PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ว่าด้วยตบะเป็นคุณธรรมอันประเสริฐ



*8q*
04-23-2009, 06:40 PM
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ ภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้

ความย่อมีว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ เขาว่าเธอกระสันจริงหรือ ? เมื่อภิกษุรูปนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ก็ลมที่พัดภูเขาสิเนรุให้หวั่นไหว ทำไมจึงจักไม่สามารถพัดใบไม้เก่าๆ ให้หวั่นไหวเล่า แม้ผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยยศทั่วๆ ไป ยังถึงความเสื่อมยศได้ ชื่อว่ากิเลส ย่อมทำสัตว์ที่บริสุทธิ์ให้เศร้าหมองได้ จะป่วยกล่าวไปใยถึงคนเช่นเธอ ดังนี้ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:

ในอดีตกาล โอรสของพระเจ้าพรหมทัตผู้ครองพระนครพาราณสี ชื่อว่า พรหมทัตตกุมาร และบุตรของปุโรหิต ชื่อว่า กัสสปะ เป็นสหายกัน เรียนศิลปะทุกอย่างในตระกูลโดยอาจารย์คนเดียวกัน ต่อมาเมื่อพระราชบิดาสวรรคต พรหมทัตตกุมารได้ครองราชสมบัติ ทีนั้นกัสสปกุมารคิดว่า สหายของเราเป็นพระราชา บัดนี้ คงจักพระราชทานความเป็นใหญ่ จะมีประโยชน์อะไรสำหรับเราด้วยเรื่องความเป็นใหญ่ เราจักลามารดาบิดาและพระราชาแล้วบวช
ครั้นเขาคิดดังนี้แล้ว จึงได้ถวายบังคมลาพระราชาและลามารดาบิดา เข้าดินแดนหิมพานต์ บวชเป็นฤๅษี ในวันที่ ๗ ได้อภิญญาและสมาบัติ เลี้ยงชีพอยู่ด้วยการเที่ยวแสวงหาผลไม้ คนทั้งหลายพากันเรียกท่านซึ่งเป็นบรรพชิตว่า โลมสกัสสปะ ท่านเป็นดาบสที่มีอินทรีย์สงบระงับอย่างยิ่ง มีตบะแรงกล้า ภพของท้าวสักกเทวราชหวั่นไหวด้วยเดชแห่งตบะของดาบสนั้น
ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงพิจารณาดูเห็นเหตุดังนั้นแล้ว ทรงดำริว่า ดาบสนี้มีเดชสูงนัก จะทำเราให้เคลื่อนจากความเป็นท้าวสักกะ เราจักร่วมมือกับพระเจ้าพาราณสี ทำลายตบะของดาบสนั้นเสีย
ครานั้นท้าวเธอได้เสด็จเข้าไปยังห้องสิริไสยาสน์ของพระเจ้าพาราณสีในเวลาเที่ยงคืน แสดงอานุภาพของท้าวสักกะ บันดาลห้องทั้งหมดให้สว่างด้วยรัศมีแห่งพระสรีระ ลอยอยู่ในอากาศในสำนักของพระราชา ปลุกพระราชาว่า ตื่นขึ้นเถิดมหาราช
เมื่อพระราชาตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร
ตรัสตอบ ว่า เราคือท้าวสักกะ
ตรัสถามว่า ท่านมาเพื่ออะไร ?
ตรัสย้อนถามว่า มหาราช ท่านจะปรารถนาความเป็นเอกราชในชมพูทวีปทั้งสิ้น หรือไม่ ?
ตรัสตอบว่า ทำไมจึงจะไม่ปรารถนาเล่า
ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราช จึงตรัสกะพระราชาว่า ถ้าเช่นนั้น พระองค์จงนำ โลมสกัสสปดาบสมาบูชาปสุฆาตยัญ พระองค์จะเสมอด้วยท้าวสักกะ ไม่แก่ไม่ตายจักได้ครองราชสมบัติทั่วชมพูทวีป ดังนี้ แล้วตรัสคาถาที่ ๑ ว่า:
[๑๒๖๕] ถ้าท่านนำเอาฤาษีชื่อโลมสกัสสปะมาบูชายัญได้ ท่านพึงได้เป็นพระราชา
เสมอด้วยพระอินทร์ไม่รู้แก่ไม่รู้ตายเลย.
