DAO
03-09-2009, 04:26 PM
http://www.dhammajak.net/board/files/paragraphparagraph__203.jpg
ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก
วัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม (วัดป่าเหล่างา)
ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น
หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก มีนามเดิมว่า บุญเพ็ง เหล่าหงษา เกิดเมื่อวันวันเสาร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๑ ตรงกับวันมาฆบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะโรง จ.ศ. ๑๒๙๐ ณ บ้านบัวบาน ตำบลกู่ทอง อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายเอี่ยม และนางคง เหล่าหงษา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๗ คน เป็นชาย ๕ คน หญิง ๒ คน ท่านเป็นลูกหล้าคือบุตรคนสุดท้อง มีชื่อตามลำดับดังนี้
๑. นางแถว เหล่าหงษา
๒. พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม)
๓. นางสาย เหล่าหงษา
๔. นายเลียบ เหล่าหงษา
๕. นายเลี่ยม เหล่าหงษา
๖. นายสำเริง เหล่าหงษา
๗. หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก
ปัจจุบันพี่ของท่านมรณภาพและเสียชีวิตลงหมดแล้ว
ครอบครัวของหลวงปู่บุญเพ็ง มีอาชีพทำไร่ทำนาตามสภาพของคนในชนบท มีฐานะพอมีอันจะกินตระกูลหนึ่งในหมู่บ้านบัวบาน หลวงปู่ได้มีโอกาสศึกษาถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยควบคุมดูแลการหลบลูกระเบิดสมัยสงครามอินโดจีน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ตั้งแต่ท่านเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นผู้ที่มีความฉลาดเฉลียว และมั่นใจในตนเองมาตั้งแต่เด็ก
ในการประกอบสัมมาชีพของท่านนั้น ในแต่ละวันท่านก็ยังคิดเมตตาสงสารวัวควายที่ท่านใช้แรงงาน และคิดสลดสังเวชการวนเวียนดำเนินชีวิตของผู้คนรอบข้างที่ทุกข์ยาก สู้ภัยธรรมชาติปีแล้วปีเล่า แม้ว่าหลวงปู่ท่านอยากจะบวช แต่ก็ต้องรับผิดชอบในการทำงานแทนบรรดาพี่ชายซึ่งบวชกันไปหมด จนกระทั่งท่านมีอายุได้ ๒๑ ปี จึงได้มีโอกาสบวช ก่อนออกบวชท่านก็ได้ทดแทนคุณบิดามารดา ด้วยการสร้างบ้านให้บิดามารดาและพี่น้องด้วยตัวท่านเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่หาไม้จนกระทั่งสำเร็จเป็นบ้านอยู่อาศัยได้
มูลเหตุที่หลวงปู่ท่านมีความตั้งใจอยากจะบวชเป็นพระ แทนการสร้างครอบครัวเฉกเช่นชาวบ้านคนอื่น ก็คงเป็นเพราะท่านเกิดมาในตระกูลที่ฝักใฝ่ในทางศีลธรรม ประกอบกับพี่ชายของท่านคือ พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) ก็ได้บรรพชาตั้งแต่หลวงปู่ท่านยังเป็นเด็ก จนได้เป็นพระกรรมฐานผู้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธบริษัทอย่างกว้างขวาง
หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม แม่ทัพธรรม พร้อมด้วยศิษยานุศิษย์หลายรูป ได้เดินทางมาจากจังหวัดอุบลราชธานี มาธุดงค์กรรมฐานที่โคกเหล่างา (วัดป่าวิเวกธรรม ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นป่ารก เป็นป่าช้าผีดุ แล้วก็มีหลวงปู่เทสก์, หลวงปู่อ่อน, หลวงปู่ภูมี, หลวงปู่ฝั้น, หลวงปู่กงมา, หลวงปู่คำดี ฯลฯ มาอยู่รับการอบรมธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่สิงห์
