เข้าสู่ระบบ

แสดงเวอร์ชันเต็ม : แบ่งกันอ่านปันกันรู้



ทั่นยาย
04-01-2009, 10:54 PM
เรื่องราวบางเรื่องราวที่เราได้รับรู้มา อาจจะยังประโยชน์แก่ผู้อื่นได้บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ
หากปล่อยให้ความรู้นั้นๆสูญหายไปโดยเปล่าประโยชน์ก็เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนักค่ะ
ดังนั้นหากท่านใดมีเรื่องราวหรือประสบการณ์ที่น่าสนใจก็นำมา แบ่งกันอ่านปันกันรู้ ได้นะคะ
เพราะความรู้เล็กๆน้อยๆของเรานั้นอาจจะยังประโยชน์ให้ต่อผู้อื่นในวันหน้าได้บ้าง ก็ได้ จริงมั้ยคะ

ทั่นยาย
04-03-2009, 12:17 PM
ทั่นยายมีเรื่องราวอันน่าสนใจของพระภิกษุนิรนามรูปหนึ่งมาแนะนำให้ญาติธรรมได้อ่านกันค่ะ
ชื่อว่า บันทึกลับภิกษุนิรนาม ทั่นยายเคยไปอ่านมาจาก เวปไซต์ [/URL] (http://www.dharma-gateway.com/)http://www.dharma-gateway.com
หรือประตูสู่ธรรมค่ะ แต่ตอนนี้ไม่สามารถเข้าไปที่เวปนี้ได้แล้วค่ะ ไม่ทราบสาเหตุเช่นกันค่ะ
แต่ก็ยังมีอีกหลายเวปไซต์ที่นำเรื่องราว [U]บันทึกลับภิกษุนิรนาม มาลงเอาไว้ค่ะ
เพราะเรื่องราวของ บันทึกลับภิกษุนิรนามนี้มีเนื้อหาที่น่าสนใจมากค่ะ
เมื่อได้อ่านแล้วอาจจะยังประโยชน์ให้แก่ญาติธรรมและสาธุชนในการมุ่งมั่น
ต่อการปฎิธรรมให้ยิ่งๆขึ้นไปก็ได้ จึงขออนุญาตนำมาลงไว้ ณ.ที่นี้ด้วยนะคะ

http://www.agalico.com/board/attachment.php?attachmentid=5244&stc=1&d=1159422801

ขอนำตัวอย่างบางตอนมาลงไว้พอเป็นสังเขปนะคะ หากญาติธรรมท่านใดสนใจ
อยากติดตามอ่านเรื่องราวทั้งหมดก็ค้นหาอ่านได้จาก link ที่นำมาวางไว้ได้เลยค่ะ

บันทึกลับภิกษุนิรนาม ฉบับสมบูรณ์
http://www.geocities.com/nonborn/menu1.html (http://www.geocities.com/nonborn/menu1.html)

ตอนที่ ๙. เทพบุตร เทพธิดา มาขอฟังธรรม

ดังได้เล่ามาแล้วว่า อาตมานั้นมีตารู้ หูได้ยิน อย่างที่เรียกว่าตาทิพย์ หูทิพย์
มาแต่เด็กๆ เป็นสิ่งที่ติดมากับจิตเดิมแท้ ที่เคยปฏิบัติมาแต่อดีตชาติ
โดยเฉพาะชาติที่แล้ว เป็นพระชรามรณภาพในสมาธิ ในชาตินี้แม้ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม
ก็สามารถเห็นได้เองอย่างที่เห็นเจ้าป่า เจ้าเขา เทวดาอารักษ์ ตอนที่มาถึงถ้ำนี้
เป็นการเห็นโดยไม่ได้หลับตา และเห็นตอนกลางวัน การเห็นนี้ นับว่าเห็นจนเคยชิน
เป็นเรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับที่เรามองเห็นมนุษย์และสัตว์ หรือทุกสิ่งในโลกนี้
แม้จะเป็นคนละมิติ คนละภูมิก็ตาม

ตอนที่อาตมาจะไม่เห็น ก็ตอนที่ปฏิบัติธรรมสมาธิ จิตเป็นเอกัคตาหรือเข้าสู่อุเบกขา
กับตอนที่ถอนจิตออกมาสู่อุปจารสมาธิ พิจารณา กายคตาสติ ไม่ได้สนใจกับสิ่งภายนอก
ใช้แต่สติคอยดูคอยรู้กายกับจิตเป็นปัจจุบันเท่านั้น เมื่อออกจากสมาธิแล้ว จึงได้เห็นอย่างที่เคยเห็น
เมื่อปฏิบัติอยู่ในถ้ำนี้ ๗ วัน คืนที่ ๗ นั้น ขณะที่ออกจากนั่งสมาธิ เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ
ออกไปเดินจงกรมหน้าถ้ำ ซึ่งเป็นพื้นเรียบ ญาติโยม เขามาปัดกวาดไว้ให้สะอาดดี
อาตมาก็ได้พบเจ้าป่าเจ้าเขา เทวดาอารักษ์ที่เคยพบในวันแรก มานั่งพนมมือขวางหน้าอยู่
จึงถามในใจว่า "ท่านมีธุระอะไรกับอาตมาหรือ"
เทวดาอารักษ์เป็นผู้ตอบว่า "ท่านสามเณรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ บัดนี้ เทพบุตร เทพธิดา
มีศรัทธาเลื่อมใส ประสงค์จะมาขอฟังธรรม รออยู่หน้าถ้ำประมาณ ๕๐๐ ตน
ขอนิมนต์ท่านสามเณรไปโปรดด้วย"
อาตมาก็ตอบว่า "อาตมาเป็นเพียงสามเณร มีความรู้น้อย ไม่สมควรจะไปกล่าวธรรม
แก่เทพบุตรเทพธิดา อีกประการหนึ่ง ก็มีครูบาอาจารย์มาด้วย อาตมาไม่กล้าทำเกินหน้า
ครูอาจารย์ เป็นการไม่เคารพท่าน ทำไมไม่ขอฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ของอาตมา ซึ่งมีคุณธรรมสูง กว่าอาตมา"
"ท่านเทพบุตรเทพธิดา พากันแสดงความปรารถนาจะได้ฟังธรรม จากท่านสามเณรนะท่าน"
เทวดาอารักษ์ตอบ "ทำไมหนอ เพราะอะไรหนอ จึงแสดงความปรารถนาเช่นนั้น
ทำให้ อาตมาลำบากใจนะคุณโยมอารักษ์ เอาอย่างนี้เถอะ คุณโยมอารักษ์ไปเรียนปรึกษา
ต่อหลวงพ่ออาจารย์เสียก่อน ท่านจะอนุญาตไหม ไม่เช่นนั้นอาตมาไม่กล้าจริงๆ"
"เอาอย่างนั้นก็ได้ท่านสามเณร"ท่านอารักษ์ตอบแล้ว ก็ขยับเขยื้อนกายอันเป็นทิพย์นั้นเข้าไป
ยังถ้ำชั้นใน แต่แล้วหลวงพ่ออาจารย์ก็มาปรากฏตัว พร้อมกับพูดว่า
"เณรจงไปแสดงธรรมโปรดเขาเถอะ หลวงพ่ออนุญาต"
"หลวงพ่ออาจารย์จะให้กระผมแสดงธรรมด้วยข้อใดหรือขอรับ"
"ธรรมอันทำบุคคลให้เป็นเทวดานั้น ย่อมทำให้เทพเหล่านั้นชื่นชมยินดี เกิดปีติแก่เขา
แต่จะทำให้เขายึดติดอยู่กับความหลงในความเป็นเทวดาของตน ซึ่งมีเหตุให้เสื่อมได้
ไม่ก้าวหน้าในธรรม ควรแสดงไตรลักษณ์และความไม่ประมาทด้วย จึงจะชอบ"
เมื่อได้รับอนุญาตเช่นนั้น อาตมาก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยง จึงเดินนำเทวดาอารักษ์ออกไป
ที่ปากถ้ำ ซึ่งในราตรีนี้ เป็นยามข้างขึ้น ๑๔ ค่ำ ดวงจันทร์ใต้แผ่นฟ้าส่องแสงกระจ่างแจ่มใส
ไปทั่วหล้า เหล่าดาราที่เคยประดับฟ้าในคืนข้างแรม ก็ถูกกลืนหายไป
ทั้งที่ธรรมชาติ ของดวงตายังคงมีอยู่เช่นเดิม แสงจันทร์นั่นเองทำให้มองเห็นเทพบุตร เทพธิดาในชุดขาว
นั่งกันอยู่เป็นระเบียบ เป็นสัดส่วน เทพบุตรนั่งรวมกันอยู่ทางซีกขวา เทพธิดานั่งอยู่ทางซีกซ้าย
เว้นช่องทางเดินไว้ตรงกลาง จากร่างในชุดขาวบริสุทธิ์นั้น มีแสงเรืองอ่อนๆ อยู่ทั่วกาย
อาตมาได้แต่ชำเลืองดู ตอนที่ออกไปยืนหน้าถ้ำเท่านั้น มิได้พิจารณาสังเกตอย่างถี่ถ้วน
ว่าหน้าตาจะงดงามหรือไม่ เพราะต้องอยู่ในอาการสำรวมอินทรีย์ กาย วาจา ใจ ทอดสายตาไปไม่เกิน ๔ ศอก

ทั่นยาย
04-03-2009, 12:41 PM
ครั้นไปยืนอยู่หน้าถ้ำแล้ว เทพทั้งหลายต่างยกมือขึ้นนมัสการจรดเหนือหน้าผาก
เทพองค์หนึ่งจิตรู้ว่าเป็นหัวหน้า พูดขึ้นด้วยเสียงอันมีกังวานไพเราะว่า
"พระคุณเจ้า เหล่าโยมซึ่งเป็นเทพบุตร เทพธิดา มากันเป็นจำนวน๕๐๐ ตน
มีความปรารถนาจะขอฟังธรรม ขอพระคุณเจ้าได้โปรดแสดงธรรม แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด"
อาตมาสงบอยู่ขณะหนึ่ง จึงกล่าวขึ้นว่า "คุณโยมเทพบุตร เทพธิดาทั้งหลาย
ผู้มีความปีติสุข ความอิ่มเอิบในทิพยสมบัติเป็นเครื่องอยู่ เป็นผู้นิราศแล้วจากทุกข์ทั้งปวง
แม้กระนั้นคุณโยมก็มิได้มีความประมาท หลงอยู่ในทิพยสมบัติ มีจิตปรารถนา
จะได้รับรส พระธรรมเป็นที่น่ายินดีอนุโมทนา ความปรารถนาในกุศลธรรมนี้
นับเป็นบุญที่ควรอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง
อาตมาได้ออกมาแสดงธรรม ตามความปรารถนาของคุณโยมทั้งหลาย แต่ขอได้โปรดทราบว่า
ธรรมที่นำมาแสดงนี้ เป็นธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว
เป็นธรรมที่ไม่มีกาลเวลาผู้ส้องเสพซึ่งรสพระธรรมเมื่อใด ย่อมได้รับรสแห่งธรรมนั้นทุกเมื่อ
นับเป็นธรรมของโลกโดยแท้ กุศลธรรมเหล่าใด อันทำให้บุคคลเป็นเทพบุตร เทพธิดา
มาเสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ บัดนี้ กุศลธรรมเหล่านั้น เป็นสิ่งที่คุณโยมทั้งหลาย
สมควรนำมาทบทวน กระทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรหลงลืมละเว้น
เพราะเหตุแห่งทิพยสมบัติที่เสวยอยู่มาปิดบังอำพรางไว้ อันทิพยสมบัติที่เสวยอยู่นี้
แท้จริงเป็นของเสื่อมได้ หมดได้ เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ด้วยเป็นเพียงโลกียสมบัติ
เมื่อกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้หมดลง ความสุขอันนี้ก็จะ กลายเป็นทุกข์
หรือจะต้องไปเกิดใหม่ตามภพภูมิ ตามกรรมดีกรรมชั่วของตน ที่ยังมีเชื้อเหลืออยู่
ทิพยสมบัติมิใช่อัตตาตัวตน ที่เราท่านจะยึดถือหวงแหนเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงตรัสย้ำเป็นคำสุดท้าย ก่อนปรินิพพานว่า
ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ความไม่ประมาทนั้นคือ
ควรระลึกถึง กุศลกรรมที่ตนได้กระทำมาดีแล้วและพากเพียรกระทำต่อไป
มิให้ขาดสายโลกทิพย์ อันคุณโยมทั้งหลาย เสวยทิพยสมบัติอยู่นั้น
จงพิจารณาให้ดีก็จะเห็นว่า ยังเป็นโลกที่ไม่มีแก่นสารอยู่ อาจกล่าวได้ว่า
เป็นโลกที่ไม่มีตัวตน เป็นแต่แสงสว่างแผ่ซ่านอยู่ เป็นโลกที่ละเอียดอ่อน
คุณโยมที่ปรากฏกายให้อาตมาเห็นนี้ ก็ด้วยอำนาจของจิตอธิษฐาน
จะจัดว่าเป็นโลก ของจิตพักอาศัยอยู่ก็ได้ฤทธิ์อำนาจที่อาจบันดาลให้เป็นไป
ตามความปรารถนาได้ ก็ได้อาศัยจิตเท่านั้น สวรรค์ก็ดี วิมาณก็ดีล้วนเกิดขึ้น
มีขึ้น ด้วยอำนาจของจิตที่เป็น กุศลธรรมส่งเสริมให้เป็นเช่นนั้นจิตเป็นนามธรรม
ไม่มีรูปที่จะประกอบกรรมดีหรือชั่ว ได้อย่างมนุษย์ แต่จิตก็ใช่ว่าจะบริจาคทาน
รักษาศีล เจริญสมาธิไม่ได้ แม้มนุษย์เอง ก็ได้อาศัยจิตทำให้กายกระทำ
ตามที่ตนปรารถนา ฉะนั้นคุณโยมผู้เป็นเทพทั้งหลายพึงใช้จิตบริจาคทาน
ใช้จิตรักษาศีล ใช้จิตเจริญสมาธิเถิดการบริจาคทานด้วยจิตก็คือให้ความกรุณา
ให้ความเมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้ใดมีทุกข์ ก็พึงอธิษฐาน ให้เขาพ้นทุกข์
เอาจิตช่วยเขาให้เป็นสุข ผู้ใดผิดหวัง ก็เอาจิตช่วยให้เขาสมหวัง ซึ่งนับได้ว่า
เป็นทานบารมีอันยิ่งใหญ่ศีลก็ย่อมรักษาได้ด้วยจิต ระลึกถึงศีลที่ทำให้เป็นเทวดา
ก็จะเห็นได้ว่าเพราะมีเมตตาละเว้นการฆ่า เบียดเบียนสัตว์อื่น เพราะมีเมตตาไม่
กล่าววาจา ให้เขาหลงผิดกระทำในสิ่งผิด เพราะมีเมตตาไม่ทำให้ผู้อื่นเศร้าเสียใจ
ไม่ต้องการละเมิด ลูกเขาผัวเขาเมียเขา เพราะมีเมตตาไม่ถือเอาทรัพย์สิน
ที่เจ้าของเขาหวงแหน ได้มาด้วยความทุกข์ยาก เพราะมีเมตตาต่อตนเอง บุตรภรรยา
ไม่เสพของมึนเมา เช่น สุรา อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์โทษต่างๆ ดังนี้จึงเป็นศีล
จิตของคุณโยมเป็นกุศลจิต จึงนับว่าได้รักษาศีลไว้โดยสมบูรณ์

ทั่นยาย
04-08-2009, 11:23 AM
สมาธิก็คือทำจิตให้ตั้งมั่น อะไรที่เป็นอุบายให้จิตตั้งมั่นเล่า
ก็คือการตามระลึกถึงอนุสติ ๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง มีนึกภาวนาถึงพระพุทธเจ้า
พระธรรมเจ้า เป็นต้น จิตภาวนาคำว่าพุทโธ ให้เป็นอารมณ์จิตอยู่สม่ำเสมอ
ต่อเนื่อง กุศลธรรมก็จะสูงขึ้นไปเป็นลำดับ เมื่อหมดบุญกุศลที่ทำให้เป็นเทพ
บุญแห่งการเจริญศีล เจริญภาวนาก็จะมาเพิ่มเติมให้ คงความเป็นเทพต่อไปอีก
เมื่อพ้นจากเทพไปแล้วก็อาจไปจุติในมนุษย์โลกในที่ดีมีสุขได้ปฏิบัติอยู่ในทาน
ศีล ภาวนา เกิดปัญญารู้แจ้งเป็นพุทธะต่อไป เมื่อคุณโยมผู้เป็นเทพได้ตระหนัก
ชัดว่า ความเป็นเทพนั้น ยังเป็นโลกียสมบัติซึ่งเป็นสิ่งสมมติ ไม่คงทนถาวร
เสื่อมได้ หมดได้ สิ้นไปได้ก็จงอย่ามีความประมาท เวลาในสวรรค์แม้จะยาวนาน
กว่าโลกมนุษย์ถึงร้อยเท่าพันเท่า จะพ้นจากไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
นั้นไม่ได้ สิ่งสมมติทั้งหลาย เกิดขึ้นแล้วย่อมดับ จงขวนขวายละสมมติไปสู่วิมุตติเถิด
จึงจะพ้นจากการเวียนว่ายในวัฏสงสาร อาตมาสามเณรน้อย ได้อาราธนาธรรม
คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเพื่อเป็นข้อระลึกของคุณโยมผู้เป็นเทพ
พอสมควรแล้ว ขอเจริญพรแผ่เมตตาให้คุณโยมอย่ามีทุกข์เดือดร้อน อย่ามีภัยอันตรายใดๆ
อย่าเป็นผู้มีเวรมีกรรมต่อกันเลย จงเป็นสุข…เป็นสุข ตามกุศลกรรมของตนเถิด"
เมื่อจบลงขณะนั้น เสียงแซ่ซ้องสาธุการของทวยเทพก็ดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่ว
ขุนเขาไพรพนมทิพย์ แต่เสียงนั้นจะดังให้โลกรู้ก็หาไม่ด้วยเป็นเสียงละเอียด
ที่ผู้มีจิตละเอียดได้ทิพยโสตเท่านั้น จึงจะสัมผัสได้ จากนั้นก็ได้เห็นเทพ พากันยก
กรขึ้นเหนือนลาฏ แล้วก็ทยอยกันกลับ ด้วยกิริยาอันเรียบร้อยเป็นระเบียบ
แล้วเลือนหายไป ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง
อาตมาก็กลับเข้าถ้ำ เข้าไปนมัสการอาจารย์อุปัชฌาย์ ตามแบบอย่างศิษย์กับอาจารย์
ซึ่งท่านก็ได้ยกมือพนมอนุโมทนากล่าวว่า"เณรแสดงได้ไพเราะจับใจ
เทพทั้งหลายปีติชื่นชม สมใจหลวงพ่อแล้ว"
ต่อจากนั้นก็เตือนให้เร่งความเพียรยิ่งๆขึ้นไป หลวงพ่ออาจารย์กับอาตมาได้เจริญภาวนา
อยู่ในความวิเวก ต่อมาเกือบเดือน โดยไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายมาแผ้วพาน
จากนั้นจึงอำลาญาติโยม ผู้มีอุปการะบริจาคทานให้มีกำลังปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ได้โดยสะดวกนับว่าญาติโยมเหล่านั้น ได้หว่านพืชแห่งกุศลของตน
ลงไปในนาที่เป็นเนื้อนาบุญ ด้วยเหตุอันดี คงจะได้รับผลเป็นความสุขสืบไป

