**wan**
10-26-2008, 03:39 PM
http://www.dhammajak.net/gallery/albums/userpics/normal_%CB%C5%C7%A7%BB%D9%E8%CA%D4%C1%20%BE%D8%B7%B8%D2%A8%D2%E2%C3%204.jpg
ถ้าตั้งใจจริงย่อมมีเวลาภาวนา
พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
5 พฤษภาคม 2519
โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 009928 โดยคุณ : ความคิด [ 25 ก.ย. 2546 ]
ณ โอกาสนี้ไปเป็นโอกาสนั่งสมาธิภาวนา การนั่งสมาธิภาวนาตอนเช้านี้ ให้ระวังอย่าให้ความง่วงเหงาหาวนอนเข้ามาทับถมจิตใจ ตั้งใจของเรา ให้มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้น ก่อนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านได้ตั้งใจปรารถนา เพื่อจะรื้อขนสัตว์ในโลกให้ไปสู่นิพพานพร้อมกับพระองค์ด้วย ไม่เฉพาะแต่ว่าเอาพระองค์พ้นทุกข์แล้วก็พอ เหมือนคนธรรมดาทั่วไป คนธรรมดานั้นเรียกว่าเห็นแก่ประโยชน์ตน สิ่งใดที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนแล้วก็ตั้งอกตั้งใจทำเอา
แต่พระพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์ผู้มุ่งใหญ่นั้น ไม่เฉพาะแต่พระองค์เองเท่านั้น เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ก็ตั้งใจช่วยมนุษย์และเทวดา อินทร์ พรหมทั้งหลาย เรียกว่า ช่วยสัตว์โลก การที่ผู้จะช่วยสัตว์โลกได้นั้น จะต้องบำเพ็ญบารมีธรรมมานาน เรียกว่าอย่างต่ำ หรือว่าอย่างตรัสรู้ได้เร็ว ก็เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี้ นับตั้งแต่ได้ลัทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรมาสี่อสงไขยแสนมหากัปป์ จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ให้เราท่านทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา นั่งภาวนาตามอยู่เวลานี้ เรียกว่าเป็นเวลายาวนาน อันนี้เรียกว่าอย่างได้ตรัสรู้ง่าย ใช้ปัญญาเร่งรัด
ขนาดที่สองหรืออย่างกลางนั้น ผู้ปรารถนามีจิตใจอันเข้มแข็ง ขอให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าขนาดกลาง หรือศรัทธาธิกะ แปดอสงไขยแสนมหากัปป์ นับจากได้รับลัทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้ว ก็นับว่าองค์นี้มีความเพียรมาก
ขนาดสูงสุดเรียกว่าวิริยบารมี มีวิริยะความพากเพียรพยายามมาก องค์นี้เรียกว่าสิบหกอสงไขยแสนมหากัปป์ จึงได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วยรื้อขนสัตว์ทั้งหลายให้ไปสู่นิพพาน
โดยเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ที่ยังมีพุทธศาสนาอยู่ในโลกในศาสนานี้ ก็นับว่าได้รื้อขนสัตว์ไปสู่นิพพานได้มาก ประมาณยี่สิบหกอสงไขย คำว่าอสงไขยในสมัยโบราณก็เรียกว่านับไปๆ จนนับไม่ได้ เมื่อนับไปก็หลงไป ก็กลับมานับใหม่ ให้ชื่อว่าอสงไขยหนึ่ง เรียกว่าหลายๆล้าน
