PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : สรุป ฌาน - สมาธิของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี



DAO
03-04-2009, 12:29 PM
สรุป ฌาน - สมาธิ
เทศน์ ณ วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๒



เรื่องกัมมัฏฐาน ๔๐ นั้น ในตำราท่านไม่ได้แยกออกว่า อันนั้นเป็นอารมณ์ของฌาน อันนั้นเป็นอารมณ์ของสมาธิ หรือท่านแยกไว้แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นตำราก็เป็นได้ ฉะนั้น เทศนากัณฑ์นี้จะรวมกัมมัฏฐาน ๔๐ นั้นไว้เสียก่อนว่ากัมมัฏฐานใดควรเป็นอารมณ์ของสมาธิ ต่อไปถ้ามีโอกาสจะเทศน์เรื่องอัปปมัญญา ๔ อาหาเรปฏิกกูลสัญญา ๑ ธาตุววัตถาน ๑ ให้ฟัง
กัมมัฏฐาน ๔๐ นั้น พวกที่เป็นอารมณ์ของฌาน ได้แก่ กสิน ๑๐ อสุภ ๑๐ อรูปฌาน ๔ รวมเป็น ๒๔
ส่วนพวกที่เป็นอารมณ์ของสมาธิ ได้แก่ อนุสสติ ๑๐ อัปปมัญญา ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ ธาตุววัตถาน ๑ รวมเป็น ๑๖
อนุสสติ ๑๐ ได้แสดงแล้วยังเหลือแต่ อัปปมัญญา ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ และธาตุ ววัตถาน ๑ นี่แลเรื่องบัญญัติจำเป็นจะต้องจดจำหน่อย ความจำเรียกว่า สัญญา ถ้ามีสัญญาอยู่ สมาธิก็จะไม่รวมลงได้ ถ้าสมาธิรวมได้แล้ว กัมมัฏฐาน ๔๐ เป็นอันว่าทำถูกต้องแล้ว ถึงอย่างไรบัญญัติก็ต้องเป็นบัญญัติอยู่ดี ๆ นี่แหละ
ทีนี้จะอธิบายถึงเรื่องฌาน ก่อน ฌาน แปลว่า เพ่ง เพ่งอารมณ์กัมมัฏฐานนั้น ๆ ให้เป็นไปตามปรารถนาที่ตนประสงค์ไว้แล้ว เช่น เพ่งกสินหรือเพ่งอสุภ เป็นต้น ให้เป็นไปตามประสงค์ของตน เช่น อยากจะให้เป็นไฟ แล้วก็เพ่งว่า ไฟ ๆ จนกว่าจิตนั้นจะรวมลงสู่ไฟ เกิดความร้อนขึ้นมา เป็นต้น หรือเพ่งคนให้เป็นอสุภ จนจิตรวมลงในคนนั้น แล้วเกิดอสุภขึ้นมาในบุคคลนั้นจริง ๆ ดังนี้เป็นต้น รวมความว่า จิต กับ สังขาร ไปปรุงแต่งหลอกลวงเอง แล้วตนเองก็เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เกิดความสลดสังเวชถึงกับร้องไห้ร้องห่มทั้ง ๆ ที่ตัวของเราก็ยังดี ๆ อยู่ไม่เป็นอสุภเปื่อยเน่าอะไรเลย เพราะจิตรวมแล้วมันส่งใน คุมจิตของตัวเองไม่ได้ จึงร้องไห้ร้องห่มและเห็นเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ดีเหมือนกัน ถ้าไม่เห็นอสุภด้วยใจของตนแล้ว ก็จะประมาทมัวเมาอยู่ว่าตัวของเรานี้สวยสดงดงาม จะไม่แก่เฒ่าไม่ตาย