พอออกพรรษาเข้าหน้าแล้ง บรรดาท่านเหล่านี้ก็พากันไปแสวงหาที่วิเวกภาวนา โดยหลวงปู่เทสก์ก็ได้ไปแสวงหาที่วิเวกกรรมฐานทางทิศตะวันออกของเมืองขอนแก่น คือไปทางจังหวัดมหาสารคาม ได้ไปพักอยู่ที่ป่าช้าหัวหนองตอกแป้น บ้านบัวบาน อำเภอเชียงยืน และได้อบรมหลักการปฏิบัติธรรมแก่ญาติโยมบ้านบัวบาน รวมทั้งโยมบิดา-มารดาของหลวงปู่ท่านด้วย
โยมบิดา-มารดาของหลวงปู่บุญเพ็ง มีความเลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่เทสก์เป็นอย่างยิ่ง จึงได้มอบบุตรชายคนโตคือ พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) เป็นลูกศิษย์ติดตามหลวงปู่เทสก์ไปธุดงค์กรรมฐานตามสถานที่ต่างๆ กระทั่งได้อุปสมบท และปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ภูมี ฐิตธมฺโม วัดคีรีวัลล์ อำเภอท่าช้าง จังหวัดนครราชสีมา
จนเกิดความมั่นใจในความรู้ความเข้าใจในธรรมะคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็นึกถึงญาติพี่น้องทางบ้าน จึงกลับมานำญาติพี่น้องบวช และได้มาจำพรรษา ณ วัดเทพนิมิต บ้านบัวบาน ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เพื่อโปรดโยมบิดามารดาและญาติพี่น้อง ในขณะนั้นหลวงปู่ท่านมีอายุประมาณ ๑๔-๑๕ ปี และต้องรับภาระการประกอบอาชีพดูแลครอบครัว นี้จึงเป็นเหตุให้ท่านไม่เคยมีโอกาสบรรพชาเป็นสามเณร
ในการประกอบอาชีพ หลวงปู่ท่านก็สามารถทำได้ดีกว่าชาวบ้านทั่วไป ท่านรู้จักประกอบอาชีพหารายได้นอกฤดูทำนา จนมีเงินทองมาจุนเจือครอบครัวอีกส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ หลวงปู่ยังมีพรสวรรค์ในการรักษาโรค โดยวิธีการพื้นบ้านตามที่โยมบิดาท่านสอนให้ เช่น รักษาตาต้อ คางทูม ฯลฯ เป็นเหตุให้ท่านสอนให้พวกลูกศิษย์ใช้คาถาและพลังจิตรักษาโรคมาจนกระทั่งปัจจุบัน ท่านบอกว่า เอาไว้ช่วยตนเองและสงเคราะห์คนอื่น ยามที่ไม่อาจรับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันได้
หลวงปู่ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ณ พัทธสีมาวัดศรีจันทร์ (ธรรมยุต) ตำบลบ้านโต้น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยมีพระพิศาลสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูคัมภีรนิเทศ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาสุพจน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า กปฺปโก แปลว่า ผู้สำเร็จ
เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษา ณ วัดเทพนิมิต บ้านบัวบาน เป็นเวลา ๒ ปี ในระหว่างนั้น โยมบิดาได้ป่วยและเสียชีวิตลงในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ หลังจากจัดการฌาปนกิจศพโยมบิดาเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่จึงได้เดินทางมาศึกษาปริยัติธรรม และพำนักยังวัดสุทธจินดา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ โยมมารดาเสียชีวิต ท่านจึงเดินทางกลับมายังวัดป่าวิเวกธรรม เพื่อจัดการงานศพของโยมมารดา และท่านก็ไม่กลับไปศึกษาปริยัติธรรมอีก ขณะนั้นท่านได้วิทยฐานะเป็นนักธรรมโท
