PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : คำสัญญาจากนรก



*8q*
03-29-2009, 09:57 PM
ผมได้มีโอกาสรู้จักกับคุณยายแก่ๆ ท่านหนึ่ง แกมีชื่อว่ายายลี้ มะลิพาน อายุ 80 ปีเศษ แกย้ายบ้านมาอยู่ใกล้กับบ้านของผม ซึ่งอยู่ที่เมืองนนท์ได้หลายปีแล้ว โดยมาอาศัยอยู่กับลูกสาวหลังจากที่บ้านเก่าย่านวัดดอนของแกถูกไล่ที่เมื่อ 2530
เมื่อมีเวลาว่างผมมักจะแวะเวียนไปนั่งคุยกับแกอยู่เสมอ เพราะแกเป็นคนแก่ที่ใจดีและคุยเก่ง
แกชอบเล่าเรื่องราวต่างๆ ในอดีตให้ฟัง เหมือนต้องการจะรำลึกความสุข ความทุกข์ที่เคยได้สัมผัสมาตลอดชีวิต มีทั้งเรื่องตลกขบขัน เรื่องสนุกสนานตื่นเต้น เรื่องของความสุขสดชื่นสมหวัง เรื่องผิดหวังเศร้าสร้อยและเสียใจ
เรื่องหนึ่งซึ่งแกมักจะพูดถึงอยู่บ่อยๆ นั่นคือเรื่องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกชายของแก มันเป็นเรื่องที่สร้างความเจ็บปวดให้กับแกและครอบครัวอย่างมาก แต่สำหรับผมหรือผู้ที่ได้รับฟัง คงจะมีความรู้สึกตรงกันก็คือ ความรู้สึกกลัวต่อบาปกรรม เกรงกลัวต่อผลสะท้อนของกรรมที่ส่งผลติดตามมาอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
ยายลี้มีลูกเพียง 2 คนเท่านั้น คนโตเป็นผู้หญิงชื่อพิกุล ซึ่งเป็นคนเลี้ยงดูแกอยู่ในปัจจุบัน ส่วนคนที่ 2 ชื่อพิสิทธิ์
และพิสิทธิ์นี้เองที่ได้รับผลกรรมกระหน่ำอย่างหนักหน่วง จนถึงขนาดยมบาลมาปรากฏกายให้เห็น เพื่อจะมาเอาชีวิตเขาในครั้งหนึ่ง
ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเดียว อีกทั้งยังเป็นลูกคนสุดท้อง พิสิทธิ์จึงถูกเลี้ยงแบบตามใจมาตั้งแต่เด็ก
ด้วยความรักความอบอุ่นที่แม่มอบให้ ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาอย่างคนมีคุณภาพ ความรักและความเอาอกเอาใจไม่ทำให้เขาเสียนิสัยอย่างเด็กคนอื่น ทั้งนี้เป็นเพราะเขาเองก็รักแม่และพี่สาวอย่างมากด้วยเช่นกัน
ครอบครัวในขณะนั้นจึงอยู่อย่างมีความสุข ถึงแม้จะไม่มีพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว เนื่องจากสามีของยายลี้เสียชีวิตตั้งแต่พิสิทธิ์อายุได้เพียง 2 ขวบเท่านั้น
จนกระทั่งพิสิทธิ์เติบโตขึ้นเป็นหนุ่มฉกรรจ์ จบการศึกษาจากโรงเรียนช่างกลแห่งหนึ่งย่านยานนาวา และได้เข้าทำงานในอู่ซ่อมเรือซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับองค์การสะพานปลา ถนนเจริญกรุงฯ ได้รับอัตราเงินเดือนเป็นที่น่าพอใจ
ระยะแรกของการทำงาน พิสิทธิ์มอบเงินทุกบาททุกสตางค์ให้กับยายลี้ผู้เป็นแม่ และบอกให้แม่เลิกจากการรับจ้างซักผ้าซึ่งเป็นอาชีพของแก เพราะเห็นว่าแม่เหนื่อยมามากแล้ว
