PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ดร.สนอง กับ ทไวไลท์โชว์



Butsaya
11-23-2009, 06:31 PM
:D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D


เรื่อง ดร.สนอง กับ ทไวไลท์โชว์ ตอนที่ 1/5
ออกอากาศทาง ITV ๘ มกราคม ๒๕๕๐

http://www.youtube.com/v/y94Qd423IIE&hl=en_US&fs=1&

Butsaya
11-23-2009, 06:32 PM
เรื่อง ดร.สนอง กับ ทไวไลท์โชว์ ตอนที่ 2/5
ออกอากาศทาง ITV ๘ มกราคม ๒๕๕๐

http://www.youtube.com/v/JWbO-PumPwc&hl=en_US&fs=1&

Butsaya
11-23-2009, 06:32 PM
เรื่อง ดร.สนอง กับ ทไวไลท์โชว์ ตอนที่ 3/5
ออกอากาศทาง ITV ๘ มกราคม ๒๕๕๐

http://www.youtube.com/v/YhhmMBYZxfE&hl=en_US&fs=1&

Butsaya
11-23-2009, 06:33 PM
เรื่อง ดร.สนอง กับ ทไวไลท์โชว์ ตอนที่ 4/5
ออกอากาศทาง ITV ๘ มกราคม ๒๕๕๐

http://www.youtube.com/v/-3e6JOVk7jM&hl=en_US&fs=1&

Butsaya
11-23-2009, 06:34 PM
เรื่อง ดร.สนอง กับ ทไวไลท์โชว์ ตอนที่ 5/5
ออกอากาศทาง ITV ๘ มกราคม ๒๕๕๐

http://www.youtube.com/v/HtA-DSSTA20&hl=en_US&fs=1&

Butsaya
11-23-2009, 06:36 PM
:D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D

ขออนุโมทนาสาธุกับทุก ๆ ท่าน....

ที่เข้ามารับฟังแนวทางจาก.....

ดร. สนอง วรอุไร ด้วยนะค่ะ

Butsaya
11-23-2009, 07:04 PM
วิธีฝึกสติของท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ปราชญ์ด้านการปฏิบัติธรรม

พัฒนาจิตด้วยการภาวนา

ท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ปราชญ์ทางการปฏิบัติธรรมะท่านหนึ่ง ท่านกล่าวไว้ว่าอานิสงส์ของการภาวนานั้น คือ บุญที่ไม่มีอะไรเทียบได้ ต่อให้สร้างโบสถ์ 100 วัด ทอดผ้าป่า 1,000 กอง บริจาคเงินกี่สิบล้านก็ยังมีอานิสงส์ไม่เท่าการฝึกกรรมฐานเพียงครั้งเดียว นอกจากนั้น ทานและศีลยังเป็นพื้นฐานสำคัญของการภาวนา หากไม่เคยทำทานและศีลไม่บริสุทธิ์ ฝึกอย่างไรจิตก็ไม่นิ่ง

วิธีฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ก็คือ การฝึกตามหลักสติปัฏฐาน 4 คือใช้จิตตามดู ตามรู้ กาย เวทนา จิต และธรรม ให้เห็นตามความเป็นจริง

1. การตามดูกาย คือ การพิจารณาร่างกายทุกแง่ทุกมุม แยกจนเห็นรูปและนามที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป อย่างชัดเจนตามหลักไตรลักษณ์ ฝึกแรกๆดูเพียงแค่หยาบๆ คือ กำหนดสติพิจารณากายดูก่อนว่าร่างกายนี้ประกอบด้วยอวัยวะน้อยใหญ่อะไรบ้าง แล้วอวัยวะเหล่านั้นประกอบขึ้นจากอะไร เมื่อแยกจนเห็นเนื้อหนังมังสา ตับไต ไส้พุง กระดูก น้ำเหลือง และอื่นๆ แยกกันเป็นกองๆได้แล้ว ในที่สุดจะเห็นว่ารูปทั้งหลายไม่มี ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ร่างกายของเราแต่เป็นเพียงปฏิกูลที่มาประกอบเข้าเป็นร่างกายของเราเท่านั้น แล้วจะถ่องแท้ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในที่สุดต้องดับไปหมด

2. การตามดูเวทนา คือ การตามดูความรู้สึกของตัวเองในแต่ละขณะว่าปัจจุบันเรารู้สึกอย่างไร สุข ทุกข์ หรือว่าเฉยๆ แล้วพิจารณาว่าความรู้สึกนั้นๆเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด เวลารับสิ่งที่มากระทบตัวเราต่างจากเวลาที่ไม่มีสิ่งมากระทบอย่างไร และถูกกระทบดีต่างจากสิ่งที่มากระทบไม่ดีอย่างไร

3. การตามดูจิตและธรรม คือ การตามสังเกตปรากฎการณ์ธรรมชาติของสภาพจิตใจในปัจจุบันขณะว่ามีลักษณะอย่างไร เกิดโทสะ(โกรธ)ขึ้นก็รู้ว่ามีโทสะ เกิดโลภะ(โลภ)ก็รู้ว่ามีโลภะ และรู้ว่าจิตใจในตอนที่โกรธและโลภนั้นต่างจากจิตใจตอนที่สงบอย่างไร รวมทั้งเห็นถึงกระบวนการในการเกิดขึ้น แปรเปลี่ยนและดับไปของสภาพจิตใจแต่ล่ะอย่างของการปรุงอารมณ์ เช่น เมื่อโกรธก็เข้าใจวงจรของความโกรธว่าขึ้นสูง เดี๋ยวก็ต้องอ่อนลงและดับไป เมื่อฝึกไปเรื่อยๆจะทำให้นิ่งขึ้น อะไรกระทบก็ไม่หวั่นไหว
สรุปย่อๆ การฝึกวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน 4 คือ กาย เวทนา จิต ธรรม นั้น เราจะเลือกตามดูอะไรก็ได้ตามแต่จริตหรือความถนัดของแต่ละคน แต่เมื่อเลือกแล้วขอให้ตามสังเกตพิจารณาให้ถี่ถ้วนที่สุด อะไรเข้ามาก็พิจารณาตรงนั้น จนเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกฎธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วอุเบกขาคือความวางเฉยและความรู้แจ้งเห็นจริงจะเกิด เมื่อฝึกสั่งสมไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะพบสิ่งกระทบรุนแรงเพียงใด ย่อมจะไม่ดีใจ เสียใจ ไม่หวั่นไหว ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ในทางตรงกันข้าม ปัญญาจะเกิดขึ้นแทนที่ทุกการกระทบ กระทบไม่ดีก็ได้ปัญญา กระทบดีก็ได้ปัญญา

ที่มา : หนังสือยิ่งกว่าสุขเมื่อจิตเป็นอิสระ เขียนโดย ดร.สนอง วรอุไร