เข้าสู่ระบบ

แสดงเวอร์ชันเต็ม : กามนิต



ปีศาจ
07-23-2009, 11:10 AM
หนึ่ง
พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเบญจคิรีนคร
"ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จลงมาตรัสในมนุษยโลกแล้ว ถึงวาระอันควรจะเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน พระองค์ได้เสด็จสู่ที่จาริกไปในคามชนบทราชธานีต่าง ๆ แห่งแคว้นมคธจนบรรลุกรุงราชคฤห์มหานคร"
ข้อความในพระสูตรเป็นดั่งนี้
ขณะพระองค์เสด็จมาใกล้เบญจคิรีนครคือราชคฤห์ เป็นเวลาจวนสิ้นทิวาวารแดดในยามเย็นกำลังอ่อนลงสู่สมัยใกล้วิกาล ทอแสงแผ่ซ่านไปยังสาลีเกษตร แลละลิ่วเห็นเป็นทางสว่างไปทั่วประเทศสุดสายตา ดูประหนึ่งมีหัตถ์ทิพย์มาปกแผ่อำนวยสวัสดี เบื้องบนมีกลุ่มเมฆเป็นคลื่นซ้อนซับสลับกันเป็นทิวแถว ต้องแสงแดดจับเป็นสีระยับวะวับแววประหนึ่งเอาทรายทองไปโปรยปราย เลื่อนลอยลิ่ว ๆ เรี่ย ๆ รายลงจดขอบฟ้า ชาวนาและโคก็เมื่อยล้าด้วยตรากตรำทำงาน ต่างพากันดุ่ม ๆ เดินกลับเคหสถานเห็นไร ๆ เงาหมู่ไม้อันโดดเดี่ยวอยู่กอเดียว ก็ยืดยาวออกทุกที ๆ มีขอบปริมณฑลเป็นรัศมีแห่งสีรุ้ง อันกำแพงเชิงเทินป้อมปราการที่ล้อมกรุงรวมทั้งทวารบถทางเข้านครเล่า มองดูในขณะนั้นเห็นรูปเค้าได้ชัดถนัดแจ้งดั่งว่านิรมิตไว้ มีสุมทุมพุ่มไม้ดอกออกดกโอบอ้อมล้อมแน่นเป็นขนัด ถัดไปเป็นทิวเขาสูงตระหง่าน มีสีในเวลาตะวันยอแสงปานจะฉาบเอาไว้เพื่อแข่งกับแสงสีมณีวิเศษ มีบุษยราคบัณฑรวรรณและก่องแก้วโกเมน แม้รวมกันให้พ่ายแพ้ฉะนั้น
พระตถาคตเจ้าทอดพระเนตรภูมิประเทศดั่งนี้ พลางรอพระบาทยุคลหยุดเสด็จพระดำเนิน มีพระหฤทัยเปี่ยมด้วยโสมนัสอินทรีย์ในภูมิภาพที่ทรงจำมาได้แต่กาลก่อน เช่นยอดเขากาฬกูฏไวบูลยบรรพต อิสิคิลิและคิชฌกูฏ ซึ่งสูงตระหง่านกว่ายอดอื่น ยิ่งกว่านี้ทรงทอดทัศนาเห็นเขาเวภาระอันมีกระแสธารน้ำร้อน ก็ทรงระลึกถึงคูหาใต้ต้นสัตตบรรณอันอยู่เชิงเขานั้น ว่าเมื่อพระองค์ยังเสด็จสัญจรร่อนเร่แต่โดยเดียว แสวงหาพระอภิสัมโพธิญาณ ได้เคยประทับสำราญพระอิริยาบถอยู่ในที่นั้นเป็นครั้งแรก ก่อนที่จะเสด็จออกจากสังสารวัฏเข้าสู่แดนศิวโมกษปรินิพพาน
สมัยเมื่อล่วงแล้วแต่ปางหลัง ครั้งยังมีพระชนมายุในพระเยาวกาล เมื่อพระเกศายังดำเป็นมันขลับ เสวยอิฏฐารมณ์ผงมต่อความบันเทิงสุขโดยอุดมอันควรแก่ผู้อยู่ในวัยหนุ่มนั้น พระองค์ยังทรงสละสรรพสุขศฤงคารเสียได้ แล้วเสด็จออกจากพระราชสกุลวงศ์แห่งศากยชนบทในอุตรประเทศ เข้าสู่เขตลุ่มแม่น้ำคงคา บรรลุถึงเชิงเวภารบรรพตอันสูงลิ่ว ได้เสด็จประทับอยู่ที่นั้นเป็นปฐมกาลตลอดเวลาได้ช้านาน และเสด็จภิกขาจารในกรุงราชคฤห์ทุกบุพพัณหเวลา
สมัยนั้น และในคูหานั้น พระเจ้าพิมพิสาร ท้าวพญาแห่งมคธราษฏร์ได้เสด็จมาเฝ้าเยี่ยมพระองค์ ทรงอ้อนวอนอัญเชิญเสด็จให้กลับคืนแคว้นศากยะ เพื่อเสวยความสุขแห่งโลก แต่พระตถาคตมิทรงหวั่นไหว กลับประทานพระธรรมเทศนา จนพระเจ้าพิมพิสารบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระสัทธรรม ต่อมาได้เป็นอุบาสกสำคัญของพระพุทธองค์เจ้า
นับแต่นั้นมาจนถึงเวลาที่กล่าวนี้ ล่วงได้ ๕๐ ปีบริบูรณ์ และระวาง ๕๐ ปีนั้นมิใช่จะเพียงทรงเปลี่ยนแปลงพระองค์จากความเป็นผู้แสวงหาความจริง จนได้ตรัสรู้พระสัมโพธิญาณ ยังทรงบันดาลให้ความมีความเป็นแห่งสังสารโลก เปลี่ยนแปลงไปด้วยอดีตกาล เมื่อเสด็จประทับอาศัยอยู่ในถ้ำใต้ต้นสัตตบรรณครั้งกระโน้น ถ้าเทียบครั้งกระนี้ดูผิดกันห่างไกลนักหนา ครั้งกระโน้น พระองค์เป็นผู้แสวงหาความหลุดพ้นทุกข์ ต้องต่อสู้กับกิเลสมารอันหนาแน่น ต้องกระทำทุกรกิริยา ซึ่งมนุษย์อื่นที่แกล้วกล้าสามารถก็ย่อท้อทำไม่ได้ จนภายหลังทรงเห็นแจ้งซึ่งสังสารทุกข์ เสด็จออกจากทุกข์แล้ว ได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันความเป็นไปของพระองค์ครั้งกระโน้น ตลอดมาจนครั้งกระนี้ ก็เหมือนดั่งกลางวันในฤดูฝน พอรุ่งเช้ามีแสงแดดแผดจ้า แล้วนภากาศพยับอับแสงเกิดพายุแรงฟ้าคะนองก้องสะท้านซ่านด้วยเม็ดฝน ครั้นแล้วท้องฟ้าก็หายมืดมนกลับสว่างสงบเงียบ มีวิเวกเหมือนภูมิประเทศในยามเย็นที่กล่าวแล้ว จนกว่าพระอาทิตย์จะอัสดงดิ่งหายไปในขอบฟ้า
อันว่าพระอาทิตย์จะอัสดงลงฉันใด สำหรับพระตถาคตในขณะนี้ก็มีฉันนั้น พระองค์ได้ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้เห็นแจ้งซึ่งกองทุกข์ ทรงแสดงพระธรรมอันแท้จริงให้เห็นประจักษ์ และประทานหลักความหลุดพ้นจากทุกข์แก่มนุษยนิกรทั่วโลกธาตุ มีบริษัทสี่เป็นผู้สืบศาสโนวาทเผยแผ่พระธรรมของพระองค์ให้แพร่หลาย และประพฤติปฏิบัติด้วยกายวาจาใจ รักษาไว้ตลอดจิรกาลาวสาน
แม้เมื่อพระองค์เสด็จประทับยืนอยู่ขณะนั้น ก็ได้ทรงจินตนาการ อันเกิดขึ้นด้วยพระปริวิตกถึงที่ได้เสด็จมาโดดเดี่ยวตลอดวันว่า "ถึงเวลาแล้ว ในไม่ช้าเราก็จะละสังสารนี้ไป คือสังสาระซึ่งเราได้ถ่ายถอนตนหลุดพ้นแล้ว ตลอดจนยังผู้ที่มาในภายหลังให้หลุดพ้นด้วย แล้วเข้าสู่ความดับสนิทด้วยอำนาจแห่งปรินิพพานธาตุ"
