PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : วิธีชี้ทางสวรรค์แก่ผู้ป่วยใกล้ตาย



*8q*
10-01-2009, 08:31 PM
http://www.vcharkarn.com/uploads/144/144531.jpg


วิธีชี้ทางสวรรค์แก่ผู้ป่วยใกล้ตาย


ตั้งแต่โบราณกาลนานมา พุทธศาสนิกชนในไทยปรารถนาจะได้รับคำตอบประการหนึ่งอย่างยิ่งยวด คือเมื่อตัวเองใกล้จะตาย หรือเมื่อญาติอันเป็นที่รักเจ็บหนัก ควรจะช่วยเหลือกันอย่างไรเป็นการส่งให้ไปดี


วิธีที่นิยมกันมากคือให้คนตายท่องไว้ว่า ‘พระอรหันต์ๆๆ’ คือจะให้กอดพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสไว้แน่นหนา ซึ่งก็นับว่าใช้ได้ถ้าผู้กำลังจะตายเข้าใจว่าพระอรหันต์เป็นอย่างไร แต่ปัญหาคือคนเราถ้าทั้งชีวิตไม่เคยศึกษา ไม่เคยรู้จักพุทธธรรม จู่ๆจะให้ท่อง ‘พระอรหันต์ๆๆ’ แล้วไปดีนั้นยาก เพราะจิตไม่รู้ว่าพระอรหันต์คือใคร บรรลุธรรมอันใดมา จึงเปรียบเหมือนเทวดายื่นเข็มทิศให้คนหลงป่าโดยปราศจากการแถมคู่มือใช้งาน แม้คนหลงป่าคว้าเข็มทิศไว้ได้ แต่ใช้เข็มทิศไม่เป็น ไม่รู้ว่าเข็มทิศคืออะไร ทำงานอย่างไร อย่างนี้ก็ต้องกลายเป็นผู้หลงทางต่อไปอยู่ดี


มาฟังธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความเบาใจ ๔ ประการที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีกว่า เมื่อมีกษัตริย์องค์หนึ่งเสด็จไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระ ภาคถึงที่ประทับ และได้กราบทูลถามว่าอุบาสกผู้มีปัญญาพึงกล่าวสอนผู้ป่วยซึ่งมีปัญญาด้วยกัน แต่กำลังได้เสวยทุกข์จากการเป็นไข้หนัก (ใกล้ตาย) ว่าอย่างไรดี พระพุทธองค์ตรัสให้สอนอย่างนี้คือ จงเบาใจเถิดว่าเธอมีความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ มีศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท วิญญูชนสรรเสริญ มีศีลอันอยู่เหนือความทะยานอยากที่ผิดและความเห็นผิด ทั้งปวงแล้ว และเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต


อันนี้หมายความว่าถ้าใกล้ตายอยู่ มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อย่างมั่นคง กับทั้งมีความเห็นชอบในเรื่องคุณและโทษ ในเรื่องบุญและบาป และน้อมใจรักษาศีลได้สะอาดบริสุทธิ์จนจิตไม่แส่ส่ายกังวลไปในบาปทั้งหลายแล้ว ก็ย่อมเกิดความตั้งมั่น มีความเบาใจเป็นธรรมดาว่าจะจากไปสู่ความปลอดภัย


นอกจากนั้นพระพุทธองค์ยังตรัสว่าหลังจากปลอบเช่นนี้แล้ว ให้ถามผู้ป่วย (ในกรณีที่พ่อแม่ยังมีชีวิต) ว่ายังมีความห่วงใยในมารดาและบิดาอยู่หรือไม่? ถ้าหากผู้ป่วยตอบว่ายังห่วงใย ก็ให้กล่าวว่าทุกคนต้องตายเป็นธรรมดาเหมือนกับเรา ถึงเราใส่ใจห่วงใยหรือไม่ห่วงใยในมารดาและบิดา พวกท่านก็จะต้องตายไปอยู่ดี ฉะนั้นขอให้ละความห่วงใยในมารดาและบิดาเสียเถิด


