PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : คุณของบิดามารดา



*8q*
04-23-2009, 06:24 PM
คุณของบิดามารดา


ธรรมเทศนา โดยพระอาจารย์วัน อุตฺตโม

๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๒



วันนี้ พวกท่านทั้งหลายมาเพื่อเป็นการบำเพ็ญกุศลหาบุพชน คือผู้ที่เป็นญาติผู้ใหญ่ของพวกท่านทั้งหลาย ได้แก่ปู่ ย่า ตา ยายที่ล่วงลับดับจิตไปแล้ว เราจะไม่มีโอกาสได้พบได้เห็นกันในชีวิตนี้ เรียกว่าจากกันไปโดยไม่กลับ ถึงจะกลับมาเกิดเราก็ไม่รู้ ก็จะเปลี่ยนรูปร่างเป็นคนใหม่แล้ว เราไม่สามารถพบกันได้ นอกจากว่าผู้นั้นจะจำชาติของตนได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีความคิดถึงผู้ที่ล่วงลับดับจิตไป โดยถือว่าท่านเป็นผู้ที่มีคุณ ท่านได้เลี้ยงดู ได้ก่อรกรากเป็นเหล่าเป็นกอให้แก่พวกเราที่เป็นลูกเป็นหลาน ก็นับว่าพวกเรานี้เป็นหนี้บุญหนี้คุณในท่านผู้ที่มีคุณ บุคคลผู้ใดระลึกถึงคุณในท่านผู้มีบุญ ตอบแทนคุณของท่านที่มีคุณ ท่านถือว่าเป็นบุคคลดี

การกระทำในการตอบแทนคุณ เช่น แสดงความเคารพนับถือถึงคำสอนของท่านที่เคยบอก เคยสอน เคยแนะนำ เคยอบรมเราเรายังมีความระลึกถึงในคำสอนทั้งหลายเหล่านั้น ก็เรียกว่าเราเป็นคนดีอย่างหนึ่ง และเราจะหาทางตอบสนองบุญคุณของท่านด้วยความเป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตัวเป็นคนชั่ว ไม่ทำตัวของเราให้เป็นคนมีบาป พยายามทำความดีให้เกิดขึ้นในตัวของเรา เมื่อเราบำเพ็ญบุญกุศลเสร็จแล้ว เราอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนั้นส่งไปเพื่อให้ท่านได้รับ การกระทำทั้งหลายเหล่านี้เรียกว่า ตอบแทนคุณ เพราะเราเป็นลูกหนี้ของท่าน ให้มาคิดเสียว่ารูปร่างกายของเราได้มาจากบิดามารดา เราจึงมีรูปร่างกายอันนี้ ถึงเราจะเป็นหลานก็สืบต่อมาจากท่าน เรามีรูปร่างกายอันนี้ เราไปแบ่งเอารูปกายท่านมาเป็นของเรา อันนี้ก็เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งที่เราได้จากบิดามารดา ถ้าหากเราจะคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็คิดว่าเราอยู่ในท้องของมารดานั้นเป็นเวลาเก้าถึงสิบเดือน เราจึงได้คลอดออกมา

ถ้าเรามาคิดถึงการเช่าจะเป็นราคาเท่าใดเรียกว่าเช่าเกิด แต่นี่เราอาศัยท้องมารดาเป็นที่เกิด จะมาคิดราคาในการเช่าก็จะยังประมาณราคามิได้ เพราะเวลาที่บุตรเกิดขึ้นมาในท้องมารดานั้นจะต้องเสี่ยงกับชีวิตของตน ถ้าแบบที่ว่าเขามาเช่าบ้านของเราในฐานะว่าเราเป็นคนเลี้ยงชีวิตของคนที่มาเช่านั้น แล้วเราจะยินยอมให้เช่าไหม คงไม่มีใครจะยินดียอมให้เช่า ถ้าในลักษณะนั้น แต่เรามาเกิดในท้องของมารดา มารดาจะต้องเสี่ยงชีวิตของตน คือว่าจะต้องวิตกกังวลว่าตัวเองจะตายหรือจะยังอยู่ เป็นปัญหาที่เกิดความหนักอกหนักใจแก่ผู้ที่เป็นมารดา ที่มีท้องตั้งครรภ์ขึ้นมาแล้ว ต้องวิตกกังวลทั้งกลัวว่าลูกในท้องจะต้องตายอีกทั้งกลัวตัวเองจะต้องพลาดท่าตายอีกเพราะผู้ที่ตายให้เห็นเป็นหลักฐานพยานก็มีอยู่ดาษดื่น ให้รู้กันเห็นกัน ตายในเวลาที่มีครรภ์ก็มีเป็นจำนวนมาก ใครที่มีท้องก็ต้องหวั่นวิตกภัยของชีวิต

