**wan**
08-19-2009, 12:52 PM
http://www.dhammajak.net/board/files/paragraph__2_271.jpg
ธรรมะของพระครูญาณวิศิษฐ์
(หลวงพ่อเฟื่อง โชติโก )
วัดธรรมสถิต
ต.สำนักทอง อ.เมือง จ.ระยอง
ก่อนที่จะพูดอะไร ให้ถามตัวเองว่าที่จะพูดนี้จำเป็นหรือเปล่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพูด นี่เป็นขั้นแรกในการอบรมใจ เพราะถ้าเราควบคุมปากตัวเองไม่ได้เราจะควบคุมใจได้อย่างไรฯ
หูเราก็มี ๒ หู ปากก็มีปากเดียว แสดงว่าเราต้องฟังให้มาก ต้องพูดให้น้อยฯ
ศิษย์ที่เป็นคนช่างพูดเคยถูกท่านพ่อเตือนว่า อย่าให้ลมออกมากนะ ลมออกมากได้อะไรขึ้นมา มีแต่เรื่อง ให้กำหนดลมเข้าจะดีกว่าฯ
เรามีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างภาวนา เราไม่ต้องไปเล่าให้ใครฟังนอกจาก อาจารย์ของเรา เรามีอะไรจะไปอวดเขาทำไม เป็นกิเลสไม่ใช่หรือฯ
คนชอบขายความดีของตัวเอง ที่จริงขายความโง่ของตัวเองมากกว่าฯ
ของดีจริงไม่ต้องโฆษณาฯ
ให้มีคมในฝัก ให้ถึงเวลาที่จะต้องใช้จริง ๆ จึงค่อยชักออกมาจะได้ไม่เสียคมฯ
ท่านพ่อได้ยินศิษย์สองคนนั่งคุยกัน คนหนึ่งถามปัญหาอีกคนหนึ่งตอบโดยเริ่มต้น เข้าใจว่า คงจะ... แต่ท่านพ่อก็ตัดบททันที ถ้าไม่รู้ก็ตอบว่าไม่รู้ก็หมดเรื่อง เขาขอความรู้เราก็ให้ความเดามันจะถูกที่ไหนฯ
ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งรู้ตัวว่า เป็นผู้ที่พูดจาไม่ค่อยเรียบร้อยจึงถามท่านพ่อว่า ข้อนี้จะเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติใจไหม ท่านตอบว่า อย่าไปข้องใจกับกิริยาภายนอก ให้ภายในใจของเราดีเป็นสำคัญฯ
เวลากินข้าวให้ใจอยู่กับลม แล้วพิจารณาดูว่า เรากินเพื่ออะไร ถ้าเรามัวแต่กินเพื่อเอร็ดอร่อย อาหารที่กินเข้าไปนั้นให้โทษกับเราได้ฯ
สร้างพระไว้ในใจของเรา ได้บุญยิ่งกว่าสร้างพระข้างนอกฯ
วันหนึ่งท่านพ่อชี้หญ้าที่ขึ้นรกบริเวณกุฏิท่านให้โยม คนหนึ่งดู แล้วถามเขาว่า หญ้าปากคอกโยมไม่เอาหรือ
อีกครั้งหนึ่งท่านพ่อพาลูกศิษย์จากกรุงเทพฯ ขึ้นไปทำความสะอาดบริเวณพระเจดีย์ พอดีเจอเศษขยะที่ใครไม่ทราบทิ้งไว้บนนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่งจึงบ่นว่า แหมไม่น่าจะมีใครขาดความเคารพถึงขนาดนี้ แต่ท่านพ่อบอกว่า อย่าไปว่าเขานะถ้าเขาไม่ได้ทิ้งของไว้ พวกเราจะไม่มีโอกาสเอาบุญฯ
ทำดีให้มันถูกตัวดี อย่าให้มันดีแต่กิริยาฯ
