เข้าสู่ระบบ

แสดงเวอร์ชันเต็ม : โศลก..ว่าด้วยนิรรูป จากพระสูตรของท่านเว่ยหลาง



*8q*
04-16-2009, 08:15 PM
http://www.webboard.mahamodo.com/webboard_others/wb/dharma/images_upload_answer/Qid_000931_ans005470_25491214_1014.jpg



โศลก..ว่าด้วยนิรรูป...



ผู้มีใจเที่ยงธรรม การรักษาศีลไม่เป็นของจำเป็น



ผู้มีความประพฤติตรงแน่ว การปฏิบัติในทางฌานมันจะมีมาเอง
(แม้จะไม่ตั้งใจทำ)



สำหรับหลักแห่งการกตัญญูกตเวทีนั้นเราอุปัฏฐากบิดา มารดา
รับใช้ท่านอย่างฐานลูก



สำหรับหลักแห่งความเป็นธรรมนั้น ผู้ยิ่งใหญ่กับผู้ต่ำต้อย
ยืนเคียงข้างอาศัยกันและกัน
(ในคราวคับขัน)



สำหรับแห่ง ความปรารถนาดีต่อกันนั้น
ผู้อาวุโสกับผู้อ่อนอาวุโส
ต้อง
สมัครสมานกัน



สำหรับหลักแห่งขันตินั้น เราไม่ให้มีการทะเลาะเบาะแว้ง
แม้
จะตกอยู่ทามกลางของหมู่อมิตร
อันกักขฬะ



ถ้าเรามีความเพียรรอคอยจนได้ไฟอันเกิดจาการเอาไม้มากัน
เมื่อนั้น
บัวสีแดง (พุทธภาวะ) ก็จะโผล่ออกมาเองจากตมสีดำ
(ความมืดมิดก่อนตรัสรู้)



สิ่งทีมีรสขม ย่อมถูกใช้เป็นยาที่ดี



สิ่งที่ฟังแล้วไม่ไพเราะหูนั้นคือคำตักเตือนอัน
จริงใจ
ของผู้เตือนที่แท้จริง จากการแก้ไขความผิดให้กลับเป็นของถูก
เราย่อมได้รับสติปัญญา โดยการต่อสู้เพื่อรักษาความผิดของตัวไว้
เราแสดงนิมิตแห่งความมีจิตผิดปกติ
ออกมา



ในวันหนึ่งๆ ที่ชีวิตล่วงไปเราควรปฏิบัติ
ความไม่เห็นแก่ตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าพุทธภาวะนั้น
ไม่มีหวังที่จะได้มาจากการให้เงิน
เป็นทาน



โพธิปัญญานั้น หาพบได้
เฉพาะ
จากภายในใจของ
เราเอง



http://www.dhammajak.net/images/stories/flower_4/flower-sample3.jpg



http://board.agalico.com/showthread.php?t=29155

*8q*
04-16-2009, 08:17 PM
" ในใจตน แท้จริงมีพุทธะ"



และ พากันมุ่งเสาะแสวงหาหนทางหลุดพ้นจากภายนอก.. ที่ซึ่งยิ่งหา ยิ่งเดิน ก็ยิ่งไกล จากสภาวะอันแท้จริงนั้น ไปทุกทีค่ะ..



** (ขออนุญาติอธิบายความหมายของคำว่า อาสวะกิเลส ไว้ข้างล่างนี้ด้วยนะคะ เผื่อผู้ที่ไม่เคยรู้/เพิ่งเริ่มศึกษา จะได้เข้าใจได้มากยิ่งขึ้นค่ะ..^^) **


อาสวะกิเลส หมายถึง กิเลสสิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัวหรือรับคุณธรรมได้ยาก ที่แอบซ่อนนอนเนื่องซึมซาบย้อมจิต เพียงรอสิ่งที่มากวน มากระตุ้นเร้าให้กิเลสที่นอนเนื่องตกตะกอนนอนก้น คืออยู่ในลักษณาการที่ดับลงไปอย่างชั่วคราวที่อยู่ในจิตให้ขุ่นมัวคุกรุ่นขึ้นมาเป็นกิเลสหรือองค์ธรรมสังขารกิเลสต่อไปนั่นเอง กล่าวคือ ไปเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกันร่วมกับอวิชชา (http://javascript%3cb%3e%3c/b%3E:na_open_window%28%27win%27,%20%27342.htm%27,%200,%200,%20750,%20350,%200,%200,%200,%201,%201%29) จึงยังให้เกิดองค์ธรรมสังขารความคิดหรือการกระทำตามที่ได้สั่งสมไว้หรือสังขารกิเลส และกำเริบเสิบสานดำเนินต่อไปให้เป็นอุปาทานทุกข์ เวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์ต่อไป
หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ดังนี้ก็ได้ว่า อาสวะกิเลส คือ ความจำ แต่แตกต่างจากสัญญาหรือความจำโดยทั่วไปหรือความจำในขันธ์ ๕ กล่าวคือ ประกอบด้วยสิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัวเศร้าหมองที่นอนเนื่องอยู่ในจิต กล่าวคือ มีความจำได้อยู่ในจิต อันอาศัยหทัยวัตถุหรือสมอง แต่ยังไม่ได้เกิดการผุดระลึกขึ้นมา และประกอบไปด้วยสิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัวหรือเศร้าหมองเนื่องจากแฝงด้วยกิเลสต่างๆอันสั่งสมมาแต่อดีต ดังเช่น กิเลสตัณหาอุปาทานต่างๆในอดีตทั้งหลายนั่นเอง