พระตถาคตทอดทัศนาการภูมิประเทศอันแผ่ไพศาลอยู่เฉพาะพระพักตร์ แล้วตรัสว่า "ดูก่อน ราชคฤห์อันเป็นนครแห่งเบญจคิรี มีปริมณฑลงดงามตระการ อุดมด้วยนาสาลีและมหาสิงขรอันน่าเบิกบานหฤทัย เราได้แลดูในครั้งนี้เป็นปัจฉิมทัศนาการ" ตรัสแล้วก็ยังประทับอยู่ ณ ที่นั้น จนภูมิประเทศที่ค่อยเลือน ๆ ลงในยามเย็นคงเหลือให้เห็นเด่นชัดแต่อุดมสถานอยู่สองแห่ง ที่ต้องแสงแดดดั่งดาดด้วยทองคำ แห่งหนึ่งคือประสาทของพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อพระพุทธองค์ยังทรงอยู่ในวัยเป็นภิกษุหนุ่ม ซึ่งยังไม่มีใครรู้จักได้เคยเสด็จผ่านไปทางนั้น พระเจ้าแห่งแค้วนมคธ คือพญาพิมพิสาร ทอดพระเนตรเห็นพระองค์เป็นครั้งแรก โดยเหตุที่พระองค์มีพระลักษณาการดังสีหดำเนิน สถานที่อีกแห่งหนึ่งคือยอดหลังคาเทวสถาน ซึ่งแต่ก่อน ๆ มาเมื่อพระองค์ยังมิได้ประทานพระธรรมเทศนาแก่มนุษยนิกรให้พ้นจากทารุณพิธี เคยเป็นสถานที่พลีชีวิตสัตว์อันหาความผิดมิได้นับจำนวนเป็นพัน ๆ เพื่อบูชายัญเทวรูปที่ในนั้น บัดเดี๋ยวใจยอดปราสาทและยอดหลังคาเทวสถาน ก็เลือนหายเข้าสู่ความมืดแห่งสายัณหสนธยา ขณะนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นสถานที่ซึ่งพระองค์กำลังจะเสด็จไปอยู่นี้ กล่าวคือทางยอดแห่งพุ่มไม้อยู่ลิบ ๆ เบื้องพระพักตร์โพ้น เป็นป่ามะม่วงที่หมดชีวกแพทย์หลวงของพญาพิมพิสาร อุทิศถวายเป็นที่ประทับของพระตถาคต
ณ ป่ามะม่วงนี้ พระตถาคตตรัสให้พระอานนท์พุทธอุปัฏฐากนำพระสาวกประมาณ ๒๐๐ ล่วงหน้าไปก่อน ด้วยพระองค์มีพระพุทธประสงค์จะแสวงหาความวิเวกในวันนั้นแล้ว จึงจะเสด็จดำเนินตามไปภายหลัง พระองค์ทรงทราบอยู่ว่ายังมีพระภิกษุหมู่หนึ่งจากเบื้องตะวันตก มีพระสารีบุตรอัครสาวกเป็นประธานก็จะมาสู่ป่ามะม่วงในเวลาเย็นวันนั้นด้วย โดยเหตุที่มีพระพุทธประสงค์ปวิเวกธรรม จึ่งตั้งพระหฤทัยจะไม่เสด็จกลับไปให้ถึงป่ามะม่วงในเย็นวันนั้น จะทรงแสวงหาที่แรมในชั่วราตรีตามละแวกบ้านแถวนั้นก่อน
ระวางนั้น ขอบฟ้าทางเบื้องตะวันตก เปลี่ยนจากสีทองเป็นสีดำหลัวขมุกขมัวลง ภูมิประเทศโดยรอบมืดตามลงทุกที ค้างคาวที่เกี่ยวเกาะบนต้นรังเห็นดำทะมึนทึน ตกใจด้วยได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา ก็ปล่อยเท้าที่เกาะแล้วกางปีกถลาร้องเสียงแหลมหายไปทางสวนผลไม้ในแถวนั้น
เมื่อพระตถาคตเสด็จบทจรมากว่าจะถึงละแวกพระนครก็มืดค่ำลงแล้ว ด้วยประการฉะนี้

โปรดติดตามตอนต่อไป

ปีศาจ
07-23-2009, 01:05 PM
สอง<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" /><o:p></o:p>
พบ<o:p></o:p>
พระตถาคตเจ้ามีพระพุทธประสงค์จะทรงแรมคืนในบ้านแรกที่เสด็จไปถึง ซึ่งในที่นี้คือบ้านที่ตั้งอยู่ในบริเวณสน มีช่องไม้ให้ลอดแลเห็นฝาผนังของบ้านเป็นสีเขียว ขณะพระองค์ทรงย่างพระบาทเข้าไปถึงประตูบ้าน ทอดพระเนตรเห็นข่ายดักนกห้อยอยู่บนกิ่งไม้ จึงเสด็จผ่านเลยไปเสียโดยมิได้รั้งรอ เพราะบ้านนั้นเป็นที่อยู่ของพรานนกในตอนนี้มีบ้านตั้งอยู่ห่าง ๆ กันเพราะเป็นชายพระนคร ซ้ำเกิดเพลิงไหม้บ้านเรือนเสียหลายหลัง ในเวลาไม่สู้ช้านัก เพราะฉะนั้นกว่าจะทรงพบบ้านอีกสักหลังหนึ่งก็เป็นเวลานาน บ้านหลังนี้เป็นโรงนาของพราหมณ์ผู้มีอันจะกิน พอพระพุทธเจ้าเสด็จคล้อยเข้าไปในประตูรั้ว ก็ทรงได้ยินเสียงหญิงผู้ภริยาทั้งสองของพราหมณ์ กำลังทะเลาะวิวาทด่าทอกัน พระองค์จึ่งทรงหันกลับออกประตูเสด็จพระพุทธดำเนินต่อไป<o:p></o:p>
บริเวณสวนของพราหมณ์ผู้มีอันจะกินนี้ มีเนื้อที่ยืดยาวไปตามถนนมาก จนพระองค์ทรงรู้สึกลำบาก พระกรัชกายเหนื่อยล้าในทาง เพราะเสด็จดำเนินมาไกล ทั้งพระบาทขวาสะดุดหินอันแหลมคม กระทำให้บังเกิดทุกขเวทนาอักเสบเจ็บปวด เมื่อพระตถาคตเสด็จมาถึงบ้านอีกหลังหนึ่ง ก็มีพระอาการดั่งข้างต้นนี้ บ้านที่เสด็จมาถึงใหม่แลเห็นได้แต่ไกลพราะแสงไฟที่จุดไว้ในบ้านลอดช่องตาข่าย และช่องประตูพุ่งออกมาสว่างถึงถนน บ้านนี้แม้คนจักษุบอดผ่านมา ก็ต้องทราบว่าเป็นบ้านมีคนอยู่ เพราะได้ยินเสียงเลี้ยงดูกันสนุกสนานเฮฮา เสียงตบมือกระทืบเท้ากันโครมคราม และเสียงพิณดังไม่ขาดสาย หญิงงามนางหนึ่งทรงพัสตราภรณ์แพรล้วน ศอสวมมาลัยมะลิพวงยืนพิงอยู่กับเสาประตู นางแย้มไรฟันอันแดงด้วยหมากเคี้ยว ยิ้มยั่วหัวเราะร่า อัญเชิญผู้เดินทางคือพระตถาคตเจ้า<o:p></o:p>
ให้เสด็จเข้าไปในบ้าน โดยกล่าววาจาว่า "เชิญท่านผู้เป็นแขกแปลกหน้า เชิญเข้ามาเถิดบ้านนี้เป็นที่สนุกสำราญร่าเริง" แต่พระตถาคตเจ้าเสด็จผ่านเลยบ้านหลังนั้นไปเสีย และในระวางที่เสด็จเลยมานั้นทรงระลึกถึงถ้อยคำของพระองค์ที่เคยตรัสคือ "ถ้าจะดูโศกาดูรในหมู่สงฆ์ ก็ในการร้องขับทำเพลง ถ้าจะดูความบ้าในหมู่สงฆ์ ก็ในการเต้นรำ ถ้าจะดูความเป็นเด็กในหมู่สงฆ์ ก็ในอาการยิงฟันหัวเราะ" บ้านที่อยู่ถัดไปไม่สู้ไกลนัก แต่ได้ยินเสียงพิณและเสียงร่าเริงล่องมาตามลมได้แต่ไกล พระองค์จึ่งผ่านอีกบ้านหนึ่ง ทอดพระเนตรเห็นชายสองคนกำลังชำแหละโค ซึ่งพึ่งฆ่าใหม่ ๆ ในตอนเย็นวันนั้น ก็เสด็จเลยบ้านผู้ขายเนื้อโคไป<o:p></o:p>
บ้านอยู่ถัดไป ตรงลานหน้าบ้านมีหม้อและชามดินพึ่งปั้นเสร็จใหม่ ๆ วางอยู่เรียงราย อันเป็นการงานแห่งเจ้าของบ้าน ที่พากเพียรลงแรงทำเป็นสัมมาอาชีพได้ในวันนั้น เครื่องปั้นหมอยังคงวางอยู่ใต้ต้นมะขามใหญ่ ขณะนั้นกุมภการช่างปั้นหม้อกำลังเอาชามดินดิบออกจากเครื่องปั้น ขนเอามาวางเรียงรวมกันไว้<o:p></o:p>
