เข้าสู่ระบบ

แสดงเวอร์ชันเต็ม : เสนกชาดกผู้มีปัญญาช่วยคนอื่นได้



*8q*
04-11-2009, 03:50 PM
ผู้มีปัญญาช่วยคนอื่นได้


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ พระปัญญาบารมีของพระองค์ จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้ เรื่องปัจจุบันจักมีแจ่มแจ้งในอุมมังคชาดก
ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า ชนก ครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ เหล่าญาติได้ขนานนามท่านว่า เสนกะ ท่านเติบโต แล้วเรียนศิลปะทุกอย่างที่เมืองตักกศิลา แล้วกลับมาเฝ้าพระราชาที่นครพาราณสี พระราชาทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งอำมาตย์ และทรงเพิ่มยศยิ่งใหญ่ให้ท่าน ท่านได้ถวายอรรถธรรมแก่พระราชาเนืองๆ ท่านเป็นผู้สอนธรรมที่มีถ้อยคำไพเราะ ให้พระราชาทรงดำรงอยู่ในเบญจศีล แล้วให้ทรงดำรงอยู่ในปฏิปทาที่ดีงามนี้ คือในทาน ในอุโบสถกรรม และใน กุศลกรรมบถ ๑๐ ข้อ
สมัยนั้น ได้เป็นเสมือนเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในสากลรัฐ พระมหาสัตว์ไปที่ท่ามกลางแท่นที่อบอวลไปด้วยของหอม ในธรรมสภาที่เขาเตรียมไว้แล้ว ก็แสดงธรรมด้วยพุทธลีลา ธรรมกถาของท่านเป็นเช่นกับธรรมกถาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ปานกัน
ลำดับนั้น พราหมณ์ชราคนหนึ่งเที่ยวหาขอเงิน ได้เงินพันกหาปณะ เก็บฝากไว้ที่ตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง แล้วคิดว่า เราจะเที่ยวขออีก ดังนี้ แล้วก็ไป ในเวลาพราหมณ์นั้นไปแล้ว ตระกูลนั้นใช้กหาปณะหมด พราหมณ์นั้นกลับมา แล้วขอกหาปณะคืน พราหมณ์ไม่อาจจะให้กหาปณะคืนได้ จึงได้ให้ธิดาของตนให้เป็น นางบำเรอบาท คือเมียของพราหมณ์นั้น พราหมณ์พานางไปอยู่กินกันที่หมู่บ้านตำบลหนึ่ง ไม่ไกลจากนครพาราณสี คราที่นั้น ภรรยาของเขาผู้ไม่อิ่มในกามเพราะยังสาว จึงประพฤติมิจฉาจาร คือเป็นชู้กับพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่ง เพราะว่า ขึ้นชื่อว่าของที่ไม่รู้จักอิ่มมี ๑๖ อย่างคือ:
๑ มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำที่ไหลมาทุกทิศทุกทาง
๒ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ
๓ พระราชาไม่ทรงอิ่มด้วยราชสมบัติ
๔ คนพาลไม่อิ่มด้วยบาป
๕ หญิงไม่อิ่มด้วยของ ๓ อย่างเหล่านี้ คือ เมถุนธรรม ๑ เครื่องประดับ ๑ การคลอดบุตร ๑
๖ พราหมณ์ไม่อิ่มด้วยมนต์
๗ ผู้ได้ฌานไม่อิ่มด้วยวิหารสมาบัติ คือการเข้าฌาน
๘ พระเสขบุคคลไม่อิ่มด้วยการหมดเปลืองในการให้ทาน
๙ ผู้มักน้อยไม่อิ่มด้วยธุดงค์คุณ
๑๐ ผู้เริ่มความเพียรแล้วไม่อิ่มด้วยการปรารภความเพียร
๑๑ ผู้แสดงธรรม คือนักเทศน์ไม่อิ่มด้วยการสนทนาธรรม
๑๒ ผู้กล้าหาญไม่อิ่มด้วยบริษัท
๑๓ ผู้มีศรัทธาไม่อิ่มด้วยการอุปัฏฐากพระสงฆ์
๑๔ ทายกไม่อิ่มด้วยการบริจาค
๑๕ บัณฑิตไม่อิ่มด้วยการฟังธรรม
๑๖ บริษัท ๔ ไม่อิ่มในการเฝ้าพระพุทธเจ้า
ถึงนางพราหมณีนั้นก็ไม่อิ่มด้วยเมถุนธรรม ต้องการจะสลัดพราหมณ์นั้นให้ออกไป แล้วทำบาปกรรม วันหนึ่งนางนอนกลุ้มใจอยู่ เมื่อพราหมณ์ถามว่า แม่มหาจำเริญ มีเรื่องอะไรหรือ ?
