PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : รู้ไหม!!! ทำไมกรุงเทพยังไม่ถูกน้ำท่วม??? (มีคำถามด้วยครับ)



sisima
07-26-2009, 02:02 PM
จาก Forword Mail in my Blog : นิมิตหลวงพ่อโอภาษี

พอดีเมื่อวานมีเพื่อนส่งเมลล์มาให้

อยากให้เพื่อนๆได้อ่านกัน

อ่านไปหลังๆแล้วขนลุกมาก

ถ้าเคยอ่านแล้วขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

พอดีเมื่อวานไปถวายเทียนพรรษา

ที่วัดหลวงพ่อโอภาษีครับ




คิดว่าเพื่อนๆที่อยู่แถวพระราม2 คงรู้จักกันทุกคน

เข้าเรื่องเลยนะครับ

ผมก็ไปกับที่บ้านรวม 5 คน เข้าไปถึงกุฎิที่พ่อผมบอกว่า

เป็นพี่ชายของเจ้าอาวาส

เป็นหลวงพ่อ อายุราวๆ 70 ตาซ้ายเสียอ่ะครับ


เห็นบอกว่าองค์นี้เก่งมากก็เข้าไปถวายเทียนพรรษา

พร้อมๆกับอีกหลายๆคน ที่มาหาหลวงพ่อเช่นกัน
พอถวายเทียนเสร็จหลวงพ่อท่านก็เล่าว่าท่านนิมิต(ฝัน)ว่า


ท่านได้ไปนรกครับไปเจอเท้าเทพสุวรรณ(ยมฑูต)
ท่านก็เล่าว่า ท่านถามสุวรรณว่าท่านตายแล้วเหรอ?


สุวรรณบอกว่าท่านยังไม่ตายแต่จะพาไปเที่ยว
แล้วเค้าก็พาหลวงพ่อเดินไป เดินไปเรื่อยๆ
จนถึงระยะหนึ่ง หลวงพ่อหยุดเดิน สุวรรณที่เดินนำ

ก็เดินกลับมาครับ แล้วถามว่า หยุดทำไม?


ท่านก็ตอบว่า เดินตั้งนานแล้วในนรกไม่เห็นมีอะไรเลย
ระหว่างนั้นท่านก็บรรยายบรรยกาศของนรกว่า

นรกมีไฟเพลิงสีส้มแดง แต่ไม่มีควัน แล้วก็ไม่ร้อน

ที่ท่านไม่ร้อนเพราะท่านมีบุญดีอยู่
แล้วสุวรรณก็ถามต่อครับว่า อยากเห็นอะไรละ?

ท่านตอบว่า อยากเห็นต้นงิ้ว และกะทะทองแดง
สุวรรณบอกว่าไม่มีหรอก มนุษย์อุปโหลกขึ้นมาเองทั้งนั้น

ในนี้มีแต่ไฟโลกัณฑ์ เดินไปอีกหน่อยแล้วจะรู้เอง

ท่านก็ได้เดินต่อไป สิ่งที่ท่านเห็นก็คือ เหวที่มีไฟแดงฉาน

อยู่ข้างล่าง

สุวรรณบอกว่า ใครทำกรรมชั่วมากก็จะอยู่ข้างล่างสุด
ทำกรรมชั่วน้อยก็จะอยู่ข้างบน ซึ่งข้างล่างจะร้อนกว่าข้างบน

คราวนี้เดินต่อไปเรื่อยๆ ท่านก็เห็นทางสามแพร่ง

มีน้ำกันอยู่ จึงได้ถามสุวรรณว่านี้คืออะไร
สุวรรณตอบว่านี่คือทางไปนรก สวรรค์ โลกมนุษย์