พระองค์เสด็จเข้าไปหาชายปั้นหม้อ แล้วตรัสว่า "ดูก่อนท่านผู้เผ่าภคะ ตถาคตจะขออาศัยพักแรมคืนที่ห้องโถงในบ้านท่าน จะมีข้อขัดข้องอย่างไรบ้างหรือไม่ ?"<o:p></o:p>
ชายปั้นหม้อตอบว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ไม่มีข้อขัดข้องอย่างไรเลย แต่ทว่าในขณะนี้มีอาคันตุกะ ได้รับความเมื่อยล้าเพราะเดินทางไกล มาขออาศัยแรมคืนอยู่แล้ว ถ้าไม่มีความรังเกียจ ก็เชิญท่านผู้เจริญเถิด<o:p></o:p>
พระตถาคตตรัสทรงรำพึงว่า "แท้จริงความวิเวกเป็นสหายอันวิเศษกว่าสหายอื่น ๆ แต่อาคันตุกะที่มาพักอยู่ก่อน เดินทางเมื่อยล้ามาอย่างเรา ได้ผ่านเลยบ้านแห่งชนที่ประกอบมิจฉาชีพและไม่บริสุทธิ์ จนถึงบ้านชายปั้นหม้อจึ่งได้หยุดขออาศัย คนเห็นปานนี้เราอาจร่วมสมาคมแรมคืนอยู่ด้วยกันได้"<o:p></o:p>
ครั้นแล้ว เสด็จเข้าไปในห้องโถง ทอดพระเนตรเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง มีลักษณะเป็นผู้ดีมีตระกูล นั่งอยู่บนเสื่อข้างมุมห้อง<o:p></o:p>
พระตถาคตตรัสปราศรัยด้วยว่า "ดูก่อนอาคันตุกะ ถ้าท่านไม่รังเกียจ ตถาคตจะขออาศัยแรมราตรีในห้องโถงนี้"<o:p></o:p>
ชายผู้นั้นตอบว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เชิญท่านตามความพอใจเถิด เพราะห้องโถงของกุมภการกว้างขวางพอ"<o:p></o:p>
พระตถาคตเจ้าทรงลาดพระนิสีทนสันถัตลงใกล้ฝา ลดองค์ประทับด้วยสมาธิบัลลังก์มีพระกายตั้งตรง ดำรงพระสติสัมปชัญญะสงบนิ่ง ตลอดยามต้นแห่งราตรีนั้นส่วนชายหนุ่มก็นั่งนิ่งอยู่ตลอดยามต้นเหมือนกัน<o:p></o:p>
ต่อมา พระตถาคตเจ้าทอดพระเนตรเห็นชายหนุ่มมีอาการสงบนิ่งเช่นนั้น ก็ทรงรำพึงว่า "กุลบุตรผู้นี้เป็นผู้แสวงหาโมกษธรรมกระมังหนอ อันเราควรถามดู" ทรงจินตนาการดั่งนี้แล้ว หันพระพักตร์ไปทางชายหนุ่ม แย้มพระโอษฐ์ ตรัสถามว่า<o:p></o:p>
"ดูก่อน อาคันตุกะ ท่านมาถือเพศเป็นผู้ละเคหสถานเพราะเหตุไฉน ?"<o:p></o:p>
ชายหนุ่มตอบว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เวลานี้ยังไม่ดึกนัก ถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้าพเจ้าจะได้เล่าถึงเหตุที่ข้าพเจ้าละเคหสถานมาถือเพศเป็นดั่งนี้"<o:p></o:p>
พระพุทธเจ้าประทานพระอนุญาต โดยพระศิรวิญญัติในอาการอันเป็นมิตรภาพ ชายหนุ่มจึงเริ่มเล่าเรื่องของตนต่อไปนี้
<o:p>โปรดติดตามตอนต่อไป</o:p>

ปีศาจ
07-24-2009, 07:45 AM
สาม
สู่ฝั่งแม่คงคา
ข้าพเจ้าชื่อกามนิต เกิดที่กรุงอุชเชนีอันเป็นนครมีภูเขาล้อมรอบ อยู่ไกลไปทางใต้ในแคว้นอวันตี บิดาเป็นพ่อค้า แม้มีตระกูลไม่สูงศักดิ์เป็นพิเศษ แต่ก็เป็นเศรษฐีมั่งมีมาก ท่านบิดาได้จัดให้ข้าพเจ้าได้รับการศึกษาอบรมในศิลปวิทยา เป็นอย่างดี เมื่อข้าพเจ้ามีอายุอันควรแล้ว ก็เข้าพิธีสวมยัชโญปวีตสายธุรำมงคลพราหมณ์ตามลัทธิ เวลานั้นข้าพเจ้ามีวิชาความรู้อันควรแก่กุลบุตรอย่างเชี่ยวชาญที่สุด จนคนทั้งหลายเชื่อว่า ข้าพเจ้าคงได้ศึกษามาจากมหาวิทยาลัยตักศิลาเป็นแน่แท้ ข้าพเจ้าสามารถในมวยปล้ำและฟันดาบ เสียงก็ไพเราะ เพราะได้รับการฝึกฝนในคันธรรพศาสตร์อย่างชำนาญ ทั้งสามารถดีดพิณได้แคล่วคล่องเท่ากับนักดนตรีที่ลือชื่อ บรรดาโศลกในมหากาพย์ภารตะและกาพย์อื่น ๆ ข้าพเจ้าสาธยายได้เจนใจ ซ้ำการประพันธ์
ฉันทพฤติวิธี ก็อาจร้อยกรองได้รวดเร็วและมีข้อความไพเราะลึกซึ้ง ตกว่าวิชาใด ๆ อันควรแก่กุลบุตรจะต้องรู้ ข้าพเจ้าย่อมทราบได้อย่างดีที่สุด ดูก่อน ท่านอาคันตุกะ อันวิชาความรู้ของข้าพเจ้านั้น เป็นที่พูดกันติดปากของประชาชนชาวอุชเชนีว่า "เชี่ยวชาญเหมือนมาณพกามนิตทีเดียว"
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้ามีอายุได้ ๒๐ ปี บิดาได้เรียกตัวเข้าไปหา แล้วพูดว่า "ลูกรักเอ๋ย บัดนี้การศึกษาของเจ้าก็สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องดูสิ่งต่าง ๆ ในโลก ให้หูตากว้างออกไปบ้าง แล้วจึ่งเริ่มประกอบการพาณิชย์เป็นอาชีพต่อไป เวลานี้พอดีประจวบเหมาะ เพราะใน ๒-๓ วันนี้พระเจ้าแผ่นดินของเรา ตรัสให้แต่งราชทูต ไปเจริญทางพระราชไมตรี กับพระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพี ซึ่งอยู่ไกลไปทางเหนือ พ่อมีสหายอยู่ในเมืองนั้นคนหนึ่งชื่อประณาท เคยไปมาหาสู่กันเสมอ เขาได้บอกแก่พ่อไว้นานแล้ว ถ้าเอาสินค้าเมืองเรา มีแก้วหิน ไม้จันทน์ผง เครื่องจักสานและผ้า ไปขายที่กรุงโกสัมพี จะได้กำไรงาม ที่พ่อไม่อยากนำสินค้าไปขาย เพราะหนทางไกล ไปตามทางก็มีโจรผู้ร้ายชุกชุมเป็นที่รังเกียจอันตรายมากอยู่ แต่ทว่าถ้าได้ไปในพวกราชทูตแล้วเป็นอันปลอดภัย ลูกเอ๋ย! เจ้าจงเตรียมตัวเถิด เข้าไปเลือกสินค้าที่ในโรงเก็บ บรรทุกเกวียนโคไปสัก ๑๒ เล่ม สมทบกระบวนท่านราชทูตไป ของที่เอาไปนี้เมื่อขายได้ให้ซื้อกาสิกพัตร์ (ผ้าบางพาราณสี) และข้าวชนิดที่ดีกลับมา นี่แหละจะเป็นบทเรียนการค้าขายของเจ้าในขั้นต้น ซึ่งพ่อหวังว่าจะเป็นผลดีแก่เจ้าอย่างงาม อีกอย่างหนึ่งเจ้าจะได้เห็นประเทศต่าง ๆ อันมีลักษณะพื้นภูมิแปลก ๆ ผิดกว่าประเทศเรา ตลอดจนได้รู้ดูเห็นขนบธรรมเนียม และได้สมาคมกับคนชั้นสูง คือ พวกท่านราชทูตได้ทุกวัน จะได้จำกิริยาท่าทางผู้ดี เพิ่มคุณสมบัติขึ้นในตัวเรา ดั่งนี้พ่อจึ่งถือว่า ได้รับประโยชน์อย่างใหญ่ เพราะพ่อค้าจะต้องเป็นคนมีหูตาสว่างจึ่งจะใช้ได้"