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ พระพี่ชายคือพระครูศีลสารวิมล ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรม หรือวัดเหล่างา หลวงปู่ท่านจึงจำพรรษาที่วัดเทพนิมิต บ้านบัวบาน เพียงองค์เดียว เป็นเวลา ๕ ปี ต่อมาจึงได้ติดตามพระพี่ชายมาจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙
ระหว่างนั้นหลวงปู่ได้เดินทางไปธุดงค์ตามสถานที่ต่างๆ โดยไปทางโคราช และอรัญญประเทศ จนกระทั่งข้ามไปยังประเทศกัมพูชา ระหว่างทางท่านก็ได้ผจญกับสัตว์ร้ายและโรคภัยสารพัด และยังได้มีโอกาสช่วยเหลือรักษาโรคภัยให้แก่ชาวบ้าน หลวงปู่เล่าว่าการเดินธุดงค์ส่วนมากใช้เท้าเปล่า และเอารองเท้าพาดบ่าเพราะรองเท้าตัดจากหนังควายแห้งใส่แล้วกัดเท้าเจ็บ แต่ถ้าเข้าป่ามีหนามจึงนำออกมาสวม
จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๐๒ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสันติธรรม ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้เดินทางมายังจังหวัดขอนแก่น และแวะเยี่ยมพระครูศีลสารวิมล หลวงปู่จึงได้มีโอกาสฟังธรรมจากหลวงปู่สิม เป็นเหตุให้ท่านมีโอกาสเข้าใจในเรื่องการภาวนาที่ลึกซึ้งมากขึ้น และหลวงปู่สิมได้ชวนหลวงปู่ให้ไปอยู่เชียงใหม่ด้วยกัน หลังจากหลวงปู่สิมเดินทางกลับไปแล้ว หลวงปู่จึงตัดสินใจเดินทางติดตามไปโดยลำพัง หลวงปู่เล่าว่าท่านขึ้นรถไฟเข้ากรุงเทพฯ ไปแวะพักค้างคืนที่วัดบรมนิวาส เชิงสะพานกษัตริย์ศึก แล้วนั่งรถไฟต่อไปถึงเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๓
หลวงปู่ได้รับการฝึกหัดอบรมกรรมฐานจากหลวงปู่สิม และได้ติดตามหลวงปู่สิม ไปธุดงค์กรรมฐานที่ภูกระดึง จังหวัดเลย ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นป่าที่มีสัตว์ร้ายอยู่มาก แต่หลวงปู่สิมก็นำท่านบุกป่าฝ่าดงไปเพื่อแสวงหาโมกขธรรม โดยอาศัยความสงบของจิตและ พุทโธ เป็นเครื่องต่อสู้กับความทุรกันดาร และสัตว์ร้ายนานาชนิด
ต่อมาหลวงปู่ยังได้มีโอกาสไปศึกษาธรรมะกับหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และได้สั่งสมความรู้ และไหวพริบปฏิภาณในการแก้ไขปัญหาธรรมะจากหลวงปู่ตื้อ รวมทั้งด้านอิทธิวิธีซึ่งหลวงปู่ตื้อท่านมีความเป็นเลิศ ยามว่างหลวงปู่ท่านจะเล่าให้บรรดาสานุศิษย์ฟังถึงความสงบเย็น ความมุ่งมั่น อดทน ความกล้าหาญ เมตตา และเสียสละของหลวงปู่สิม และปฏิภาณ ไหวพริบ อิทธิฤทธิ์ ของหลวงปู่ตื้อ ซึ่งหลวงปู่บุญเพ็งท่านรับมาปฏิบัติจนเท่าทุกวันนี้
ในระหว่างนี้เป็นเวลาประมาณ ๔ ปี หลวงปู่ท่านได้ใช้ช่วงเวลาออกพรรษาในฤดูแล้ง ธุดงค์กรรมฐานไปตามป่าเขาในภาคเหนือตอนบน ได้ประสบกับสิ่งลึกลับมหัศจรรย์มากมาย และต้องต่อสู้กับภัยอันตรายนานัปการ ตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ของท่านได้ดำเนินไปก่อนแล้ว และระหว่างธุดงค์กรรมฐานท่านก็ยังได้สั่งสอนอบรมภาวนาให้พระภิกษุที่เดินทางไปด้วยกันอย่างสม่ำเสมอ
จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๗ หลวงปู่ได้ไปจำพรรษา ณ วัดคำหวายยาง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นเวลา ๒ ปี เพื่อไปวิเวกภาวนา เนื่องจากวัดคำหวายยางเป็นวัดที่มีความทุรกันดาร และขึ้นชื่อเรื่องผีดุ ที่วัดนี้หลวงพ่อก็ได้อบรมภาวนาให้ลูกศิษย์หลายคนให้ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และบางคนยังใช้พลังจิตช่วยเหลือผู้คนที่ประสบปัญหาต่างๆ มาจนปัจจุบัน