นางจึงพูดว่า พราหมณ์เจ้าขา ฉันทำงานในบ้านของท่านไม่ไหว ขอท่านจงไปนำเอาทาสหญิง ทาสชายมา
พราหมณ์ แม่มหาจำเริญ ทรัพย์ของเราไม่มี ฉันจะให้อะไรเขา แล้วจึงจะนำทาสหญิงทาสชายมาได้
พราหมณี เที่ยวขอเสาะหาทรัพย์ แล้วนำมาสิ
พราหมณ์ แม่มหาจำเริญ ถ้าอย่างนั้น เธอจงเตรียมเสบียง ให้ฉัน
นางจึงเตรียมข้าวตูก้อนข้าวตูผง บรรจุเต็มไถ้หนังแล้วได้มอบให้พราหมณ์ไป ฝ่ายพราหมณ์เมื่อเที่ยวไปในหมู่บ้านนิคมและราชธานี ทั้งหลายได้เงิน ๗๐๐ กหาปณะ เห็นว่า เงินเท่านี้พอแล้วสำหรับเรา เพื่อเป็นค่าทาสชายและทาสหญิง แล้วก็กลับมาบ้านของตน
เมื่อมาถึงที่แห่งหนึ่ง เป็นสถานที่มีน้ำสะดวกสบาย จึงแก้ไถ้ออกกินข้าวตู แล้วไม่ได้ผูกปากไถ้เลย ลงไปดื่มน้ำ งูเห่าหม้อตัวหนึ่งได้กลิ่นข้าวตู จึงเลื้อยเข้าขดตัวนอนกินข้าวตูอยู่ เมื่อพราหมณ์นั้นกลับมาแล้วก็ไม่ได้มองดูภายในไถ้ ผูกไถ้แล้วแบกขึ้นบ่าไป
เทวดาผู้เกิดบนต้นไม้ต้นหนึ่ง ในระหว่างทางยืนอยู่ที่ค่าคบต้นไม้ พูดว่า ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าท่านพักระหว่างทาง ท่านจักตายเอง แต่ถ้าวันนี้ ท่านไปถึงบ้าน ภรรยาของท่านจักตาย แล้วก็หายไป
เขามองดูอยู่ไม่เห็นเทวดา กลัวถูกภัย คือความตาย คุกคาม จึงร้องไห้คร่ำครวญไปถึงประตูพระนครพาราณสี ก็วันนั้น เป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ เป็นวันที่พระโพธิสัตว์นั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ที่เขาตกแต่งแล้ว มหาชนพากันถือของหอมและดอกไม้เดินไปฟังธรรมกถากันเป็นพวกๆ
พราหมณ์เห็นเขา จึงถามว่า ท่านทั้งหลายไปไหนกัน พ่อคุณ ?
เมื่อเขาบอกว่า ดูก่อนพราหมณ์ วันนี้ เสนกบัณฑิตจะแสดงธรรมด้วยเสียงไพเราะตามพุทธลีลา ท่านไม่รู้หรือ ?