ข้าพเจ้าขอบคุณในความกรุณาของท่าน ดีใจจนน้ำตาไหล และต่อมาอีก ๒-๓ วันข้าพเจ้าได้ร่ำลาบิดามารดาและละเคหสถานเริ่มออกเดินทาง
ขณะออกจากประตูเมือง รู้สึกว่าได้เป็นหัวหน้าควบคุมเกวียนสินค้า หัวใจข้าพเจ้าก็เต้นเร้าด้วยความอิ่มเอิบ คิดนึกไปต่าง ๆ นานาอย่างร่าเริง การเดินทางล่วงไปวันหนึ่ง ๆ ก็เท่ากับได้ประสบมหกรรมอย่างสนุกสุดใจ ตกเวลากลางคืนหยุดพักเดินทางก่อไฟกองใหญ่เพื่อป้องกันเสือ ข้าพเจ้านั่งล้อมวงอยู่ข้างท่านราชทูต และคนนอกนั้นก็ล้วนเป็นผู้สูงอายุและมีศักดิ์ กระทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกคล้าย ๆ กับว่าอยู่ในเทวสมาคม ณ แดนสวรรค์
เดินทางผ่านป่าใหญ่ในแดนเวทิส และข้ามยอดเขาแห่งทิววินธัย จนบรรลุทุ่งกว้างใหญ่ฝ่ายเหนือ กระทำให้รู้สึกว่าได้มาเห็นโลกใหม่อยู่ตรงหน้า เพราะแต่ก่อน ๆ มาไม่เคยคิดว่าโลกเรานี้จะแผ่ไปกว้างขวางมหึมาถึงปานฉะนี้<o:p></o:p>
ล่วงประมาณหนึ่งเดือน นับแต่ออกเดินทางมา เย็นวันหนึ่ง มองดูทางยอดดงตาลเห็นเป็นแถบทองขนาดใหญ่สองแถบ ดูประหนึ่งว่าคลี่คลายออกจากกันอยู่ตรงขอบฟ้าซึ่งแลเห็นเป็นหมอกอยู่สลัว ๆ และแล่นขนานกันมาเป็นเส้นบนภูมิภาคอันเขียวชอุ่มด้วยตฤณชาติ แล้วค่อย ๆ เข้าใกล้กัน จนที่สุดรวมกันเป็นสายเดียวมีขนาดกว้างใหญ่<o:p></o:p>
ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีใครมาตบไหล่ เหลียวไปดูก็เห็นท่านราชทูต ข้าพเจ้าไม่ทันรู้สึกตัวเมื่อท่านเดินเข้ามา ท่านได้พูดว่า
"กามนิต ที่เห็นเป็นแถบทองโน่น คือแม่น้ำยมุนาและแม่คงคาอันศักดิ์สิทธิ์ กระแสน้ำทั้งสองมารวมกันตรงหน้าเราอยู่นี้"
ข้าพเจ้ายกมือขึ้นจบบูชา
ท่านราชทูตกล่าวต่อไปว่า "ที่เจ้าแสดงความเคารพเช่นนั้นเป็นการดีแล้ว เพราะแม่คงคามาจากแดนแห่งทวยเทพ อันอยู่กลางเขาซึ่งมีหิมะปกคลุมทางอุตรประเทศ แล้วไหลดุจกล่าวว่ามาจากแดนสวรรค์ ส่วนแม่น้ำยมุนานั้นเล่า ไหลมาจากแดนอันขจรนามแต่กาลไกลสมัยมหาภารตะ น้ำแห่งแม่น้ำยมุนาย่อมล้นไหลผ่านหัสดินปุระ ซึ่งปรักหักพังแล้ว และท่วมลบทุ่งกุรุ ซึ่งปาณฑพพี่น้องกับพวกเการพได้ทำสงคราม เพื่อชิงชัยในความเป็นใหญ่ ณ ที่ตรงนั้น พระกฤษณะเป็นสารถีขับรถรบให้พระอรชุน และพระกรรณกำลังพิโรธอยู่ในค่าย แต่เรื่องเหล่านี้ไม่เห็นจำเป็นต้องเล่าก็เห็นจะได้ เพราะเห็นว่าเจ้าเปรื่องโปร่งเจนใจอยู่แล้ว ตัวเราเคยยืนอยู่บ่อย ๆ บนแหลมที่เห็นอยู่โน้น มองดูแม่น้ำยมุนาอันสีเขียว ไหลเป็นลูกระลอกลดหลั่นแข่งไปกับแม่น้ำคงคาซึ่งมีสีเหลือง ต่างสีต่างไหลไม่รวมกันเขียวและเหลือง ได้แก่กษัตริย์และพราหมณ์ อันอยู่ร่วมในมหาสมุทร คือวรรณะด้วยกันต่างจรร่วมทางไปสู่แดนแห่งพรหม บางคราวเข้ามาใกล้ชิดกัน บางคราวห่างกัน และบางคราวก็ร่วมกัน เป็นดั่งนี้นิรันดร เปรียบเหมือนแม่น้ำทั้งสองที่เห็นอยู่นี้ ครั้นแล้วเรารู้สึกว่าใจลอย แว่วคล้ายได้ยินเสียงรบ เสียงศัสตราวุธกระทบกัน เสียงเป่าเขาเร้าเร่งพล เสียงม้าร้อง เสียงช้างแปร๋แปร้น หัวใจของเราก็ตึ้กตั้กเต้นถี่เข้า เพราะรู้สึกว่าบรรพบุรุษของเราก็มาอยู่ที่นี่ด้วย และโลหิตของท่านเหล่านั้นก็ไหลนองซึมไปในทรายแห่งทุ่งกุรุนี้"
ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มในท่านราชทูต เงยหน้าขึ้นดูท่านซึ่งเป็นผู้อยู่ในวรรณะกษัตริย์สืบตระกูลนักรบเป็นทายาทมา
ขณะนั้น ท่านราชทูตจูงมือข้าพเจ้าพลางกล่าววาจาว่า "มาทางนี้ ลูก มาดูภูมิประเทศที่เราจะไปถึง" ท่านพาข้าพเจ้าเดินอ้อมไปทางสุมทุมไม้พ้นออกไปเพียง ๒-๓ ก้าวเท่านั้น ก็เห็นภูมิประเทศนั้นอยู่เบื้องตะวันออก
พอข้าพเจ้าเห็น ก็ออกอุทาน เพราะมองไปทางหัวเลี้ยวแม่คงคา ก็เห็นกรุงโกสัมพีดูงดงามมาก เห็นกำแพงปราการบ้านเรือนสลับสล้างดูเป็นลดหลั่น มีเชิงเทินท่าน้ำท่าเรือต้องแสงแดดในเวลาอัสดง ดูประหนึ่งว่าเป็นเมืองทอง ส่วนยอดปราสาทเป็นทองแท้ก็ส่องแสงดูดั่งว่ามีอาทิตย์อยู่หลายดวง ควันไฟสีดำแดงพลุ่ง ๆ ขึ้นจากลานเทวสถานถัดลงไปข้างล่างริมฝั่งน้ำ เห็นควันสีเขียวอ่อนลอยขึ้นมาจากอสุภที่กำลังเผาในลำน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งฉายเงาแห่งสถานที่ต่าง ๆ ลงไปเห็นกระเพื่อม ๆ มีเรือน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนมีใบและธงทิวสีต่าง ๆ แลดูงามตา ตรงท่าน้ำเห็นอยู่ไกล ประชาชนอาบน้ำอยู่มากมายนาน ๆ ได้ยินเสียงคนพูดดังหึ่ง ๆ คล้ายเสียงผึ้ง
ขอให้ท่านผู้เจริญคิดดูเถิด ข้าพเจ้ารู้สึกคล้ายกับว่าได้มองเห็นเทวโลก ยิ่งกว่าได้เห็นเมืองมนุษย์ แท้จริงลุ่มน้ำแม่คงคาทั้งหมดนี้ มีความงามดูเป็นสรวงสวรรค์อันปรากฏให้เห็นขึ้นแก่ตาข้าพเจ้า
ในคืนนั้นเอง ข้าพเจ้าไปถึงเมือง และพักอยู่ที่บ้านของท่านประณาท ผู้สหายเก่าแก่แห่งบิดา