มีคนมาปรารภกับท่านพ่อว่า อยากจะทำบุญวันเกิดท่านก็บอกว่า ทำไมต้องทำวันเกิด ทำวันอื่นไม่เป็นบุญหรือ คิดอยากจะทำบุญเมื่อไร ก็ให้รีบทำวันนั้น อย่าไปรอวันเกิดกว่าจะถึงวันเกิด เราอาจจะถึงวันตายนั่นแหละฯ
อีกคนหนึ่งบอกกับท่านพ่อว่า จะทำบุญฉลองวันเกิดท่านก็ตอบว่า ฉลองมันทำไม วันเกิดก็คือวันตายนั่นแหละฯ
มัวแต่นึกถึงวันเกิด ให้นึกถึงวันตายเสียบ้าง
คนเราทุกคนก็อยู่ในบัญชีตาย พอเกิดมาเราก็เข้าคิวรอเขาประหารชีวิต จะถึงตัวเราเมื่อไรก็ไม่มีใครรู้ ฉะนั้น เราจะประมาทไม่ได้ ต้องรีบสร้างความดีของเราให้ถึงพร้อมฯ
มีลูกศิษย์ต่างชาติมาปฏิบัติธรรมกับท่านพ่อใหม่ ๆ ถามถึงเรื่องชาติก่อน-ชาติหน้า ว่ามีจริงหรือไม่ ท่านตอบว่า คนเราจะปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่ออย่างเดียว คือเชื่อกรรมนอกจากนั้นจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่สำคัญฯ
ท่านพ่อเคยปรารภคนที่ไม่สนใจนั่งภาวนา แต่ยินดีช่วยงานก่อสร้างในวัด ว่า บุญเบา ๆ เขาไม่ชอบ ต้องหาบุญหนัก ๆ ให้เขาทำ จึงจะถึงใจเขาฯ
คนเราถ้าทำดีแล้วติดดี ก็ไปไม่รอด เมื่อใจยังมีติดภพชาติยังมีอยู่ฯ
บางครั้งเวลาลูกศิษย์นั่งภาวนาหรือทำการบุญใดๆ ท่านพ่อจะสอนให้ อธิษฐานใจไว้ก่อน แต่คำที่สอนให้อธิษฐานนั้น จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางครั้งท่านจะสอนให้อธิษฐานตามแบบฉบับของพระเจ้าอโศกว่า เกิดชาติหน้า ขอให้มีความสามารถในตัวของตัวเอง นั่นก็พอฯ
บางครั้งท่านจะสอนว่า อย่าไปอธิษฐานอะไรให้มากมาย เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้เกิดตามพระพุทธศาสนาก็แล้วกันฯ
แต่ไม่ใช่ว่า ท่านพ่อจะสอนลูกศิษย์ทุกคนให้อธิษฐานใจเวลาทำบุญ ศิษย์คนหนึ่งเคยกราบเรียนท่านว่า เวลาทำบุญจิตรู้สึกเฉยๆ ไม่นึกอยากจะขออะไรทั้งสิ้น ท่านก็บอกว่า ถ้าจิตมันเต็มแล้ว ไม่ต้องขอก็ได้ เหมือนเราทานข้าวมันก็ต้องอิ่ม ถึงจะขอหรือไม่ขอให้มันอิ่ม อย่างไรมันก็ต้องอิ่มฯ
โยมคนหนึ่งมาวัดธรรมสถิตเป็นครั้งแรก กำหนดจะอยู่ถือศีล-ภาวนา เป็นเวลา ๒ อาทิตย์ ท่านพ่อก็เตือนว่า ฆราวาสออกจากบ้าน ก็เหมือนสมภารออกจากวัด จะไปหาความสะดวกสบายไม่ได้นะฯ