ลำดับนั้น พระราชาได้ทรงสดับพระดำรัสของท้าวสักกะแล้ว ทรงรับคำว่า ดีแล้ว
ครานั้น ท้าวสักกะตรัสเตือนว่า ถ้าเช่นนั้น ก็อย่าเนิ่นช้า แล้วเสด็จกลับไป วันรุ่งขึ้น พระราชารับสั่งให้เรียกไสยหะอำมาตย์ตรัสว่า แน่ะเพื่อน ท่านจงไปสำนักโลมสกัสสปะผู้เป็นสหายที่รักของเรา จงพูดตามคำของเราอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า พระราชาจักให้ท่านบูชาปสุฆาตยัญ แล้วจักเป็นเอกราชทั่วชมพูทวีป ท่านปรารถนา ประเทศเท่าใด พระราชาจักพระราชทานประเทศเท่านั้นแก่ท่าน ขอท่านจงมาเพื่อบูชายัญกับเรา
ไสยหะอำมาตย์ได้ฟังดังนั้นแล้ว กราบทูลว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า แล้วให้ตีกลองป่าวประกาศในพระนคร เพื่อจะรู้ที่อยู่ของดาบส เมื่อมีชาวป่าคนหนึ่งมาบอกว่ารู้ที่อยู่ของดาบส จึงได้ให้เขาเป็นคนนำทางไปในที่นั้นพร้อมกับบริวารเป็นกองใหญ่
เมื่อได้พบแล้วจึงไหว้พระฤๅษีแล้วนั่ง ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง แจ้งข่าวสาส์นจากพระราชานั้น ลำดับนั้น พระดาบสได้ฟังคำของไสยหะอำมาตย์ แล้วกล่าวว่า ดูก่อนไสยหะ ท่านพูดอะไรนั่น เมื่อจะปฏิเสธถ้อยคำของไสยหะอำมาตย์ ได้กล่าวคาถา ๔ คาถาว่า:
[๑๒๖๖] อาตมาไม่ปรารถนาแผ่นดินซึ่งมีสมุทรล้อมรอบ มีสาครเป็นขอบเขต
พร้อมกับความนินทา ดูกรไสยหะ ท่านจงทราบอย่างนี้เถิด.
[๑๒๖๗] ดูกรพราหมณ์ เราติเตียนการได้ยศ การได้ทรัพย์ และความประพฤติ
อันไม่เป็นธรรม มีแต่จะให้ถึงความพินาศ.
[๑๒๖๘] ถึงแม้จะเป็นบรรพชิตต้องอุ้มบาตรหาเลี้ยงชีพ ความเป็นอยู่นั่นแหละดี
กว่า การแสวงหาโดยไม่เป็นธรรมจะดีอะไร.
[๑๒๖๙] ถึงแม้จะเป็นบรรพชิตต้องอุ้มบาตรหาเลี้ยงชีพ แต่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ความเป็นอยู่นั่นแหละประเสริฐกว่าความเป็นพระราชาในโลก.