บัดนี้เราท่านทั้งหลาย ก็มาเกิดในยุคนี้สมัยนี้ แม้จะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าองค์ท่านจริงก็ตาม เราก็ได้เห็นพระพุทธรูปที่ท่านหล่อท่านทำไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเชื่อแน่ได้ว่า พระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมมีจริง พระอริยสงฆ์สาวกมีจริง จึงปรากฏการณ์ให้เห็นอยู่ ปรากฏอยู่ ประเทศไทยเรามีวัดวาศาสนา พระสถูปพระเจดีย์อยู่ทั่วไป วัดวาศาสนาก็มีพระภิกษุสามเณร ผ้าขาว นางชี อุบาสก อุบาสิกา มีศรัทธาทำบุญสุนทาน สิ่งเหล่านี้ย่อมแสดงถึงพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีพระธรรม ไม่มีพระสงฆ์ พระพุทธเจ้าไม่มาตรัสรู้ สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่ปรากฏในสายตาเราท่านทั้งหลายที่เกิดมานี้
นี่แสดงให้เราท่านทั้งหลายเห็นว่า พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย บำเพ็ญบารมีมาเต็มส่วน จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า รื้อขนสัตว์ให้พ้นทุกข์ไปสู่นิพพาน ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงมุ่งหมายไว้
เราทุกคนก็อย่ามีจิตใจท้อแท้อ่อนแอ อย่ามาคิดว่าเราทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ อันนี้ท่านว่าเป็นความคิดของพญามาร สังขารมารมันเสี้ยมสอนจิตใจคนเราไว้ไม่ให้ไปสู่นิพพาน ให้มาเกิดมาตายอยู่กับลูกกับหลานนี้แหละ
เมื่อเรามาพิจารณาให้เห็นว่า การเกิดมาในโลกนี้ จะเป็นมนุษย์โลกก็มีความทุกข์ เทวโลกก็มีความทุกข์ในเทวโลก ไปเกิดในพรหมโลกก็ไปทุกข์ในพรหมโลก คำว่าทุกข์นั้นก็คือว่า ไม่พ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่พ้นจากจุติปฏิสนธิ เมื่อเกิดมาแล้วก็เต็มไปด้วยความทุกข์ โดยเฉพาะคนหรือมนุษย์เรา พอเกิดมาแล้วชราความแก่ก็เป็นไปโดยลำดับ
นับตั้งแต่มาปฏิสนธิ คือว่ามายึดเอาถือเอารูปขันธ์ ขาสอง แขนสอง ศีรษะหนึ่งตั้งแต่ในท้องแม่มา ความแก่ชราก็แก่เรื่อยมา เรียกว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา จะหนีความแก่ไปไม่พ้น จะหนีหลบไปที่ไหนก็ตาม ถ้าไม่ตายเสียก่อนก็ย่อมแก่ชรา เว้นเสียตายแต่เมื่อเล็กเมื่อน้อย หรือตายเมื่อคลอดจากท้องแม่ก็ไม่แก่ แต่ว่าถ้าพ้นนั้นมาแล้ว มันต้องแก่วัน แก่คืน แก่เดือน แก่ปีมาจนถึงเราได้เห็นคนแก่ คนชรา ผมขาวฟันหลุด เนื้อหนังมังสังเหี่ยวแห้ง หูตาไม่ดี ตาก็ไม่ดี หูก็ไม่ดี อะไรๆก็ไม่ดี