ฌาน มีองค์ ๕ คือ วิตก จิตไปกำหนดเอาอารมณ์ของกัมมัฏฐานนั้น ๆ มาเป็นอารมณ์ ๑ วิจาร จิตนึกคิดตริตรองว่าทำอย่างไรจิตเราจะละอารมณ์นั้น ๆ แล้วเข้ามารวมเป็นฌานได้ ๑ เมื่อจิตละอารมณ์นั้นๆ แล้วก็เข้าสู่ภวังค์ เกิด ปีติ ซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กายหรือเบากายเบาใจ ๑ แล้วก็เกิดความ สุข สงบอย่างยิ่ง ๑ จิตก็เป็นอารมณ์อันเดียวกัน เรียกว่า เอกัคคตารมณ์ ๑ อันนี้เรียกว่าได้ ปฐมฌาน
ด้วยความคล่องตัวของการกระทำเช่นนั้น จึงไม่ต้องมีวิตก วิจาร มีแต่ ปีติ สุข อกัคคตา เรียกว่า ทุติยฌาน
ด้วยความคล่องตัวยิ่งขึ้น ตติยฌาน จึงไม่ต้องมีปีติ มีแต่ สุข กับ เอกัคคตา เท่านั้น
จตุตถฌาน จิตมันแน่วแน่ใน เอกัคคตา จนสุขก็ไม่ปรากฏ แต่ เอกัคคตา กับ อุเบกขา วางเฉยเท่านั้น
ฌาน เป็นเพียงแต่ข่ม นิวรณ์ ๕ ได้ชั่วคราวเท่านั้น เพราะฌานไม่ได้ใช้ปัญญาใช้แต่จิตสงบอย่างเดียว จึงเป็นแต่ข่มนิวรณ์ ๕ ได้ นิวรณ์๕ คือ กามฉันทะ ความรักใคร่พอใจในกามคุณ ๕ มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เมื่อจิตสงบแล้วไม่ต้องเกี่ยวข้องกันกับสิ่งเหล่านี้ ๑
พยาบาท จิตคิดปองร้ายอยากให้ได้ตามความปรารถนาของตน ไม่ว่ากามนั้นจะอยู่ในสภาพเช่นไร และอาการอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งไม่ทราบเลย เปรียบเหมือนคนคิดจะทำลายคนอื่นโดยเราไม่ทันรู้ตัวเลยฉะนั้น ๑
ถีนมิทธะ จิตเมื่อคิดฉะนั้นแล้วก็หมกมุ่นอยู่แต่ในอารมณ์นั้น และไม่กล้าบอกแก่ใคร จนกระทั่งซึมเซ่อและมึนงงไปหมด ๑
อุทธัจกุกกุจจะ จิตที่ฟุ้งซ่านส่งไปในอารมณ์ของกามนั้นไม่มีที่สิ้นสุดลงได้ ๑
วิจิกิจฉา จิตที่ลังเล ไม่แน่ใจว่ากามนั้นจะสำเร็จลงได้เมื่อใดหนอ ๑
ทั้งห้านี้ เมื่อจิตสงบเข้าถึงฌานแล้วก็จะไม่ปรากฏ เมื่อออกจากฌานก็จะปรากฏอีกตามเดิม
จิตของฌาน มี ๓ ภูมิ หยาบและละเอียดโดยลำดับกัน คือ


๑. ภวังคบาต
๒. ภวังคจลนะ
๓. ภวังคุปัจเฉทะ

ภวังคบาต จิตจะรวมเป็นครั้งคราว รวมแล้วถอนออกมาจะตั้งหลักไม่ได้ หรือไม่รู้ว่าจิตของเรารวม มีได้ทั่วไปแก่คนทั้งหลาย เช่น เมื่อเห็นคนหรือสัตว์ตกทุกข์ได้ยาก เป็นต้นว่า ถูกเขาฆ่าหรือทรมานด้วยประการต่าง ๆ จิตจะสลดสังเวชแล้วรวมลงขณะหนึ่ง ถ้าไม่รวมก็จะไม่สลดสังเวช เรียกว่า ภวังคบาต
