ข้อสงสัย 4 ประการครับ

[chocobo]

คำถามนี้ได้ถามที่เว็ปธรรมะไทยแล้วอ่ะครับ แต่อยากได้ความคิดเห็นจากหลายๆท่านผู้รู้ เลยมาถามที่นี่ด้วยครับผม


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กราบนมัสการพระคุณเจ้าทุกรูป สวัสดีมิตรธรรมทุกท่าน


ผมมีข้อสงสัยอยู่ 3 ประการดังนี้

1.สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้ภิกษุฉันแลอุบาสกอุบาสิการับประทานนั้นมีอะไรบ้างครับ
2.อยากจะขอให้มิตรธรรมยกข้อความในพระไตรปิฏกส่วนที่พระพุทธองค์ทรงพูดถึงจักรวาลและเรื่องที่บอกว่ามนุษย์เรามีอารยธรรมมาแล้วมากมาย และดับไปแล้วนับไม่ถ้วนหน่อยอ่ะครับ
3.การเล่นหุ้น โดยที่เจ้าของหุ้นนำเงินไปปล่อยกู้ให้คนอื่น แล้วทำให้คนอื่นเป็นหนี้เป็นสิน เราจะบาปด้วยหรือเปล่าครับ และงานปล่อยกู้โดยเก็บดอกเบี้ย ถือเป็นมิฉฉาอาชีวะหรือเปล่า เพราะเหมือนเราไปเอาเงินเขามาโดยเขาไม่เต็มใจ
4.การท่องเว็ปลามกอนาจารถือว่าผิดศีลข้อ 3 หรือไม่ และเคยได้ยินว่าถือเป็นกรรม ทำให้มีวิบากเกี่ยวตา เช่นกันกับการที่ชอบฟังคนอื่นนินทา หรือฟังเรื่องไร้สาระต่างๆ ทำให้มีวิบากเกี่ยวกับหู และการพูดเพ้อเจ้อไร้สาระ ทำให้มีวิบากเกี่ยวกับปาก อยากทราบว่าเหล่านี้ถือเป็นกรรมหรือเปล่า

ขอบคุณครับ

ขอมิตรธรรมทุกท่านจงเร่งความเพียรเพื่อบรรลุพระนิพพานโดยเร็ว เทอญ

[D E V]

1. ลองดูในกระทู้ตามลิงค์ที่เคยตอบไว้นะคับ (มี 2 หน้า)
http://www.watkoh.com/kratoo/forum_posts.asp?TID=2431&PN=1



2. ที่ต้องการคือพระสูตรนี้หรือเปล่าคับ

จูฬนีสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=จูฬนีสูตร&book=9&bookZ=33

อัคคัญญสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=อัคคัญญสูตร&book=9&bookZ=33





http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

[D E V]

3. การกระทำอันเป็น บาป ที่ให้ผลเป็นวิบาก
คือการกระทำที่ถึงซึ่ง อกุศลกรรมบถ 10
(รายละเอียด โจ๋ คงทราบดีอยู่แล้วนะคับ)

สำหรับ มิจฉาอาชีวะ
หมายถึงการเลี้ยงชีพที่ผิด เลี้ยงชีพไปในทางทุจริต ผิดศีลธรรม
ซึ่งหากมีกำลังถึงขั้นล่วงอกุศลกรรมบถ
เช่น เลี้ยงชีพด้วยการฆ่าสัตว์ ลักขโมย ค้าขายแบบหลอกลวง ฯลฯ เป็นต้น
ก็ย่อมเป็นบาป...เป็นอกุศลกรรม ที่เป็นปัจจัยให้ผลเป็นวิบาก

****************************************************

ใน มหาจัตตารีสกสูตร แสดงไว้ว่า...
(คัดมาบางส่วน)

[๒๗๕][/URL] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็มิจฉาอาชีวะเป็นไฉน
คือ การโกง การล่อลวง การตลบตะแลง
การยอมมอบตนในทางผิด การเอาลาภต่อลาภ นี้มิจฉาอาชีวะ ฯ


ใน อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
อนุปทวรรค มหาจัตตารีสกสูตร มีแสดงไว้คือ...
(คัดมาบางส่วน)

ชื่อว่า การแลกลาภด้วยลาภ เพราะแลก คือหา
ได้แก่แสวงหาลาภด้วยลาภ.
ภาวะแห่งการแลกลาภด้วยลาภเหล่านั้น ชื่อว่าการหาลาภด้วยลาภ.