คนแก่ คนเฒ่าเวลามาที่วัด ก็มักจะบ่นว่า ข้าพเจ้าแก่แล้ว เดินมาวัดก็ไม่ไหว จดจำอะไรก็ไม่ค่อยได้ ยิ่งถ้าหากว่าขึ้นที่สูง ขึ้นภูเขาอย่างถ้ำผาปล่องนี้ ก็สู้ไม่ไหว หัวเข่ามันไม่สู้ ใจนั้นมันยังสู้อยู่ หัวเขามันไม่สู้ ความจริงก็คือว่าใจมันไม่สู้นั่นเอง หัวเข่ามันไม่พูดอะไร จิตใจมนุษย์มันท้อถอยต่างหาก แล้วตาของคนแก่มันก็ไม่ค่อยเห็น บางคนตาข้างหนึ่งก็ไม่เห็นเสียแล้ว เห็นข้างเดียว บางคนหูก็ฟังอะไรไม่ค่อยได้ยิน
นี่ก็คือว่าคำว่าแก่ชรา มันไม่ใช่แก่ชราแต่ผม แก่ไปทุกอย่างนั้นแหละ เพราะว่าในร่างกายมนุษย์คนเรานั้น ไม่เหมือนเครื่องยนต์กลไกของโลก เครื่องยนต์กลไกของโลกนั้น สิ่งใดที่มันเสียมันหักมันพัง ก็ถอดออกมา เอาเครื่องใหม่ใส่เข้าไปก็ทำงานได้ มนุษย์นั้นถอดออกมาไม่ได้ เกิดมีกระดูกหักเข้าไป หรืออะไรต่อมิอะไรมันเสียอยู่ข้างใน เอามาแก้ไขไม่ได้ เยียวยาพยาบาลไปตามเรื่อง ไม่เหมือนเครื่องยนต์กลไก นี่คือว่าความแก่ ความชราของเรานั้น เป็นไปทุกวันเวลา ทุกชั่วโมง นาที วินาที ถ้าเราไม่ภาวนาก็ไม่รู้
ถ้าภาวนาแล้วจะเห็นว่า หนีไม่พ้นจริงๆ ใครจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็ต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ความแก่ ความเจ็บ ความไข้ ความตาย ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดาของการเกิดมา เกิดมาต้องเป็นทุกข์อย่างนี้ เกิดมาแล้วจะหลบหลีกไม่ได้
แต่เมื่อมีพุทธศาสนา มีพระธรรมวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มาตรัสสอนไว้นั้น ท่านว่ายังมีทางอยู่ คือไม่ใช่ว่าเราจะมาหลบหลีกในทางรูปขันธ์ รูปขันธ์นี้หนีไม่พ้นความแก่ ความชรา ความเจ็บไข้และความตาย ความพลัดพรากจากสิ่งต่างๆ แต่ท่านให้ภาวนาทำความเพียรปฏิบัติบูชา ภาวนาละกิเลส ละกิเลสให้ออกจากจิตใจได้ นั่นแหละทางที่จะพ้นไปจากความแก่ ความเจ็บ ความไข้ ความตาย มันพ้นได้จริงๆ แต่ว่าในภพนี้ชาตินี้ที่เราเกิดมานั้น มันต้องเป็นไปตามชรา พยาธิ มรณะทุกคน
จิตใจผู้รู้อยู่ในตัวในใจเราทุกคนนั้นแหละ ถ้าจิตอันนั้นบำเพ็ญทานมาเต็มที่ รักษาศีลมาเต็มที่ บุญบารมีทั้งอดีตและปัจจุบันก็ไม่ท้อถอย บำเพ็ญภาวนาตั้งใจเพื่อละกิเลส ความโกรธ ความโลภ ความหลงในใจของตนอยู่ทุกเวลา หรือในเมื่อเวลาอารมณ์เรื่องราวต่างๆมันกระทบหู กระทบตา กระทบใจเข้ามา ก็ไม่ต้องไปยึดถือ