ในด้านการแสดงพระธรรมเทศนาอบรมพุทธบริษัท หลวงปู่ท่านพัฒนาเทคนิคเฉพาะตัวของท่านเอง ตั้งแต่ครั้งบวชใหม่ๆ ซึ่งยังมีความประหม่าอยู่มาก แต่ก็ต้องเทศน์ตามโอกาสและประเพณี อย่างไรก็ตามจากไหวพริบปฏิภาณของท่าน และจากการฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์ในสมัยนั้น ซึ่งแสดงตามงานต่างๆ เกือบทุกคืน
นอกจากนี้พระพี่ชายคือ พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) ก็เป็นนักเทศน์ที่มีสำนวนโวหารไพเราะจับใจญาติโยมเป็นอันมาก รวมทั้งจากการติดตามรับฟังการแสดงธรรม และการแก้ปัญหาธรรมะของครูบาอาจารย์ เช่น หลวงปู่สิม และหลวงปู่ตื้อ เป็นอาทิ ทำให้หลวงปู่ท่านมีความเป็นเลิศในการเป็นนักเทศน์อีกประการหนึ่ง
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ หลวงปู่ได้มีโอกาสไปร่วมงานศพพระเถระที่จังหวัดสงขลา และได้รับนิมนต์ขึ้นเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ ทั้งๆ ที่อาพาธด้วยไข้หวัด แต่กระนั้นท่านก็เทศน์ได้ดีจนกระทั้งหลวงปู่สิม ซึ่งเป็นพระอาจารย์กรรมฐานของท่านเอง ออกปากชมว่าเทศน์ดี ญาติโยมจากวัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งไปร่วมงานในครั้งนั้นเกิดความประทับใจในปฏิภาณของท่านเป็นยิ่งนัก จึงกราบอาราธนาท่านไปจำพรรษาที่วัดอโศการาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙
มีต่อ >>>>>
ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก
วัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม (วัดป่าเหล่างา)
ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น
หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก มีนามเดิมว่า บุญเพ็ง เหล่าหงษา เกิดเมื่อวันวันเสาร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๑ ตรงกับวันมาฆบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะโรง จ.ศ. ๑๒๙๐ ณ บ้านบัวบาน ตำบลกู่ทอง อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายเอี่ยม และนางคง เหล่าหงษา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๗ คน เป็นชาย ๕ คน หญิง ๒ คน ท่านเป็นลูกหล้าคือบุตรคนสุดท้อง มีชื่อตามลำดับดังนี้
๑. นางแถว เหล่าหงษา
๒. พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม)
๓. นางสาย เหล่าหงษา
๔. นายเลียบ เหล่าหงษา
๕. นายเลี่ยม เหล่าหงษา
๖. นายสำเริง เหล่าหงษา
๗. หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก
ปัจจุบันพี่ของท่านมรณภาพและเสียชีวิตลงหมดแล้ว
ครอบครัวของหลวงปู่บุญเพ็ง มีอาชีพทำไร่ทำนาตามสภาพของคนในชนบท มีฐานะพอมีอันจะกินตระกูลหนึ่งในหมู่บ้านบัวบาน หลวงปู่ได้มีโอกาสศึกษาถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยควบคุมดูแลการหลบลูกระเบิดสมัยสงครามอินโดจีน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ตั้งแต่ท่านเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นผู้ที่มีความฉลาดเฉลียว และมั่นใจในตนเองมาตั้งแต่เด็ก
ในการประกอบสัมมาชีพของท่านนั้น ในแต่ละวันท่านก็ยังคิดเมตตาสงสารวัวควายที่ท่านใช้แรงงาน และคิดสลดสังเวชการวนเวียนดำเนินชีวิตของผู้คนรอบข้างที่ทุกข์ยาก สู้ภัยธรรมชาติปีแล้วปีเล่า แม้ว่าหลวงปู่ท่านอยากจะบวช แต่ก็ต้องรับผิดชอบในการทำงานแทนบรรดาพี่ชายซึ่งบวชกันไปหมด จนกระทั่งท่านมีอายุได้ ๒๑ ปี จึงได้มีโอกาสบวช ก่อนออกบวชท่านก็ได้ทดแทนคุณบิดามารดา ด้วยการสร้างบ้านให้บิดามารดาและพี่น้องด้วยตัวท่านเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่หาไม้จนกระทั่งสำเร็จเป็นบ้านอยู่อาศัยได้
มูลเหตุที่หลวงปู่ท่านมีความตั้งใจอยากจะบวชเป็นพระ แทนการสร้างครอบครัวเฉกเช่นชาวบ้านคนอื่น ก็คงเป็นเพราะท่านเกิดมาในตระกูลที่ฝักใฝ่ในทางศีลธรรม ประกอบกับพี่ชายของท่านคือ พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) ก็ได้บรรพชาตั้งแต่หลวงปู่ท่านยังเป็นเด็ก จนได้เป็นพระกรรมฐานผู้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธบริษัทอย่างกว้างขวาง
หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม แม่ทัพธรรม พร้อมด้วยศิษยานุศิษย์หลายรูป ได้เดินทางมาจากจังหวัดอุบลราชธานี มาธุดงค์กรรมฐานที่โคกเหล่างา (วัดป่าวิเวกธรรม ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นป่ารก เป็นป่าช้าผีดุ แล้วก็มีหลวงปู่เทสก์, หลวงปู่อ่อน, หลวงปู่ภูมี, หลวงปู่ฝั้น, หลวงปู่กงมา, หลวงปู่คำดี ฯลฯ มาอยู่รับการอบรมธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่สิงห์
พอออกพรรษาเข้าหน้าแล้ง บรรดาท่านเหล่านี้ก็พากันไปแสวงหาที่วิเวกภาวนา โดยหลวงปู่เทสก์ก็ได้ไปแสวงหาที่วิเวกกรรมฐานทางทิศตะวันออกของเมืองขอนแก่น คือไปทางจังหวัดมหาสารคาม ได้ไปพักอยู่ที่ป่าช้าหัวหนองตอกแป้น บ้านบัวบาน อำเภอเชียงยืน และได้อบรมหลักการปฏิบัติธรรมแก่ญาติโยมบ้านบัวบาน รวมทั้งโยมบิดา-มารดาของหลวงปู่ท่านด้วย
โยมบิดา-มารดาของหลวงปู่บุญเพ็ง มีความเลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่เทสก์เป็นอย่างยิ่ง จึงได้มอบบุตรชายคนโตคือ พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) เป็นลูกศิษย์ติดตามหลวงปู่เทสก์ไปธุดงค์กรรมฐานตามสถานที่ต่างๆ กระทั่งได้อุปสมบท และปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ภูมี ฐิตธมฺโม วัดคีรีวัลล์ อำเภอท่าช้าง จังหวัดนครราชสีมา
จนเกิดความมั่นใจในความรู้ความเข้าใจในธรรมะคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็นึกถึงญาติพี่น้องทางบ้าน จึงกลับมานำญาติพี่น้องบวช และได้มาจำพรรษา ณ วัดเทพนิมิต บ้านบัวบาน ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เพื่อโปรดโยมบิดามารดาและญาติพี่น้อง ในขณะนั้นหลวงปู่ท่านมีอายุประมาณ ๑๔-๑๕ ปี และต้องรับภาระการประกอบอาชีพดูแลครอบครัว นี้จึงเป็นเหตุให้ท่านไม่เคยมีโอกาสบรรพชาเป็นสามเณร
