PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : "แม่คนนี้ ดีที่หนึ่งเลย"



wiket
09-03-2009, 08:17 PM
บทความเรื่อง "แม่คนนี้ ดีที่หนึ่งเลย"
เป็นบทความที่ได้รับคัดเลือก 1 ใน 12 เรื่อง
จากการประกวดบทความเกี่ยวกับวันแม่
ในโอกาสวันแม่ 12 ส.ค. 2552
โดยการจัดประกวดของทีมงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ


สวัสดีคะพี่ ๆ ทีมงานดิฉันชื่อ สุวรรณา ค่ะชื่อเล่นชื่อ จู
อยากจะขอร่วมแบ่งปันเรื่องราวยุ่งๆ แต่อบอุ่นของพวกเรา พ่อ-แม่-ลูก
เพื่อเป็นกำลังใจให้คุณพ่อ-คุณแม่มือใหม่
ที่กำลังจะก้าวเข้ามาสู่โลกใบเล็ก ๆ ใบนี้ค่ะ
ขอให้มีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเอง
ที่จะกล้าสร้างครอบครัวที่ดีในยุคที่สังคมของเรา
มีปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมเข้ารุมเร้าอยู่อย่างนี้
ขอให้เชื่อมั่นว่าคุณเองก็ทำได้นะคะ
เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงจากความคิดคุณ แล้วสิ่งดี ๆ จะตามมาเองค่ะ

ลองมาฟังเรื่องของดิฉันดูนะคะ เพื่อแลกเปลี่ยนกัน
จะว่าไปแล้วก่อนหน้านี้ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่มีความกังวลเป็นอย่างมาก
เกี่ยวกับการมีชีวิตคู่ และการมีครอบครัว ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ

ประการแรก ดิฉันเป็นลูกสาวของครอบครัวในตระกูลที่มีเชื้อชาติจีน
ที่ยังมีกลิ่นไอของระเบียบประเพณีเก่าแก่ของคนจีนรุ่นก่อน ๆ
จึงได้รับการอบรมเลี้ยงดูในการใช้ชีวิตแบบชาวจีนจากคุณแม่มาตั้งแต่เด็ก
แต่เสียอยู่ว่าในช่วงรอยต่อที่ดิฉันกำลังจะเปลี่ยนถ่ายจากช่วงของวัยรุ่น
เข้าสู่วัยของผู้ใหญ่ที่เตรียมตัวจะมีครอบครัวนั้น
คุณแม่ก็จากไปเสียแล้วด้วยอาการล้มป่วย ในช่วงที่ดิฉันเรียนอยู่ในระดับปริญญาโท
ทำให้ขาดผู้ที่จะคอยชี้ทาง และบอกหลักของการเตรียมตัวสู่การมีครอบครัวให้

ประการที่สอง หลังจากที่ดิฉันเรียนจบ
และได้มาทำงานที่ตรงกับสายอาชีพในบริษัทที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมผลิต
โดยการทำงานก็มีความก้าวหน้าไปตามลำดับ
จนในที่สุด ก็ได้มาเจอกับคู่ชีวิตซึ่งเป็นสามีในปัจจุบันนี้
เขาต้องใช้ความพยายามสูงมาก
ในการที่จะเข้ามาทำความรู้จักกับดิฉันในฐานะที่มากกว่าเพื่อน
ซึ่งพวกเราใช้เวลาคบหากันกว่า 3 ปี กว่าจะเรียกกันและกันว่าแฟน
แต่เขาก็มีความอดทน สม่ำเสมอ และมีความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญ

แต่อุปสรรคปัญหาใหญ่ถัดมา
เมื่อดิฉันได้มีโอกาสพาเขาไปแนะนำให้กับทางครอบครัวของดิฉันได้รู้จัก
แต่คุณพ่อของดิฉันดูเหมือนท่านจะไม่ปลื้มผู้ชายคนนี้เอาเสียเลย
เพราะท่านกลัวว่าจะมาหลอกลวงลูกสาวของท่าน
รวมถึงการที่แฟนของดิฉันเป็นคนพื้นเพทางอยู่ทางภาคอีสาน
ก็ยิ่งทำให้ท่านมีความเป็นกังวลต่าง ๆ นานา
เพราะมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อคนอีสานเป็นพื้นอยู่ก่อนหน้าแล้ว
และกว่าเราสองคนจะพากันข้ามอุปสรรคสำคัญนี้มาด้วยกัน
จนได้มาแต่งงานกัน นับว่าสาหัสพอดู
แต่แฟนดิฉันก็พิสูจน์ตัวเองจนเป็นที่ยอมรับ
ของคนในครอบครัวและเครือญาติได้ในปัจจุบัน