ภวังคจลนะ เมื่อผู้ฝึกหัดจิตแล้วจึงจะเกิด เมื่อเกิดมีอาการให้พิจารณาอารมณ์ภายใน หรือที่เรียกว่าส่งใน เช่น เห็นสีแสงต่าง ๆ นานา แล้วจิตจะจดจ้องมองแต่สิ่งนั้น หรืออารมณ์อื่น ๆ ก็เหมือนกัน เป็นต้นว่า รูปพระปฏิมากรหรือพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย ตลอดถึงเทวดา อินทร์ พรหม เป็นต้น แม้จะพิจารณาในธรรมนั้น ๆ ก็เรียกว่า ภวังคจลนะ ทั้งสิ้น
ภวังคุปัจเฉทะ นั้นขาดเสียซึ่งอารมณ์ทั้งปวงไม่เหลือ แม้แต่ผู้รู้ ( คือใจเดิม ) ก็ไม่ปรากฏ บางท่านที่สติอ่อนย่อมนอนหลับไปเลยก็มี

ภวังคบาต ได้แก่ ผู้ได้ ปฐมฌาน
ภวังคจลนะ ได้แก่ ผู้ได้ ทุติยฌาน และตติยฌาน
ภวังคุปัจเฉทะ ได้แก่ ผู้ได้ จตุตถฌาน

ฌาน แปลว่า เพ่ง คือ เพ่งอารมณ์กัมมัฏฐานที่ตนต้องการอยากจะให้เป็นไปตามปรารถนาของตน ดังอธิบายแล้วเบื้องต้น นี้เรียกว่า ฌาน ไม่ต้องพิจารณาให้เห็นตามเป็นจริงก็ได้
สมาธิ คือ ทำให้จิตสงบแน่วแน่เป็นอารมณ์อันเดียวเหมือนกับฌาน แต่มีการพิจารณาให้เห็นตามเป็นจริง มันเป็นจริงอย่างไรก็ให้เห็นตามเป็นจริงอย่างนั้น ไม่ต้องเกิดปฏิภาค (คือแปรสภาพจากของเดิม) เช่น นึกคำบริกรรมว่า พุทโธ ๆ เป็นต้น เพื่อให้จิตรวมเข้ามาอยู่ในที่เดียวแล้วพิจารณาพุทโธนั้นให้เห็นว่ามีคุณวิเศษอย่างไรและใครเป็นผู้ว่าพุทโธนั้น และอยู่ ณ ที่ไหน ให้เห็นชัดลงไป แล้วจะเกิดความอิ่มเอิบในใจ เพลินอยู่กับความรู้ของตนนั้น ใจจะไม่ส่งออกไปภายนอก และใจจะนิ่งแน่วเป็นอารมณ์อันเดียว สมาธินี้จิตจะไม่ปรุงแต่งให้เป็นอสุภเหมือนฌานหรือกสิณ แต่เห็นตามเป็นจริงในสิ่งนั้น ๆ จิตรวมลงได้เหมือนกัน แต่ไม่ส่งใน คงที่อยู่ที่ใจอย่างเดียว
สมาธิ ท่านไม่แสดงไว้ว่า ผู้ได้ ขณิกะ อุปจาระ และ อัปปนาสมาธิ ได้ขั้นนั้นขั้นนี้ จึงจะได้โสดาบัน สกิทาคามี และพระอรหันต์ เห็นแต่แสดงไว้ว่าองค์ของพระโสดาบัน ๔ ดังนี้ คือ ถึงพระพุทธเจ้า ๑ ถึงพระธรรม ๑ ถึงพระสงฆ์ ๑ มีศีล ๕ เป็นนิจศีล ๑ ผู้ประกอบด้วยคุณลักษณะครบ ๔ อย่างนี้ นับว่าเป็นพระโสดาบันบุคคล ส่วนสมาธิไม่ได้กล่าวถึง แต่สมาธิเป็นการเดินฌานไม่ใช่เดินมรรคถึงจะได้ฌานขั้นสูงสุด คือ นิโรธสมาบัติ ท่านก็เรียกว่า ณานโลกิยะ อยู่นั่นเอง