ในการประกอบอาชีพ หลวงปู่ท่านก็สามารถทำได้ดีกว่าชาวบ้านทั่วไป ท่านรู้จักประกอบอาชีพหารายได้นอกฤดูทำนา จนมีเงินทองมาจุนเจือครอบครัวอีกส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ หลวงปู่ยังมีพรสวรรค์ในการรักษาโรค โดยวิธีการพื้นบ้านตามที่โยมบิดาท่านสอนให้ เช่น รักษาตาต้อ คางทูม ฯลฯ เป็นเหตุให้ท่านสอนให้พวกลูกศิษย์ใช้คาถาและพลังจิตรักษาโรคมาจนกระทั่งปัจจุบัน ท่านบอกว่า เอาไว้ช่วยตนเองและสงเคราะห์คนอื่น ยามที่ไม่อาจรับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันได้
หลวงปู่ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ณ พัทธสีมาวัดศรีจันทร์ (ธรรมยุต) ตำบลบ้านโต้น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยมีพระพิศาลสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูคัมภีรนิเทศ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาสุพจน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า กปฺปโก แปลว่า ผู้สำเร็จ
เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษา ณ วัดเทพนิมิต บ้านบัวบาน เป็นเวลา ๒ ปี ในระหว่างนั้น โยมบิดาได้ป่วยและเสียชีวิตลงในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ หลังจากจัดการฌาปนกิจศพโยมบิดาเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่จึงได้เดินทางมาศึกษาปริยัติธรรม และพำนักยังวัดสุทธจินดา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ โยมมารดาเสียชีวิต ท่านจึงเดินทางกลับมายังวัดป่าวิเวกธรรม เพื่อจัดการงานศพของโยมมารดา และท่านก็ไม่กลับไปศึกษาปริยัติธรรมอีก ขณะนั้นท่านได้วิทยฐานะเป็นนักธรรมโท
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ พระพี่ชายคือพระครูศีลสารวิมล ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรม หรือวัดเหล่างา หลวงปู่ท่านจึงจำพรรษาที่วัดเทพนิมิต บ้านบัวบาน เพียงองค์เดียว เป็นเวลา ๕ ปี ต่อมาจึงได้ติดตามพระพี่ชายมาจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙
ระหว่างนั้นหลวงปู่ได้เดินทางไปธุดงค์ตามสถานที่ต่างๆ โดยไปทางโคราช และอรัญญประเทศ จนกระทั่งข้ามไปยังประเทศกัมพูชา ระหว่างทางท่านก็ได้ผจญกับสัตว์ร้ายและโรคภัยสารพัด และยังได้มีโอกาสช่วยเหลือรักษาโรคภัยให้แก่ชาวบ้าน หลวงปู่เล่าว่าการเดินธุดงค์ส่วนมากใช้เท้าเปล่า และเอารองเท้าพาดบ่าเพราะรองเท้าตัดจากหนังควายแห้งใส่แล้วกัดเท้าเจ็บ แต่ถ้าเข้าป่ามีหนามจึงนำออกมาสวม
จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๐๒ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสันติธรรม ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้เดินทางมายังจังหวัดขอนแก่น และแวะเยี่ยมพระครูศีลสารวิมล หลวงปู่จึงได้มีโอกาสฟังธรรมจากหลวงปู่สิม เป็นเหตุให้ท่านมีโอกาสเข้าใจในเรื่องการภาวนาที่ลึกซึ้งมากขึ้น และหลวงปู่สิมได้ชวนหลวงปู่ให้ไปอยู่เชียงใหม่ด้วยกัน หลังจากหลวงปู่สิมเดินทางกลับไปแล้ว หลวงปู่จึงตัดสินใจเดินทางติดตามไปโดยลำพัง หลวงปู่เล่าว่าท่านขึ้นรถไฟเข้ากรุงเทพฯ ไปแวะพักค้างคืนที่วัดบรมนิวาส เชิงสะพานกษัตริย์ศึก แล้วนั่งรถไฟต่อไปถึงเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๓
