PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : บทความสอนใจ



lek
08-17-2009, 11:54 AM
บทความสอนใจ

http://farm1.static.flickr.com/152/400760551_a31ef2a083.jpg
1. คนเรามีความรู้สึกรัก ชอบ โกรธ เศร้า ไม่ต่างกัน
ขึ้นอยู่กับว่าเวลาไหนมันจะแสดงออกมามากน้อยเพียงใดเท่านั้น
"คนที่จะหัวเราะได้เสียงดัง ข้างในคงต้องขำบ้างพอสมควร
คนที่น้ำตาจะไหลได้ ข้างในคงมีเรื่องปวดร้าว....
ถ้าไม่นับการร้องไห้ที่มาจากความปิติ "
2. โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง...
แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน
3. คนที่ตลกหัวเราะสดใส ก็คือคนเดียวกับคนที่สามารถร้องไห้
ฟูมฟาย ได้เพียงแต่คุณจะได้เห็นหรือเปล่าเท่านั้น
อาจจะเคยได้ยินว่า " คนที่หัวเราะได้ดังที่สุด ก็คือคนที่สามารถ
ร้องไห้ได้ดังที่สุดเช่นกัน"
4. เด็กๆ จะมองว่าผู้ใหญ่ซีเรียส ในขณะที่ผู้ใหญ่จะบอกว่า
เด็กไร้สาระ เพราะเด็กไม่เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อน
วันหนึ่งเค้าคงจะรู้ว่าทำไมถึงต้องมีเรื่องซีเรียส
สำหรับผู้ใหญ่ซึ่งได้ผ่านวัยเด็กมาแล้ว
อาจจะลืมไปว่า ณ วันที่ผ่านมา" สาระ"ในชีวิตของเค้า คืออะไร
5. ครอบครัวไทยมักจะเลี้ยงลูกผู้หญิงให้เป็นฝ่ายถูกเลือก
คอยสั่งสอนให้ทำตัวเรียบร้อย ไม่อย่างนั้น
จะไม่มีใครเลือกไปเป็นคู่ครอง.... แต่ความจริงแล้วผู้ชาย
และผู้หญิง เราต่างเลือกซึ่งกันและกันมากกว่า
6. เพื่อนที่ดีที่สุด คือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกัน
โดยไม่พูดอะไรกันซักคำ แต่สามารถเดินจากไป ด้วยความรู้สึก
เหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด
7. ใครหลายคนไม่กล้าเข้าไปปลอบโยนให้คำปรึกษากับเพื่อน
เพราะคิดว่าเราไม่รู้จะบอก เค้ายังไง เพราะเราเป็นแค่เพื่อน....
แต่ความจริงแล้วคุณเป็นตั้งเพื่อนต่างหาก
8. ผู้ชายที่ร้องไห้ และยอมรับว่าตัวเองร้องไห้เค้าคือสุภาพบุรุษที่สุด
อย่างน้อยการซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง...
คือความกล้าหาญสุดยอด
9. ก่อนที่วันนี้ คุณจะทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ
อย่าลืมสำรวจตัวเองก่อนว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา...
คุณทำใครหล่นหายไปจากชีวิตหรือเปล่า
10. เงินไม่ใช่พระเจ้า แต่ทำให้เรามีทางเลือกมากขึ้น
http://www.thaiweddingmall.com/wedding/sponsor/webmaster/images/Picture-07031327280775.jpg
11. มีสติ สตางค์อยู่ ก็ปลีกเวลาไปใช้เสียบ้าง
อีกหน่อยไม่มีสติแต่มีสตางค์...ก็สายไปเสียแล้ว
12. เวลาที่เรารักใคร เราจะรู้สึกตัวเล็กเหลือเกิน...เวลาใครรักเรา
เราจะรู้สึกตัวใหญ่เหลือเกิน...แต่ถ้าเราเจอคนที่เรารักเค้า
และเค้าก็รักเรา เราจะผลัดกันตัวเล็กตัวใหญ่
13. วันที่คุณเข้มแข็งและแข็งแรงพอ อย่าลืมเป็นผู้ฟังที่ดี
ให้กับคนที่มีปัญหาด้วย "เอาไหล่ให้เค้าพิง เอามือให้เค้าจับ"
..... 100 คำพูดดี ดี ไม่เท่ากับ 1 สัมผัสที่มีค่าหรอกนะ
14. คุณรู้ไหมว่า อายุคนเราเฉลี่ย 76 ปีนั่นคือแค่ 3952 อาทิตย์เท่านั้น
คุณหมดเวลาไปกับการนอนถึง 1317 อาทิตย์ ซึ่งเท่ากับว่า
คุณเหลือเวลาที่ใช้ดำเนินชีวิตแค่ 2635 อาทิตย์เท่านั้นเอง
15. ลองฉลองวันเกิดกับครอบครัวสักปี แล้วคุณจะได้รู้ว่า
เมื่อตอนที่คุณร้องไห้จ้าในวันเกิดวันแรก คนในครอบครัวคุณ
มีความสุขกันขนาดไหน.......

lek
08-17-2009, 12:13 PM
บทความสอนใจ "เหรียญ 5 บาท ของพ่อ"
ในค่ำคืนนึง… หลังจากกราบพระกับคุณพ่อ คุณแม่แล้ว คุณพ่อเรียกลูกเข้าไปพบ แล้วบอกลูกว่าพ่อมีอะไรให้ดูซึ่งสำคัญมาก ว่าแล้วคุณพ่อก็หยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อเอามือกำไว้ ถึงคุณพ่อของแพง และพ่อที่มีลูกสาวทุกท่านข้างล่างนี้เอาไว้ใช้สอนลูกหลานได้

คุณพ่อถามว่าอยากรู้มั้ยว่ามีอะไรในมือพ่อ ลูกพยักหน้า ถ้าอยากรู้ต้องเอามือเขกพื้น 3 ที ลูกทำตาม… คุณพ่อว่า ไม่พอ ต้อง 5 ที และเปลี่ยนเป็น 10 ที จนถึง 15 ที จนลูกอุทธรณ์ ก็ลูกอยากทราบนี่คะว่า เป็นอะไร

เมื่อคุณพ่อแบมือออก มันคือ เหรียญ 5 บาทธรรมดานี่เอง คุณพ่อหัวเราะ แล้วกำมือกับเหรียญ 5 บาทเดิม ถามว่าอยากดูอีกมั้ย ถ้าอยากดูต้องเขกพื้น 10 ที ลูกว่าหนูรู้แล้วไม่อยากดูค่ะ

คุณพ่อว่า เอ้า.. เขกพื้น 1 ทีก็ได้ ลูกก็บอก ว่าทราบแล้วไม่อยากดูอีกเบื่อ คุณพ่อว่าให้ดูฟรีๆ ก็ได้แล้วก็แบมือออก ลูกก็ดูไปอย่างนั้นเอง คุณพ่อเลยสอนว่า

“นี่นะลูก อะไรที่เป็นความลับ คนมักยอมทำทุกอย่างที่จะได้สมปรารถนา อยากดู อยากรู้ อยากเห็นแต่เมื่อสมปรารถนาแล้ว ดูบ่อย ๆ แล้วก็มักจะเบื่อ ให้ดูฟรี ๆ ยังไม่อยากดูเลย แล้วสิ่งที่พึงหวงแหนสำหรับลูกผู้หญิงเป็นสิ่งที่มีค่า ถ้าให้ใครรู้ก่อนเวลาอันควร ก็จะไม่มีค่าอะไร ไม่ต่างกับเหรียญ 5 บาทที่พ่อให้ลูกดูฟรีหรอก“

lek
08-18-2009, 01:51 PM
http://www.showded.com/users/botho/photos/3b3ac7d4c07f6693d3c1963253d4ba72_size3.gif (http://www.showded.com/photos/originalphoto.php?ptId=215459&p=2)

ปีศาจ
08-18-2009, 06:15 PM
สวัสดีครับคุณเล็ก
วันนี้แวะมาอ่านหน่อยหนึ่ง
เป็นบทความที่ให้ข้อคิดเตือนใจได้ดีมากๆเลยครับ
ยังไงก็ช่วยสรรหามาลงเยอะๆนะครับ

สวัสดีครับ

lek
08-18-2009, 09:19 PM
ไขปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย

มนุษย์และสัตว์มิได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะการ " ตาย " หมายถึง สภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ


1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ

2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว

3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ชนิด สังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท



- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)

- หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย

- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ

- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอด จะเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก


เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน ?

ดวงวิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่


วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์ หรือเรียกว่า " อนันตริยกรรม " มีอยู่ 5 อย่าง คือ 1. ฆ่าพ่อ 2. ฆ่าแม่ 3. ฆ่าพระอรหันต์ 4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5. ทำร้ายพระพทุธเจ้าห้อเลือด

หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้ว เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ

เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพังเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น

เจ็ดวันรอบแรก

วิญญาณผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉย ไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย

เจ็ดวันรอบที่ สอง

เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย

เจ็ดวันรอบที่ สาม

เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม ยามมีชีวิตทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้ว

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด

เจ็ดวันรอบที่ สี่

เมื่อมาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์

เจ็ดวันรอบที่ ห้า

วิญญาณผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตน ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์

เจ็ดวันรอบที่ หก

เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา

เจ็ดวันรอบที่ เจ็ด

เมื่อวิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกิเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว.

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก ตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ...

lek
08-23-2009, 03:01 PM
http://variety.teenee.com/saladharm/img3/61322.jpg










http://variety.teenee.com/saladharm/img3/61323.jpg

lek
08-28-2009, 10:08 PM
http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/98/28098/images/f6602.jpg

ฟังให้ดี นี่ของใครกัน
มีหูฟัง ทั้งที ไม่ดีอีก

ยังเที่ยวหลีก ปลีกเสียง หลีกเลี่ยงหู

ฟังชั่วดี ที่ไหน ของใครดู

เปิดปิดหู รู้ฟัง เป็นครั้งครา

ได้ยินเสียง เถียงกัน ให้ฉันรู้

นั่นของกู สูก็มี นั่นนี่หนา

พอถึงกาย ตายดับ มาลับลา

โอ้นั่นหนา นี่ไหน ของใครกัน.

Permalink : http://www.oknation.net/blog/kondee007/2009/02/25/entry-2 (http://www.oknation.net/blog/kondee007/2009/02/25/entry-2)

lek
08-30-2009, 07:06 AM
http://www.dhammajak.net/gallery/albums/userpics/%BE%C3%D0%C1%CB%D2%C7%D8%B2%D4%AA%D1%C2%20%28%C7.%C7%AA%D4%C3%E0%C1%B8%D5%29%202.jpg

ปุจฉา

อยากขอคำอธิบายเรื่อง
“สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ”
ที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า
เป็นคำสอนระดับหัวใจสำคัญของพุทธศาสนา

น้ำเพชร/กาญจนบุรี

วิสัชนา

ลองอ่านนิทานปรัชญาต่อไปนี้
บางทีอาจมีคำตอบที่ตรงกับใจของคุณก็เป็นได้
แม้จะเขียนไว้นานแล้ว
แต่เมื่อว่าโดยเนื้อหาสาระ
คิดว่าคงพอจะทำให้มองเห็นแก่นสาระสำคัญ
ของข้อความข้างต้นนั้นได้บ้าง


ถือ (ก็) หนัก วาง (ก็) เบา

เคยมีคนไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าพระองค์ให้เหลือเพียงสั้นๆ
ทว่า ครอบคลุมใจความทั้งหมดแห่งพระพุทธศาสนา

พระองค์ตรัสว่า หากจะให้สรุปเช่นนั้น
ก็ขอสรุปเช่นนั้นก็ขอสรุปว่า
ใจความแห่งคำสอนของพระองค์ขึ้นอยู่กับประโยคที่ว่า

“สัพเพ ธัมมานาลัง อะภินิเวสายะ
ใดใดในโลกอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น”
ทำไมจึงไม่ควรยึดติดถือมั่น

เพราะที่ใดมีความถือมั่น ที่นั่นก็มีความทุกข์

ความทุกข์ขยายตัวตามระดับความเข้มข้นของความยึดติด

ยึดมาก ติดมาก จึงทุกข์น้อย

ไม่ยึด ไม่ติด จึงไม่ทุกข์

ความไม่ยึดติดถือมั่น กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า “ความปล่อยวาง”

ทำไมจึงต้องปล่อยวาง

เพราะทุกอย่าง “มีความว่าง” มาแต่เดิม

คนที่หลงกอด “ความว่าง”
โดยคิดว่าเป็น “ความมี” ทำไมจะไม่ทุกข์ ?

พระบวชใหม่รูปหนึ่ง
เดินบิณฑบาตผ่านชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนจอแจ

ขณะเดินสำรวมก้มหน้าแต่พอประมาณ
เพื่อเดินผ่านชุมชนไปอย่างช้าๆ นั้นเอง
จู่ๆ ก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งใส่สูท
ผูกเนคไท สวมแว่นตาดำเดินเข้ามาหาท่าน
พร้อมทั้งชี้หน้าด่าท่านอย่างสาดเสียเทเสีย

พระรูปตกตะลึง รีบเดินหนี

แต่แม้ท่านจะเดินหนีชายคนนั้นพ้นแล้ว
แต่เสียงด่าของเขายังคงก้อง
อยู่ในโสตประสาทของท่านอย่างชัดถ้อยชัดคำ

เมื่อกลับถึงวัด พลันที่คิดถึงเหตุการณ์
ที่ตนถูกชี้หน้าด่ากลางฝูงชน
พระหนุ่มก็รู้สึกโกรธจนหน้าแดงก่ำ
ยิ่งคิดต่อไปว่าชายคนนั้นมาชี้หน้าด่าตน
ซึ่งเป็นพระและตนเองก็จำได้ว่า
ตั้งแต่บวชเข้ามาในพระธรรมวินัย ก็ยังไม่เคยทำอะไรผิด

คิดมาถึงขั้นว่า ตนไม่ผิด
แต่ทำไมตนต้องถูกด่า ยิ่งเจ็บ ยิ่งแค้น
วันที่ท่านถูกด่ากลางชุมชนนั้นเป็นวันศุกร์
แต่ตกถึงเช้าวันจันทร์ท่านก็ยังไม่หายโกรธ

เช้าวันจันทร์นั้น พระบวชใหม่ประคองบาตร
เดินผ่านชุมชนนั้นเหมือนเดิม
ท่านพยายามสอดส่ายสายตามองหาชายคนเดิม
ตั้งใจว่าวันนี้จะต้องถามให้รู้เรื่อง
ว่าเหตุจึงมาชี้หน้าด่าตนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

ยิ่งพยายามค้นหา กลับยิ่งไม่พอ
ท่านจึงเดินสำรวจรับอาหารบิณฑบาตต่อไป
จนได้อาหารเต็มบาตรแล้วจึงเดินกลับวัด

ระหว่างทางกลับวัด โดยไม่คาดฝัน
พระหนุ่มทอดสายตาไปพบกับชายคนหนึ่งสวมสูท ผูกเทคไท
ใส่แว่นตาดำ ท่านอุทานในใจว่า
“อ๋อ เจ้าคนนี้เองที่ด่าฉันเมื่อวันศุกร์”

ภาพที่เห็นก็คือ ชายแต่งตัวดีคนนั้น
นอนหลับหมดสติอยู่ข้างศาลเจ้าแห่งหนึ่ง
ข้างๆ ตัวเขามีขวดเหล้าล้มกลิ้งอยู่
พอท่านพยายามเดินเข้าไปมองใกล้ๆ
เขาจึงเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
พอเห็นท่านเท่านั้นชายคนนั้นก็ร้องขึ้นมาว่า

“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นกล้าฯ บัดนี้
พระองค์ทรงกลับมาครองอยุธยาอีกครั้งหนึ่งแล้วกระนั้นหรือ...”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นกำเฉิบๆ

พลันที่ท่านประเมินว่าชายแต่งตัวดี
คนที่ชี้หน้าด่าท่านเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
เป็นคนบ้าที่มาในร่างของคนแต่งตัวดีเท่านั้นเอง

ความโกรธที่ก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึน
อยู่ในใจของท่านมานานถึงสามวัน
ก็พลันอันตรธานไปอย่างง่ายดายชนิดไร้ร่องรอย

ทำไม
เราจึงปล่อยวางต่อคนบ้าได้ง่ายดายเหลือเกิน ?
แต่กับคนปกติ
ทำไม เราจึงมีความรู้สึกว่าต้องเอาเรื่องราวให้ถึงที่สุด ?

http://www.dhammajak.net/board/images/smiles/b51.gif http://www.dhammajak.net/board/images/smiles/b52.gif http://www.dhammajak.net/board/images/smiles/b53.gif

.....................................................

ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์
ฉบับวันที่ 20 ตุลาคม 2549
http://www.dharmastation.org (http://www.dharmastation.org/)

http://www.dhammajak.net/board/images/smiles/b8.gif http://www.dhammajak.net/board/images/smiles/b8.gif http://www.dhammajak.net/board/images/smiles/b8.gif
http://www.dhammajak.net/board/viewf...ab4b6853a4fdcd (http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7&sid=31a0f843be524945deab4b6853a4fdcd)http://www.dhammajak.net/board/images/smiles/b8.gifhttp://www.dhammajak.net/board/images/smiles/b8.gifhttp://www.dhammajak.net/board/images/smiles/b8.gif

lek
09-08-2009, 02:20 PM
ภาพประกอบ
http://statics.atcloud.com/files/entries/3/38033/images/1_display.jpg (http://atcloud.com/files/entries/3/38033/images/1_original.jpg)บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
> ลูกพ่อ
> ในพื้นแผ่นดินนี้
> ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว
> ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว
> ทุกคนปรารถนาความสว่างปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน
> แต่ความปรารถนานั้นจักสำเร็จลงได้
> จักต้องมีวิธีที่จักดำเนินให้ไปถึงความสว่าง หรือ ความดีนั้น
>
> ทางที่จักต้องไปให้ถึงความดีก็คือรักผู้อื่น
> เพราะความรักผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา
> ถ้าให้โลกมีแต่ความสุขและเกิดสันติภาพ
> ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้
>
> พ่อขอบอกลูกดังนี้...
> 1. ขอให้ลูกมองผู้อ ื่นว่า เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ
> เพื่อนตายด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต...ปัจจุบัน...อนาคต
> 2. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง
> อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง และเหมาะสม
> 3. มีความสันโดษ คือ
> - มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือได้อย่างไร
> ก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง
> คือมีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย
> - ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลมจะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง
> - พอใจตามสมควร คือทำงานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน
> - ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน
> 4. มีความมั่นคงแห่งจิต
> คือให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียร
> และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาให้ภาวนาว่า...มีลาภ มียศ สุขทุกข์ปรากฏ
> สรรเสริญนินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นกฎธรรมดา อย่ามัวโศกานึกว่า ' ชั่งมัน '
> พ่อ 6/10/2547
>
> ฉันหวังว่า คำสอนพ่อที่ฉันได้ประมวลมานี้
> จะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน ที่ได้พบเห็น
> และลูกอันเป็นที่รักของพ่อทุกคน
> ฉันรักพ่อฉันจัง
> สิรินธร

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ทรงโปรดเกล้าฯ
> ให้นำมาเผยแพร่

lek
09-15-2009, 10:09 PM
http://www.agalico.com/board/images/smilies/dir_monkey/yociexp20.gifพ่อทำงาน...อาบแดด...ถูกแผดเผา
ลูกดื่มเหล้า..ฟังเพลง...ครื้นเครงเหลือ

แม่ขายผัก...กินข้าว...เคล้ากับเกลือ
ลูกเอื้อเฟื้อ...พาสาวเที่ยว...เลี้ยวโฮเตล

พ่อหาเงิน...ส่งลูกเรียน...เพียรอุตส่าห์
ลูกติดยา...คบเพื่อนชั่ว...มั่วให้เห็น

แม่กระหาย...ดื่มน้ำคลอง...ตอนกลองเพล
ลูกทะเล้น...จิบวายแดง...แพงจับใจ

พ่ออดอยาก...ไม่เคยบ่น...ทนลำบาก
ลูกมักมาก...เพศสัมพันธ์...มันส์ชิบหาย

แม่ทอผ้า...ปลูกหม่อน...หารายได้
ลูกหญิงชาย...เที่ยวสนุก....โรคติดตัว

พ่อสูบน้ำ...เข้าแปลงนา...ปลูกข้าวกล้า
ลูกมัวเมา...การพนัน...หมั่นหาผัว

แม่หาบน้ำ...เลี้ยงเป็ดไก่...ทำสวนครัว
ลูกใจชั่ว...ใช้เงินเพลิน...เดินหลงทาง

พ่อขายวัว...ส่งควายเรียน...เวียนศรีษะ
ลูกตะกละ...กินฟาสฟู๊ต...พูดกว้างขวาง

แม่ปวดเมื่อย...สู้งานหนัก...ไม่ละวาง
ลูกสำอาง...ใช้ของแพง...แข่งสังคม

พ่อผอมแห้ง...เรื่ยวแรงน้อย...ด้อยอาหาร
ลูกประพฤติ...อันตพาล...ล่าเสพสม

แม่เป็นดอก...ทบต้น...หมดอารมณ์
ลูกเขี้ยวคม...ฆ่าพ่อแม่...ก่อนแก่ตาย
http://www.agalico.com/board/images/statusicon/wol_error.gifรูปนี้ถูกลดขนาดลง กดที่เเถบนี้เพื่อดูขนาดเดิม ขนาดเดิมของรูป: 550x400 ขนาดของไฟล์: 12KBhttp://fwmail.teenee.com/etc/img2/m205530.gif

lek
09-16-2009, 11:03 AM
http://www.sudipan.net/phpBB2/files/01944_001.jpg
http://www.agalico.com/board/images/statusicon/wol_error.gifกดที่เเถบนี้เพื่อดูรูปขนาดดั้งเดิม

lek
10-06-2009, 06:11 AM
เพลง: คนไม่มีเวลา
เนื้อร้อง : ธนกฤต พานิชย์วิทย์
ทำนอง / เรียบเรียง : ชวิน จิตรสมบูรณ์



// <![CDATA[ var so02e2b4f1 = new SWFObject("http://www.youtube.com/v/vJYzpDiI5hA", "gb_videosite", "425", "350", "7", "#FFFFFF"); so02e2b4f1.addParam("wmode", "transparent"); // ]]> http://img.youtube.com/vi/vJYzpDiI5hA/default.jpg
เธ„เธ™เน„เธกเนˆเธกเธตเน€เธงเธฅเธฒ : เธงเนˆเธฒเธ™ AF (http://www.youtube.com/v/vJYzpDiI5hA)Close (http://board.agalico.com/showthread.php?p=179621#)
You need to upgrade your Flash Player





เพลง คนไม่มีเวลา จากเรื่องจริงที่กินใจ

http://www.agalico.com/board/images/statusicon/wol_error.gifรูปนี้ถูกลดขนาดลง กดที่เเถบนี้เพื่อดูขนาดเดิม ขนาดเดิมของรูป: 480x360 ขนาดของไฟล์: 6KBhttp://img.youtube.com/vi/vJYzpDiI5hA/0.jpg



http://www.agalico.com/board/images/statusicon/wol_error.gifรูปนี้ถูกลดขนาดลง กดที่เเถบนี้เพื่อดูขนาดเดิม ขนาดเดิมของรูป: 480x360 ขนาดของไฟล์: 5KBhttp://i.ytimg.com/vi/sRhVOItDPPs/0.jpg





ถ้าพูดว่า “คนไม่มีเวลา” หลายๆคนคงนึกภาพของคนที่ยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไร, คนที่ชีวิตวุ่นวายรีบเร่งแต่สำหรับว่าน ธนกฤต คนไม่มีเวลา
มีความหมายต่างจากนั้นมากมายนัก



ข้อความต่อๆไปเกิดจากการพูดคุยสัมภาษณ์กับนักร้อง นักดนตรี รุ่นใหม่ ว่าน ธนกฤต




“ผมกับพี่จั๊ก (ชวิน จิตร์สมบูรณ์) ทำงานเพลงร่วมกัน ซึ่งพี่จั๊กแต่งทำนองเสร็จนานแล้ว และให้ผมเขียนเนื้อ แต่ผมก็ยังเขียนไม่ได้ซักที
มี อยู่วันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจัดรายการ ก็มีแฟนรายกา รคนนึงมาขออัดเสียงผม โดยบอกว่าจะเอาไปให้เพื่อนที่กำลังป่วยฟัง และเพื่อนคนนั้นเค้าชอบผมมาก



ซึ่ง ผมก็บอกว่า อย่าอัดเสียงเลยครับ ผมไปเยี่ยมก็ได้ ซึ่งตอนแรกผมรู้เพียงว่า พี่คนนั้นเค้าป่วย ต้องผ่าตัดสมอง แต่ไม่รู้รายละเอียดว่า เค้าเป็นอะไรขนาดไหน



ซึ่งพอผมไปถึงที่โรงพยาบาล สิ่งแรกที่กระทบผมคือ เสียงเพลงจากอัลบั้มแรกของผมดังอยู่ในห้องนั้น ภาพที่ผมเห็นคือ
ห้องคนป่วยที่บนผนังห้องติดโปสเตอร์ของผม รูปของผม และตารางจัดรายการของผม ส่วนพี่ที่นอนอยู่ในสภาพไม่รู้สึกตัว
มีผ้าพันหัวและอุปกรณ์ช่วยชีวิตระโยงระยางเต็มไปหมด
ผมได้พบกับครอบครัวของพี่เค้าด้วย ทุกคนในห้องเล่าให้ผมฟังว่า พี่ที่ป่วยชื่อพี่บี เป็นโรคเส้นเลื อดในสมองแตก ต้องผ่าตัดสมองถึง 5 ครั้ง และตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย



ทั้ง แม่ และครอบครัว รวมถึงสามีของพี่บี ทุกคนเล่าให้ผมฟังว่า พี่บีดีขึ้น คือเริ่มขยับนิ้วได้บ้างแล้ว ทุกคนดูมีความหวังและกำลังใจ แต่สำหรับความรู้สึกของผม
ผมกลับรู้สึกว่า เวลาในห้องนั้นได้หยุดเดิน ทุกคนที่รอ รออย่างไร้จุดหมาย เหมือนเวลามันได้ผ่านเลยไปสำหรับคนที่รออยู่




วันนั้น เมื่อกลับถึงบ้าน ผมเขียนเพลงที่ดองไว้นานเสร็จในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง “เวลา” อาจไม่มีความหมาย...สำหรับคนบางคน”




ข้างล่างเป็นเรื่องราวของพี่มืดและพี่บี




พี่มืดกับพี่บีรู้จักกันเพราะทำงานที่เดียวกัน และก็เป็นแฟนกันนาน 8-9 ปี หลังจากนั้นก็แต่งงานกันพี่มืดทำงานเป็น ครีเอทีฟบริษัทโฆษณาส่วนพี่บีเป็นอาร์ต ไดเรคเตอร์
ทั้ง 2 คน เรียนจบเมืองนอก และบ้างานด้วยกันทั้งคู่ เมื่อแต่งงานกัน ทั้งคู่จึงมีแผนจะสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมา และต้องใช้เงินอีกก้อนใหญ่ พี่บีซึ่งปกติทำงานเยอะอยู่แล้ว ก็รับจ๊อบเพิ่มขึ้น
เพื่อหาเงินสร้างบ้าน งานเยอะก็เครียดหนัก จนปวดหัวประจำ และมีไมเกรนเป ็นโรคประจำตัว


หลังจากแต่งงานกันมา 1 ปี 2 เดือน เช้าวันนั้น พี่มืดแต่งตัวเสร็จแล้ว เตรียมตัวไปทำงาน แต่พี่บียังไม่ลุกจากที่นอนและบ่นว่าปวดหัว พี่มืดเลยบอกให้นอนพักอยู่กับบ้าน ไม่ต้องไปทำงาน
แล้วพี่มืดก็ออกไปทำงาน




นั่นเป็นเช้าวันสุดท้ายที่พี่มืดได้คุยกับพี่บี

พี่มืดเล่าว่า พี่บีเส้นเลือดในสมองแตก เพราะอาการปวดหัวอย่างหนัก ช่วงบ่ายวันที่เกิดเรื่อง พี่บีปวดหัวจนสลบไป และพี่สาวต้องพาไปส่งโรงพยาบาล



หมอบอกว่า เส้นเลือดในสมองแตก และต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 5 ครั้ง ผ่าเส้นนี้อีกเส้นก็แตก ผ่าแล้วก็แตกถึง 5 รอบ จนสุดท้าย หมอก็บอกว่า คงไม่มีเส้นไหนให้แตกอีกแล้ว
พี่บีออกจากห้องผ่าตัดมาก็ยังไม่ฟื้นอีกเลย




เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว พี่มืดรับไม่ได้ ไม่ไปทำงาน ไม่กินไม่นอน ได้แต่นั่งเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่เข้าใจว่าโชคชะตาเล่นตลกอะไรกับเค้า
เหมือนตกจมดิ่งไปในหลุมลึกที่ไม่มีทางขึ้น ดิ้นรนทำทุกทางเพื่อคนรัก



พี่บีอยู่โรงพยาบาล 3 เดือน แบบไม่รู้สึกตัว จนวันหนึ่ง อยู่ๆพี่บีก็ลืมตาขึ้นมา พี่มืดและครอบครัวดีใจกันมาก แต่พี่บีก็แค่ลืมตา กระพริบตา ไม่ได้รับรู้อะไร นิ้วก็เริ่มกระดิกได้
ความ หวังของพี่มืดเริ่มเกิดอีกครั้ง พี่มืดเอาแหวนแต่งงานที่ต้องถอดออกมาใส่ให้ แต่นิ้วพี่บีบวมใสไม่ได้ พี่มืดพูดติดตลกทั้งน้ำตากับพี่บีว่า “อ้วนขึ้นนะเธอ ลุกขึ้นมาเดินได้แล้ว”

หมอบอกว่า สำหรับคนเป็นโรคแบบนี้ รักษาอะไรไม่ได้ นอกจากรอ บางคนก็จะฟื้นตื่นขึ้นมาเอง บางคนตื่นก็หาย บางคนถึงตื่นมาก็ช่วยตัวเองไม่ได้
แต่บางคนก็อาจจะเป็นเจ้าหญิงนิทราตลอดไป ขอแค่มีความหวังและกำลังใจ อะไรก็เกิดขึ้นได้ หมอแนะนำให้พาพี่บีกลับไปดูแลที่บ้าน



พี่มืดต้องพยายามทำให้ตัวเองอยู่ได้ ทั้งเพื่อตัวเอง และเพื่อพี่บี



ชีวิตทุกวันนี้ พี่ มืดตื่นขึ้นเพราะหมาที่พี่บีเคยเลี้ยงไว้ เข้ามาเลียหน้าปลุก พี่มืดต้องเปิดประตูบ้านให้มันออกไปข้างน อก ลงมาข้างล่างชงกาแฟ และแวะเข้าไปหาพี่บีที่ห้อง



พี่ มืดจะนั่งคุยเรื่องราวทั่วไป เปิดเพลง บางทีก็เอากาแฟเข้าไปใกล้ๆจมูกพี่บี เพราะพี่บีก็ติดกาแฟเหมือนกัน ถ้าอยากกินก็ตื่นขึ้นมากินนะ พี่มืดจะบอกพี่บีอย่างนี้
หลังจากดูพี่บีเสร็จก็ออกไปทำงาน ไปทำงานแล้วก็กลับบ้าน มานั่งเป็นเพื่อนพี่บี เป็นกิจวัตรอย่างนี้ทุกวัน




จากคนที่เคยสนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้ ก็กลับเป็นคนเงียบสงบ รถติดก็จะหยิบหนังสือสวดมนต์มาอ่าน จนทุกวันนี้ท่องจบได้เป็นหน้าๆ ทำบุญ เข้าวัด โดยหวังบุญกุศลจะส่งผลถึงคนรัก
ที่ บ้านก็ต้องเปิดเพลงที่พี่บีชอบ ต้องนั่งพูดคุยเรื่องต่างๆให้ฟังทุก วัน พยายามหาอะไรที่เค้าชอบมาให้ได้รับรู้ อะไรก็ได้ ที่จะทำให้เธอกลับมาดังเดิม




จนทุกวันนี้เวลาผ่านไปเกือบ 1 ปี แล้ว ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน พี่บีก็ยังเหมือนเดิม ตาที่ลืมขึ้นมา ก็มองอย่างเหม่อลอย โดยหาจุดโฟกัสไม่ได้ นิ้วมือทำได้แค่เพียงกระดิก
แต่ พี่มืดเชื่อว่า พี่บีรับรู้อยู่ข้างในแต่แสดงออกมาไม่ได้ พี่บีก็คงกำลังต่อสู้อย่างหนักเพื่อที่จะกลับมา พี่มืดก็จะต่อสู้เหมือนกัน เค้าจะไม่ทิ้งไปไหน และจะทำทุกอย่างเท่าที่ชีวิตนี้จะทำให้ได้
จะรอคอยอย่างมีความหวังต่อไป แม้เวลาจะนานต่อไปอีกแค่ไหน




เมื่อถามว่า ถ้าพี่บีตื่นขึ้นมา พี่มืดอยากพูดอะไรกับพี่บีเป็นคำแรก



พี่มืดตอบว่า "ผม อยากจะขอบคุณเค้า เพราะ ที่เค้าเป็นแบบนี้ทำให้ผมรู้ว่าผมรักเค้ามากแค่ไหน และถ้าผมเป็นคนที่นอนอยู่ตรงนั้นแทนที่จะเป็นเค้าผมเชื่อว่าเค้าคงดูแลผมได้ ดีกว่าที่ผมดูแลเค้า"



หลายคนบอกว่า ไม่มีอะไรเอาชนะกาลเวลาได้ แต่เราเชื่อว่าความรักสามารถเอาชนะวันเวลาได้



ขอบคุณพี่มืด พี่บี และครอบครัว ที่ทำให้เรารู้จักคุณค่าของความรักที่ยิ่งใหญ่เหนือเวลา



ซึ้งมากมาย เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอใหหายไวไวคะ http://www.agalico.com/board/images/smilies/dir_monkey/yociexp51.gif
ขอบคุณที่มานะคะ จากเมลล์ที่เพื่อนๆฟอร์เวิร์ดมาให้อ้ะคะ





<!-- / message --><!-- sig -->
__________________
http://www.agalico.com/board/images/smilies/dir_monkey/yociexp22.gifมีชีวิตอยูู่่เพื่อทำความดี..