ขออนุโมทนาสาธุกับเจ้าของเรื่องราวอันเป็นกุศลนี้ด้วยค่ะ หากเรื่องนี้จะทำให้เกิด
อานิสงส์ผลบุญใดก็ตามแต่ ขอผลบุญนั้นๆจงเป็นปัจจัยให้ท่านเจ้าของเรื่องนี้
และครอบครัวจงเจริญถึงพร้อม ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างทุกประการเทอญ สาธุ

ทั่นยาย
04-08-2009, 11:48 AM
http://www.dhammajak.net/board/files/__334.jpg (http://www.dhammajak.net/board/files/__334.jpg)
พระบุญนาค โฆโส


คำปรารถ
หนังสือ "ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน" ลงวันที่ ๑๖ เดือน ๙ ขึ้น ๙ ค่ำ วันจันทร์ พ.ศ. ๒๔๘๐
เผอิญมี พระเดชพระคุณท่านเจ้าจอมมารดาทับทิม ที่วังกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช
พร้อมด้วยคุณนายอ้นและโยมเข็ม ขอประวัติการณ์ความเป็นมาแล้วของอาตมาภาพ
ในเวลาหนึ่งโมงเช้า ๗ นาฬิกา ก่อนรับบิณฑบาต อยู่ ณ ที่ตำหนักในวังนั้น

ก่อนพระเดชพระคุณจะบัญชาให้เขียนประวัติความเป็นมาของอาตมาภาพ
ในเวลา ๙ ทุ่มวันนั้น (ตี ๓) ส่วนอาตมาภาพกลับมาจากเดินจงกรม
ในลานพระเจดีย์แล้วมาเข้าที่นั่งสมาธิในห้องได้รับปุพนิมิต เห็นบุรุษแก่คนหนึ่ง
มาประกาศชื่อของตนว่าโยมนี้มีชื่อว่าอะสะกรรมบุรุษ แล้วห้างกระแทะเทียมโค
(ขี่เกวียนเทียมโค) แล้วว่านิมนต์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นนั่ง ครั้งเมื่ออาตมาภาพนั่งเสร็จ
แล้วปรากฏว่า ณ ที่ทั้งปวงเกิดเป็นห้วงน้ำทั้งหมด บุรุษนั้น ก็ขับกระแทะเทียมโค
นำพาข้ามน้ำนั้นไป พอพ้นฝั่ง บุรุษแก่คนนั้นแสดงตน เป็นผู้มีฤทธิ์ เกิดแสงสว่าง
รอบตัวแล้วสั่งอาตมาภาพว่า จงระวังกิจที่จะทำในวันต่อไป กลัวจะเป็นภัยแก่ท่าน ดังนี้
พอรุ่งเช้ามาเป็นเวลาย่ำรุ่ง ๓๐ นาที ก็ออกบิณฑบาต ครั้นไปถึงตำหนัก
ที่พักของพระเดชพระคุณเป็นเวลาหนึ่งโมงเช้า พอนั่งลงประมาณสัก ๕ นาที
พระเดชพระคุณท่านก็บัญชาขอให้เขียนประวัติการณ์ความเป็นมาของอาตมาภาพ
ตั้งแต่ยังรุ่นเยาว์ ครั้งแต่เป็นสามเณรเล็ก ๆ จนกระทั่งออกเที่ยวธุดงค์ กรรมฐานมาจนบัดนี้

ในประวัติความเป็นมาของอาตมาภาพมีคนขอ ๒ ครั้งมาแล้ว แต่ยังมิได้ เขียนให้
สักคน ครั้งที่ ๑ ขุนอาจ กำนันอำเภอหยาดฟ้า ครั้งที่ ๒ ขุนประเทือง อุปราชเจ้า
เมืองคำทอง แขวงดินแดนฝรั่งเศส ก็มิได้เขียนให้ บัดนี้เป็นครั้งที่ ๓ ซึ่งพระเดช
พระคุณบัญชาขอประวัติความเป็นมาแห่งอาตมาภาพ อาตมาภาพ จำต้องลิขิต
เขียนเรียนมาเพื่อพระเดชพระคุณทราบตั้งแต่ต้นจนอวสาน ในประวัติการณ์แห่ง
อาตมาภาพ ดังรายละเอียดเรียนมาในสมุดเล่มนี้


พระบุญนาค โฆโส
๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๐

ขออนุโมทนาสาธุกับพระคุณเจ้าที่ได้เขียนเรื่องราวอันเป็นกุศลนี้ด้วยค่ะ
หากเรื่องนี้จะทำให้เกิด อานิสงส์ผลบุญใดก็ตามแต่ ขอผลบุญนั้นๆจงเป็นปัจจัย
ให้พระคุณเจ้าพระบุญนาค โฆโส เจริญในธรรมยิ่งขึ้นไปเทอญ สาธุ http://www.watkoh.com/board/Themes//classic/images/icons/modify_inline.gif

ทั่นยาย
04-08-2009, 03:43 PM
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
พระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ฉบับสมบูรณ์
http://www.geocities.com/easydharma/ebk_bng.html (http://www.geocities.com/easydharma/ebk_bng.html)


หนังสือ ' เที่ยวกรรมฐาน '
เป็นอัตตชีวประวัติ ของ พระบุญนาค โฆโส หนังสือเล่มนี้ ' สัจจธรรมภิกขุ '
ได้จัดพิมพ์เป็นไฟล์เอาไว้ เพื่อเก็บเป็นหนังสืออิเล็คโทรนิคส์ ไว้บนอินเทอร์เน็ต
เพื่อประโยชน์ใน ทางธรรมในวงกว้างแก่ผู้สนใจปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ที่สุด
ในสังสารวัฏนี้ กล่าวคือ ปาฏิหาริย์ทางปัญญา ปาฏิหาริย์ที่ประกอบไปด้วยปัญญา
และความเพียร วิริยะ อุตสาหะ ปาฏิหาริย์แห่งการ ตั้งใจมั่น ตั้งจิต ตั้งเข็มทิศ
ที่แน่วแน่ของพระบุญนาค โฆโส ที่มุ่ง กระทำกายวาจาและใจให้พ้นจากข้าศึก
คือกิเลส เดินตามทางเส้น ตรงลัดสั้นที่ตัดตรงไปสู่การออกจากทุกข์
โดยไม่ใส่ใจแวะเวียน หรือนำพาต่อสิ่งอื่นใด อันมิใช่เส้นทางที่ตรงลัดสั้นที่สุด
พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า คือ ' สติปัฏฐานสี่ ' เลย

+ + + + + + + + + + + + + +

ปาฏิหาริย์นั้น หากเป็นเรื่องที่ข้องด้วยโลก ข้องด้วยกิเลส ทั้งปวง พระพุทธองค์
ก็ไม่ทรงสรรเสริญ เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ ทางแห่งความรู้ คือ รู้โลก รู้ทุกข์ รู้กิเลส
รู้ออกจากทุกข์ ดังจะขอคัดคำนิยามจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์

โดย พระธรรมปิฎก มาดังนี้ ปาฏิหาริย์ สิ่งน่าอัศจรรย์ เรื่องที่น่าอัศจรรย์
การกระทำที่ให้บังเกิดผล เป็นอัศจรรย์ มี ๓ คือ
( ๑) อิทธิปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์
( ๒) อาเทศนาปาฏิหาริย์ ทายใจได้เป็นอัศจรรย์
( ๓) อนุสาสนียปาฏิหาริย์ คำสอนมีผลจริงเป็นอัศจรรย์
ใน ๓ อย่างนี้ ข้อสุดท้ายดีเยี่ยมเป็นประเสริฐ
หนังสือ ' เที่ยวกรรมฐาน '
โดย พระบุญนาค โฆโส นี้ เป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยปาฏิหาริย์ แต่เป็นปาฏิหาริย์
ทางธรรม ปาฏิหาริย์ทางปัญญา ของผู้มีจิตมุ่งมั่น แน่วแน่ ของผู้ทราบความ
ต้องการของตน มุ่งแผ้วถางทาง สู่การพ้นทุกข์มานาน แนวคิด วิธีคิดของท่าน
และ การดำเนินมุ่งไปสู่หนทางนี้ของท่าน จึงเต็มเปี่ยม ไปด้วยปัญญาอันมุ่งสู่
การหลุดพ้น อันน่าศึกษา น่าพิจารณาตามยิ่งนัก
พระบุญนาคฯ อยากออกบวชตั้งแต่อายุได้เพียง ๖ ขวบ และในหนังสือนี้
ท่านออกธุดงค์ทำความเพียร เพื่อความหลุดพ้น จากกิเลส ตัณหา อุปาทาน
ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร ในระหว่างการเดินธุดงค์ มีอุปสรรคทั้งภายในและภายนอก
ที่พระบุญนาค ต้องเผชิญหรือประสบอยู่มากมาย อาทิ ความกลัว (กลัวผี กลัวเสือ)
ความไม่เข้าใจจากผู้คนในรายทางที่ท่านต้อง ผ่าน ฯลฯ

ทุกครั้ง พระบุญนาคใช้ปัญญา พิจารณาธรรม วิเคราะห์เหตุการณ์ และแก้ไข
สถานการณ์ เพื่อไม่ให้ตนต้องตกอยู่ในกับดักของกิเลส หรือปัญหาเหล่านี้
ทั้งการใคร่ครวญวิเคราะห์กับตนเองและการสอนธรรมให้ธรรม กับผู้คน
ที่ท่านต้องผ่านพบไม่แง่ใดก็แง่หนึ่ง แสดงให้เห็นถึงผู้ที่ เจริญไปด้วยปัญญา
ใช้ปัญญาสอนตนสอนท่าน(คือผู้อื่น อย่างตรงประเด็นและคมยิ่งทางปัญญา)
ธรรมะในหนังสือเล่มนี้ เป็นธรรมะปฏิบัติ เป็นธรรมแห่งปัญญา แท้ๆ เป็นปาฏิหาริย์
ทางปัญญาอันพระบุญนาคใช้สอนตนและ ยังได้สอนผู้ที่ได้มีโอกาสได้พบกับท่าน
ฟังธรรมหรือเห็นการ แสดงธรรมไม่ว่าทางวาจาหรือการกระทำตนให้ประจักษ์
ของท่านทั้งหมดนี้ ล้วนชวนขบคิดให้เกิดปัญญายิ่งๆ และยังให้แนวทาง
แก่ผู้มุ่งปฏิบัติ มุ่งสำรวจตัวเอง สำรวมกาย-วาจา-ใจ เพื่อการลด-ละ- เพื่อการ
ทุเลาเบาบางจากกิเลส เพื่อการไม่ข้องด้วยหมู่คณะ และสุดท้ายเพื่อมุ่งรู้จักกิเลส
และออกจากกิเลส-ตัณหา-อุปาทาน อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง

ทั่นยาย
04-08-2009, 03:50 PM
คำนำของ “ สัจจธรรมภิกขุ ” ตามที่โพสท์ไว้ในห้องสมุดพันทิพ

ขอเจริญพร
อาตมาได้อ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกเมื่อ ๙ ปีที่แล้ว พ.ศ. ๒๕๓๕ นั้น
อาจจะเป็นความประทับใจครั้งแรก แม้ว่าจะเป็นการอ่านแบบสนุก ๆ แบบเด็ก
อ่านนิทาน ก็ตามที แต่เมื่อย้อมมาดูขณะนี้ในวันนี้แล้ว หนังสืออันเป็นประวัติ
ของพระอาจารย์บุญนาคนั้นมีอิทธิพล กับวิถีชีวิตของอาตมามาตลอด
ในยามที่ท้อกับชีวิตนักบวชเมื่อได้อ่านหรือนึกถึงประวัติ ของท่านแล้ว
ทำให้อาตมามีกำลังใจที่จะใช้ชีวิตแบบ นักบวชต่อไป ด้วยความคิดที่
จะเอาแบบท่านเมื่อครั้ง อ่านประวัติครั้งแรก แม้ว่าระยะเวลาที่ผ่านไปนั้น
จะยังไม่ได้กระทำอย่างที่ตั้งใจไว้เดิมก็ตาม แต่ก็ไม่เคยลืมเลือนความทำใจ
ความตั้งใจที่มีอยู่ก่อนนั้นเลย

เมื่อได้อ่านหนังสือเล่ม ๑ แล้วพิจารณาให้ดีก็จะเห็นว่า เนื้อหาสาระสำคัญนั้น
พระอาจารย์บุญนาคท่านได้นำ มาลงไว้ในเล่มหนึ่ง ไว้เกือบหมดแล้ว
ตั้งแต่ชีวิตเยาว์วัย จนกระทั้งผ่านการเดินธุดงค์มาหลายปี ท่านก็ได้นำมา
เล่าในเล่มหนึ่งหมดแล้ว ส่วนเล่มต่อไปนั้นอาตมาก็ยังไม่ เคยอ่านเหมือนกัน
แล้วก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังว่าเคยอ่าน เล่มสองมาแล้ว ถ้าได้คุยกับคนที่อ่านเล่มสอง
อาตมาก็จะสอบถามว่าท่านพระอาจารย์บุญนาค ท่านได้เล่าอะไรต่อ ๆ อีก
แต่เสียดายที่ไม่มีให้อ่าน และก็ไม่ทราบว่าใครเคยอ่านมาบ้าง

ขอเจริญพร.
จากคุณ : สัจจธรรมภิกขุ - [ 3 ก.พ. 21:21:46]


ความคิดเห็นเพิ่มเติมโดย : (สัจจธรรมภิกขุ)
ฉบับที่อาตมาได้นำมาพิมพ์ออกเผยแพร่นั้น เป็นฉบับเดียวกับของมหากมุฏฯ
โดย...พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ)
ก่อนที่อาตมาจะนำออกมาเผยแพร่นั้น อาตมาได้ไปที่วัดโสมนัสวิหาร
ซึ่งเป็นมีเจ้าพระคุณพระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ) เป็นเจ้าอาวาส
ซึ่งตอนนี้ท่านเป็น "พระธรรมวิสุทธิกวี" อาตมาไม่ได้ไปพบท่านหรอก
แต่อาตมาไปพบกับพระที่รู้จักสนิทกันในคณะของ "พระธรรมวิสุทธิกวี"
อาตมาได้ไปเห็นหนังสือที่ "พระธรรมวิสุทธิกวี" ได้จัดพิมพ์ขึ้น โดยจัดพิมพ์
ที่โรงพิมพ์มหามกุฎฯ อ่านก็บอกความประสงค์กับพระที่รู้จักกันว่าจะนำเอา
ประวัติของพระบุญนาค โฆโส นี้เอาไปพิมพ์แล้วนำไปไว้ในอินเตอร์เน็ท
เพื่อเป็นการเผยแพร่ พระรูปนั้นก็เห็นดีเห็นงามด้วย แม้ว่าท่านจะใช้เน็ทไม่เป็นก็ตาม
ท่านจะให้หนังสือเล่มนี้แก่อาตมา เพื่อนำมาพิมพ์

จากคุณ : สัจจธรรมภิกขุ [ 5 ก.พ. 2544. ]

********************************************
ความเห็นเพิ่มเติมโดย ( weerapong) [ 4 ก.พ. 2544 ]
เรื่อง"พระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน" นั้นผมคิดว่าไม่น่าจะมีเล่มที่สองครับ
ผมมีเล่มเล็กอยู่เล่มหนึ่ง บังเอิญเพื่อนเอามาฝาก เพราะเป็นแนวธรรมะ
ที่เกี่ยวข้องกับอภิญญาจิต ในตอนต้นของหนังสือบันทึกไว้ว่า "เป็นที่น่าเสียดาย
อย่างยิ่งที่บันทึกของท่าน มีอันเป็นต้องจบลงกลางคัน เพราะท่านอาพาธ
และถึงแก่มรณภาพในที่สุด ณ วัดบรมนิวาส จังหวัดพระนครนี่เอง ราวพ.ศ. ๒๔๘๑"

ขอให้ผู้ร่วมเผยแพร่ข้อมูลและผู้อ่านทุกท่านพร้อมด้วยครอบครัว
จงเจริญในทุกสิ่งทุกอย่างทุกประการตามที่ปรารถนาเทอญ สาธุ

เกิดแก่
04-09-2009, 01:49 PM
กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ

อนุโมทนาสาธุค่ะท่านยาย

ทั่นยาย
04-20-2009, 11:02 AM
สวัสดีค่ะญาติธรรมทุกท่าน

เมื่อประมาณสัก ๒ ปีมาแล้วทั่นยายได้มีโอกาสไปช่วยค้นหาและรวบรวมข้อมูลของนาลันทา
ให้แก่วัดทรงเมตตาฯ เพื่อนำไปพิมพิ์เป็นหนังสือแจกให้แก่ญาติโยมค่ะ
ซึ่งต้องใช้เวลาในการค้นหาและรวบรวมข้อมูลพอสมควรค่ะ เพราะข้อมูลทั้งหมดนี้มิได้มาจากแหล่งเดียวกัน
แต่ต้องค้นหามาจากแหล่งข้อมูลที่กระจัดกระจายกันอยู่ที่นั่นนิดที่นี่หน่อยแล้วนำมารวบรวมเรียบเรียงใหม่ค่ะ
ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้ อาจจะยังประโยชน์ให้แก่ท่านผู้อ่านได้บ้างไม่มากก็น้อย
ดังนั้นทั่นยายจึงขออนุญาตินำมาลงไว้ ณ ที่นี้ เพื่อแบ่งกันอ่านปันรู้ และเป็นแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ

http://picdb.thaimisc.com/m/mscc2/1148.jpg
นาลันทามหาวิหารและมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกค่ะ

*** ตามรอยนาลันทา ***

นาลันทา ดินแดนที่ปลูกต้นกล้าพันธุ์ต้นแรกแห่งพุทธศาสนา
นาลันทา นครแห่งสัจธรรมแห่งนี้ พิสูจน์ตนเองให้ชาวโลก ได้เห็นถึงสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่าทุกอย่าง
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนตลอดไปได้ แม้แต่ศาสนาที่พระองค์ได้ประกาศไว้ก็จะต้องดับสลายลง
หลังจากพุทธปรินิพานล่วงแล้ว 5000 ปี ตามพุทธทำนาย

ในสมัยพุทธกาล คือในช่วงที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนชีพอยู่ นาลันทาเป็นเมืองเล็กๆ อยู่ในแคว้นมคธ
ห่างจากเมืองราชคฤห์ ประมาณ 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร ปัจจุบัน นาลันทาคือจังหวัดหนึ่งของแคว้นพิหาร
นาลันทาในสมัยพุทธกาลนั้นมีความอุดมสมบูรณ์มาก เพราะตั้งอยู่บนเส้นทางระหว่างเมืองราชคฤห์-ไพสาลี-
มัลละ-สาวัตถี ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าขายของพวกพ่อค้าทั้งหลาย ตลอดระยะเวลาที่ พระพุทธองค์ได้เสด็จจาริก
โปรดเวไนยสัตว์ ในแคว้นมคธนั้น พระองค์มักทรงแวะ ประทับที่นาลันทา อยู่บ่อยๆพระพุทธองค์ได้เสด็จมา
เผยแพร่ศาสนา เพื่อหยั่งรากแห่งพระพุทธศาสนาลงในดินแดนแทบนี้ให้มั่นคง
“ อานนท์! มาเถิด พวกเราจักไปเมืองนาลันทา พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ “
เมื่อเสด็จถึงเมืองนาลันทา จะทรงประทับที่ ปาวาทิกัมพวัน สวนมะม่วงอัน ใกล้เมืองบาลัน ณ ที่นั้นได้ทรงสนทนา
กับเกวัฏฏ คหบดีบุตร ทรงตรัสเรื่อง “ มหาภูต ” ไม่หยั่งลงในที่ไหน อันสวนมะม่วงนี้เป็นของเศษรฐีพ่อค้าผ้า
มีนามว่าปาวาริกะเศษรฐี ซึ่งเป็นผู้มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมาก เห็นว่าพระพุทธองค์
เสด็จมาประทับที่สวนมะม่วงนี้บ่อยๆ จึงจัดสร้างวัดปาวาริกัมฬวัน ถวายให้พระพุทธศาสนา เพื่อเป็นที่ประทับ
ของพระพุทธเจ้าและบรรดาพุทธสาวกทั้งหลาย

http://www.igetweb.com/www/nongkanak/news/26104.jpg
สถูปเจดีย์พระสารีบุตรที่นาลันทาค่ะ