พราหมณ์จึงคิดว่า ได้ทราบว่า ท่านผู้แสดงธรรมเป็นบัณฑิต ส่วนเราถูกมรณภัยคุกคาม ผู้เป็นบัณฑิตอาจจะบรรเทาความโศกตั้งมากมายได้ เรานั้นก็ควรไปฟังธรรม ณ ที่นั้น เขาจึงไปที่นั้นกับมหาชนนั้น เมื่อถึงที่นั้นด้วยความกลัวตายจึงได้ยืนร้องไห้อยู่ท้ายบริษัทที่มีพระราชานั่งห้อมล้อมพระมหาสัตว์อยู่ไม่ไกลจากธรรมาสน์ ทั้งๆ ที่ไถ้ข้าวตูยังพาดอยู่ที่ต้นคอ
พระมหาสัตว์แสดงธรรมอันวิจิตร มหาชนเกิดความโสมนัส ให้สาธุการเมื่อได้ฟังธรรมกันแล้ว ธรรมดาบัณฑิตทั้งหลายเป็นผู้มองดูทิศทาง ดังนั้นเมื่อพระมหาสัตว์ลืมตาขึ้นดูบริษัทโดยรอบ เห็นพราหมณ์นั้นจึงคิดว่า บริษัทจำนวนเท่านี้ เกิดความโสมนัสให้สาธุการฟังธรรมกัน แต่พราหมณ์คนนี้คนเดียวถึงความโทมนัสร้องไห้ พราหมณ์นั้นต้องมีความเศร้าโศกที่สามารถให้น้ำตาเกิดขึ้นอยู่ภายใน แน่ๆ เราจักพลิกใจพราหมณ์ผู้มืดมน แสดงธรรมให้เขาไม่มีความโศกให้พอใจในเรื่องนี้ทีเดียว เหมือนสนิมทองแดงหลุดออกไปเพราะขัดด้วยของเปรี้ยว และเหมือนหยดน้ำกลิ้งออกไปจากใบบัวฉะนั้น ท่านได้เรียกพราหมณ์นั้นมาหา เมื่อเจรจากับพราหมณ์นั้นว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราชื่อว่า เสนกบัณฑิต เราจักทำให้ท่านไม่มีความเศร้าโศก ขอท่านจงวางใจ แล้วบอกมาเถิด จึงกล่าว คาถาแรกว่า:
[๑๐๑๔] ท่านเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน มีอินทรีย์กำเริบ หยาดน้ำตาไหลออกจากนัยน์ตา
ทั้งสองของท่าน อะไรของท่านหายหรือ หรือว่าท่านปรารถนาอะไรจึงได้
มาในที่นี้ ดูกรพราหมณ์ เชิญท่านพูดไปเถิด?*
*ความว่า พระมหาสัตว์ เมื่อจะตักเตือนพราหมณ์นั้น จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายเศร้าโศกคร่ำครวญกัน เพราะเหตุ ๒ ประการ คือ เมื่อสูญเสียญาติที่รักบางคน หรือปรารถนาญาติที่รักบางคน แต่ไม่ได้ดังต้องการนั่นเอง ในจำนวน ๒ อย่างนั้น ท่านสูญเสียอิฏฐผลข้อไหน ก็ท่านปรารถนาอะไร จึงมาที่นี้ ? ขอจงบอกเรื่องนี้แก่เราโดยเร็วเถิด
ลำดับนั้น พราหมณ์เมื่อจะบอกเหตุแห่งความโศกของตนแก่ พระมหาสัตว์ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:
[๑๐๑๕] (รุกขเทวดาตนหนึ่งกล่าวว่า) เมื่อข้าพเจ้าไปสู่เรือนวันนี้ ภรรยาของ
ข้าพเจ้าจะตาย เมื่อข้าพเจ้าไม่ไป ความตายจะมีแก่ข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้า
เป็นผู้หวาดเกรงด้วยทุกข์นี้ ข้าแต่เสนกบัณฑิต ขอท่านจงบอกเหตุนี้
แก่ข้าพเจ้าเถิด
ได้ทราบว่า เทวดานั้น ควรจะบอกว่า พราหมณ์ ในไถ้ของท่านมีงูเห่าหม้อ แต่ไม่บอกดังนั้น ทั้งนี้ก็เพื่อจะประกาศอานุภาพญาณของพระโพธิสัตว์