ซึ่งมีคนยืนในช่องทางไปโลกเยอะมากๆ
มีบางคนแอบซุกเพื่อหลบน้ำที่จะต้องผ่าน

ท่านจึงถามว่าน้ำนี่คืออะไร
สุวรรณตอบว่าน้ำนี่ใช้ชะล้างจิตใจ ให้ลืมอดีต

แล้วไปเกิดใหม่ คนที่หลบหลีกน้ำนี้ไปได้จะต้องเป็นทุกข์

(ที่เข้าใจคือระลึกชาติได้)

sisima
07-26-2009, 02:03 PM
แล้วท่านก็เล่าว่า พวก สส.ที่มันได้ดีเพราะมันกินบุญเก่า
เหมือนปลูกต้นแอปเปิ้ลไว้ ตัวเองปลูกตัวเองก็ได้กิน
เมื่อต้นแอปเปิ้ลหมดก็อดกิน ก็เหมือนกับพวก สส.
ที่กินบุญเก่าอยู่ เราไม่สามารถไปทำอะไรเค้าได้ ต้องรอ
ให้เค้าหมดบุญไปเอง
หลวงพ่อท่านก็ถามสุวรรณต่อว่าวิญญาณมนุษย์
ไปเกิดก็เยอะ แล้ววิญญาณที่ยังอยู่ที่โลกก็เยอะ
ทำไมไม่จับมาให้หมด สุวรรณก็ตอบว่า
จับมาไม่ได้เพราะเค้ายังไม่หมดอายุขัย ร่างกายคนเรา
มี สังขาร (ร่างกาย) และจิตวิญญาณ เมื่อละสังขารแล้ว
แต่ยังไม่ละจิตวิญญาณ คือยังไม่ถึงที่ตาย เช่นพวก
ฆ่าตัวตาย หรือถูกรถชนตาย วิญญานก็จะต้องวนเวียนอยู่
ในโลกไปจนกว่าจะถึงเวลาที่ละวิญญาณแล้ว
ถึงจะไปรับมาได้ ท่านจึงถามต่อว่า
พ่อหลวงจะมีอายุยืนยาวไหม?
สุวรรณตอบว่า ท่านสิ้นอายุขัยแล้วแต่มีคนต่ออายุขัยให้ท่าน
ซึ่งก็คือพี่สาวของท่านเอง
แล้วประเทศไทยละจะเป็นอย่างไรต่อไป?
สุวรรณตอบว่า บอกไม่ได้
แล้วหลวงพ่อก็เดินต่อไปอีก
คราวนี้ไปเจอแอ่งน้ำลักษณะเหมือนเขื่อน
ซึ่งมองไปที่กำแพงกั้นน้ำ สิ่งที่ท่านเห็นคือ
ม้าตัวผอมเซียว ซึ่งมี พระเจ้าตาก และ พระปิยะมหาราช ยื่นขวาง
ลำน้ำอยู่
ท่านบอกว่า ที่เห็นอยู่คือกษัตริย์เก่าๆ
ช่วยไม่ให้กรุงเทพฯ ถูกน้ำท่วม
จริงๆกรุงเทพฯต้องถูกน้ำท่วมไปนานแล้ว
แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ม้าจะหมดแรง
จากความหนาวของน้ำ
และการอดอาหารมานาน
หลวงพ่อท่านพูดจบ
น้ำตาท่านก็ไหลออกมา
แล้วบอกให้ทุกคนที่ได้รับฟัง
เรื่องราวของท่านว่า เป็นนิมิตของท่าน
จะเชื่อหรือไม่ก็ได้ เพราะท่านก็ยังคิดว่า
เป็นความฝันของท่าน...
แต่ท่านก็กำชับกับทุกๆคนเอาไว้ว่า
เวลาไปที่วงเวียนใหญ่ หรือพระบรมรูปทรงม้า
หรือที่ไหนก็แล้วแต่ที่มี พระบรมรูป
ให้กราบไหว้โดยนำ หญ้าที่ม้ากิน
ล้างให้สะอาดไปถวายด้วย
เพื่อให้ม้ามีกำลังยืนต่อไปได้
ผมก็คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ทุกคนมองข้ามไปจริงๆ
เพราะคนส่วนมากเวลาไปไหว้
ก็จะนำแต่ดอกไม้ไปไหว้เท่านั้น
สิ่งหนึ่งที่ผมคิดคือมันแปลกมากที่อยู่ๆ
เข้าไปถวายเทียนแล้วท่านก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
ในเมื่อมีโอกาสได้รับรู้ก็ควรเผยแพร่
แก่ทุกๆคนครับ
ก็อยากจะฝากเพื่อนๆ แต่อันนี้
สุดแล้วแต่ความเชื่อครับ
ขอบคุณครับ
จากเว็ปhttp://dek-d.com/board/view.php?id=1395289
อยากเรียนถาม อ.เดฟ ครับว่า