เงินเดือนของลูกทั้งสองคน เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายภายในบ้าน พอที่ครอบครัวจะอยู่ได้อย่างสบายๆ ไม่เดือดร้อน และไม่จำเป็นที่ยายลี้จะต้องเหน็ดเหนื่อยตรากตรำทำงานหนักอย่างแต่ก่อน
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ยายลี้บอกว่า มันเป็นวันเวลาที่แกมีความสุขและปลาบปลื้มใจมากที่สุดในชีวิต
ความเหนื่อยล้าที่ได้รับมาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี หลังจากที่สามีตายไป ซึ่งเเกจำต้องปากกัดตีนถีบตลอดเวลาที่เลี้ยงลูก ตั้งแต่เล็กจนโต ห่างหายไปอย่างรวดเร็ว
แต่ในที่สุด ความสุขเหล่านั้นก็ห่างหายจากแกไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
เพียงไม่กี่ปีที่พิสิทธิ์ทำงานหาเงินได้ เขาก็พบรักกับสาวงาม คนหนึ่งชื่อ “แดง” เป็นพนักงานองค์การสะพานปลา ซึ่งอยู่ใกล้กับอู่ซ่อมเรือที่เขาทำงานอยู่
พิสิทธิ์หลงรักแดงเป็นอย่างมาก ยิ่งคบกันนานวัน เขาก็ยิ่งเพิ่มพูนความรักในตัวหญิงสาวที่ชื่อเเดงผู้นี้จนถอนตัวไม่ขึ้น ในขณะที่ฝ่ายหญิงนั้น ไม่ได้แสดงความรักออกมาให้เห็นมากเท่าใดนัก ซึ่งอาจเพียงแค่ชอบพอ หรือถูกชะตากับอุปนิสัยใจคอของพิสิทธิ์เท่านั้น
เรื่องนี้ย้ายลี้กับพิกุลรู้ดี เพราะพิสิทธิ์มักจะเพ้อพร่ำรำพันเรื่องของหญิงคนรักให้แม่และพี่สาวฟังอยู่เสมอ แต่ทั้งสองก็ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นหน้าค่าตาว่าที่สะใภ้ของครอบครัวแม้เพียงสักครั้ง
เท่าที่ฟังจากคำบอกเล่าของพิสิทธ์ ทั้งยายลี้และพิกุลก็พอจะคาดเดาเหตุการณ์ถูก เพราะถ้าหากแดงมีใจให้กับเขาจริงๆ ทำไมจึงไม่ยอมมาทำความรู้จักกับแม่และพี่สาวของคนรัก
ทั้งๆ ที่เคยบอกให้พิสิทธิ์ชวนหญิงสาวมาเที่ยวบ้านตั้งหลายครั้งหลายหน แต่แดงไม่เคยมา ได้แต่หาข้อแก้ตัวและปฏิเสธทุกครั้งไป
จนกระทั่งวันหนึ่ง ความสุขใจของครอบครัวยายลี้ก็สิ้นสุดลง
วันนั้น ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมาแล้วประมาณ 30 ปี ยายลี้ก็ยังจำได้เสมอ
วันนั้น ในขณะที่พิสิทธิ์เพิ่งจะอายุได้ 20 ปี เขากลับมาถึงบ้านในสภาพเมามายอย่างหนัก โดยมีเพื่อนหิ้วปีกกันมา 2 คน
เสียงเอ็ดตะโรโวยวายดังลั่นซอย จนผู้คนบ้านใกล้เรือนเคียงต่างจ้องมองสภาพเขาด้วยความงุนงง
แม้แต่ยายลี้และพิกุลก็แทบจะไม่เชื่อสายตาของตนเอง เพราะพิสิทธิ์ไม่เคยกินเหล้ามาก่อนในชีวิต อีกทั้งยังเกลียดคนกินเหล้าเป็นที่สุด เพราะเขาได้รู้จากแม่ว่า เจ้าน้ำเมานี้มันได้เคยคร่าชีวิตพ่อของเขาไปคนหนึ่งแล้ว
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงได้กินเหล้าจนเมามายขนาดนี้
ทุกคำพูดที่พูดออกจากปากของพิสิทธิ์ ล้วนเป็นคำก่นด่าผู้หญิงที่ชื่อแดง