จากวัดนาลันทา มาเป็นมหาวิหารนาลันทา

ในสมัยพุทธกาล นาลันทามีฐานะเป็นเพียงวัดเล็กๆ และได้กลายมา เป็นมหาวิหาร ตั้งแต่เมื่อใด
เรื่องนี้ดูเหมือนจะยังไม่ชัดเจน เพราะเอกสารบางแห่งระบุว่าราวปี พ.ศ. 993 บางข้อมูลบอกว่า
มหาวิทยาลัยนาลันทา เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรก ตั้งแต่สมัย พระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะ
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3. และมีการสร้าง ติดต่อกันเรื่อยมา อีกหลายยุคหลายสมัย โดยประสงค์
จะให้เป็นสถานศึกษา แก่พระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา ซึ่งในช่วงแรกนาลันทาเป็นวัดนิกายเทรวาท
แต่แหล่งข้อมูล ของทิเบตสรุปไว้ว่า ช่วงปี พ.ศ. 613-713 ซึ่งเป็นช่วงสมัยของ พระนาคารชุน ( Nagarajuna)
นักปราชญ์คนสำคัญของพุทธศาสนานิกายมหายาน ได้มาอยู่ที่นาลันทานี้ และภายในระยะเวลาเพียง 1-2 ศตวรรษ
หลังจากที่ท่านนาคารชุน เดินทางมาถึงนาลันทา ต่อจากนั้น นาลันทา ก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนา
นิกายมหายาน ที่สำคัญยิ่ง ขณะนั้น มหาวิทยาลัยนาลันทา กำลังเจริญรุ่งเรืองเต็มที่.หลักฐานจากศิลาจารึก
ตลอดจนหลักฐาน ทางโบราณคดี ได้เปิดเผย ให้เห็นถึง ความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด ของพระพุทธศาสนาในยุคนี้
แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะไม่ได้เป็น ศาสนา ทางราชการตลอดทั่วทุกแคว้น ในมัชฌิมประเทศก็ตาม

ทีมาของชื่อ นาลันทา มากความหมายแต่เป็นหนึ่งในเรื่องการเรียนรู้
* หลวงจีนเฮี่ยนจัง ได้เดินทางมาศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา และได้บันทึกถึงที่มาของชื่อ ดังต่อไปนี้
โบราณาจารย์บอกว่า นาลันทา เลือนมาจากประโยคว่า น อลม ทา แปลว่า ฉันจะไม่ให้ ไม่มี ตำนานเสริมว่า
สมัยหนึ่งพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทานบารมี เป็นที่รู้จักกันดี พระองค์ทรงมีพระราชหฤทัยสงสารพวกกำพร้ายาจก
ได้ทรงบริจาคทานเสมอๆ จนไม่มีใครเคยได้ยินคำว่า ฉันจะไม่ให้ คำว่า อารามนาลันทา จึงแปลว่าอารามที่ไม่เบื่อ
ในการให้ทาน
* บางข้อมูลบอกว่า นาลันทา มาจากคำ 2 คำ คือ นาลัน แปลว่า ดอกบัว และ ทา แปลว่า ให้ หมายถึง ให้ดอกบัว
มีตำนานเสริมว่าบริเวณนี้ มีดอกบัวมาก แม้ปัจจุบันก็ยังมี ดอกบัวมากอยู่ จึงเป็นเหมือนสถานที่ให้ดอกบัว
* บางข้อมูลกล่าวว่า นาลันทา เป็นชื่อพญานาคซึ่งอาศัยอยู่ในสระบัวใหญ่ ณ บริเวณมหาวิทยาลัยนาลันทาปัจจุบัน
ซึ่งอยู่ทางด้านใต้ของอาราม ชื่อว่าพญานาคนาลันทา เมื่อได้สร้างอารามขึ้นที่ใกล้สระนี้ก็ตั้งชื่อตามนาคนั้น
นาลันทา ประกอบด้วยคำ 3 คำ คือ น , อลัง , และ ทา แปลตามตัวอักษรว่า ให้ไม่พอ แต่ความหมายก็คือ
การให้ที่ไม่รู้จักพอ นั่นเอง
ท่านธรรมสวามีเป็นชาวทิเบต ได้เดินทางมาที่นี่เมื่อ พ.ศ. 1777 บันทึกไว้ว่า คำว่า นาลันทา นี้หมายถึง เจ้าแห่งมนุษย์

ทั่นยาย
04-20-2009, 09:45 PM
นาลันทา สถานที่เกิดของพระธรรมเสนาบดีแห่งกองทัพธรรม

http://1.bp.blogspot.com/__rknvM6vAx8/ScJtm_Ul4UI/AAAAAAAACv4/tYju4vzE0qk/s400/P1010616.JPG
นาลันทา ดินแดนบ้านเกิดของพระอัครสาวกซ้ายและขวาค่ะ

หากพิจารณาให้ดี นาลันทา เป็นดินแดนที่ถูกกำหนดไว้ให้เป็นสถานที่สำหรับการเผยแพร่พุทธศาสนาโดยแท้
เพราะดินแดนแห่งนี้ เป็นถิ่นกำเนิดของพระธรรมเสนาบดีถึงสององค์ ซึ่งพระธรรมเสนาบดีนั้น คือ
พระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศในด้านปัญญาความรู้นั่งเอง
และพระโมคคัลานะ พระอัครสาวกเบื้องซ้าย ผู้เลิศในด้านมีอิทธิฤทธิ์มาก
อัครสาวกทั้งสองเปรียบได้กับเสนบดีแห่งกองทัพธรรมที่เกรียงไกร กองทัพธรรมที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงเป็นจอมทัพ สารีบุตรพระอัครสาวกเบื้องขวาและพระโมคคัลานะพระอัครสาวกเบื้องซ้าย
ได้ร่วมกันประกาศพระพุทธศาสนา ในนาลันทาและส่วนอื่นๆของรัฐพิหาร

http://www.rmutphysics.com/CHARUD/scibook/buddhist1/buddhist1pic/59.jpg
พระโมคคัลลานะเมื่อมาบวชกับพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าก็ให้มาปฎิบัติบำเพ็ญเพียรอย่างเต็มที่
วันหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงมาโปรดพระโมคคัลลานะ ซึ่งมาปฏิบัติธรรมและง่วงหลับ พระองค์ทรงแก้วิธีง่วงหลับ
ให้หลายอย่างหลายประการ เช่น มีการเอาน้ำลูบเนื้อลูบตัว เอาไม้ทิ่มหู หรือว่ามีการเดินจงกรม เป็นต้นค่ะ

http://deco-00.slide.com/r/1/0/dl/APasS-DMeD8YAR4PsfD_WDtmxiIB9aM1/watermark
กุฎิพระโมคคัลลานะค่ะ

พระโมคคัลลานะ นั้นท่านเกิดในหมู่บ้านชื่อโกลิตคามไม่ห่างจากเมืองราชคฤห์มากนัก ท่านเป็นเพื่อนสนิท
กับพระสารีบุตร มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะมีอายุคราวเดียวกัน มักจะชวนกันไปเที่ยวหรือไปทำธุระต่างๆด้วยกันเสมอ
จนกระทั่งได้เข้ามาบวช ในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ก็บวชพร้อมกัน จะต่างกันก็ตรงที่
ได้สำเร็จพระอรหันต์ไม่พร้อมกัน พระโมคคัลลานะอุปสมบทแล้ว ๗ วัน จึงได้สำเร็จพระอรหันต์
ท่านพระโมคคัลลานะ ปรินิพพานก่อนพระบรมศาสดา ณ ที่ตำบลกาฬศิลา แคว้นมคธ ในวันเดือนดับ
เดือน ๑๒ หลังพระสารีบุตร ๑๕ วัน สมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จไป ทำฌาปนกิจแล้วรับสั่งให้นำอัฐิธาตุ
มาก่อเจดีย์บรรจุไว้ ณ ที่ใกล้ประตูวัดเวฬุวัน

http://i233.photobucket.com/albums/ee89/micsci/buddha/p-71b.jpg
พระสารีบุตรนั่งถวายงานพัดอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ ของพระบรมศาสดา ได้ฟังพระธรรมเทศนาชื่อว่า
" เวทนาปริคคหสูตร " ที่ตรัสแก่ทีฆนขปริพาชก จึงได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ หลังจากอุปสมบทได้เพียง ๑๕ วันค่ะ

พระสารีบุตรถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 26 ศตวรรษมาแล้ว ท่านเกิดที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ชื่อว่าสาริลจักครหรือนาลกะ หรือนาลันทาไม่ห่างจากกรุงราชคฤห์ ตั้งอยู่ห่างจากซากมหาวิทยาลัยนาลันทา
ในอดีตออกไปประมาณ 1โลเมตร พระสารีบุตรเมื่ออุปสมบทแล้ว ๑๕ วัน จึงได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
พระสารีบุตรนั้นมีลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งคือ ให้ความเมตตาแก่เด็กๆทั้งหลาย เมื่อไปพบเด็กยากจน
จะชวนมาบวชเป็นสามเณรดูแลอบรม ให้ได้รับการศึกษาเล่าเรียนอบรมสั่งสอน

http://deco-01.slide.com/r/1/0/dl/tJ7xK-Fv4D9kS713Dm_WVowEMhsxOYUp/watermark
กุฎิของพระสารีบุตรค่ะ

ให้การศึกษา ด้วยอุปนิสัยรักการศึกษานี่เอง

ในสมัยพระพุทธเจ้า อโนมทัสสี พระสารีบุตรเคยตั้งปณิธานไว้ ขอเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา
ในพระพุทธเจ้าสมณโคดม ซึ่งพระสารีบุตรก็ได้รับการแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้า ให้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา
และยังทรงแต่งตั้งให้เป็นเอตทัคคะในทางปัญญาเป็นเลิศอีกด้วย พระสารีบุตรนั้น นิพพานก่อนพระบรมศาสดา
ที่ นาลันทาบ้านเกิดของท่าน ตอนเวลาใกล้รุ่งของคืนเพ็ญเดือน ๑๒ ท่านก็ดับขันธปรินิพพาน
พอรุ่งขึ้นพระจุนทะผู้น้องชายก็ได้ร่วมกับญาติทำฌาปนกิจสรีระของท่าน แล้วจึงเก็บอัฐิธาตุนำไปถวาย
พระบรมศาสดาซึ่งพระองค์ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ในเมืองสาวัตถี พระพุทธองค์ทรงรับ
สารีริกธาตุของพระสารีบุตรตรัสสรรเสริญพระสารีบุตร และทรงโปรดให้ก่อเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุ
ของพระสารีบุตรเถระไว้ ณ พระเชตวันมหาวิหารนั้น

http://www.wanramtang.com/images/mboard_1205230303/1205230303.jpg
สถูปเจดีย์บรรจุอัฐธาตุของพระสารีบุตรที่พระพุทธเจ้าดำรัสให้ทรงสร้างไว้
จุดกำเนิดแห่งนาลันทามหาวิหารค่ะ

ต่อมาพระเจ้าอโศกมหาราช (พ.ศ.๒๔๓ โดยประมาณ) เสด็จ จาริก แสวงบุญมาถึงบริเวณนาลันทา
ทรงถวายสักการะ ณ เจดีย์ (สร้างอุทิศ) พระสารีบุตร และทรงสถาปนาสารีบุตรเจดีย์ขึ้นเป็นวิหารหรือวิหารหรือวัด
นาลันทาไม่ได้มีเพียง สองอัครสาวกเบื้องซ้าย-ขวาเท่านั้น แต่ยังมีพระอรหันตสาวกสำคัญอีกรูปหนึ่งคือ
พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นพระภิกษุที่พระพุทธองค์ตรัสยกย่องว่าเป็นเอกทัตคะในทางธุดงควัตรได้เกิดที่นี่เช่นกัน
พระมหากัสสปะเป็นบุตรของสุมนเทวีและกปิลพราหมณ์ ท่านเกิดที่มหาติตถะเป็นหมู่บ้านพราหมณ์
อยู่ติดกับนาลันทา ท่านได้แต่งงานกับภัททกปิลานี แห่งโกลิยโคตร เมืองสาคละ,
แต่ต่อมา ท่านเกิดความเบื่อหน่ายชีวิตคฤหัสถ์ จึงสละเรือนออกบวช ในพระพุทธศาสนา จนได้บรรลุธรรม
เป็นพระอรหันต์. พระมหากัสสปะเถระ ซึ่งเป็นพระภิกษุ ที่พระพุทธองค์ตรัสยกย่องว่า เป็นเอกทัตคะ
ในทางธุดงควัตร ท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ในสมัยพุทธกาล เป็นผู้ถวายพระเพลิง พระบรมศพของพระพุทธเจ้า
และเป็นประธานในการทำปฐมสังคายนาครั้งที่ 1 ที่ราชคฤห์ หลังจาก พุทธปรินิพพานแล้ว 3 เดือน.

ค้นพบบ้านเกิดของพระสารีบุตรที่อินเดีย

นักโบราณคดีได้พยายามค้นหาสถานที่ดังกล่าวมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1830 หน่วยงานโบราณคดีของอินเดีย
แจ้งว่าประมาณ 2 เดือนมาแล้ว ทีมนักโบราณคดีซึ่งนำโดย บราเจส กุมาร ได้ทำการขุดค้นที่สาริลจักคร
ที่กำเนิดของพระสารีบุตร เพื่อจัดตั้งเป็นแหล่งโบราณคดี โดยพวกเขาได้ค้นพบภาชนะดินเผาที่เชื่อว่า
บรรจุอัฐิของพระสารีบุตรด้วย

http://i253.photobucket.com/albums/hh79/venfaa_2/rajgir-nalanda/DSC_3109.jpg
ทางจะไปบ้านของพระสารีบุตรค่ะ อยู่เยื้องๆกับมหวิยาลัยนาลันทาค่ะ

http://i253.photobucket.com/albums/hh79/venfaa_2/rajgir-nalanda/IMG_3022.jpg
บ้านที่ขุดค้นเจอซากแนวอิฐที่เชื่อว่าเป็นบ้านของพระสารีบุตรค่ะ

ทั่นยาย
04-21-2009, 02:09 PM
http://www.weekendhobby.com/offroad/newenergy/picture%5C118255005601.jpg
ความยิ่งใหญ่ของนาลันทามหาวิทยาลัย บนพื้นที่สองร้อยกว่าไร่ค่ะ

จุดกำเนิดมหาวิทยาลัยนาลันทา

ท่านหลวงจีนเฮี่ยนจัง ได้กล่าวถึงการสร้างมหาวิทยาลัยนาลันทา ไว้ตอนหนึ่งว่า
“ ที่นี้เดิมทีเป็นสวนของท่านคฤหบดีนามว่า จามร มีพ่อค้า ๕๐๐ คน ได้ซื้อด้วยราคาทองคำตรา ๑๐ โกฏิ
แล้วอุทิศถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ประทับ ณ ที่ตรงนี้แสดงพระธรรมเทศนาเป็นระยะเวล ๓ เดือน
พวกพ่อค้าโดยมากก็ได้บรรลุมรรคผล ”
ภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จปิรินิพานแล้ว ชื่อเมืองนาลันทาถูกเลือนหายจากความทรงจำ
ไประยะหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อราว พ.ศ. ๙๔๔-๙๕๓ หลวงจีนฟาเหี่ยนซึ่งจาริกเพื่อมาสืบพระศาสนา
ในชมพูทวีป บันทึกไว้ว่าได้พบสถูปเจีดีย์องค์หนึ่งที่นาลันทานี้

ในบันทึกล่าวว่า เมื่อพระสารีบุตรนิพพานแล้ว นางสารีผู้เป็นมารดาได้จัดการถวายเพลิงศพพระลูกชาย
ที่บ้านเกิดนั้นเอง และพระพุทธเจ้าได้ดำรัสให้สร้างพระสถูปเจดีย์ขึ้นเพื่อบรรจุอัฐธาตุของพระสารีบุตร
พระภิกษุสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูปที่เป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตรจึงพากันศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติธรรมวินัย
อยู่รอบๆ เจดีย์นั้น นานเข้าจึงกลายเป็นวิหาร(วัด)ขนาดใหญ่ ต่อมาเมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช
ได้เสด็จมาพบจึงเกิดศรัทธา จึงได้ถวายความอุปถัมภ์อย่างเต็มที่

ตามตำนานกล่าวว่า ครั้นเมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินพพานแล้ว กษัตริย์จากราชวงศ์คุปตะ
พระองค์หนึ่งพระนามว่าพระเจ้าศักราทิตย์ หรือกุมารคุปตะที่ ๑ ซึ่งทรงครองราชย์ อยู่ในช่วง พ.ศ. ๙๕๘-๙๙๘
พระองค์ก็ได้ทรงดำริ ให้สร้างอารามขึ้น ณ ที่นาลันทาแห่งนี้ ด้วยความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
เมื่อพระเจ้าศักราทิตย์สวรรคตแล้ว ราชโอรสพระนามว่า พุทธคุปตะ ก็ทรงสร้างอารามขึ้นอีกแห่งหนึ่ง
ติดต่อกับทางด้านทิศใต้ ต่อมาพระราชโอรสพระนามว่าตถาคตราชาได้สร้างอารามขึ้นอีกทางด้านทิศตะวันออก
ต่อมาพระเจ้าพาลาทิตย์ได้สร้างอารามขึ้นทางตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเป็นสถานศึกษา
หลังจากนั้นกษัตริย์ในราชวงศ์คุปตะ พระองค์ ต่อ ๆ มาก็ได้ยึดถือเอาเป็นแบบอย่างโดยสร้างวัดอื่นๆ
เพิ่มขึ้นในโอกาสต่าง ๆ กัน จนเกิดมีวัดที่นาลันทาถึง ๖ วัด ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน
และต่อมาได้มีการสร้างกำแพงใหญ่ขึ้น ล้อมรอบวัดที่สร้างขึ้นทั้ง ๖ นั้นทำให้วัดทั้ง ๖ รวมเข้าด้วยกัน
เป็นหนึ่งเดียว เรียกว่า นาลันทามหาวิหาร ซึ่งต่อมานาลันทามหาวิหาร
ก็กลายเป็นสถานบันการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กลายเป็นศูนย์กลาง การศึกษาที่ยิ่งใหญ่
และสำคัญยิ่ง
ในสมัยปัจจุบันนักประวัติศาสตร์ เรียกกันทั่วไปว่า “ มหาวิทยาลัยนาลันทา ” ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น
มหาวิทยาลัยนาลันทาที่ยิ่งใหญ่ เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก มีพระนักศึกษาจากชาติต่างๆ
เดินทางมาศึกษาเป็นจำนวนมาก และได้รับความอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์ ที่เป็นชาวพุทธมาโดยตลอด
พระเจ้าหรรษาวรรธนะ มหาราชพระ องค์หนึ่งของอินเดีย ซึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๑๔๙-๑๑๙๑
ก็ได้ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ของมหาวิทยาลัยนาลันทานี้ โดยพระราชทานหมู่บ้านถึง ๒๐๐ หมู่โดยรอบถวาย
โดยทรงยกภาษีที่เก็บได้ให้เป็นค่าบำรุงมหาวิทยาลัย ผู้ที่มาเล่าเรียนที่นี่ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
ตั้งแต่นั้นมา มหาวิทยาลัยนาลันทา ก็ได้เจริญรุ่งเรืองมาจนถึงสมัยราชวงศ์ปาละ

http://gotoknow.org/file/chiew-buncha/Xuanzang-Nalanda-G2K.jpg
มหาวิทยาลัยนาลันทาครั้งที่ยังรุ่งเรืองตามบันทึกของหลวงจีนอี้จิง หรือเฮี่ยนจัง
หรือพระถังซัมจั๋ง ซึ่งแปลว่าองค์ชายพระไตรปิฎกธรรม ซึ่งได้จาริกมาศึกษาธรรม
ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ประมาณ พ.ศ. ๑๒๒๓ ค่ะ