ในระหว่างการก่อสร้างเจดีย์ที่วัดธรรมสถิตย์ มีช่วงหนึ่งที่ลูกศิษย์ที่ไปช่วยงานก่อสร้างเกิดทะเลาะกัน ลูกศิษย์คนหนึ่งที่ไม่พอใจในเหตุการณ์ไปรายงานท่านพ่อ ซึ่งขณะนั้นพักอยู่ที่วัดมกุฎฯ พอเขารายงานเสร็จ ท่านพ่อก็ถามว่าฯ รู้จักหินไหม รู้จักค่ะ รู้จักเพชรไหม รู้จักค่ะ แล้วทำไมไม่เลือกเก็บเพชรล่ะเก็บมันทำไมหินฯ
ถ้าใจเรามั่นใจคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พวกที่เขาเล่นของไสยศาสตร์ จะทำอะไรเราไม่ได้ฯ
ท่านพ่อเคยปรารภนักปฏิบัติที่ยังนับถือคนเข้าทรง ว่า ถ้าต้องการให้การปฏิบัติได้ผลดีต้องอธิษฐานว่า จะขอถือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอย่างเดียว อย่างอื่นไม่ใช่ที่พึ่งฯ
เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ต้องไปอัศจรรย์ใครทั้งนั้นว่าเขาดีวิเศษวิโสแค่ไหน จะทำอะไรก็ต้องมีหลักฯ
ท่านผู้รู้ทั้งหลาย เราไม่ต้องไปเที่ยวกราบท่านหรอกเป็นการลำบากเปล่า ๆ ทั้งสองฝ่าย ให้กราบท่านในใจดีกว่าเรากราบท่านในใจนั่นแหละเราถึงท่านแล้วฯ
ของจริงขึ้นอยู่กับเรา ถ้าเราทำจริงเราจะได้ของจริง ถ้าเราทำไม่จริงเราจะได้แต่ของปลอมฯ
ไปกี่วัดกี่วัด รวมแล้วก็วัดเดียวนะละ คือวัดตัวเราฯ
ลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นคนช่างถาม สงสัยอะไรก็ถามท่านพ่ออยู่เรื่อย เรื่องภาวนาบ้าง ปัญหาชีวิตบ้าง บางครั้งท่านก็ตอบดี ๆ บางครั้งท่านก็ย้อนถามว่า ทำไมจะต้องให้มีคนป้อนให้ถึงปากอยู่ตลอดเวลา ให้คิดเอาเองบ้างซิฯ
ท่านพ่อเคยปรารภเรื่องคนที่ต้องให้ครูบาอาจารย์แก้ปัญหาในชีวิตทุกอย่างว่า เหมือนลูกหมาพอมีขี้ติดตูดอยู่นิดหนึ่งก็ต้องรีบวิ่งไปหาแม่ ไม่รู้จักล้างตัวเองบ้าง อย่างนี้เรียกว่า ลูกแหง่เลี้ยงไม่โตสักทีฯ
คนติดครูบาอาจารย์ก็เหมือนแมลงหวี่มาตอม ไล่เท่าไร ๆ ก็ไม่ยอมไปฯ
พวกภาวนาที่อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ แต่ไม่รู้จักท่านก็เหมือนทัพพีอยู่ในหม้อแกง ไม่มีโอกาสรู้รสของแกงว่า เปรี้ยว เผ็ด มันอย่างไรฯ
คนหลายอาจารย์ ที่จริงไม่มีอาจารย์เลยฯ
ถ้าครูบาอาจารย์ชมใครต่อหน้า แสดงว่าคนนั้นก็หมดแค่นั้น ชาตินี้ก็คงไม่ได้ปฏิบัติอะไรให้ยิ่งกว่านั้น ที่ท่านชมก็เพื่อให้เขาภูมิใจว่าในชาตินี้เขาได้ปฏิบัติถึงขนาดนี้ ใจจะได้มีอะไรไว้ยึดเหนี่ยวต่อไปฯ
มีลูกศิษย์คนหนึ่งมาขอรูปเล็ก ๆ ของท่านพ่อเพื่อห้อยไว้ที่คอ ท่านก็บอกว่า ไม่ต้องห้อยรูปครูบาอาจารย์หรอก ไม่ต้องไปบอกว่า ใครเป็นอาจารย์รู้ไว้ที่ใจก็พอฯ