ในนรกนั้นก็คือ สถานที่ลงโทษดวงวิญญาณที่กระทำความชั่ว แล้วกรณีขององค์วิญญาณของพระเจ้าตากและสมเด็จพระปิยมหาราชกำลังยืนขวางลำนําอยู่นั้น ทางพระพุทธศาสนาได้มีปรากฎเรื่องราวของแองนํานี้ไหมครับ ?

อย่างที่ 2 ก็คือ การถวายของนั้น ถ้าเราตั้งจิตมั่น ของที่เราจะถวายจะสามารถส่งไปถึงดวงวิญญาณดวงนั้นได้ไหม แม้กระทั่งเราไม่รู้ชื่อ ?

D E V
07-26-2009, 07:03 PM
ในนรกนั้นก็คือ สถานที่ลงโทษดวงวิญญาณที่กระทำความชั่ว
แล้วกรณีขององค์วิญญาณของพระเจ้าตา และสมเด็จพระปิยมหาราชกำลังยืนขวางลำนําอยู่นั้น ทางพระพุทธศาสนาได้มีปรากฎเรื่องราวของแองนํานี้ไหมครับ ?



มีแสดงไว้เกี่ยวกับ แม่น้ำตโปทา
แต่ก็ไม่อาจทราบได้ว่าใช่แอ่งน้ำที่คุณ sisima กล่าวถึงหรือไม่อ่ะนะคับ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑
พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑
มหาวิภังค์ ภาค ๑
เรื่องแม่น้ำตโปทา
(เพื่อไม่ให้เยิ่นยาวไป ขอคัดความมาเพียงบางตอนนะคับ)

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม่น้ำตโปทานี้ไหลมาแต่ห้วงใด
ห้วงนั้นมีน้ำใสเย็น จืดสนิท สะอาดสะอ้าน
มีท่าเรียบราบ น่ารื่นรมย์ มีปลาและเต่ามาก
อนึ่ง ดอกบัวประมาณเท่ากงเกวียนแย้มบานอยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แต่แม่น้ำตโปทานี้ ไหลผ่านมาในระหว่างมหานรกสองขุม
เพราะฉะนั้น แม่น้ำตโปทานี้จึงเดือดพล่านไหลไปอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะพูดจริง โมคคัลลานะไม่ต้องอาบัติ.


*************************************************

อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค
มหากัจจานภัทเทกรัตตสูตร


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตโปทาราเม
ความว่า ในอารามที่มีชื่ออย่างนี้ ด้วยอำนาจแห่งสระชื่อ ตโปทะ คือมีน้ำร้อน.

ได้ยินว่า ภายใต้เวภารบรรพต
มีภพนาคประมาณห้าร้อยโยชน์ของนาคที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหลายเป็นเช่นกับเทวโลก
ถึงพร้อมด้วยพื้นอันสำเร็จด้วยแก้วมณี และสวนอันเป็นที่รื่นรมย์ทั้งหลาย.
ในสถานที่เป็นที่เล่นของนาคทั้งหลายในภพนาคนั้น มีสระน้ำใหญ่ แม่น้ำชื่อ ตโปทา
มีน้ำร้อนเดือดพล่านไหลจากสระนั้น.