ความยิ่งใหญ่ของมหาวิทยาลัยนาลันทา

ท่านหลวงจีนเฮี่ยนจังพรรณนาถึงความยิ่งใหญ่ของมหาวิทยาลัยนาลันทาสามารถ
สรุปใจความได้ดังต่อไปนี้ บริเวณทั้งหมด มีกำแพงล้อมอารามเข้าด้วยกัน มีประตู ๑ ประตู
ภายในแบ่งเป็นหอที่สำนัก ๘ แห่ง (ที่ทำงานหรือห้องเรียน) แต่ละหอวิจิตรงามระยับดุจประดับด้วยดาว
ยอดหอสูงเหมือนภูเขาหายไปในควันหมอก โบสถ์และวิหารมองดูเหมือนลอยอยู่ มีลำธารน้ำใสไหลคดเคี้ยว
มีดอกบัวสีขาบ(ดอกบัวหลวง) บานสะพรั่ง และดอกกรรณิการ์ขึ้นเรียงราย ภายนอกมีสวนมะม่วงเต็มไปหมด
ที่พักของนักศึกษาเป็นหอสูง ๔ ชั้น ชายคาสูงตระหง่านเป็นนาคเลื้อย ขื่อโค้งเหมือนเส้นรุ้ง เสาสีแดงรับอยู่
ยอดและปลายเสามีลวดงายวิจิตรงดงาม เครื่องประกอบหลังคางดงามประดับประดาอย่างประณีต
เมื่อแสงอาทิตย์ส่องแสงประทบหลังคางามระยับจับตาเป็นอย่างยิ่ง

http://monlam.files.wordpress.com/2007/11/nalanda_monks.jpg
นาลันมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลกค่ะ

ความรุ่งเรืองด้านการศึกษาของนาลันทา

ในยุคที่นาลันทาเป็นศูนย์กลางการศึกษาพุทธ ศาสนาฝ่ายมหายาน จนมีกิตติศัพท์เป็นที่เลื่องลือมาก
และจากกิตศัพท์นี้เองจึงทำให้มีนักศึกษาจากทั่วทุกสารทิศ ต่างมุ่งหน้าสู่นาลันทา ซึ่งมาจากหลายประเทศ
เช่น จีน ญี่ปุ่น เอเซียกลาง สุมาตรา ชวา ทิเบต และมงโกเลีย เป็นต้น
การเรียนการศึกษาในนาลันทาสมัยนั้นปรากฏว่า มีความเจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าเป็นอย่างมาก
เพราะนักศึกษาทุกคนที่สำเร็จการศึกษาจากที่นี่ล้วนเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไป
ทั้งในและนอกประเทศ จึงเป็นเหตุให้มหาวิทยาลัยนาลันทา มีนักศึกษาแห่กันมาเข้าเรียนที่นี่กันเป็นจำนวนมาก
ดังที่หลวงจีนเฮี่ยนจัง (พระถังซัมจั๋ง) ซึ่งได้จาริกมาสืบพระศาสนาในอินเดีย ในช่วง พ.ศ. ๑๑๗๒-๑๑๘๗
พระถังซัมจั๋งได้มาศึกษาที่มหาวิหารนาลันทา และได้เขียนบันทึก เกี่ยวกับมหาวิหารนาลันทาไว้ว่า
อาคารสถานที่นี่ใหญ่โต มีศิลปกรรมที่วิจิตรงดงามมาก ท่านเล่าถึงกิจกรรมทางการศึกษาไว้ว่า ที่นาลันทานี้
การศึกษารุ่งเรืองยิ่งนัก มีนักศึกษาประมาณ ๑๐,๐๐๐คน และมีครูบาอาจารย์ และคนงานของมหาวิทยาลัย
รวมแล้ว ประมาณ ๑,๐๐๐ คนทีเดียว ส่วนเนื้อหาวิชาที่เล่าเรียนนั้น ก็มีหมดเกือบทุกสาขา ที่มีอยู่ในเวลานั้น
แต่วิชาที่นิยมศึกษาเล่าเรียนส่วนมากนั้นมีอยู่ประมาณ ๕ วิชา คือ

๑. พุทธปรัชญา

๒. ตรรกวิทยา

๓. ไวยากรณ์ หรือวรรณคดี

๔. ศาสนาพราหมณ์

๕. แพทย์ศาสตร์

พระไตรปิฎก คือวิชาบังคับที่จะขาดเสียมิได้ ซึ่งรวมทั้งหินยาน และมหายาน ดังนั้นนักศึกษา
ของมหาวิทยาลัยนาลันทา จึงให้ความสนใจและนิยมเรียนพระไตรปิฎก กันอย่างจริงจัง
ถ้านักศึกษาท่านใดยังไม่ได้เรียนรู้พระไตรปิฎก ก็จะต้องรีบเร่งเรียนรู้ พยายามท่องบ่นจนขึ้นใจให้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น พระถังซัมจั๋งยังได้เล่าเกี่ยวกับนักศึกษาที่นาลันทาว่า “ มีกิริยามารยาท อันยากที่จะจับผิดกันได้
ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางวาจา ” เพราะทุกๆ คน เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรียน และปฏิบัติตามกฎ
ของมหาวิทยาลัยอย่างเคร่งครัด ถึงแม้กฎระเบียบข้อปฏิบัติของมหาวิยาลัย จะเข้มงวดกวดขันเพียงไรก็ตาม
ทุกๆ คนก็ปฏิบัติได้อย่างดีไม่มีเกี่ยงงอน
พระภิกษุสงฆ์ในมหาวิทยาลัยนาลันทานี้ มีทั้งที่มาจากที่อื่นมีจำนวนนับหมื่นศึกษาในลัทธิมหายาน
แต่ลัทธินิกายต่างๆ ๑๘ นิกายก็ศึกษาควบคู่กันไป นอกจากนี้ยังมีการศึกษาหนังสือสามัญด้วย คือ
คัมภีร์พระเวทย์ เหตุวิทยา ศัพทวิทยา จิกิตวิทยา สางขยะวิทยา ฯลฯ
พระภิกษุสงฆ์ที่มีความรู้ในพระสูตรและศาสตร์ต่างๆ จำนวน ๒๐ หมวด มีประมาณ ๑,๐๐๐ รูป
และ ที่รู้ ๓๐ หมวด ประมาณ ๕๐๐ รูป และที่รู้ ๕๐ หมวด มีเพียง ๑๐ รูปเท่านั้น (หนึ่งในจำนวนนั้นรวมทั้งท่านเฮี่ยนจังด้วย)
มีแต่ท่านศีลภัทร์ ผู้เดียวมีความรู้ทั่วทั้งหมด มีความรู้ทรงคุณธรรมและอาวุโสที่สุด จึงได้ดำรงตำแหน่ง
ประมุขสงฆ์ด้วย(ตำแหน่งอธิการบดี ในปัจจุบัน)
ท่านเฮี่ยนจังได้ศึกษาอยู่ ณ มหาวิทยาลัยนาลันทาเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนมีความรู้ถึง ๕๐ หมวด
ได้รับการอุปถัมภ์บำรุงเป็นอย่างดีจากท่านศีลภัทร์ ซึ่งเป็นอธิการบดี ทางมหาวิทยาลัยจัดอุปัฏฐากให้ ๒ คนคือ
อุบาสก ๑ คนและพราหมณ์ ๑ คน เป็นผู้รับใช้ เมื่อจะไปที่ใดก็ขี่ช้างที่มีกูบ(เตียงที่นั่งบนหลังช้าง) พร้อม
ภายในหมาวิทยาลัยมีพระสงฆ์นับหมื่นรูป แต่ที่ได้รับการบำรุงอย่างท่านเฮี่ยนจังมีเพียง ๑๐ รูป เท่านั้น
ในมหาวิทยาลัยมีอาสนะ (ห้องเรียน) ที่สอนธรรมและวิชาการต่างๆ วันหนึ่งๆ มีจำนวนนับ ๑๐๐ แห่ง
ผู้ศึกษาก็ขะมักเขม้นเล่าเรียน เหล่าพระสงฆ์ในสำนักก็เคร่งครัดต่อการปฏิบัติ
นับตั้งแต่สถาปนาอารามแห่งนี้มาเป็นเวลากว่า ๗๐๐ ปี ยังไม่เคยมีผู้ใดถูกกล่าวหาว่าประพฤติ
ละเมิดศีลธรรมแม้แต่รูปเดียว

พระเจ้าหรรษาวรรธนะมหาราช ทรงศรัทธาเลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก จึงโปรดให้หัวเมืองต่างๆกว่า ๑๐๐ เมือง
ทำการทะนุบำรุงอาราม คือในเมืองหนึ่งๆ ให้ ๒๐๐ ครอบครัวจัดส่งเครื่องอุปโภคบริโภค ทุกๆ วัน
รวมเป็นจำนวนหลายร้อยเจี๊ยะ ดังนั้นพระสงฆ์จึงไม่ต้องกังวลเรื่องจตุปัจจัย และสามารถศึกษาให้สำเร็จผลเป็นอย่างดี

พระถังซัมจั๋งยังได้เล่าเกี่ยวกับพฤติกรรมนักศึกษารุ่นพี่ๆ จะคอยช่วยเหลือดูแล แก้ไขปัญหา
ของนักศึกษารุ่นน้องเป็นอย่างดี หากนักศึกษารุ่นน้องเกิดความขัดข้องสงสัย ในด้านการเรียน
เพราะเวลาในห้องเรียนนั้นดูช่างสั้นเสียเหลือเกิน ไม่ค่อยจะเพียงพอที่จะมีเวลาเหลือให้ซักถามและแก้ปัญหาได้
แม้ในบางครั้งจะมีการขยายเวลาในการสอนแล้วก็ตาม ดังนั้นนักศึกษาที่สำเร็จไปจากมหาวิทยาลัยนาลันทา
จึงเป็นที่นิยมชมชื่น และเป็นที่เคารพของคนทั่วไป ไม่ว่าใครจะมีปัญหาอะไรหากแก้ไขไม่ได้
แต่พอมาถึงนาลันทา ปัญหานั้นก็จะหมดไปในทันที

ทั่นยาย
04-21-2009, 05:03 PM
http://www.aicc.org.in/new/hindi/images/nehru-gandhi.jpg
ท่านยะวาหะรา เนห์รู และท่านมหาตะมะ คานที ค่ะ

มหาวิทยาลัยนาลันทาในทัศนะของท่านเนห์รู นายกรัฐมนตรีอินเดีย

ท่านนายกฯเนห์รู กล่าวถึงมหาวิทยาลัยนาลันทา ในหนังสือของท่าน คือ Discovery of India
(พบถิ่นอินเดีย) ตอนหนึ่งว่า

"...นครกัศมีร์ก็ยังคงเป็นศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับศึกษาวิชาด้านพุทธและพราหมณ์
โดยใช้ภาษาสันสกฤตเป็นสื่ออยู่ตลอดมาเป็นเวลานาน อนึ่ง มหาวิทยาลัยทีสำคัญๆหลายแห่ง
ก็ยังเจริญรุ่งเรืองอยู่ เช่น มหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดและได้รับการยกย่องในเชิงความรู้
ทั่วประเทศอินเดีย การได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ถือกันว่าเป็นเครื่องหมายของผู้มีวัฒนธรรมสูง
การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนาลันทา มิใช่กระทำกันได้ง่ายๆ เพราะนักศึกษาที่จะเข้าเรียนต่อในสถาบันแห่งนี้
จะต้องผ่านการศึกษาขั้นที่ได้กำหนดไว้เสียก่อนมหาวิทยาลัยนาลันทาเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการศึกษา
ขั้นต่อจากชั้นบัณฑิตปรากฏว่ามีนักศึกษาจากจีน ญี่ปุ่น และทิเบต ไปศึกษาที่นั่น แม้จาก เกาหลี มองโกเลีย
และที่โบกขรา ( Bokhara ) ก็ว่ามีนักศึกษาไปกันเหมือนกัน
นอกจากวิชาการทางศาสนาและปรัชญา (ทั้งของพุทธและพราหมณ์) แล้ว ยังมีการสอนวิชาการทางโลก
และวิชาที่จำเป็นแก่การทำมาหาเลี้ยงชีพ เช่น ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม แพทยศาสตร์ เกษตรศาสตร์
ตลอดจนมีแผนกเลี้ยงวัวรีดนมด้วย การประชุมโต้วาที และอภิปรายอย่างเผ็ดร้อนในปัญหาวิชาความรู้ต่างๆ
ก็เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งในชีวิตของนักศึกษาที่นี่ นักศึกษาจากสำนักนาลันทาได้มีส่วนร่วมด้วยเป็นอย่างมาก
ในการนำวัฒนธรรมของอินเดียไปเผยแผ่ในต่างประเทศนอกจากมหาวิทยาลัยนาลันทา
ก็มีมหาวิทยาลัยวิกรมศิลา ซึ่งอยู่ใกล้ๆ เมืองที่ในปัจจุบันมีชื่อว่า ภคัลปุระ( Bhagalpur ) ในรัฐพิหาร
และมี" มหาวิทยาลัยวัลลภี"ในแคว้นกาฐียาวาท อนึ่ง ในสมัยราชวงศ์คุปตะ มหาวิทยาลัยอุชชยินี
ก็มีชื่อเสียงเหมือนกัน ส่วนในภาคใต้มี "มหาวิทยาลัยอมราวดี ”

ทั่นยาย
04-24-2009, 08:23 AM
http://farm1.static.flickr.com/197/493574345_b84a68a1f6.jpg?v=0
ภายในมหาวิทยาลัยนาลันทาใหญ่โตสมคำรำลือค่ะ

ความเสื่อมถอยของนาลันทา

มูลเหตุแห่งการเสื่อมของมหาวิทยาลัย มีหลายกรณี จากข้อมูลตามทีมีการบันทึกไว้คือ
จากบันทึกของ หลวงจีนอี้จิงซึ่งจาริกมาในระยะประมาณ พ.ศ. ๑๒๒๓ ได้มาศึกษาที่นาลันทาและได้
เขียนบันทึกเล่าไว้ว่า มหาวิทยาลัยนาลันทารุ่งเรืองสืบมาช้านานจนถึงสมัยราชวงศ์ปาละ (พ.ศ. ๑๓๐๓-๑๖๘๕)
กษัตริย์ราชวงศ์นี้ก็ทรงอุปถัมภ์มหาวิหารแห่งนี้ เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ โดยเฉพาะโอทันตปุระวิหาร
ที่ได้ทรงสถาปนาขึ้นเป็นมหาวิหารแห่งใหม่ อย่างไรก็ดี ในระยะหลัง ๆ ศูนย์กลาง ทางพระพุทธศาสนา
หลายแห่ง ตกอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม แม้ในนครสาวัตถี เมืองปยาคะ และที่อื่นๆ วัดในทางพระพุทธศาสนา
ได้ลดจำนวนน้อยลง แต่ในขณะเดียวกัน เทวาลัย และสถานบูชา ของพวกต่างศาสนา กลับมีจำนวนเพิ่มขึ้น
มีแต่ในแคว้นมคธ ภายใต้การอุปถัมภ์ บำรุงของกษัตริย์ ราชวงศ์ปาละ แห่งเบงกอล และพิหารเท่านั้น
ที่พระพุทธศาสนา ได้เจริญรุ่งเรือง ต่อมาอีก 2-3 ศตวรรษ ก็ถึงยุคของความเสื่อมโทรมลงของพระพุทธศาสนา
ทั้งในนิกายเถรวาท และมหายานมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อได้มีการเกิดขึ้น ของนิกายตันตระ ซึ่งในนิกายนี้
ได้เอาหลักคำสอนมาจากการผสมผสาน ของคำสอนในลัทธิโยคะ กับวิธีการบูชาบวงสรวง แบบต่างๆ
หลายแบบ ในระยะหลังมหาวิทยาลัยนาลันทาเองก็ได้เบนเข็มทิศหันไปสนใจการศึกษาพุทธศาสนาแบบตันตระ
ที่มีแต่ความย่อหย่อนและหลงเพลินทางกามารมณ์ จึงทำให้พุทธศาสนาถูกกลืนไปทางศาสนฮินดูมากขึ้น
อันเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสื่อมถอยของพระพุทธศาสนาในนาลันทา
อดีตผู้อำนวยการสถาบันบาลี นวนาลันทา คือ ดร. เจกัสสปมหาเถระ สังฆนายกแห่งสงฆ์อินเดียกล่าวไว้ว่า
มูลเหตุของการเสื่อมของมหาวิทยาลัย มีหลายกรณี

มูลเหตุแรก เนื่องจากในสมัยของกษัตริย์องค์ก่อนที่คอยอุปถัมภ์นาลันทาอยู่ พวกศาสนาพราหมณ์
จึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้แก่พระพุทธศาสนา ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนกษัตริย์ผู้อุปถัมภ์นาลันทา
กษัตริย์พระองค์ใหม่เป็นผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ จึงได้โอกาสที่จะฟื้นฟูศาสนาของตน พวกพราหมณ์
ซึ่งเป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ ของศาสนาพราหมณ์ เช่นท่านกุมาริละ และ ศังกราจารย์ ได้ทำให้
วงการพระพุทธศาสนา สั่นสะเทือน โดยงดให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยนาลันทา
ดังนั้นการศึกษาพระพุทธศาสนาในนาลันทาจึงเริ่มเสื่อมถอยลงไปจากอินเดีย

มูลเหตุที่สอง คือ ต่อมาอำนาจทางการเมืองของพวกพราหมณ์และฮินดูอ่อนลง เพราะพวกมุสลิม
เข้ารุกรานอินเดีย โดยพุ่งเป้ามุ่งทำลายศาสนาพื้นเมืองคือศาสนาฮินดูก่อน จากนั้นจึงมุ่งมาที่
มหาวิทยาลัยนาลันทาอันเป็นเป้าหมายของการล้มล้างถัดมา

ทั่นยาย
04-24-2009, 02:55 PM
http://www.holidayiq.com/uploadimages/Nalanda-3791_1.JPG
มุมนี้จะเห็นถึงภายในที่ใหญ่โตมั่นคงแข็งแรงของมหาวิทยาลัยนาลันทา
จนถูกพวกมุสลิมมองว่าเป็นป้อมปราการค่ะ