พระมหาสัตว์ได้ฟังคำของพราหมณ์ แล้วจึงแผ่ข่ายญาณไป เหมือนเหวี่ยงแหลงในน่านน้ำทะเล คิดแล้วว่า เหตุแห่งการตายของสัตว์เหล่านี้มีมาก คือจมทะเลไปบ้าง ถูกปลาร้ายในทะเลนั้นคาบไปบ้าง ตกลงไปในน้ำบ้าง ถูกจระเข้ในแม่น้ำนั้นคาบไปบ้าง ตกต้นไม้บ้าง ถูกหนามแทงบ้าง ถูกประหารด้วยอาวุธนานาประการบ้าง กินยาพิษเข้าไปบ้าง ปีนขึ้นภูเขาแล้วตกลงไปในเหวบ้าง หรือถูกโรคนานาประการ มีหนาวจัดเป็นต้น เบียดเบียนบ้าง ตายเหมือนกันทั้งนั้น เมื่อเหตุแห่งการตายมีมากอย่างนี้ ด้วยเหตุอะไรหนอแล ที่วันนี้ถ้าพราหมณ์นั้นอยู่ระหว่างทางจึงจักตายเอง แต่เมื่อไปถึงบ้าน ภรรยาของเขาจักตาย
เมื่อพระมหาสัตว์กำลังคิดอยู่นั้นก็ได้มองเห็นไถ้อยู่บนคอของพราหมณ์ ก็รู้ได้ด้วยญาณ คือความฉลาดในอุบายว่า ในไถ้นี้คงมีงูตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปอยู่ข้างในและเมื่อจะเลื้อยเข้าไป มันคงจะเลื้อยเข้าไปเพราะกลิ่นข้าวตู ในเมื่อพราหมณ์คนนี้กินข้าวตู ในเวลาอาหารเช้าไม่ได้ผูกปาก ไถ้ไว้เลย แล้วไปดื่มน้ำ พราหมณ์ดื่มน้ำ แล้วมาไม่ทราบว่างูเข้าไปอยู่ในไถ้แล้ว คงจักผูกปากไถ้แล้วก็แบกเอาไป พราหมณ์นี้นั้น เมื่อพักอยู่ระหว่างทาง ก็จักแก้ไถ้สอดมือเข้าไป ด้วยตั้งใจว่า เราจักกินข้าวตู ณ สถานที่พักในเวลาเย็น เมื่อเป็นเช่นนั้นงูก็จะกัดมือเขาให้ถึงสิ้นชีวิต นี้คือเหตุแห่งการตายของพราหมณ์ผู้พักอยู่ระหว่างทาง
แต่ถ้าพราหมณ์ไปถึงบ้านไซร้ ไถ้จักตกถึงมือของภรรยา นางก็จักแก้ไถ้ เอามือล้วง ด้วยตั้งใจว่า จักดูของอยู่ข้างใน เมื่อเป็นเช่นนั้น งูก็จักกัดนางให้ถึงความสิ้นชีพ นี้คือเหตุแห่งการตายของภรรยาของเขา
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ได้มีความดำรินี้ว่า งูเห่าหม้อตัวนี้กล้าหาญ ควรจะให้มันปลอดภัย เพราะว่างูตัวนี้ แม้จะกระทบสีข้างใหญ่ของพราหมณ์ ก็ไม่แสดงความหวั่นไหวหรือความดิ้นรนของตน ถึงในท่ามกลางบริษัทชนิดนี้ ก็ไม่แสดงความมีอยู่ของตน เพราะฉะนั้น งูเห่าหม้อตัวนี้ที่กล้าหาญ จึงควรปลอดภัย แม้เหตุการณ์ดังที่ว่ามานี้ พระมหาสัตว์ก็ได้รู้ด้วยญาณ คือความเป็นผู้ฉลาดในอุบายนั่นเอง เหมือนเห็นด้วยทิพย์จักขุ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระมหาสัตว์กำหนดด้วยญาณ คือความเป็นผู้ฉลาดในอุบายนั่นเอง เหมือนคนยืนดูงูที่กำลังเลื้อยเข้า ไปในไถ้ ท่ามกลางบริษัทที่มีพระราชา เมื่อจะแก้ปัญหาของพราหมณ์ จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า:
[๑๐๑๖] เราคิดเห็นเหตุเป็นอันมากได้ตลอดแล้ว บรรดาเหตุเหล่านั้น เหตุที่เราจะ
บอกเป็นความจริง ดูกรพราหมณ์ เราเข้าใจว่าเมื่อท่านมิได้รู้สึก งูเห่า
ตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปในไถ้ข้าวสัตตูของท่าน
ก็แหละพระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงถามว่า พราหมณ์ มีไหมข้าวตูในไถ้ของท่านนั้น ?
พราหมณ์ มี ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ วันนี้ เวลาอาหารเช้า ท่านนั่งกินข้าวตูละสิ ?
พราหมณ์ ใช่ ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ นั่ง ที่ไหนล่ะ ?
พราหมณ์ ที่ควงไม้ ในป่า
พระมหาสัตว์ ท่านกินข้าวตูแล้ว เมื่อไปดื่มน้ำ ไม่ได้ผูกปากไถ้ล่ะสิ ?