ทุกอย่างก็กำลังจะไปได้ดีนะคะ
เพราะดิฉันกับแฟนก็ทำงานบริษัทอยู่คนละแห่งที่จังหวัดชลบุรี
แต่บ้านเดิมของดิฉัน อยู่ที่เขตประเวศ กรุงเทพฯ ค่ะ
เงินเดือนของทั้งสองคนก็พอมีกินมีเก็บ
พวกเราใช้ชีวิตโดยน้อม ‘‘ หลักธรรมแห่งความพอเพียง ’’ ของในหลวงมาปฏิบัติ
ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ พวกเราตัดสินใจซื้อบ้านที่ชลบุรีตอนที่กำลังจะแต่งงานกัน
เพราะดิฉันและแฟน วางแผนร่วมกันว่าจะค่อย ๆ สร้างครอบครัวที่อบอุ่นกัน
และมีลูกด้วยกันในอนาคตอีก 2-3 ปี
แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คาดสิคะ นี่แหละเป็นปัญหาน่ากลุ้ม
ดิฉันเริ่มแพ้ท้องเพราะมีน้อง หลังจากแต่งงานได้ไม่นาน
แต่อาการแพ้นี่สิคะ เป็นเอามาก เป็นตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าตั้งครรภ์
จนกระทั่งถึงวันที่หมอจะนัดไปผ่าคลอดโน่นแหละค่ะ
(น้องคลอดวันที่ 14 ก.พ. ตรงกับวันแห่งความรักพอดีค่ะ)

ในวันที่ไปอัลตราซาวด์ครั้งแรก คุณหมอบอกว่าดิฉันได้ลูกฝาแฝด
ทำให้ดิฉันและแฟนยิ่งอึ้งและงงกันไปใหญ่
เพราะสิ่งนี้ออกนอกการวางแผนชีวิตกันไปไกลเลยคะ (5 5...หัวเราะ)
และคุณหมอบอกว่าสาเหตุ ที่แพ้มากก็เพราะว่าการที่เป็นท้องแรก
และเป็นท้องแฝดนี่จะมีผลต่อการแพ้ท้องเยอะ

ต่อมาไม่กี่เดือนดิฉันต้องลาออกจากงาน เพราะทำงานไม่ไหว
การแพ้ท้องมาก ๆ นี่ทรมาณที่สุดเลยค่ะ
ถึงแม้ทางบริษัทของดิฉันจะพยายามหาทางช่วยให้ดิฉันไม่ให้ถึงขั้นต้องออกจากงาน
แต่ก็ช่วยไม่ไหวค่ะ เพราะดิฉันไปทำงานไม่ได้เลย
ก็เลยจำเป็นต้องออกจากงานมาอยู่บ้านเตรียมตัวเป็นแม่บ้านเต็มที่
ทิ้งเงินเดือนหลัก 5 หมื่น แล้วกลับมาอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ
แต่ดิฉันก็ไม่เสียสุขภาพจิตนะคะเพราะปกติดิฉันเป็นคนใจเย็น และชอบฟังธรรมะ
ตอนตั้งท้องก็เอาเทปธรรมะ และดนตรีบรรเลงเบา ๆ ที่แฟนหามาให้มาเปิดฟัง
ทำให้ช่วงนั้นแฟนก็ต้องทำงานหาเงินคนเดียวที่ชลบุลี
แถมต้องคอยแวะเวียนมาดูแลดิฉัน
สลับกลับเดินทางกลับไปที่ภาคอีสานบ้านเกิด
เพื่อไปดูแลคุณแม่ที่ท่านล้มป่วยกระทันหัน ด้วยโรคมะเร็งในสมอง
ซึ่งก่อนหน้านั้นคุณแม่ของแฟนท่านเตรียมตัวที่จะย้ายจากบ้านที่อีสาน
มาอยู่บ้านใหม่ที่ชลบุรีร่วมกันกับพวกเรา และมาช่วยดูแลหลาน ๆ ด้วย
ท่านตื่นเต้นและรอคอยวันนั้นน่าดู ที่จะได้เห็นหลาน ๆ
แต่ท่านก็มาล้มป่วยเสียก่อน และท่านก็มาจากไปในเวลา 5-6 เดือนถัดมา
ซึ่งเป็นช่วงที่ลูก ๆ คลอดได้เพียง 4 เดือนทำให้ท่านไม่ได้เจอหน้าหลาน ๆ
ได้เห็นหน้าจากรูปถ่ายที่แฟนเอาไปให้ท่านดูตอนเจ็บป่วย
ท่านก็ร้องไห้ทุกครั้งตอนที่ท่านได้ดู ได้แต่บ่นท้อว่าไม่มีวาสนาได้เห็นหลาน ๆ
แต่ก็ขอฝากฝังให้เลี้ยงดูพวกเขาให้เป็นคนดี
ฟัง ๆ ดูแล้วชีวิตของครอบครัวดิฉันนี่ก็เหมือนนิยายเหมือนกันนะคะ
มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเยอะแยะเหมือนกัน

หลังจากที่เหตุการณ์ทุกอย่างค่อย ๆ ผ่านไปแล้ว
ดิฉันและแฟนก็ค่อย ๆ หาวิธีช่วยกันเลี้ยงดูลูก ๆ ในวัยทารกทั้งที่เป็นมือใหม่ทั้งคู่
แรก ๆ ก็ให้ญาติ ๆ แวะเวียนมาช่วยดูแล และให้คำแนะนำ
จนต้องจ้างพี่เลี้ยงมาช่วยเลี้ยงอีกคนนึง
เพราะดิฉันคงเลี้ยงลูกแฝดสองคนไม่ไหวแน่
เพราะ1-2 เดือนแรกก็ยังเจ็บแผลผ่าคลอดอยู่ ลุกเดินไม่สะดวก
นั่นแหละค่ะเป็นเรื่องราวความผูกพันของดิฉัน
กับน้องใบตองและน้องใบเตย ลูกสาวฝาแฝดของดิฉัน
ที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นโดยที่ดิฉันไม่คาดคิดมาก่อน
ว่าจะได้มาเป็นคุณแม่เลี้ยงลูกเองที่บ้าน
ใหม่ ๆ ก็เป็นกังวลไม่รู้ว่าจะต้องเลี้ยงเขายังไง
เพราะทั้งคู่แรกคลอดด้วยน้ำหนักน้อยมาก ไม่ถึง 2 ก.ก.ต่อคน
และดิฉันก็ไม่เคยเลี้ยงลูกนี่ค่ะ
สิ่งที่ช่วยได้มากก็คือพี่เลี้ยงทั้งที่เป็นคน และเป็นคอมพิวเตอร์ (5 5...หัวเราะ)
เพราะถ้าคิดอะไรไม่ออก ดิฉันก็จะค้นหาจากอินเตอร์เนต
(5 5 สมเป็นคุณแม่ยุคใหม่ไม๊คะ)

เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ผ่านไปได้ด้วยดี
มาถึงวันนี้ครอบครัวของดิฉันก็ได้ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านที่ชลบุรีแล้ว
สลับกับไป ๆ มา ๆ กับที่กรุงเทพฯ
ตอนนี้น้องใบตอง และ น้องใบเตย อายุ 1.6 ขวบแล้วค่ะ กำลังซน แต่ก็น่ารักค่ะ
อารมณ์ดีทั้งคู่ร่าเริงได้ทั้งวัน เป็นที่รักของใคร ๆ ที่ได้พบเห็น

ถึงแม้ชีวิตที่ผ่านมาจะลำบาก
แต่พอหวนกลับมาคิดแล้วก็คุ้มค่าเหลือเกิน
ที่ดิฉันได้เลี้ยงลูก ๆ มาด้วยตัวเอง ได้ให้นมแม่กับเขาทั้งสองคนถึง 9 เดือน
(น้ำนมหมดก่อนเลยให้ได้แค่นี้ค่ะ กินจุกันเหลือเกิน 5 5)
และก็ได้เห็นพัฒนาการของเขา ได้มีเวลาอยู่กับเขา
ตอนนี้ก็เป็นแม่บ้านเต็มตัวอยู่บ้านกับลูก ๆ
จัดเตรียมโปรแกรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะต่าง ๆ ให้เขาในแต่ละวัน
สอนให้เขารู้จักการเก็บออม, การไหว้พระ สวดมนต์
และพาพวกเขาไปทำบุญที่วัดอยู่เสมอ ๆ มีความสุขกันดีค่ะ
ถ้าถามว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ยังอยากจะเป็นแบบนี้อยู่ไหม
ก็คงตอบว่า ก็ OK ค่ะ ที่ผ่านมาทำให้เราเข้มแข็งขึ้นมาก
และคุ้มค่ามากที่ได้เห็นเขาเป็นเด็กที่น่ารักในวันนี้คะ

เอาใจช่วยสำหรับคุนพ่อ คุณแม่ทุก ๆ ท่านนะคะ
ปัญหาทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ถ้าอยู่บนพื้นฐานของความรักความเข้าใจ
อดทนต่อสิ่งที่มากระทบด้วยสตินะคะ แล้วปัญญาจะเกิดตามมา
นับได้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า นั้นไม่มีวันล้าสมัยเลยนะคะ ใช้ได้ดีจริง ๆ
มาช่วยในช่วงเวลาที่ครอบครัวของเราเจอกับปัญหา
และพวกเราก็ผ่านมันมาได้คะ

ท้ายที่สุดเราจะได้เห็นเจ้าตัวน้อยที่แสนจะน่ารัก
และเป็นแรงบันดาลใจที่ดีให้กับเราต่อไปในวันข้างหน้า
วันนี้รู้ได้เลยว่า เงินทองและโอกาสต่าง ๆ ที่สูญเสียไป
จากเส้นทางชีวิตเส้นเดิมของดิฉัน มันไม่ได้หายไปไหน
แต่กลับแปลเปลี่ยนเป็นผลกำไร
ของอีกเส้นทางชีวิตเส้นใหม่ที่ดิฉันฝ่าฟันมาได้ค่ะ
ร่วมเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านนะคะ มาร่วมสร้างครอบครัวที่สงบ สันติ
ด้วยวิถีแห่งความพอเพียงด้วยกันคะ แล้วสังคมเราจะได้สงบร่มเย็น


คุณแม่มือใหม่