PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)



**wan**
10-29-2008, 10:56 AM
http://p.moohin.com/all/0470-061354.jpg

พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี
พระธรรมเทศนาโดย
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)


ตีพิมพ์ใน วารสาร ธรรมจักษุ ปีที่ ๘๓ ฉบับที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๑


ข้อสำคัญในร่างกายของเรานี้มีสมบัติอยู่ ๖ อย่างเท่านั้น คือ มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ ๖ อย่างนี้เป็นสมบัติมีอยู่ในตัวของเราและเราจเต้องอาศัยใช้สมบัติเหล่านี้มากกว่าสมบัติอย่างอื่น ๆ จะไปข้างไหนก็เอาติดตัวไปด้วยเสมอ เหตุนี้ ตัวของเราจึงชื่อว่ามีสมบัติเป็นของวิเศษ สมบัติที่เป็นของวิเศษนี้ ถ้าใช้ไม่ดีก็เป็นทุกข์ ที่เป็นทุกข์ก็ไม่ใช่คนอื่นทำให้ ตนเองนั่นแหละเป็นผู้ทำให้แก่ตนเอง เมื่อตนไม่รู้จักเหตุแห่งทุกข์ ทำไป ๆ ทุกข์นั้นก็กลับกระท้อนคืนมาทับตนนั้นเอง เหตุนั้นให้เห็นว่า บรรดาของวิเศษที่มีอยู่ในตัวของเรา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นของที่เราต้องอาศัยโดยแท้ ถ้าหากไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ไปไหนไม่ได้ อาศัยการดูการฟังนี้แหละชักนำให้ดำเนินในทางที่ถูก ซึ่งเป็นปัจจัยให้ได้รับสุขสบายตลอดชีวิต ชีวิตของเราในระหว่าง ๕๐ – ๖๐ ปี ไม่นานสักเท่าไร ยังปล่อยให้ได้รับความเดือดร้อนรำคาญมีประการต่าง ๆ ก็เพราะไม่รู้จักทาง โดยเหตุที่ไม่ได้ฟังพระธรรมเทศนานั้นเอง

การฟังพระธรรมเทศนานี้ก็เพื่อจะให้รู้ทางว่านี้เป็นทางแห่งความสุข นี้เป็นทางแห่งความทุกข์ จะได้เป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติของตนยิ่ง ๆ ขึ้นไป อาศัยเหตุนี้จึงได้แสดงคุณคือจรรยาของพระพุทธเจ้า เพื่อให้พุทธบริษัทได้สดับตรับฟังแล้วน้อมเข้ามาสู่ตน ตรวจดูที่ตนว่า พระคุณส่วนนี้ ๆ มีอยู่ที่ตนของเราแล้วหรือยัง เมื่อตรวจดูเห็นว่าส่วนใดยังบกพร่องอยู่ ก็จะได้บำเพ็ญให้บริบูรณ์ เมื่อเห็นมีอยู่ที่ตนบริบูรณ์แล้ว ก็จะได้รับผลคือเกิดปีติยินดีมีความสุข ความเย็นใจ จะรู้จักคุณของพระพุทธเจ้าได้ด้วยตนเองทีเดียวว่า ผู้ที่มาถึงคุณของพระพุทธเจ้าย่อมได้รับผลคือ ความสุขความเย็นใจอย่างนี้ ๆ ทีเดียวหนอ

เมื่อมาตรวจดูที่ตน เห็นพระคุณของพระพุทธเจ้ามาปรากฏขึ้นที่กายที่ใจของตนอย่างนี้ ก็จะรู้สึกตนได้ว่า ไม่เสียทีที่มาฟังพระธรรมเทศนา ถึงวัดวาอาราม เรายังได้รับความรู้ความเฉลียวฉลาด และสามารถปฏิบัติตามได้ถึงชั้นนี้ ๆ เหตุนี้จะแสดงสังฆคุณ เพื่อให้เป็นทางตริตรองต่อไป ให้พุทธบริษัทเพ่งดู