ก็เพราะเหตุไร แม่น้ำนั้นจึงเป็นเช่นนี้.
ได้ยินว่า โลกแห่งเปรตใหญ่ล้อมกรุงราชคฤห์.
แม่น้ำตโปทานี้มาในระหว่างมหาโลหกุมภีนรกทั้งสองในมหาเปรตโลกนั้น.
เพราะฉะนั้น แม่น้ำตโปทานั้นจึงเดือดพล่านไหลมา.
สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำตโปทานี้ย่อมไหลโดยประการที่สระนั้นมีน้ำใสสะอาด
เย็น ขาว มีท่าดี รื่นรมย์ มีปลาและเต่ามาก และมีปทุมประมาณวงล้อบานสะพรั่ง.
อนึ่ง แม่น้ำตโปทานี้ไหลผ่านระหว่างมหานรกทั้งสอง
เพราะเหตุนั้น แม่น้ำตโปทานี้จึงเดือดพล่านไหลมาดังนี้.
ก็สระน้ำใหญ่เกิดข้างหน้าพระอารามนี้. ด้วยอำนาจแห่งชื่อสระน้ำใหญ่นั้น วิหารนี้จึงเรียกว่า ตโปทาราม.




http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

D E V
07-26-2009, 07:22 PM
และพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ 5
แสดงเกี่ยวกับ ภูมิจตุกะ ซึ่งพอจะสรุปย่นย่อได้ดังนี้นะคับ
(ขอคัดความมาเพียงบางส่วน)


นรก หมายความว่า เดือดร้อน ไม่มีความสุข เพราะต้องถูกทรมานอยู่เป็นนิจ
ภูมิของสัตว์นรกนี้ชื่อ นิรยภูมิ เป็นภูมิที่สัตว์ต้องถูกทรมานจนหาความสุขไม่ได้เลย

นรกขุมใหญ่ ๆ เรียกว่า มหานรก นั้น มี ๘ ขุม คือ

๑. สัญชีวะนรก
เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ต้องถูกประหารด้วยดาบฟาดฟันให้ตาย
แล้วก็กลับเป็นขึ้นมาอีก และถูกฟันให้ตายอีก เป็นเช่นนี้ตลอดเวลา

๒. กาฬสุตตะนรก
เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ต้องถูกตีเส้นด้วยเชือกดำทำด้วยเหล็ก
แล้วก็ถากหรือตัดออกด้วยเครื่องประหารมีขวาน มีด เลื่อยเป็นต้น อยู่เสมอ

๓. สังฆาตะนรก
เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ถูกภูเขาเหล็กที่สูงใหญ่ มีเปลวไฟอันลุกโพลง บดให้ละเอียดเป็นจุณไป

๔. โรรุวนรก
บ้างก็เรียกว่า จูฬโรรุวะนรก หรือธูมะโรรุวะนรก
เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ต้องถูกทรมานด้วยควันไฟ ให้เข้าไปสู่ทวารทั้ง ๙ ทำให้ร้องด้วยเสียงอันดัง

๕. มหาโรรุวะนรก
บางทีก็เรียกว่า ชาลโรรุวนรก
เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ต้องถูกไฟเผาตามทวารทั้ง ๙
ทำให้ต้องร้องครวญครางด้วยเสียงอันดังมาก

๖. ตาปนนรก
บางทีก็เรียกว่า จูฬตาปนะนรก
เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ต้องถูกตรึงด้วยหลาวเหล็กอันร้อนแดง และถูกไฟเผาอีกด้วย

๗. มหาตาปนะนรก
บางทีก็เรียกว่า ปตาปนะนรก
เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ต้องไต่ขึ้นไปบนภูเขาเหล็กที่กำลังร้อนแดง
แล้วตกลงไปสู่หลาวที่อยู่ข้างล่าง ทั้งถูกไฟเผาอีกด้วย

๘. อเวจีนรก
บางทีก็เรียก อวีจินรก
เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ต้องถูกตรึงอยู่ด้วยหลาวเหล็กอันร้อนแดงทั้ง ๔ ด้าน
และต้องถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