จากคุณChiL บอร์ดอกาลิโก http://board.agalico.com/showthread.php?p=179621#post179621

lek
10-26-2009, 07:22 PM
เพราะถือจึงหนัก



นาวาเอกผู้หนึ่งได้เข้าไปกราบสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งเคยเป็นพระอุปัชฌาย์เขาเมื่อครั้งบวชที่วัดบวรนิเวศ หน้าตาของนาวาเอกดูหม่นหมองและอิดโรย ท่าทางอมทุกข์ สมเด็จฯ จึงรับสั่งถามว่า "เป็นไงมั่งพักนี้?"

"หนักครับ" เขาทูล "ช่วงนี้แย่มากเลยครับ"

"หนักอะไร" สมเด็จฯ ถาม

แล้วนาวาเอกก็ทูลเล่าถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ประดังประเดเข้ามาทั้งเรื่องชีวิต เรื่องการงาน เขาบอกว่าตอนนี้จวนจะแบกไม่ไหวแล้ว จึงมาเฝ้าสมเด็จฯ ขอบารมีเป็นที่พึ่ง

สมเด็จฯ นั่งสักพัก ก็รับสั่งให้เขานั่งคุกเข่าและยื่นมือทั้งสองออกมาข้างหน้า แล้วพระองค์ก็หยิบกระดาษชิ้นหนึ่งมาวางบนฝ่ามือทั้งสองของนาวาเอก จากนั้นพระองค์ก็เสด็จออกไปจากที่ประทับ พร้อมกับรับสั่งว่า "นั่งอยู่นี่แหล่ะ อย่าขยับหรือไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา จะเข้าไปข้างในสักประเดี๋ยว" แล้วจึงเสด็จเข้าไป

นาวาเอกนั่งอยู่ในท่าคุกเข่า และประคองกระดาษทั้งสองมืออยู่เป็นเวลานาน ๑๐ นาทีก็แล้ว ๒๐ นาทีก็แล้ว สมเด็จฯ ก็ยังไม่ออกมา เขาเริ่มเหนื่อย แขนก็เริ่มเมื่อยล้า กระดาษชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งเบาหวิวดูจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนเหงื่อเริ่มออก

ในที่สุด สมเด็จฯ ก็เสด็จเข้ามาประทับที่เดิม ทำทีเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักก็มองกระดาษที่มือนาวาเอก แล้วทรงถามว่า "เป็นไง?"

"หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว"

"อ้าว ทำไม ไม่วางมันลงเสียละ?" สมเด็จฯ รับสั่ง
"ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่อย่างนั้นนะสิ มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง"

กระดาษชิ้นเล็ก ๆ ที่เบาหวิว หากถือไปนาน ๆ เข้า ก็ย่อมกลายเป็นของหนัก ตรงกันข้าม ก้อนหินก้อนใหญ่ ถ้าไม่ไปแบกหรืออุ้มมัน ก็ไม่รู้สึกหนัก ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ ชีวิตหรือจิตใจหนักอึ้ง ควรรู้จักปล่อยวางเสียบ้าง

แม้แต่ของที่มีประโยชน์ เราควรยึดถือก็ต่อเมื่อถึงเวลาใช้งาน เมื่อใช้เสร็จ ก็ควรวางลงเสีย นับประสาอะไรกับของที่ไร้ประโยชน์ เช่นความทุกข์ ความห่วงกังวล ยิ่งต้องวางทันที ที่รู้ตัวว่ามาครองใจ กลายเป็นของหนักจนเอาตัวไม่รอด

ไม่ใช่ตัวปัญหาที่ทำให้คนเราย่ำแย่ แต่วิธีมองปัญหาต่างหากที่ทำให้คนเราลำบากอยู่ในขณะนี้

lek
11-12-2009, 07:28 AM
ทุกครั้งที่เราไหว้และกราบพระพุทธรูป
เราเคยเห็นรอยยิ้มของท่านบ้างไหม?
พระพุทธรูปมีรอยยิ้มน้อยๆ ให้เราเสมอ
ไม่ว่าเราสุขหรือทุกข์ ดีหรือไม่ก็ตาม
หากเราใส่ใจมองอย่างลึกซึ้ง
เราจะเห็นรอยยิ้มของพระผู้ตื่นรู้ ฉายปรากฏในใจของเรา
เราจะได้รับความรัก ความเมตตา ความสุขสงบเย็นจากท่าน
และจะดียิ่ง
หากเราสามารถมอบรอยยิ้มแห่งความเบิกบานกลับให้ท่าน









“ธรรมชาติแห่งพุทธะอยู่ในตัวเรา ”

หลวงปู่แนะนำให้เรามอบรอยยิ้มให้ตัวเองเสมอๆ

กายและใจสัมพันธ์กัน

เมื่อแย้มยิ้ม กล้ามเนื้อบนใบหน้าจะผ่อนคลาย







ใจเบา สบาย และเบิกบาน




เมื่อเรารู้สึกเครียด วิตกกังวล โกรธ กลัว

ยิ้ม หายใจเข้า

ยิ้ม หายใจออก




ให้รอยยิ้มเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ยิ้มกับตัวเอง ยิ้มกับทุกคน

ยิ้มกับสุข ยิ้มกับทุกข์

ยิ้มกับรอยยิ้มแห่งพระพุทธองค์ในตัวเรา



บางส่วนจากหนังสือ.... ดั่งกันและกัน (ติช นัท ฮันห์)

lek
11-12-2009, 07:31 AM
.............รวมเด็ด เกร็ดชีวิต..............

เกร็ดที่ 1 ... เจ็ดทะเลาะ

ทะเลาะกับเมีย เพลียที่สุด
ทะเลาะกับผัว ปวดหัวที่สุด
ทะเลาะกับแฟน แค้นใจที่สุด
ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน รำคาญที่สุด
ทะเลาะกับผู้ร่วมประชุม กลุ้มที่สุด
ทะเลาะกับลูกน้อง มัวหมองที่สุด
ทะเลาะกับนาย ฉิบหายที่สุด

เกร็ดที่ 2 ... ความสุขตามกาลเวลา

- อยากมีความสุข 3 ชั่วโมง ให้ตั้งวงดื่มเหล้า/เม้าท์
- อยากมีความสุข 3 วัน ให้ใส่เสื้อใหม่
- อยากมีความสุข 3 เดือน ให้มีแฟนใหม่
- อยากมีความสุข 3 ปี ให้ปลูกบ้านใหม่
- อยากมีความสุขตลอดไป *ให้รักษาสุขภาพ*


เกร็ดที่ 3 ... จงจำไว้

- ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด คือ *ตัวเราเอง*
- ทรัพย์สมบัติที่มีค่ามากที่สุด คือ *สุขภาพที่ดีทั้งใจและกาย*
- ของขวัญที่มีค่ามากที่สุด คือ *การให้อภัย*
- สิ่งที่น่าสังเวชมากที่สุด คือ *ความถดถอย*
- การกระทำที่โง่เขลาที่สุด คือ *การติดยาเสพติด*
- สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุด คือ *การหลอกตัวเอง*


เกร็ดที่ 4 ... โอวาท ท่านพุทธทาส

*'ก็ขัดแย้งกันบ้างในบางครั้ง ก็ชิงชังกันบ้างเป็นบางหน
ก็เจ็บปวดกันบ้างเป็นบางคน ต้องสู้ทนรู้รักสามัคคี
ด้วยไม่มีที่ใดไร้ปัญหา จึงอุตส่าห์ทนสู้อยู่ที่นี่
ต้องยึดถือคุณธรรมนำชีวี จึงต้องมีความจริงใจให้แก่กัน'*


เกร็ดที่ 5 ... การทำงาน (จาก ดร.ไชย ณ พล)

*คนโง่* ทำงานเพื่อเงิน จึงได้เงินมาอย่างยากเย็นและมักไม่ได้คุณค่าอื่นๆของงาน

*คนฉลาด* ทำงานเพื่องาน จึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่ และได้เงินมาโดยง่าย

*คนเจ้าปัญญา* ทำงานเพื่อหยิบยื่นคุณค่าแก่สังคม เขาจึงได้ผลงานที่น่าชื่นชม

เงิน ชื่อเสียงแลมิตรมหาศาล ย่อมตามมาเสมอ


เกร็ดที่ 6 ... เตือนตน

ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
ใครชู ใครเชิด ช่างเขา
ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา
ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ

เกร็ดที่ 7 ... คาถา 3 ช
1. ชอบ - ทำให้เขาชอบก่อน รักเขาให้มากๆ/รักกันๆ
2. เชื่อ - เมื่อเขาชอบเรา เขาจะเชื่อเรา/ทำดีทำถูก
3. ช่วย - ช่วยเขาก่อนแล้ว เขาจะช่วยเราทำงาน
หรือเมื่อเขาชอบเราเขาเชื่อเรา / เขาจะช่วยเราเองอัตโนมัติ

...

lek
11-12-2009, 08:49 AM
เรื่องเเม่ไก่ชี้ใจสิงห์เรื่องนี้เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ. 2340 สาวน้อยวัย 17 คนหนึ่ง ชื่อว่าโยเน็น นอกจากเธอจะมีรูปร่างหน้าตาสะสวยแล้ว ยังเกิดในตระกูลสูงและได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี พระจักรพรรดินีรับสั่งเรียกตัวเข้าเฝ้าถวายงาน เป็นที่โปรดปรานยิ่งนักแต่ในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน พระจักรพรรดินีประชวรและสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน อนาคตในวังของสาวน้อยโยเน็นก็ดับวูบลงทันที เธอได้พบกับฉากจริงของชีวิตซึ่งทำให้เธอฉงนใจว่า โลกนี้มันอะไรกันแน่ เมื่อเผชิญกับปัญหาเธอจึงแสวงหาทางกำจัดเธอเริ่มสนใจพระพุทธศาสนา จนหนักเข้าก็คิดออกบวช ทางฝ่ายพ่อแม่พอทราบเรื่องก็ตกใจ ห้ามปรามโดยอ้างถึงประเพณี ผลสุดท้ายมีการต่อรอง คือให้เธอแต่งงานและมีลูกสืบสกุลอย่างน้อย 3 คนก่อน เธอจึงจำต้องยอม ก่อนอายุครบ 25 เธอก็หลุดพ้นจากสัญญา จึงโกนหัวออกธุดงค์ท่องเที่ยวศึกษาแสวงหาสัจธรรม แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะทุกวัดที่เธอขอให้รับเป็นศิษย์ พากันเมินเฉยโดยไม่ใส่ใจ ซึ่งเธอก็หาเหตุผลไม่ได้ จนมาถึงเมืองเอโดะ เธอได้ไปหาอาจารย์เทตสุยุซึ่งชอบพูดแบบขวานผ่าซาก พอเหลือบเห็นโยเน็นเข้าเท่านั้นก็ปฏิเสธโพล่งออกไปทันทีว่า รับเธอไว้ในสำนักไม่ได้เพราะว่าเธอสวยเกินไป จะไม่เป็นผลดีต่อพระเณรในสำนัก เธอพบความจริงอีกด้าน หนึ่งแล้วเกี่ยวกับความสวยงาม ที่คนธรรมดาอยากได้กันนัก เธอจึงซมซานต่อไปจนถึงวัดใหญ่อีกแห่งหนึ่งมีเจ้าอาวาสเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายเซ็น ชื่อหลวงพ่อฮากูอิน เธอกลัวจะเป็นเหมือนกับวัดที่ผ่านๆ มา จึงยังไม่เข้าไปพบหลวงพ่อทันที คืนนั้นเธอจึงขอพักอยู่กับแม่ชี คิดถึงตัวปัญหาที่ทำให้เธอไม่เป็นที่ยอมรับจากสำนักต่างๆ เพียงติดขัดที่ความสวยงามบนใบหน้าเท่านั้น ความคิดโพล่งขึ้นมา เธอจึงใช้เหล็กเผาไฟจนแดงแล้วเอาไปนาบตามใบหน้า จนเกิดรอยแผลเป็นลบความสวยงามเสียสิ้น แล้วก็โล่งใจที่สามารถขจัดตัวปัญหาเสียได้ วันรุ่งขึ้นเธอก็เข้าไปกราบหลวงพ่อฮากูอิน ขอให้รับเป็นศิษย์ และเธอก็แทบไม่เชื่อหูตนเอง เธอพบว่าได้คิดผิดอีกครั้ง ผิดครั้งนี้ไม่ใช่ว่าหลวงพ่อไม่ให้อยู่ ท่านได้สอบถามถึงสาเหตุการนาบใบหน้าตนเองให้เสียโฉม พอทราบเรื่อง หลวงพ่อได้กล่าวสอนว่า

"เธอทำอย่างนั้นไม่ถูก เพราะว่าเซ็นที่แท้นั้นไม่มีความเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ที่ตนคิดไปว่าเป็นเพศนั้นเพศนี้แท้จริงเป็นเพียงมายา สัตว์โลกถูกกักขังไปไหนไม่รอดก็ด้วยเรื่องนี้"

โยเน็น พอได้ฟังก็กระจ่างขึ้นทันที แม่ชีโยเน็น ได้อยู่ศึกษาธรรมกับหลวงพ่อฮากูอินเป็นเวลา 13 ปี ได้รับการยกย่องมาก ในบั้นปลายจึงได้หลีกเร้นไปหาความวิเวกตามป่าเขาแถบบันซู มีผู้ไปขอศึกษาธรรมอยู่ด้วยถึง 200 คน และได้ดับขันธ์เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2406ก่อนจบขอทิ้งปริศนาธรรมซึ่งแม่ชีโยเน็น ได้ร้อยกรองไว้อย่างไพเราะ เป็นที่ยกย่องของพวกเซ็นมาจนถึงทุกวันนี้

"ฉากการเลื่อนไหลแห่งฤดูใบไม้ร่วงปีแล้วปีเล่าเวียนผ่านประจักษ์ต่อตาถึง 66 ครั้งแล้ว เราได้เพรียกพร่ำถึงประภัสสรแห่งเดือนเพ็ญมามากพอแล้ว พวกเธออย่าได้มาซักถามอีกเลย เพียงให้เธอไปเฝ้า เงี่ยฟังให้ได้ยินเสียงใบไผ่และใบสีดา เมื่อยามไม่มีลมพัดดูที
(http://www.onoi.org/forum/webboard/show.php?id=158)

ขอขอบคุณที่มา บอร์ดอกาลิโก http://www.agalico.com/board/showthread.php?p=185834#post185834

lek
11-12-2009, 08:21 PM
วันนี้ คุณส่งเมลล์ดี ๆ ให้กับคนรอบข้าง บ้างหรือยัง ?
ขอเชิญชวนเพื่อน ๆ ชาว E-mail ทุกท่าน ร่วมทำความดี ถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ




1. ความเพียร
การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันควรทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีควรต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯวันที่ 27 ตุลาคม 2516
2. ความพอดี
ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้นจะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัด ระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น ตามต่อกันไปเป็นลำดับผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 18 ธันวาคม 2540
3. ความรู้ตน
เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบและคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จและความเจริญ ให้แก่ตนเองและส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน
พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ วันเด็ก ประจำปี 2521
4. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้
คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมา ก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 20 เมษายน 2521
5. อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ
ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงามสำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุ ฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 มิถุนายน 2496
6. พูดจริง ทำจริง
ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือและความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจ จัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 10 กรกฎาคม 2540
7. หนังสือเป็นออมสิน
หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้ มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที่ 25 พฤศจิกายน 2514
8. ความซื่อสัตย์
ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาด ที่เ จริญมั่นคง
พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ปี พุทธศักราช 2531
9. การเอาชนะใจตน
ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เรารู้ สึกด้วยใจจริงว่าชั่วว่าเสื่อม เราต้องฝืนต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ ให้ได้จริงๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้นๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ

lek
11-13-2009, 09:05 PM
สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้

๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
& nbsp; ๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร

แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?

๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด

และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้

๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุก จากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงาน ด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗.. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุข เสมอ....ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?

lek
11-14-2009, 05:06 PM
บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
โสภณ พรโชคชัย*

พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้อวตารหรือถูกส่งมายังโลกนี้ นี่คือความจริงที่ไม่อาจบิดเบือน แต่ในภายหลังพระพุทธเจ้ากลับได้รับการยกฐานะให้แปลกแยกไปจากความเป็นมนุษย์ บทความนี้จึงมุ่งชี้ให้เห็นถึงพระพุทธเจ้าในแง่มุมที่เป็นมนุษย์ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุธรรมได้

ผมเขียนบทความนี้จากการอ่านหนังสือ “คือเมฆสีขาว ทางก้าวเก่าแก่ วรรณกรรมพุทธประวัติในทัศนะใหม่” ที่แปลมาจากหนังสือ “Old Path White Clouds: Walking in the Footsteps of the Buddha” ของท่านภิกษุ ติช นัท ฮันห์ และได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาไทยโดย คุณรสนา โตสิตระกูล และคุณสันติสุข โสภณสิริ ซึ่งจัดพิมพ์โดยมูลนิธิโกมลคีมทอง

ฝึกฝนเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า
มนุษย์ผู้กลายเป็นศาสดานี้ ศึกษาจนรอบรู้ทั้งศาสตร์และศิลปอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง สมัยที่ยังเป็นเด็กนั้นศึกษาจนเก่งคณิตศาสตร์อย่างหาใครเทียบไม่ได้ มีความตั้งใจเรียนด้านภาษาและประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังฝึกฝนกีฬาจนชนะเลิศในการแข่งขันทุกประเภททั้งยิงธนู ฟันดาบ ขี่ม้าและยกน้ำหนัก พระพุทธเจ้ามีความพยายามอย่างยิ่งยวดในการแสวงหาโอกาสศึกษา
ก่อนตรัสรู้ พระพุทธเจ้ายังศึกษาคัมภีร์ศาสนาอื่นจนหมดสิ้น น้อมใจเป็นศิษย์ในหลายสำนักโดยพำนักแห่งละ 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้าง จนพลังภาวนาและพลังสมาธิแก่กล้ายิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถค้นพบหนทางที่แท้จริงได้ในช่วงแรก นี่แสดงชัดว่าผู้ที่จะบรรลุธรรมได้ต้องศึกษาอย่างจริงจังต่อเนื่องจนรู้แจ้งเพื่อนำมาสังเคราะห์ด้วยตนเองในที่สุด

ผู้ตื่นรู้จากความเชื่อเดิม
พระพุทธเจ้าหมายถึงบุคคลผู้ตื่นและมีความรู้แจ้งต่อการเปลี่ยนแปลง ความเป็นเอกภาพของสรรพสิ่งที่มีทั้งความเกื้อหนุน ความขัดแย้งและความสัมพันธ์ต่อกันและกัน พระพุทธเจ้าบรรลุถึงหนทางไปสู่การดับทุกข์ในระดับต่าง ๆ ตามศักยภาพของมนุษย์แต่ละคน พระพุทธเจ้าสอนว่าบุคคลไม่สามารถข้ามพ้นจากอวิชชาโดยการสวดอ้อนวอนและยัญบูชาอย่างงมงาย และไม่อาจกำจัดความโกรธ ความกลัวได้ด้วยการเก็บกดความรู้สึก ต้องใช้ปัญญาให้เกิดการรู้จริงถึงปัญหา
พระพุทธเจ้ายังกล่าวว่า คำสอนเป็นวิธีการในการบรรลุถึงความจริง แต่มิใช่เป็นตัวความจริงเอง เป็นมรรควิธีแห่งการปฏิบัติ มิใช่เป็นอะไรที่มีไว้สำหรับยึดถือหรือบูชา ดังนั้นใครก็ตามแม้อ่านและจำพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด แต่ไม่ปฏิบัติ ก็ไม่อาจรู้แจ้ง คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่สิ่งลี้ลับยากเย็น เพราะแม้แต่เด็ก ๆ วรรณะจัณฑาลผู้ไม่มีการศึกษา ก็ยังฟังเข้าใจ
พระพุทธเจ้าเน้นความเป็นวิทยาศาสตร์โดยกล่าวว่า หากการหมายรู้ของบุคคลถูกต้องแม่นยำ (ด้วยการใช้ข้อมูล ความรู้และปัญญา) ความจริงก็จะปรากฏ พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อและยอมรับต่อสิ่งที่สอดคล้องกับมโนธรรมสำนึก ต่อสิ่งที่บัณฑิตผู้มีคุณธรรมและปัญญายอมรับและสนับสนุน และต่อสิ่งที่เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถยังประโยชน์และความสุขแก่ทุกฝ่าย คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่อิงกับศรัทธาความเชื่อที่ห้ามโต้แย้ง พระพุทธเจ้าสอนให้เคารพอย่างแท้จริงต่อเสรีภาพทางความคิด

ความเป็นมนุษย์ของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็มีความชอบส่วนบุคคล เช่น โปรดประทับภาวนาท่ามกลางป่าประดู่ลาย มีความไม่พอใจ เช่น เคยดุว่าพระราหุล หรือมีความเศร้าในยามที่ภิกษุกลุ่มหนึ่งไม่ใส่ใจรับฟังคำชี้แนะ พระอรหันต์เช่นพระสาลีบุตรก็แสดงอารมณ์เศร้าโดยการเก็บตัวอยู่แต่ในกุฏินับแต่พระโมคคัลลานะถูกฆาตกรรม จนพระพุทธเจ้าไปเยี่ยมปลอบใจ เป็นต้น
ในด้านศิลป พระพุทธเจ้ายังเป่าขลุ่ยได้ รู้จักชื่นชมในสิ่งอันสุนทรีย์โดยไม่ถูกครอบงำด้วยความสวยงามหรือความน่าเกลียด นอกจากนี้ยังเคยฝึกเลียนเสียงช้างจนเหมือน ซึ่งครั้งหนึ่งนำไปใช้ในยามคับขันที่ช้างดุร้ายเชือกหนึ่งวิ่งตรงเข้ามา พระพุทธเจ้าเปล่งเสียงช้างออกมาดังสะท้านจนช้างเชือกนั้นหยุดชะงักในทันที
พระพุทธเจ้ายังอาจพูดใหม่ แก้ไขให้ถูกต้องได้ กล่าวคือ ครั้งหนึ่งบอกให้พระอหิงสกะ (องคุลิมาล) บอกแก่หญิงผู้หนึ่งว่า ตั้งแต่ตนเกิดมา ไม่เคยประทุษร้ายชีวิตใด พอพระอหิงสกะทักว่า ถ้ากล่าวเช่นนั้นก็เท่ากับพูดเท็จ พระพุทธเจ้าจึงให้พระอหิงสกะกล่าวใหม่ว่า นับแต่วันที่ตนถือกำเนิดในอริยธรรม ไม่เคยประทุษร้ายชีวิตใดเลย เป็นต้น

ต่อครอบครัวและความรัก
พระพุทธเจ้ากล่าวสัจจพจน์สำคัญกว่า “ที่ใดที่รัก ที่นั่นมีทุกข์” เพราะความผูกพัน หากสูญไป ก็เสียดาย โดยเฉพาะความรักที่อยู่บนฐานของราคะ ตัณหา และความยึดติด แต่ก็ยังมีความรักอีกประเภทหนึ่งที่ประกอบไปด้วยความปรารถนาดีและต้องการให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ หรือที่เรียกว่า เมตตาและกรุณา ซึ่งถือเป็นความงามประเภทเดียวที่ไม่จางหายและไม่ก่อให้เกิดความทุกข์
พระพุทธเจ้าแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับส่วนรวมเป็นอย่างดี เช่น การระมัดระวังในการปฏิบัติต่อสงฆ์กลุ่มที่เป็นญาติโดยไม่ให้สิทธิพิเศษใด การเข้มงวดแม้กระทั่งภิกษุณีมหาปชาบดี พระราหุลก็ไม่เคยนอนในกุฏิเดียวกับพระพุทธเจ้า พระราหุลยังเคยปรารภว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิบัติต่อท่านอย่างชื่นชอบเป็นพิเศษ แต่พระอหิงสกะ (องคุลิมาล) กลับได้รับคำยกย่องอย่างสูงยิ่งในฐานะโจรกลับใจผู้มีความอดทนสูงส่ง เป็นต้น

มุมมองใหม่ในสิ่งที่เคยเชื่อ
ปกติเราเชื่อว่าภิกษุไม่ควรสัมผัสสตรี แต่เราก็คงเคยเห็นองค์ทะไล ลามะ หรือท่านภิกษุ ติช นัท ฮันท์ สัมผัสมือกับสตรี ในขณะที่พระพุทธเจ้าไปหาพระนางยโสธรา ก็ยังสัมผัสมือกัน หรือสามเณรราหุลก็ยังเคยสวมกอดพระมารดา เป็นต้น ข้อนี้เป็นกรณีตัวอย่างที่แตกต่างระหว่างพุทธศาสนาแบบไทยกับแบบอื่น ซึ่งแสดงว่าเราควรใช้วิจารณญาณศึกษาเชิงเปรียบเทียบ
กรณีอดีตชาตินั้น มีกล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าเห็นการเกิดและตายทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งกรณีนี้คงขึ้นอยู่กับการตีความ หากตีความอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ก็หมายถึงว่า “สสารไม่สูญหายไปไหน” พระพุทธเจ้าเคยกล่าวว่า ก่อนที่ตถาคตจะเกิดมาเป็นมนุษย์ ตถาคตเคยเป็นดินและก้อนหิน เคยเป็นต้นไม้ เป็นนก และในชาติปางก่อน พวกเราล้วนเคยเกิดเป็นมอส หญ้า ต้นไม้ ปลา เต่า นก เป็นต้น ดังนั้นพระพุทธเจ้าคงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งเป็นสำคัญ

ปัญหาสังคมในมุมมองใหม่
ในสมัยพุทธกาล ความยากจนของชาวนา ปัญหาเด็กพิการ ขอทาน การเจ็บป่วย เป็นปัญหาที่แม้แต่กษัตริย์ก็ไม่มีอำนาจที่จะแก้ไข อำนาจของกษัตริย์เปราะบางและมีอยู่อย่างจำกัด แม้กษัตริย์จะทราบถึงความละโมบและการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ก็จำต้องอาศัยพวกขุนนางทุจริตเหล่านี้รักษาบัลลังก์ ขุนนางเหล่านี้ต่างก็ขับเคี่ยวกันเพื่อมุ่งปกป้องและสร้างฐานอำนาจของตนเอง ไม่ใช่มุ่งขจัดความทุกข์ยากให้ผู้ยากไร้
อาจกล่าวได้ว่า การทำทานก็ช่วยบรรเทาทุกข์ผู้ยากไร้ได้บ้าง แต่ไม่ใช่ทางออกที่ดีจริง อาชญากรรมและความรุนแรง เป็นผลพวงของความอดอยาก ยากจน วิธีที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือประชาชน และช่วยให้ประชาชนมั่นคงปลอดภัยดี ก็คือการมุ่งสร้างเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ โดยการจัดสรรทรัพยากร ทุน และภาษี เป็นต้น

สร้างความเท่าเทียมในหมู่ชน
ในสมัยนั้น ประชาชนถูกครอบงำกดขี่จากพวกพราหมณ์ โดยต้องยอมเสียเงินให้เพื่อรับการทำพิธีที่ถูกต้องแม้ว่าพวกเขาจะยากจนเพียงใด แต่พระพุทธเจ้ากลับมุ่งสร้างความเท่าเทียมในหมู่ชน โดยแสดงออกด้วยการดื่มน้ำแก้วเดียวกับเด็กชายวรรณะจัณฑาลทั้งยังให้เด็กคนนั้นดื่มก่อน และยังรับคนจัณฑาลเข้ามาอยู่ในคณะสงฆ์ แต่ทำไมในทุกวันนี้ พุทธศาสนากับศาสนาพราหมณ์กลับแยกกันแทบไม่ออก ใครเป็นคนทำ ใครเป็นคนเสริมต่อ และใครได้ประโยชน์จากการนี้
การช่วงชิงผลประโยชน์ทางการเมือง และการสงครามของกษัตริย์นครต่าง ๆ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน พระพุทธเจ้าก็เคยห้ามศึกในหมู่ญาติ นี่แสดงว่าหากกษัตริย์หรือข้าราชการไม่ได้รับการควบคุมที่ดี ประเทศไม่ได้เป็น “ประชารัฐ” ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่ ก็ย่อมก่อสงคราม กดขี่และสร้างความไม่เป็นธรรมให้กับประชาชนได้

คำราชาศัพท์กับพระพุทธเจ้า
ในการเขียนถึงพระพุทธเจ้า เรามักใช้คำราชาศัพท์ พระพุทธเจ้าก็เคยเป็นเจ้าชายมาก่อน และหากครองราชย์ ก็อาจเป็นมหาจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ของโลก แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ประสงค์จะอยู่ในวรรณะกษัตริย์ ประสงค์จะใช้ภาษาและคำพูดธรรมดา ดังนั้นการใช้คำราชาศัพท์กับพระพุทธเจ้า แม้ในแง่หนึ่งถือเป็นการแสดงความเคารพสูงสุด แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจเป็นการไม่นำพาต่อความตั้งใจของพระพุทธเจ้าในการสละวรรณะนี้ การใช้คำราชาศัพท์ก็เท่ากับการผูกพันพระพุทธเจ้าไว้กับวรรณะเฉพาะ
โปรดสังเกตว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่ถือตน โดยสมัยที่ลาจากวรรณะกษัตริย์มาบำเพ็ญเพียร เด็กชายวรรณะจัณฑาลให้หญ้ามาใช้ปูนั่ง ก็ยกมือไหว้ขอบคุณ สมัยเป็นพระพุทธเจ้าก็พนมมือ น้อมกายเป็นการตอบรับ พระพุทธเจ้าเคยช่วยเด็กวรรณะจัณฑาลตัดหญ้าด้วย หรือร่วมกับพระอานนท์ช่วยกันอุ้มภิกษุที่อาพาธขึ้นเตียงและเปลี่ยนจีวรให้ แล้วยังขัดถูพื้นกุฏิและซักจีวรที่เกรอะกรังดินของภิกษุดังกล่าว เป็นต้น

การที่มนุษย์ผู้หนึ่งสามารถบรรลุธรรม จนประกาศศาสนาให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจมานับได้ 2551 ปีเช่นนี้ ทำให้เห็นชัดถึงศักยภาพของมนุษย์ที่สามารถพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าทั้งทางวัตถุและจิตใจอย่างเอนกอนันต์ได้ เราจึงต้องเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่สามารถเป็นอิสระจากอวิชชาด้วยการศึกษาอย่างจริงจังและเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อนำมาสังเคราะห์ด้วยปัญญาให้รู้จริง
พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ที่เราเข้าถึงได้ และที่สำคัญอย่าลืม “บุคคลไม่สามารถข้ามพ้นจากอวิชชาโดยการสวดอ้อนวอนและยัญบูชา”

* ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ ขณะนี้ยังเป็นกรรมการหอการค้าสาขาจรรยาบรรณ ที่ปรึกษาหอการค้าไทยสาขาอสังหาริมทรัพย์ ผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ (IAAO) ประจำประเทศไทย กรรมการบริหาร ASEAN Valuers Association และ ASEAN Association for Planning and Housing และกรรมการสภาที่ปรึกษาของ Appraisal Foundation ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกาที่แต่งตั้งขึ้นโดยสภาคองเกรส Email: sopon@thaiappraisal.org

*8q*
11-16-2009, 07:32 PM
รูปนี้ถูกลดขนาดลง กดที่เเถบนี้เพื่อดูขนาดเดิม ขนาดเดิมของรูป: 650x488 ขนาดของไฟล์: 211KB


ชีวิตคน ใช่ดิ้นรน แค่เรื่องรัก
ควรยึดมั่น หลักธรรม คำสั่งสอน
อยากให้เค้า เป็นดั่งใจ เช่นเราปอง
จะเศร้าหมอง สืบไป ในกงเกวียน

ในห้วงทุกข์ มากมาย คือความรัก
แล้วใยจัก ไขว่คว้า แต่รักเล่า
ทำความดี แต่งเสริม ให้ใจเรา
เป็นดังเงา ติดใจเรา ทุกชาติไป

หากจะรัก จงรักกัน ด้วยศีลห้า
จะนำมา ซึ่งความสุข ทุกสมัย
หากใครรัก แล้วให้รัก มาเผาใจ
อย่าหาใคร มาเป็นไฟ ให้ใจเลย

แล้วอย่างนี้ ความรัก มีสุขหรือ
ความรักคือ ความทุกข์ สนุกหมัย
รักพ่อแม่ ตายหรืออยู่ มีที่ไป
รักหลงไหล ตายแล้วไป ไร้ปลายทาง

คนทุกคน ในวังวน จงสำนึก
อย่าลงลึก กับความโลภ และโกรธหลง
เลิกยึดเขา เลิกยึดเรา ด้วยทางปลง
จงสวดมนตร์ ปฏิบัติธรรม ช่วยนำใจ

http://variety.teenee.com/saladharm/19825.html

lek
11-23-2009, 06:40 AM
หมั่นรักษาศีล...ค่อยๆรักษา...ค่อยๆทำ
เมื่อทำได้...ชนะใจตนได้...จะเห็นความเปลี่ยนแปลง
เพราะยังมีอดีต...มีปัจจุบัน...และอนาคต...
เรายังคิดได้...ยังจำได้...ยังมีตัวตนคอยหลอกหลอน
แต่ตัวตนเรานั้น...ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น...
มีแต่เราเท่านั้น...ที่จะเห็นความเป็นไป...เห็นธรรม...
เห็นด้วยใจที่เป็นกลาง...ไม่หลงเห็นทั้งภายในและภายนอก
สิ่งต่างๆเพียงประกอบรวมขึ้นมา...ให้มันมี...และดึงพาเรา
ให้ไปเกี่ยวข้อง...และร่วมแสดงกับบทบาทที่มีอยู่....
หากเราแสดงบทบาทที่มีอยู่...อย่างขาดสติปัญญา....
เราก็จะต้องแสดงต่อไปไม่มีวันจบสิ้น...เพราะใจเรายังไม่พอ
จึงยังต้องแสดงบทบาทที่ใจเราเลือกที่จะแสดงให้มีนั่นเอง...

lek
11-23-2009, 07:16 AM
เรื่องเล่าดีดี.....เศรษฐีและทุ่งนา..





มหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง
สุดแสนจะภูมิใจที่ลูกชาย
วัยห้าขวบของเขากำลังจะได้
เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง
ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น

โดยส่วนตัวของเขาเอง
ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก
ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน
ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียวไป
ท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ
แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่อง
”ความยากจน”
เพราะเขามีความเชื่อว่า
ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน
เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง
และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา
มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่า
ลูกชายได้อะไรบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน
ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดา ว่า
เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนา
และพักแรมที่นั่น
ซึ่งทำ ให้เขาได้พบว่า....
ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่
ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง
แต่ก็ยังน้อยกว่าห้องทำงานของชาวนา

อาหารที่ชาวนารับประทานสามารถหาได้ตลอดเวลา
รอบๆบริเวณบ้านโดย ไม่ต้องซื้อหา
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้น ที่เป็นที่เก็บอาหาร
เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อน
คุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหาร
กับโต๊ะอาหารที่ยาวเกือบสิบเมตร
และ มีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

ลูกชาวนา ที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา
ต้องกอดเอวพ่อให้แน่น
เพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน

แต่เขาเอง ต้องนั่งในรถที่ใหญ่โต
อยู่ข้างหลังเพียงลำพังโดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟ
ส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืนโดยไม่ขาดแคลน
แต่เขา ก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน
......... ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่
ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีดหิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

เขาขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า.....
จริงๆ แล้ว.......เรายากจนกว่าชาวนามาก

ปล.ใครอ่านแล้วรู้สึกดี ก็อย่าลืมแบ่งปันคนอื่นนะคะ

ขอบคุณที่มาhttp://www.ufoatkaokala11.com/joke-news-knowledge-apply-diy-forword-mail/t1236/msg3948/#new

lek
12-09-2009, 04:51 AM
บทความโดย : พระไพศาล วิสาโล

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผินๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่างๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า 'ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ' ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า 'ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง' เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่นๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?

คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้งๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป 7 ชาติก็ยังไม่หมด

แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่

แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน

ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ 1 ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี 1 แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก 1 ล้าน

พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม

บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา

จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแ ต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้งๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา

ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริงๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก 'เฉยๆ' เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?

เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมากๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี

ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใครๆ ก็นิยมใช้กัน

นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา


การมองแบบนี้ทำให้ 'ขาดทุน' สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ

บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น

แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้

เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง

lek
01-06-2010, 08:02 PM
[color=red][size=18pt]
บันทึกช่วยจำของ “เหลียงจี้จาง”

“เหลียงจี้จาง” เป็นพิธีกรดังของ TVB ในฮ่องกงและเป็นนักเขียนด้วย บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนให้ลูก ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากแสดงถึง
ความห่วงหาอาทรที่พ่อมีต่อลูกเฉกเช่นคุณพ่อทั่วๆ ไป มุมมองของเขาบางเรื่อง(แบบสังคมฮ่องกง) แม้บางคนจะเคยประสบมาบ้างเหมือนกัน อ่านแล้วก็ยังอดอึ้ง
ไม่ได้ เลยถ่ายทอดสู่กันฟัง...

ลูกรัก... ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ
1. สรรพสิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้ พ่อจึงคิดว่า บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า
2. เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก
3. สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้ ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีก

ในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ให้ดี

1. คนที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา ยกเว้นพ่อกับแม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้ว ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย เพราะคนเราทุกคน ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์ เขาทำดีกับลูก ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไป ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป

2. ไม่มีคนที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้ ถ้าเข้าใจจุดนี้ หากวันใดคนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป ลูกจะได้เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย

3. ชีวิตนี้แสนสั้นหากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะหลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หาความสุขเสียแต่วันนี้ ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน

4. ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ โดยความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและอารมณ์ หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป ขอให้รอคอยอย่างอดทน ให้เวลาช่วยชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆตกตะกอน แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆจางหายไป.. อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ

5. แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง แต่ไม่ได้หมายความว่า หากไม่ขยันเรียน แล้วจะได้ดี ความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้ หากปราศจากอาวุธสู้.. จำไว้

6. พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน เมื่อลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน หลังจากนั้นไป ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์ จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ ลูกต้องเลือกเอง

7. ต้องทำดีต่อผู้อื่น แต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร มิได้หมายความว่าผู้อื่นก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน.. ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น

8. พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังยากจนเหมือนเดิม แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้น ในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้องเสียตังค์

9. ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว ฉะนั้น จงหวงแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันและแสนมีค่านี้ เพราะในชาติหน้า ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก (หมายเหตุ ถึงพบกันก็ไม่รู้จักกัน เพราะระลึกชาติไม่ได้ นี่เป็นเกราะคุ้มกันของธรรมชาติ จะได้ไม่ทุกข์ข้ามชาติ ฉะนั้น ใครที่ระลึกชาติได้ ถือว่าอาภัพสุดๆ)

จากพ่อ

เหลียงจี้จาง

lek
02-16-2010, 09:17 AM
แผนที่ชีวิต 80 ข้อคิดพระเจ้าอยู่หัว

1. ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกอย่าง อย่างจริงใจ
2. อย่าสวดมนต์เพื่อของสิ่งใด นอกจาก ปัญญา และความกล้าหาญ
3. เพื่อนใหม่ คือของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วน เพื่อนเก่า คืออัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า
4. อ่านหนังสือธรรมปีละเล่ม
5. ปฏิบัติตนต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
6. พูดคำว่า ขอบคุณ ให้มากๆ
7. รักษา ความลับ ให้เป็น
8. ประเมินคุณค่าของการให้อภัย ให้สูง
9. ฟังให้มาก แล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
10. ยอมรับความผิดพลาดของตนเองหากมีใครตำหนิ และรู้แก่ใจว่าเป็นจริง
11. หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่
12. เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนัก คิดเสมอว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
13. อย่าทำงานเกินเวลา จนติดเป็นนิสัย เมื่อมันกลายเป็นนิสัย จะทำให้มันหมดคุณค่าปล่อยตัวตามสบายได้ แต่อย่าถึงให้กับดูโทรมนัก
14. จงทำตัวให้ร่าเริง ควรช่วยเหลือและทำหน้าที่ให้ดีในการงานของคุณคุณจะพบว่าไม่มีใครมาแข่งกับคุณ
15. อย่าได้เป็นกังวลในเรื่องการปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ในสำนักงานแต่เป็นกังวลกับการปล่อยชีวิตคุณเปล่าประโยชน์จะดีกว่า
16. อย่าโกธรคอมพิวเตอร์ สำหรับความผิดพลาดที่คุณทำขึ้นเอง
17. ลองคิดถึงเวลาคุณไม่มีเงินเดือนดูบ้าง
18. จงถือว่าสุขภาพคือทรัพย์สมบัติประการแรก
19. อย่าได้ก้มหน้าก้มตาทำงาน จนไม่เคยสังเกตเห็นนก ต้นไม้ ดอกไม้ และปุยเมฆ
20. เมื่อใดสำนักงานที่ทำให้คุณรู้สึกเศร้าสร้อย จงนึกเสียว่าเป็นเกมกีฬาสำหรับคนที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่และอย่าได้นำกลับไปที่บ้านด้วย
21. จำไว้ว่า ยังมีอะไรอีกมากในการทำงานและในชีวิตมากกว่าการทำงานให้มีชีวิตอยู่หรือมีชีวิตอยู่เพื่อทำงาน
22. อย่าทำเป็นคนตรงต่อเวลา ไปถึงก่อนเวลาจะดีกว่า
23. อย่าได้หลอกตนเองว่า การมีสิ่งของรกบนโต๊ะ หมายถึงการมีงานมาก เพียงแต่หมายความว่าคุณยังไม่ได้ทำมันนั่นเอง
24. จัดเก็บของคุณให้เรียบร้อย บุคคลส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ จะมีโต๊ะทำงานที่ว่างโล่ง
25. อย่าเป็นกังวลมากจนเกินไป เพื่อนร่วมงานคิดอย่างไรกับคุณเพราะส่วนใหญ่ในชีวิตของพวกเขา ไม่ได้คิดถึงเลย
26. จงมีความเพียรอันบริสุทธิ์ สติปัญญาที่เฉียบแหลม ร่างกายที่สมบูรณ์จะนำมาซึ่งความสำเร็จ
27. จงร่ำรวยเงินสด จงหาเวลาแทนที่จะรอเวลา จงยิ้มไว้เสมอ
28. อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟต์
29. ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน
30. อย่าหยิ่ง หากจะกล่าวว่าขอโทษ
31. อย่าอาย หากจะบอกใครว่าไม่รู้
32. ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่มีราบรื่นตลอดทาง
33. เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่างๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป
34. การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท
35. คนไม่รักเงิน คือคนไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต
36. ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อนคือผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี
37. ชีวิตนี้ฉันไม่เคยได้ทำงานเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันสนุกมาก
38. จงใช้จุดแข็ง อย่าเอาชนะจุดอ่อน
39. เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราพูด
40. เหรียญเดียวมี 2 หน้า ความสำเร็จกับความล้มเหลว
41. อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่งๆเกิดขึ้นล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น
42. ฟันร่วงเพราะมันแข็งแรง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน
43. อย่าดึงต้นกล้าให้โตไวๆ (อย่าใจร้อน)
44. ระลึกถึงความตายวันละ 3 ครั้ง ชีวิตจะมีสุข มีอภัย มีให้อยู่
45. อย่าติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อๆไปก็ผิดตาม
46. ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวันเวลาแล้วเสร็จสิ้น
47. จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด
48. ดาวและเดือนที่อยู่สูง อยากได้ต้องเป็นบันไดสูง
49. มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ
50. หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาทั้งโลก จงอ่าหนังสือเดือนละเล่ม
51. ระเบียบวินัย คือคุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต
52. อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้
53. เมื่อมีคนเล่าว่าตัวเขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตามเราไม่ต้องไปคุยทับปล่อยให้เขาฟุ้งไปตามสบาย
54. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเท่านั้น
55. หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ริมทางเสียบ้าง
56. จะคิดการใด จงคิดการให้ใหญ่ๆเข้าไว้ แต่เติมความสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
57. หัดทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นอย่างเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้
58. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งสิ้น
59. เวลาเล่นเกมกับเด็กๆก็ปล่อยให้แกชนะไปเถิด
60. ใครจะวิจารณ์เราอย่างไรก็ช่าง ไม่ต้องเสียเวลาไปตอบโต้
61. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ สอง แต่อย่าให้ถึงที่สาม
62. อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุข ก็ลาออกซะ
63. ทำตัวให้สบายๆ อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไรๆมันก็ไม่ได้สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก
64. ใช้เวลาน้อยๆในการคิดว่า ใคร เป็นคนถูกแต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า อะไร คือสิ่งถูก
65. เราไม่ได้ต่อสู้กับคนโหดร้าย ในตัวคน
66. คิดให้รอบคอบ ก่อนให้เพื่อนต้องมีภาระในการเก็บรักษาความลับ
67. เป็นคนถ่อมตน คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด
68. เมื่อมีคนสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
69. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใดสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
70. อย่าไปหวังเลยว่า ชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
71. อย่าทำให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาต้องเบื่อหน่าย ถ้ามีใครถามเราว่า เป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ ก็บอกไปเลยว่า สบายมาก
72. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
73. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยวเมื่อเหลียวกลับไปดูอดีตเราจะเสียใจในสิ่งที่เราอยากทำแล้วไม่ได้ทำมากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
74. ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตนเองไม่ใช่มาตรฐานของคนอื่น
75. จริงจังและเคี่ยวเข็ญต่อตนเองแต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
76. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดีๆใหม่ๆและยิ่งใหญ่จนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ล้วนมาจากบุคคลที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น
77. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น
78. คำนึงถึงความมีชีวิตให้ กว้างขวาง มากกว่าการมีชีวิตให้ยืดยาว
79. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพไม่ว่างานที่เขาทำนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
80. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยเสมอ



อ้างอิงจาก หนังสือของขวัญอันล้ำค่า 60 พระบรมราโชวาท
แผนที่ชีวิต 80 ข้อคิดพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู หน้า 121-141

ขอบพระคุณที่มา http://www.khaotalom.com/inde.php?lay=show&ac=article&Id=5361618

numning
03-05-2010, 12:22 AM
แก่นธรรมคำสอนของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล

ถ้าจิตปล่อยวางจิตได้จริงเพราะมีปัญญาเห็นแจ้งอริยสัจ
จิตจะไม่แยกตัวออกเป็นสองชั้นคือภายในกับภายนอก
แต่จะกลายเป็นจิตหนึ่ง ซึ่งกว้างขวางไร้ขอบเขต
แต่ถ้าจงใจปล่อยวางจิต จิตจะเหมือนมีขอบเขต
ของความรับรู้อยู่ภายนอก ไม่สามารถทวนกระแส
เข้ามารู้กายรู้ใจของตนเองได้

lek
04-21-2010, 07:19 PM
[color=teal][size=15pt]หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ

หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์
โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา
อันเป็นไปเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาต่างๆในชีวิต
เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอนอันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา
หลักธรรมประกอบด้วย หลักการ3 อุดมการณ์4 และวิธีการ6 ดังนี้

หลักการ 3 คือ

1. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่งดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง
ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ10 ทางแห่งความชั่วมีสิบประการ
อันเป็นความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ
ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม
ความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ
ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท
และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม
2. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดี
ทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ10 เป็นแบบของการทำฝ่ายดี มี10อย่าง
อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ

การทำความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น มีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม

การทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ พูดแต่คำจริง
พูดคำอ่อนหวาน พูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ

การทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น มีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาท
มีแต่คิดเมตตาและปรารถนาดี และมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เช่น
เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น

3. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส
ปราศจากนิวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี 5 ประการ ได้แก่
1. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)
2. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)
3. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)
4. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุธธัจจะกุกกุจจะ) และ
5. ความลังเลสงสัย(วิจิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดี ความชั่วว่ามีผลจริงหรอืไม่

วิธีการทำจิตให้ผ่องใสที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศีลและบำเพ็ญกุศล
ให้ถึงพร้อมด้วยการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล อันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง

อุดมการณ์ 4
1. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกายวาจาและใจ
2. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
3. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ
4. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา
เกิดขึ้นได้จากการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์8

วิธีการ6
1. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือกล่าวโจมตีใคร
2. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
3. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎ กติกา กฎหมาย
รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม
4. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหาร หรือ การใช้สอยสิ่งต่างๆ
5. อยู่ในสสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
6. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพ คุณภาพและประสิทธิภาพที่ดี

คัดลอกจากหนังสือสูจิบัตร สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ฉบับเนื่องในวันมาฆบูชา "ธรรมยาตรา คุ้มครองโลก"

lek
04-23-2010, 07:29 PM
“แตกต่างแค่เปลือกความคิด ปกปิดจิตประภัสสร”
ถ้ามองเห็นความหลงผิดของตน จึงจะเห็นถูก

หลวงพ่อพูดให้เห็นถึงกระบวนการที่สอดคล้องกันเป็นลูกโซ่ที่สำคัญกับการดำรงชีวิตในช่วงนี้มาก เพราะท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง เราต้องมองความฝันของเราไม่ให้สวนทางกับเหตุปัจจัยของโลกแล้วมาตีโพยตีพาย เพราะว่าเราไปตั้งความฝันที่สวนทางกับความเป็นจริง ต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้าง เราต้องมองว่าในสถานการณ์อย่างนี้ ความฝันของเรามันควรไปในทิศทางไหนเพื่อให้มันสมหวัง งอกงามได้ ใช้เวลานี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุกขณะ ทุกสถานการณ์ โดยไม่รอคอยว่าจะต้องเมื่อนั้นเมื่อนี้ มีโอกาสทำได้ก็ทำความดีงาม ทำได้ทันทีเลย ไม่ต้องทำแต่เรื่องใหญ่ๆ แต่ทำในสิ่งที่สำคัญคือเรื่องของสัมมาสติ เวลาที่จิตมันทำงาน ให้มองให้ออกว่าสมุทัยกำลังทำอะไรอยู่ เหตุของการเกิดทุกข์ จิตส่งออกไปโทษคนอื่น ต้องระวังตรงนี้นะ เรื่องร้ายมีให้มองเยอะ ถ้ามองเห็นความหลงผิดของตน จึงจะเห็นถูก



เมื่อสองวันก่อนมีแม่ลูกเดินเข้ามา แม่หน้าเครียดมากเลย ส่วนลูกยังเรียนมหาวิทยาลัย แม่มาปรึกษาหลวงพ่อว่าลูกเครียดมาก อยากปรึกษาหลวงพ่อ แล้วเล่าว่าตอนที่ขับรถเข้ามาเห็นป้ายติดว่า ‘ระวังเต่า’ เขาติดมาได้ยังไงว่าให้ระวังเต่าข้ามถนน หลวงพ่อช่วยไปบอกหน่อยได้ไหม แล้วก็เล่าต่อให้ฟังว่าลูกเครียดมากเลย สักพักพอลูกเขาเดินไป หลวงพ่อเลยบอกว่าคนที่เครียดไม่ใช่ตัวลูกแต่เป็นโยมต่างหาก โยมเจออะไรก็จะเข้าไปจัดการทุกเรื่อง หลวงพ่อเลยถามจริงๆ ไปว่า เดี๋ยวโยมจะเก็บเรื่องนี้ไปทั้งวันใช่ไหม ใส่ห่อกลับบ้านไปฝากให้ลูกชาย ให้สามีด้วยใช่ไหม ลูกโยมหน้าใสซื่อมากเลยแต่บอกว่าลูกเครียด ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นศูนย์รวมของความเครียด พอเขาจับเคล็ดลับได้เรื่องการมีสติ มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะเห็นความหลงผิดของตน จึงเห็นถูกขึ้นมา เพราะมันจะไม่หลง เวลาคิดปรุงแต่งรู้สึกตัวขึ้นมา ไม่มีเวลาไปรำคาญ ไปหาเรื่องข้างนอก กลับจะเบิกบานขึ้นมาทันทีทันใดที่รู้สึกตัว