หากเขารับว่าสามารถละความห่วงใยในมารดาและบิดาได้แล้ว พึงถามเขาอีก (ในกรณีที่บุตรและภรรยายังมีชีวิต) ว่ายังมีความห่วงใยในบุตรและภรรยาอยู่หรือไม่? ถ้าหากผู้ป่วยตอบว่ายังห่วงใย ก็ให้กล่าวว่าทุกคนต้องตายเป็นธรรมดาเหมือนกับเรา ถึงเราใส่ใจห่วงใยหรือไม่ห่วงใยในบุตรและภรรยาพวกเขา ก็จะต้องตายไปอยู่ดี ฉะนั้นขอให้ละความห่วงใยในบุตรและภรรยาเสียเถิด


หากเขารับว่าสามารถละความห่วงใยในบุตรและภรรยาได้แล้ ว พึงถามเขาอีกว่ายังมีความห่วงใยในกามคุณ ๕ อันเป็นของมนุษย์อยู่หรือ? (เช่นยังอยากเสพกาม ยังอยากเห็นสาวสวยหรือหนุ่มหล่อ ยังอยากฟังเพลงโปรดจากสุดยอดเครื่องเสียง ฯลฯ) ถ้าหากผู้ป่วยตอบว่ายังห่วงใย ก็ให้กล่าวว่ากามอันเป็นทิพย์ยังดีกว่า ประณีตกว่ากามอันเป็นของมนุษย์ ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจากกามอันเป็นของมนุษย์แล้วน้อมจิตไปในเทวดาชั้นต่างๆเถิด (คือเล่าพรรณนาตามที่พระพุทธองค์ตรัสยืนยัน ดังแสดงไว้แล้วในหัวข้อก่อน ว่าความสุขระดับเทพยดานั้นเหนือกว่าความสุขแบบมนุษย์ เพียงใด ให้เขากำหนดใจเชื่อมั่นไว้ว่าการเสพกามในภพมนุษย์ยัง สุขน้อยไป กายอันเป็นทิพย์ชวนให้เสพสมยิ่งกว่านั้น รูปเสียงบรรดามีในโลกที่น่าโปรดปรานที่สุดยังน่าพิสมัยน้อยไป รูปเสียงอันเป็นทิพย์ยังน่าอภิรมย์ยิ่งกว่านั้นมากนัก)


หากเขารับว่าสามารถละความห่วงใยในกามคุณ ๕ อันเป็นของมนุษย์ได้แล้ว พึงกล่าวว่าความสุขแม้ที่เหนือกว่ากามคุณ ๕ ในภพเทวดายังมี คือความสุขจากการเข้าสมาธิฌานในพรหมโลก แต่แม้จะได้เป็นถึงรูปพรหมและอรูปพรหมก็ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ยังนับเนื่องในความหลงผิดยึดมั่นถือมั่นว่าภพนั้นๆเป็นตน (หรือตนเป็นอมตะ) ขอจงพรากจิตให้ออกจากเทวโลกและพรหมโลก แล้วนำจิตเข้าไปในความดับจากการยึดมั่นถือมั่นเถิด


หากเขารับว่าสามารถถอนความยึดมั่นแม้ในเทวโลกและพรหมโลกแล้ว และได้นำจิตเข้าไปในความดับจากอาการยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นอะไรๆแล้ว เช่นนั้นพระพุทธองค์ตรัสว่าท่านไม่กล่าวถึงความต่างอะไรกันระหว่างผู้มีจิตพ้นแล้วอย่างนี้ กับภิกษุผู้พ้นแล้วตั้งร้อยปี เพราะต่างก็พ้นด้วยวิมุตติเหมือนกัน


ขอให้ทราบว่าช่วงจังหวะใกล้ตายนั้นเป็นโอกาสทอง จิตกำลังหาทิศทางอันเป็นที่ไป ไม่ค่อยอาลัยสิ่งที่เห็นว่าตนกำลังจะต้องทิ้งไว้ในโลกนี้อีกแล้ว จึงมีความหนักแน่นเป็นพิเศษ หากเราพูดเหนี่ยวนำเขาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสแนะได้ล่ะก็ ไม่ใช่แค่คนป่วยหนักจะเข้าถึงสุคติ แต่อาจมีจิตปล่อยวางได้ถึงที่สุดจริงๆ!