มหานรกทั้ง ๘ ขุมนี้แต่ละขุมตั้งอยู่ห่างกัน ๑๕,๐๐๐ โยชน์
และแต่ละขุมก็มี ประตูทั้ง ๔ ทิศ ทิศละ ๑ ประตู รวม ๘ ขุมเป็น ๓๒ ประตู
แต่ละประตูมีพระยายมราชประจำอยู่ประตูละ ๑ จึงมีพระยายมราช รวม ๓๒

เมื่อสัตว์นรกได้เสวยทุกข์อยู่ในมหานรกตามควรแก่กรรมแล้ว
ก็ยังไม่พ้นจากนรก ต้องมาเสวยทุกข์ในอุสสทะนรก หรือจูฬนรก
คือนรกขุมย่อยต่อไปอีกจนกว่าจะหมดกรรม

อุสสทะนรก หรือ จูฬนรก คือนรกขุมย่อยนั้น
ตั้งอยู่ตามประตูของมหานรกทุกประตู ประตูละ ๔ ขุมย่อย
ประตูมี ๓๒ ประตู ดังนั้นอุสสทะนรก จึงมีรวม ๑๒๘ ขุมย่อย

อุสสทะนรก ๔ ขุม คือ
๑. คูถะนรก เป็นนรกขุมย่อยที่เต็มไปด้วยอุจจาระอันเน่าเหม็น
๒. กุกกุละนรก เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นหลุมขี้เถ้า
๓. สิมพลีวนะนรก เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นป่าไม้งิ้ว
อสิปัตตะวนะนรก เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นป่าไม้ใบดาบ
ป่าไม้ทั้ง ๒ นี้ รวมนับเป็นนรกขุมเดียวกัน
๔. เวตตรณีนรก เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นแม่น้ำเค็มอันเต็มไปด้วยหนามหวาย

อนึ่งในคัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์แสดงว่าอุสสทะนรก หรือจูฬนรกนี้มี ๘ ขุม
อันเป็นการแยกโดยละเอียดพิสดารออกไป
เมื่อคำนวณตามนัยนี้ ประตูแห่งมหานรกมีรวมทั้งหมด ๓๒ ประตู
แต่ละประตูมีอุสสทะนรก (อย่างพิสดาร) ประตูละ ๘ ขุมย่อย
ดังนั้นจึงมีอุสสทะนรก รวม ๒๕๖ ขุมด้วยกัน

อุสสทะนรก ตามคัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์ ๘ ขุมนั้น คือ
๑. อังคารกาสุนีรย เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นถ่านเพลิง
๒. โลหรสะนิยะ เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นน้ำเหล็ก
๓. กุกกุละนิรยะ เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นขี้เถ้า
๔. อัคคิสโมทกะนิรยะ เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นน้ำร้อน
๕. โลหกุมภีนิรยะ เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นน้ำทองแดง
๖. คูถะนิรย เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นอุจจาระเน่า
๗. สิมพลีวนะนิรย เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นป่าไม้งิ้ว
๘. เวตตรณีนิรย เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นแม่น้ำเค็มที่มีหนามหวาย





http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

D E V
07-26-2009, 07:24 PM
สำหรับเรื่อง วิญญาณ
พระพุทธศาสนาจากพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
แสดงไว้ว่า วิญญาณ ก็เป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งของ จิต นั่นเองคับ
และในภพภูมิที่มีขันธ์ 5 เช่น มนุษย์ สัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์ในนรก
เทวดา รูปพรหม (เว้นอสัญสัตตพรหม)
ในภพภูมิเหล่านี้ จิต หรือ วิญญาณ จะต้องอาศัยรูปเป็นที่เกิดเสมอ
ดังนั้น ขันธ์ 5 อันได้แก่ รูปขันธ์..วิญญาณขันธ์ (จิต)...สัญญาขันธ์...เวทนาขันธ์...สังขารขันธ์
จะต้องประชุมร่วมกันเสมอ ไม่แยกจากกันเลยน่ะคับ