รุ่งเช้าตรู่ ข้าพเจ้ารีบไปยังท่าน้ำที่ใกล้ที่สุด เมื่อกำลังลงขั้นบันได รู้สึกเบิกบานใจไม่ทราบว่าจะอธิบายได้อย่างไร เพราะได้มีโอกาสมาสนานกายในน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมิใช่แต่จะชำระล้างฝุ่นธุลีที่ติดต้องตัว เพราะไปเดินทางมาเท่านั้น ยังเป็นน้ำที่สามารถชำระบาปมลทินให้หมดสิ้นไปได้ด้วย ข้าพเจ้าจึ่งไม่แต่จะอาบอย่างเดียว ได้เอาขวดไปบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับไปฝากท่านบิดาด้วย อนิจจา! ขวดน้ำนี้หาได้ไปถึงท่านไม่ด้วยเหตุไร จะได้ทราบภายหลัง
ถัดจากอาบน้ำแล้ว ท่านผู้เฒ่าประณาทศีรษะหงอก มีท่าทางน่านับถือ ได้พาข้าพเจ้าไปเที่ยวตลาดในเมือง และอาศัยความช่วยเหลือของท่าน เพียง ๒-๓ วันเท่านั้น ข้าพเจ้าขายสินค้าที่บรรทุกมาได้หมด มีกำไรอย่างงาม และกว้านซื้อสินค้าพื้นประเทศสะสมไว้เป็นจำนวนมาก ที่ชาวเมืองของข้าพเจ้านิยมให้ราคาสูง

เมื่อการค้าขายของข้าพเจ้าได้ผลดีอย่างเร็ววัน มีเวลาว่างเหลืออยู่มาก กว่าท่านราชทูตจะกลับ ดั่งนี้ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมาก จะได้เที่ยวชมบ้านเมืองหาความสนุกสำราญตามอำเภอใจได้บริบูรณ์ ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้น เพราะได้โสมทัตต์บุตรท่านประณาทเป็นผู้นำเที่ยว
โปรดติดตามตอนต่อไป

ปีศาจ
07-27-2009, 07:36 AM
สี่
สาวน้อยผู้เดาะคลี
เวลางามยามบ่ายวันหนึ่ง โสมทัตต์กับข้าพเจ้าพากันไปเที่ยวที่อุทยานนอกเมือง อุทยานนี้งดงามมาก ตั้งอยู่ริมฝั่งอันสูงของแม่คงคา มีต้นไม้ใหญ่ใบครึ้ม มีสระบัวขนาดใหญ่ มีศาลาที่พักอาศัย และซุ้มมะลิเลื้อย ซึ่งในเวลานั้น ประชาชนพากันไปเที่ยวหาความสำราญใจกันเกลื่อนกล่น ข้าพเจ้ากับโสมทัตต์นั่งบนชิงช้า มีคนคอยรับใช้แกว่งไกวให้ รู้สึกเบิกบานใจไม่น้อย ในขณะที่ได้ยินเสียงนกโกกิลา นกประหรอตเทศ ร้องระงม ทันใดนั้น ได้ยินเสียงกำไลข้อเท้ากระทบกัน โสมทัตต์สหายข้าพเจ้าก็ผลุนผลันลุกขึ้นออกจากชิงช้า พลางเรียกข้าพเจ้าว่า "ดูทางนี้ กามนิต ดูนางงามที่สุดของกรุงโกสัมพีกำลังเดินมาเป็นหมู่ สตรีเหล่านี้ล้วนเป็นพรหมจาริณี เลือกสรรเอามาจากพวกมั่งมีและชั้นสูงทั้งนั้น สำหรับมาเล่นคลีบูชาพระลักษมีเทวีแห่งเขาวินธัย นับว่าเคราะห์ดีมากสหายเอ๋ย! ที่ได้มาเห็นนางงามในเวลาเดาะคลี เพราะจะดูได้เต็มตาไม่มีใครหวงห้ามมาเถิด! อย่าให้เสียเที่ยวเลย
เป็นธรรมดาอยู่เอง ในเรื่องเช่นนี้ไม่ต้องคอยให้เตือนซ้ำ ข้าพเจ้าลุกขึ้นตามโสมทัตต์ติด ๆ ไปโดยเร็ว ถึงที่แห่งหนึ่งสร้างเป็นเวทีขนาดใหญ่ ประดับประดาด้วยแก้วหินต่าง ๆ เห็นเหล่านางงามรวมกันอยู่บนนั้น กำลังจะลงมือเล่น ข้าพเจ้าต้องยอมรับว่าที่ได้มาเห็นนางแน่งน้อยแต่ละคนทรงโฉมควรพิศวง สวม
พัสตราภรณ์ล้วนแพรพรรณพริ้งพราวด้วยเครื่องถนิมอลังการแลลานตาดั่งนี้ มิใช่เป็นสิ่งที่จะได้ดูบ่อย ๆ ป่วยกล่าวไปไย ถึงกิริยาท่าทางที่เรียงร่ายย้ายท่าอันงอนงามในยามไขว่คว้าลูกคลี เพียงได้เห็นอยู่นี้เป็นแต่ชั้นต้น ต่อนั้นไปเหล่านางผู้มีเนตรดั่งตาทรายก็ยักย้ายท่าทางต่าง ๆ ในเวลาโยนแย่งคลีกัน ให้เห็นเป็นขวัญตาข้าพเจ้าเป็นเวลาอยู่ช้านาน ครั้นแล้วนางเหล่านั้นก็ถอยออก คงเหลืออยู่กลางรัตนเวทีแต่นางเดียว อยู่กลางรัตน์เวทีและก็อยู่ในกลางดวงใจของข้าพเจ้าด้วย
ดูก่อนท่านมาริสะ ข้าพเจ้าพึงกล่าวได้ด้วยถ้อยคำเป็นไฉน? ถ้าจะพูดถึงความงามของนาง ก็เกรงว่าถ้อยคำของข้าพเจ้าอาจหาญอยู่สักหน่อย เพราะถ้าจะกล่าวให้ท่านรู้สึกซึมซาบได้ดั่งหลับตาแลเห็น ข้าพเจ้าจะต้องเป็นมหากวีภรตเสียก่อน และถึงจะมีความสามารถปานนั้น ท่านก็จะเห็นความงามได้เพียงราง ๆ เท่านั้น รวมความ ข้าพเจ้าพอจะบอกได้เลา ๆ ว่าสาวน้อยที่อยู่กลางเวทีมีดวงหน้านวลประหนึ่งแสงจันทร์อ่อน ๆ รูประหงทรงอรชรหาตำหนิมิได้ ทรงทรามวัยอยู่ทั่วสรรพางค์ จนทำให้ข้าพเจ้าเผลอสติ คิดว่านางคือพระลักษมีเทวีอวตารมา บังเกิดความยินดีซาบซ่านทันทีที่ได้มาเห็น
ทันใดนั้นนางเริ่มเดาะคลีบูชาพระศรีเทวี มีกิริยาท่าทางทัดเทียมได้ก็แต่ผู้สามารถเป็นพิเศษ นางโยนลูกคลีลงบนเวที ครั้นเมื่อลูกคลีค่อย ๆ กระดอนกลับ นางเอาหลังหัตถ์ดั่งกลีบดอกไม้ตบรับไว้ ให้ลูกคลีกระท้อนขึ้น แล้วก็เอาหลังหัตถ์ขึ้นรับ และโยนกลับผลัดเปลี่ยนเวียนท่าตบต้อนลูกคลีด้วยหัตถ์ซ้ายและหัตถ์ขวา ให้กระท้อนขึ้นลงเร็วและช้าวงไปจนตลอดด้านเวที ถ้าท่านเป็นผู้รู้ดีดูชำนาญในการเล่นคลี ซึ่งข้าพเจ้าสังเกตดูในกิริยาของท่าน ก็ต้องเข้าใจว่ามีความรู้ดี และได้ไปเห็นด้วยตาเอง ก็คงบอกว่าจะหาผู้ที่ชำนาญยอดเยี่ยมเสมอนางเป็นไม่มี
ครั้นแล้วนางได้แสดงการเล่นอย่างหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็น และทั้งยังไม่เคยได้ยินการเล่นชนิดนี้ด้วย กล่าวคือได้โยนลูกคลีทองหนึ่งคู่ แล้วเดาะให้ขึ้นลงอย่างรวดเร็วจนดูเป็นสายทอง ตั้งแต่พื้นเวทีตลอดขึ้นไปในอากาศ ส่วนบาทก็ย่างย่ำเข้าจังหวะกับเสียงอาภรณ์ที่ประดับกาย ถ้าจะเปรียบความเร็วของคลีก็คือ เห็นเป็นสายคล้ายซี่กรงทองและนางนั้นคือนก ซึ่งกระโดดเต้นไปมาอยู่ในกรงทองปานเดียวกัน
ถึงตรงนี้ตานางและข้าพเจ้าก็ประสบกัน !