หากช่วงท้ายๆของผู้ป่วยสามารถเข้าใจธรรมะ สามารถยอมรับ สามารถเลื่อมใสศรัทธาเชื่อถือว่านิพพานเป็นของดี เป็นบรมสุขอันถาวรแล้ว ก็อาจสำทับลงไปตามแนวทางเปรียบเทียบคติต่างๆของพระพุทธองค์ คือกล่าวตามจริงว่านรกนั้นแผดเผา เดรัจฉานนั้นเน่าเหม็น เปรตนั้นลุ่มๆดอนๆ มนุษย์นั้นเริ่มสบาย ส่วนเทวดานั้นสุขจริง แต่ก็ไม่สุขได้ตลอด ผู้มีปัญญาย่อมพิจารณาเห็นภัยแห่งความไม่เที่ยงในคติ ต่างๆ และประมาณได้ว่าหากไม่หลุดพ้นไปจากวังวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ก็ย่อมพลาดเข้าสักวันสมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ถ้าคิดจะท่องเที่ยวเกิดตายไปเรื่อยๆ การหลีกเลี่ยงนรกมิใช่วิสัยที่จะเป็นได้


พระพุทธองค์ได้ตรัสสรุปไว้ชัดว่าความสุขระดับวิมุตติ คือหลุดพ้นจากความถือมั่นในภพทั้งปวงนั้นเป็นอย่างไร เราสามารถนำไปพรรณนาให้ผู้ป่วยใกล้ตายได้ฟังเพื่อความเลื่อมใสหนักแน่นขึ้น คือเปรียบแล้ว เหมือนสระโบกขรณี มีน้ำอันสะอาดใสเย็นอยู่ตลอด กับทั้งมีท่าอันดี น่ารื่นรมย์ และในที่ไม่ไกลสระโบกขรณีนั้นมีแนวป่าอันทึบ ลำดับนั้นบุรุษผู้มีร่างอันความร้อนแผดเผาทั่วสรรพาง ค์ มีความเหน็ดเหนื่อยสะทกสะท้าน และกำลังหิวกระหาย มุ่งมาถึงสระโบกขรณีนี้ทีเดียว เขาลงสนานกายและดื่ม ดับความกระวนกระวาย ระงับความเหน็ดเหนื่อยและความร้อนรุ่มเสียได้ แล้วจึงขึ้นไปนั่งหรือนอนในแนวป่านั้นเสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว เพราะกิเลสเครื่องหมักดองทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอัน ยิ่งในปัจจุบัน


สรุปว่าวิมุตติสุขนั้น เป็นสุขเดียวที่ดับความกระจายได้สนิท ขอให้สังเกตการเปรียบเทียบของพระพุทธองค์ว่าวิมุตติหรือความหลุดพ้นจากกิเลสนั้น เป็นสถานที่เดียวที่มีน้ำให้ดื่มกินดับกระหาย ดับความกระวนกระวาย ดับความร้อนรุ่มได้สนิท


ขอเพียงผู้ป่วยหนักใกล้ตายมีความเลื่อมใสอย่างนี้ ปล่อยวางภพภูมิทั้งหลายด้วยปัญญาอันถูกต้องอย่างนี้ แม้จิตขาดกำลังเพียงพอจะเข้าถึงพระนิพพานอันเป็นความ ว่างจากภาวะทั้งปวง สงบจากการปรุงประกอบทุกข์ทั้งปวง อย่างน้อยที่สุดก่อนถึงวาระแห่งจุติจิต เขาย่อมเห็นนิมิตหมายอันเป็นมงคลเช่นเห็นองค์พระปฏิมาอร่ามเรือง หรือเห็นพระพุทธนิมิตเสมือนจริง หรือได้ยินเสียงเทศนาธรรมเพื่อความปล่อยวาง กระทำจิตให้แน่วไปในความเป็นมหากุศล เมื่อจิตสุดท้ายดับลง ย่อมเกิดจิตใหม่สืบต่อในสุคติภูมิอย่างแน่แท้ ไม่มีทางเลือนหลงพลัดตกลงไปสู่อบายภูมิได้เลยด้วยประ การใดๆทั้งสิ้น