และหากยังต้องเกิดในภพภูมิที่มีขันธ์ 5 ดังกล่าว
ทันทีที่เราทุกคนตาย คือจุติจิตดับไป
ก็จะมี ปฏิสนธิวิญญาณ (ปฏิสนธิจิต) เกิดพร้อมกับรูปใหม่เสมอ
ไม่ได้มีวิญญาณไปล่องลอยเคว้งคว้างหาที่เกิดไม่ได้หรือรอเกิดแต่อย่างใดน่ะคับ
ดังนั้น ทันทีที่ตาย....ก็จะเกิดทันที
สุดแล้วแต่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด...สถานะใด

หากเกิดเป็นมนุษย์อีก
ก็ถือกำเนิดในครรภ์ (ชลาพุชกำเนิด)

หากเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน
บางประเภทก็เกิดในครรภ์เหมือนอย่างมนุษย์
บางประเภทก็เกิดในครรภ์แต่อยู่ในฟองไข่ก่อน (อัณฑชกำเนิด)
แล้วค่อยคลอดฟองไข่ออกมา จากนั้นจึงชำแรกฟองไข่ออกมาอีกที

หากเกิดเป็น เปรต เทวดา ฯลฯ ต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น
ก็ถือกำเนิดโดย โอปปาติกกำเนิด คือเกิดเป็นตัวโตทันที
ซึ่งรูปขันธ์ของเค้ามีความละเอียดกว่าของมนุษย์ หรือสัตว์ดิรัจฉาน
โดยปรกติธรรมดาแล้วเราจึงมองเค้าเหล่านั้นไม่เห็นด้วยตา

ดังนั้น จึงไม่มีวิญญาณ (จิต) เพียงลำพังเดี่ยวๆ
ไปล่องลอยเคว้งคว้างนอกรูปขันธ์แต่อย่างใดอ่ะคับ




http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

D E V
07-26-2009, 07:27 PM
อย่างที่ 2 ก็คือ การถวายของนั้น ถ้าเราตั้งจิตมั่น ของที่เราจะถวายจะสามารถส่งไปถึงดวงวิญญาณดวงนั้นได้ไหม แม้กระทั่งเราไม่รู้ชื่อ ?



การอุทิศบุญกุศลนั้น แม้ไม่รู้ชื่อ ก็อุทิศได้คับ
แต่ทั้งนี้ ผู้ที่รับการอุทิศก็ต้องอยู่ใน ฐานะ ที่จะอนุโมทนาได้
ลองดูที่เคยตอบไว้ในกระทู้ตามลิงค์ที่ให้นี้นะคับ
http://www.watkoh.com/kratoo/forum_posts.asp?TID=1950&KW=%E4%CB%C7%E9%BA%C3%C3%BE%BA%D8%C3%D8%C9




http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

D E V
07-26-2009, 07:30 PM
อันนี้แถมคับ อิอิ
เวลาดู สามารถคลิกขยายให้ใหญ่ขึ้นได้คับ
http://www.tteen.net/other/buddhist/hell/hell.gif




http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

sisima
07-26-2009, 10:32 PM
แล้วอย่างกรณีเรื่องราวที่มีการ FW Mail ต่อๆกันมานี่ ถ้าที่ผมตีความจากพระไตรปิกฎและเนื้อหาที่ อ.เดฟ ชบอกมานี่ ผมเข้าใจแบบนี้ถูกรึเปล่าครับ ?

1. ที่บอกว่าดวงวิญญาณบางคนที่ยังไม่สิ้นอายุขัยแต่กลับตายก่อน ก็ต้องเร่ร่อนไปทั่ว (และปรากฎเป็นปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติต่างๆมาทั่วโลกแล้ว ทั้งที่พิสูจน์ได้ทางหลักวิทยาศาสตร์และไม่มีใครพิสูจน์ได้) เมื่อครบอายุขัยแล้วก็ก็จะต้องไปตามภพตามผลบุญผลกรรมของตนเอง

ตรงจุดนี้ผมสงสัยอย่างครับ ที่เนือ้หาบอกไว้ว่า "เมือ่คนเราตายแล้วก็ต้องไปเกิดเป็นภพต่างๆเลย" ถ้าแบบนั้นจริง หมายความว่าดวงวิญญาณที่ปรากฎออกมาจนทำให่คนเป็นทั้งโลกขวัญผวานี่คือเขาอาจอยู่ในชนชั้นเปรตก็ได้ใช่ไหมครับ ?