***********************************************

สำหรับการเล่นหุ้น นั้นต่างกับการเล่นหวย
การซื้อขายหุ้นเป็นเสมือนการลงทุนอย่างหนึ่งเพื่อทำกำไร
มีการซื้อมา ขายไป....ผลต่างคือ กำไร (หรือขาดทุน)

ส่วนการปล่อยเงินกู้ หากมีเจตนารีดนาทาเร้น รีดเลือดกับปู
ทำให้ผู้ที่เดือดร้อนอยู่แล้วนั้นเดือดร้อนยิ่งขึ้น
เช่นการคิดดอกเบี้ยที่มากเกิน การขูดรีดต่างๆ นาๆ
อย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควรน่ะคับ

แต่หากมีเจตนาช่วยเหลือ
ให้เค้ามีโอกาสได้ผ่านพ้นความขัดสนไปได้
โดยทั้งนี้ อาจมีการแลกเปลี่ยนตอบแทนกันในอัตราที่เหมาะสม
ไม่เป็นการเบียดเบียนให้เค้าต้องเดือดร้อนจนเกินไป...ก็พอจะกระทำได้
มิเช่นนั้นแล้ว ก็คงต้องล้มเลิกระบบการเงินการธนาคาร ไปเลยใช่มั้ยคับ
เพราะธนาคารก็ให้เรากู้เงินมาสร้างบ้าน
โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สอดคล้องตามภาวะเศรษฐกิจ
ไม่ใช่นึกจะเรียกดอกเบี้ยเท่าไหร่ก็ได้ตามใจชอบ
หรือบางคน ก็กู้เงินธนาคารมาทำการค้า ขยายกิจการ
นำมาลงทุนเพื่อให้เกิดผลกำไร ธนาคารเค้าก็ต้องคิดดอกเบี้ยใช่มั้ยคับ

หรือบางชมรม บางองค์กร
ก็มีการปล่อยกู้ให้กับสมาชิกหรือพนักงาน แล้วคิดดอกเบี้ยในอัตราต่ำ
เพื่อนำดอกผลนั้นย้อนกลับมาบำรุงองค์กร ฯลฯ เป็นต้น

ในมุมกลับ
แล้วการที่เราเอาเงินไปฝากธนาคาร...แล้วก็ได้ดอกเบี้ยล่ะ
ธนาคารเค้าก็เอาเงินฝากของเราไปหมุนเวียนให้เกิดดอกผล
แล้วเอามาจ่ายเป็นดอกเบี้ยให้เราไงคับ

ในแง่ของการให้กู้ยืมระหว่างบุคคล
คนให้กู้เองก็อาจจะเสียประโยชน์ไปบางส่วน
เช่น ถ้าเค้าเอาเงินฝากธนาคาร ก็จะได้ดอกเบี้ย
หรือเอาเงินไปลงทุนค้าขาย ก็อาจจะได้ผลกำไรตอบแทน
แต่ถ้าเค้าเอาเงินมาให้เรากู้โดยไม่คิดดอกเบี้ย เค้าก็ขาดประโยชน์ที่จะได้รับ
ซึ่งหากเค้ามีจิตเมตตา และไม่กระทบกระเทือนกับประโยชน์ที่เสียไป
ไม่เห็นแก่ประโยชน์ที่ตนจะได้รับ สละซึ่งประโยชน์นั้นได้
เห็นว่าเราเดือดร้อนขัดสนจริงๆ การให้ยืมแบบธรรมดาโดยไม่คิดดอกเบี้ย ก็จะเป็นการดี