พระโสดาบัน แปลว่า ผู้ตกกระแสพระนิพพานแล้ว แต่ยังไม่ถึงพระนิพพานเหมือนกับเดินทางไปสู่พระนครอันสุขเกษมถึงต้นทางแล้ว แต่ยังไม่ทันถึงพระนคร ฉะนั้น และเมื่อถึงพระโสดาบันแล้ว กิเลสทั้ง ๓ กองนี้จะต้องละได้ด้วยตนเอง คือ สักกายทิฏฐิ ถือว่าอันนี้เป็นของตัวเที่ยงแท้แน่นอน ถือรั้นจนเกิดทิฐิ ๑ วิจิกิจฉา ลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัย ไม่แน่นอนว่าเป็นที่พึ่งอันแท้จริง ๑ สีลัพพตปรามาส ลูบคลำในสิ่งที่ไร้สาระประโยชน์ เชื่อสิ่งอื่นโดยไม่ตรึกตรองให้ถี่ถ้วน ๑ กิเลสทั้ง ๓ กองนี้ ผู้ทำสมาธิให้มั่นคงแล้วย่อมเกิดปัญญาเห็นชัดในพระไตรลักษณญานเห็นแจ้งด้วยปัญญาว่าสิ่งทั้งสามนั้นเป็นของไร้สาระประโยชน์ ไม่มีแก่นสาร แล้วละได้
ท่านไม่ได้กล่าวถึงว่าสมาธิมีเท่านั้นเท่านี้ เพราะมิใช่การรู้เพ่งอย่างฌาน จะจับเอาอะไรมาพิจารณาก็ได้ แม้ที่สุดนำอารมณ์ของฌานมาพิจารณาก็ได้ ขอแต่ให้พิจารณาเป็น พระไตรลักษณญาณ ก็แล้วกัน จิตจะรวมลงสมาธิได้เหมือนกัน
จิตของผู้ที่ได้สมาธิแล้วมี ๓ ภูมิ หยาบและละเอียดโดยลำดับ แต่ท่านไม่ได้เรียกว่า ภวังค์ เหมือนกับฌาน ท่านเรียกว่า สมาธิ เพราะพิจารณาเห็นตามเป็นจริงในอารมณ์ที่ตนพิจารณาแล้วนั้น คือ
๑. ขณิกสมาธิ เมื่อนักปฏิบัติกำหนดเอาอารมณ์ของสมาธิอันใดอันหนึ่งมาเป็นอารมณ์กัมมัฏฐาน เป็นต้นว่า พุทโธ ๆ อยู่นั้น จิตส่วนหนึ่งจะแวบเข้าไปเห็น ผู้รู้ที่ว่าพุทโธ ๆ นั้นชัดเจน เหมือนกับมีผู้มาบอกให้ฉะนั้น พร้อมกับจิตรวมเป็นสมาธิขณะหนึ่ง แล้วก็หายไป แต่จิตไม่ได้ลืมสติ รู้ตัวอยู่ดี ๆ นั่นเอง เรียกว่า ขณิกสมาธิ ขณิกสมาธินี้ นักปฏิบัติทั้งหลายเป็นไม่เหมือนกัน แต่ขอให้สังเกตไว้ว่า ขณะที่จิตรวมมีสติรู้ตัวอยู่เรียกว่า สมาธิ ถ้าลืมตัวส่งไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นเรียกว่า ฌาน
๒. อุปจารสมาธิ นักปฏิบัติมากำหนดเอาอารมณ์ของขณิกสมาธิเช่นนั้นเหมือนกัน หรืออารมณ์อันใดที่ตนชำนิชำนาญแล้วติดอยู่ในใจของตนเองก็ได้ พิจารณาอยู่เฉพาะอารมณ์อันเดียว ไม่ส่งไปจากอารมณ์อันนั้นตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน แต่ไม่รวมลงเป็นอัปปนา เรียกว่า อุปจารสมาธิ

ก่อนจะเข้าถึง อัปปนาสมาธิ หรือเมื่อถึงอัปปนาแล้ว จิตถอนออกมาอยู่ในอุปจาระ ก็มีอาการเช่นเดียวกัน แต่นุ่มนวลและละเอียดกว่า ตอนนี้จะทำให้เกิดปัญญาและความรู้ต่าง ๆ ที่เรียกว่า อภิญญา มีหูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นต้น เช่น พระโมคคัลลานะเมื่อท่านลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏ เห็นเปรตตัวหนึ่งมีร่างกายยาว ๓๐๐ เส้น มีปากเล็กเท่ารูเข็ม แล้วท่านหัวเราะในลำคอฮึ ๆ พระลักขณะเถระผู้ติดตามเห็นดังนั้นเข้าใจว่าท่านเห็นนางเทพธิดา จึงถามท่าน ท่านก็ไม่บอก พอมาถึงสำนักพระพุทธเจ้า พระเถระก็กราบทูลเหตุนั้นถวายพระองค์ให้ทรงทราบ พระองค์จึงตรัสถามพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะก็กราบทูลพระองค์ดังกล่าวข้างต้น พระองค์ตรัสว่า " จริงอย่างโมคคัลลานะว่า เราได้เห็นแล้วแต่แรกได้ตรัสรู้ใหม่ ๆ แต่ไม่มีใครเป็นพยาน นี่โมคคัลลานะเป็นพยานของเรา " แต่ถ้าควบคุมสติไว้ไม่ได้จะเตลิดเปิดเปิงไปใหญ่นักปฏิบัติทั้งหลายจะเสียก็ตรงนี้เอง ถ้าควบคุมจิตของตนไว้ไม่ได้
เมื่อเกิดความรู้และปัญญาต่าง ๆ แล้วรวมเข้ามาเป็น อัปปนาสมาธิ เพราะพิจารณาเห็นว่า ความรู้และปัญญาเหล่านั้นก็เป็น อนิจจัง ไม่เที่ยง รู้แล้วก็หายไป ทุกขัง เป็นทุกข์ เพราะทนอยู่ไม่ได้ ประเดี๋ยวก็รู้ ประเดี๋ยวก็ไม่รู้ ถึงรู้และไม่รู้ สิ่งที่เราไปรู้ไปเห็นนั้นมันหากเป็นอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมา รู้และไม่รู้ก็มันไม่ว่าอะไรกับใคร อนัตตา ไม่ใช่เป็นของของเรา มันเป็นจริงอย่างไรมันเป็นจริงของมันอยู่อย่างนั้น เป็นธรรมะทั้งหมด ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว บาปหรือบุญ ธรรมะเป็นผู้แต่งมาทั้งนั้น
เมื่อจิตรวมเข้ามาเป็น อัปปนาสมาธิอยู่พักหนึ่งแล้วก็ถอนออกไปเป็น อุปจาระ ออก ๆ เข้า ๆ อยู่อย่างนี้ จิตของท่านผู้นั้นจะมีพลังแก่กล้า เดินก้าวหน้าได้อย่างดีที่สุด
๓. อัปปนาสมาธิ จิตจะรวมเข้าอย่างสนิทจนถอนอารมณ์ภายนอกออกหมดไปอยู่อันหนึ่งของมันต่างหาก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งเป็นสมมุติบัญญัติจะไม่มี ณ ที่นั้นเลย ยังเหลือแต่ผู้รู้อันเดียว บางทีมีคนมาเรียกได้ยินเสียง (เพราะประสาทหรือเซลล์ยังมีอยู่) แต่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไร เมื่อออกจาก อัปปนาสมาธิ แล้ว ในขณะนั้นมองดูคนและสิ่งต่างๆ จะเห็นเป็นสักแต่ว่าเท่านั้น ไม่มีสมมุติบัญญัติว่าคนหรือสิ่งนี้สิ่งนั้น อาการเช่นนี้จะเป็นอยู่สัก ๕ นาที ๑๐ นาที แล้วจึงค่อย ๆ ลงจนเป็นปกติสมมุติบัญญัติตามเคย
ฌาน และ สมาธิ เป็นอันเดียวกันและต่างกัน ฌาน ได้แก่การเพ่งในอารมณ์นั้น ๆ ให้เป็นไปตามปรารถนาของตน เมื่อสังขารปรุงแต่งอยู่นั้น จิตก็จะรวมลงในอารมณ์ที่ปรุงแต่งนั้น แล้วก็เป็นไปตามปรารถนาของตน ดังอธิบายมาแล้ว เรียกว่า ฌาน สมาธิ ได้แก่ การพิจารณาให้เห็นเหตุผลของมันตามความเป็นจริง จนจิตหยุดนิ่งอยู่ไม่คิดนึกต่อไป ยังเหลือแต่ ผู้รู้ เรียกว่า สมาธิ