อำมาตย์ฟังคำของพระดาบสนั้นแล้ว ได้ไปกราบทูลแด่พระราชา พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น ตรัสว่า เมื่อท่านไม่มา เราก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ จึงได้ทรงนิ่งอยู่ ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จมาในเวลาเที่ยงคืนอีก ประทับอยู่ในอากาศ ตรัสว่า ดูก่อนมหาราช เหตุไรพระองค์จึงไม่บังคับโลมสกัสสปดาบสให้บูชายัญ
พระราชาตรัสว่า ข้าพระองค์ส่งอำมาตย์ไปบอกแล้ว แต่ท่านไม่มา
ท้าวสักกะตรัสว่า ดูก่อนมหาราช ถ้าเช่นนั้น พระองค์จงตกแต่งจันทวดีกุมารี ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระองค์ แล้วมอบให้ไสยหะอำมาตย์นำไปบอกว่า ถ้าท่านมาบูชายัญ พระราชาจักพระราชทานพระราชกุมารีนี้แก่ท่าน พระดาบสนั้นจักมีจิตปฏิพัทธ์ในกุมารี จักมาเป็นแน่
พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น ทรงรับว่า ดีแล้ว วันรุ่งขึ้น ทรงมอบพระราชธิดาของพระองค์แก่ไสยหะอำมาตย์ ไสยหะอำมาตย์พาพระราชธิดาไปในที่นั้น ไหว้พระฤๅษี ทำปฏิสันถารแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง แสดงพระราชธิดา ซึ่งงามประดุจเทพอัปสรแก่พระฤๅษี
ลำดับนั้น พระดาบสทำลายอินทรีย์เสียแล้ว แลดูพระราชธิดา พร้อมกับการแลดูนั่นเองเกิดจิตปฏิพัทธ์ขึ้นแล้วเสื่อมจากฌาน อำมาตย์รู้ว่าพระดาบสมีจิตปฏิพัทธ์ จึงกล่าวว่า ท่านขอรับ ถ้าท่านบูชายัญ พระราชาจักพระราชทานพระราชธิดานี้ให้เป็นบาทบริจาริกาสำหรับท่าน
พระดาบสนั้นกำลังหวั่นไหวไปด้วยอำนาจกิเลส จึงถามว่า ได้ยินว่า พระราชาจักพระราชทานพระราชธิดานี้แก่เราหรือ ?
อำมาตย์ตอบว่า ถูกแล้ว พระราชาจักพระราชทานแก่ท่านผู้บูชายัญ
พระดาบสกล่าวว่า ดีแล้ว เมื่อเราได้พระราชธิดานี้ จักบูชายัญ แล้วสรวมชฎาพาพระราชธิดาขึ้นรถที่ ประดับงดงาม ไปพระนครพาราณสี.
แม้พระราชาได้สดับว่า พระดาบสมา ก็รับสั่งให้ตั้งพิธีกรรมขึ้นที่หลุมบูชายัญไว้สำหรับพระดาบสนั้น ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นพระดาบสมา ก็ตรัสว่า ท่านบูชายัญในวันพรุ่งนี้ เราจักเป็นผู้เสมอด้วยพระอินทร์ เวลาเสร็จการบูชายัญ เราจักถวายธิดาแก่ท่าน กัสสปดาบสรับคำว่า ดีแล้ว
ครั้นในวันรุ่งขึ้น พระราชาพาท่านดาบสไปที่หลุมบูชายัญพร้อมกับนางจันทวดี ในหลุมนั้นได้มีสัตว์ ๔ เท้าทุกอย่าง เช่น ช้าง ม้า โคเป็นต้น ประดิษฐานไว้เป็นลำดับ พระดาบสเริ่มจะฆ่าสัตว์เหล่านั้นทั้งหมดให้ตาย แล้วบูชายัญ มหาชนที่มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นั้น เห็นดังนั้น กล่าวว่า ดูก่อนโลมสกัสสปะ กรรมนี้ไม่เหมาะ ไม่สมควรแก่ท่าน ทำกรรมนั้นเพื่ออะไร แล้วคร่ำครวญกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า:
[๑๒๗๐] พระจันทร์มีกำลัง พระอาทิตย์มีกำลัง สมณะและพราหมณ์มีกำลัง ฝั่ง
แห่งสมุทรก็มีกำลัง หญิงก็มีกำลังยิ่งกว่ากำลังทั้งหลาย.
[๑๒๗๑] เพราะพระนางจันทวดีทำให้ฤาษีชื่อโลมสกัสสปะ ผู้มีตบะกล้ามาบูชายัญ
เพื่อประโยชน์แก่พระราชบิดาได้.