แต่หากเค้ามีความจำเป็นที่ควรจะได้รับผลตอบแทนบ้าง
ก็มีการตกลงกันในผลตอบแทนที่เหมาะสม
ไม่เดือดร้อนจนเกินไปทั้งคนให้กู้และคนกู้
สมประโยชน์ตอบแทนด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย

*************************************************

ใน อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปาปวรรคที่ ๙
มีกล่าวถึงท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
แสดงให้เห็นว่าท่านก็ให้ผู้ที่ทำการค้ากู้เงินเหมือนกันน่ะคับ

ท่านคิดดอกเบี้ยหรือไม่ก็ไม่ทราบอ่ะนะคับ
เพราะไม่มีกล่าวถึงรายละเอียดส่วนนี้ไว้
แต่ดังที่ทราบกันดีว่าท่านเป็นนักธุรกิจ ทำการค้า
และสำหรับในส่วนที่ยกมาแสดงนี้
แสดงให้เห็นว่ามีการทำสัญญากู้ยืมกันอ่ะคับ

(ขอคัดมาบางส่วนเพื่อไม่ให้เยิ่นยาวเกินไปนะคับ)

การหมดสิ้นแห่งทรัพย์ของท่านเศรษฐี

กาลต่อมา เศรษฐีย่อมถึงความสิ้นไปแห่งทรัพย์
ทั้งพวกพาณิชก็กู้หนี้เป็นทรัพย์ ๑๘ โกฏิจากมือเศรษฐีนั้น.
เงิน ๑๘ โกฏิแม้เป็นสมบัติแห่งตระกูลของเศรษฐีที่ฝังตั้งไว้ใกล้ฝั่งแม่น้ำ
เมื่อฝั่งพังลงเพราะน้ำ (เซาะ) ก็จมลงยังมหาสมุทร.
ทรัพย์ของเศรษฐีนั้นได้ถึงความหมดสิ้นไปโดยลำดับ ด้วยประการอย่างนี้.

(และอีกตอนหนึ่งมีแสดงไว้ว่า)

ท้าวสักกะทรงแนะนำอุบายให้เทวดา

คราวนั้น ท้าวสักกะตรัสกะเทวดานั้นว่า
"ถึงเราก็จักไม่อาจกล่าวกะเศรษฐี เพราะเหตุแห่งท่านได้ (เช่นเดียวกัน),
แต่จักบอกอุบายให้แก่ท่านสักอย่างหนึ่ง."

เทวดา. ดีละ เทพเจ้า ขอพระองค์ทรงพระกรุณาตรัสบอกเถิด.

ท้าวสักกะ. ไปเถิดท่าน จงแปลงเพศเป็นเสมียนของเศรษฐี
ให้ใครนำหนังสือ (สัญญากู้เงิน) จากมือเศรษฐีมาแล้ว (นำไป) ให้เขาชำระทรัพย์ ๑๘ โกฏิ
ที่พวกค้าขายถือเอาไป ด้วยอานุภาพของตนแล้ว บรรจุไว้ให้เต็มในห้องเปล่า,
ทรัพย์ ๑๘ โกฏิที่จมลงยังมหาสมุทรมีอยู่ก็ดี, ทรัพย์ ๑๘ โกฏิ ส่วนอื่น ซึ่งหาเจ้าของมิได้ มีอยู่ในที่โน้นก็ดี,
จงรวบรวมทรัพย์ทั้งหมดนั้น บรรจุไว้ให้เต็มในห้องเปล่าของเศรษฐี
ครั้นทำกรรมชื่อนี้ให้เป็นทัณฑกรรมแล้ว จึงขอขมาโทษเศรษฐี.