ฌาน และ สมาธิ นี้ จิตรวมเหมือนกัน ถ้าจิตไม่รวมก็ไม่เรียกว่า สมาธิ และ ฌาน มีแปลกต่างกันที่ฌานนั้น เมื่อจิตรวมเข้าแล้วจะลืมสติ เพ่งพิจารณาแต่อารมณ์อันเดียว หรือมีสมาธิอยู่ แต่ไปเพลินหลงอยู่กับภาพนิมิตและความสุขอันนั้นเสีย ไม่พิจารณาพระไตรลักษณญาณต่อไป หรือที่เรียกว่าความเห็นเป็นไปหน้าเดียว นี่เรียกว่า ฌาน ส่วนสมาธินั้นเมื่อจิตรวมหรือไม่รวมก็มีสติรักษาจิตอยู่ตลอดเวลา รู้ตัวอยู่ว่าเราอยู่ในสภาพเช่นไร พิจารณาอะไร หยาบหรือละเอียดแค่ไหน เรียกว่า สมาธิ
บางทีเมื่อจิตถอนออกมาจากฌานแล้ว มาพิจารณาองค์ฌานนั้นหรือพิจารณาอารมณ์อันใดก็ตามจนจิตแน่วแน่อยู่เฉพาะอารมณ์นั้น หรือเพ่งอารมณ์ของฌานอยู่แต่กลับไปพิจารณา พระไตรลักษณญานเสีย จิตไม่รวมเป็นภวังค์เรียกว่า ฌานกลับเป็นสมาธิ
เมื่อพิจารณาอารมณ์ของสมาธิอยู่หรือออกจากสมาธิแล้วก็ตาม จิตไปยินดีน้อมเข้าสู่ความสงบสุข เลยไม่พิจารณาเอาอารมณ์ของสมาธินั้น จิตรวมเข้าไปเป็น ภวังค์ เรียกว่า สมาธิกลับมาเป็นฌาน
ฌานและสมาธินี้กลับเปลี่ยนกันไปกันมาอยู่อย่างนี้ เป็นธรรมดาของผู้ปฏิบัติไม่เป็นการเสียหายอะไร ขอแต่ให้รู้เรื่องของมันว่า อันนี้เป็น ฌาน อันนี้เป็น สมาธิอย่าไปติดในอารมณ์นั้น ๆก็แล้วกัน ทำให้ชำนิชำนาญคล่องแคล่วแล้วจะอยู่ในอารมณ์อันใดก็ได้ พระบรมศาสดาเมื่อทรงพระชนม์อยู่ หรือพระสาวกทั้งหลายเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องเพ่งพิจารณาฌานนี้เป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่ของท่าน ธรรมดาจิตจำเป็นต้องมีความคิดความนึกอยู่เสมอ ท่านเห็นโทษในอารมณ์นั้น ๆ ว่าเป็นไปเพื่อวัฏฏะ เพราะฉะนั้น ท่านจึงน้อมเอาจิตมาพิจารณาให้เป็นฌานเสีย เพื่อเป็นเครื่องอยู่ในทิฏฐธรรมของท่าน
ฌาน และ สมาธิ นี้ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน พระองค์จึงตรัสว่า ผู้ไม่มีฌานก็ไม่มีสมาธิ ผู้ไม่มีสมาธิก็ไม่มีฌาน ดังนี้ เอวํ


นั่งสมาธิ
ท่านอาจารย์อบรมนำก่อน