พราหมณ์ ไม่ได้ผูก ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ ท่านดื่มน้ำแล้วมา ไม่ได้ตรวจดูไถ้ผูกเลยสิ ?
พราหมณ์ ไม่ได้ดู ผูกเลย ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ พราหมณ์ เราเข้าใจว่า ในเวลาท่านไปดื่มน้ำ งูเข้าไป ในไถ้แล้ว เพราะได้กลิ่นข้าวตูของท่านซึ่งไม่รู้ตัวเลย เมื่อท่านได้มาที่นี้อย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้น ให้ยกไถ้ลงวางไว้ท่ามกลางบริษัท แก้ปากไถ้ออก แล้วเลี่ยงไปยืนอยู่ห่างพอควร ถือไม้ท่อนหนึ่งเคาะไถ้ก่อน ต่อจากนั้น ก็จักเห็นงูเห่าหม้อ แผ่แม่เบี้ย เห่าฟ่อๆ เลื้อยออกมา แล้วหายสงสัย ดังนี้ แล้วจึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า:
[๑๐๑๗] ท่านจงเอาท่อนไม้เคาะไถ้ดูเถิด จะเห็นงูแลบลิ้นมีน้ำลายไหลเลื้อยออก
จากไถ้ ท่านจะสิ้นความสงสัยเคลือบแคลงวันนี้แหละ ท่านจะได้เห็นงู
เดี๋ยวนี้แหละ จงแก้ไถ้เถิด
พราหมณ์ได้ฟังคำของพระมหาสัตว์ แล้วสลดใจถึงความกลัว ได้ทำตามนั้น ฝ่ายงูพอถูกไม้เคาะขนดก็เลื้อยออกจากปากไถ้ เห็นผู้คนมากมาย จึงได้หยุดอยู่
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า:
[๑๐๑๘] พราหมณ์นั้นสลดใจ ได้แก้ไถ้ข้าวสัตตู ณ ท่ามกลางบริษัท ลำดับนั้น
งูพิษมากได้แผ่แม่เบี้ยเลื้อยออกมา
ในเวลางูแผ่แม่เบี้ยออกมา คำพยากรณ์ของพระมหาสัตว์ได้เป็น เสมือนคำพยากรณ์ของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า มหาชนพากันชูผ้าขึ้น เป็นจำนวนพัน ยกนิ้วขึ้นดีดหมุนไปรอบๆ เป็นพันๆ ครั้ง ฝนแก้ว ๗ ประการตกลงมา เหมือนลูกเห็บตก สาธุการก็เป็นไปเป็นจำนวนพันๆ เสียงดังปานประหนึ่งมหาปฐพีจะถล่มทะลาย ก็ธรรมดาการแก้ปัญหาด้วยพุทธลีลาแบบนี้ ไม่ใช่เป็นพลังของชาติ ไม่ใช่เป็นพลังของโคตร ของตระกูล ของประเทศ ของยศและของทรัพย์ทั้งหลาย แต่เป็นพลังของอะไรหรือ เป็นพลังของปัญญา ด้วยว่าบุคคลผู้มีปัญญา เจริญวิปัสสนา แล้วจะเปิดประตูอริยมรรคเข้าอมตมหานิพพานได้ ทะลุทะลวงสาวกบารมีบ้าง ปัจเจกโพธิญาณบ้าง สัมมาสัมโพธิญาณบ้าง เพราะว่าบรรดาธรรมทั้งหลายที่จะให้บรรลุอมตมหานิพพาน ปัญญาเท่านั้นประเสริฐที่สุด ธรรมทั้งหลายที่เหลือเป็นเพียงบริวารของปัญญา เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสไว้ว่า:
ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวว่า ปัญญาแล
ประเสริฐที่สุด เหมือนดวงจันทร์ประเสริฐกว่า
ดวงดาวทั้งหลาย ฉะนั้น ศีลก็ดี แม้สิริก็ดี
ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายก็ดี เป็นสิ่งคล้อย
ตามผู้มีปัญญา