พวกเราก็เหมือนกันอย่าทิ้งปัจจุบันขณะ ที่เราสามารถปฏิบัติได้ในตอนนี้ กำจัดมิจฉาสติที่มองแต่แง่ร้าย ให้เรายอมรับบางอย่างที่เป็นความงามเล็กๆ น้อยๆ บ้าง ส่วนใหญ่เราแสวงหาความสวยงาม เช่น พวกดอกไม้บาน พระอาทิตย์ขึ้นหรือตก เป็นความสวยงามทั่วไปเรียกว่าระดับ BEAUTY แต่ถ้าเราสามารถข้ามไปอีกระดับหนึ่ง แม้แต่เด็กซ้อนรถหางเปียก็สวย เขาเรียกว่ามีสุนทรีในการมอง เก็บเรื่องดีๆ ออกมามองได้ โดยไม่ต้องบอกว่ารอดอกไม้บาน หรือรอตอนพระอาทิตย์ตกหรือขึ้น หรือไม่ต้องลงทุนปีนหน้าผาเพื่อไปรอดูพระอาทิตย์ตกหรือขึ้น แต่ระหว่างทางที่จะเดินขึ้นไป ก้อนหินหรือตะไคร่น้ำก็สวย ใครจะรีบเดินก็เดินไป แต่หลวงพ่อขอเดินเงียบๆ คนเดียว ดูใบไม้ ดูก้อนหิน ดูใจเราไปไม่ให้อกุศลมาครอบงำ พวกเราก็เช่นกัน อะไรเกิดขึ้นดูที่ใจเรา ก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ในชีวิตประจำวัน

lek
04-23-2010, 07:32 PM
การเป็นนักปฏิบัติไม่ใช่ว่าแห้งแล้งนะ สามารถมีสุนทรีในชีวิตได้ แต่ว่าให้รู้เท่าทันใจ มีสติคือจิตที่เป็นกุศล หลวงพ่อนั่งอยู่ที่กุฏิ มีหนอนแก้วมากินใบไม้ ตัวใหญ่มากเลย นึกเสียดายใบไม้ แต่ก็นึกว่าอีกไม่นานก็จะเป็นผีเสื้อ การเติบโตของจิตใจก็เหมือนกัน มันต้องพัฒนาตามเหตุปัจจัยของมันเหมือนต้นไม้ ต้นกล้วยจากหน่อกลายเป็นใบ ใครเคยปอกกล้วยดิบบ้าง ไม่กล้วยนะ อย่าไปฝืนมัน แค่รู้ตามขบวนการเหตุปัจจัย ใจก็ไม่แห้งแล้งด้วยความอยากให้เป็น หรือทิฐิว่าน่าจะเป็น แต่เห็นมันเป็นอย่างที่เป็น เห็นกล้วยแล้วรู้ที่ใจ สุกงอมที่ใจ ด้วยกุศลดื่มด่ำความหวานหอมที่ใจ
เรื่องอื่นอาจพอได้ แต่เรื่องกุศลต้องเติมเต็มไว้ด้วยสติ จนทำลายเปลือกของความหลงผิด
เราอยู่กับครูบาอาจารย์ เรารู้อยู่แล้วว่าสติคืออะไร รู้สึกตัวบ่อยๆ จะเห็นความเป็นจริง มันจะชัดขึ้นจนคำว่า “เรา” มันเข้าไปไม่ได้ เป็นกระบวนการตามธรรมชาติ ขณะที่ปากขยับก็รู้เท่าทันมัน เมื่อไหร่ที่ทำแล้วความทุกข์ครอบงำไม่ได้ เราจะรู้ว่าจิตมาถูกทาง ที่เรามองเห็นจิตเดิมไม่ได้ เพราะมัวแต่จะไปมองเห็นความปรุงแต่ง อันนี้เป็นเคล็ดลับเลย ถ้าทั้งวันไหลตามความปรุงแต่ง มันไม่มีทางที่จะเห็นสภาวะเดิมของตน แล้วก็หลงคิดว่าเปลือกนี้คือของจริง มองที่ความแตกต่างของเปลือก เวลาหลวงพ่อไปสนามบินจะชอบดูความแตกต่างของชาวต่างชาติทั้งหลาย แต่งตัวไม่เหมือนกัน สีผิว การศึกษาไม่เหมือนกัน เห็นแต่เปลือก แต่ข้างในเหมือนกันหมดเลย
ตรงธรรมชาติเดิมที่บริสุทธิ์ของใจ ไม่มีใครอยู่ในนั้น เป้าหมายของศาสนาพุทธอยู่ตรงนี้ด้วยนะ ไม่ได้ขัดแย้งกับใคร เป้าหมายอยู่ที่ตัวของความศานติ เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ไม่ได้เป็นของใคร ตัวที่เป็นสัจธรรมแท้ของธรรมชาติ พวกเราถือว่ามีบุญที่อยู่ใต้ร่มเงาของศาสนา เด็กๆ บางคนถามว่าจะเกิดปัญญาตอนไหน บอกว่าตอนที่มีสติบ่อยๆ นั่นแหละ แต่ว่าข้อมูลมันต้องเพียงพอ ต้องตามดูตามรู้ อย่างช้าเก็บข้อมูลซัก ๗ ปี กระพริบตารู้ เจ็บเกิดจากอะไรรู้ จิตใจเป็นอย่างไรก็รู้ เป้าหมายศาสนาพุทธเพื่อเห็นความเป็นทุกข์ เพื่อละทิฐิ ทิฐิคือความคิดเห็นว่ากายนั้นเป็นเรา อาการเจ็บที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรา มันแค่อาการเจ็บ อาการเมื่อย การคิดก็แค่การคิด เป็นธรรมดาธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่สามารถคิดได้จำได้ ให้เราอยู่ในความรู้สึกตัว ตรงนี้ให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ไปปรุงแต่งมัน แต่ให้เราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น จิตตื่นนะ ไม่ใช่ฟุ้งซ่านแล้วไหลไป
ให้ทุกคนมีสติ คือความรู้สึกตัวทั้งที่กาย เวทนา จิต และสภาวธรรม คือมีสติปัฏฐานสี่พร้อม มีธรรมวิจัยทั้งรูปธรรมและนามธรรม วิจัยเกิดจากการตามรู้กาย ตามรู้ใจ ทำให้เกิดวิริยะ เกิดความเพียรที่จะตามรู้อย่างมีกุศล เพียรปิดกั้นอกุศลไม่ให้เข้ามา เพียรรักษากุศล เพราะสติเป็นตัวกุศล เหล่านี้เป็นอาหารของมัน ความทุกข์ใจ ความเศร้าหมองเข้ามาครอบงำไม่ได้ สติตัวที่ทำงานอยู่นี้ต้องไม่มีเจตนา ถ้ามีเจตนาเรียกว่ากรรมภพ เราจะไปสร้างภพชาติขึ้นมาทันที ต้องตามรู้ทีละขณะอย่างไม่มีเจตนาเลย เป็นสติอย่างธรรมชาติ จิตที่เป็นกุศลจะทำให้เกิดปีติ จิตต้องมีอาหาร ปีตินี้ไม่ต้องอาศัยเหยื่อ ไม่ต้องอาศัยภาพ เสียงก็มีปีติได้ เพราะว่ากุศลมันทำงาน จิตมันไม่เศร้าหมองก็เลยปีติ สมาธิก็ตั้งมั่น อุเบกขาก็เป็นกลางขึ้น

lek
04-23-2010, 07:34 PM
สติปัฏฐานสี่ มีอาหาร คือ สุจริตสาม เกิดจากกาย วาจา ใจ สุจริตได้เพราะมีอินทรีย์สังวร อินทรีย์สังวรมีอาหาร คือ สติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะมีความรู้สึกตัว รู้สึกว่าพอเหมาะพอดีกับเรา รู้ว่าอันนี้เหมาะกับการกระทำของเรา และรู้ตัวว่าตอนนี้กำลังไม่หลง สัมปชัญญะมีอาหารเหมือนกัน คือ โยนิโสมนสิการ การพิจารณาอย่างแยบคาย โยนิโสมนสิการมีอาหารมาจากความเชื่อที่มีเหตุผล ความเชื่อที่มีเหตุผลมีอาหารมาจากการได้ฟังคำสอนหรือฟังธรรมะที่ถูกต้อง การได้ฟังธรรมที่ถูกต้องมีอาหารคือการได้มาพบกับสัตบุรุษ พบกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระธรรมนั่นเอง อันนั้นเป็นต้นเหตุ อย่างพวกเราใช้เวลาส่วนใหญ่ฟังธรรมะหรืออ่านหนังสือธรรมะก็เป็นอาหารให้เกิดการรับฟังสิ่งที่ถูกต้อง จากนั้นก็มาพิจารณาโยนิโสมนสิการว่ามันจริงหรือไม่จริง ไม่ใช่เชื่อเพราะเป็นอาจารย์ หรือเชื่อเพราะเขาบอกต่อๆกันมา แต่ให้เชื่อว่าเราพิจารณาแล้วรู้ว่ามันจริง
เช่น กรรมคือเจตนา เป็นที่ตั้งของเวทนา เราอารมณ์ดีเกิดจากเจตนาดีจริงไหม ดูที่ข้างในใจ เห็นการทำงานของเหตุปัจจัย เห็นลักษณะ เห็นเหตุใกล้และผลลัพธ์ที่จะตามมา ก็จะเห็นชัดขึ้น มีสติสัมปชัญญะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์และเกื้อกูลให้งอกงาม ทำให้เกิดอาหารขึ้นมามีอินทรีย์สังวร พวกเอ๋อเหรอ เป๋อ เด๋อ เพ้อ เผลอ จะหายไป เพราะมีสติขึ้นมา สติปัฏฐานสี่ให้รู้อยู่ดูอยู่แล้วมันจะทำงานตลอดอัตโนมัติ เพราะมันรู้ว่าทิ้งเมื่อไหร่เสร็จแน่นอน โยมไปพิสูจน์ได้เลย เมื่อไหร่ที่เผลอ ความปรุงแต่งทำงาน ความทุกข์ตามมาพรวดเลย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันจนถึงอนาคต ใช้วิธีเดียวกันหมด วิธีนี้ คือ สติปัฏฐานสี่ เพราะถ้าทิ้งตรงนี้เมื่อไหร่จะล่องลอย การขยับนิ้วรู้ กระพริบตารู้ ขยับปากรู้ ทุกอย่างอาศัยกายนำไปก่อน จิตเป็นธาตุรู้อยู่ในกาย ต่อมาพอเวทนาเกิดขึ้นก็รู้ พอจิตทำงานก็รู้ พระพุทธเจ้าสอนว่าให้อาศัยเป็นแค่สิ่งถูกรู้เท่านั้นพอ อาศัยสักแต่ว่าเป็นแค่สิ่งถูกรู้ อาศัยสักแต่ว่าเป็นที่ตั้งแห่งรู้ เพราะถ้ามันไม่มีที่ตั้งมันจะล่องลอย

lek
04-23-2010, 07:35 PM
ขอแสดงภาพให้เห็นว่าถ้าเป็นที่ตั้งแล้วเกิดอะไรขึ้น สติมีที่ตั้งไปเพื่ออะไร เพื่อให้เกิดสติและปัญญา ไม่ใช่ว่าเพียงแค่มีเมล็ดจะสามารถงอกงามได้ ลองไปผ่าเมล็ดดู มีใบ มีกิ่งก้านไหม ไม่มี แต่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย เมื่อมีอาหารของกันและกัน แปลกมากนะที่รากมันซุกอยู่ข้างใน มันอาศัยความพอเหมาะพอดีของเหตุปัจจัย และมันอาศัยตัวภายในการงอกงาม ทุกคนมีเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะแห่งความบริสุทธิ์อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต้องกินอาหารให้ถูก เมื่อกี้บอกแล้วนะว่าจิตสังขารทำจากอะไร เวลาเราคิดเราเอาความจำไปคิด แล้วถ้าเราเอาข้อมูลความจำที่ผิดล่ะ มันก็คิดแต่เรื่องผิดๆ ไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เหมือนที่หลวงพ่อบอกว่า เรื่องวิชชาหรือวิมุตติ อาหารที่ถูกต้องของมันคือการได้ฟังคำที่ถูกต้อง ถ้าไม่เจอสัตบุรุษไปเกิดภายใต้ร่มเงาคำสอนที่ผิดๆ ก็สอนให้ไปทำลายผู้อื่น เหมือนยุคที่เรากำลังอยู่ตอนนี้ คือ ยุคที่มันเป็นขาลง ยุคที่น่ากลัวเพราะคำสอนที่ถูกต้องค่อยๆ หายไปทุกวัน กว่าจะเจอคำสอนหรือคนที่สอนถูกต้องมันยากมาก

lek
04-23-2010, 07:35 PM
ซึ่งคำสอนที่ถูกต้อง คือ อาหารอันดับแรกของเมล็ดที่จะงอกงาม ถ้าได้รับอาหารที่ถูกต้อง มันจะเกิดการผลิแย้มจากภายใน เมล็ดนี้ถ้าไม่มีที่ตั้ง มันจะงอกงามไม่ได้ ต้องมีแผ่นดินดี น้ำ อากาศดี ต้องมีอาหารที่สมบูรณ์ ฉะนั้นจุดเริ่มต้นของสัมมาทิฐิสำคัญมาก ถ้ามันไม่มีที่ตั้งมันจะล่องลอย ขาดสติ ไม่มีที่ก่อให้เกิดปัญญา ไม่มีดินมันก็ผลิแย้มบานไม่ได้ ลอยล่องในอากาศ ถ้าไปตกในดินที่ไม่ดี คำสอนไม่ดี ตกในทะเลทราย ขาดน้ำ ไม่มีโอกาสเกิดสิ่งที่ดี ฉะนั้น สติจึงต้องมีที่ตั้ง เพราะสติทำให้เกิดปัญญา คือความงอกงาม ฉะนั้น สติปัฏฐานสี่ทำไปเพื่อการมีสติ สองทำเพื่อให้เกิดปัญญา จึงอาศัยที่ตั้งแห่งกาย ใจ เพราะปัญญาที่สุดจะไปงอกงามเป็นตัวเดียวกันหมดเลย ไม่ว่าจะรู้ที่กาย เวทนา รู้ที่จิต หรือรู้ที่สภาวธรรม ปัญญาจะงอกงามเป็นสิ่งเดียวกันหมด เพราะเห็นสิ่งที่ถูกรู้และธาตุรู้เป็นธรรมชาติที่ไม่มีเจ้าของเหมือนกัน.

lek
04-23-2010, 07:36 PM
ขอบพระคุณท่านนะโม จากเวปhttp://www.loengjit.com/board/index.php?topic=695.0

lek
04-23-2010, 07:37 PM
หนังสือ “แตกต่างแค่เปลือกความคิด ปกปิดจิตประภัสสร”

lek
04-23-2010, 07:41 PM
โดย พระอาจารย์ อํานาจ โอภาโส

lek
04-23-2010, 07:42 PM
ขอขอบพระคุณ
: http://www.ruendham.com/book_detail.php?id=47&content=522&name_content=
เรื่องอื่นอาจพอได้%20แต่เรื่องกุศลต้องเติมเต็มไว้ด้วยสติ

lek
05-09-2010, 05:12 AM
มีปรัชญาชาวบ้านมาฝากไว้ด้วยขอรับ
ขอบพระคุณเวปhttp://www.baanjomyut.com/10000sword/philosophy_life/inde.html


ถ้าก้าวพลาดไปหนึ่งก้าวจะเป็นไร เพราะยังมีก้าวใหม่ที่มั่นคง



ในกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ปลาย่อมว่ายทวนน้ำเสมอ
ปลาที่ลอยตามน้ำ ก็มีแต่ปลาตาย
มนุษย์ต้องต่อสู้กับอุปสรรค เหมือนปลาว่ายทวนน้ำ
ผู้ที่ปล่อยชะตาไปตามเหตุการณ์
ก็เหมือนคนที่ตายแล้ว

ว่าวจะลอยขึ้นสูงได้ เพราะเหตุที่ต้านลม
ถ้าหมดลมว่าวก็ตก มนุษย์เราจะขึ้นสูงอยู่ได้
ก็เพราะต้องต่อสู้อุปสรรค
ชีวิตที่ไม่เคยพบอุปสรรค จะหาทางก้าวหน้าไม่ได้เลย

ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง
อุปสรรค คือหนทางแห่งความสำเร็จ
ขอให้เราทั้งหลายพึงใจในการต่อสู้
ยินดีเผชิญหน้ากับศัตรู และกล้าฝ่าฟันอุปสรรค

ดอกไม้งามได้เพราะ รูปลักษณ์ และสีสัน
คนจะงามได้เพราะ พระธรรม

การยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดีทั้งปวง
รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง
การให้ทานธรรม ย่อมชนะการให้ทานทั้งปวง

ยิ้มแย้มอย่างแจ่มใส เห็นใครทักก่อน
นี่คือ.. วิธีแสดงเสน่ห์แบบง่ายๆ แต่ให้ผลมาก

ทุกชีวิตย่อมมีปัญหา ปัญหามีมาให้แก้
ไม่ใช่มีมาให้กลัดกลุ้ม การแก้ปัญหา เป็นหน้าที่ของชีวิต