ศิษย์หลายคน ในเมื่อรับความเมตตาจากท่านพ่อก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับท่านว่า รักท่าน เคารพท่าน เหมือนพ่อบังเกิดเกล้า บางครั้งท่านก็ย้อนถามว่า จริงอย่างที่พูดหรือเปล่าถ้าจริงก็อย่าลืมลมซิ รักพ่อจริงอย่าทิ้งลมนะลูกฯ
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเองฯ
จะดูคนอื่น ต้องดูที่เจตนาเขาฯ
เราจะให้คนอื่นเขาดี เราต้องดูว่า ดีของเขามีอยู่แค่ไหนถ้าดีของเขามีอยู่แค่นั้น เราจะให้เขาดีกว่านั้น เราก็โง่ฯ
ใครจะดีอย่างไรจะชั่วอย่างไร ก็เรื่องของเขา เราดูเรื่องของเราดีกว่า
ศิษย์คนหนึ่งเล่าให้ท่านพ่อฟังถึงปัญหาทั้งหลายแหล่ที่เข้ามาเรื่อย ๆ ในที่ทำงาน ตัวเองก็อยากจะลาออก อยู่เงียบ ๆ แต่ก็ลาไม่ได้ ท่านพ่อจึงแนะนำว่า ในเมื่อเราต้องอยู่กับมันเราต้องรู้จักให้อยู่เหนือมันเราจึงจะอยู่ได้ฯ
เราทำงาน อย่าให้งานทำเราฯ
ศิษย์อีกคนหนึ่งมาบ่นกับท่านพ่อว่า ทั้งในบ้าน ทั้งในที่ทำงาน ตัวองต้องเจอแต่ปัญหาหนัก ๆ แทบเป็นแทบตายทั้งนั้น ท่านจึงบอกว่า เราเป็นคนจริง จึงต้องเจอของจริงฯ
เจออุปสรรคอะไร เราก็ต้องสู้ ถ้าเรายอมแพ้เอาง่าย ๆ เราจะต้องแพ้ อยู่เรื่อยฯ
ข้างในเราก็ต้องแกร่ง มีอะไรมากระทบ เราจะได้มีหวั่นไหว
ให้พกหิน อย่าพกนุ่นฯ
ให้ทำตัวเป็นแก่น อย่าทำตัวเป็นกระพี้ฯ
เขาว่าเราไม่ดีมันก็อยู่แค่ปากเขา ไม่เคยถึงตัวเราสักทีฯ
คนอื่นเขาด่าเรา เขาก็ลืมไป แต่เราไปเก็บมาคิดเหมือนเขาคายเศษอาหารทิ้งไป แล้วเราไปเก็บมากิน แล้วจะว่าใครโง่ฯ
ใครจะด่าว่ายังไง ก็ช่างหัวมัน อย่าไปสนใจ ให้หัดเอาหินถ่วงหูไว้บ้าง อย่าเอามาหาบมาคอนหนักเปล่า ๆ ของไร้สาระฯ
เวลาลูกศิษย์คนไหนถือโกรธอยู่ในใจ ท่านพ่อจะสอนว่า ความโกรธแค่นี้เราสละกันไม่ได้หรือ ให้คิดว่าเราให้ทานเขาไปคิดดูสิ พระเวสสันดรสละไปแค่ไหน ท่านก็ยังสละได้ ไอ้ของแค่นี้ไม่มีค่าอะไร ทำไมเราสละกันไม่ได้ฯ
โกรธคือโง่ โมโหคือบ้าฯ
ทิฏฐิกับสัจจะ มันคนละอย่างกันนะ ถ้ารักษาคำพูดด้วยใจขุ่นมัว คิดจะเอาชนะเขา นั่นคือตัวทิฏฐิ ถ้ารักษาด้วยใจปลอดโปร่ง สงบเยือกเย็น นั่นคือสัจจะ ถ้าเวลารักษาสัจจะเราก็สงบเบาสบาย
สุขในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ฯลฯ ที่เราปรารถนามากเป็นพิเศษ แสดงว่าเราเคยเสวยแล้วในชาติก่อนๆ เราจึงคิดถึงมันในชาตินี้ คิดอยู่แค่นี้ ก็น่าจะเกิดความสลดสังเวชในตัวเองได้ฯ
ต่อตอน 2...