*8q*
10-01-2009, 08:33 PM
บทสำรวจตนเอง

๑) เราเป็นผู้มีความอุ่นใจ สบายใจ มั่นใจ ว่าตนเองพรักพร้อมในการไปสู่โลกอื่นที่ดีกว่าหรือไม่ ?
๒) กรรมที่ทำเป็นประจำอันใด สร้างความอุ่นใจ สบายใจ มั่นใจ ว่าเรากำลังจะไปสู่สุคติ?
๓) กรรมที่ทำเป็นประจำอันใด สร้างความกังวล สับสน กลับไปกลับมา ว่าเราอาจมีทุคติเป็นที่ไป?
๔) เราเป็นผู้พร้อมจะละกรรมอันเป็นเหตุให้ไปทุคติ และพร้อมจะเพิ่มกรรมอันเป็นเหตุให้ไปสุคติหรือไม่?
๕) เราพร้อมจะตายพร้อมกับความรู้สึกศรัทธาในพระพุทธเจ้า หรือไม่?


สรุป

มีหลายสิ่งที่เราไม่อยากให้มันเป็นเรื่องจริง แต่มันก็เป็นเรื่องจริงมาชั่วกัปชั่วกัลป์ ดังเช่นหลายคืนเราไม่อยากตกอยู่ในห้วงแห่งฝันร้าย แต่เมื่อเหตุแห่งฝันร้ายมีอยู่ เราก็ต้องนอนหลับอย่างทุกข์ทรมานโดยไม่อาจขัดขืนจนกว่าจะตื่น ชีวิตหลังความตายก็เช่นกัน แม้เราเชื่อว่ามันไม่มีด้วยความทะนงตน หรือแม้เราภาวนาขออย่าให้มันมี หรือแม้เราสามารถรณรงค์ให้คนทั้งโลกเชื่อว่าชาติหน้า เป็นนิทานเหลวไหลแต่ขอเพียงมีเหตุให้มันมี อย่างไรมันก็ต้องมี


มันจะมีหรือไม่มี ทางที่ดีไม่ประมาทไว้ก่อน ดังที่พระพุทธองค์ทรงชี้ว่าถ้าเราทำดีแล้ว ย่อมเป็นสุขในปัจจุบัน และถ้าชาติหน้ามี ก็จะต้องไปดีด้วย เรียกว่าสำเร็จประโยชน์ทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วยการเพียรละความชั่วและสั่งสมความดีเข้าไว้ จะเป็นประกันชั้นเลิศสุด


การเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิในแต่ละครั้งอาจหมายถึงการแก้ตัวใหม่จากที่เคยผิดพลาด หรืออาจหมายถึงการทดสอบซ้ำว่าเราดีทนแค่ไหน ธรรมชาติจะลบความจำเราเกี่ยวกับภพเดิมๆให้สูญสิ้นไป แต่กรรมที่ทำเป็นประจำจะทำให้เราเคยชินอยู่กับนิสัยเดิมๆ การจะเปลี่ยนแปลงตนเองได้จำเป็นต้องพบกับผู้รู้แจ้ง
แทงตลอดในกรรมวิบากทั้งปวงเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นการปลูกฝังความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระศาสดา จึงเป็นกุศโลบายที่ดีในการเดินทางไกล ใครสามารถอุ่นใจได้ว่าเราจะตายพร้อมกับศรัทธาในพระพุทธองค์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้พกเอาเสบียงสำคัญที่สุดติดตัวไปด้วยแล้ว ยากแล้วที่จะพลัดไปมีครูผู้สอนสั่งเรื่องกรรมวิบากผิดๆ