ดูก่อนท่านอาคันตุกะผู้เจริญ นับแต่นั้นมากระทั่งถึงบัดนี้ ข้าพเจ้าสงสัย ยังเข้าใจไม่ได้ว่า ทำไมข้าพเจ้าจึ่งไม่แดยันล้มลงขาดใจตาย เพราะสายตานางเสียแต่ในขณะนั้น จะได้ไปเกิดในสวรรค์? หรือบางทีเป็นเพราะวิบากกรรมในชาติก่อนยังชะลออยู่ ข้าพเจ้าจึ่งไม่ตายลงไปในขณะนั้น สู้มีชีวิตรอดพ้นภัยต่าง ๆ มาได้ถึงบัดนี้? ก็เห็นจะเป็นด้วยบุญกรรมยังหน่วงเหนี่ยวไว้ และกว่าจะหมดสิ้นไปก็คงจะอีกช้านาน
จะขอย้อนเล่าต่อไป ถึงตอนนี้คลีลูกหนึ่งพลัดหัตถ์นาง กระเด็นออกจากกลางเวทีลงมาข้างนอก บรรดาชายหนุ่มในที่นั้นหลายคน ต่างวิ่งกันเข้าไปแย่งเก็บลูกคลี ข้าพเจ้าด้วยผู้หนึ่งที่วิ่งเข้าไปแย่งกับเขาด้วย และไปถึงลูกคลีก่อน แต่ในทันทีนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอันงามมีราคาแพง กรากเข้าไปแย่งข้าพเจ้า ต่างฝ่ายไม่ต้องการให้ใครได้ลูกคลีเอาไป แต่อาศัยข้าพเจ้ามีความรู้ในวิชากลเม็ดมวยปล้ำชำนาญ จึงคว้าลูกคลีไว้ได้ส่วนชายคนนั้นคว้าหลังรั้งข้าพเจ้าไว้มิให้ไป แต่ไปคว้าถูกสร้อยคอทำด้วยแก้วมีเครื่องรางร้อย สร้อยคอของข้าพเจ้าขาดทันที กระทำให้ชายคนนั้นล้มลง ข้าพเจ้าก็ได้ลูกคลีมาชายคนนั้นโกรธกระโดดลุกขึ้น หยิบสร้อยที่ตกขาดอยู่ขว้างเท้าข้าพเจ้า เครื่องรางที่ทำเป็นตาเสือเป็นของไม่สู้มีราคาอะไร แต่เป็นเครื่องคุ้มกันภัย เวลานั้นไม่อยู่ในกายข้าพเจ้า แต่ช่างเถิด เพราะได้ ลูกคลี อันเมื่อสักครู่ได้ถูกหัตถ์ดั่งดอกบัวของนางตบต้องมาอยู่ในกำมือข้าพเจ้าแล้ว และในทันทีนั้น ด้วยความชำนาญในการโยนคลีมาก่อน ข้าพเจ้าได้โยนลูกคลีขึ้นไปที่หน้าเวทีตรงมุมข้างหนึ่ง ลูกคลีค่อยกระท้อนเข้าไปหาสาวน้อยซึ่งในขณะนั้นยังคงตบลูกคลีที่เหลืออยู่อีกลูกหนึ่ง นางก็รับไว้ได้ กระทำให้คนดูแสดงความพอใจออกเซ็งแซ่ เมื่อการเล่นเพื่อบูชาพระลักษมีเทวีสิ้นสุดลงแล้ว นางงามทั้งหลายก็หายหน้าไป ส่วนข้าพเจ้ากับโสมทัตต์ก็กลับบ้าน
ขณะเดินทางกลับ สหายข้าพเจ้าพูดขึ้นว่า ข้าพเจ้าเป็นคนโชคดีที่ไม่ได้รับราชการอยู่ในกรุงนี้ เพราะชายหนุ่มซึ่งเข้ามาแย่งลูกคลีกับข้าพเจ้า ไม่ใช่คนอื่นไกล เป็นบุตรของประธานมนตรี ใคร ๆ ที่ได้เห็นเหตุการณ์ในเวลาที่แล้วมา รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนั้นแสดงกิริยาอาฆาตมาดร้ายข้าพเจ้าเป็นที่สุด ความข้อนี้ไม่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกวิตกเดือดร้อนเลยที่เดือดร้อนใจอยู่ในขณะนั้น ก็ที่ตรงจะต้องการทราบว่าสาวน้อยคนนั้นคือใคร แต่ก็กระดากปากไม่อาจซักถาม ฝ่ายโสมทัตต์ก็เดาความในใจข้าพเจ้าได้ แกล้งพูดชมเชยนางในการเล่นคลีต่าง ๆ นานา ข้าพเจ้าทำเป็นไม่รู้สึก และว่าหญิงที่เมืองข้าพเจ้ามีถมไปที่สามารถในการเล่นคลีไม่แพ้ แท้ที่จริงในเวลานั้น หัวใจข้าพเจ้าปั่นป่วนด้วยความรู้สึกว่าตนได้กล่าวความเท็จ ควรที่จะต้องขอโทษนางผู้หาที่เปรียบในความงามมิได้
ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวว่า คืนนั้นข้าพเจ้านอนไม่หลับเลย ที่ทนนอนหลับตาก็เพื่อให้เห็นภาพที่ต้องการเห็นเท่านั้น วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าไปสงบอารมณ์อยู่ที่มุมสวนของเจ้าบ้านที่ข้าพเจ้ามาพักอยู่ เพราะที่นั้นอยู่ห่างไกลจากเสียงพลุกพล่าน และตรงที่ดินทรายใต้ต้นมะม่วงอันร่มรื่น กระทำให้ร่างกายที่ผ่าวด้วยรุ่มรัก ค่อยระงับความร้อนรนไว้ได้บ้าง กับได้อาศัยพิณเจ็ดสายเป็นสหาย สำหรับบอกเล่าความรักในใจ พอตะวันบ่ายคลายแดดร้อนลงไปบ้าง ข้าพเจ้าชวนโสมทัตต์ให้นั่งรถไปเที่ยวอุทยานอีก โสมทัตต์ขัดไม่ได้ก็ไปด้วย ที่จริงโสมทัตต์ต้องการไปดูการตีนกพนัน แต่ต้องเว้นไปในวันนั้น ข้าพเจ้าเดินตุหรัดตุเหร่อยู่ในสวนจนตลอด ก็ไม่เป็นผลดั่งมุ่งหมาย จริงอยู่มีนางงามเล่นคลีอยู่หลายคน ดูประหนึ่งจะลวงให้ข้าพเจ้าหลงเข้าไปหา ครั้นเมื่อเข้าไปแล้ว ก็หาพานพบนางผู้ทรงโฉม คือ พระศรีเทวีไม่
ข้าพเจ้าเสียใจเป็นที่สุด เลิกไปเที่ยวในอุทยาน หันไปเที่ยวทางแม่คงคา ได้ไปยังท่าน้ำหลายแห่ง ในที่สุด ลงเรือเที่ยวลอยละล่องไปตามกระแสธารอันศักดิ์สิทธิ์ จนแสงอาทิตย์ในเวลาอัสดงลับหายไป เห็นแสงคบและแสงตะเกียงเรี่ยรายอยู่แวม ๆ ต้องพื้นน้ำซึ่งดูดั่งกระจกให้เต้นฉะนั้น ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเลิกความหวังอันแรงกล้า แต่ว่าเงียบ ๆ อยู่ในใจ บอกให้คนเรือให้พายมาส่งยังที่ท่าที่อยู่ใกล้