อธิบายเรื่อง สัญญา มามากแล้ว คราวนี้นั่งสมาธิเพื่อลบสัญญากันเถิด ความจริงนั้นสัญญามีประโยชน์มากถ้าใช้เป็น ถ้าใช้ไม่เป็นก็ยุ่งมากเหมือนกัน ความจดจำของเก่าหรือเรื่องเก่าไว้ได้นาน เรียกว่า สัญญา เช่น จดจำอารมณ์แต่ก่อนเก่าที่ตนได้ทำไว้นานแล้ว ไม่ว่าดีหรือชั่วเอามาเป็นอารมณ์ ถ้าอารมณ์นั้นเป็นของดี ก็เอามาปรุงแต่งให้เป็นของดียิ่งขึ้น แล้วก็เพลิดเพลินติดอยู่ในอารมณ์นั้น ถ้าอารมณ์นั้นเป็นของชั่ว ก็ทำใจให้เศร้าหมองเดือดร้อน พระพุทธองค์จึงตรัสว่า จงละอารมณ์ที่ยังไม่มาถึงนั้นเสีย เพราะสิ่งที่ยังไม่มาถึงก็เป็นอนาคต อารมณ์ที่ล่วงไปแล้วก็เป็นอดีตไป อารมณ์ที่เกิดอยู่ในเดี๋ยวนี้ก็ไม่ควรยึดถือเอา ดังนี้
สัญญาเป็นของละเอียดมาก บางทีเราอยู่ดี ๆ ก็โผล่ขึ้นมาเฉย ๆ ทั้งที่เป็นของดีและไม่ดี ถ้าใช้เป็นก็เป็นของดี เราจดจำเอามาเทียบเคียงกับความประพฤติของตนในเดี๋ยวนี้ เราควรทำในสิ่งที่ดี หรือจะสอนคนอื่นก็ได้ ให้ทำแต่สิ่งที่ดี เพราะความชั่วเราได้ทำมาแล้ว ได้รับความเดือดร้อนอย่างนั้น ๆ พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายท่านก็ได้ตรัสรู้มาแล้ว เพราะสัญญานี้เอง รู้ว่าตัวของพระองค์เองและสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ได้เคยทำกรรมดีและกรรมชั่วมาแล้วอย่างนั้น ๆ ตายไปแล้วได้เสวยกรรมอย่างนั้น ๆ ในอดีตล่วงมาแล้วนานแสนนาน เรียกว่า อตีตังสญาณ
สัตว์มนุษย์ทั้งหลายที่จะเกิดมาในโลกนี้จะต้องทำกรรมดีและกรรมชั่วด้วยกันทั้งนั้น เมื่อตายไปแล้วจะต้องได้รับผลกรรมที่ตนกระทำนั้นทั้งดีและชั่ว ถ้าดีก็ได้ไปเกิดในสุคติภพ ถ้าชั่วก็ได้ไปเกิดในทุคติภพอย่างนั้น ๆ เรียกว่า อนาคตังสญาณ
พระองค์ทรงเห็นเช่นนั้นแล้ว จึงทรงกลัวภพกลัวชาตินี้หนักหนา แล้วจึงทรงละสัญญาทั้งอดีตและอนาคตพร้อมทั้งสัญญาในปัจจุบันเสียได้ เรียกว่า อาสวักขยญาน
พวกเราทั้งหลายจะให้ได้ญาณ ๓ อย่างพระพุทธเจ้าแล้วจึงจะละไม่ได้หรอกญาณของพวกเราก็เห็นแล้วมิใช่หรือ สัญญาความจดจำว่านั้นลูกกูหลานกู ภรรยาสามีกู ทรัพย์สินเงินทองข้าวของทั้งปวงเป็นของกู แล้วก็ปรุงแต่งให้เป็นไปตามความปรารถนาของตน นี้เป็นญาณปุถุชนของพวกเราทั้งหลาย ซึ่งเห็นอยู่เฉพาะหน้า
จงพากันมาทำความสงบเพื่อลบล้างสัญญาเหล่านั้นเสีย อย่าให้ติดอยู่ในใจของตน ถึงแม้จะไม่ได้นาน ในชั่วขณะที่เราภาวนาอยู่นี้ก็เอา เมื่อถึงความสงบสุขแล้วมันจะชอบใจ ภายหลังมันจะทำเองของมันหรอก ไม่ต้องไปบังคับให้มันทำก็ได้




ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.thewayofdhamma.org/page3_2/patum55.html