เขาด่าแดงด้วยถ้อยคำหยาบคายต่างๆ นาๆ ขว้างทำลายข้าวของในบ้านอย่างไร้สติ โดยไม่ละเว้นหรือเกรงใจใครทั้งสิ้น หากจะพยายามเข้าห้ามปรามหรือขัดขวาง แม้แต่แม่หรือพี่สาวที่เขาเคยเคารพรักก็ไม่อาจทัดทานได้
เขาร้องไห้คร่ำครวญถึงแดง ผู้หญิงที่เขาหลงรักอย่างหมดหัวใจด้วยความรู้สึกที่แสนจะเจ็บปวด ในสภาพที่น่าสงสารอย่างที่สุดสำหรับผู้พบเห็น
และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของยายลี้ก็มีอันเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
บรรยากาศของความรักความอบอุ่น ตลอดจนความสุขต่างๆ ที่เคยมีก็ถึงกาลอวสาน พิสิทธิ์กลายเป็นคนติดเหล้าและบุหรี่อย่างหนัก เขาดื่มทุกวันไม่เคยเว้น และกลับเข้าบ้านในสภาพที่ไม่เหมือนคนเป็นประจำ
เขาจะเดินเกะกะระรานชาวบ้านไปตลอดทาง โดยเฉพาะในซอยบ้านถ้าเห็นสิ่งใดขวางหูขวางตา เขาจะอาละวาดเข้าใส่ทันทีโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของก็ตาม
แต่ที่ร้ายแรงมากที่สุดก็คือถ้อยคำหยาบช้า ทุกคำพูดที่ออกจากปาก ล้วนแล้วแต่เป็นผรุสวาทที่ต่ำทรามเสียจริง ๆ และผู้ที่ถูกเขาสำรอกคำเหล่านี้ใส่อยู่เป็นประจำก็คือ ยายลี้ผู้เป็นแม่กับพิกุลพี่สาวของเขานั่นเอง
ตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่พิสิทธิ์ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น เขากลายเป็นที่รังเกียจสำหรับผู้คนบ้านใกล้เรือนเคียง สภาพร่างกายก็ค่อย ๆ ทรุดโทรมจนถึงขั้นล้มป่วยลงด้วยโรคตับ และได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง ในขณะที่อายุได้ 35 ปี
เกือบ 2 สัปดาห์ที่เขาได้พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าอาการจะดีขึ้น ยายลี้และพิกุลคอยเฝ้าดูอาการของเขาอย่างใกล้ชิดด้วยความห่วงใย
จนกระทั่งคืนหนึ่ง ขณะที่เขานอนอยู่ในโรงพยาบาล ยายลี้สังเกตเห็นว่าลูกชายของแกมีอาการแปลกไป แกเห็นเขาพยายามดิ้นรน เหมือนกำลังขัดขืนอะไรบางอย่างทั้งที่กำลังหลับ
แกคิดว่าเขาคงจะนอนในท่าที่ไม่ค่อยถนัดหรือสบายเท่าใดนัก จึงได้เรียกและปลุกให้ตื่น
ขึ้น แต่จะพยายามปลุกอย่างไร เขาก็ไม่ยอมตื่น แต่ค่อย ๆ สงบลงและแน่นิ่งไปในเวลาต่อมาจนกระทั่งรุ่งเช้า
ในวันรุ่งขึ้น พิสิทธิ์ได้เล่าให้ยายลี้ฟังว่า เขาฝันเห็นผู้ชายนุ่งผ้าโจงกระเบนสีแดง 3 คนมาหาเขา แล้วพยายามจะเอาตัวเขาไปด้วยให้ได้
เขาดิ้นรนขัดขืนไม่ยอมไป ชาย 2 ใน 3 คนซึ่งเป็นคนลงมือฉุดกระชากเขา มีท่าทางโกรธและน่ากลัวมาก พยายามจะเอาตัวเขาไปให้ได้ จนในที่สุดชายร่างใหญ่ที่สุด และดูท่าทางคงเป็นนายของอีกสองคนที่กำลังฉุดกระชากเขาอยู่ ได้พูดขึ้นว่า
“เอ็งต้องไปกับข้าไอ้คนบาป แล้วเอ็งจะได้รู้ว่าเอ็งสมควรรับโทษอย่างไร”
ว่าแล้วจึงสั่งให้ชาย 2 คนเอาตัวเขาไปให้ได้
เขาไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ร้องตะโกนเรียกให้แม่มาช่วย แต่แม่ก็ไม่ได้ยิน เขาพยายามเรียกแม่อยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งแม่เดินมาหาชายคนที่เป็นหัวหน้าหันมามองแม่สักครู่แล้วพูดว่า
“เอ็งจงมองให้เต็มตาเถิด เพราะเดี๋ยวเอ็งก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้ว”
เขาจึงบอกกับชายผู้นั้นว่า เขายังไม่อยากไป เขาเป็นห่วงแม่ได้โปรดให้เขาอยู่กับแม่ต่อไปอีกเถิด เพราะแม่แก่แล้ว และต้องการคนเลี้ยงดู จะให้เขาทำอย่างไรก็ยอมทั้งนั้น แต่อย่าเอาตัวเขาไปเลย
ชายคนนั้นมองดูหน้าแม่อีกครั้ง ทำท่าครุ่นคิดและกล่าวว่า
“ข้าจะให้โอกาสเอ็งสักครั้ง ถ้าเอ็งรับปากว่าจะกลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่ ประพฤติตัวอยู่ในร่มเงาของความดี หากวันใดที่เอ็งผิดคำพูด ข้าจะกลับมา”
ว่าแล้วก็บอกให้ชาย 2 คนที่จับตัวเขาไว้ปล่อยเขา แล้วเดินจากไป……..
ยายลี้เล่าให้ผมฟังต่อไปว่า เมื่อแกได้ฟังความฝันของพิสิทธิ์ที่เล่าให้แกฟัง แกถึงกับขนลุกแล้วบอกกับพิสิทธิ์ว่า นั่นคงจะเป็นการมาเพื่อเตือน
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา 15 ปีนั้น สุราหรือน้ำแห่งความหายนะที่ครอบงำเขาอยู่ มันทำให้เขากระทำความผิดอันเป็นบาปอย่างมาก ต่อไปนี้ก็ขอให้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที อย่าอยู่ห่างจากพระห่างศาสนาให้มากนัก ชีวิตก็จะมีความสุข
หลังจากคืนที่พิสิทธิ์ฝันประหลาดเพียง 3 วัน อาการของเขาก็ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ เขาสามารถกลับบ้านและเข้าทำงานตามปกติได้อย่างรวดเร็ว โดยหยุดกินเหล้าเมายาอย่างเด็ดขาดซึ่งมันเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ที่เขาและครอบครัวได้พบกับความสุขอีกครั้งหนึ่ง
ต้นปี พ.ศ.2528 เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็ได้เกิดขึ้นอีกเมื่อปรีชาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของพิสิทธิ์ได้มาหาเขาที่บ้าน เพื่อเชิญให้เขาไปร่วมงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ที่เพิ่งปลูกเสร็จ โดยไม่มีใครล่วงรู้มาก่อนเลยว่า ความบังเอิญบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
จนกระทั่งเช้าวันเสาร์กลางเดือนมีนาคม ปีเดียวกันนั่นเอง พิสิทธิ์ได้แต่งตัวออกจากบ้านเพื่อไปร่วมงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของปรีชาตามที่ได้รับปากไว้
และภายในงานนั่นเอง เขาก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยทำให้เขาได้รับความทุกข์ทรมานใจ จนถึงขั้นเสียผู้เสียคนในช่วงหนึ่งของชีวิตมาแล้ว