บางคน มีวัตถุอำนวยความสะดวกมาก
แต่ยังหาสุขไม่ได้
บางคนมีวัตถุอำนวยความสะดวกไม่มาก
แต่หาสุขได้
สุขหรือไม่สุข....
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุ แต่ขึ้นอยู่ที่ใจ
ที่มองเห็นความเป็นจริงของโลกและชีวิต
จนสามารถปล่อยวางคลายความยึดมั่นได้

การให้อภัยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
แต่การแก้แค้นลงทุนมาก

เวลาเป็นยารักษาความทุกข์ ถ้าเราปล่อยให้ผ่านไป
ยิ่งนานเท่าไร ความทุกข์ก็ยิ่งลดลง
และอาจจะหายไปในที่สุด

การสะกิดคุ้ยเขี่ย ความผิดพลาดของผู้อื่น
ปมด้อยของผู้อื่น มีแต่จะทำให้เขาเสียใจ และอาจทำให้เสียมิตร
ส่วนเรา.... ไม่ได้อะไรเลย

เรายังเคยเข้าใจผิดผู้อื่น
ถ้าคนอื่นเข้าใจเราผิดบ้าง
ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร
ทำไมต้องเศร้าหมอง
ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอย่างที่ใครเข้าใจ

อย่าโกรธฟุ่มเฟือย อย่าโกรธจุกจิก
อย่าโกรธไม่เป็นเวลา อย่าโกรธมาก
จะเสียสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

คนที่ถูกนินทาด่าว่ามีอยู่ทั่วไป ถ้าจะเพิ่มเราเป็นผู้ถูกนินทา
เข้าไปอีกสักคน จะเป็นไรไป

การนินทาว่าร้ายเป็นเรื่องของเขา
การให้อภัยเป็นเรื่องของเรา

การชอบพูดถึงความดีของเขา คือความดีของเรา
การชอบพูดถึงความไม่ดีของเขา คือความไม่ดีของเรา

เราเข้าใจเขาผิด เรายังรู้สึกเสียใจ
เขาเข้าใจเราผิด ถึงเขาไม่พูด เขาก็คงรู้สึกเสียใจบ้างเหมือนกัน

แท้ที่จริงแล้ว เรามีความทุกข์ คนอื่นเขาก็มีความทุกข์
เพียงแต่เขาไม่ได้บอก ว่าเขามีทุกข์ การมีทุกข์
จึงเป็นเรื่องธรรมดาของคน

โทษคนอื่นแก้ไขอะไรไม่ได้
โทษตนเองแก้ไขได้

แก้ตัวไม่ได้ช่วยอะไร แต่แก้ไขช่วยให้ดีขึ้น

คนรู้ธรรมะ ชอบเอาชนะคนอื่น
คนปฎิบัติธรรม ชอบเอาชนะตนเอง

แม้ไม่ยิ่งใหญ่ แม้ไม่ร่ำรวย แม้ไม่เด่นดัง
แต่ถ้าได้มีชีวิตอยู่ อย่างไม่เบียดเบียนตนเอง
ไม่เบียดเบียนคนอื่น และทำประโยชน์ให้สังคมบ้าง
ย่อมไม่เสียที ที่ได้เกิดมาเป็นคน

ตัวพยาบาทน่ากลัวนัก สามารถทำลายตัวเองได้
ทำลายผู้อื่นได้ ต้องทำลายตัวพยาบาทก่อน
ก่อนที่มันจะทำลายเรา และทำลายผู้อื่น

ในโลกนี้ที่เขาฉลาดกว่าเราก็มี โง่กว่าก็มี
รวยกว่าก็มี จนกว่าก็มี สวย หล่อกว่าก็มี
ฉะนั้น อย่าเย่อหยิ่งทะนงตน
หรือโศรกเศร้าไปเลย

ความโกรธไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป มันจะมาตอนเราเผลอเท่านั้น
ถ้าเรามีสติ ความโกรธจะเข้ามาไม่ได้เลย

การนอนหลับเป็นการพักกาย
การทำสมาธิเป็นการพักใจ
คนส่วนใหญ่พักแต่กาย ไม่ค่อยพักใจ

ทำให้ตนเองสดใสได้ ด้วยการยิ้มให้ตนเอง
ทำให้คนอื่นสดใสได้ ด้วยการยิ้มให้เขา
การยิ้มไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
แต่สร้างความสดใสได้มาก

เมื่อก่อนยังไม่มีเรา
เราเพิ่งมีมาเมื่อไม่นานมานี้เอง
และอีกไม่นานก็จะไม่มีเราอีก
จึงควรรีบทำดี ในขณะที่ยังมี...เรา

แม้อยู่ในสังคมที่เร่าร้อน เราก็ไม่จำเป็นต้องเร่าร้อนตาม
แม้จะอยู่ในสังคมที่เครียด เราก็ไม่จะเป็นต้องเครียด

แม้จะฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธไม่ได้ แต่ฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธบ่อยได้ ฝึกให้เป็นผู้รู้จักให้อภัยได้

แม้หัวกระโหลกยังยิ้มได้ มันบอกว่า...
ในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่มีอะไรควรกลัว มีแต่ควรยิ้มสู้

การที่เรายังต้องแสวงหาความสุข แสดงว่าเรายังขาดความสุข
แต่ถ้าเรารู้จักทำใจให้เป็นสุขได้เอง ก็ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาที่ไหน

คนป่วยหวังสุขภาพที่ดี คนมั่งมีหวังชื่อเสียง
คนยากจนหวังทรัพย์สิน คนไม่มีกินหวังอาหาร
คนเกียจคร้านหวังอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร

พวกที่มีโอกาสถูกผีหลอกมีอยู่ 2 จำพวก
พวกแรก กลัวผี
พวกที่สอง เชื่อว่ามีผี

ถ้ายังหามิตรที่ดีไม่ได้ อยู่คนเดียวยังดีกว่า
อยู่คนเดียวยังปลอดภัยกว่าคบมิตรที่เลว

รวย แต่ยังเป็นทุกข์มาก
มีเกียรติ แต่ยังเป็นทุกข์มาก
มีชื่อเสียง แต่ยังเป็นทุกข์มาก
นั่นเพราะว่า...
ความทุกข์มากหรือทุกข์น้อย
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ แต่อยู่ที่...
ความยึดมั่นถือมั่น มากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้น

สิ่งที่ฝึกนั้นมีมาก การฝึกในสิ่งที่คนอื่นฝึกยาก
ย่อมได้ผล ที่คนอื่นได้รับยากเช่นกัน

การให้ได้มาซึ่งความสะดวกทางกาย
ต้องอาศัยวัตถุ ต้องลงทุน ต้องยื้อแย่ง
แต่การให้ได้มาซึ่งความสุขทางใจ
ไม่ต้องอาศัยวัตถุ ไม่ต้องลงทุน
ไม่ต้องยื้อแย่ง เพียงทำใจให้สงบ
ก็ได้พบสุขแล้ว

แนะนำผู้ที่ไม่ต้องการคำแนะนำ
สั่งสอน ผู้ที่ไม่ต้องการคำสอน
ย่อมเสียเวลา เหนื่อยแรงเปล่า
ทั้งจะทำให้เขารำคราญด้วย

อยากรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร
ให้ดูจากเพื่อนสนิทของเขาก็ได้

โอกาสที่จะเป็นเศรษฐี มีไม่เท่ากัน
แต่โอกาสที่จะเป็นคนดี มีเท่ากัน

ดวงจันทร์ยังมีข้างขึ้นข้างแรม
ดวงอาทิตย์ยังมืดมิดบางคราว
น้ำยังมีขึ้นมีลง นกยังบินสูงต่ำ
เช่นเดียวกับชีวิตคน ย่อมมีสูงต่ำบ้างธรรดา

พอเขาชั่วก็ติเตียน พอเขาดีก็ริษยา
พอเขาตกต่ำก็เหยียบย่ำ คนเช่นนี้หาสุขได้ยากยิ่ง

วิธีจัดการกับศัตรูได้ดีที่สุด คือการให้อภัย...

การทำบุญไม่ต้องรอตอนแก่
เพราะไม่แน่ว่าจะได้อยู่จนแก่หรือไม่
เพราะบางคนแก่แล้ว ยังไม่ได้ทำบุญก็มี

คนไม่ดี มักสนใจในความไม่ดีของคนอื่น
คนดี มักสนใจในความดีของผู้อื่น

การโต้เถียงแม้จะมีเหตุผล
แต่ถ้าใช้ท่วงท่าที่แข็งกร้าว
ก็ยากที่จะเอาชนะได้
แต่การโต้แย้งโดยใช้เหตุผล
ด้วยท่วงท่าที่อ่อนน้อม สามารถเอาชนะได้

โต้เถียงกับเขาบ่อยๆ ขัดแย้งกับเขาบ่อยๆ
ไม่ต้องไปวิเคราะห์เขา ว่าเขาเป็นคนแบบไหน
แต่ควรพิจารณาเรา ว่าเราเป็นคนแบบไหน

ความเย็น สามารถระงับความร้อนได้ ฉันใด
ความสงบของเรา
ก็สามารถระงับความพลุ่งพล่านของคนอื่นได้ ฉันนั้น

ดอกไม้สวยมีไว้ล่อแมลง
คำลวงมักไพเราะ
การตัดสินว่าใครดีใครชั่ว
เพียงอาศัยรูปกายภายนอก
คำอ่อนหวาน....
ย่อมผิดพลาดได้ง่าย

อ่อนน้อม
อ่อนโยน
อ่อนหวาน
นั้นดี....
อ่อนข้อให้เขาบ้างก็ยังดี
แต่...อ่อนแอนั้น ไม่ดี

ผู้สนใจธรรม สู้ผู้รู้ธรรมไม่ได้
ผู้รู้ธรรม สู้ผู้ปฎิบัติธรรมไม่ได้
ผู้ปฎิบัติธรรม สู้ผู้ที่เข้าถึงธรรมไม้ได้

ไม่ว่าเรื่องที่ทำยากเพียงใด ขอเพียง...
มีความเชื่อมั่นในตนเอง
มีเจตนาแรงกล้าที่จะทำ
นั่นเท่ากับว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ไม่มีใครชอบคำติเตียน ไม่มีใครชอบคำนินทา
ไม่มีใครชอบคำด่า
แต่ทั้งหมดนั้นทำให้คนได้ดีมามากต่อมากแล้ว

รู้จักทำใจให้รักผู้บังคับบัญชา รู้จักทำใจให้รักลูกน้อง
รู้จักทำใจให้รักเพื่อนร่วมงาน สวรรค์ก็อยู่ที่ทำงาน
เกลียดผู้บังคับบัญชา
เกลียดลูกน้อง
เกลียดผู้ร่วมงาน
นรกก็อยู่ที่ทำงาน

ความสำเร็จของคน ไม่ได้เกิดจากสวรรค์
ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากการฝึกฝน
อย่างจริงจัง และสม่ำเสมอ

จะลงมือทำอะไรก็ตาม ถ้าคิดว่าทำได้ นั่นคือ....
ได้รับความสำเร็จไปครึ่งหนึ่งก่อน
แต่ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ นั่นคือ...
ล้มเหลวทั้งหมด...

เงินไม่มีขา มันเดินมาหาเราเองไม่ได้
เรามีขา เราจึงต้องเดินไปหามัน

ในการคบคน ศิลปะใดๆ ก็สู้ความจริงใจไม่ได้

จงประหยัด คำติ แต่อย่าตระหนี่ คำชม

เขาด่าว่าเราไม่ถึงนาที เขาอาจลืมไปแล้วด้วย
แต่เรายังจดจำ ยังเจ็บใจอยู่...
นี่เราฉลาดหรือโง่กันแน่

มีทรัพย์มาก ย่อมมีความสะดวกมาก
มีธรรมะมาก ย่อมมีความสุขมาก

บ้านใหญ่โตจะมีความหมายอะไร ถ้าคนในบ้านไม่ยิ้มให้กัน

มิตรภาพอาจต้องใช้เวลาสร้างหลายปี
แต่การทำลาย อาจทำได้ในนาทีเดียว ถ้าไม่ระวังวาจา

อย่าคร่ำครวญถึงอดีต
อย่างหงุดหงิดกับปัจจุบัน
อย่าเพ้อฝันถึงอนาคต

อภัยให้แก่กันในวันนี้ ดีกว่าอโหสิให้กันตอนตาย

บางคนเข้าใจผิดว่า
การพูดมากแสดงถึงความเก่งกล้าสามรถ
เขาจึงพยายามพูดให้มาก ในทุกสถานที่
ความจริงแล้วการพูดมากนั้นไม่ดี
พูดน้อยเกินก็ไม่ดี การพูดพอดีเท่านั้นจึงจะดี

การคิดดี ทำดี พูดดี เป็นการให้พรตัวเอง
ซึ่งเป็นพรที่ประเสริฐ ยิ่งกว่าพรใดๆ ในโลก

ถ้าคิดทำความดี ให้ทำได้ทันที
ถ้าคิดทำความชั่ว ให้เลิกคิดทันที
ถ้าเลิกคิดไม่ได้ ก็อย่าทำวันนี้
ให้พลัดวันไปเรื่อยๆ

สิ่งที่เรียกกันว่า โชคร้าย ไม่ได้มีมาทุกวัน
ขอเพียงตั้งสติให้มั่น มีจิตใจที่เข้มแข็ง
โชคร้าย ก็จะจากไปอย่างรวดเร็ว
และสิ่งที่เรียกว่า โชคดี ก็จะมาแทนที่

ถ้าตั้งใจว่าทำได้ แม้หินหนักก็ยังยกไหว
ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ แม้เม็ดทรายหนึ่งกำมือ
ก็ยังยกขึ้นยาก

ลองสังเกต ชีวิตของคนที่ขัดสนลำบาก
มันมาจาก ชีวิตที่ขาดความอดทน

คนมีปัญญา รู้จักทำใจให้เป็นสุข
แม้แต่ในเรื่องที่ไม่น่าสุข
คนโง่...
สามารถทำใจให้เป็นทุกข์ได้
แม้ในเรื่องที่ไม่น่าทุกข์

เป็นสุขง่าย เป็นทุกข์ยาก
เห็นเขาสุข พลอยสุขด้วย
เห็นเขาทุกข์ คิดช่วยเหลือ
เมื่อได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ หรือได้สุข
จิตใจไม่ฟูจนเกินไป
เมื่อเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา หรือได้ทุกข์
จิตใจไม่ห่อเหี่ยวจนเกินไป
นี่คือจิตใจของคนที่พัฒนาแล้ว

การกินเมื่อหิว เป็นความต้องการของร่างกาย
การกินเมื่ออยาก เป็นความต้องการของกิเลส
เราต้องเลือกเอาเอง
จะกินเพื่อร่างกาย หรือกิเลส

คาถาที่ควรมีไว้ประจำใจ เมื่อจะซื้อของกินของใช้
ให้ท่องคาถาว่า จำเป็นไหม จำเป็นไหม

ถึงจะรู้ร้อยเรื่องพันเรื่อง ก็ไม่สู้รู้เรื่องดับทุกข์
ถึงจะทำได้ร้อยอย่างพันอย่าง
ก็ไม่สู้ทำใจ....