ก็แล เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวแก้ปัญหาอย่างนี้ แล้วหมองูคนหนึ่ง ก็จับงูไปปล่อยในป่า พราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระราชา ให้พระองค์ทรงมีชัย แล้วประคองอัญชลี เมื่อจะสดุดีพระราชา จึงกล่าวคาถากึ่งคาถาว่า:
[๑๐๑๙] การที่พระเจ้าชนกได้ทรงเห็นเสนกบัณฑิต ผู้มีปัญญา ให้สำเร็จประ
โยชน์กิจทั้งปวง เป็นลาภ อันพระองค์ได้ดีแล้ว
คาถานั้นมีอรรถาธิบายว่า พระชนกพระองค์ใดทรงลืมพระนคร แล้วได้ทรงเห็นเสนกบัณฑิตผู้มีปัญญาดี ด้วยพระเนตรที่น่ารักทุกขณะที่ทรงปรารถนานั้น เป็นลาภที่พระองค์
ก็แหละ ครั้นถวายสดุดีพระราชา แล้วพราหมณ์ได้หยิบเอาเงิน ๗๐๐ กหาปณะออกมาจากไถ้ ประสงค์จะสดุดีพระมหาสัตว์ให้ความชื่นชม จึงกล่าวคาถา ๑ กับครึ่งคาถาว่า:
ท่านเป็นผู้เปิดหลังคา
คือ กิเลสได้แล้วหนอ เป็นผู้เห็นแจ้งในสิ่งทั้งปวง ข้าแต่พราหมณ์
ความรู้ของท่านน่าพิศวงยิ่งนัก ข้าพเจ้ามีทรัพย์อยู่ ๗๐๐ ขอท่านจงรับ
ไว้เถิด ข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหมด ข้าพเจ้าได้ชีวิตในวันนี้ ก็เพราะท่าน
อนึ่ง ท่านยังได้ทำความสวัสดีให้แก่ภรรยาของข้าพเจ้าอีกด้วย
พระโพธิสัตว์ ครั้นได้ยินคำนั้น แล้วจึงกล่าวคาถาที่ ๘ ว่า:
[๑๐๒๐] บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่รับรางวัล เพราะคาถา อันวิจิตรที่ตนกล่าวดีแล้ว
ดูกรพราหมณ์ ท่านจงให้ทรัพย์ของท่านที่ใกล้เท้าของเรานี้เสียก่อน* แล้ว
จงถือเอาไปยังเรือนของตนเถิด
ก็แหละ พระมหาสัตว์ครั้นพูดอย่างนี้ แล้วก็ให้กหาปณะแก่ พราหมณ์อีก ๓๐๐ กหาปณะให้ทรัพย์นั้นเต็มพัน แล้วถามว่า พราหมณ์ ใครส่งท่านมาหาขอทรัพย์ ?
พราหมณ์ ภรรยาของผม ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ ก็ภรรยาของท่าน แก่หรือสาว ?
พราหมณ์ สาว ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ ถ้าอย่างนั้น เขาคงประพฤติอนาจารกับชายอื่น จึงส่งท่านไป ด้วยหมายใจว่าจักได้ประพฤติอนาจารได้อย่างปลอดภัย พระมหาสัตว์บอกว่า ถ้าหากท่านนำกหาปณะเหล่านี้ไปถึงเรือนแล้วไซร้ นางจักให้กหาปณะที่ท่านได้มาด้วยความลำบากแก่ชู้ของตน เพราะฉะนั้น ท่านอย่าตรงไปบ้านทีเดียว ควรเก็บกหาปณะไว้ที่ควงไม้หรือที่ใดที่หนึ่งนอกบ้าน แล้วจึงเข้าไป ดังนี้ แล้วจึงส่งเขาไป
พราหมณ์นั้นไปใกล้บ้าน แล้วเก็บกหาปณะไว้ใต้ควงไม้ต้นหนึ่ง แล้วจึงได้ไปบ้านในเวลาเย็น ขณะนั้น ภรรยาของเขาได้นั่งอยู่กับชายชู้ พราหมณ์ยืนที่ประตู แล้วกล่าวว่า น้องนาง นางจำเสียงเขาได้ จึงดับไฟปิดประตู เมื่อพราหมณ์เข้าข้างในแล้วจึงนำชู้ออกไปให้ยืนอยู่ริมประตู แล้วก็เข้าบ้าน ไม่เห็นอะไรในไถ้ จึงถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านไปเที่ยวขอได้อะไรมา
พราหมณ์ ได้กหาปณะพันหนึ่ง
ภรรยา เก็บไว้ที่ไหน ?
