Butsaya
10-27-2009, 08:12 PM
คติความตายคือนิยายชีวิต
พระครูภาวนาวิสุทธิ์
เรื่อง คนตายไปแล้วจะไปเกิดหรือไม่นั้น มีความเข้าใจกันไปหลายกระแส บางท่านก็เข้าใจว่าร่างกายของคนเรานี้ ประกอบขึ้นด้วยรูปหรือวัตถุ
เมื่อคนตายร่างกายก็ฝังจมดินไป ไม่สามารถจะไปเกิดได้อีก ในบรรดาผู้ ที่เข้าใจว่าตายแล้วจะต้องไปเกิดอีก ก็มีความเข้าใจแตกแยกออกไปมาก
เช่นผู้ตายจะต้องไปอยู่ในสวรรค์หรือในนรก ก็แล้วแต่ผลของการกระทำของตน และสวรรค์หรือนรกนั้นได้มีผู้สร้างขึ้น สำหรับลงโทษหรือให้รางวัลตลอดนิรันดร
โดยไม่กลับมาเป็นมนุษย์อีก บางท่านเข้าใจว่าคนที่ตายจะต้องไปเกิดเป็นคนเท่านั้น ไปเกิดเป็นสัตว์ไม่ได้ แต่บางท่านว่าไปเกิดเป็นคนหรือสัตว์ก็ได้
บางคนว่าจิตหรือวิญญาณหรือเจตภูมินี้เป็นอมตะ เมื่อร่างกายของคนแตกดับไปแล้ว วิญญาณก็จะออกจากร่าง ล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่
บางคนที่ศึกษาวิชาการทางโลกทางวิทยาศาสตร์มามาก ๆ ก็เข้าใจว่า ถ้าบุคคลใดมีลูกเต้าสืบออกไปเรื่อย ๆ ก็จะไปเกิดได้อีกคือสืบต่อไปเรื่อย ๆ
ตามหลักของชีววิทยา เพราะลูกทุก ๆ คนนั้นก็สืบต่อมาจากเซลล์ของพ่อแม่นั่นเอง เมื่อสืบต่อไปหลาย ๆ ชั่วแล้วชีวิตเดิมก็จะปรากฏขึ้นมาอีก
แต่ บางคนกลับมีความเห็นว่า ร่างกายนั้นประกอบไปด้วยรูปหรือวัตถุ ความรู้สึกนึกคิดนั้นเป็นหน้าที่ของมันสมองซึ่งได้วิวัฒนาการทีละน้อย ๆ
มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ จนมีอำนาจการนึกคิด และรู้สึกได้ แต่เมื่อตายแล้วก็เป็นอันหมดเรื่องกัน ไม่สามารถที่จะไปเกิดได้อีกเลย
เรื่องนี้เป็นเรื่องมากคนก็มากความคิดเห็น แม้เจ้าของลัทธิศาสนาใหญ่ ๆ หลายท่านก็มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน เพราะเรื่องคนเกิดหรือคนตาย
เราเห็นได้ง่าย ๆ แต่เรื่องตายแล้วไปเกิดได้หรือไม่เป็นเรื่องลึกลับ เป็นปัญหาโลกแตกมาจนบัดนี้
สำหรับ คำสอนของพระพุทธศาสนานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่าคนตายแล้วไปเกิดอีกได้ และจะไปเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์อีกก็ได้ แต่อย่างไรก็ดี
พระองค์มิได้สอนไว้เฉย ๆ หรือลอย ๆ ว่า คนตายแล้วไปเกิดได้เท่านั้น หากแต่ให้รายละเอียดในเรื่องนี้ไว้เป็นขั้นเป็นตอนอย่างน่าพิสดาร
ถึงวิธีที่ไปเกิดได้อย่างไร มีอะไรบ้าง ไปอย่างไร เกิดอย่างไร พระองค์สอนไว้ยากง่ายเป็นชั้น ๆ แล้วแต่วุฒิของบุคคล ผู้ใดสนใจศึกษา มีพื้นฐานดี
ก็สามารถเข้าใจได้ละเอียดขึ้น
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า คนตายแล้วไปเกิดได้ก็ดี แต่ความคิดเห็นของศาสนาอีกหลายศาสนานั้น ก็ตรงกันในหลักใหญ่ ๆ
ของพระพุทธศาสนาที่ว่า “เกิดอีก” เท่านั้น เช่น ศาสนาพราหมณ์ ถือว่า คนตายแล้วจิตหรือวิญญาณก็ล่องลอยออกจากร่างไปปฏิสนธิใหม่
เหตุนี้จิตหรือวิญญาณก็เป็นอมตะ ไม่มีวันตายเมื่อจากคนนี้ก็ไปสู่คนนั้น เมื่อจากคนนั้นก็ไปสู่คนอื่น ๆ ต่อไปตามลำดับ เหมือนคนอาศัยอยู่ในบ้าน