ธรรมะของพระครูญาณวิศิษฐ์
(หลวงพ่อเฟื่อง โชติโก )
วัดธรรมสถิต
ต.สำนักทอง อ.เมือง จ.ระยอง
ก่อนที่จะพูดอะไร ให้ถามตัวเองว่าที่จะพูดนี้จำเป็นหรือเปล่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพูด นี่เป็นขั้นแรกในการอบรมใจ เพราะถ้าเราควบคุมปากตัวเองไม่ได้เราจะควบคุมใจได้อย่างไรฯ
หูเราก็มี ๒ หู ปากก็มีปากเดียว แสดงว่าเราต้องฟังให้มาก ต้องพูดให้น้อยฯ
ศิษย์ที่เป็นคนช่างพูดเคยถูกท่านพ่อเตือนว่า อย่าให้ลมออกมากนะ ลมออกมากได้อะไรขึ้นมา มีแต่เรื่อง ให้กำหนดลมเข้าจะดีกว่าฯ
เรามีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างภาวนา เราไม่ต้องไปเล่าให้ใครฟังนอกจาก อาจารย์ของเรา เรามีอะไรจะไปอวดเขาทำไม เป็นกิเลสไม่ใช่หรือฯ
คนชอบขายความดีของตัวเอง ที่จริงขายความโง่ของตัวเองมากกว่าฯ
ของดีจริงไม่ต้องโฆษณาฯ
ให้มีคมในฝัก ให้ถึงเวลาที่จะต้องใช้จริง ๆ จึงค่อยชักออกมาจะได้ไม่เสียคมฯ
ท่านพ่อได้ยินศิษย์สองคนนั่งคุยกัน คนหนึ่งถามปัญหาอีกคนหนึ่งตอบโดยเริ่มต้น เข้าใจว่า คงจะ... แต่ท่านพ่อก็ตัดบททันที ถ้าไม่รู้ก็ตอบว่าไม่รู้ก็หมดเรื่อง เขาขอความรู้เราก็ให้ความเดามันจะถูกที่ไหนฯ
ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งรู้ตัวว่า เป็นผู้ที่พูดจาไม่ค่อยเรียบร้อยจึงถามท่านพ่อว่า ข้อนี้จะเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติใจไหม ท่านตอบว่า อย่าไปข้องใจกับกิริยาภายนอก ให้ภายในใจของเราดีเป็นสำคัญฯ
เวลากินข้าวให้ใจอยู่กับลม แล้วพิจารณาดูว่า เรากินเพื่ออะไร ถ้าเรามัวแต่กินเพื่อเอร็ดอร่อย อาหารที่กินเข้าไปนั้นให้โทษกับเราได้ฯ
สร้างพระไว้ในใจของเรา ได้บุญยิ่งกว่าสร้างพระข้างนอกฯ
วันหนึ่งท่านพ่อชี้หญ้าที่ขึ้นรกบริเวณกุฏิท่านให้โยม คนหนึ่งดู แล้วถามเขาว่า หญ้าปากคอกโยมไม่เอาหรือ
อีกครั้งหนึ่งท่านพ่อพาลูกศิษย์จากกรุงเทพฯ ขึ้นไปทำความสะอาดบริเวณพระเจดีย์ พอดีเจอเศษขยะที่ใครไม่ทราบทิ้งไว้บนนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่งจึงบ่นว่า แหมไม่น่าจะมีใครขาดความเคารพถึงขนาดนี้ แต่ท่านพ่อบอกว่า อย่าไปว่าเขานะถ้าเขาไม่ได้ทิ้งของไว้ พวกเราจะไม่มีโอกาสเอาบุญฯ
ทำดีให้มันถูกตัวดี อย่าให้มันดีแต่กิริยาฯ