ตัวอย่างเช่น กรณีของดวงวิญญาณไมเคิล แจ็คสัน (ไม่รู้ว่า อ.เดฟ รู้รึยัง) ที่ CNN ไปถ่ายทอดสดเยี่ยมชมบ้านของเขาแล้วกลับเจอดวงวิญญาณเดินผ่านกล้องหน้าตาเฉย ผมเองก็ไปดูรายการย้อนหลังที่เวบ CNN แล้ว ก็ไม่น่าแอบตัดต่อหรืออะไรได้ เพราะว่าถ่ายทอดสด และ CNN เป็นสถานีข่าวระดับโลก ไม่น่าจะทำเรื่องหลอกลวงใครง่ายๆ รวมทั้งมีการสัมภาษณ์ครอบครัวของไมเคิลด้วย ถ้าทำแบบนี้ก็ไม่ให้เกียรติกันแล้ว แต่ทว่า รูปเงาปริศนานั่นคืออะไร ??

2. การที่สอบถามถึงอายุขัยของพ่อหลวง และมีการบอกว่าพี่สาวของพระองค์ท่านต่ออายุขัยให้ (สมเด็จพระพี่นางฯ) ตรงจุดนี้อยากทราบว่า เราสามารถต่อดวงวิญญาณให้อักดวงได้ไหม ? ถ้าได้ ต้องทำยังไง ? หรือทำในโลกมนุษย์ไม่ได้ ? ถ้าทำได้จริง จะเป็นการมอบอายุขัยตนเองให้กับคนๆนั้นเลยไหม ? (เช่น เราอายุ 25 เราสิ้นอายุขัย 35 เราต่อให้เขา 10 ปีก็คือเราตายเลย ?) รวมทั้งถ้าเราต่ออายุขัยได้ จะได้รับผลอะไรตอบแทนไหม ? (เพราะตามที่เข้าใจ นั่นคือการพลีชัพ)

3. ที่ผมสงสัยที่สุดก็คือการที่มีวิญญาณขององค์กษัตริย์ในอดีตมายืนขวางลำนําเอาไว้ไม่ให้ท่วม ซึ่งตรงนี้ผมเองก็ไม่เคยไปแถวพระราม 2 หรอกครับว่าจะมีอสุเสารรย์ที่มีม้าที่พระเจ้าตากสินและพระปิยมหาราชประทับอยู่ไหม แต่ในส่วนนี้ อ.เดฟ คิดว่ามีความเชื่อเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด ? เพราะไม่รู้จะเชื่อดีไหม เชือ่ผมก็สงสัยอยู่เพราะจะขัดกับหลักพระไตรปิกฎตามที่ อ.เดฟ บอกมาให้ และถ้าไม่เชื่อ ก็เหมือนเราไปหลบหลูท่านยังไงก็ไม่รู้


เพราะตอนนี้ผมยังไม่เชื่อ 100 % ครับ ผมจะเชื่อก็ต่อเมื่อได้รับข้อมูลครบถ้วนและมั่นใจแล้วว่าถูกต้อง ยังไงขอทราบข้อมูลเพิ่มอีกนิดนะครับ อ.เดฟ ขอบคุณสำหรับคำตอบและขอโทษท่ถามอะไรยาวพรืดพราดครับ