เมื่อบ้านพังลงแล้วจะอาศัยอยู่ไม่ได้ ก็ต้องเดินทางไปหาบ้านอยู่ใหม่ต่อไป แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ตรงกันข้าม พระองค์สอนว่าจิตหรือ
วิญญาณนั้นมิได้เป็นอมตะ ไม่มีวันตาย หากแต่เกิดดับสืบต่อไปไม่ขาดสาย และจิตใจก็ล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ไม่ได้เลย จะเทียบคนย้ายจากบ้านที่จะพังหาได้ไม่
ยิ่งกว่านั้นความเข้าใจที่ว่า การที่ไปเกิดได้ก็ไปแต่จิตหรือวิญญาณเท่านั้น ก็เป็นความเข้าใจผิด เพราะยังมีรูปอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า กัมมชรูป คือ
รูปอันเกิดแต่กรรมก็ร่วมในการปฏิสนธิ ด้วย สำหรับในข้อนี้เป็นอีกข้อหนึ่งที่ท่านจะได้เห็นความพิสดารน่าอัศจรรย์ ในพระพุทธศาสนา เพราะไม่ว่าใคร
หรือศาสดาองค์ไหนที่ว่าคนตายแล้วไปเกิดได้ ก็จะต้องไปแต่จิตหรือวิญญาณเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นมิได้แสดงการตาย การเกิดให้ชัดแจ้งอย่างไร
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า นอกจากจิตไม่ใช่ล่องลอยไปแล้ว รูปบางชนิดก็ไปเกิดได้ ส่วนจะไปได้อย่างไร รูปอะไรบ้าง มีเหตุผลหลักฐานข้อเท็จจริงอย่างไรนั้น ขอได้โปรดอ่านต่อไป
การที่เข้าใจว่า คนตายแล้วไปเกิดได้นั้น จะต้องมีความเข้าใจในเรื่องจิต เรื่องรูป เรื่องกรรม และความตายมีกี่อย่าง ขณะใกล้ตายมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
มีความรู้สึกอย่างไร และจิตใจทำงานกันอย่างไร ฯลฯ ให้เข้าใจดีเสียก่อน ดังนั้นท่านก็จะเห็นได้ว่า เรื่องตายเรื่องเกิดนี้ จะกล่าวกันง่าย ๆ และให้เข้าใจดีนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
ก่อนอื่นอาตมาขอย้อนไปถึงเรื่องจิตอีกครั้งหนึ่ง ตามที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นตอน ๆ ว่า จิตนั้นเป็นธรรมชาติ ที่รู้อารมณ์ รู้นึกคิด จดจำ จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่มีความเกิด ดับ
สืบต่อกันเสมอเป็นนิจ มิได้หยุดนิ่ง และจิตนั้นเป็นนามธรรมที่ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ แต่ก็มีอำนาจในการสั่งสมสันดานหรือสามารถเก็บเอาอารมณ์ต่าง ๆ ไว้ในจิต
แล้วก็แสดงออกซึ่งอารมณ์นั้นได้ เมื่อแยกการทำงานของจิตออกจะได้เป็นสองชนิด คือ
๑. การงานที่จิตกระทำ ได้แก่การที่จิตขึ้นวิถีรับอารมณ์ต่าง ๆ จากทางทวารหรือประตูทั้ง ๖ คือรับอารมณ์จากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เช่น เห็น ได้ยิน คิด เป็นต้น
๒. จิตเป็นภวังค์ ได้แก่จิตมิได้ขึ้นวิถีรับอารมณ์ต่าง ๆ จากทางทวารหรือประตูทั้ง ๖ จากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจเลย แต่จิตก็ทำงานอยู่ตลอดเวลา คือ เกิด-ดับ และมีอารมณ์ติดมาตั้งแต่ปฏิสนธิ
การที่อาตมาแยกการงานของจิตออกเป็น ๒ ชนิด เช่นนี้เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่รับอารมณ์ตามทวารทั้ง ๖ นั้น จิตก็ทำงานและจิตที่เป็นภวังค์มิได้ขึ้นวิธีรับอารมณ์ จิตก็ทำงานเหมือนกัน