เมื่อนอนไม่หลับตลอดคืน ตื่นขึ้นตั้งแต่เช้าก็อยู่แต่ในห้อง เพื่อพักผ่อนอารมณ์ซึ่งหมกมุ่นมัวหมอง เห็นอยู่แต่รูปนางงาม พอให้บรรเทาจะได้มีกำลังวังชาสามารถไปเที่ยวอุทยานในตอนบ่ายอีก เพื่อให้หายรำคาญใจ หันไปพึ่งพู่กันและสี เอามาวาดรูปนางในเวลาตบตีลูกคลี พูดถึงอาหารข้าพเจ้าไม่สามารถจะกินได้แม้แต่คำเดียว อันว่านกเขาไฟซึ่งมีเสียงเพราะอ่อนหวานยืนชีพอยู่ได้ด้วยแสงจันทร์ฉันใด ข้าพเจ้ายืนชีพต่อมาได้ก็ด้วยแสงจันทร์แห่งดวงหน้าของนางฉันนั้น ซึ่งข้าพเจ้าจำได้เป็นเงา ๆ แต่หวังว่าจะได้เห็นเพื่อฟื้นความจำให้แม่นขึ้นอีก ก็ที่ในอุทยานตอนเย็น อนิจจา ความหวังที่มีไว้นี้ ในที่สุดกลายเป็นความเสียใจ เพราะไปแล้วก็มิได้พบ ภายหลังโสมทัตต์ชวนไปเที่ยวสอดสกา เพราะโสมทัตต์ติดสกาแทบเป็นบ้า อย่างพระนลซึ่งถูกกลีเข้าสิงฉะนั้น ข้าพเจ้าขอตัวไม่ไปด้วย บอกว่าเหนื่อย ซึ่งที่ถูกถ้าเหนื่อยก็ควรกลับบ้าน แต่ข้าพเจ้าไม่ยักกลับ ไพล่ไปที่ท่าน้ำแล้วลงเรือเที่ยวอีก ในคราวนี้ข้าพเจ้ามีความเสียใจไม่แพ้กับคราวก่อน เพราะมิได้วี่แววอะไรเลย
โปรดติดตามตอนต่อไป

ปีศาจ
07-27-2009, 07:39 AM
ห้า
รูปวิเศษ
ข้าพเจ้าย่อมทราบได้ดีสำหรับตัวเองว่า การนอนให้หลับเป็นอันไม่น่านึกถึง จึงไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าตลอดเวลาเย็นวันนั้น เป็นแต่นั่งลงที่หัวนอน บนเสื่อหญ้าซึ่งเป็นอาสนะสำหรับกราบไหว้พระ นั่งท่าบูชาสงบนิ่งอยู่อย่างนั้นตลอดคืน ในใจก็นึกภาวนาถึงพระลักษมีเทวีผู้มีกำเนิดจากดอกบัว รุ่งรางสว่างแล้วก็เริ่มวาดรูปที่ค้างไว้ต่อไป
เวลาล่วงไปรวดเร็ว ในขณะที่ข้าพเจ้าวาดรูปอยู่ พอดีโสมทัตต์เข้ามาหา ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเขาเดินมา ก็ตะลีตะลานเอารูปและเครื่องเขียนเสือกซ่อนไว้ใต้ที่นอนทันที โดยไม่รู้สึกตัวต้องนึกในการที่ทำเช่นนั้น
โสมทัตต์นั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยข้างตัวข้าพเจ้า มองดูข้าพเจ้าแล้วก็ยิ้ม พูดว่า
"ข้าพเจ้าออกจะเห็นเป็นความจริงแล้วว่า ในบ้านเราเวลานี้ออกจะมีเกียรติยศอยู่ที่ได้เป็นที่เกิดของอริยบุคคล เพราะสูท่านมิใช่จะบำเพ็ญตบะในการอดอาหาร อย่างทรหดที่สุดแล้ว ยังเว้นจากการนอนบนที่นอนอันอ่อนนุ่มเพิ่มขึ้นด้วย จงดูหมอนและที่นอนซิไม่มีรอยชอกช้ำแม้เล็กน้อย ผ้าปูก็ยังขาวสะอาดไม่มีมลทินเลย แต่ว่าร่างกายของสูท่านถูกบำเพ็ญตบะอดอาหารดูออกจะซูบ ๆ ไปแล้ว แต่ยังมีน้ำหนักอยู่ เพราะที่เสื่อเป็นรอยบุ๋มแสดงว่าสูท่านจำศีลบนนี้ตลอดคืน สำหรับท่านผู้แน่วแน่ในการภาวนาบุญ ห้องที่อยู่นี้ดูยังไม่เหมาะ เพราะออกจะเป็นโลก ๆ อยู่หน่อย ด้วยบนโต๊ะแต่งตัวยังมีโถน้ำมันแม้จะไม่ได้แตะต้องก็จริงอยู่ และยังมีโถผงไม้จันทน์ โถน้ำหอม และจานวางเปลือกต้นส้มและหมากอยู่ด้วย ที่ฝาก็ยังมีพวงมาลาดอกอัมลาน และพิณแขวน เอ๊ะ! ฉากที่เคยแขวนอยู่ที่ขอนั่นหายไปไหน?"
ข้าพเจ้าอึกอักกำลังนึกแก้ตัวไม่ทัน โสมทัตต์เหลือบไปเห็นซุกอยู่ใต้ที่นอน ก็ไปลากเอาออกมา และพูดว่า<o:p></o:p>
"ดูดู๋! มดถ่อหมอผีที่ไหนนี่? ชั่วแท้ ๆ มาทำฉากเปล่าที่แขวนอยู่ตรงนั้น ให้เกิดมีภาพสาวน้อยแสนสวยกำลังเล่นคลีขึ้นได้ นี่ไม่มีอื่น คงมีอะไรประสงค์ร้ายต่อท่านผู้เริ่มเป็นฤษีมีฌานแก่กล้า หน่อยแน่! ยังมิทันไรก็จัดการเขียนรูปเขียนรอยเป็นมารกระทำทีเดียว ต้องการจะทำลายตบะเสียแต่ต้นมือ! หรือมิใช่เช่นนั้น จะเป็นเทพองค์ใดองค์หนึ่งมานิรมิตรูปไว้ให้ก็ไม่รู้ เพราะเราท่านย่อมทราบกันดีอยู่ ว่าทวยเทพย่อมกลัวเดชของมหาฤษีผู้บำเพ็ญตบะอย่างแก่กล้า สำหรับสูท่านเมื่อเริ่มต้นทรมานกายได้ถึงเพียงนี้ในไม่ช้า เขาวินธัยคงพ่นไฟออกมาแน่ เพราะร้อนตบะของสูท่านที่แรงกล้า มิใช่เท่านั้น เดชบารมีที่สะสมไว้ ป่านนี้ทวยเทพในเทวโลกจะมิตัวสั่นระรัวไปตามกันแล้วหรือ?"
"และบัดนี้ข้าพเจ้าดูเหมือนจะรู้ว่าเทพองค์ที่มานิรมิตรูปไว้คือเทพองค์ไร ไม่มีอื่นไกลแล้ว คงเป็นเทพองค์ที่สมญาว่า "ไม่แพ้ใคร" ทรงดอกไม้เป็นลูกธนู และมีธงเป็นรูปปลามังกร อ้อ! นึกออกแล้ว! คือกามเทพนั่นเอง! โอ๊ย! ทวยเทพเจ้าขา! นี่รูปใคร? รูปวาสิฏฐี ธิดาเศรษฐีช่างทองทีเดียวนี่นา!"