มีคนมาปรารภกับท่านพ่อว่า อยากจะทำบุญวันเกิดท่านก็บอกว่า ทำไมต้องทำวันเกิด ทำวันอื่นไม่เป็นบุญหรือ คิดอยากจะทำบุญเมื่อไร ก็ให้รีบทำวันนั้น อย่าไปรอวันเกิดกว่าจะถึงวันเกิด เราอาจจะถึงวันตายนั่นแหละฯ
อีกคนหนึ่งบอกกับท่านพ่อว่า จะทำบุญฉลองวันเกิดท่านก็ตอบว่า ฉลองมันทำไม วันเกิดก็คือวันตายนั่นแหละฯ
มัวแต่นึกถึงวันเกิด ให้นึกถึงวันตายเสียบ้าง
คนเราทุกคนก็อยู่ในบัญชีตาย พอเกิดมาเราก็เข้าคิวรอเขาประหารชีวิต จะถึงตัวเราเมื่อไรก็ไม่มีใครรู้ ฉะนั้น เราจะประมาทไม่ได้ ต้องรีบสร้างความดีของเราให้ถึงพร้อมฯ
มีลูกศิษย์ต่างชาติมาปฏิบัติธรรมกับท่านพ่อใหม่ ๆ ถามถึงเรื่องชาติก่อน-ชาติหน้า ว่ามีจริงหรือไม่ ท่านตอบว่า คนเราจะปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่ออย่างเดียว คือเชื่อกรรมนอกจากนั้นจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่สำคัญฯ
ท่านพ่อเคยปรารภคนที่ไม่สนใจนั่งภาวนา แต่ยินดีช่วยงานก่อสร้างในวัด ว่า บุญเบา ๆ เขาไม่ชอบ ต้องหาบุญหนัก ๆ ให้เขาทำ จึงจะถึงใจเขาฯ
คนเราถ้าทำดีแล้วติดดี ก็ไปไม่รอด เมื่อใจยังมีติดภพชาติยังมีอยู่ฯ
บางครั้งเวลาลูกศิษย์นั่งภาวนาหรือทำการบุญใดๆ ท่านพ่อจะสอนให้ อธิษฐานใจไว้ก่อน แต่คำที่สอนให้อธิษฐานนั้น จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางครั้งท่านจะสอนให้อธิษฐานตามแบบฉบับของพระเจ้าอโศกว่า เกิดชาติหน้า ขอให้มีความสามารถในตัวของตัวเอง นั่นก็พอฯ
บางครั้งท่านจะสอนว่า อย่าไปอธิษฐานอะไรให้มากมาย เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้เกิดตามพระพุทธศาสนาก็แล้วกันฯ
แต่ไม่ใช่ว่า ท่านพ่อจะสอนลูกศิษย์ทุกคนให้อธิษฐานใจเวลาทำบุญ ศิษย์คนหนึ่งเคยกราบเรียนท่านว่า เวลาทำบุญจิตรู้สึกเฉยๆ ไม่นึกอยากจะขออะไรทั้งสิ้น ท่านก็บอกว่า ถ้าจิตมันเต็มแล้ว ไม่ต้องขอก็ได้ เหมือนเราทานข้าวมันก็ต้องอิ่ม ถึงจะขอหรือไม่ขอให้มันอิ่ม อย่างไรมันก็ต้องอิ่มฯ
โยมคนหนึ่งมาวัดธรรมสถิตเป็นครั้งแรก กำหนดจะอยู่ถือศีล-ภาวนา เป็นเวลา ๒ อาทิตย์ ท่านพ่อก็เตือนว่า ฆราวาสออกจากบ้าน ก็เหมือนสมภารออกจากวัด จะไปหาความสะดวกสบายไม่ได้นะฯ
ในระหว่างการก่อสร้างเจดีย์ที่วัดธรรมสถิตย์ มีช่วงหนึ่งที่ลูกศิษย์ที่ไปช่วยงานก่อสร้างเกิดทะเลาะกัน ลูกศิษย์คนหนึ่งที่ไม่พอใจในเหตุการณ์ไปรายงานท่านพ่อ ซึ่งขณะนั้นพักอยู่ที่วัดมกุฎฯ พอเขารายงานเสร็จ ท่านพ่อก็ถามว่าฯ รู้จักหินไหม รู้จักค่ะ รู้จักเพชรไหม รู้จักค่ะ แล้วทำไมไม่เลือกเก็บเพชรล่ะเก็บมันทำไมหินฯ