ความจริงแล้วเรื่องกระทบต่างๆนั้น มันเป็นเครื่องสอน เป็นเครื่องบอก บอกว่าอย่างไร ถ้าเรายังมีความโกรธ ความขัดเคืองให้แก่คน ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ให้แก่วัตถุทั้งหลายในโลก ก็แสดงว่ากิเลสความโกรธ กิเลสความอิจฉา พยาบาทในจิตในใจของเรา ที่เรียกว่าความโกรธมานะทิฏฐิในนั้นมันมี ถ้มันไม่มี มันไม่ออกมาต่อต้าน เพราะว่าเจ้าโทสะนี้ ถ้าจะจัดอีกอย่างหนึ่งก็เรียกว่า เป็นยักษ์ใหญ่ ใครมาแตะต้องไม่ได้ ว่าไม่ดีให้ไม่ได้ ธรรมดายักษ์นี้เรียกว่าโกรธมาก หรือว่าสัตว์ก็เสือโคร่งแหละ ใครไปใกล้มันได้ เดี่ยวมันจะกัดคอเอาแหละ
ไอ้เจ้าโทสะนี่แหละ เราต้องเลิกละตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อย่ามายึดถือ ความโกรธอยู่ได้ก็เพราะว่า จิตเรายึดถือ ยึดถือเห็นดีว่าความโกรธนี้มีอำนาจวาสนา ใครมาเห็นเข้า ใครได้ฟังเข้าก็กลัว ยักษ์ใหญ่ใครก็กลัว เจ้าขี้โกรธนี้แหละ ต้องภาวนาเจริญเมตตาให้แก่ตัวเองแลมนุษย์อื่น สัตว์ทั้งหลาย ให้เขาทั้งหลายมีความสุขความสบาย ตามบุญบารมีของเขา เราอย่าไปเบียดเบียนเขาให้เกิดความทุกข์เพิ่มเติมไปอีก
ความทุกข์ของคนเรา มันเกิดขึ้นที่ความโกรธนี่มากมาย ในตัวของคนเราคนหนึ่งนั้น มันมีอยู่เต็มตัวก็ว่าได้ เหมือนน้ำเต็มอยู่ในหม้อในไหอย่างนั้นแหละ กิเลสความโกรธมันมีอยู่เต็มหัวใจ กิเลสความโลภ ความอยากได้ ความสุขสะดวกสบายในโลกนี้ ก็มีอยู่เต็มหัวใจ กิเลสความหลง หลงกาย หลงจิต หลงรูป หลงนาม หลงใหลไปหมดทุกอย่างทุกประการ มันก็เต็มหัวใจอยู่
จึงจำเป็นต้องนั่งสมาธิภาวนา บริกรรมทำใจให้สงบด้วยวิธีการต่างๆนานา ผู้ใดนึกถึงพุทโธพระพุทธเจ้า จิตใจสงบระงับท่านก็ให้นึกพุทโธนั้น ไม่ว่าอุบายใด ถ้านึกเจริญให้เต็มที่แล้ว อุบายนั้นก็เป็นอุบายให้จิตใจสงบระงับ ให้รู้แจ้งแทงตลอดในธรรมได้ทุกอย่าง แต่ที่มันไม่ได้ไม่เป็นไปนั้น เพราะว่าการประกอบการกระทำของแต่ละจิตใจของแต่ละบุคคลนั้นมันน้อย มันยังไม่พอ
ในอดีต ไม่ต้องไปคิดถึง เอาชาติปัจจุบันเดี๋ยวนี้เวลานี้ อันอดีตนั้นถ้าปัจจุบันดี มีตาดี หูดี ร่างกายดี มีจิตใจไม่ได้เป็นใบ้บ้าเสียจริตผิดมนุษย์ประการใดแล้ว ก็แสดงให้เห็นว่า บุญบารมีเราทุกคนได้บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนามาพอสมควร ถ้าชาตินี้เวลานี้เราเร่งเข้าไป ภาวนาไม่ท้อถอย ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอันใดก็ตาม มันไม่ได้ขึ้นกับอายุ ไม่ได้ขึ้นกับพรรษา ไม่ได้ขึ้นกับเพศหญิงเพศชาย ไม่ได้ขึ้นกับคฤหัสถ์และบรรพชิต มันขึ้นกับสติปัญญาความตั้งใจของแต่ละบุคคล แต่ละจิตใจ
เมื่อบุคคลนั้นมีจิตใจแน่วแน่มั่นคง ภาวนาทุกลมหายใจเข้าออก และมองเห็นชรา พยาธิ มรณะจะมาถึงตัวอยู่ทุกขณะทุกเวลา เมื่อเราเกิดมา ก็ได้ร่างกายสังขารอันนี้มา ถ้าคนเราตายไปเมื่อใดเวลาใด ร่างกายสังขารนี้ก็ทิ้งไว้ในโลกนี้ให้มนุษย์ที่เขายังไม่ตายเอาไปเผาเอาไปฝังที่ป่าช้า ตามเรื่องของเขา ตัวเราจิตใจเราเอาอะไรไปไม่ได้