ยุคล่มสลายของนาลันทา

ในประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่า ในช่วงเวลาแห่งความผันผวนทางการเมืองนั้น มหาวิหารนาลันทา
ได้ถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของพวกศาสนิกอิสลาม ซึ่งเป็นคู่แข่งทางความเชื่อในขณะนั้น พ.ศ. ๑๗๔๒ (ค.ศ. ๑๑๙๙)
กองทัพมุสลิมเติรกส์ โดยโมฮัมหมัด บักเตียร์ ได้ยกกองทหารมุสลิม เข้ามารุกรานกษัตริย์แห่งชมพูทวีป
ฝ่ายเหนือ จนมีชัยชนะและเข้าครอบครองดินแดนแทบนั้นมาโดยลำดับ กองทัพมุสลิมเติรกส์เมื่อรบชนะ
และเข้ายึดครองก็จะสังหารผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนา เข้าทำร้ายเข่นฆ่าพระสงฆ์จนเสียชีวิตลงเป็นจำนวนมาก
และเผาผลาญทำลายวัดและสิ่งก่อสร้างต่างๆอันได้แก่ ปูชนียสถานในพุทธศาสนาแทบทั้งหมด
ตามบันทึกของนักประวัติศาสตร์ชาวมุสลิมเล่าว่า ที่นาลันทา พระภิกษุถูกสังหารแทบหมดสิ้น
และมหาวิทยาลัยนาลันทาก็ได้ถึงความพินาศสูญสิ้นลงแต่บัดนั้นมา อันเป็นผลให้ปัจจุบัน นาลันทามหาวิหาร
อันลื่อชื่อจึงเหลือแต่ซากปรักหักพัง ที่ยังคงทิ้งร่องรอยของความยิ่งใหญ่ในอดีตไว้อย่างเด่นชัด
ใครไปเยี่ยมเยือนนาลันทาวันนี้ จะเห็นร่องรอยของการล่มสลายที่เหลือไว้เป็นอนุสรณ์แก่อนุชนคนรุ่นหลังเท่านั้น

http://www.theodora.com/wfb/photos/india/nalanda_university_ancient_ruins_bihar_india_photo.jpg
ร่องรอยอันยิ่งใหญ่งดงามของนาลันทา ร่มโพธิ์แห่งพุทธศาสนาต้นแรกค่ะ

ท่านมหาเถระ เจกัสสปะ เล่าว่า นาลันทามีเงาสัญญาณแห่งความล่มสลาย ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๑๗๒ (ค.ศ. ๖๒๙)
ที่พวกมุสลิมเข้ามารุกรานแผ่นดินอินเดีย เพื่อขยายพื้นที่ ขยายอำนาจยึดครองชมพูทวีป
จนมาถึงนาลันทาใน พ.ศ. ๑๗๖๖ (ค.ศ. ๑๒๒๓) ผู้ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ของพวกมุสลิมชื่อ ภัขติยาร์ ขิลจี
ได้มอบหมายให้ลูกชาย ชื่อ อิคเทีย ขิลจี คุมพลทหารม้า ๒๐๐ เดินทัพมาจนถึงนาลันทา
ในขณะนั้นมหาวิทยาลัยนาลันทามีสภาพเหมือนร่วงโรยเหมือนบัวแล้งน้ำ เพราะนาลันทาและพุทธศาสนา
เริ่มเสื่อมโทรมลงมาก แต่ก็ยังมีพระภิกษุสามเณรที่มาศึกษาพักอาศัยกันอยู่มากพอสมควร
เมื่อพวกมุสลิมเข้ามาถึงนาลันทาก็ประกาศขับไล่ พระภิกษุสามเณรที่อยู่ที่นี่ ให้ออกไปจากที่นี่เสีย
หากใครไม่ออกก็ถูกฆ่าตายซึ่งเป็นการฆ่าที่โหดเหี้ยมทารุณ กล่าวคือ เอาขวานฟันสะพายแล่งบ้าง
หรือฟันคอจนขาดบ้าง ตามบันทึกกล่าวว่า พวกมุสลิมที่บุกโจมตีนาลันทา ต่างแปลกใจว่า
“ ป้อมปราการที่นี่ ช่างน่าแปลกน่าแปลกนัก นักรบทุกคน โกนหัวโล้น นุ่งห่มสีเหลือง ไม่มีอาวุธใดๆ
เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ ไม่ลุกหนี ไม่ต่อสู้ ขนาดโดนฟันคอขาด คนแล้วคนเล่า ก็ยังนั่งกันอยู่เฉยๆ ไม่ร้องขอชีวิตไม่โอดครวญ ”
แต่กระนั้นก็ยัง มีนักศึกษาหลายคนที่ไม่ยอมหนีออกไป พวกนักรบมุสลิมจึงใช้วิธีใหม่โดยการเผาทั้งเป็น
โดยการเอาไฟสุมตามประตูทางเข้าออก แล้วจุดเผากุฏิเพื่อให้ไฟคลอกผู้ที่หลบอยู่ในนั้นให้ตายในกองไฟ
ซึ่งนับว่าเป็นวิธีที่ได้ผลสมตามตั้งใจ คือนักรบมุสลิมสามารถ เผาพระภิกษุตายคาผ้าเหลืองไปได้หลายร้อยองค์ทีเดียว
จากนั้นก็ลงมือทำลายกุฏิและสังฆารามทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ศึกษา หอประชุม เทวรูป พุทธรูป และตำราหลายร้อยหลายพันเล่ม ถูกขนออกมาเผา เรียกว่าเผาทุกอย่างที่ขวางหน้า สิ่งก่อสร้างถูกทำลาย เผาทิ้ง
หอสมุดที่เก็บคำภีร์ทางศาสนาถูกเผาทั้งหมด กองทัพมุสลิมที่บุกมา หมายจะเผาทำลายไม่ให้เหลือ
พุทธศาสนาไว้ในแผ่นดินอีกต่อไป มหาวิทยาลัยนาลันทาถูกเผาทำลายอยู่นานถึง ๖ เดือน จึงสิ้นซาก
ท่านตารนาถ ผู้เขียนชีวประวัติของท่านพระอาจารย์ศานติเทวะ พระนิสิตรูปหนึ่งในมหาวิทยาลัยนาลันทา
กล่าวว่า "พวกมุสลิมได้สร้างความพินาศ ย่อยยับ ให้แก่นาลันทา โดยฆ่าพระภิกษุ อย่างเหี้ยมเกรียม
บุกรุกทำลาย จุดไฟเผา จนนาลันทา กลายสภาพ เป็นเถ้าถ่านไปในที่สุด"

http://farm1.static.flickr.com/241/452290290_273cdc4464.jpg?v=0
ส่วนหนึ่งของซากมหาวิทยาลัยนาลันทาที่หลงเหลืออยู่ในวันนี้ค่ะ

มหาวิทยาลัยนาลันทากับพระอาจารย์ศานติเทวะ

ในยุคที่มหาวิทยาลัยนาลันทารุ่งเรืองนั้น ท่านศานติเทวะก็เป็นพระนิสิตรูปหนึ่งในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
ท่านมีชีวิตอยู่ในราวคริสต์ศตวรรษที่แปด จากหลักฐานชีวประวัติของท่าน
ซึ่งเขียนโดยพระอาจารย์ชาวทิเบตตารนาถ ท่านศานติเทวะมีกำเนิดในราชสกุลและมีตำแหน่ง
จะต้องสืบทอดราชบัลลังก์อย่างไรก็ตาม เมื่อใกล้จะถึงเวลาที่ท่านจะขึ้นครองราชย์นั้น
พระโพธิสัตว์มัญชุศรีกับตาราได้มาปรากฏพระองค์อยู่ในความฝันของท่าน ทรงแนะนำไม่ให้ท่านขึ้นครองราชย์
แต่ให้ไปปฏิบัติสมาธิกรรมฐานแทน ท่านจึงทำเช่นนั้นและก็ได้สำเร็จสมาธิขั้นสูงต่างๆ หลังจากนั้นท่านก็
เดินทางมาศึกษาที่นาลันทา ซึ่งท่านเป็นพระนิสิตรุ่นหลังพระภิกษุเฮี่ยนจัง (พระถังซัมจั๋ง)ประมาณหนึ่งร้อยปี

ครั้งเมื่อมหาวิทยาลัยนาลันทาถูกทำลายลงโดยน้ำมือของผู้บุกรุกชาวเตอร์ ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม
ในปี ค.ศ. 1193 ( ประมาณ พ.ศ. 1736) การทำลายนี้รวมไปถึงการทำลายศูนย์กลางการเรียนรู้อื่นๆ
อีกหลายแห่งในอินเดีย อันเป็นสัญญาณแสดงถึงความเสื่อมถอยของการเป็นศูนย์กลางทางปัญญาของอินเดีย
ดังนั้นจากเวลาที่ก่อตั้งจนถึงที่ถูกทำลาย มหาวิทยาลัยนาลันทาก็มีอายุประมาณเจ็ดร้อยปี
อย่างไรก็ตามก่อนหน้าที่มหาวิทยาลัยนาลันทาจะถูกทำลายลงนั้น ได้มีความพยายามศึกษาคำสอน
กับแปลพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม ตลอดจนตำรับตำราภาษาสันสกฤตที่มีอยู่มาเป็นภาษาทิเบต
ซึ่งความพยายามนี้ทำไปได้อย่างสมบูรณ์มาก จนกล่าวได้ว่า
คัมภีร์สำคัญๆทั้งหมดของพระพุทธศาสนามีแปลไว้เป็นภาษาทิเบตจนหมดและคัมภีร์เหล่านี้ก็ได้เก็บรักษาไว้
จนถึงปัจจุบัน นับเป็นโชคดียิ่งของพระพุทธศาสนา และของเราในยุคหลังนี้เป็นอย่างยิ่ง
เพราะหลังจากที่พระพุทธศาสนาเสื่อมไปในอินเดียแล้ว คัมภีร์ที่เป็นภาษาสันสกฤตก็สูญหายไปเรื่อยๆ
หลงเหลืออยู่ไม่มากนัก

http://www.koffii.com/ProcessImage.aspx?FilePath=Profiles/Besanto/images/Nalanda-University27279.jpg&size=4
ตำนานของนาลันทาที่เหลือไว้ให้เล่าขานถึงความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาสืบไปค่ะ

หอสมุดของนาลันทา

เนื่องจากมหาวิทยาลัยนาลันทา มีฐานะเป็นศูนย์รวมด้านการศึกษา จึงมีหอสมุดที่ใหญ่โต
และมีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีบันทึกว่าเมื่อหอสมุดถูกเผาทำลาย จึงไหม้อยู่ 3 เดือนจึงสามารถ
เผาคำภีร์ต่างๆที่เก็บไว้ในนั้นจนหมด พระบางองค์ที่หนีรอดมาได้ก็เก็บเอาคำภีร์บางส่วนหนีออกมาด้วย
แต่ก็เป็นส่วนน้อย นับจากนั้นเมื่อนาลันทาถูกเผาทำลายย่อยยับลง ศาสนาพุทธก็ได้มลายหายไปจาก
ผืนแผ่นดินอินเดีย ที่ซึ่งให้กำเนิดพุทธศาสนานี้แก่ชาวโลก และไม่เคยกลับมารุ่งเรืองได้อีกตราบจนปัจจุบัน

ทั่นยาย
04-27-2009, 02:28 PM
http://www.geocities.com/awccds/ambedkar.jpg

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพุทธศาสนาในอินเดีย

ดร. เอมเบดการ์ (Dr.Ambedkar) กล่าวไว้ว่า
“ พวกมุสลิมได้รุกรานอินเดีย เริ่มต้นในปี พ.ศ.๑๕๔๓ (ค.ศ.๑๐๐๑) และถึงยุคสุดท้ายของการรุกราน
จนได้ครอบครองอินเดียภาคใต้ในปี พ.ศ.๑๘๓๙(ค.ศ.๑๒๙๖) เมื่ออัลลูดิน ขิลจี (Allaudin Khilji)
รบชนะอาณาจักรเทวคีรี( Devagiri ปัจจุบันอยู่ห่างจากเมืองออรังคบาด รัฐมหารัชตะ ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร)
ระหว่างที่มุสลิมได้ชัยชนะ มีเพียงพวกเจ้านครที่เป็นฮินดูเท่านั้นที่ต่อต้านไว้ได้และบางแห่งอิสลามก็ครอบครองไม่ได้
การรุกรานใช้ระยะเวลานานถึง ๓๐๐ ปี ศาสนาพราหมณ์ได้ถูกทำลายเป็นอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่า
ยังได้รับความปราณีอยู่บ้าง (เพราะกษัตริย์ที่เป็นฮินดูยังสามารถต่อต้านไว้ได้) แต่พระพุทธศาสนา
ไม่ได้รับการปราณีเลย เพราะพุทธศาสนาในเวลานั้นเปรียบเหมือนเด็กกำพร้า ถูกทิ้งไว้กลางสายลมหนาว
ที่หนาวเหน็บ และในที่สุดก็ถูกผู้ชนะ(ทั้งอิสลามและฮินดู) เผาทำลายจนหมดเกลี้ยง เพราะพวกอิสลาม
ฆ่าพระสงฆ์ไม่มีเหลือสักรูป

ประวัติโดยย่อ ของดร.เอมเบดการ์

ดร.เอมเบดการ์ (Dr.B.R. Ambedkar) เกิดเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๓๔ (๑๘๙๑)
ถึงอสัญกรรมเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๙ (๑๙๕๖)
ชื่อเต็มของท่านคือ Dr. Babasaheb Bhimrao Ramji Ambedkar (บาบาสาเหบ พิมเรา รามจิ อัมเบดการ์)
ดร.เอมเบดการ์ เป็นคนอินเดีย เกิดมาในวรรณะจันฑาลจึงมีฐานะในสังคมอันต่ำต้อยไร้เกียรติ แต่ท่านมีคุณูประการ
ต่อ พระพุทธศาสนาอย่างมากมาย โดยท่านเริ่มเกิดความสนใจมาจากการอ่านพุทธประวัติ ท่านศึกษาแล้วพบว่า
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่มีข้อรังเกียจในเรื่องวรรณะ ไม่ปิดกั้นการศึกษาพระธรรม ให้ความเสมอภาค
และภราดรภาพแก่คนทุกชั้น ทำให้ท่านเกิดแรงศรัทธาอย่างแรงกล้า ได้กล่าวสดุดีพระพุทธศาสนาไว้
ในหนังสือของท่านหลายเล่ม เช่น "พุทธธรรม, ลักษณะพิเศษของพระพุทธศาสนา” และคำปาฐกถาอื่นๆ
ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในภายหลัง เช่น "การที่พระพุทธศาสนาหมดไปจากอินเดีย" เป็นต้น
ท่านได้กล่าวว่า
"ข้าพเจ้าเกิดมาจากตระกูลที่นับถือศาสนาฮินดู แต่ข้าพเจ้าจะขอตายในฐานะพุทธศาสนิกชน"

ทั่นยาย
04-27-2009, 03:20 PM
ตามรอยนาลันทา

มหาวิทยาลัยนาลันทานี้ เจริญอยู่ได้ประมาณ 800 ปี จึงเริ่มเสื่อมสลายลง สาเหตุที่ทำให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้
กลับกลายเป็นซากโบราณสถาน ท่านตารนารถ ผู้ซึ่งได้เห็นเหตุการณ์ และได้บันทึกไว้ว่า
ในสมัยที่ท่านได้มาอยู่ที่นาลันทา ในปี พ.ศ. ๑๗๔๒ พวกมุสลิมเติกร์ ได้บุกรุกเข้ามาฆ่าและทำลาย
และได้เข้าครอบครองชมพูทวีปหมดแล้ว ในปี พ.ศ. ๑๗๖๖ ก็ได้เริ่มทำลายวัดวาอารามต่างๆ เป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยนาลันทานั้น ได้ถูกทำลายมากกว่าสถานที่แห่งอื่นๆ ในมคธประเทศ
และหลังจากนั้นมาอีก ๑๒ ปีเศษ ก็ได้ถูกพวกเดียรถีย์เผาซ้ำอีกทีเป็นวาระที่สอง

http://www.indiatravelite.com/Bihar/nalanda.jpg
ซากของนาลันทาที่โดนเผาทำลายถึงสองครั้งสองคราค่ะ

แต่นั้นมา นาลันทา จึงหลับไหลอยู่ใต้ดินอย่างสงบมา ๖๒๔ ปี จนถึงยุคที่อังกฤษเข้าปกครองอินเดีย
ได้มีนักโบราณคดีจำนวนมากเข้ามาทำการสำรวจขุดค้นพุทธสถานต่างๆ ในอินเดียโดยอาศัย
ตำราของพระถังซัมจั๋งที่ท่านบันทึกได้ไว้ คนแรกที่มาสำรวจ คือ ท่าน ฮามินตัน ( Lord Haminton)
ใน พ.ศ. ๒๓๕๘ (ค.ศ. ๑๘๔๒) ได้พยายามค้นสืบเสาะหาตำแหน่งแห่งที่ตามตำรา จึงได้ทำการขุดค้นใหญ่
เพื่อค้นหาซากมหาวิทยาลัยถึง ๒ ครั้ง เริ่มแรกจากการขุดค้น พบซากนาลันทาตั้งอยู่ใกล้หมู่บ้านบาร์กอน
ที่นี่พบเพียงพระพุทธรูปและเทวรูปเพียง ๒ องค์เท่านั้น ซึ่งสถานที่พบนั้นอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัย
ไปเพียง ๑ กิโลเมตรเท่านั้น แต่ในที่สุดการขุดค้นต้องยุติลง เพราะคณะขุดค้นต้องเดินทางกลับอังกฤษ


http://www.nalanda.nitc.ac.in/images/nh3.jpg

นาลันทาหลังจากหลับใหลใต้พิภพมานานก็ค่อยๆเผยโฉมอันงดงามทีละน้อยค่ะ

http://www.cwrl.utexas.edu/~bump/images/arch/Nalanda/nalanda-01.jpg

และแล้วนาลันทาถูกปล่อยทิ้งไว้ให้เดียวดายอีกครั้ง จนล่วงมาได้ ๔๕ ปี ใน พ.ศ. ๒๔๓๐ (ค.ศ. ๑๘๘๗)
กรมโบราณคดีจึงส่ง เซอร์ คันนิ่งแฮม ชาวอังกฤษ ผู้ชำนาญด้านโบราณคดี ให้มาทำการสำรวจค้นหา
นาลันทาอีกครั้ง และก็ได้พบกับโฉมหน้าของมหาวิทยาลัยนาลันทา ตามที่บันทึกกล่าวถึง
ซึ่งในขณะนั้นนาลันทาเป็นเพียงกองดินสูงเท่านั้น คันนิ่งแฮม จึงได้เข้าขุดค้นกันใหม่
ตามหลักวิชาการโบราณคดี คันนิ่งแฮม ได้ทำแผนที่ ที่ตั้งของวัดทุกๆ วัด พร้อมกับที่ตั้งของพระเจดีย์
ไว้อย่างละเอียด เพื่อช่วยชี้นำให้กับคณะนักขุดทั้งหลาย อย่างเช่น นายเอเอ็ม บรอดเล่ย์ และ ดร. สปูนเนอร์ เป็นต้น
คณะขุดค้นครั้งนี้ประสบผลสำเร็จสมใจทุกประการ คือได้พบซากบริเวณของนาลันทามหาวิหาร
ที่เป็นซากกองอิฐขนาดใหญ่ ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นเมืองเก่าเมืองหนึ่ง เลยทีเดียว
เพราะมีแนวรั้วและประตูเข้าออกเป็นป้อมปราการ มีอาคารที่สร้างด้วยอิฐนำมาเรียงก่อขึ้นเป็นชั้น ๆมากมาย
หากใครได้ไปนาลันทาตอนนี้จะได้เห็นซากบริเวณอันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย และที่อยู่ของนักศึกษา
มีศาลา มีหอประชุม เป็นตึกใหญ่ๆ มีซากพระเจดีย์และอื่น ๆ ในเนื้อที่ ๘๐ ไร่เศษ ซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลจาก
เมืองราชคฤห์ ๑๖ กิโลเมตร ในปัจจุบัน