ข้าพเจ้าได้ยินและรู้จักชื่อของนางผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้หลงใหลแล้วเป็นครั้งแรกนี่เอง รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงเข้า หน้าชักชาซีดด้วยอักอ่วนใจ
โสมทัตต์นัยเย้ยกล่าวต่อไปว่า "สหายเอ๋ย! ออกจะเห็นแล้วว่าอำนาจโยคะของกามเทพทำให้ท่านกระวนกระวายใจมาก จะต้องปัดรังควานเสียบ้าง พอให้กามเทพหายพิโรธ ในเรื่องเช่นนี้ รู้สึกว่าต้องอาศัยปัญญาผู้หญิงจึ่งจะได้ ข้าพเจ้าจะเอารูปวิเศษนี้ไปให้เมทินีคู่รักข้าพเจ้าดู เพราะเมื่อเล่นคลีคราวนั้น นางก็ไปเล่นอยู่ด้วย และซ้ำนางก็ลูกเรียงพี่เรียงน้องกับวาสิฏฐี"
โสมทัตต์พูดแล้ว ก็ลุกขึ้นจะไป และจะเอารูปไปด้วย ข้าพเจ้าเห็นเช่นนี้ และรู้สึกอยู่ว่าโสมทัตต์เป็นคนชอบล้อไม่ใช่เล่น จึงบอกให้รอก่อน เพราะรูปนั้นยังขาดคำจารึกข้าพเจ้าขมีขมันเอาสีแดงอันงามมาผสม แล้วก็เขียนอักษรตัวบรรจงอย่างงามไว้ในฉากรูป เป็นกาพย์สี่บาท มีข้อความอย่างง่ายๆ กล่าวถึงเรื่องนางเมื่อเล่นคลี กาพย์ที่เขียนนี้เป็นกลบท ถ้าอ่านถอยหลังจะได้ความว่าลูกคลีที่นางเดาะตีคือดวงใจข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าขอส่งคืนมายังนาง แต่ก็หวั่น ๆ ว่านางจะมิรับไว้ ถ้าอ่านกลบทนั้นตรงลงมาจากอักษรในบรรทัดต้น จนถึงอักษรบรรทัดปลายเป็นลำดับกันไป จะได้ความกล่าวถึงความระทมโศกสาหัสที่ต้องพรากจากนางมา หรือถ้าจะอ่านย้อนขึ้นแต่ล่างไปหาบน ผู้อ่านจะทราบได้ว่าข้าพเจ้ายังมีความหวังอยู่
ที่ผูกกาพย์ยอกย้อนซ่อนเงื่อนไว้ดังนี้ ข้าพเจ้าไม่แสดงให้ทราบเค้า เพราะฉะนั้นโสมทัตต์จึ่งไม่รู้ว่ากาพย์ที่ข้าพเจ้าผูกไว้นั้นจะดีวิเศษเพียงไร คงเข้าใจแต่ว่าเป็นถ้อยคำดาด ๆ ตามธรรมดา จึ่งเผยอแนะนำว่า ถ้าจะให้เข้าทีขึ้นอีก ควรกล่าวเสียด้วยว่า กามนิตตระหนกตกใจเป็นกำลัง ในความแก่กล้าแห่งตบะที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญ ถึงกับนิรมิตรูปนี้มาทำลายพิธีตบะ จนข้าพเจ้าต้องพ่ายแพ้แก่ท้าวกามเทพอย่างราบคาบ
เมื่อโสมทัตต์นำรูปไปแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกเบิกบานใจอย่างไรไม่ทราบ เพราะเห็นว่าบัดนี้นับว่าได้ก้าวบันไดแห่งความหวังขึ้นไปได้หนึ่งขั้นแล้ว อาจบังเกิดผลให้ไปสู่ความสุขวิเศษยิ่งกว่าความสุขทั้งหลาย ให้สมดั่งที่มุ่งหมายไว้ เวลานี้ข้าพเจ้าอาจกิอาหารได้แล้ว ได้จัดแจงกินอาหารว่างบ้างเล็กนอน แล้วปลดพิณที่แขวนอยู่ข้างฝา เอามาดีดเป็นเพลงพอให้เพลิน คอยเวลาอยู่เรื่อย จนโสมทัตต์กลับมา และถือรูปมาด้วย
โสมทัตต์พูดว่า "นางผู้เล่นคลี ผู้ทำลายศานติภาพของท่าน อุตริแต่งกาพย์ขึ้นบ้างแล้ว แต่ข้อความที่กล่าว บอกไม่ถูกว่ามีอะไรอยู่บ้าง รู้เพียงลายมือที่เขียนไว้ อาจกล่าวได้ว่าสวยผิดปรกติ"
แท้จริงลายมือก็สวยอย่างเช่นว่า ข้าพเจ้าได้เห็นอยู่ตรงหน้า แสนดีใจจนใจตันพูดไม่ถูก ถ้อยคำที่เขียนเป็นกาพย์ต่อจากของข้าพเจ้ามีสี่บาทเหมือนกัน ตัวอักษรงามราวกับช่อดอกไม้ที่พึ่งตูมตั้ง ต้องลมอ่อน ๆ ในฤดูร้อนโบกสะบัด ดูประหนึ่งว่าพัดมาติดอยู่ที่รูปฉะนั้น โสมทัตต์ย่อมจะไม่ทราบความหมายที่แฝงอยู่ในกาพย์นั้น เพราะเป็นถ้อยคำที่ตอบความแฝงของข้าพเจ้า ทั้งนี้ก็แสดงอยู่ว่า นางงามของข้าพเจ้าอ่านกลอักษรในกาพย์ข้าพเจ้าได้ถูกต้องทุกวิธีที่มีอยู่ กระทำให้ข้าพเจ้าอิ่มเอมด้วยปีติ ที่เห็นว่านางมีความรู้ความฉลาดไม่แพ้ความเป็นผู้มีใจสูงอยู่ในตัว เพราะถ้อยคำที่ตอบแสดงว่านางรู้สึกว่าข้อความอันแสดงความรักของข้าพเจ้า เป็นแต่ชนิดเผิน ๆ ไม่บังควรที่นางจะถือเป็นอารมณ์นัก
เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านแล้ว ก็เพียรอ่านย้อนถอยและตามตรง อย่างวิธีที่ข้าพเจ้าแต่ง โดยหวังว่าจะได้พบข้อความที่จะแสดงความรักหรือนัดพบอย่างไรบ้างนั้น แต่ก็ไม่พบเลยแต่ความไม่สมประสงค์นี้ พอดีได้บรรเทาลง ด้วยโสมทัตต์กล่าวว่า
"แต่นางสาวน้อยผู้มีคิ้วอันงาม ถึงจะไม่ใช่เป็นกวีวิเศษ ก็มีใจแท้ เพราะนางได้บอกว่า ข้าพเจ้า (โสมทัตต์) ไม่ได้พบเมทินีคู่รักของข้าพเจ้าและเป็นญาติของนาง สิ้นเวลาช้านานแล้ว จะได้พบกันก็ในที่ประชุมชน ซึ่งจะโอภาปราศรัยกันได้ก็เพียงนัยน์ตาถึงกระนั้นก็ได้แต่ชำเลืองแลดูกัน เพราะฉะนั้น นางจะจัดแจงให้ได้พบกันในคือพรุ่งนี้ที่บนลานในบริเวณปราสาทของบิดานาง เสียใจที่จะไปพบกันคืนนี้ไม่ได้ เพราะบิดาของนางมีงานเลี้ยงดูแขก จะต้องทนทุกข์ทรมานไปจนถึงพรุ่งนี้ บางทีท่านต้องการไปเผชิญภัยกันบ้างก็ได้"
โสมทัตต์พูดแล้วหัวเราะเป็นเชิง ซึ่งกระทำให้ข้าพเจ้าพลอยหัวเราะไปด้วย แล้วรับรองแก่เขา เป็นอันว่าข้าพเจ้าตกลงขอไปด้วย กำลังเบิกบานใจ เราสองคนก็ลากระดานหมากรุกซึ่งอยู่ข้างฝา เอามาเล่นเพื่อกันรำคาญใจ พอดีคนใช้เข้ามา และบอกว่ามีใครอยากจะพบกับข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าลุกออกไปที่ห้องนอก พบคนใช้ของท่านราชทูต ซึ่งมาบอกข่าวให้ทราบว่าข้าพเจ้าต้องเตรียมตัวกลับ ให้จัดเตรียมเกวียนไปรอคอยไว้ที่ลานวังในคืนนั้นทีเดียว เพื่อจะได้ออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นแต่เช้าตรู่
ข้าพเจ้าใจหายวาบพูดไม่ออก รู้สึกว่าต้องเป็นการถูกเทพบาปเคราะห์องค์ใดองค์หนึ่งลงโทษ โดยที่ข้าพเจ้าไปทำผิดคิดร้ายอะไรอย่างหนึ่งที่ไม่ทราบ ซึ่งทำให้ท่านพิโรธพอข้าพเจ้าได้สติขึ้นบ้าง ก็ปึงปังวิ่งอ้าวไปหาท่านราชทูต กล่าวความเท็จแก่ท่านเสียยกใหญ่ โดยบอกว่าข้าพเจ้าเตรียมตัวไปไม่ทัน เพราะธุระยังไม่สุดสิ้นลง ด้วยมีเวลาจัดการน้อยเต็มที ข้าพเจ้าร้องไห้อ้อนวอน ขอให้ท่านเลื่อนเวลากลับให้ยืดไปเพียงวันเดียวเท่านั้น
ท่านราชทูตพูดว่า "ก็ไหน เมื่อแปดวันที่ล่วงมานี้ เจ้าบอกว่าเสร็จธุระแล้วอย่างไรเล่า?"
ข้าพเจ้าแก้ตัวว่า ต่อจากวันที่ได้เรียนท่านแล้ว เกิดมีธุระสำคัญโดยไม่ได้นึกคาดซึ่งหวังว่าจะได้โชคกำไรอย่างงามที่สุด ข้าพเจ้าได้กล่าวนี้ไม่ได้กล่าวคำเท็จเลย เพราะโชคกำไรชนิดไรเล่าสำหรับข้าพเจ้า จึ่งจะวิเศษไปกว่าที่จะได้ชัยชนะต่อนางผู้หาที่เปรียบมิได้
ท่านราชทูตเสียอ้อนวอนไม่ได้ ยอมเลื่อนวันกลับยืดไปอีกหนึ่งวัน
วันเวลาในวันรุ่งขึ้นได้ล่วงไปโดยเร็ว ตลอดเวลานั้น ข้าพเจ้าได้จัดเตรียมสิ่งของขึ้นบรรทุกเกวียนเสียให้เสร็จทันเวลา จะได้ไม่เป็นห่วงเกิดกังวล พอถึงเวลาเย็นก็จัดเสร็จให้เอาเกวียนไปรอไว้ที่ลานวัง ส่วนโคก็ให้เข้าเครื่องไว้ ถ้าพอข้าพเจ้าไปถึง ในเวลาเช้าตรู่ก็จะได้เอาโคเข้าเทียมเคลื่อนได้ทันที
โปรดติดตามตอนต่อไป

ปีศาจ
08-14-2009, 05:03 PM
http://www.khonnaruk.com/html/book/liturature/kamanita/kamanita-index.html

ติดตามได้ตามเว็บนี้ครับ