สำคัญคือการปลูกฝังศรัทธาในพระพุทธองค์นั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าลงมือปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ทั้งในแง่ของการฝึกเสียสละ รู้จักให้ทานเพื่อละความตระหนี่ และทั้งในแง่ของการบำเพ็ญตนเป็นผู้ปลอดโปร่งจากบาปอกุศลทั้งปวงรักษาศีลจนกลายเป็นที่รักยิ่งกว่าสิ่งยั่วยุใดๆ เมื่อประสบสุขทางใจเต็มอิ่มแล้ว ก็จะบังเกิดความเลื่อมใสว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนความไม่เบียดเบียน เป็นผู้ชี้ทางตรง ทางถูกทางไปสู่สวรรค์นิพพานได้จริง เมื่อนั้นศรัทธาจะไม่คลอนแคลนและเราจะเป็นผู้มีคติที่ไปอันประเสริฐเสมอ


สมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์นั้น เมื่อภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรือ อุบาสิกา คนใดคนหนึ่งทำกาละ พระองค์ท่านมักจะตรัสพยากรณ์ว่าใครได้ไปเกิดใหม่ในภพ ใด เมื่อมีผู้ถามว่าพระองค์ทรงมีพุทธประสงค์อย่างไรในการพยากรณ์เช่นนั้น ท่านก็ตรัสตอบว่า

ตถาคตพยากรณ์สาวกทั้งหลายผู้ทำกาละไปแล้ว ว่าใครเกิดใหม่ในภพใดเช่นนี้ จะเพื่อให้คนพิศวงก็หามิได้ จะเพื่อเกลี้ยกล่อมคนก็หามิได้ จะเพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและคำสรรเสริญก็หามิได้ จะเพื่อให้เราเป็นที่รู้จักของมหาชนก็หามิได้

ดูก่อนอนุรุทธะ มีกุลบุตรจำนวนหนึ่งจะเกิดศรัทธามาก

เกิดความยินดีมาก เกิดความปราโมทย์มากหลังจากได้ฟังคำพยากรณ์

หนึ่งๆแล้ว และจะน้อมจิตเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้างนี่คือประสงค์

ของเรา ที่พยากรณ์ก็เพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข

แก่กุลบุตรเหล่านั้นสิ้นกาลนาน



การได้ยินได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับสุคติเพื่อเป็นศรัทธา เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เชื่อมั่นในหนทางไปสู่สุคติ คือก่อกรรมดี ละความตระหนี่ รักษาความสะอาดของจิต ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกอุ่นใจและเชื่อมั่นในการชี้แนะของพระพุทธเจ้ายิ่งๆขึ้น เพราะมหากุศลจิตย่อมให้ความรู้สึกปลอดภัยอันเป็นที่รู้อยู่กับตนเอง ผู้มีความพรักพร้อม ไม่ถูกกลุ้มรุมด้วยความตระหนี่ ไม่แปดเปื้อนมลทินจากการละเมิดศีล ย่อมมีความกล้าเผชิญความตาย เพราะมั่นใจเกินมนุษย์อื่นๆว่าถ้าภพหน้ามีเขาต้องได้ ไปดีกว่าที่เป็นอยู่ในภพมนุษย์แน่ๆ


พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ถ้ารักตัวเองแล้ว ก็ไม่ควรก่อบาปทั้งปวง เพราะความสุขนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทำชั่วจะได้พบโดยง่าย เมื่อบุคคลถูกมรณะครอบงำ ละทิ้งภพมนุษย์นี้ไป ก็มีอะไรเป็นสมบัติของเขาเล่า? เขาย่อมพาเอาอะไรไปด้วยเล่า? อะไรเล่าจะติดตามเขาไปประดุจเงาติดตามตนไป? ผู้ที่มาเกิดแล้วจำจะต้องตายในโลกนี้ ไม่ว่าจะทำกรรมอันใดไว้ ทั้งที่เป็นบุญและเป็นบาป บุญและบาปนั้นแลเป็นสมบัติของเขา เขาจะพาเอาบุญและบาปนั้นไป บุญและบาปนั้นย่อมติดตามเขาไปประดุจเงาติดตามตนไป ฉะนั้นทุกคนควรทำกรรมอันดีสะสมไว้เป็นสมบัติในปรโลก บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก


http://board.agalico.com/showthread.php?t=33049 ขอบคุนครับ