พราหมณ์ เก็บไว้ที่โน้น พรุ่งนี้เช้าจึงจักเอามา อย่าคิดเลย
นางไปบอกชายชู้ เขาจึงออกไปหยิบเอาเหมือนของตนที่เก็บไว้เอง ในวันรุ่งขึ้นพราหมณ์ไปแล้วไม่เห็นกหาปณะ จึงไปหาพระโพธิสัตว์ เมื่อถูกถามว่า เรื่องอะไร พราหมณ์ ? จึงบอกว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นกหาปณะ ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ ก็ท่านบอกภรรยาของท่านละสิ
พราหมณ์ ถูกแล้ว ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ก็รู้ว่า นางนั้นบอกชายชู้ จึงถามว่า ดูก่อนพราหมณ์ ก็ภรรยาของท่าน มีพราหมณ์ประจำตระกูลไหม ?
พราหมณ์ มี ท่านบัณฑิต
พระมหาสัตว์ ฝ่ายท่านล่ะ มีไหม
พราหมณ์ มี ท่านบัณฑิต
จึงพระมหาสัตว์ได้ให้พราหมณ์ถวายเสบียงอาหารแก่พราหมณ์ประจำตระกูลนั้น เป็นเวลา ๗ วัน แล้วบอกว่า ไปเถิดท่าน วันแรก จงเชื้อเชิญพราหมณ์มารับประทาน ๑๔ คน คือ ฝ่ายท่าน ๗ คน ฝ่ายภรรยา ๗ คน ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป ให้ลดลงวันละ ๑ คน ในวันที่ ๗ จึงเชื้อเชิญ ๒ คน คือ ฝ่ายท่าน ๑ คน ฝ่ายภรรยาของ ท่าน ๑ คน ท่านจงจำพราหมณ์คนที่ภรรยาของท่านเชื้อเชิญมาตลอด ๗ วันเป็นประจำนั้นไว้ แล้วมาบอกข้าพเจ้า
พราหมณ์ทำตามนั้น แล้วจึงบอกแก่พระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่ท่านบัณฑิต ข้าพเจ้าจำพราหมณ์ผู้มารับประทานเป็นนิจไว้แล้ว พระโพธิสัตว์ส่งบุรุษไปกับพราหมณ์นั้น ให้นำพราหมณ์คนนั้นมา แล้วถามว่า ท่านเอากหาปณะพันหนึ่งที่เป็นของพราหมณ์คนนี้ไปจากควงไม้ต้นโน้นหรือ ?
พราหมณ์ คนนั้นปฏิเสธว่า ผมไม่ได้เอาไป ท่านบัณฑิต
พระโพธิสัตว์บอกว่า ท่านไม่รู้จักว่าเราเป็นเสนกบัณฑิต เราจักให้ท่านนำกหาปณะมาคืน เขากลัว จึงรับว่า ผมเอาไป
พระมหาสัตว์ ท่านเอาไปเก็บไว้ที่ไหน
พราหมณ์ เก็บไว้ ณ ที่นั้นนั่นเอง ท่านบัณฑิต
พระโพธิสัตว์ จึงถามพราหมณ์ผู้เป็นสามีว่า พราหมณ์ หญิง คนนั้นนั่นเอง เป็นภรรยาของท่านหรือ ? หรือจักรับเอาคนอื่น
พราหมณ์ เขานั่นแหละเป็นของผม ท่านบัณฑิต
พระโพธิสัตว์ส่งคนไปให้นำกหาปณะของพราหมณ์และนางพราหมณีมา แล้วบังคับให้พราหมณ์ผู้เป็นโจรมอบกหาปณะแก่พราหมณ์ แล้วให้ลงพระราชอาชญาแก่พราหมณ์ผู้เป็นโจร เนรเทศออกจากพระนครไป และให้ลงพระราชอาชญาแก่พราหมณี ให้ยศใหญ่แก่พราหมณ์ แล้วให้อยู่ในสำนักของตนนั่นเอง
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย ในที่สุดแห่งสัจธรรม คนจำนวนมากได้ทำให้แจ้ง ซึ่งโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้แก่ พระอานนท์ในบัดนี้ รุกขเทวดา ได้เป็น พระสารีบุตร บริษัท ได้แก่ พุทธบริษัท ส่วนเสนกบัณฑิต ได้แก่ เราตถาคตฉะนี้แล
จบ เสนกชาดก



http://board.agalico.com/showthread.php?t=29006

<!-- / message -->