(ดูเนื้อหาเต็มได้ที่ [URL=http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=19&p=4]http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=19&p=4 (http://%3ca/))





http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

[D E V]

และโดยปาริสุทธิศีล ซึ่งทรงแสดงแก่ภิกษุ
มีกล่าวถึงอาชีวปาริสุทธิศีล ในวิสุทธิมรรคแสดงไว้ดังนี้

อาชีวปาริสุทธิศีล

ส่วนการงดเว้นจากมิจฉาอาชีวะ
อันเป็นไปด้วยอำนาจแห่งการละเมิดสิกขาบท ๖
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติเพราะอาชีพเป็นเหตุ
เพราะอาชีพเป็นตัวการณ์ และ ( ด้วยอำนาจ ) แห่งบาปธรรมทั้งหลายมีอย่างนี้คือ
การล่อลวง (กุหนา)
การป้อยอ (ลปนา)
การทำใบ้ (เนมิตฺติกตา)
การบีบบังคับ (นิปฺเปสิกตา)
การแสวงหาลาภด้วยลาภ (ลาเภน ลาภํ นิชิคึสนตา)
ดังนี้เป็นต้น ศีลนี้ชื่อว่า อาชีวปาริสุทธิศีล


มีขยายความไว้ดังนี้
(ขอคัดมาเพียงบางส่วนนะคับ)


บรรดากิริยาเหล่านั้น การหาลาภด้วยลาภเป็นไฉน ?
ภิกษุเห็นแก่ลาภสักการะและความสรรเสริญ
มีความปรารถนาลามก อันความอยากครอบงำแล้ว
ย่อมนำอามิสที่ตนได้แต่เรือนนี้ไปที่เรือนโน้น
หรือนำอามิสที่ตนได้ในที่โน้นมาที่นี้
การใฝ่หา เสาะหา แสวงหา อามิสด้วยอามิสเห็นปานนี้
นี้เรียกว่า "การหาลาภด้วยลาภ"




http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

[D E V]

4. สำหรับคฤหัสถ์ ยังไม่เป็นการล่วงศีลข้อ 3 ยังไม่ถึงขั้นล่วงอกุศลกรรมบถ
แต่ขณะนั้นย่อมเป็นการกระทำด้วยอกุศลจิตที่หมกมุ่นมัวเมาในกามราคะ น่ะคับ


**************************************************

สำหรับการกระทำใดอันเป็นบาปหรืออกุศลกรรมที่ให้ผลเป็นวิบาก
ให้โจ๋พิจารณาว่าการกระทำนั้นย่อมเป็นไปในอกุศลกรรมบถ
ซึ่งหากครบองค์ของอกุศลกรรมบถในข้อนั้นๆ
ก็เป็นอันอกุศลกรรม (บาป) นั้นได้ล่วงการกระทำสำเร็จลงแล้ว
และจะเป็นปัจจัยให้ผลคือ อกุศลวิบาก

แต่หากการกระทำใดที่ไม่มีเจตนาตั้งขึ้นเป็นไปในอกุศลกรรมบถ
ก็เป็นการกระทำด้วยอกุศลจิต
ซึ่งยังไม่เป็นปัจจัยให้ผลเป็นวิบาก
แต่จะเป็นปัจจัยสั่งสมให้มีอุปนิสัยเช่นนั้นตามจิตที่เกิดขึ้นสั่งสมเป็นสันดานน่ะคับ


สำหรับอกุศลกรรมบถทุกประการที่ได้กระทำแล้วนั้น ให้ผลได้ใน 2 กาล คือ
- หากให้ผลในปฏิสนธิกาล ก็นำเกิดในทุคติภูมิ
- หากผลในปวัตติกาล (ขณะมีชีวิต) ก็ทำให้ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ในสิ่งที่ไม่ดี (อนิฏฐารมณ์)
(แต่ถ้าอกุศลกรรมที่กระทำนั้นไม่สำเร็จครบองค์ จะให้ผลแต่ในปวัตติกาล ไม่มีกำลังให้ผลในปฏิสนธิกาลนะคับ)





http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/cool.gif เดฟ

[chocobo]

สาธุ สาธุ สาธุ ครับท่านเดฟ

กระจ่างแล้วขอรับ http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/grin.gif

[piangfan]

สาธุค่ะ อาจารย์เดฟ

ว่าจะยืมรูปพี่เทียนมาลง
ป่านนี้พี่เทียนยังเอารูปมาฝากไม่ได้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ


http://img687.imageshack.us/img687/2416/262301691833f39aa66b.jpg


มาแล้วค่ะ รูปนกพี่เทียนค่ะ
ขอบคุณพี่เทียนค่ะ