หญิงสาวที่ชื่อแดง ซึ่งพิสิทธิ์เคยหลงรักอย่างสุดหัวใจ ได้มาร่วมงานกับสามีของเธอซึ่งเป็นเพื่อนของปรีชาอีกทีหนึ่ง โดยที่ปรีชาเองก็ไม่เคยรู้เรื่องราวในอดีตระหว่างพิสิทธิ์กับแดงมาก่อน เพราะเขาเพิ่งมาคบกับพิสิทธิ์ทีหลัง
เมื่อทั้งสองได้พบกันไฟรักที่ยังไม่เคยมอดดับ ในจิตใจของพิสิทธิ์จึงได้คุกรุ่นขึ้นอีกโดยไม่อาจจะยับยั้งได้ และความปวดร้าวในความรู้สึกที่เห็นแดงเคียงคู่มากับชายอื่น มันก็เกิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกมาให้ใครได้รับรู้แม้แต่คนเดียว
หลังจากการทำบุญเลี้ยงพระเสร็จสิ้นพิธี วงเหล้าก็เริ่มขึ้น โดยมีพิสิทธิ์นั่งปักหลักอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงอีกหลายคน
เขาดื่มกินมันอย่างคุ้นเคยในปริมาณที่มากกว่าใคร เพื่อหวังที่จะดับความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นได้ โดยลืมคำพร่ำสอนของแม่และคำสัญญาของชายที่นุ่งโจงกระเบนสีแดงนั้นเสียสิ้น
เมื่อดื่มเหล้าเข้าไปมาก อาการเมาก็เข้าถึงระดับ อากัปกิริยาเดิมๆ เมื่อเวลาเมามายจนขาดสติของเขา ก็กลับไปเป็นเหมือนอย่างแต่ก่อน นั่นคือความก้าวร้าวหยาบคายและทำลายข้าวของ
โดยเฉพาะเรื่องของแดงนั้น ถูกเขาขุดขึ้นมาประณามจนเสียหาย แต่ไม่มีใครรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร โชคดีที่แดงและสามีของตัวกลับไปก่อนหน้าเขาจะเมาจนเสียสติเช่นนี้
ปรีชากับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ต้องช่วยกันหิ้วปีกเขากลับมาบ้านในคืนนั้น พร้อมกับเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ยายลี้ฟัง
สภาพของลูกชายที่เมาจนนอนพับอยู่ข้างหน้า มันทำให้แกผิดหวังอย่างมาก แกเสียใจที่เขาไม่สามารถเอาชนะจิตใจตัวเองได้
แล้วความรู้สึกอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้น นั่นคือความกลัวและไม่สบายใจเอาเสียเลย มันหวาดหวั่นอย่างไรชอบกล
เมื่อถึงเช้าวันจันทร์ ถัดจากงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของปรีชาเพียง 2 วัน
ก่อนที่พิสิทธิ์จะออกจากบ้านไปทำงานที่อู่เรือตามปรกติ เขาได้บอกขอโทษต่อยายลี้ในเรื่องที่เขากินเหล้าจนเมามายเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา พร้อมกับบอกผู้เป็นแม่ว่า
“แม่จะไม่มีวันได้เห็นผมกินเหล้าอีกต่อไปแล้ว”
จากนั้นพิสิทธิ์ก็ขอให้ยายลี้และพิกุลยกโทษให้กับเขา
ยายลี้และพิกุลรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้นทั้งแกและพิกุลรู้สึกเชื่อในคำพูดของพิสิทธิ์อย่างประหลาด และในตอนเย็นวันนั้นเอง แกถึงได้รู้ซึ้งว่าเพราะเหตุใดแกจึงจะไม่มีโอกาสได้เห็นพิสิทธิ์กินเหล้าเมามายอีกต่อไปแล้ว……..