หลวงปู่ได้รับการฝึกหัดอบรมกรรมฐานจากหลวงปู่สิม และได้ติดตามหลวงปู่สิม ไปธุดงค์กรรมฐานที่ภูกระดึง จังหวัดเลย ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นป่าที่มีสัตว์ร้ายอยู่มาก แต่หลวงปู่สิมก็นำท่านบุกป่าฝ่าดงไปเพื่อแสวงหาโมกขธรรม โดยอาศัยความสงบของจิตและ พุทโธ เป็นเครื่องต่อสู้กับความทุรกันดาร และสัตว์ร้ายนานาชนิด
ต่อมาหลวงปู่ยังได้มีโอกาสไปศึกษาธรรมะกับหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และได้สั่งสมความรู้ และไหวพริบปฏิภาณในการแก้ไขปัญหาธรรมะจากหลวงปู่ตื้อ รวมทั้งด้านอิทธิวิธีซึ่งหลวงปู่ตื้อท่านมีความเป็นเลิศ ยามว่างหลวงปู่ท่านจะเล่าให้บรรดาสานุศิษย์ฟังถึงความสงบเย็น ความมุ่งมั่น อดทน ความกล้าหาญ เมตตา และเสียสละของหลวงปู่สิม และปฏิภาณ ไหวพริบ อิทธิฤทธิ์ ของหลวงปู่ตื้อ ซึ่งหลวงปู่บุญเพ็งท่านรับมาปฏิบัติจนเท่าทุกวันนี้
ในระหว่างนี้เป็นเวลาประมาณ ๔ ปี หลวงปู่ท่านได้ใช้ช่วงเวลาออกพรรษาในฤดูแล้ง ธุดงค์กรรมฐานไปตามป่าเขาในภาคเหนือตอนบน ได้ประสบกับสิ่งลึกลับมหัศจรรย์มากมาย และต้องต่อสู้กับภัยอันตรายนานัปการ ตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ของท่านได้ดำเนินไปก่อนแล้ว และระหว่างธุดงค์กรรมฐานท่านก็ยังได้สั่งสอนอบรมภาวนาให้พระภิกษุที่เดินทางไปด้วยกันอย่างสม่ำเสมอ
จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๗ หลวงปู่ได้ไปจำพรรษา ณ วัดคำหวายยาง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นเวลา ๒ ปี เพื่อไปวิเวกภาวนา เนื่องจากวัดคำหวายยางเป็นวัดที่มีความทุรกันดาร และขึ้นชื่อเรื่องผีดุ ที่วัดนี้หลวงพ่อก็ได้อบรมภาวนาให้ลูกศิษย์หลายคนให้ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และบางคนยังใช้พลังจิตช่วยเหลือผู้คนที่ประสบปัญหาต่างๆ มาจนปัจจุบัน
ในด้านการแสดงพระธรรมเทศนาอบรมพุทธบริษัท หลวงปู่ท่านพัฒนาเทคนิคเฉพาะตัวของท่านเอง ตั้งแต่ครั้งบวชใหม่ๆ ซึ่งยังมีความประหม่าอยู่มาก แต่ก็ต้องเทศน์ตามโอกาสและประเพณี อย่างไรก็ตามจากไหวพริบปฏิภาณของท่าน และจากการฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์ในสมัยนั้น ซึ่งแสดงตามงานต่างๆ เกือบทุกคืน
นอกจากนี้พระพี่ชายคือ พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) ก็เป็นนักเทศน์ที่มีสำนวนโวหารไพเราะจับใจญาติโยมเป็นอันมาก รวมทั้งจากการติดตามรับฟังการแสดงธรรม และการแก้ปัญหาธรรมะของครูบาอาจารย์ เช่น หลวงปู่สิม และหลวงปู่ตื้อ เป็นอาทิ ทำให้หลวงปู่ท่านมีความเป็นเลิศในการเป็นนักเทศน์อีกประการหนึ่ง
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ หลวงปู่ได้มีโอกาสไปร่วมงานศพพระเถระที่จังหวัดสงขลา และได้รับนิมนต์ขึ้นเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ ทั้งๆ ที่อาพาธด้วยไข้หวัด แต่กระนั้นท่านก็เทศน์ได้ดีจนกระทั้งหลวงปู่สิม ซึ่งเป็นพระอาจารย์กรรมฐานของท่านเอง ออกปากชมว่าเทศน์ดี ญาติโยมจากวัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งไปร่วมงานในครั้งนั้นเกิดความประทับใจในปฏิภาณของท่านเป็นยิ่งนัก จึงกราบอาราธนาท่านไปจำพรรษาที่วัดอโศการาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙
มีต่อ >>>>>