แต่ก็ด้วยความจงรักภักดีในบุตรที่มาเกิดกับตนก็มีความดีอกดีใจอีก ยังปรารถนาให้บุตรของตนนั้นมีความเจริญก้าวหน้า ถึงจะมีความทุกข์ความลำบากก็สู้ทนกันไป เพราะด้วยความจงรักภักดีความปรารถนาดี เมื่อบุตรเกิดขึ้นมาทุกคนก็ต้องมีความรัก แม้แต่สัตว์ก็มีความรักเช่นเดียวกัน การรักบุตรนี้ก็เท่ากับรักชีวิตของตนเองหรืออาจจะยิ่งกว่าชีวิตตนเองก็ได้ นี้เป็นความรักของมารดาบิดา แม้บิดาไม่ได้เป็นคนที่มีท้องก็จริงอยู่ แต่ก็มีความรักในบุตรของตนตั้งแต่แรกเกิดมา ร่วมกันรักทั้งสองคนทั้งสามีและภรรยา ก็ด้วยความรักของท่านนั่นเองจึงได้มีการบริหารครรภ์ของตนให้เป็นไปในทางที่ดีที่ชอบ ไม่ให้กระทบกระเทือน แม้แต่อาหารที่บริโภค มารดาก็ต้องเลือก แม้อาหารที่ชอบบางอย่างก็ต้องเว้น กลัวบุตรที่อยู่ในท้องของตนจะเป็นอันตราย

บางครั้งมารดาเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ในการที่จะรักษาอาการป่วยของตนเอง ยาบางอย่างที่จะต้องแก้โรคนั้นโดยเฉพาะมีอยู่ แต่ว่าจะไปทำลายครรภ์ ทำลายบุตรที่อยู่ในท้องของตนก็ต้องงด เพราะกลัวบุตรจะเกิดอันตรายนั่นเอง ก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมานไป จะรับประทานยาก็หาแต่ยาที่ไม่เป็นอันตรายแก่บุตรของตนที่อยู่ในท้อง นี่ก็ด้วยความจงรักภักดี แล้วก็อุ้มท้องของตัวเองไปมาเป็นการที่ลำบาก ถ้าจะมาคิดเป็นค่าเช่าแล้วจะเป็นราคาแพงเดือนละเท่าใด เหล่านี้เราจะรู้สึกว่าบิดามารดาของเราเป็นผู้ที่มีคุณแก่ตัวของเรามาก เวลาคลอดออกมาแล้วก็ยังอาศัยการเลี้ยงดูด้วยความทะนุถนอมทุกวิถีทางที่จะให้ลูกของตนมีความเจริญก้าวหน้า และยังมีชีวิตอยู่ อยากจะให้เจริญเติบโต จะเสียเงินเสียทองกับการที่เลี้ยงลูกของตนเท่าใดก็จำเป็นต้องเสียสละโดยไม่ได้คิดบัญชี ไม่มีใครลงบัญชีไว้ว่าลูกคนนี้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนกระทั่งคลอดออกมาจนเติบโต ต้องใช้จ่ายเท่าใด หากว่าเราจะมาคิดประมาณแล้วก็ตกไปคนละหลายแสน กว่าที่บุตรจะเจริญเติบโตรู้บรรลุนิติภาวะไปได้

เราจะไปคิดว่ามันเป็นธรรมดา แต่ว่ามันประกอบไปด้วยคุณที่เราจะต้องคิด ให้มีความสำนึกขึ้นในจิตของเรา เราจึงจะได้ไม่เมินเฉย เมื่อเวลาเราเติบโตขึ้นมาแล้ว เรารู้จักคุณ ระลึกถึงคุณของบิดามารดา เราจะได้ประพฤติตนให้เป็นคนดี ระหว่างอยู่ในวัยการศึกษา เราก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้สำเร็จลุล่วงไป เราจะได้ช่วยเปลื้องภาระของบิดามารดา ช่วยงานของท่านให้ได้เบามือลงไป จะต้องตั้งใจช่วยการช่วยงาน เห็นว่าเราทำการงานก็ได้แล้วรู้วิธีที่ประกอบการงานได้เรียบร้อยแล้ว เราก็พยายามที่จะปลดเปลื้องภาระของบิดามารดา เรียกว่าเกษียณงานให้แก่ท่าน ให้ท่านได้อยู่ดี อยู่สบาย เข้าวัดเข้าวาจำศีลภาวนาไป หรือเมื่อเวลาท่านเจ็บป่วย เราก็ต้องเอาใจใส่รักษา ท่านเลี้ยงเรามาอย่างไร เราก็คิดเลี้ยงท่านอย่างนั้นจึงจะเป็นการเหมาะสม เวลาท่านแก่ไปแล้ว เราก็มีการอุปัฏฐากรักษาให้ความสะดวกแก่ท่าน