ôôôôô ต่อหน้า 2 ôôôôô
ถ้าตั้งใจจริงย่อมมีเวลาภาวนา
พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
5 พฤษภาคม 2519
โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 009928 โดยคุณ : ความคิด [ 25 ก.ย. 2546 ]
ณ โอกาสนี้ไปเป็นโอกาสนั่งสมาธิภาวนา การนั่งสมาธิภาวนาตอนเช้านี้ ให้ระวังอย่าให้ความง่วงเหงาหาวนอนเข้ามาทับถมจิตใจ ตั้งใจของเรา ให้มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้น ก่อนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านได้ตั้งใจปรารถนา เพื่อจะรื้อขนสัตว์ในโลกให้ไปสู่นิพพานพร้อมกับพระองค์ด้วย ไม่เฉพาะแต่ว่าเอาพระองค์พ้นทุกข์แล้วก็พอ เหมือนคนธรรมดาทั่วไป คนธรรมดานั้นเรียกว่าเห็นแก่ประโยชน์ตน สิ่งใดที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนแล้วก็ตั้งอกตั้งใจทำเอา
แต่พระพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์ผู้มุ่งใหญ่นั้น ไม่เฉพาะแต่พระองค์เองเท่านั้น เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ก็ตั้งใจช่วยมนุษย์และเทวดา อินทร์ พรหมทั้งหลาย เรียกว่า ช่วยสัตว์โลก การที่ผู้จะช่วยสัตว์โลกได้นั้น จะต้องบำเพ็ญบารมีธรรมมานาน เรียกว่าอย่างต่ำ หรือว่าอย่างตรัสรู้ได้เร็ว ก็เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี้ นับตั้งแต่ได้ลัทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรมาสี่อสงไขยแสนมหากัปป์ จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ให้เราท่านทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา นั่งภาวนาตามอยู่เวลานี้ เรียกว่าเป็นเวลายาวนาน อันนี้เรียกว่าอย่างได้ตรัสรู้ง่าย ใช้ปัญญาเร่งรัด
ขนาดที่สองหรืออย่างกลางนั้น ผู้ปรารถนามีจิตใจอันเข้มแข็ง ขอให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าขนาดกลาง หรือศรัทธาธิกะ แปดอสงไขยแสนมหากัปป์ นับจากได้รับลัทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้ว ก็นับว่าองค์นี้มีความเพียรมาก
ขนาดสูงสุดเรียกว่าวิริยบารมี มีวิริยะความพากเพียรพยายามมาก องค์นี้เรียกว่าสิบหกอสงไขยแสนมหากัปป์ จึงได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วยรื้อขนสัตว์ทั้งหลายให้ไปสู่นิพพาน
โดยเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ที่ยังมีพุทธศาสนาอยู่ในโลกในศาสนานี้ ก็นับว่าได้รื้อขนสัตว์ไปสู่นิพพานได้มาก ประมาณยี่สิบหกอสงไขย คำว่าอสงไขยในสมัยโบราณก็เรียกว่านับไปๆ จนนับไม่ได้ เมื่อนับไปก็หลงไป ก็กลับมานับใหม่ ให้ชื่อว่าอสงไขยหนึ่ง เรียกว่าหลายๆล้าน