D E V
07-27-2009, 09:39 AM
ตอบข้อ 1

ไม่ว่าจะตายตามอายุขัยหรือตายก่อนอายุขัย
ก็ไม่มีวิญญาณไปเร่ร่อนรอเกิด หรือหาที่เกิดไม่ได้อ่ะคับ
แต่ต้องเกิดทันที แล้วแต่ว่าเกิดในภพภูมิใด สถานะใด
ส่วนการที่บางครั้งเค้าอาจปรากฏกายให้เห็น
นั่นคือเค้าเกิดแล้วในภพภูมิที่สามารถจะกระทำได้
อาจจะเป็นเปรต อสุรกาย หรือ เทวดา ก็ได้ทั้งนั้น
และเค้าก็มีครบทั้งรูปกาย และ วิญญาณ(จิต)
ไม่ใช่มีแต่วิญญาณเพียงอย่างเดียว
เพราะวิญญาณ(จิต) นั้นไม่มีรูปร่างอะไรที่จะให้เห็น
เป็นแต่เพียงนามธาตุที่มีสภาพรับรู้สิ่งต่างๆ ได้
แต่การที่ปรากฏให้เห็นได้ก็ต้องมีรูปกายเป็นที่ปรากฏคับ

ดูกระทู้ตามลิงค์ที่ให้นี้เพิ่มเติมนะคับ
http://www.watkoh.com/kratoo/forum_posts.asp?TID=3811





http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

D E V
07-27-2009, 09:52 AM
ตอบข้อ 2

การที่ใครคนหนึ่งจะตายหรือจะอยู่ต่อ
ย่อมเป็นไปตามกรรมและผลกรรมของเค้า
จะไปสั่งให้ใครอย่าตายก็ไม่ได้
จะเอาอายุของใครไปยกให้ใครก็ไม่ได้น่ะคับ
เพราะอายุของแต่ละคนนั้นขึ้นกับกรรมและผลกรรมของตน
แม้แต่ เทวดา พรหม ซึ่งมีอายุยืนยาวมาก
แต่เมื่อหมดวาระของกรรมและผลกรรมที่ทำให้ดำรงอยู่ในสถานะนั้น
ก็ต้องตาย...พ้นไปจากสถานะนั้น...เปลี่ยนสู่สถานะใหม่
คือตายแล้วก็เกิดทันที

ดูกระทู้ตามลิงค์ที่ให้นี้เพิ่มเติมคับ
http://www.watkoh.com/kratoo/forum_posts.asp?TID=3228&KW=%CD%D2%C2%D8%A1%A2%C2%C1%C3%B3%D0

http://www.watkoh.com/board/index.php?topic=482.0





http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

D E V
07-27-2009, 10:20 AM
ตอบข้อ 3


อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
และสมเด็จพระปิยมหาราช ก็มีอยู่หลายที่น่ะคับ
แต่ที่ซึ่งรู้จักกันดีอย่างเป็นทางการ
ก็คือที่วงเวียนใหญ่และลานพระบรมรูปทรงม้า


อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
อยู่ฝั่งธนฯ ตรงวงเวียนใหญ่อ่ะคับ
ซึ่งจากวงเวียนใหญ่นี้ขับไปออกพระราม 2 ได้ไม่ไกลนัก

http://news.nipa.co.th/image/manager/travel/1869_552000006944501.JPEG


http://www.geocities.com/Tokyo/Garden/9510/Ts_001.jpg



*******************************************************************


ส่วนอนุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราช
อยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม

http://www.rd1677.com/backoffice/PicUpdate/52071.jpg

http://pics.manager.co.th/Images/551000014345902.JPEG


******************************************************************


สำหรับการลบหลู่ (มักขะ)
หมายถึง การที่คิดดูหมิ่นเหยียดหยามในคุณความดี หรือในสิ่งที่ผู้อื่นนับถือ
ถ้าขณะนั้นเราไม่ได้คิดดูหมิ่นเหยียดหยาม ก็ไม่ใช่การลบหลู่น่ะคับ

ส่วนความเชื่อ หมายถึง การที่เห็นคล้อยตาม เห็นด้วยตามนั้น
การจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ไม่จำเป็นต้องคิดลบหลู่ดูหมิ่นใช่มั้ยคับ





http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

sisima
07-27-2009, 06:18 PM
ขอบคุณมากครับ อ.เดฟ สำหรับคำตอบ

ขออนุญาตินำคำตอบไปบอกต่อนะครับ จะได้ไม่ต้องเข้าใจผิดเรืองนี้กันนะครับ ^^;