ในเวลาที่แก่ ถึงแม้ท่านจะด่า จะว่า จะบ่น ก็ด้วยเจตนามุ่งดีต่อเรานั่นเอง เราจะไปถือโกรธถือเกลียดขึ้นมาก็ไม่ถูกต้อง เพราะท่านปรารถนาดี เวลาเราเป็นเด็กๆ เวลาเราดื้อด้านมา ท่านก็ตี บางทีก็หนักมือไปหน่อยถึงกับเลือดตกยางออก บิดามารดาก็เกิดความเสียใจถึงกับร้องไห้ก็มี เพราะความเอ็นดูสงสาร ทำก็ทำด้วยเจตนาที่ดีนั่นเอง แต่บางครั้งคนเราก็มีกิเลส ขณะนั้นมีกิเลสเข้ามาแทรกมันก็เลยหนักมือไปบ้าง ถ้าอย่างนี้ เราผู้เป็นลูกก็อย่าไปถือเสีย หรือเวลาท่านบ่น ท่านว่า บางครั้งก็ว่าหนักไป อันนี้เรียกว่าเป็นธรรมดา ท่านก็ยังไม่ตัดรักในตัวของเรา แม้ว่าลูกจะชั่วช้าลามกประการใดก็ตาม บิดามารดานี้ยังมีความปรารถนาดีอยู่ ตัดทิ้งลูกของตนไม่ได้

ดูแต่ท่านองคุลิมาลที่เป็นมหาโจร มารดาก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นมหาโจร แต่มารดาก็ยังมีความรักในบุตร คิดว่าจะไปนำเอาบุตรมาไว้ให้ละเสียจากความเป็นมหาโจรนั้น ใครๆจะห้ามก็ไม่ฟัง รุ่งขึ้นจะเดินไปหาบุตรให้ได้ ทว่าในขณะนั้นองคุลิมาลยังมีใจเหี้ยมโหดอยู่ ยังปรารถนาจะฆ่าคนให้ครบพัน ยังเหลืออีกคนเดียวเท่านั้นจึงจะครบพัน หากว่ามารดาไปหาเสียในขณะนั้นก็คงจะต้องถูกทำลายชีวิต เพราะองคุลิมาลจะไม่เว้นเสียแล้ว จะเอาให้ครบพันตามที่อาจารย์บอก เผอิญพระพุทธเจ้าล่วงหน้าไปเสียก่อน เรียกว่าไปช่วยรับความตายนี้แทนมารดาขององคุลิมาล ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ไปช่วยเสียก่อน มารดานี้ก็จะถูกลูกฆ่าตายแน่นอน รู้อยู่แล้วว่ามันจะฆ่า ก็ให้ฆ่า มารดาจะไปให้ถึงบุตรจนได้ทั้งนี้ก็ด้วยความรักของมารดานั่นเอง จึงตัดไม่ขาด ความรักมันมีอยู่

