาจากไหน? นักวิทยาศาสตร์อาจจะยังอธิบายไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้ารู้ว่าจิตเรานี้มาจากไหน นั่นคือที่มาของคำอธิบายเรื่องของ 31 ภพภูมิ เวรกรรมที่ติดตามมาจากจิตหนึ่ง มาเป็นจิตเรามีจริงหรือไม่ ในทางทฤษฎีแบบพุทธขณะนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นไปได้ การคิดว่ากายแตกสู่ดินแล้วจบจึงเลยไม่ได้จบจริงๆ จิตที่จากไปพร้อมพลังงานแห่งกรรมที่กระทำไว้ในชาตินี้ มีแน่อย่างไม่ต้องสงสัย

ชาติ นี้อาจจะชาติเดียวในร่างนี้ แต่กรรมของชาตินี้จิตนี้จะไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียวแน่ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ถ้าคนทั้งหลายยังไม่ตระหนักรู้ อย่างแท้จริงถึงเรื่องบาปกรรม แถมพวกเขาเหล่านั้นยังไม่รู้จักกลัวบาป และ ยังทำบาปทำกรรมโดยเบียดเบียนทำร้ายคนอื่นๆ ต่อไปแบบนี้ ด้วยเพียงแค่หลักการณ์และทฤษฎีนี้ที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น ข้าพเจ้าก็รู้สึกกลัวแทนพวกเขาเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ และยิ่งกลัวมากขึ้น เมื่อได้รับทราบเรื่องราวของชีวิตหลังความตายที่ไม่ใช่เรื่องของทฤษฎีเพียง ประการเดียว เมื่อไม่กี่วันมานี้


*************
ในช่วงเวลาที่วุ่นวายของ ประเทศสยาม.. ในช่วงเวลาที่ผู้คนถกเถียงกันเรื่องหุ้นตก เรื่องเศรษฐกิจของโลกที่กำลังแย่ และกำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ใครคือคนต้นเหตุแห่งการตายของประชาชนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา บ้างว่าต้องเป็นตำรวจ บ้างว่าต้องเป็นพันธมิตรนั่นแหละที่วางแผนทำร้ายกันเอง เพื่อเป็นข่าวใหญ่ บางคนว่าต้องเป็นมือที่สาม อาจเป็นกลุ่มคนลึกลับปฎิบัติการณ์แผนซ้อนแผน ยิงประชาชนเพื่อใส่ร้ายตำรวจ บ้างว่าเป็นการยิงไม่ถูกวิธี บ้างว่าแก๊สน้ำตาที่ใช้ไม่มีมาตรฐาน ต่อการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว ในหมู่ผู้ร่วมงานที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่... ท่ามกลางความโกลาหลในความคิดเห็นต่อเรื่องราวทางโลกนั้น ข้าพเจ้าเลยลองถามหมอรุ่นน้องท่านหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันในห้องนั้นว่า

" น้องเชื่อเรื่อง ชาติภพ เรื่องกฏแห่งกรรมหรือเปล่า เชื่อเรื่องภพภูมิไหม๊ เรื่องตายแล้วเกิดใหม่ ..เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดน่ะ "

รุ่นน้องหมอท่านนี้ ตอบอย่างมั่นใจว่า " ผมเชื่อ "
และ จากการพูดคุย เขาเชื่ออย่างจริงจังด้วย พร้อมกับกล่าวว่า เพราะว่าชาวสยามในปัจจุบันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ จึงทำบาปทำกรรมกันมากมาย ประมาณว่าเป็นชาวพุทธก็จริงแต่ไม่รู้ไม่เข้าใจถึงคำสอนที่แท้ของพระพุทธองค์ คนสยามหมู่หนึ่งจึงยังทำบาปกันอยู่เนืองๆ

ข้าพเจ้าจึงบอกกับเขาว่า
" อันที่จริงแล้ว ที่ผ่านมา พี่ไม่เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้า เรื่องการมีนรก มีสวรรค์นั่นหรอก แต่หลังจากการปฎิบัติธรรมมาได้ปีกว่าๆ พี่จึงเริ่มเชื่อว่ามีความเป็นไปได้.... การเวียนว่ายตายเกิดน่าจะมีจริง "