(ภาพการขุดค้นหานาลันทาสองภาพด้านล่างเป็นภาพที่ 1และ 2 ค่ะ )

ทั่นยาย
04-27-2009, 04:06 PM
นาลันทาฟื้นคืนชีพครั้ง

จากการขุดค้นพบว่าบริเวณกลางมหาวิทยาลัย มีสถูปซึ่งสูงเกือบ ๒๐๐ ฟุต มีการขุดพบแผ่นโลหะทนไฟ
มีรอยถูกไฟเผา ยังมีรอยสลักพระพุทธอยู่ในแผ่นโลหะนี้ ภายในองค์สถูปบางองค์ และในอาคารบางแห่ง
ก็ยังขุดพบรูปพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ที่ทำจากโลหะ และพวกเครื่องปั้นต่างๆ ที่ใช้ในสังฆาราม
เช่น ในสังฆารามที่ ๕และ๖ ได้ค้นพบเตาไฟก่อด้วยแผ่นอิฐขนาดใหญ่ น่าจะเป็นเตาไฟเอาไว้ใช้สำหรับ
ต้มย้อมสบงจีวรของภิกษุสงฆ์ เพราะภิกษุสงฆ์ในยุคสมัยนั้นต้องเย็บจีวรใช้กันเอง
นอกจากนี้ยังมีเจดีย์สถานอันเป็นที่เกิดและที่นิพพานของพระสารีบุตรพระอัครสาวกเบื้องขวา
และบริเวณอันเคยเป็นที่ตั้งของวัดปาวาริกัมพวัน ซึ่งเคยเป็นสถานที่ประทับของพระพุทธองค์ด้วย
หากจะนับตั้งแต่วันที่คันนิ่งแฮม ค้นพบมาจนถึงวันนี้รวมเป็นเวลา ๑๒๗ ปีเศษ ร่องรอยของนาลันทา
ที่ถูกขุดค้นพบนั้นชี้ชัดถึงความยิ่งใหญ่ของนาลันทาในอดีต
ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๕ อินเดียเริ่มตื่นตัว และตระหนักถึงบทบาทความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา
ในการสร้างสรรค์อารยธรรมของชมพูทวีป รวมทั้งบทบาทของมหาวิทยาลัยนาลันทานี้ในอดีตกาล
ดังนั้นใน พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงได้มีการจัดตั้งสถาบันบาลีนาลันทาขึ้นใหม่ มีชื่อว่า “ นวนาลันทามหาวิหาร ”
ถือว่าเป็นนาลันทามหาวิหารแห่งใหม่ เพื่อเป็นรำลึกและเชิดชูเกียรติแห่งพระพุทธศาสนา
พร้อมทั้งเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่นาลันทามหาวิหาร มหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ในอดีตกาล

แม้ว่านาลันทาจะล่มสลายลง แต่ก็หาใช่ว่าพุทธศาสนาจะล่มสลายตามนาลันทาไปก็หาไม่
พุทธศาสนากลับไปเจริญรุ่งเรืองขึ้นที่ อเจนต้า แทน ลองแกะรอยติดตามไปดูกันนะคะว่า
พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร วิธีไหน และใครเป็นผู้ปลูกต้นกล้าแห่งพุทธศาสนาที่ อเจนต้า ค่ะ

http://www.umass.edu/fac/asian/PhotoGallery/images/6%20Ajanta%20Ellora%20.jpg
ถ้ำอชันต้าถ้ำหินวิจิตรอลังการ ที่สองศาสนาทั้งพุทธและพราหมณ์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขค่ะ

ทั่นยาย
04-27-2009, 08:45 PM
ข้อมูลเสริมเกี่ยวกับนาลันทาค่ะ

หากใครไปเยี่ยมเยือน นาลันทาในยุคปัจจุบัน ท่านจะได้พบกับ

1) สารีจักร
หมู่บ้าน สารีจักร เป็นบ้านเกิด และเป็นที่ ดับขันธนิพพาน ของพระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวา.

2) มหาวิทยาลัยนาลันทา
ตั้งอยู่ที่ ชานเมืองราชคฤห์ อยู่ห่างจากกรุงราชคฤห์ ประมาณ 1 โยชน์ หรือ 16 กม.
นาลันทารุ่งเรืองมาก ในสมัยพุทธกาล

3) สังฆารามนาลันทา
สังฆาราม อยู่ทางด้านตะวันออก ของมหาวิทยาลัยนาลันทา ได้พบเห็นหมู่เจดีย์ และสถูปต่างๆ
ที่บรรจุพระอัฐธาตุ ของพระสาวกจำนวนมาก

4) หลวงพ่อดำหลวงพ่อดำ
เป็นพระพุทธรูปหินดำ แกะสลัก ขนาดใหญ่ สูงเกือบ 3 เมตร. ที่เป็น พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์
ที่เหลืออยู่เพียงองค์เดียว ที่รอดพ้น จากการถูกทำลาย ของมุสลิมได้

5) พิพิธภัณฑ์นาลันทา
พิพิธภัณฑ์นาลันทา เป็นอาคารสมัยใหม่ ที่รัฐบาลอินเดีย ได้สร้างขึ้น เพื่อการเก็บรวบรวม
และแสดงศิลป วัตถุต่างๆ มากมาย ที่ขุดค้นพบจาก มหาวิทยาลัยนาลันทา, ส่วนมากได้แก่
พระพุทธรูปหินแกะสลัก และพระโพธิสัตว์ ปางต่างๆ เช่น ปัทมปราณี, วัชรปราณี, อวโลกิเตศวร, และตารา เป็นต้น.

6) นวนาลันทามหาวิหาร
นวนาลันทามหาวิหาร เป็นนาลันทาใหม่ อยู่ติดกับวัดไทยนาลันทา เป็นสถานศึกษา ภาษาบาลี
เปิดใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2494 โดยหลวงพ่อ เจกัสสปะ ที่มอบที่ดินพร้อมตัวอาคารให้แก่คณะสงฆ์ไทยช่วยดูแล
และมีเจ้าคุณ พระศรีสุธรรมมุนี (พระมหาทองยอด ภูริปาโล) ดำเนินการก่อสร้าง ได้เปิดเรียนตั้งแต่ พ.ศ. 2517
ขณะนี้ มีทั้งพระไทย ลาว พม่า ลังกา เขมร อินเดีย เข้ามาศึกษา โดยหวังจะฟื้นฟูนาลันทา ให้เป็นแหล่งศึกษา
พระพุทธศาสนา ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็คงยากมาก เพราะไม่มีพระมหากษัตริย์ เป็นองค์อุปถัมภ์ ดังแต่ก่อน
แต่การริเริ่มนี้ ก็นับว่าดีมากแล้ว
7) สถูปนิพพานของพระสารีบุตร


แหล่งข้อมูลอ้างอิงค่ะ

นาลันทา เมืองพระอัครสาวก โดย พระมหาสุวิทย์ ธัมมสิริ
**************************************
นาลันทา โดย...พระเทพโพธิวิเทศ (ทองยอด ภูลิปาโล , ป.ธ.๙ , Ph.D.)
******************************************
คัดจากหนังสือ"สู่แดนพระพุทธองค์ อินเดีย-เนปาล" โดย พระราชรัตนรังษี (ว.ป.วีรยุทโธ)
********************************************
ข้อมูลจาก Mid-Day Mumbai โดยเว็บไซท์ผู้จัดการออนไลน์
*********************************************
DMC.TV Dhumma media channel
*********************************************

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลทั้งหมดค่ะ ขออนุโมทนาสาธุในข้อมูลอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งค่ะ

ทั่นยาย
04-28-2009, 10:45 PM
http://img52.imageshack.us/img52/1843/image000143se.jpg
พุทธบูบา ธรรมบูชา สังฆบูชา
พุทธังสาระนังคัจฉามิ ธรรมมังสาระนังคัจฉามิ สังฆังสาระนังคัจฉามิ

ภาพนี้ถ่ายที่บริเวณสถูปเจดีย์องค์ใหญ่ที่นาลันทาค่ะ มีแสงสะท้อนรุ้งพรายที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นอย่างที่เห็นในภาพค่ะ
บางคนเห็นแล้วอาจจะคิดว่าแสงสีรุ้งเลื่อมพรายที่เห็นนั้นน่าจะเป็นเพียงแสงแดดที่สะท้อนกับกล้องอย่างที่เคยเห็นทั่วๆไป
แต่โดยความเชื่อส่วนตัวทั่นยายนั้นพอเห็นภาพนี้แล้วได้พิจารณาดูสักครู่ก็เกิดอาการขนลุกเลยค่ะ
เพราะแสงรุ้งเลื่อมพรายที่เห็นในภาพนี้ทำให้ทั่นยายเชื่อว่าน่าจะเป็นแสงฉัพพรรณรังสีที่แผ่ออกเป็นปริมณฑล
คือเป็นรัศมีวงกลมอย่างที่เห็นเป็นแนวเส้นโค้งในภาพค่ะ ขอย้ำว่าเป็นความเชื่อส่วนตัวของทั่นยายนะคะ
ภาพด้านล่างนี้เปรียบเทียบให้เห็นสถูปเจดีย์ในมุมที่ใกล้เคียงกันค่ะ

ทั่นยาย
06-10-2009, 07:56 AM
สวัสดีค่ะญาติธรรมทุกท่าน

วันนี้ได้อ่านเจอเรื่องราวดีๆมีประโยชน์ต่อผู้สนใจใฝ่ในธรรมอันจะก่อให้เกิด
ศรัทธามุ่งมั่นไม่ท้อถอยในการปฎิภาวนาค่ะ จึงขออนุญาตินำมาแบ่งกันอ่านปันกันรู้
ไว้ ณ โอกาสนี้นะคะ

http://www.buddhismthailand.com/gallery/bua/b1.jpg
ขอน้อมกราบนมัสการหลวงตามหาบัวเจ้าค่ะ

เมื่อหลวงตามหาบัวไปโปรดพ่อในนรก...

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์จริงของคุณนุ่นที่หลายคนอาจจะไม่เชื่อ
แต่ลองอ่านให้จบท่านอาจได้ข้อคิด อะไรหลายอย่างจากเรื่องนี้ เล่าที่มาของนุ่น
บ้านของนุ่นอยู่ในกรุงเทพฯ ครอบครัวนุ่นจัดได้ว่าครอบครัวนุ่นมีฐานะครอบครัวหนึ่งเลยก็ว่าได้
แม่และน้าของนุ่นเป็นพวกชอบเข้าวัดทำบุญมาก โดยเฉพาะวัดป่าบ้านตาด และสวนแสงธรรม
ตั้งแต่มีโครงการณ์ช่วยชาติ ของหลวงตาบัว เข้าไปช่วยงานจนแทบจะเรียกว่าเป็นกิจกรรมหลักของชีวิตทีเดียว
ส่วน ตัวพ่อและนุ่น แทบไม่เคยเข้าวัดเลย พ่อเป็นพวกติดเหล้า แต่ก็รักลูกมากจึงไม่ได้ไปกินเหล้านอกบ้าน
แต่กินในบ้านเพื่อจะได้อยู่กับลูก และด้วยความ สุดขั้วมาเจอกันทำให้พ่อและแม่นุ่นมีปากเสียงกันเป็นประจำ
โดยพ่อก็จะต่อว่าแม่และลามไปถึงหลวงตาบัวถึงขนาดเรียกหลวงตาบัวว่า อีตาบัว นุ่นเองนอกจากจะสนิทกับพ่อ
มากกว่าแม่แล้วยังเห็นว่า แม่เอาแต่ทำบุญไม่สนใจพ่อและนุ่นเลย จึงเข้ากับพ่อเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทุกข์สุดในชีวิต

และด้วยการใช้ชีวิตอย่างที่กินเหล้า-สูบบุหรี่จัด ทำให้มะเร็งคร่าชีวิตพ่อไปก่อนเวลาอันควร
นั่นเป็นเหตุให้นุ่นเป็นทุกข์ ทุกข์ที่สุดในชีวิตของนุ่น แม่พยายามหาเวลามาอยู่กับนุ่นมากขึ้น
แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากด้วยความคิดถึงพ่อทุกวันนุ่นต้องตื่นมาใสบาตรพระหน้าบ้าน เพื่ออุทิศให้พ่อ

จนมาวันหนึ่งแม่จึงเอ่ยปากชวน นุ่นไปทำบุญ ประทายข้าว ที่วัดป่าบ้านตาด กับหลวงตาบัว
ด้วยความอคติที่พ่อพร่ำสอนนุ่น ทำให้นุ่นปฏิเสธในฉับพลันแม่จึงพยายามชี้แจงเหตุผลว่า
ทำกับหลวงตาบัวได้บุญมาก พ่อเขาจะได้บุญมากไปด้วยหลังจากมีการทุ่มเถียงอยู่นาน
แม่จึงใช้ไม้เด็ดว่า ถ้าทำกับหลวงตาแล้ว ถ้าพ่อไม่ได้รับบุญครั้งนี้ก็เลิกไปแม่ก็จะเลิกไปเหมือนกัน
นุ่นจึงไปด้วยเพราะเหมือนรับคำท้า พอไปในงานนุ่นก็ไปช่วยในกลุ่ม กองเรือป้าป้อม
และด้วยความที่มาเพราะคำท้าทำให้นุ่น หงุดหงิดกับการมาครั้งนี้ตลอดงาน

พ่อมาหา...
หลังจากเสร็จงานก็กลับบ้านที่กรุงเทพฯ และคืนนั้นเองระหว่างที่นุ่นหลับอยู่ แม่ก็เข้ามาปลุกนุ่น
ด้วยอาการตกใจอย่างมาก นุ่นตื่นเร็วพ่อมา และแม่ก็พาไปห้องแม่ซึ่งตอนนี้น้ามานอนด้วย เมื่อเข้า
ไปน้าพูดขึ้นว่า นุ่นมาหาพ่อหน่อย นุ่นจึงตวาดกลับไป เล่นบ้าอะไร เอาพ่อมาเล่นบ้าอะไร
พ่อในร่างน้าก็พยายามพูดให้นุ่นเชื่อว่าเป็นพ่อจริงๆ ไม่ใช่น้าจน มีการนำเรื่องที่มีเฉพาะนุ่นกับพ่อที่รู้กัน
แค่สองคนมาถาม ซึ่งพ่อก็ตอบได้ นุ่นจึงลงใจวิ่งเข้าไปกอดพ่อในร่างของน้า หลังจากแสดงความรักและ
คิดถึงกันอยู่นานพ่อจึงเล่าเรื่องหลังความตายของพ่อ ให้ฟัง

เรื่องหลังความตาย...
พ่อเล่าว่า พ่อเป็นคนที่ชอบดื่มเหล้า จึงถูกนำลงไปนรกไปกรอกน้ำทองแดง ระหว่างที่พ่อเข้าแถว
พ่อเหลือบ ไปเห็นพระรูปหนึ่งเข้ามาอยู่ในบริเวณนั้นแล้วก็มีเสียงเรียก นายอำนวย...ออกมา
พ่อไม่กล้าออกนอกแถว เพราะจะมีคนคอยเอาหอกแหลมแทงทะลุคนที่แตกแถว มันน่ากลัวมาก
พอถึงคิวพ่อถูกกรอกน้ำทองแดง ก็มีแรงมหาศาลฉุดพ่อออกจากแถว พร้อมพูดว่า
" นายอำนวย...ออกมาถ้าเราสั่งแล้วไม่มีใครกล้าทำอะไรหรอก จำเราได้รึเปล่า"
"จำไม่ได้ครับ "
"เราอีตาบัวไง "
" อีตาบัวที่อ๊อดชอบไปทำบุญบ่อยๆนะหรอกหรือครับ "
" เอ่อนั่นแหละ "
เท่านั้นพ่อเข่าอ่อนเลย หลวงตาท่านทราบแต่ท่านไม่โกรธแต่ท่านกลับมาช่วย ต่อรองเจ้ากรรมนายเวร
หลวงตาพาพ่อไปหาคนที่มีหน้าที่ดูแลบัญชีบุญบาปของมนุษย์ แต่พ่อไม่ค่อยทำบุญบุญน้อย
จึงไม่พอให้เจ้ากรรมนายเวร หลวงตาจึงให้เปิดบัญชีบุญของแม่ ซึ่งมีมากแต่ยังไม่พอ หลวงตาจึงว่า
ให้ดูใหม่ มีบุญประทายข้าวด้วย เขาจึงเปิดอีกจึงพบและ หลวงตาให้เอาบุญนี้ให้เจ้ากรรมนายเวร
ซึ่งทางโน้นก็พอใจจึงปล่อยตัวพ่อออกมาได้ เรื่องของพ่อหลังพ้นจากนรก
หลังจากที่หลวงตาท่านช่วยพ่อของนุ่น วิญญาณเร่ร่อนของพ่อนุ่นจึงได้ไปอย่วัดป่าบ้านตาด
ดังเช่นวิญญาณ อีกจำนวนมหาศาลที่หลวงตาบัวช่วยให้พ้นจากนรก เหตุที่มาวัดป่าบ้านตาดเพราะจะได้
คอยอนุโมทนากับคนที่มาทำบุญที่วัด รวมไปถึงมีการพัฒนาคุณภาพวิญญาณ ให้มีมีบุญกุศลและความดีพอ
ที่จะยกชั้นภูมิได้ หากวิญญาณไหนโชคดีมีญาติมาปฏิบัติธรรมก็จะเปลี่ยนภพภูมิได้เร็ว
พ่อนุ่นยังเล่าต่ออีกว่าผ้าบังสุกุล ที่แม่กับนุ่นทำไปทอดทิ้งไว้พ่อได้รับแล้ว เวลาร้อนก็อาศัยกันร้อนได้
เวลาหนาวก็อาศัยห่มได้