พวกเราก็ให้คิดประกอบเหตุผลนี้ หากว่าเรามีลูกเกิดขึ้นมา เราจะรู้ว่าเรารักลูกของเราเท่าใด มารดาบิดาก็รักเช่นเดียวกับเรานั่นเอง อย่างพระเจ้าอชาตศัตรูในเวลาที่หลงเชื่อพระเทวทัต ได้เอาพระราชบิดาไปขังไว้ แล้วให้ทรมานไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนพระราชมารดาเข้าไปหาได้เอาข้าว อาหารซ่อนไป พระเจ้าอชาตศัตรูรู้ต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจ ก็เลยเอาซ่อนเข้าไปไม่ได้ ด้วยความจงรักภักดีของมเหสี ก็เลยเอาข้าวมาขยำใส่น้ำแล้วก็ทาตัวเข้าไป ให้พระราชสามีได้ลิ้มเลียกินเป็นอาหาร ลูกชายรู้เข้า ห้ามมารดาไม่ให้เข้าไปหา ดังนั้น พระเจ้าพิมพิสารก็ไม่มีอาหารจะเสวย ก็เดินจงกรมอยู่ไปก็ไม่ตาย ด้วยอำนาจปีติที่เกิดจากการภาวนา
พระเจ้าอชาตศัตรูผู้เป็นลูกรู้ว่ามีชีวิตอยู่ด้วยการเดินจงกรม ให้คนไปผ่าพื้นเท้าแล้วเอาเกลือใส่ทำให้เดินไม่ได้ ในที่สุดพระเจ้าพิมพิสารก็สวรรคตตายในคืนนั้น เผอิญภรรยาของพระเจ้าอชาตศัตรูก็คลอดลูกในคืนของวันนั้นด้วย รุ่งเช้าพวกอำมาตย์จะเข้าไปทูลพระราชาของตน ก็ปรึกษากันว่าจะทูลเรื่องอะไรก่อน ก็ลงความเห็นกันว่า เรื่องตายเป็นอัปมงคล เรื่องเกิดเป็นมงคล ควรที่จะทูลเรื่องเกิดก่อน จึงจะทูลเรื่องตายต่อทีหลัง อำมาตย์ก็เข้าไปเฝ้าแล้วก็กราบทูลต่อพระเจ้าอชาตศัตรูว่า เมื่อคืนนี้พระมเหสีของพระองค์ได้ประสูติบุตรแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูก็ตรัสถามว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย อำมาตย์ก็ทูลว่าเป็นชาย พอรู้ว่าลูกของตนเกิดยังไม่ได้พบหน้าเท่านั้น ความรักในโลกอันนี้ก็เข้ามาหุ้มห่อจิตใจเสียแล้ว ก็คิดถึงพระราชบิดา ก็เลยถามว่า พระราชบิดาของเราผาสุกดีอยู่หรือ อำมาตย์ก็ทูลว่า สวรรคตแล้วเมื่อคืนนี้

เท่านั้นแหละ ความเสียใจกลับพุ่งขึ้นมาเหมือนกับว่าดวงใจนี้จะต้องแตกต้องทำลาย ไม่มีที่จะอยู่จะกิน เสียใจต่อไป ภายหลังหมอโกมารภัจจึงแนะนำให้ไปหาพระพุทธเจ้า เพื่อบรรเทาความทุกข์ความเดือดร้อน พระเจ้าอชาตศัตรูจึงได้เสด็จไปหาพระพุทธเจ้าที่วัดอัมพวันซึ่งเป็นสวนมะม่วงที่หมอโกมารภัจถวายให้เป็นวัด ได้ไปหาพระพุทธเจ้า ณ ที่นั้น พระองค์ได้ฟังเทศนาจึงค่อยระงับความเดือดร้อนอันนี้ลงบ้าง แต่จะทำอย่างไรได้ เรียกว่าสายเกินไปปรับตัวไม่ได้เสียแล้ว เพราะเชื่อพระเทวทัตที่ไปยุยง ทำลายชีวิตพระราชบิดาให้เสียชีวิตไปนี่แหละคนเรา เราก็ควรคิดถึงตัวอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ คนที่เนรคุณ ไม่รู้จักบุญคุณของพ่อแม่ ต่อภายหลังแล้วจะเป็นอย่างไร มีความเสียอกเสียใจเดือดร้อน แม้ว่าพระเจ้าอชาตศัตรูจะได้ปฏิญาณตนถึงพระไตรสรณคมน์ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตั้งแต่นั้นต่อมาจนถึงตาย

กรรมส่วนนี้เป็นอนันตริยกรรม คือเป็นกรรมฝ่ายหนักที่จะหลีกไปไม่พ้น แต่ก็เบาไปนิดหน่อย ครั้นเมื่อตายแล้วก็ไปตกนรกที่เป็นบริวารของอเวจีที่เรียกว่า โลหะกุมภีนรก โลหะกุมภีนรกนี้ก็มีอายุยืนเท่ากับอเวจี แต่ว่าความร้อนความทุกข์ลดลงนิดหน่อย อย่างเวลาตกกว่าจะจมถึงพื้นหม้อนรกนั้นใช้เวลาหมื่นปี แล้วก็ฟูขึ้นมาอีกหมื่นปีจึงจะถึงปากผิวน้ำของหม้อนรก จะพูดก็ไม่ถึงสองคำ จะพูดได้คำเดียวเท่านั้น ได้อักขระตัวเดียวแล้วก็จมลงไปอีก ลอยขึ้นจมลงอยู่อย่างนั้น นี่เป็นลักษณะของโลหะกุมภีนรก ผู้ที่ตกต้องเป็นอย่างนั้น ขณะที่จมนั้นจะเรียกว่าสลบตาย ไม่รู้สึกความร้อน เพราะมันสลบ แต่ว่าไม่ตาย จะรู้สำนึกเพียงครู่เดียวแล้วก็สลบไป เป็นอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะพ้นไปจากกรรมส่วนนี้