บัดนี้เราท่านทั้งหลาย ก็มาเกิดในยุคนี้สมัยนี้ แม้จะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าองค์ท่านจริงก็ตาม เราก็ได้เห็นพระพุทธรูปที่ท่านหล่อท่านทำไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเชื่อแน่ได้ว่า พระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมมีจริง พระอริยสงฆ์สาวกมีจริง จึงปรากฏการณ์ให้เห็นอยู่ ปรากฏอยู่ ประเทศไทยเรามีวัดวาศาสนา พระสถูปพระเจดีย์อยู่ทั่วไป วัดวาศาสนาก็มีพระภิกษุสามเณร ผ้าขาว นางชี อุบาสก อุบาสิกา มีศรัทธาทำบุญสุนทาน สิ่งเหล่านี้ย่อมแสดงถึงพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีพระธรรม ไม่มีพระสงฆ์ พระพุทธเจ้าไม่มาตรัสรู้ สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่ปรากฏในสายตาเราท่านทั้งหลายที่เกิดมานี้
นี่แสดงให้เราท่านทั้งหลายเห็นว่า พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย บำเพ็ญบารมีมาเต็มส่วน จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า รื้อขนสัตว์ให้พ้นทุกข์ไปสู่นิพพาน ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงมุ่งหมายไว้
เราทุกคนก็อย่ามีจิตใจท้อแท้อ่อนแอ อย่ามาคิดว่าเราทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ อันนี้ท่านว่าเป็นความคิดของพญามาร สังขารมารมันเสี้ยมสอนจิตใจคนเราไว้ไม่ให้ไปสู่นิพพาน ให้มาเกิดมาตายอยู่กับลูกกับหลานนี้แหละ
เมื่อเรามาพิจารณาให้เห็นว่า การเกิดมาในโลกนี้ จะเป็นมนุษย์โลกก็มีความทุกข์ เทวโลกก็มีความทุกข์ในเทวโลก ไปเกิดในพรหมโลกก็ไปทุกข์ในพรหมโลก คำว่าทุกข์นั้นก็คือว่า ไม่พ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่พ้นจากจุติปฏิสนธิ เมื่อเกิดมาแล้วก็เต็มไปด้วยความทุกข์ โดยเฉพาะคนหรือมนุษย์เรา พอเกิดมาแล้วชราความแก่ก็เป็นไปโดยลำดับ
นับตั้งแต่มาปฏิสนธิ คือว่ามายึดเอาถือเอารูปขันธ์ ขาสอง แขนสอง ศีรษะหนึ่งตั้งแต่ในท้องแม่มา ความแก่ชราก็แก่เรื่อยมา เรียกว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา จะหนีความแก่ไปไม่พ้น จะหนีหลบไปที่ไหนก็ตาม ถ้าไม่ตายเสียก่อนก็ย่อมแก่ชรา เว้นเสียตายแต่เมื่อเล็กเมื่อน้อย หรือตายเมื่อคลอดจากท้องแม่ก็ไม่แก่ แต่ว่าถ้าพ้นนั้นมาแล้ว มันต้องแก่วัน แก่คืน แก่เดือน แก่ปีมาจนถึงเราได้เห็นคนแก่ คนชรา ผมขาวฟันหลุด เนื้อหนังมังสังเหี่ยวแห้ง หูตาไม่ดี ตาก็ไม่ดี หูก็ไม่ดี อะไรๆก็ไม่ดี