ขณะนั้น กัสสปดาบสเงื้อพระขรรค์แก้วขึ้น ด้วยคิดว่า จักฟันคอมงคลหัตถีเพื่อบูชายัญ ช้างเห็นดังนั้น ก็สะดุ้งกลัวต่อมรณภัย จึงร้องเสียงดัง แม้พวกสัตว์นอกนี้ คือ ช้าง ม้า โค เป็นต้น ได้ฟังเสียงร้องของช้างมงคลหัตถีนั้น ต่างก็สะดุ้งกลัวต่อมรณภัย จึงได้ร้องลั่นด้วยความกลัว แม้มหาชนก็พากันร้อง กัสสปดาบสได้ยินเสียงร้อง กันใหญ่ดังนั้น ก็สลดใจ แลดูชฎาเป็นต้นของตน ลำดับนั้น ชฎา หนวด ขนรักแร้ ขนอก ได้ปรากฏแก่พระดาบสนั้น พระดาบสมีความเดือดร้อนใจ คิดว่า เราได้ทำกรรมลามก ไม่สมควรเลย เมื่อจะประกาศความสลด ได้กล่าวคาถาที่ ๘ ว่า:
[๑๒๗๒] กรรมที่บุคคลทำด้วยความโลภนั้น เป็นกรรมเผ็ดร้อน มีกามเป็นเหตุ
เราจักค้นหามูลรากแห่งกรรมนั้น จักตัดราคะพร้อมทั้งเครื่องผูกเสีย.
พึงทราบความแห่งคำที่เป็นคาถานั้นว่า ข้าแต่พระราชาผู้เป็น ใหญ่ กรรมใดที่ข้าพระองค์ทำความโลภในนางจันทวดีให้เกิดขึ้น แล้วทำลงด้วยความโลภนั้น กรรมนั้นมีกามเป็นเหตุ เป็นกรรมลามก เผ็ดร้อน มีวิบากแรงกล้า ข้าพระองค์จักค้นหามูลราก กล่าวคืออโยนิโสมนสิการ ของกรรมนั้น สมควรแล้วที่ข้าพระองค์จักชักดาบ คือปัญญาออก ตัดความกำหนัดยินดี พร้อมด้วยเครื่องผูกพัน คือสุภนิมิต
ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะพระดาบสว่า ดูก่อนสหาย อย่ากลัวเลย เราจักให้นางจันทวดีกุมารีและกองแก้ว ๗ ประการแก่ท่านในบัดนี้ ท่านจงบูชายัญเถิด พระกัสสปดาบสได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า ข้าแต่ มหาราช ข้าพระองค์ไม่ต้องการด้วยกิเลสนี้ แล้วกล่าวคาถาสุดท้าย ว่า:
[๑๒๗๓] ดูกรมหาบพิตร อาตมภาพติเตียนกามคุณทั้งหลายในโลกมากมาย ตบะ
ธรรมเท่านั้นเป็นคุณธรรมอันประเสริฐกว่ากามคุณทั้งหลาย อาตมภาพจัก
เลิกละกามคุณทั้งหลายเสียแล้ว บำเพ็ญตบะ รัฐก็ดี พระนางจันทวดี
ก็ดี จงเป็นของพระองค์ตามเดิมเถิด.
พระดาบส ครั้นทูลดังนี้แล้ว ได้ประมวลกสิณบริกรรมทำคุณวิเศษที่เสียไปให้เกิดขึ้น นั่งบัลลังก์ในอากาศแสดงธรรมแก่พระราชา กล่าวสอนว่า จงอย่าประมาท แล้วทำลายหลุมบูชายัญ ให้อภัยทาน แก่มหาชน เมื่อพระราชายังวิงวอนอยู่ ได้เหาะไปที่อยู่ของตน เจริญพรหมวิหารธรรมจนตลอดชีวิต ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนามาแสดง ดังนี้แล้ว ทรงประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันตั้งอยู่ในพระอรหัตผล พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า ไสยหะมหาอำมาตย์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระสารีบุตรในบัดนี้ ส่วนโลมสกัสสปดาบส ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ โลมสกัสสปชาดก


<!-- / message -->

http://board.agalico.com/showthread.php?t=29313