อายุท่านนับปีไม่ได้ คือไม่มีคำนับ มันมาก เพียงกำหนดชั่วระยะกาลหนึ่งเรียกว่า ชั่วพุทธันดรหนึ่ง พุทธันดรหนึ่งหมายถึงว่า จากพระพุทธเจ้าองค์นี้ไปถึงพระพุทธเจ้าองค์โน้น คือจากพระพุทธเจ้าสมณโคดมของพวกเรานี้จนถึงพระศรีอาริยเมตไตรยลงมาตรัสรู้ เรียกว่าชั่วพุทธันดรหนึ่ง อันนี้นับปีไม่ได้เพราะหมดที่จะนับ นับถืออสงไขย ร้อยอสงไขย พันอสงไขย จนถึงอสงไขยแล้วก็ไม่มีอะไรจะนับอีก มันหมดเท่านั้น การนับปีมันยืดยาวก็เลยนับไม่ได้ เพียงแต่บอกชั่วระยะจากนี้ถึงโน้นเท่านั้น นี่มันนานแสนนาน ถ้าเราเวียนว่ายตายเกิดในมนุษย์ ก็ไม่ทราบว่ากี่ภพกี่ชาติแล้วเพราะมันนานต่อนาน

ถ้าจะมาคิดถึงพุทธันดรในภัทรกัปนี้ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้ต่อเนื่องกัน จากพระพุทธเจ้าของพวกเราแล้วก็ต่อไปถึงพระศรีอาริยเมตไตรยมีอยู่อยู่ในภัทรกัปเดียวคือจากพระพุทธเจ้าองค์นี้ อายุสัตว์จะต้องถอยไปถึง ๑๐ ปีเป็นอายุขัย เป็นธรรมดานี่ว่า ๑๐๐ ปีลดอายุขัยลงหนึ่งปีลงไปโดยลำดับ ในระหว่างทุกวันนี้ อายุขัยของมนษย์ ๗๕ ปี แล้วอีก ๑๐๐ ปีจะลดลงเป็น ๗๔ ปี ร้อยปีก็จะลดลงไปอีกเป็น๗๓ ปี โดยลำดับเหล่านี้จนถึงอายุขัยสิบปี ในช่วงนี้จะเกิดโลกประลัยกัลป์ กัปปันตะระกัป คือเป็นกัปที่ประกอบไปด้วยศาสตราอาวุธ คนอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้ามีทั้งสองคนไม่ได้ ต้องฆ่ากันกิน คนไหนชนะคนนั้นได้ฉีกกินเนื้อกันเหมือนยักษ์

ล่วงเลยกัปนี้ไป มนุษย์ที่หลบหลีกไปหลบตัวซ่อนตัวอยู่ตามป่าตามเขาตามรูต่างๆ จึงจะได้ออกมา มีความจงรักภักดีต่อกัน จับแขนกันคร่ำครวญร้องไห้ต่อกัน แล้วก็ตั้งใจรักษาศีลรักษาธรรม มีศีล ๕ กรรมบท ๑๐ อายุก็จะเจริญขึ้น ๑๐๐ ปีเพิ่มอายุขัยปีหนึ่งโดยลำดับ จนถึงอายุขัยอสงไขยปี มนุษย์ทั้งหลายก็เกิดความประมาทว่านานตาย เมื่อมนุษย์ทั้งหลายประมาทอายุ อายุก็จะลดลง ๑๐๐ ปีลดหนึ่งลงมาอีก จนมาถึงแปดหมื่นปีเป็นอายุขัย สมัยนั้นพระศรีอาริยเมตไตรยจึงจะอุบัติบังเกิดขึ้นมาในโลกมนุษย์นี้ อยู่ในฆราวาสสองหมื่นปี อายุสองหมื่นปีกำลังเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วก็แต่งงานครองสมบัติไปอีกสองหมื่นปี รวมอยู่ในฆราวาสวิสัยสี่หมื่นปี แล้วสละราชสมบัติออกทรงผนวช บำเพ็ญความพากเพียรตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประกาศพระศาสนาไปอีกสี่หมื่นปี ก็เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพาน

นี่แหละ อายุของสัตว์ผู้ทำอนันตริยกรรม ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำโลหิตตุปบาทเหล่านี้ จะต้องไปตกนรกอเวจี ถ้ารู้สึกสำนึกตัว ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ลดโทษลงมาตกในบริวารของอเวจี แต่ก็อายุชั่วพุทธันดรเท่ากันเพราะบิดามารดาเป็นผู้มีคุณมากโทษจึงมาก คนใดมีคุณมาก ใครไปประทุษร้ายคนนั้น จะต้องมีกรรมหนัก อย่างพระอรหันต์ ท่านทรงคุณวิเศษไว้แล้วเป็นอริยบุคคล ใครไปทำลายชีวิตพระอรหันต์คนนั้นก็ต้องเป็นอนันตริยกรรม ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าเพียงทำโลหิตตุปบาท คือทำให้พระพุทธเจ้าห้อเลือดขึ้นเท่านั้น ก็จะเป็นอนันตริยกรรม โทษหนัก จัดเป็นครุกรรม กรรมหนัก กรรมฝ่ายชั่วหนักนี้ จะต้องไปเสวยผลอย่างแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตายแล้วจะต้องไปแน่ไม่มีไปทางอื่น อันนี้เป็นนิยกรรม เป็นกรรมที่เที่ยงเป็นกรรมที่แน่นอนไม่ต้องสงสัย

เพราะฉะนั้น ให้เรามาคิดถึงบุญถึงคุณของผู้ที่มีคุณไว้หรือผู้ที่ทรงคุณความดี แม้ท่านจะไม่ได้ให้ความอุปการะเราแต่ประการใดก็ตาม แต่คุณความดีมีอยู่ในตัวของท่าน เราก็ให้รู้คุณ เพื่อเราจะได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้ถูกต้องในผู้ที่มีคุณทั้งหลาย อย่างพวกท่านทั้งหลายที่ได้มาในวันนี้ ก็มาระลึกถึงบุญคุณสนองบุญคุณของบรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับดับจิตไปแล้ว ก็ขอให้ท่านทำความดี อันนี้เพื่อจะเป็นการตอบสนองบุญคุณนั้น ผู้ที่มาจำศีลภาวนา มาทำความสงบจิตใจ มาฟังธรรมะ มาบริจาคให้ทาน ล้วนแต่เป็นความดีที่เราจะบำเพ็ญเพื่อเป็นการตอบสนองในบุญคุณของบรรพบุรุษของเราไว้ จึงได้ตั้งอกตั้งใจด้วย

เมื่อเรามาพักที่วัด ก็ขอให้ภาวนาไปด้วย เรียกว่าเข้ามาภาวนาเป็นพิเศษ ทำจิตทำใจของเราให้สงบ จะบริกรรมพุทโธ พุทโธ เป็นประจำจิตใจของเราก็ได้ หรือจะพิจารณาความเกิด แก่ เจ็บ ตาย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็แล้วแต่เราจะพิจารณาเห็นโทษเห็นภัย เห็นวัฏสงสารของภพของชาติที่เราก่อเราเกิดมานี้ มันเป็นโทษมันเป็นภัย ร่างกายของเราเป็นภาระที่จะต้องหอบหิ้วไปอย่างหนัก ที่เราแบกภาระไม่มีเวลาว่างเว้น หนักอยู่ตลอดกาล ให้พิจารณาถึงว่ารูปร่างกายของเรานี้เป็นภาระ เรายังวางไม่ได้ อุปาทานความยึดถือของกิเลสมันยังมีอยู่เราจึงได้ยึด ภาระหนักนี้จะต้องเป็นทุกข์ เป็นทุกข์อยู่ในโลกนี้ มีความทุกข์อยู่ตลอดกาล ต่างคนต่างก็บ่นทุกข์ บางครั้งก็ถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะความทุกข์บีบบังคับ