คนแก่ คนเฒ่าเวลามาที่วัด ก็มักจะบ่นว่า ข้าพเจ้าแก่แล้ว เดินมาวัดก็ไม่ไหว จดจำอะไรก็ไม่ค่อยได้ ยิ่งถ้าหากว่าขึ้นที่สูง ขึ้นภูเขาอย่างถ้ำผาปล่องนี้ ก็สู้ไม่ไหว หัวเข่ามันไม่สู้ ใจนั้นมันยังสู้อยู่ หัวเขามันไม่สู้ ความจริงก็คือว่าใจมันไม่สู้นั่นเอง หัวเข่ามันไม่พูดอะไร จิตใจมนุษย์มันท้อถอยต่างหาก แล้วตาของคนแก่มันก็ไม่ค่อยเห็น บางคนตาข้างหนึ่งก็ไม่เห็นเสียแล้ว เห็นข้างเดียว บางคนหูก็ฟังอะไรไม่ค่อยได้ยิน
นี่ก็คือว่าคำว่าแก่ชรา มันไม่ใช่แก่ชราแต่ผม แก่ไปทุกอย่างนั้นแหละ เพราะว่าในร่างกายมนุษย์คนเรานั้น ไม่เหมือนเครื่องยนต์กลไกของโลก เครื่องยนต์กลไกของโลกนั้น สิ่งใดที่มันเสียมันหักมันพัง ก็ถอดออกมา เอาเครื่องใหม่ใส่เข้าไปก็ทำงานได้ มนุษย์นั้นถอดออกมาไม่ได้ เกิดมีกระดูกหักเข้าไป หรืออะไรต่อมิอะไรมันเสียอยู่ข้างใน เอามาแก้ไขไม่ได้ เยียวยาพยาบาลไปตามเรื่อง ไม่เหมือนเครื่องยนต์กลไก นี่คือว่าความแก่ ความชราของเรานั้น เป็นไปทุกวันเวลา ทุกชั่วโมง นาที วินาที ถ้าเราไม่ภาวนาก็ไม่รู้
ถ้าภาวนาแล้วจะเห็นว่า หนีไม่พ้นจริงๆ ใครจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็ต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ความแก่ ความเจ็บ ความไข้ ความตาย ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดาของการเกิดมา เกิดมาต้องเป็นทุกข์อย่างนี้ เกิดมาแล้วจะหลบหลีกไม่ได้
แต่เมื่อมีพุทธศาสนา มีพระธรรมวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มาตรัสสอนไว้นั้น ท่านว่ายังมีทางอยู่ คือไม่ใช่ว่าเราจะมาหลบหลีกในทางรูปขันธ์ รูปขันธ์นี้หนีไม่พ้นความแก่ ความชรา ความเจ็บไข้และความตาย ความพลัดพรากจากสิ่งต่างๆ แต่ท่านให้ภาวนาทำความเพียรปฏิบัติบูชา ภาวนาละกิเลส ละกิเลสให้ออกจากจิตใจได้ นั่นแหละทางที่จะพ้นไปจากความแก่ ความเจ็บ ความไข้ ความตาย มันพ้นได้จริงๆ แต่ว่าในภพนี้ชาตินี้ที่เราเกิดมานั้น มันต้องเป็นไปตามชรา พยาธิ มรณะทุกคน
จิตใจผู้รู้อยู่ในตัวในใจเราทุกคนนั้นแหละ ถ้าจิตอันนั้นบำเพ็ญทานมาเต็มที่ รักษาศีลมาเต็มที่ บุญบารมีทั้งอดีตและปัจจุบันก็ไม่ท้อถอย บำเพ็ญภาวนาตั้งใจเพื่อละกิเลส ความโกรธ ความโลภ ความหลงในใจของตนอยู่ทุกเวลา หรือในเมื่อเวลาอารมณ์เรื่องราวต่างๆมันกระทบหู กระทบตา กระทบใจเข้ามา ก็ไม่ต้องไปยึดถือ
ความจริงแล้วเรื่องกระทบต่างๆนั้น มันเป็นเครื่องสอน เป็นเครื่องบอก บอกว่าอย่างไร ถ้าเรายังมีความโกรธ ความขัดเคืองให้แก่คน ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ให้แก่วัตถุทั้งหลายในโลก ก็แสดงว่ากิเลสความโกรธ กิเลสความอิจฉา พยาบาทในจิตในใจของเรา ที่เรียกว่าความโกรธมานะทิฏฐิในนั้นมันมี ถ้มันไม่มี มันไม่ออกมาต่อต้าน เพราะว่าเจ้าโทสะนี้ ถ้าจะจัดอีกอย่างหนึ่งก็เรียกว่า เป็นยักษ์ใหญ่ ใครมาแตะต้องไม่ได้ ว่าไม่ดีให้ไม่ได้ ธรรมดายักษ์นี้เรียกว่าโกรธมาก หรือว่าสัตว์ก็เสือโคร่งแหละ ใครไปใกล้มันได้ เดี่ยวมันจะกัดคอเอาแหละ