พระครูภาวนาวิสุทธิ์
เรื่อง คนตายไปแล้วจะไปเกิดหรือไม่นั้น มีความเข้าใจกันไปหลายกระแส บางท่านก็เข้าใจว่าร่างกายของคนเรานี้ ประกอบขึ้นด้วยรูปหรือวัตถุ
เมื่อคนตายร่างกายก็ฝังจมดินไป ไม่สามารถจะไปเกิดได้อีก ในบรรดาผู้ ที่เข้าใจว่าตายแล้วจะต้องไปเกิดอีก ก็มีความเข้าใจแตกแยกออกไปมาก
เช่นผู้ตายจะต้องไปอยู่ในสวรรค์หรือในนรก ก็แล้วแต่ผลของการกระทำของตน และสวรรค์หรือนรกนั้นได้มีผู้สร้างขึ้น สำหรับลงโทษหรือให้รางวัลตลอดนิรันดร
โดยไม่กลับมาเป็นมนุษย์อีก บางท่านเข้าใจว่าคนที่ตายจะต้องไปเกิดเป็นคนเท่านั้น ไปเกิดเป็นสัตว์ไม่ได้ แต่บางท่านว่าไปเกิดเป็นคนหรือสัตว์ก็ได้
บางคนว่าจิตหรือวิญญาณหรือเจตภูมินี้เป็นอมตะ เมื่อร่างกายของคนแตกดับไปแล้ว วิญญาณก็จะออกจากร่าง ล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่
บางคนที่ศึกษาวิชาการทางโลกทางวิทยาศาสตร์มามาก ๆ ก็เข้าใจว่า ถ้าบุคคลใดมีลูกเต้าสืบออกไปเรื่อย ๆ ก็จะไปเกิดได้อีกคือสืบต่อไปเรื่อย ๆ
ตามหลักของชีววิทยา เพราะลูกทุก ๆ คนนั้นก็สืบต่อมาจากเซลล์ของพ่อแม่นั่นเอง เมื่อสืบต่อไปหลาย ๆ ชั่วแล้วชีวิตเดิมก็จะปรากฏขึ้นมาอีก
แต่ บางคนกลับมีความเห็นว่า ร่างกายนั้นประกอบไปด้วยรูปหรือวัตถุ ความรู้สึกนึกคิดนั้นเป็นหน้าที่ของมันสมองซึ่งได้วิวัฒนาการทีละน้อย ๆ
มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ จนมีอำนาจการนึกคิด และรู้สึกได้ แต่เมื่อตายแล้วก็เป็นอันหมดเรื่องกัน ไม่สามารถที่จะไปเกิดได้อีกเลย
เรื่องนี้เป็นเรื่องมากคนก็มากความคิดเห็น แม้เจ้าของลัทธิศาสนาใหญ่ ๆ หลายท่านก็มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน เพราะเรื่องคนเกิดหรือคนตาย
เราเห็นได้ง่าย ๆ แต่เรื่องตายแล้วไปเกิดได้หรือไม่เป็นเรื่องลึกลับ เป็นปัญหาโลกแตกมาจนบัดนี้
สำหรับ คำสอนของพระพุทธศาสนานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่าคนตายแล้วไปเกิดอีกได้ และจะไปเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์อีกก็ได้ แต่อย่างไรก็ดี
พระองค์มิได้สอนไว้เฉย ๆ หรือลอย ๆ ว่า คนตายแล้วไปเกิดได้เท่านั้น หากแต่ให้รายละเอียดในเรื่องนี้ไว้เป็นขั้นเป็นตอนอย่างน่าพิสดาร
ถึงวิธีที่ไปเกิดได้อย่างไร มีอะไรบ้าง ไปอย่างไร เกิดอย่างไร พระองค์สอนไว้ยากง่ายเป็นชั้น ๆ แล้วแต่วุฒิของบุคคล ผู้ใดสนใจศึกษา มีพื้นฐานดี
ก็สามารถเข้าใจได้ละเอียดขึ้น
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า คนตายแล้วไปเกิดได้ก็ดี แต่ความคิดเห็นของศาสนาอีกหลายศาสนานั้น ก็ตรงกันในหลักใหญ่ ๆ
ของพระพุทธศาสนาที่ว่า “เกิดอีก” เท่านั้น เช่น ศาสนาพราหมณ์ ถือว่า คนตายแล้วจิตหรือวิญญาณก็ล่องลอยออกจากร่างไปปฏิสนธิใหม่
เหตุนี้จิตหรือวิญญาณก็เป็นอมตะ ไม่มีวันตายเมื่อจากคนนี้ก็ไปสู่คนนั้น เมื่อจากคนนั้นก็ไปสู่คนอื่น ๆ ต่อไปตามลำดับ เหมือนคนอาศัยอยู่ในบ้าน