ในรูปร่างกายของพวกเรามันมีอยู่อย่างนี้ นี่เราเรียกว่าเป็นภูต ร่างกายของเราท่านว่าเป็นมหาภูตรูป ว่ากันง่ายๆก็คือ มหาภูต ภูตก็คือผี ร่างกายของเรานี้แหละ มันเป็นผีอยู่ มันจะต้องรบเร้า ทำความเดือดร้อนให้แก่ตัวเราอยู่ตลอดกาล ต้องได้เลี้ยงได้เซ่นได้สรวงมันอยู่ตลอดกาลเวลา เราเซ่นสรวงผีอันนี้ เราก็ว่าบริโภคอาหาร อาบน้ำนุ่งผ้า ประดับประดาตกแต่งร่างกาย เราก็ว่าไปอย่างนั้น ความจริงการเซ่นสรวงผีอันนี้ เราหาของมาเซ่นมัน มาบวงสรวงบูชามัน แต่ขนาดนั้นมันก็ไม่กรุณาเราเลย มันมีแต่จะทำให้เราเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา การที่เราหาของดีๆมาเซ่นมาสรวงนั้น อาหารก็พยายามตกแต่งดีๆมาทะนุถนอมประจบประแจงมัน แต่แล้วมันก็ไม่ได้เหลียวแลเรา มีแต่จะให้ทุกข์แก่ตัวของเราอยู่ตลอดเวลา

ผ้าดีๆก็หามาให้นุ่ง เครื่องประดับประดาก็เอามาผูกมาแขวนให้ เครื่องลูบไล้ต่างๆ เครื่องหอมต่างๆ ก็เอามาชะโลมใส่ร่างกายของเราอยู่ เซ่นสรวงมันไว้เท่าใดก็ยังก่อทุกข์ให้แก่ตัวเราอยู่ แต่ถ้าเราไม่เซ่นไม่สรวงมันก็ไม่ได้ มันจะเล่นงานเราใหญ่ เราก็ต้องเซ่นสรวงมันพอทุเลาไป ร่างกายนี้จึงเท่ากับว่าเป็นอสรพิษ มันไม่รู้คุณเราเลย ที่เราทะนุถนอมเลี้ยงดูมัน แต่มันก็ไม่รู้คุณ ร่างกายของเราเป็นสัตว์ที่ไม่รู้คุณใคร จะทำคุณให้เท่าใดมันก็ไม่ได้เอื้อเฟื้อ ไม่ได้มีความเอ็นดูสงสาร ไม่ได้กรุณาเราเลย มีแต่จะบีบบังคับ ก่อความทุกข์ความร้อนให้แก่จิตใจของเราอยู่ตลอดเวลา

นี่คือการพิจารณาให้เห็นโทษของร่างกาย มันเป็นโทษอยู่อย่างนี้ หรือเหมือนกับว่าหัวฝี มันมีแต่จะปวดร้าวอยู่ตลอดกาล ร่างกายของเรามันจึงเป็นโทษเป็นภัยเป็นอันตราย เป็นพิษเป็นโศก ให้เราได้รับความทุกข์ความร้อน จึงให้นำมาพิจารณา เราพิจารณาไปในลักษณะนี้เรียกว่าเราภาวนา ก็จะเป็นประโยชน์เป็นกุศล ยิ่งถ้าเราพิจารณาแล้วได้เกิดความสลดสังเวชขึ้นมา เราก็จะได้บุญอันยิ่งใหญ่หรือได้บุญจากการภาวนา ลักษณะการพิจารณาต้องพิจารณาร่างกายของเราให้เห็นโทษ ให้เห็นภัย เห็นทุกข์ เพราะภัยในร่างกายของเรามีอยู่ ภัยจากความแก่ ภัยเกิดจากการเจ็บป่วย ภัยเกิดจากความตาย

อันนี้เป็นมหาภัยที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ป้องกันไม่อยู่ ช่วยเหลือไม่ไหว มันจะต้องเป็นไปตามสภาพของมันร่างกายของเราจึงมีภัยรอบตัว คือจะมีความทุกข์อยู่รอบตัวเราทั้งหมด ทั้งภายนอกทั้งภายใน ให้เรากำหนดพิจารณาอย่างนี้ จิตของเรามันจึงจะสงบ จึงจะเกิดความสลดสังเวช จะได้เกิดความเบื่อหน่าย จิตของเราจึงจะละวางอุปาทาน ความยึดความถือในร่างกายนี้ โดยที่เราถือว่าของๆเรา ๆๆ เป็นของส่วนตัวของเรา เราก็จะได้ละได้วาง จิตของเราตั้งอยู่ในความสงบได้ ปัญญาก็จะเกิดขึ้น พิจารณาสภาวธรรมทั้งหลาย ก็จะเห็นเป็นความจริงขึ้นมา สัจธรรมจึงจะเกิดขึ้นในใจของเรา เพราะการค้นการกำหนดพิจารณาจะล่วงรู้เข้าไป จิตใจก็จะสว่าง ผ่องใสขึ้น จะได้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์อันเกิดจากความผ่องใสของจิตใจ