ไอ้เจ้าโทสะนี่แหละ เราต้องเลิกละตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อย่ามายึดถือ ความโกรธอยู่ได้ก็เพราะว่า จิตเรายึดถือ ยึดถือเห็นดีว่าความโกรธนี้มีอำนาจวาสนา ใครมาเห็นเข้า ใครได้ฟังเข้าก็กลัว ยักษ์ใหญ่ใครก็กลัว เจ้าขี้โกรธนี้แหละ ต้องภาวนาเจริญเมตตาให้แก่ตัวเองแลมนุษย์อื่น สัตว์ทั้งหลาย ให้เขาทั้งหลายมีความสุขความสบาย ตามบุญบารมีของเขา เราอย่าไปเบียดเบียนเขาให้เกิดความทุกข์เพิ่มเติมไปอีก
ความทุกข์ของคนเรา มันเกิดขึ้นที่ความโกรธนี่มากมาย ในตัวของคนเราคนหนึ่งนั้น มันมีอยู่เต็มตัวก็ว่าได้ เหมือนน้ำเต็มอยู่ในหม้อในไหอย่างนั้นแหละ กิเลสความโกรธมันมีอยู่เต็มหัวใจ กิเลสความโลภ ความอยากได้ ความสุขสะดวกสบายในโลกนี้ ก็มีอยู่เต็มหัวใจ กิเลสความหลง หลงกาย หลงจิต หลงรูป หลงนาม หลงใหลไปหมดทุกอย่างทุกประการ มันก็เต็มหัวใจอยู่
จึงจำเป็นต้องนั่งสมาธิภาวนา บริกรรมทำใจให้สงบด้วยวิธีการต่างๆนานา ผู้ใดนึกถึงพุทโธพระพุทธเจ้า จิตใจสงบระงับท่านก็ให้นึกพุทโธนั้น ไม่ว่าอุบายใด ถ้านึกเจริญให้เต็มที่แล้ว อุบายนั้นก็เป็นอุบายให้จิตใจสงบระงับ ให้รู้แจ้งแทงตลอดในธรรมได้ทุกอย่าง แต่ที่มันไม่ได้ไม่เป็นไปนั้น เพราะว่าการประกอบการกระทำของแต่ละจิตใจของแต่ละบุคคลนั้นมันน้อย มันยังไม่พอ
ในอดีต ไม่ต้องไปคิดถึง เอาชาติปัจจุบันเดี๋ยวนี้เวลานี้ อันอดีตนั้นถ้าปัจจุบันดี มีตาดี หูดี ร่างกายดี มีจิตใจไม่ได้เป็นใบ้บ้าเสียจริตผิดมนุษย์ประการใดแล้ว ก็แสดงให้เห็นว่า บุญบารมีเราทุกคนได้บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนามาพอสมควร ถ้าชาตินี้เวลานี้เราเร่งเข้าไป ภาวนาไม่ท้อถอย ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอันใดก็ตาม มันไม่ได้ขึ้นกับอายุ ไม่ได้ขึ้นกับพรรษา ไม่ได้ขึ้นกับเพศหญิงเพศชาย ไม่ได้ขึ้นกับคฤหัสถ์และบรรพชิต มันขึ้นกับสติปัญญาความตั้งใจของแต่ละบุคคล แต่ละจิตใจ
เมื่อบุคคลนั้นมีจิตใจแน่วแน่มั่นคง ภาวนาทุกลมหายใจเข้าออก และมองเห็นชรา พยาธิ มรณะจะมาถึงตัวอยู่ทุกขณะทุกเวลา เมื่อเราเกิดมา ก็ได้ร่างกายสังขารอันนี้มา ถ้าคนเราตายไปเมื่อใดเวลาใด ร่างกายสังขารนี้ก็ทิ้งไว้ในโลกนี้ให้มนุษย์ที่เขายังไม่ตายเอาไปเผาเอาไปฝังที่ป่าช้า ตามเรื่องของเขา ตัวเราจิตใจเราเอาอะไรไปไม่ได้
ôôôôô ต่อหน้า 2 ôôôôô