ข้าพเจ้า ย้อนรำลึกไปเมื่อปีที่แล้ว หลังการไปปฎิบัติธรรมกลับมา ข้าพเจ้าเล่าให้เพื่อนที่สนิท และรุ่นน้องที่คุ้นเคยกันฟังว่า ไปปฎิบัติธรรมนั้นได้อะไร เมื่อข้าพเจ้าเอ่ยเล่าถึงเรื่อง 31 ภพภูมิ ทั้งสองคนมีอาการแตกต่างกันไป คนหนึ่งมองหน้าข้าพเจ้าด้วยความทึ่งกึ่งมึนงง ประดุจว่าข้าพเจ้าอาจไปถูกล้างสมองมา จากศูนย์ปฎิบัติธรรม ส่วนอีกคนหนึ่งมีอาการทนฟังเรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าแทบไม่ได้ แต่ต้องฝืนใจฟังไปพักใหญ่ ในตอนนั้นข้าพเจ้าเพียงแต่บอกกล่าวในทางทฤษฎีของอภิธรรมเท่านั้น เข้าทำนอง... ท่านว่ามาอย่างนั้น แต่ไม่ได้บอกว่าข้าพเจ้าเชื่ออย่างเป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด (ตอนที่เล่านั้นเล่าด้วยความรู้สึกว่า มีแนวโน้มจะเป็นไปได้ก็เท่านั้นเอง )

ใน ขณะนี้ถ้าข้าพเจ้าบอกกล่าวใหม่ว่า เรื่องภพภูมินั้นมีจริง และชีวิตหลังความตายนั้นมีจริง ข้าพเจ้าเชื่ออย่างนั้นไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องของความน่าจะเป็นอีกต่อไป... ยากจะเดาออกจริงๆว่าทั้งสองคนนี้จะมีอาการอย่างไร
.
http://www.agalico.com/board/images/statusicon/wol_error.gifกดที่เเถบนี้เพื่อดูรูปขนาดดั้งเดิมhttp://upload.dhammakid.com/f.php/c458ed095a149747.jpg

มีอันหนึ่งที่น่าสนใจ ในหมู่ชาวพุทธก็คือการเชื่อเรื่องหมอดู เชื่อคำทำนายทายทัก แต่พอกล่าวไปถึงเรื่องการเข้าวัดปฎิบัติธรรมจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งทันที ถ้าเราชวนใครสักคนไปดูหมอ บอกว่าท่านดูแม่นมาก จะได้รู้อนาคต หลายคนไปกับเราโดยง่าย แต่พอเราบอกว่าไปปฎิบัติธรรมไหม๊ ไปเรียนรู้เรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้า หลายคนส่ายหน้า บางท่านกล่าวว่าไม่มีปัญหาอะไร และไม่บ้าพอที่จะไปนุ่งขาวห่มขาวแบบนั้น การปฎิบัติธรรมกลายเป็นเรื่องบ้าๆ และเรื่องแปลกๆ ของคนหมู่หนึ่ง และเวลาเราถามพวกเขาเหล่านี้ว่า ถือศาสนาอะไร พวกเขากลับบอกว่าถือพุทธ เมื่อเราถามว่าไม่อยากฟังคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์หรือ พวกเขาอาจอ้ำอึ้ง แต่ถ้าชวนไปฟังคำทำนายจากหมอดู เขาก็จะไป พอเราถามถึงเรื่องความเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่อง 31 ภพภูมิ พวกเขากลับทำหน้างง ๆ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าลึกๆแล้วพวกเขาไม่เชื่อว่ามีจริง แถมพวกเขาบางส่วนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การถือพุทธ นั้นมีประโยชน์อะไรกับชีวิต ข้าพเจ้าก็เคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน

เรื่อง 31 ภพภูมิ นั้นข้าพเจ้าไม่เคยเชื่อ แต่ข้าพเจ้าเห็นต่างก็คือ การเชื่อคำทำนายทายทักของหมอดูมากๆ ก็เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลและไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาเสียเลยเช่นกัน แต่ถ้ามีใครชวนไปดูดวงข้าพเจ้าก็ไปได้ ไม่ได้ปฎิเสธ ไม่ได้ต่อต้านอะไร

หลัง การปฎิบัติธรรมมาจนถึงบัดนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่า 31 ภพภูมิ นั้นมีจริง และชีวิตหลังความตายนั้นก็มีจริง แต่การทำนายทายทักของหมอดูนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจอีกแล้วสำหรับข้าพเจ้า ความสามารถในการล่วงรู้อนาคตของคนบางคน เขาอาจจะสามารถรู้ได้จริง และมาบอกเล่าให้เราทราบได้ แต่การรู้นั้นจะมีประโยชน์อะไรแก่ชีวิตเราเล่า เพราะการเรียนรู้เรื่องกายและใจของเรา ด้วยการฝึกวิชาของพระพุทธเจ้าน่าจะมีประโยชน์มากกว่า และดับทุกข์ได้มากกว่าเป็นไหน ๆ
.
.
รู้อดีตแล้วได้อะไร รู้อนาคตแล้วได้อะไร ที่สุดของการรู้น่าจะเป็นการรู้ที่ปัจจุบัน มากกว่า ขนาดปัจจุบันขณะที่หายใจเข้าออก เรายังไม่รู้ตัวรู้ตน แล้วเรายังจะไปหวังเพื่อที่จะรู้อดีต และอนาคตไปเพื่ออะไรกันเล่า.....

http://board.agalico.com/showthread.php?t=27446