นั่งสมาธิให้พ่อด้วย...
เนื่องจากภพภูมิที่พ่ออยู่ไม่เหมือนภพภูมิมนุษย์ เป็นภพที่ยังทุกข์อยู่มาก หากวันไหนนุ่นนั่งสมาธิ
แล้วอุทิศบุญให้พ่อ พ่อก็จะรู้สึกสบาย นุ่นจึงรับปากพ่อว่าจะนั่งสมาธิให้ทุกวัน ซึ่งหลังจากรับปากพ่อแล้ว
นุ่นก็จะนั่งทุกวันซึ่งเป็นเวลาเดิมทุกวัน แต่มีอยู่วันหนึ่งนุ่นได้ไปช่วยงานหลวงตา เมื่อเลยเวลานั่งสมาธิ
นุ่นก็รู้สึกถึงอาการคันและเจ็บยิบๆเหมือนใครเอาเข็มมาจิ้ม พอนึกขึ้นได้ว่าเลยเวลานั่งสมาธิแล้วจึงพูดออกไปว่า เสร็จงาน กลับบ้านแล้วจะไปนั่งสมาธิให้พ่อเท่านั้นแหละอาการก็หายไป หลังจากนั้นไม่นานพ่อก็มาแฝงน้าอีก
นุ่นจึงถามพ่อว่าเรื่องที่คันยิบๆนั่นฝีมือพ่อรึเปล่า ซึ่งพ่อก็รับว่าใช่ หลวงตาเลื่อนงานประทายข้าว
มีอยู่ปีหนึ่งหลวงตาท่านเลื่อนงานประทายข้าวให้มาเร็วขึ้น ราว1อาทิตย์ โดยท่านให้เหตุผลว่า
อาทิตย์ที่เลื่อนไปท่านจะ ไปทำธุระ นุ่นเองก้ได้ถามกับพ่อที่แฝงมาที่ร่างของน้า ถึงสาเหตุที่แท้จริง
พ่อจึงตอบว่า ที่หลวงตาเลื่อนเพราะกำหนดการงานประทายข้าวเดิมตรงกับวันตัดสินของทางนรก
หลวงตาจึงเลื่อนให้เร็ว ขึ้นเผื่อจะมีญาติของใคร ทำบุญให้คนที่ตกนรกหลวงตาจะได้ใช้บุญที่ญาติอุทิศ
ไปให้ใช้ในการต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวร

พ่อบุญพอแล้ว...
หลังจากที่พ่อมาแฝงร่างน้าครั้งแรก นุ่นและแม่ได้เพียร ทำบุญกับหลวงตา รักษาศีล นั่งสมาธิ
เพื่ออุทิศบุญให้พ่อ ซึ่งระหว่างนั้นพ่อก็เข้ามาแฝงน้าเป็นระยะๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อมาบอกนุ่นว่า
หลวงตาบอกพ่อมีบุญพอแล้วที่ จะเปลี่ยนภพภูมิไปเมืองสวรรค์ให้ไปตัดอาลัยทั้งหมดให้ได้จะพาไปภพภูมิที่ดีกว่า
ตอนนี้พ่อเหลือห่วงคือลูกคนเดียวแต่ยังไงก็จะมาลาลูก นุ่นได้ยินดังนั้นก็ร้องห่มร้องไห้ แล้วพูดว่า นุ่นไม่ยอม
นุ่นไม่ยอม ให้พ่อไปไหน พ่ออยู่อย่างนี้นุ่นยังได้เจอเวลาพ่อมาแฝงน้า พ่อก็พูดทั้งน้ำตาว่า น้ำตาของลูก
ในโลกวิญญาณมันท่วมเป็นทะเลมหาสมุทรแล้ว แล้วพ่อก็เงียบไปนุ่นเล่าเรื่องนี้ให้แม่และน้าฟัง
ทั้งสองจึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้ นุ่น ทำใจเพื่อไม่ให้ขวางทางพ่อ ที่จะไปดี และพ่อก็มาอีก
แต่คราวนี้นุ่น ทำใจได้แล้วและหลังจากนั้น พ่อก็ไม่เคยมาแฝงน้าอีกเลย

เรื่องราวหลังจากนั้นและบทสรุป...
หลังจากนั้นนานมากแล้ว นุ่นก็ยังทำใจไม่ได้ ยังแอบร้องไห้คิดถึงพ่อเป็นประจำซึ่งมีวันหนึ่ง
นุ่นไปกราบหลวงตาที่สวนแสงธรรม นุ่นนั่งอยู่ด้านล่างกุฏิหลวงตาขณะฟังเทศน์หลวงตา
ด้วยความทุกข์ใจที่ยังตัดอาลัยไม่ขาดนุ่นจึงก้มหน้าและร้องไห้ออกมา แต่เป็นการร้องแบบเงียบๆ
ไม่ได้รบกวนใคร ซักพักก็มีแม่ชีคนหนึ่งเดินเข้ามาลูบหลัง แล้วพูดขึ้นว่า พ่อหนูให้ฉันมาบอกว่า
ตอนนี้พ่ออยู่สวรรค์แล้วสบายดีไม่ต้องเป็นห่วง นุ่น ถึงกับสะดุ้ง เพราะที่ร้องไห้เป็น การก้มหน้าแล้วน้ำตาไหล
ซึ่งถ้าไม่มีใครมานั่งจ้องหน้าจริงๆก็จะไม่เห็น อีกทั้งเป็นเวลาค่ำแล้ว และต่อให้เห็นก็ไม่มีใครรู้ได้หรอกว่า
นุ่นร้องไห้เรื่องอะไรแต่แม่ชีที่ไม่เคยเห็นหน้าคนนี้พูดตรงกับเรื่องของนุ่น ซึ่งมันไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญ
หลังจากคราวนั้นนุ่นก็ทำใจได้ และตั้งใจทำบุญเหมือนเดิม เพราะนุ่นเชื่อแล้วเชื่อในบุญในบาป
เชื่อในหลวงตามหาบัว แล้ววันนี้ท่านเชื่อรึยัง..????

ที่มา: น้องปู benyapa ญาติธรรมจากลานธรรมนำมาเล่าให้ฟังค่ะ
ขออนุโมทนากับคุณนุ่น เจ้าของเรื่องราวและ น้องปูด้วยค่ะ
ขอให้เจริญในธรรมยิ่งขึ้นไปค่ะ

ทั่นยาย
08-25-2009, 05:40 PM
จากที่มีการสอบถามมาคำว่า
” เจาไทยหรือเจ้าไทย ที่อ้างถึงในหนังสือในตู้พระธรรมนั้นหมายถึงอะไร "
ทั่นยายได้พยายามไปค้นหาความหมายก็ได้ข้อมูลมากมายพอสมควรค่ะ
อันคำว่า เจาไท หรือ เจ้าไทย นั้น เป็นคำไทยเก่าแก่ ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณค่ะ
เฉพาะคำว่า “ เจ้า ” คำเดียวก็มีรายละเอียดเยอะพอดูค่ะ ยิ่งคำว่าไท, ไต หรือไทยนั้น
ยิ่งมีรายละเอียดอ้างอิงมากมายค่ะ ครั้นพอรวมเข้าเป็นคำว่า เจาไทย หรือเจ้าไทย
จึงมีรายละเอียดมากว่า 10 หน้า A4 เชียวค่ะ จึงต้องขอรวบรวมและเรียบเรียงข้อมูลให้ได้
ใจความที่กระชับโดยสรุปแต่พอสังเขปดังนี้ค่ะ มาดูความหมายของคำว่า เจาหรือเจ้า ก่อนนะคะ
คำว่า เจา หมายถึง (โบ) น. เรียกลูกชายคนที่ ๙ ว่า ลูกเจา, คู่กับ ลูกหญิงคนที่ ๙ ว่า ลูกเอา.
คำว่า เจ้า มีใช้อยู่ 2 คำ คือ จ้าว กับ เจ้า
คำว่า ‘ จ้าว ’ เป็นคำนามโบราณ ที่หาจากคำศัพท์ ไทย-ไทย ไม่มีความหมาย
แต่ถ้าหาจาก ไทย-อังกฤษ จะแปลได้ว่า a king, a prince
คำว่า จ้าว นี้ปรากฏในพจนานุกรมภาษาลาวของมหาสิลา วีระวงส์ แปลว่า หุง
ซึ่งภาษาลาวเขียนคำว่า ข้าวจ้าว ในขณะที่ในภาษาไทย เขียนว่า ข้าวเจ้า
ด้วยเหตุที่คำว่า จ้าว ค่อยๆสูญหายไป ซึ่งในปัจจุบัน คำว่า “ จ้าว ” ไม่มีใช้ในภาษาราชการ
ของไทยแล้ว ไม่ว่าจะเป็น “ จ้าวแผ่นดิน ” หรือแม้ชื่อ “ ข้าวจ้าว ” อาจจะพบได้บ้าง
ก็แต่ในหนังสือโบราณเท่านั้น ปัจจุบันจึงใช้คำว่า “ เจ้า ” ทั้งสิ้น
ส่วนคำว่า “ เจ้า “ นั้นเท่าที่เจอมีอยู่หลายความหมาย คือ
เจ้า (1) เป็นลักษณะนาม หมายถึง ผู้ค้าขาย , ราย , เช่น มีผู้มาติดต่อ 3 เจ้า , หรือ 3 ราย
ชื่อข้าวชนิดหนึ่ง คือ ข้าวเจ้า
เจ้า (2) หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ , ผู้เป็นหัวหน้า , เชื้อสายของกษัตริย์ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไป เช่น พระเจ้าแผ่นดิน , เจ้าเมือง
ผู้เป็นเจ้าของ เช่น เจ้าหนี้ เจ้าทรัพย์ , ผู้ชำนาญ เช่น เจ้าปัญญา เจ้าบทเจ้ากลอน
หรือ มักจะต่อท้ายผู้ที่นับถือ เช่น พระพุทธเจ้า ,หรือ เทพเจ้า เช่น พระผู้เป็นเจ้า ,หรือเทพารักษ์ เช่น เจ้าที่
เจ้า(3) เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 หมายถึง คำใช้แทนผู้ที่เราพูดด้วย เช่น เจ้าคิดว่าอย่างไร

ความหมายของคำว่า “ ไท ”
จิตร ภูมิศักดิ์ ได้อธิบายที่มาของคำว่า “ ไท ” ว่ามาจากภาษาจีนคำว่า เทียน แปลว่า ฟ้า
หรือคำว่า ต้า ที่แปลว่า ใหญ่ และคำว่า ไต้ ที่แปลว่า สวรรค์ ซึ่งภาษาตระกูลไทนั้นออกเสียง เป็นสองสำเนียงคือ
1. “ ไท ” หมายถึง ไทยภาคกลาง อีสาน ใต้ ลาวเหนือ ลาวใต้ ผู้ไท ทางเขตสิบสองจุไท
และในเวียดนามเหนือ
2. “ ไต ” หมายถึง ไทยภาคเหนือ ไตลื้อ สิบสองปันนา ในสาธารณรัฐ ประชาชนจีน
ไตลื้อทางเหนือสุดของประเทศลาวในแขวงพงสาลี ไตโหลง หรือไทใหญ่แห่งรัฐชานพม่า
รวมทั้ง ไตคำตี่ ไตพ่าเก่ ไตอ้ายตอน ในรัฐอัสสัมประเทศอินเดีย
ความหมายดั้งเดิม ของคำว่า ไท หรือ ไต ก็คือ คน เช่น ไทบ้านใด๋ ไทเฮา ไทแขก และไทบ้าน
หรือไปตกตี่ไก๋ไตตี่อื่น
ส่วน เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์ ได้ให้ความหมายของคำว่า “ ไท ” ไว้ดังนี้
1) หมายถึง “ ประชาชน ” “ พลเมือง ” คนธรรมดาที่ไม่ใช่เจ้าขุน หรือบริพารลูกเจ้าลูกขุน
เช่นในคำว่า “ ไพร่ฟ้า ข้าไท ” (ไพรฝาขาไท) ตาม ศิลาจารึกหลักที่หนึ่งและหลักที่สาม
2) หมายถึง “ คน ” หรือ “ ชาว ” ตามความหมายที่ใช้ภาษาไทยถิ่นอีสาน และภาษาไทยถิ่นอื่น
เช่น ไทบ้านนอก-คนบ้านนอก หรือชาวบ้านนอก ไทเมือง-คนในเมือง ไทบ้านเพิ่น- ชาวบ้านอื่น เป็นต้น
3) หมายความว่า “ ฝ่าย ” หรือ “ ข้าง ” ความหมายนี้ปรากฏอยู่ในภาษาไทยถิ่นอีสานว่า
ไท เพิ่นไทโต๋- ฝ่ายเขา ฝ่ายเรา ไทเขาไทเฮา- ข้างเขา ข้างเรา เป็นต้น
4) หมายความว่า “ เป็นใหญ่ ” และ “ อิสระ ” หมายถึงความเป็น ไทไม่เป็น ทาส มีความเป็นอิสระ
ในการประกอบอาชีพ มีศักดิ์ศรีในความเป็นเชื้อชาติ ที่ไม่ถูกกดขี่ มีภาวะเทียมหน้าเทียมตา
เสมอกับชนชาติอื่นทุกประการ คือ มีความเป็นไทแก่ตัว กฎหมาย หมายถึง อิสระ
ในการดำรงอยู่อย่างภาคภูมิ ตามความหมายนี้น่าจะเพิ่งบัญญัติขึ้นใหม่ในสมัยฝรั่งล่าเมืองขึ้น
เพราะไม่ปรากฏมีความหมายนี้ในภาษาไทยถิ่นใดเลยนอกจากภาษาไทยกลาง
5) หมายถึง ชนชาติไทสาขาหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มไท ( Tai Group ) ซึ่งเรียกตนเองว่า “ ไท ” ( Tai )
และมีลักษณะของภาษาเป็นธนิต ( aspirated ) เช่น ไทยสยาม ไทลาว ไทพวน ไทโย้ย ไทย้อ ผู้ไท
ไทตากใบ ไทกะเลิง เป็นต้น
(ภาษาเหล่านี้คนไทยเจ้าของภาษาจะไม่เรียกว่า ภาษาไตสยาม ไตลาว ไตพวน ไตย้อ ฯลฯ)

จากนิยามข้างต้นก็สามารถกำหนดได้ว่า คำว่า “ ไท ” ก็หมายถึง คนที่อาศัยอยู่ในถิ่นต่าง ๆ
ทั้งในประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ ที่มีลักษณะทางภาษาและวัฒนธรรมคล้ายกันค่ะ

ทั่นยาย
08-25-2009, 05:41 PM
คำว่า ไทย ที่มีตัว ย มาจากไหน
กล่าวกันว่าเนื่องมาจากคำจีน 3 คำ คือ ไท ไถ่ ไท้ ประเด็นสำคัญของปัญหาก็คือ
คำจีน 3 คำนั้นไม่มีตัว ย สะกดแล้วเหตุใดจึงมาเขียนให้มีตัว ย สะกด

ข้อนี้มีผู้เสนอข้อวินิจฉัย 2 ท่าน ดังนี้ค่ะ
1. พระเจนจีนอักษร (สุตใจ ตัณฑากาศ) วินิจฉัยว่า
ก. คำว่า ไต คงจะเล็งเอาอักษรจีนที่เป็นภาษา แต้จิ๋วอ่านว่า ไต๋ ภาษาฮกเกี้ยนอ่านว่า ไต
ภาษากวางตุ้ง ,ปักกิ่ง,จีนกลาง อ่านว่า ตา หรือ ต๋า ในหนังสือฆังฮียี่เตี้ยนคำว่าไตแปลว่า แรกเริ่ม ,ใหญ่,มหึมา
ข. คำว่า ไถ่ คงจะเล็งเอาจากอักษรจีนซึ่งภาษาจีนทุกภาษาอ่านว่า ไถ่
ในหนังสือฆังฮียี่เตี้ยนแปลว่า ใหญ่ที่สุด หากคำว่า ไท สืบเนื่องมาจากภาษาจีนแล้ว
ผู้บัญญัติท่านคงเล็งเอาคำว่า ไถ่ เพราะแปลว่าใหญ่ที่สุดและยังเป็นนามสกุลคนโบราณด้วย
ครั้นสืบมาหลายชั่วคน คำว่า ไถ่ ก็แผลงเป็น ไท ส่วนคำว่า ไท้ เป็นภาษาไทย แปลว่า ผู้เป็นใหญ่
ซึ่งคงแผลงจากคำว่า ไถ่ หรือ ไท นั่นเอง สำหรับเหตุผลที่เขียนว่า ไทย (มีตัว ย สะกด )
ในหนังสือมูลบทบรรพกิจ ฉบับพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย) กล่าวถึง คำไม้มลายเป็น 2 อย่าง คือ
คำไม้มลายที่มีตัว ย สะกดนั้นเป็นภาษามคธอย่าง 1 และคำที่มีแต่ไม้มลายล้วนซึ่งเป็นคำไทยอย่าง 1
การเขียนคำว่า ไท แล้วเอาตัว ย สะกด ก็ยังอ่านว่า ไทย หรือผู้มีอำนาจแผนกอักษรศาสตร์
สมัยต่อมา เห็นว่าภาษามคธเป็นภาษาบาลีอันขลัง จึงใช้ตัว ย สะกด คำว่า ไท ให้เขียนว่า ไทย

2. พระพินิจวรรณการ (แสง สาลิตุล) วินิจฉัยว่า ตรวจดูภาษาไทยในจารึกสุโขทัยก่อนหลักที่ 3
มีคำว่า ไท ใช้โดยมีตัว ย สะกดก็มีและไม่มีตัว ย สะกดก็มี จึงได้แต่สันนิษฐาน
โดยประมวลความในจารึกคือสันนิษฐานว่าตัว ย นั้นเกิดเมื่อจารึกเป็นภาษามคธ (หลักที่ 6)
มีคำว่า "ลีเทยฺยนามโก ธมฺมราชา" เมื่อเรียงพระนามพระเจ้าแผ่นดินลงเป็นภาษามคธ
มีตัว ย สะกดแล้ว ภาษาไทยก็เลยใส่ตัว ย ลงไปด้วย เพื่อให้พระนามขึ้นสู่ภาษาอันศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งนับถือกันอยู่มาก แต่คำว่า ไท มิไช่นามพระเจ้าแผ่นดินจึงยังปล่อยให้โล้นอยู่ก่อน
เห็นจะมาเริ่มใส่ตัว ย เติมเอาภายหลังในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถลงมา
ส่วนคำว่า ไท้ ก็คือ ไท แต่ทำไมคำว่า ไท้ จึงไม่ถูกเติมตัว ย ลงไปด้วย ข้อนี้ก็ต้องตอบโดย
หลักว่าภาษามคธไม่มีไม้โท ถ้ายกให้ว่าเป็นคำจีนดังที่พระเจนจีนอักษร ได้แปลแล้ว
ปัญหาเรื่องแปลว่ากระไรก็ไม่มีในคำนี้ สรุปได้ว่าเราใช้คำว่า ไทย (ท ทหาร-สระไอไม้มลาย-ย ยักษ์)
สำหรับเรียกประเทศคนสังคม วัฒนธรรม ภาษา และสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรไทย
หรือเรียกทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในผืนแผ่นดินที่มีชื่อ เป็นทางการว่า ประเทศไทย
คำว่า ไทย เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า THAI (T-H-A-I)

คำว่าไทยนั้นเป็นชื่อรวมของชนเผ่ามองโกล ซึ่งแบ่งแยกออกเป็นหลายสาขาเช่น ไทยอาหม
ในแคว้นอัสสัม ไทยใหญ่ ไทยน้อย ไทยโท้ ในแคว้นตั้งเกี๋ย อุปนิสัยปกติมักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
รักสันติ และความเป็นอิสระ ความเจริญของชนชาติไทยนี้ สันนิษฐานว่า มีอายุไร่เรี่ยกันมา
กับความเจริญของชาวอียิปต์บาบิโลเนียและอัสสิเรียโบราณ
ไทยเป็นชาติที่มีความเจริญมาก่อนจีน และก่อนชาวยุโรป ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพวกอนารยชน
อยู่ เป็นระยะเวลา ประมาณ ๕ , ๐๐๐ - ๖ , ๐๐๐ ปีมาแล้วที่ชนชาติไทยได้เคยมีที่ทำกิน
เป็นหลักฐานมีการปกครองเป็นปึกแผ่น และมีระเบียบแบบแผนอยู่ ณ ดินแดนซึ่งเป็นประเทศจีนในปัจจุบัน