การที่ถูกเขาโกงบ้าง ถูกใส่ร้ายบ้าง
ถูกกลั่นแกล้งบ้าง ควรคิดว่าดีเหมือนกัน
ชีวิตจะได้ไม่เซ็ง
เป็นความตื่นเต้นอย่างหนึ่ง
ที่ไม่ต้องลงทุนไปดูการแสดง
หรือไปดูการแข่งขัน

ทำงานเพราะต้องทำงาน
กับทำงานเพราะรักงาน
ให้ความรู้สึกที่ต่างกัน
และให้ผลงานที่ต่างกันด้วย

ถ้าก้าวพลาดไปหนึ่งก้าวจะเป็นไร
เพราะยังมีก้าวใหม่ที่มั่นคง

ถ้าขาดความพยายามแล้ว
อย่าว่าแต่เข็ญครกขึ้นเขาเลย
แม้แต่เข็ญครกลงเขา ก็ไม่มีทางทำได้

เขาด่าว่าไม่กี่คำ ทนไม่ได้ แต่นำเรื่องที่เขาด่าว่า
ไปขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นปี ทนได้
บางทีไปทำร้ายเขา ฆ่าเขา
จนต้องติดคุกหลายปี ทนได้
นี่คือ...
เรื่องแปลกแต่จริงของมนุษย์

โลกสว่างด้วยไฟ ใจสว่างด้วยแสงธรรม

บ่นแล้วหมดปัญหาก็น่าบ่น บ่นแล้วมีปัญหา
ไม่รู้จะบ่นหาอะไร

การขอที่ไม่ต้องละอาย คือ ขอโทษ
การให้ที่ไม่ต้องออกอะไรเลย
คือ การให้อภัย

แสงธรรมส่องใจ แสงไฟส่องทาง

อย่าสัญญากับใครง่ายๆ
ถ้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้ตามสัญญา
สัญญาแล้วไม่ทำตามสัญญา
เหมือนวาจาทารก เพียงส่งเสียงออกมา
แต่หาสาระและความมหายไม่ได้
ทั้งยังทำลายเกียรติภูมิของตนเองด้วย

เมื่อเกิดเป็นคน ต้องอยู่ร่วมกับคน
จึงต้องกระทบกระทั่งกันบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา

คำชมนั้นแสนหวาน ใครๆก็ชอบ
คำตินั้นขม ไม่มีใครชอบ
แต่ผู้มีปัญญา สามารถนำคำติ
มาแก้ไขพัฒนาตนเองได้

กะทิยิ่งเคี่ยวยิ่งมัน กะท้อนยิ่งทุบยิ่งหวาน
ชีวิตยิ่งพบปัญหายิ่งฉลาด

lek
07-01-2010, 04:26 AM
[size=16pt]สูตรปรุงชีวิต

แม้ใครๆ จะบอกว่า ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ แต่เขาคนนี้บอกว่า
เราทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุขได้ พร้อมทั้งบอกถึงสูตรสำเร็จของชีวิต
แม้กระทั่งการเลือกคู่ การเลือกลูก เราก็กำหนดสเปคได้
แต่ไม่ใช่สเปคทางโลกแบบเก่งและดี ต้องมีปัญญาและเข้าใจสัจจะของชีวิต
ถ้าคนที่เข้าใจชีวิต แม้จะเจออุปสรรคมากมายเพียงใด
ก็สามารถยิ้มรับและหาทางออกให้ตัวเองได้ แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้เช่นนั้น

บางคนพูดคุยธรรมะได้งดงาม แต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน
บางคนฉลาดเข้าใจเรื่องทางโลก และรู้สึกว่า การเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์
เป็นเรื่องปกติในสังคม บางคนเข้าวัดเข้าวา
พูดคุยธรรมะประหนึ่งเข้าใจชีวิต แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่
อาจเป็นได้ว่า มนุษย์มองออกไปนอกตัว จึงมองไม่เห็นบางอย่างในตัวเอง
ลองมารู้จักกับ ดอกเตอร์ทางวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ดร.สนอง วรอุไร
แม้จะร่ำเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ จบปริญญาเอก สาขาไวรัสวิทยา
จากมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่ในที่สุดก็หันมาศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง
และพบว่าจิตของเรามีศักยภาพมากกว่าที่คิด สามารถพัฒนา
ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแต่เราไม่รู้จักการพัฒนาจิต

เขาย้อนความว่า ตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษ ต้องเรียนหนักมาก
แต่พอฝึกจิตก็ส่งผลให้สามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น
และเข้าใจบทเรียนได้ง่ายขึ้น เมื่อสามสิบปีที่แล้วเขาได้อุปสมบท
และมีโอกาสฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับพระเทพสิทธิมุนี(โชดกปธ.9)
ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์เป็นเวลา 30 วัน
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกมีคุณค่าที่สุดในชีวิต ทำให้ชีวิตพบจุดเปลี่ยน

หลังจากนั้นดร.สนองเข้าเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
จนเกษียณอายุราชการ และหันมาเป็นครูบาอาจารย์ทางธรรม
เดินสายบรรยายธรรมตามที่ต่างๆ ด้วยความเมตตาประกอบกับความเข้าใจชีวิต
และธรรมะอย่างลึกซึ้ง สิ่งที่เขาบรรยายจึงมีคุณค่า
สามารถจุดประกายความคิดให้หลายๆ คนนำมาใช้ในชีวิตจนลูกศิษย์รวมกลุ่มกัน
ตั้งเป็นชมรมกัลยาณธรรม ช่วยเผยแพร่ผลงานของเขาออกมาเป็นหนังสือหลายเล่มด้วยกัน
อาทิ ทางสายเอก (เล่มนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ชาวต่างชาติได้มีโอกาส
ศึกษาประสบการณ์การปฏิบัติธรรม) การใช้ชีวิตที่คุ้มค่า อัญมณีของชีวิต ฯลฯ
ล่าสุดทางสำนักพิมพ์อมรินทร์ ได้เปิดตัวหนังสือ ทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุข
ของดร.สนอง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนฟังเกือบเต็มหอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์

1. “ถ้าทำร่างกายให้แข็งแรง เราต้องรักษาใจให้ได้ จริงๆ แล้ว
ความรู้เหล่านี้มีมานานแล้ว ถ้ามีสุขภาพจิตดี กายก็จะดีไปด้วย
“ดร.สนอง เริ่มเล่าให้ญาติโยมและผู้สนใจฟัง
จากตัวอย่างของเขาเองปัจจุบันอายุ 68 ปี ยังแข็งแรงและดูอ่อนกว่าวัย
เพราะหมั่นฝึกดูใจตัวเองตลอดเวลา
เขาเล่าว่าในยุคที่บุกเบิกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต้องทำงานหนัก
จนเป็นโรคกระเพาะ หลังจากฝึกจิตที่วัดมหาธาตุ ก็ค้นพบว่า
โรคพวกนี้มาจากความเครียด หลังจากเรียนรู้เรื่องการฝึกจิตสมาธิผ่านมา 30 ปี
ไม่เคยป่วยเป็นโรคอะไรเลย เขาได้เขียนไว้ในหนังสือว่า
ถ้าเราสามารถรักษาสมดุลของธาตุทั้งสี่ในร่างกายได้ โรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่เกิด
อย่างคนขี้หนาวต้องดื่มน้ำเยอะๆ ในทางวิทยาศาสตร์น้ำคือ ตัวเก็บความร้อน
ดร.สนองย้อนความถึงสมัยเรียนลอนดอนว่า เคยป่วยไม่สบายเพราะทำงานหนัก
ตอนนั้นเป็นไข้หวัดใหญ่และอาจตายได้ ก็พยายามขอนัดแพทย์
เพราะอยู่ที่นั่นไม่สามารถซื้อยารับประทานเองได้ ต้องมีใบสั่งแพทย์
แต่วันนั้นแพทย์ไม่มีคิวให้ เราก็ต้องรอวันรุ่งขึ้น

“วันนั้นผมจึงรักษาตัวเองไปก่อน ไปนอนแช่น้ำอุ่น ปรากฏว่าอาการป่วยหาย
ไปหาหมอในวันรุ่งขึ้น ไม่มีไข้เลย คนโบราณพูดถึงธาตุทั้งสี่ไว้คือ ดินน้ำลมไฟ
ถ้าร่างกายมีสมดุลก็จะแข็งแรง แต่ถ้าเมื่อใดธาตุไหนหย่อนก็มีปัญหา
อย่างการกินอาหารไม่สะอาด ก็ต้องกินน้ำเข้าไปเยอะๆ เราต้องรู้จักร่างกายตัวเอง“
เขายกตัวอย่าง และเล่าถึงสมัยหนุ่มๆ ว่า เคยรับประทานไข่วันละฟอง
จนมีปัญหาต้องไปพบแพทย์ ปัจจุบันหันมากินไข่ได้อีก ทั้งๆ ที่ตอนนี้อายุ 68 ปี
เพราะเราหมั่นสังเกตตัวเอง ถ้ามึนศีรษะเมื่อไหร่ก็จะหยุดทันที เพราะร่างกายเตือนเราล่วงหน้า
“ผมมีเพื่อนคนหนึ่งรับประทานไข่วันละ 10 ฟอง แต่เจอกันวันสุดท้ายที่งานศพ
อย่างเวลาผมกินไข่ ถ้ามีอาการมึนศีรษะเมื่อไหร่ก็หยุด อีกอย่างถ้ารู้ว่าไขมันในเลือดสูง
ก็อาจจะดื่มน้ำดอกคำฝอย บอระเพ็ด เติมน้ำร้อนแล้วดื่ม เพื่อให้ร่างกายสมดุล
ก่อนอื่นต้องตั้งโปรแกรมจิตไว้ว่า ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ปวดศีรษะ
แต่ผมคิดว่าอายุเท่าไหร่ไม่สำคัญขอให้อยู่เพื่อทำประโยชน์ให้สังคม”
เขาย้ำอีกว่า แม้กระทั่งการตายก็มีสัญญาณเตือน อยู่ที่ว่าใครจะระลึกได้ทัน

2. นอกจากหลักการดูแลตัวเองง่ายๆ คือ การฟังเสียงร่างกาย หมั่นสังเกตตัวเองแล้ว
เราก็ต้องมีสติและเข้าใจหลักการของธาตุทั้งสี่ และตั้งโปรแกรมจิตว่า จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ย่อมทำได้
แม้หลายคนจะค้านอยู่ในใจว่า สามารถทำได้จริงหรือ ดร.สนอง บอกว่า ต้องรู้จักคิดในแง่บวก
คำว่า ไม่มี ไม่ได้ ไม่เกิด อย่าได้มาเกิดกับเขาเลย
และเรื่องน่าคิดอีกอย่าง ก็คือ คนที่มีธรรมะในใจจะทำงานด้วยตัวเองอย่างมีความสุข
ไม่ชี้นิ้วให้คนอื่นทำแทน การทำงานด้วยตัวเองก็เพื่อให้ร่างกายได้ออกกำลังกาย
คนที่มีธรรมะจะไม่เกี่ยงงาน จะทำงานด้วยใจอย่างมีความสุข อย่างน้อยๆ
ต้องหัดเดินออกกำลังกายวันละสามสิบนาที อย่าอยู่เฉยๆ
“ถ้าจิตไม่นิ่ง คลื่นสมองจะเปลี่ยน” ดร.สนอง ย้ำและยกตัวอย่างตัวเขาเอง
หลังจากศึกษาธรรมะแล้วมีความจำดีกว่าตอนหนุ่มๆ และเวลาบรรยายธรรม
เขาจะไม่อ่านตำรับตำรามากมาย แต่จะทำใจให้สงบนิ่งเพื่อดึงศักยภาพในตัวเองมาใช้
ไม่ว่าจะข้อมูลที่สะสมในชีวิตหรือความเข้าใจชีวิต เพราะความเป็นจริงแล้ว
จิตของเราสั่งสมข้อมูลแต่ละภพแต่ละชาติไว้ เพียงแต่เราจะระลึกได้หรือไม่
ปัจจุบันคนเราใช้ศักยภาพของพลังจิตเพียงแค่ 7% ด้วยเหตุผลนี้เอง
คนที่ฝึกสติอย่างเชี่ยวชาญก็จะใช้ประโยชน์ทำงานได้เต็มที่
แต่เมื่อใดจิตว้าวุ่น ปัญญาก็จะไม่เกิด

“ผมเคยบอกเพื่อนว่า ถ้ามีปัญหา ขอให้ลองอยู่นิ่งๆ สักพัก ปัญญาก็จะเกิด “
นอกจากนี้การฝึกสมาธิง่ายๆ ยังมีอีกมากมาย
แม้แต่การฟังเพลงคลาสสิกก็สามารถสร้างสมาธิได้
ขอให้มีสติกำหนดรู้เท่าทันอิริยาบทปัจจุบัน
การร้องเพลงในโบสถ์ก็เป็นอีกวิถีหนึ่งของการเข้าสู่ความสงบ
ทิเบตก็มีดนตรีประกอบพิธี หรือดนตรีอินเดีย (พูดถึงดนตรี ก็เลยร้องเพลงให้ฟัง)
การสวดมนต์ ก็เป็นการเข้าสมาธิอย่างหนึ่ง ถ้าเรามีใจจดจ่อ
ไม่ได้เอากิเลสเข้าไปปรุงแต่งก็จะได้สมาธิ
“ปกติผมจะบอกคนอื่นๆ ว่า อย่าเชื่อผม ให้ดูตามเหตุผล
อย่างบางคนศรัทธามาก แต่ปัญญาไม่เกิด ผมว่าสติต้องพัฒนา”

3. การเข้าถึงศักยภาพของตัวเราเอง อาจเป็นเรื่องยากในความรู้สึกบางคน
แต่สำหรับดร.สนองแล้วดูเหมือนไม่ใช่เรื่องยาก เขาย้ำว่า
ถ้ากายแข็งแรงต้องเคลื่อนไหวตลอด แต่จิตต้องสงบนิ่ง
ยิ่งคนเราขี้เกียจมากเท่าไหร่ ก็จะมีพลังน้อย
หันมาพูดเรื่องการกำหนดสเปคให้ชีวิต ดูท่าจะสนุกกว่า เขาบอกว่า
การเลือกคู่มีสองแบบคือ คู่สร้างคู่สมและคู่เวรคู่กรรม อย่างคู่สร้างคู่สมคือ
คู่ที่เคยผูกพันกันทำกุศลกรรมร่วมกันมานาน
และได้มาเกิดในสถานภาพใกล้เคียงกัน ส่วนคู่เวรคู่กรรมคือ คู่ที่เคยเป็นศัตรู
หรืออาฆาตจองเวรกันมาในชาติก่อน แล้วมาเกิดเป็นคู่กัน

แล้วเราจะเลือกคู่แบบไหนดีล่ะ
เขาบอกว่า เป็นเรื่องต้องพิถีพิถัน ไม่ต่างจากเวลาเราซื้อของ
ก็ต้องกำหนด สเปค แต่ถ้าคุณวางสเปคไว้ว่าต้องไอคิวสูง
(ความฉลาดทางปัญญาความคิดที่เกิดจากการคิดมากฟังมาก)
อีคิวสูง(ความฉลาดทางอารมณ์)
และเอสคิว (ความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ ไม่ตกเป็นทาสของสรรพสิ่ง)
ถ้าคุณกำหนดสเปคว่า ต้องดีทั้งสามอย่าง ดร.สนองว่า
ชาตินี้คุณไม่ได้แต่งงาน ถ้าเป็นเช่นนั้น
เราต้องปรับตัวก่อนทำจิตทำใจให้มีศีลมีธรรม ถ้าจะเลือกคนมาเป็นคู่
ไม่จำเป็นต้องไอคิวสูงก็ได้ ขอให้เป็นคนดีคือ มีอีคิวสูง

ก่อนอื่นต้องรู้จักพัฒนาจิตใจตัวเอง คือ ส่องกระจกดูใจ
เพราะทุกวันนี้เราออกจากบ้าน เราจะดูว่า แต่งตัวเหมาะสมไหม
แล้วเราเคยดูใจของตัวเองไหม
“บางคนปฏิบัติธรรมมานาน แต่ธรรมะไม่ได้เข้าไปอยู่ในใจ
ก่อนอื่นต้องดูที่ใจ แล้วแก้ที่ตัวเองก่อน คนอื่นเป็นครูของเรา
อย่างชาวตะวันตกเวลาสอนให้คนดูต้นไม้ สัตว์หรือธรณีวิทยา
ก็จะศึกษาข้างนอก ไม่ได้ศึกษาด้านใน”

เมื่อพูดถึงชีวิตด้านใน มีคนถามถึงเรื่องการสวดมนต์ที่ไม่รู้คำแปล
จะมีประโยชน์อย่างไร ดร.สนองบอกว่า
คนจำนวนมากสวดมนต์เพื่อให้จบเร็วๆ นั่นก็ได้สมาธิ แต่ไม่มาก
แต่ควรสวดด้วยใจ ถ้าให้ดีก็ควรรู้ความหมาย
บางบทก็จะได้แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ไปด้วย
“ความเมตตาถ้าเราส่งคลื่นจิตออกไปตรงกัน
เขาก็รับรู้ได้ มันอยู่ที่คลื่นส่งของเราด้วย “
ในวงสนทนาก็มีคำถามมากมายที่หลายคนสงสัย
แต่ดร.สนองสามารถตอบปริศนาได้บางส่วนเท่านั้น
เพราะเวลาค่อนข้างจำกัด ยิ่งถ้าถามว่า ระหว่างการให้ทาน
ถือศีล และปฏิบัติสมาธิภาวนา อันไหนจะได้บุญกุศลมากที่สุด

เขามีคำตอบว่า การภาวนาเพื่อพัฒนาจิต
น่าจะเป็นแนวทางเพื่อให้มนุษย์ไปสู่จุดมุ่งหมายคือ ปัญญา
เพราะถ้าเข้าสมาธิ เพื่อขจัดอารมณ์ปรุงแต่งได้ ย่อมเป็นเรื่องดี
และสมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งอย่างเดียว ทำได้ทุกอิริยาบท
เพื่อให้เกิดปัญญาขจัดกิเลส และช่วยเหลือคนอื่นได้
แม้จะเป็นฆราวาสก็สามารถบรรลุธรรมได้เช่นกัน
เมื่อก่อนเขาเองก็ไม่เชื่อ จนเข้าถึงอภิญาณ และหากบวชเป็นพระสงฆ์
คงพูดเรื่องพวกนี้ไม่ได้ นี่เป็นบางส่วนที่ดร.สนองเล่าให้ฟังวันนั้น
เขาพยายามเน้นย้ำเรื่องการฝึกสติอย่างเข้าใจ ถ้ามีศรัทธาก็ต้องมีปัญญาด้วย
อย่างน้อยๆ ก็ต้องหัดเจริญสติไปเรื่อยๆ อย่าหวังว่าจะได้ญาณหรือเห็นนิมิต
ลองหันมาพัฒนาจิตเพื่อจะได้ไม่เป็นทาสของกิเลส ตัณหา
และรู้จักกำหนดชีวิตตัวเองอย่างคนที่มีปัญญา
นั่นก็จะเป็นจิ๊กซอว์ช่วยเหลือคนอื่นต่อไป

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ




.....................................................

ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดมีดับเป็นธรรมดา





ผู้ให้การอนุโมทนาสาธุ 2 ท่าน ให้กับคุณ วรานนท์ สำหรับตอบข้อความนี้:
กุหลาบสีชา, จันทร์ ณ ฟ้า

ขอบพระคุณที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=32886