ถ้าใจเรามั่นใจคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พวกที่เขาเล่นของไสยศาสตร์ จะทำอะไรเราไม่ได้ฯ
ท่านพ่อเคยปรารภนักปฏิบัติที่ยังนับถือคนเข้าทรง ว่า ถ้าต้องการให้การปฏิบัติได้ผลดีต้องอธิษฐานว่า จะขอถือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอย่างเดียว อย่างอื่นไม่ใช่ที่พึ่งฯ
เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ต้องไปอัศจรรย์ใครทั้งนั้นว่าเขาดีวิเศษวิโสแค่ไหน จะทำอะไรก็ต้องมีหลักฯ
ท่านผู้รู้ทั้งหลาย เราไม่ต้องไปเที่ยวกราบท่านหรอกเป็นการลำบากเปล่า ๆ ทั้งสองฝ่าย ให้กราบท่านในใจดีกว่าเรากราบท่านในใจนั่นแหละเราถึงท่านแล้วฯ
ของจริงขึ้นอยู่กับเรา ถ้าเราทำจริงเราจะได้ของจริง ถ้าเราทำไม่จริงเราจะได้แต่ของปลอมฯ
ไปกี่วัดกี่วัด รวมแล้วก็วัดเดียวนะละ คือวัดตัวเราฯ
ลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นคนช่างถาม สงสัยอะไรก็ถามท่านพ่ออยู่เรื่อย เรื่องภาวนาบ้าง ปัญหาชีวิตบ้าง บางครั้งท่านก็ตอบดี ๆ บางครั้งท่านก็ย้อนถามว่า ทำไมจะต้องให้มีคนป้อนให้ถึงปากอยู่ตลอดเวลา ให้คิดเอาเองบ้างซิฯ
ท่านพ่อเคยปรารภเรื่องคนที่ต้องให้ครูบาอาจารย์แก้ปัญหาในชีวิตทุกอย่างว่า เหมือนลูกหมาพอมีขี้ติดตูดอยู่นิดหนึ่งก็ต้องรีบวิ่งไปหาแม่ ไม่รู้จักล้างตัวเองบ้าง อย่างนี้เรียกว่า ลูกแหง่เลี้ยงไม่โตสักทีฯ
คนติดครูบาอาจารย์ก็เหมือนแมลงหวี่มาตอม ไล่เท่าไร ๆ ก็ไม่ยอมไปฯ
พวกภาวนาที่อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ แต่ไม่รู้จักท่านก็เหมือนทัพพีอยู่ในหม้อแกง ไม่มีโอกาสรู้รสของแกงว่า เปรี้ยว เผ็ด มันอย่างไรฯ
คนหลายอาจารย์ ที่จริงไม่มีอาจารย์เลยฯ
ถ้าครูบาอาจารย์ชมใครต่อหน้า แสดงว่าคนนั้นก็หมดแค่นั้น ชาตินี้ก็คงไม่ได้ปฏิบัติอะไรให้ยิ่งกว่านั้น ที่ท่านชมก็เพื่อให้เขาภูมิใจว่าในชาตินี้เขาได้ปฏิบัติถึงขนาดนี้ ใจจะได้มีอะไรไว้ยึดเหนี่ยวต่อไปฯ
มีลูกศิษย์คนหนึ่งมาขอรูปเล็ก ๆ ของท่านพ่อเพื่อห้อยไว้ที่คอ ท่านก็บอกว่า ไม่ต้องห้อยรูปครูบาอาจารย์หรอก ไม่ต้องไปบอกว่า ใครเป็นอาจารย์รู้ไว้ที่ใจก็พอฯ