คำว่า "ไท ไทย ไต หรือไตย" เป็นภาษาตระกูลไท ของชนเผ่าตระกูลไท
ภาษาไต หรือ ภาษาไท (อังกฤษ: Tai language, จีน: 台語支 พินอิน: tái yǔ zhī)
เป็นกลุ่มภาษาย่อยของตระกูลภาษาไท-กะได ประกอบด้วยภาษาไทยในประเทศไทย ภาษาลาวในประเทศลาว
ภาษาไทใหญ่ในรัฐฉานของประเทศพม่า และภาษาจ้วงหนึ่งในภาษาหลัก ของประเทศจีนตอนใต้

ตระกูลภาษาไท-กะได หรือที่รู้จักกันในนาม กะได หรือ กระได เป็นตระกูล
ภาษาของภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์ที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และตอนใต้ของประเทศจีน ภาษาในตระกูลไท(ไต) มีอยู่ 12ภาษา คือ
ไทใหญ่ ไทลื้อ ไทยอง ไทขืน ไทดำ ลาวโซ่ง ผู้ไท กะเลิง ย้อ โย้ย พวน แสก

คำว่า เจาไทหรือเจ้าไทย จึงเป็นภาษาไทยโบราณ

ในประเทศลาวมีจารึกเขียนไว้ที่ผนังถ้ำนางอันใกล้หลวงพระบางด้วยตัวอักษรสุโขทัย
ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับตัวหนังสือสมัยพระเจ้าลิไทย (พ.ศ. 1890-1911)
ส่วนจารึกประเทศลาวหลักอื่นที่เป็นภาษาไทยไม่เก่าไปกว่า พ.ศ. 2030 เลย
ไทขาว ไทดำ ไทแดง เจ้าไท ในตังเกี๋ย ผู้ไทในญวนและลาวปัจจุบันนี้ ยังใช้ตัวอักษร
ที่กลายไปจากลายสือของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงทรงประดิษฐ์
ลายสือไทยขึ้นโดยมิได้ทรงทราบว่ามีตัวหนังสือไทยเดิมอยู่ก่อนแล้ว ข้อพิสูจน์ข้อหนึ่งคือ
ไทยอาหมและไทยคำที่ (ขำตี้) ออกเสียงคำว่า อัน คล้ายกับคำว่า อาน แต่เสียงสระสั้นกว่า
และออกเสียงคำว่า อัก-อาก, อัด-อาด, อับ-อาบ เป็นคู่ๆ กัน
เหมือนกับตัวหนังสือของเรา โดยออกเสียงคำต้นสั้นกว่าคำหลังในคู่เดียวกัน
ดังนั้นคำว่า เจาไท หรือ เจ้าไทย ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง(โบ) น. พระสงฆ์ ;เจ้านายชั้นผู้ใหญ่
เขียนเป็น เจาไท ก็มี เช่น พ๋องเผ่าพรรนอนนเหงาเจาไทอนนไปสู. (จารึกวัดช้างล้อม).
( คำว่า อนน หมายถึง อัน ภาษาโบราณเขียนอักษรซ้ำกันคือไม้หันอากาศค่ะ
อ้างอิงจากจารึก ภาษาไทยโบราณในใบเสมาที่ขุดเจอ ดังที่นำมาแสดงไว้ดังนี้ค่ะ
และจะเห็นว่า มีคำว่า เจ๋าไทหรือเจ้าไทย อยู่ในจารึกโบราณนี้ด้วยค่ะ )
จารึกในใบเสมา พิพิธภัณณ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพฯ




๔๑. คโมยอนนลกกววัควายช๋างม๋า
สชช…….อนนใด ไปจอดไป
กลายตนกดีให๋นายเจ๋าบ๋านเจ๋า


๔๒. เรือน……..พิจารณาคนัรูวา
คโมยจริง เอาจุงได๋แลเอาคโมย
นนั อีกของ……


๔๓. ………เจ๋าไทวาข๋าจริงจริง
ขนาดอนนเจ๋าของบมิได๋ให๋ คงไป
ตามหาสกกอนน ดงั………

๔๑. ขโมยอันลักวัวควายช้างม้า
สัตว์……อันใด ไปจอดไป
กรายตนก็ดี ให้นายเจ้าบ้านเจ้า


๔๒. เรือน……พิจารณา ครั้นรู้ว่า
ขโมยจริง เอาจุ่งได้และเอาขโมย
นั้น อีกของ………


๔๓. ………..เจ้าไทว่าข้าจริงจริง
ขนาดอันเจ้าของบมิได้ให้ คงไป
ตามหาสักอัน ดัง……

ประวัติไทยอาหมปรากฏอยู่ในหนังสือบูราณยี คำว่า ยี อาจจะตรงกับคำว่า สือ ในลายสือ
หรือเป็นรากศัพท์เดียวกับจื่อ ซึ่งใช้อยู่ในภาคเหนือและภาคอีสาน แปลว่า จดจำ เช่นได้จื่อจำไว้
บูราณยีบอกเล่าประวัติ ผู้ครองราชย์มาตั้งแต่ยุคที่นิยมแต่งตำนานเป็นเทพนิยายลงมา ศักราชแรก
ที่กล่าวถึงคือ พ.ศ. 1733 ส่วนไทยเผ่าอื่นเริ่มมีประวัติศาสตร์เป็นหลักเป็นฐานไม่เก่าไปกว่า
คนไทยอาหม หากเก่ากว่านั้นขึ้นไปจะเป็นเรื่องเทพนิยายแบบพงศาวดารเหนือ หรือตำนาเก่าๆ
ของเรา ซึ่งเกี่ยวกับปาฏิหาริย์เป็นส่วนมาก ไทยอาหม, ไทยคำตี้ , มีคำว่า เทวไท หรือเทพไท
เป็นบุคคลประเภทหนึ่ง ทำหน้าที่คล้ายพราหมณ์ หรือปุโรหิต ในลัทธิฟ้าหลวงของชาวอาหม
ซึ่งเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ให้แก่ชาวบ้านชาวเมือง พร้อมกันนั้นก็ ทำหน้าที่ เป็นผู้จารึก
และทำตำนานของอาหมด้วย บุคคลประเภทนี้เรียกว่า "เทวไท" หรือ "เทพไท" นี้ซึ่งยังมีเหลือ
อยู่ในปัจจุบันนี้ และเทวไทบางคนยังสามารถพูด หรือสื่อสารด้วยภาษาอาหม ภาษาของชาวอาหมเองซึ่งสูญหายไปนานแล้ว
ดินแดนแคว้นสิบสองจุไทยหรือ สิบสองเจ้าไต
แผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนของอารยะชนเผ่าไตหรือไทดำ ที่เรียกว่าสิบสองจุไทยหรือสิบสองเจ้าไทยนี้
เป็นแผ่นดินอันเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าภูไทดำ 8 เมือง ภูไทขาว 4 เมือง โดยมีปู่เจ้าลางเซิง
ขุนเคก ขุนคาน เป็นผู้ปกครองชาวภูไทให้ อยู่เย็นเป็นสุขตลอดมาช้านาน แต่ครั้งบรรพกาล
จนกระทั่งถึงยุคปัจจุบัน ตั้งแต่ชนเผ่าไทดำได้อพยพ เข้ามาในประเทศไทย ในยุคของการ
ตกเป็นอาณานิคมของอาณาจักรต่างๆ ในยุคนั้นแผ่นดินไต หรือแคว้นสิบสองจุไท เคยตกอยู่ในอารักขา
ภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรสยาม ในยุครัชสมัยของพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือพระเจ้าตาก
ชนเผ่าที่อยู่ในแคว้นสิบสองจุไทนั้น มีหลายเผ่าพันธุ์ เช่น ไทดำ ไทแดง ไทขาว ข่า ส่า หรือมอญ เขมร เป็นต้น

ขอสรุปเนื้อหาของคำว่า "เจาไทย หรือ เจ้าไทย " โดยย่อเพียงแค่นี้นะคะ ที่จริงเนื้อหายังมีอีกมากค่ะ
เพราะมีผู้รู้วิเคราะห์ความหมายไว้หลายท่านค่ะจึงมีข้อมูลมากมายจนเกรงว่ายิ่งอ่านจะยิ่งงงค่ะ
แต่ทั่นยายหน่ะสนุกกับการค้นหาข้อมูลมากค่ะ ยิ่งหาก็ยิ่งแตกกิ่งแตกก้านความรู้ออกไปมากมาย
จนตอนนี้เก็บข้อมมูลไว้ได้ 32 หน้า A4 แล้วค่ะ อิ อิ

ขอขอบคุณแห่งข้อมูลจาก
* จาก สกุลไทย โดย สุดสงวน ฉบับที่ 2512 ปีที่ 49 ประจำวัน อังคาร ที่ 10 ธันวาคม 2545
* หนังสือพิมพ์ข่าวสด
* เรือนไทย วิชาการ.คอม
* และแหล่งความรู้ต่างๆในอินเตอร์เน็ตด้วยค่ะ

เกิดแก่
08-26-2009, 09:29 PM
อนุโมทนาสาธุ ค่ะ ทั่นยายที่ช่วยหาความหมายของคำว่า
"เจ้าไท"มาให้ทราบค่ะ แต่แหม..ต้องอ่านกลับไปกลับมา
หลาย ๆ รอบเชียวค่ะ อิอิ

Butsaya
09-01-2009, 08:56 AM
http://www.watkoh.com/board/richedit/upload/2k16a03e5029.jpg




กราบนมัสการ หลวงตามหาบัวค่ะ
อนุโมทนาสาธุค่ะ ทั่นยาย


http://www.watkoh.com/board/richedit/smileys/Word_Positive/2.gif

ทั่นยาย
10-11-2009, 01:28 PM
น้อมกราบนมัสการครูบาอาจารย์ทุกรูปทุกนามค่ะ
สวัสดีค่ะ น้องบุษยา อนุโมทนากับน้องบุษยาด้วยค่ะ
วันนี้ทั่นยายมี คำสอนของครูบาอาจารย์ผู้ประเสริฐหลายท่าน
ในรูปแบบของการ์ตูนธรรมะ น่ารักๆมาฝากญาติธรรมค่ะ


http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/27/1254051517335/image/__fwdDer.com__-183837778-image002.jpg


http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/27/1254051517335/image/__fwdDer.com__-183837692-image003.jpg


http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/27/1254051517335/image/__fwdDer.com__-183837816-image004.jpg


http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/27/1254051517335/image/__fwdDer.com__-183837771-image005.jpg


http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/27/1254051517335/image/__fwdDer.com__-183837757-image006.jpg


http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/27/1254051517335/image/__fwdDer.com__-183837789-image007.jpg


http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/27/1254051517335/image/__fwdDer.com__-183837640-image008.jpg


http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/27/1254051517335/image/__fwdDer.com__-183837705-image009.jpg


http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/27/1254051517335/image/__fwdDer.com__-183837712-image010.jpg


http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/27/1254051517335/image/__fwdDer.com__-183837738-image011.jpg


http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/27/1254051517335/image/__fwdDer.com__-183837660-image012.jpg


http://www.fwdder.com/data/mail/2009/09/27/1254051517335/image/__fwdDer.com__-183837621-image013.jpg


ขออนุโมทนาในกุศลจิตและขอขอบคุณคณะผู้จัดทำและเผยแผ่การ์ตูนธรรมะดีๆแบบนี้ด้วยค่ะ
ขอให้ทุกท่าน สุขกาย สุขใจ เจริญในทุกด้านตามที่ปรารถนา ขอให้พระคุ้มครองตลอดไปค่ะ

tal
10-16-2009, 10:46 PM
กราบนมัสการค่ะพระคุณเจ้า สวัสดีค่ะทั่นยาย พี่บุษ และญาติธรรมทุกท่าน
วันนี้ตาลมีโอกาสดีได้แวะมาอ่าน "แบ่งปันอ่านปันกันรู้" กระทู้ของทั่นยาย
ขอบคุณทั่นยายมาก ๆ เลยนะคะ
ได้ความรู้ แง่คิดดี ๆ ที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันมากมายเลยค่ะ
อนุโมทนา สาธุ ๆ ค่ะทั่นยาย

ทั่นยาย
03-14-2010, 11:08 PM
สวัสดีค่ะญาติธรรมทุกๆๆๆๆท่านค่ะ

หลังจากที่ห่างหายไปนาน วันนี้มีเรื่องดีๆมาแบ่งกันอ่านปันกันรู้ อีกแล้วค่ะ
คุณรู้จักแก๊งมิรูโม่แล้วหรือยัง ถ้ายังนี่คือ เรื่องจริงที่ควรอ่านค่ะ.....

ณ ชุมชนที่เงียบสงบ ต. อินทร์บุรี จ. สิงห์บุรี มีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนในหมู่บ้านเป็นอย่างดี
ที่สำคัญว่ากันว่า หัวหน้าของกลุ่ม - แก๊งนี้มีอายุเพียงแค่ 13 ปี แต่กลับมีลูกสมุนคอยหนุนหลังถึง 10 กว่าคน
โดยสมุนตัวเปี๊ยกสุดจะถูกเรียกขานว่า " เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม" กิจวัตรของสมาชิกในแก๊ง
สร้างความฮือฮาให้แก่บรรดาผู้ใหญ่ในชุมชนเสมอ แต่มิใช่การซิ่งมอเตอร์ไซค์ การชกต่อย หรือการเสพยา
แต่เป็นภารกิจเพื่อสังคมง่ายๆ อย่าง การเก็บขยะ ถางหญ้า กวาดลานวัด ขัดห้องน้ำ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai2/2-2.jpg
เด็กๆ กลุ่มนี้เขาเรียกตัวเองว่า " มิรูโม่...มาเฟียแห่งความดี"

มิรูโม่ : แก๊งนี้มีที่มา

" น้องตั้ม" ด.ช.สุรชัย จิตตั่ง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนศรีวินิตวิทยาคม หัวหน้าแก๊งมิรูโม่
บอกว่ามีสมาชิกทั้งหมด 14 ชีวิต ซึ่งสมาชิกในแก๊งล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนๆ และลูกพี่ลูกน้องของน้องตั้มทั้งสิ้น
แก๊งนี้เป็นที่รวมของสมาชิกวัยละอ่อน ตั้งแต่รุ่นดูดขวดนม 2 ขวบครึ่ง ไปจนถึง 13 ปี ซึ่งที่มาในการก่อตั้งแก๊งนั้น
น้องตั้มรับสารภาพว่าพวกเขาได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่องอนุบาลเด็กโข่ง
"คือวัดนี้มีพระอยู่รูปเดียว ทุกวันผมก็จะเห็นหลวงตา (พระระพิน กิตฺติโก เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง จ.สิงห์บุรี)
กวาดลานวัดอยู่คนเดียว แดดก็ร้อน ผมสงสารว่าท่านคงเหนื่อยมาก ผมเลยเข้าไปช่วย
แล้วก็มีเพื่อนๆ อีกหลายคนตามไปช่วยด้วย เราก็เลยปรึกษากันและตั้งแก๊งขึ้นมาครับ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai2/3-2.jpg
หัวหน้าแก๊งผู้ คิดดี พูดดี ทำดี เหมาะเป็นผู้นำอย่างยิ่งค่ะ

คือความคิดในการตั้งแก๊งเนี่ยเกิดมาจากการที่เราไปดูหนังเรื่องอนุบาลเด็กโข่ง
ซึ่งเป็นเรื่องของเด็กอนุบาลที่รวมตัวกันตั้งแก๊งของตัวเองขึ้นมา มันก็คล้ายๆ กับพวกเราเหมือนกัน
เพราะปกติเราจะขี่จักรยานไปโรงเรียนพร้อมกัน บางทีก็ชวนกันไปขี่จักรยานเล่น แต่ในหนังเขาเป็นแก๊งอันธพาล
หัวหน้าแก๊งแต่ละแก๊งพยายามขยายอิทธิพล มีการยกพวกตีกัน เหมือนพวกมาเฟีย
แต่แก๊งเราไม่ใช่แบบนั้นครับ เราเป็นแก๊งที่รวมตัวกันทำความดี "
โดยปกติตอนเย็นหลังเลิกเรียน พวกเราก็จะมาช่วยหลวงตากวาดลานวัดกันทุกวัน เห็นใบไม้มันรกน่ะครับ
แล้วก็ช่วยเก็บขยะ ถางหญ้า ล้างห้องน้ำ มันก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่เราทำไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai2/4-2.jpg
มือก็ทำปากก็ดูด.....จะขยันอะไรขนาดนั้นหนอ...คนเก่ง

ช่วยกันหลายๆ คนเดี๋ยวก็เสร็จ นอกจากนั้นตอนเช้าผมกับเพื่อนอีก 2 คนก็จะไปช่วยหลวงตาถือของตอนออกบิณฑบาต
เสร็จแล้วถึงจะกลับมาอาบน้ำไปโรงเรียน จริงๆ พวกเราก็ชอบเล่นสนุกกันนะครับ แต่จะช่วยหลวงตาทำงานให้เสร็จแล้วค่อยไปเล่น
คือหลวงตาท่านใจดี ไปช่วยท่าน ท่านก็ให้ขนมพวกเรากินทุกวัน พ่อแม่เห็นพวกผมไปช่วยหลวงตาที่วัดเขาก็บอกว่าดีแล้ว
ได้บุญ คุณครูที่โรงเรียนก็บอกว่าดีให้ทำต่อไปเรื่อยๆ ผมก็ภูมิใจที่ได้ช่วยวัด ทำให้วัดไม่รก แล้วก็ได้บุญด้วย
ดีกว่าไปเล่นเกมตามร้านเน็ต เล่นแล้วก็ติด เสียการเรียน เปลืองเงินด้วย

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai2/b203d323.jpg
โฉมหน้าแก้ง มิรูโม่ ค่ะ แต่ละคนใจเด็ดเดี๋ยวกันมากค่ะ โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กสุดค่ะ

หลวงตาระพิน กิตฺติโก เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง เมตตาให้ข้อมูลว่า
ทั้งวัดก็มีอาตมาอยู่รูปเดียว อยู่ได้สักพักเด็กๆ พวกนี้เขาก็มาช่วยทำความสะอาดวัด เขาบอกว่าสงสารหลวงตา (ยิ้ม)
ใบไม้มันร่วงเยอะ เช้าๆ อาตมาไปบิณฑบาตเด็กๆ ก็จะมาช่วย มากันตั้งแต่ตีห้าเลย เขาก็ขี่รถซาเล้งพาอาตมาไปที่ตลาด
พอถึงตลาดก็เดินบิณฑบาตไปเรื่อยๆ เด็กเขาก็ถือกระป๋องเดินตาม เดินกันเป็นกิโลๆ เลย เขาก็สนุกกันตามประสาเด็กๆ
กลับมาถึงวัด อาหารที่เหลือจากอาตมาพิจารณาแล้วก็จะแจกจ่ายให้เด็กๆ ไป อาตมาว่าก็ดีนะ
เด็กๆ มาทำความดีกัน ช่วยพระช่วยวัด มันหายากนะสมัยนี้

แหม..หากแก๊งสีต่างๆที่ออกมาชุมนุมกัน จะเอาเยี่ยงอย่างแบบแก๊งมิรูโม่บ้าง
บ้านเมืองเราคงเจริญ เจริ๊ญ เจริญ กว่านี้มากมายก่ายกองแน่ๆเลยเนอะ

ที่มา FW เมล์จากกัลยาณมิตรค่ะ