เมื่อบ้านพังลงแล้วจะอาศัยอยู่ไม่ได้ ก็ต้องเดินทางไปหาบ้านอยู่ใหม่ต่อไป แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ตรงกันข้าม พระองค์สอนว่าจิตหรือ
วิญญาณนั้นมิได้เป็นอมตะ ไม่มีวันตาย หากแต่เกิดดับสืบต่อไปไม่ขาดสาย และจิตใจก็ล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ไม่ได้เลย จะเทียบคนย้ายจากบ้านที่จะพังหาได้ไม่
ยิ่งกว่านั้นความเข้าใจที่ว่า การที่ไปเกิดได้ก็ไปแต่จิตหรือวิญญาณเท่านั้น ก็เป็นความเข้าใจผิด เพราะยังมีรูปอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า กัมมชรูป คือ
รูปอันเกิดแต่กรรมก็ร่วมในการปฏิสนธิ ด้วย สำหรับในข้อนี้เป็นอีกข้อหนึ่งที่ท่านจะได้เห็นความพิสดารน่าอัศจรรย์ ในพระพุทธศาสนา เพราะไม่ว่าใคร
หรือศาสดาองค์ไหนที่ว่าคนตายแล้วไปเกิดได้ ก็จะต้องไปแต่จิตหรือวิญญาณเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นมิได้แสดงการตาย การเกิดให้ชัดแจ้งอย่างไร
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า นอกจากจิตไม่ใช่ล่องลอยไปแล้ว รูปบางชนิดก็ไปเกิดได้ ส่วนจะไปได้อย่างไร รูปอะไรบ้าง มีเหตุผลหลักฐานข้อเท็จจริงอย่างไรนั้น ขอได้โปรดอ่านต่อไป
การที่เข้าใจว่า คนตายแล้วไปเกิดได้นั้น จะต้องมีความเข้าใจในเรื่องจิต เรื่องรูป เรื่องกรรม และความตายมีกี่อย่าง ขณะใกล้ตายมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
มีความรู้สึกอย่างไร และจิตใจทำงานกันอย่างไร ฯลฯ ให้เข้าใจดีเสียก่อน ดังนั้นท่านก็จะเห็นได้ว่า เรื่องตายเรื่องเกิดนี้ จะกล่าวกันง่าย ๆ และให้เข้าใจดีนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
ก่อนอื่นอาตมาขอย้อนไปถึงเรื่องจิตอีกครั้งหนึ่ง ตามที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นตอน ๆ ว่า จิตนั้นเป็นธรรมชาติ ที่รู้อารมณ์ รู้นึกคิด จดจำ จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่มีความเกิด ดับ
สืบต่อกันเสมอเป็นนิจ มิได้หยุดนิ่ง และจิตนั้นเป็นนามธรรมที่ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ แต่ก็มีอำนาจในการสั่งสมสันดานหรือสามารถเก็บเอาอารมณ์ต่าง ๆ ไว้ในจิต
แล้วก็แสดงออกซึ่งอารมณ์นั้นได้ เมื่อแยกการทำงานของจิตออกจะได้เป็นสองชนิด คือ
๑. การงานที่จิตกระทำ ได้แก่การที่จิตขึ้นวิถีรับอารมณ์ต่าง ๆ จากทางทวารหรือประตูทั้ง ๖ คือรับอารมณ์จากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เช่น เห็น ได้ยิน คิด เป็นต้น
๒. จิตเป็นภวังค์ ได้แก่จิตมิได้ขึ้นวิถีรับอารมณ์ต่าง ๆ จากทางทวารหรือประตูทั้ง ๖ จากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจเลย แต่จิตก็ทำงานอยู่ตลอดเวลา คือ เกิด-ดับ และมีอารมณ์ติดมาตั้งแต่ปฏิสนธิ
การที่อาตมาแยกการงานของจิตออกเป็น ๒ ชนิด เช่นนี้เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่รับอารมณ์ตามทวารทั้ง ๖ นั้น จิตก็ทำงานและจิตที่เป็นภวังค์มิได้ขึ้นวิธีรับอารมณ์ จิตก็ทำงานเหมือนกัน