ถ้าเราไม่ภาวนาชำระจิตใจของเรา จิตมันจะไม่ผ่องใส เหมือนกันกับผ้าที่มันสกปรกแล้ว เราไม่ซักมันไม่มีทางจะสะอาดได้ เราต้องซักมันจึงจะสะอาด ฉะนั้นจิตใจของเราต้องอาศัยการภาวนาและการบำเพ็ญความดีความชอบ บุญกุศลทั้งหลายประกอบกัน จิตนี้จึงจะมีความสะอาด มีความผ่องใสไปได้ การภาวนาเป็นหลักของการชำระจิตใจ อันการบริจาคให้ทานการรักษาศีลเป็นส่วนประกอบ เพราะถ้าเรามีแต่ให้ทานรักษาศีล ภาวนาไม่มี หลักที่จะอบรมจิตใจไม่มี จิตนี้ก็จะยังไม่สะอาดไม่ผ่องใส จึงให้ตั้งหลักจากการพิจารณา เอาการพิจารณาไว้เป็นหลักเป็นพื้นของการชำระจิตใจ แล้วเราบริจาค เราก็จะได้มีจาคะเจตนา สละความตระหนี่เหนียวแน่นของจิตออก ความโลภคือการเห็นแก่ได้ในทางที่ผิดออก จิตจึงจะผ่องใส การรักษาศีลก็อาศัยการภาวนา ศีลจึงจะไปชำระจิตใจของเราอีกซึ่งเป็นส่วนประกอบ จิตของเราก็จะเกิดความผ่องใสขึ้นมา แล้วจิตของเราจะได้ละความชั่ว ประกอบกุศลกรรมขึ้นมาในตัวของเรา นี้คือเป็นวิธีการที่จะต้องดำเนินข้อปฏิบัติของเราให้เป็นไปในทางที่ชอบ

ดังนั้น พวกเราที่ได้มาพร้อมหน้าพร้อมตากัน คณะญาติมิตรที่ได้มาร่วมกุศลกรรมครั้งนี้ ก็ขอให้ตั้งจิตเป็นกุศล ตั้งใจในบุญในกุศล คิดแต่ในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณศีลธรรม คุณเมตตาภาวนา คุณบิดามารดา คุณของผู้ที่มีบุญทั้งหลาย น้อมมาระลึกน้อมมาพิจารณาในวันนี้แล้ว ก็จะเกิดเป็นผลดีแก่ตัวของพวกเราท่านทั้งหลาย และก็จะได้อุทิศส่วนกุศลทั้งหลายเหล่านี้ไปหาเปรตญาติ ที่ล่วงลับดับจิตไปแล้ว ก็จะสำเร็จเป็นประโยชน์ขึ้นแก่เปรตญาติของเรา ทั้งญาติในชาตินี้และญาติในชาติก่อนๆนั้นก็ดี ตลอดถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายถ้วนหน้า ก็จะรับเอาส่วนบุญส่วนกุศลที่พวกท่านทั้งหลายได้บำเพ็ญมาแล้ว อุทิศไปจะได้เกิดประโยชน์อันยิ่งใหญ่

ฉะนั้น ในท้ายที่สุดนี้ ด้วยอำนาจคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และด้วยคุณงามความดีที่ท่านทั้งหลายได้บำเพ็ญมาด้วยกาย วาจา ใจ ขอจงมีพลานุภาพคุ้มครองปกปักรักษาให้พวกท่านทั้งหลายนั้นมีแต่ความสุข ความเจริญ ปรารถนาสิ่งใดที่เป็นมงคล ที่เป็นความดีความชอบแล้ว ขอความปรารถนานั้นๆ จงสำเร็จเกิดขึ้นตามความปรารถนาทุกอย่างทุกประการ ดังได้แสดงมาด้วยประการฉะนี้

จาก..หนังสืองานพระราชทานเพลิงศพพระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม) วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม จังหวัดสกลนคร



http://board.agalico.com/showthread.php?t=29304