ประมาณ 16 นาฬิกา วันเดียวกันนั้นเอง เพื่อนของพิสิทธิ์ซึ่งทำงานอยู่ด้วยกันได้มาหายายลี้ที่บ้าน พร้อมกับแจ้งข่าวร้ายว่าพิสิทธิ์ได้ลงไปว่ายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณอู่ซ่อมเรือที่เขาทำงานอยู่แล้วอยู่ดีๆ เขาก็จมน้ำหายไป คนงานในอู่และตำรวจกำลังทำการงมหาอยู่ คาดว่าคงจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังไม่พบศพ
ยายลี้ตกใจกับข่าวร้ายนี้จนกระทั่งเป็นลมล้มพับไปทันที และเมื่อแกฟื้นคืนสติมาจึงรีบไปยังอู่เรือ เพื่อไปดูให้แน่ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริงหรือไม่
มันจะเป็นไปได้อย่างไร ก็ในเมื่อพิสิทธิ์ทำงานอยู่กับอู่เรือริมแม่น้ำมาเกือบ 20 ปี แล้วเขาก็เป็นคนว่ายน้ำแข็ง การลงไปเล่นน้ำหลังเลิกงานก็ถือเป็นเรื่องปรกติธรรมดาของคนงานในอู่เรือ ซึ่งจะทำกันเป็นประจำทุกวัน จึงไม่น่าเชื่อว่าพิสิทธิ์จะจมน้ำตายได้
บรรดาคนงานและเจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันงมหาศพ โดยใช้เวลาหลายชั่วโมงแต่ก็ยังไม่พบ จนกระทั่ง 3 วันต่อมาจึงมีผู้พบศพคนจมน้ำตาย ลอยขึ้นอืดอยู่แถวพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
และเมื่อยายลี้และพิกุลติดตามไปดูศพ ก็มีอันต้องเป็นลมกันอีกครั้ง เพราะถึงแม้สภาพศพจะขึ้นอืดจนแทบมองไม่ออก แต่เสื้อผ้าที่ผู้ตายสวมใส่อยู่นั้น มันเป็นของพิสิทธิ์อย่างแน่นอน
พิสิทธิ์เสียชีวิตตั้งแต่ปี พ.ศ.2528 วันเวลาผ่านมานานมากแล้ว แต่ยายลี้ยังจำเหตุการณ์ทุกอย่างได้เป็นอย่างดี แกยืนยันอยู่เสมอว่า ความจริงแล้วลูกชายของแกเป็นคนดี มีความรักและกตัญญูต่อแม่
แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหล้า
ฤทธิ์ร้ายของมันมีมากพอจะเปลี่ยนสภาพของผู้ที่เสพมันเข้าไปให้กลับกลายจากขาวเป็นดำ จากผิดเป็นถูก และจากดีเป็นเลวได้ โดยที่มันไม่ต้องมารับผิดชอบเลยแม้แต่น้อย
สำหรับผมเอง ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพิสิทธิ์นั้น มันเป็นเรื่องของเวรกรรมที่เขาจำเป็นต้องชดใช้
การเมาจนขาดสติถึงขั้นพูดจาก้าวร้าว หรือด่าทอผู้บังเกิดเกล้านั้น มันเป็นบาปอย่างมหันต์
และถึงแม้นรกให้โอกาสเขากลับตัวกลับใจเป็นคนดี และให้เลิกจากการเสพสุรายาเมา อันเป็นเส้นทางแห่งความวิบัติแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถปฏิบัติได้โดยเคร่งครัด
มันจึงจำเป็นที่นรกต้องกลับมาหาเขาตามสัญญา ตามที่ต่างฝ่ายต่างได้เคยให้ไว้แก่กัน…….



แคทครับ <!-- / message --><!-- sig -->