ศิษย์หลายคน ในเมื่อรับความเมตตาจากท่านพ่อก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับท่านว่า รักท่าน เคารพท่าน เหมือนพ่อบังเกิดเกล้า บางครั้งท่านก็ย้อนถามว่า จริงอย่างที่พูดหรือเปล่าถ้าจริงก็อย่าลืมลมซิ รักพ่อจริงอย่าทิ้งลมนะลูกฯ
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเองฯ
จะดูคนอื่น ต้องดูที่เจตนาเขาฯ
เราจะให้คนอื่นเขาดี เราต้องดูว่า ดีของเขามีอยู่แค่ไหนถ้าดีของเขามีอยู่แค่นั้น เราจะให้เขาดีกว่านั้น เราก็โง่ฯ
ใครจะดีอย่างไรจะชั่วอย่างไร ก็เรื่องของเขา เราดูเรื่องของเราดีกว่า
ศิษย์คนหนึ่งเล่าให้ท่านพ่อฟังถึงปัญหาทั้งหลายแหล่ที่เข้ามาเรื่อย ๆ ในที่ทำงาน ตัวเองก็อยากจะลาออก อยู่เงียบ ๆ แต่ก็ลาไม่ได้ ท่านพ่อจึงแนะนำว่า ในเมื่อเราต้องอยู่กับมันเราต้องรู้จักให้อยู่เหนือมันเราจึงจะอยู่ได้ฯ
เราทำงาน อย่าให้งานทำเราฯ
ศิษย์อีกคนหนึ่งมาบ่นกับท่านพ่อว่า ทั้งในบ้าน ทั้งในที่ทำงาน ตัวองต้องเจอแต่ปัญหาหนัก ๆ แทบเป็นแทบตายทั้งนั้น ท่านจึงบอกว่า เราเป็นคนจริง จึงต้องเจอของจริงฯ
เจออุปสรรคอะไร เราก็ต้องสู้ ถ้าเรายอมแพ้เอาง่าย ๆ เราจะต้องแพ้ อยู่เรื่อยฯ
ข้างในเราก็ต้องแกร่ง มีอะไรมากระทบ เราจะได้มีหวั่นไหว
ให้พกหิน อย่าพกนุ่นฯ
ให้ทำตัวเป็นแก่น อย่าทำตัวเป็นกระพี้ฯ
เขาว่าเราไม่ดีมันก็อยู่แค่ปากเขา ไม่เคยถึงตัวเราสักทีฯ
คนอื่นเขาด่าเรา เขาก็ลืมไป แต่เราไปเก็บมาคิดเหมือนเขาคายเศษอาหารทิ้งไป แล้วเราไปเก็บมากิน แล้วจะว่าใครโง่ฯ
ใครจะด่าว่ายังไง ก็ช่างหัวมัน อย่าไปสนใจ ให้หัดเอาหินถ่วงหูไว้บ้าง อย่าเอามาหาบมาคอนหนักเปล่า ๆ ของไร้สาระฯ
เวลาลูกศิษย์คนไหนถือโกรธอยู่ในใจ ท่านพ่อจะสอนว่า ความโกรธแค่นี้เราสละกันไม่ได้หรือ ให้คิดว่าเราให้ทานเขาไปคิดดูสิ พระเวสสันดรสละไปแค่ไหน ท่านก็ยังสละได้ ไอ้ของแค่นี้ไม่มีค่าอะไร ทำไมเราสละกันไม่ได้ฯ
โกรธคือโง่ โมโหคือบ้าฯ
ทิฏฐิกับสัจจะ มันคนละอย่างกันนะ ถ้ารักษาคำพูดด้วยใจขุ่นมัว คิดจะเอาชนะเขา นั่นคือตัวทิฏฐิ ถ้ารักษาด้วยใจปลอดโปร่ง สงบเยือกเย็น นั่นคือสัจจะ ถ้าเวลารักษาสัจจะเราก็สงบเบาสบาย
สุขในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ฯลฯ ที่เราปรารถนามากเป็นพิเศษ แสดงว่าเราเคยเสวยแล้วในชาติก่อนๆ เราจึงคิดถึงมันในชาตินี้ คิดอยู่แค่นี้ ก็น่าจะเกิดความสลดสังเวชในตัวเองได้ฯ
ต่อตอน 2...