การที่แสดงพุทธคุณก็ดี ธรรมคุณก็ดี สังฆคุณก็ดี แม้จะแสดงเฉพาะแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ชื่อว่าแสดงหมดทุกอย่าง คือเมื่อแสดงพุทธคุณ ก็แสดงธรรมคุณและสังฆคุณด้วย เมื่อแสดงธรรมคุณก็เป็นอันแสดงสังฆคุณและพุทธคุณด้วย แม้เมื่อจะแสดงสังฆคุณเช่นในวันนี้ ก็ให้พึงเข้าใจว่า เป็นอันแสดงทั้งพุทธคุณและธรรมคุณด้วย เพราะท่านแสดงไว้ว่า “อญฺญมญฺญาวิโยคาว เอกีภูตมฺแนตฺถโต” พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าโดยวัตถุมี ๓ แต่โดยอรรถเป็นอันเดียวกัน จะพรากจากกันไม่ได้ ท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนหาบ ถ้ายกแต่ขอนหาบข้างหนึ่ง ก็กระเทือนถึงคานและขอนหาบอีกข้างหนึ่ง ถ้ายกคานก็กระเทือนถึงขอนหาบทั้งสองข้าง เหตุนั้นควรให้รู้สึกว่า ฟังพระพุทธคุณ ก็ชื่อว่าเป็นอันฟังพระธรรมคุณและพระสังฆคุณด้วย เมื่อฟังพระธรรมคุณก็ชื่อว่าเป็นอันฟังพระสังฆคุณและพระพุทธคุณด้วย เมื่อฟังพระสังฆคุณก็ชื่อว่าเป็นอันฟังพระพุทธคุณและพระธรรมคุณด้วย ผู้ใดจะเป็นคนวิเศษ เทศน์พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ให้แยกออกจากกันได้เป็นไม่มี จะแสดงไปอย่างไร ๆ ก็ต้องเนื่องถึงกันอยู่อย่างนั้นเอง

ในประเภทแห่งพระสังฆคุณนี้ ตามที่พวกพุทธบริษัทท่องบ่นสาธยายและสวดกันอยู่เสมอ ๆ ว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดี คำว่า สาวโก แปลว่า อันว่า สาวก คือ ผู้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์นั่นเอง สุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติดีอย่างหนึ่ง อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง อย่างหนึ่ง ายปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อจะรู้อย่างหนึ่ง สามีจิปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติชอบยิ่งอย่างหนึ่ง การปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ปฏิบัติชอบยิ่ง ๔ อย่างนี้ เมื่อย่นลงก็คือ สุปฏิปนฺโน อย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อกล่าวถึงประโยชน์ที่มีในองค์ของพระสงฆ์ก็ได้ทั้งส่วนที่เป็นอัตตัตถะ ประโยชน์ส่วนตนและปรัตถะ ประโยชน์ผู้อื่น เหตุนั้นพระสงฆ์จึงมีประโยชน์ทั้งสองอย่าง คือประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ด้วยอาการอย่างนี้

ข้อที่ว่าพระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีนั้น คือปฏิบัติอะไร ? ในข้อนี้พึงเข้าใจว่า ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละ คือร่างกายของเรานี้เรียกว่าขันธ์ ถ้าก้อนนี้บริบูรณ์ด้วยศีล ก็เรียกว่า สีลขันธ์ ถ้าบริบูรณ์ด้วยสมาธิ ก็เรียกว่าสมาธิขันธ์ ถ้าบริบูรณ์ด้วยปัญญา ก็เรียกว่าปัญญาขันธ์ การศึกษา ศีล สมาธิ ปัญญาให้เข้าใจ แล้วน้อมเข้ามาสู่ตน ทำให้เกิดให้มีขึ้นที่ตน พระสงฆ์ท่านทำ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดให้มีขึ้นที่ตนจนเต็มที่ทุกอย่าง เมื่อปฏิบัติจนเต็มที่ ศีลก็เรียกว่า อธิศีล สมาธิ ก็เรียกว่า อธิจิต ปัญญาก็เรียกว่า อธิปัญญา จึงได้บรรลุคุณในเบื้องบน เป็นอริยบุคคลตั้งต้นแต่โสดาบันขึ้นไป ถ้ายังไม่ได้บรรลุคุณเบื้องบนคือตั้งแต่โสดาฯ ขึ้นไป เรียกสมมติสงฆ์ ถ้าบรรลุคุณเบื้องบน แล้วนับตั้งแต่โสดาฯ ขึ้นไป เรียกว่า อริยสงฆ์ อริยสงฆ์แปลว่า สงฆ์ซึ่งไม่มีข้าศึกภายใน คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง

เมื่อท่านบรรลุคุณเบื้องบนเป็นอริยสงฆ์แล้ว ข้าศึกเหล่านี้ตั้งอยู่ไม่ได้ อย่าไปเข้าใจว่าข้าศึกภายนอก ข้าศึกภายนอกกันไม่ได้ทีเดียว แต่พระโมคคัลลานะผู้มีฤทธาเดชานุภาพเป็นอันมาก จะล่องหนหายตัว ดำดิน หรือเหาะเหินเดินอากาศก็ได้ แม้อย่างนั้นก็ยังกันไม่ได้ ยังถูกพวกโจรทุบตีเสียป่นปี้ทีเดียว เพราะเวรตามทัน จะป้องกันแก้ไขอย่างไรย่อมไม่ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าไม่มีเวรหนหลัง พระอริยคุณกันภัยอันตรายได้เหมือนกัน เหตุนั้นพึงเห็นว่า พระอริยคุณกันได้แต่ข้าศึกภายใน ถึงข้าศึกภายนอกก็กันได้ ยกเสียแต่เวรที่ทำไว้ในหนหลังมาตามทันเข้าเท่านั้น ถ้ามุ่งเฉพาะข้าศึกภายในแล้ว เป็นอันไม่มีมารบกวนแน่นอนทีเดียว

พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดี คือ ปฏิบัติตนของท่านให้เป็นสีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ เมื่อทำตนให้เป็น สีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ได้แล้ว โทษทั้งปวงก็หมดไป เพราะศีลเป็นคุณธรรมกำจัดข้าศึกภายในที่ออกมาทางกาย และวาจา ข้าศึกภายในที่ออกมาทางกายนั้น ก็คือการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้นที่ทำด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่ออกมาทางวาจานั้นคือ การกล่าวมุสา กล่าวคำหยาบ เป็นต้น ที่กล่าวด้วย ความโลภ ความโกรธ ความหลง ถ้ามีศีลเป็นเครื่องป้องกันเสียแล้ว โลภ โกรธ หลง ที่แสดงออกมาทางกายและวาจา ก็ดับ โลภ โกรธ หลงที่ดับไปนี้ ไม่หนีไปไหน เป็นแต่สงบไปเป็นความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเท่านั้น เหตุนั้นจึงต้องมีการสังวร

เมื่อผู้ที่มาทำตนของตนให้บริบูรณ์ด้วยคุณธรรมคือศีลอย่างนี้แล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่แสดงออกมาทางวาจาก็แสดงออกมาไม่ได้ คงยังเหลืออยู่ทางใจ ในส่วนใจนั้นยังยุ่งอยู่ สิ่งที่ทำใจให้ยุ่งก็ไม่ใช่อื่น ก็คือความโลภ ความโกรธ ความหลง นั่นเอง ที่ท่านยกมาแสดงว่า กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก หรือที่ท่านกล่าวว่า นิวรณ์ ๕ คือ กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา นี้เป็นอย่างกลาง ๆ ส่วนที่เป็นอย่างกลาง ๆ นี้ก็เป็นข้าศึกของใจอยู่นั้นแหละ เหตุนั้นจึงต้องปราบด้วยสมาธิ สมาธิเป็นคุณธรรมสำหรับกำจัดข้าศึกทางใจ

ธรรมชาติของใจเป็นของสอนได้ยาก ไม่เหมือนสอนผู้อื่น คือสอนผู้อื่นนั้นสอนได้งาย ส่วนตนนี้สอนยากนัก ผู้ที่เป็นปราชญ์จะต้องสอนตนเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นต่อภายหลัง แม้พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านก็สอนตนของท่านเสียก่อน เมื่อสอนตนของท่านได้แล้ว จึงได้สอนผู้อื่นต่อไป คือจะเป็นส่วนศีลก็ดี ส่วนสมาธิก็ดี ส่วนปัญญาก็ดี ท่านก็ทำให้เกิดให้มีขึ้นในตนทุก ๆ อย่าง แม้ถึงพวกเราก็ควรจะดำเนินตามอย่างของท่าน คือควรบำเพ็ญให้เกิดให้มีขึ้นในตนทุก ๆ อย่าง จะเป็นส่วนศีลก็ดี ส่วนสมาธิก็ดี ก็ควรทำให้เกิดให้มีขึ้น จะได้กำจัดข้าศึก คือกิเลสอย่างหยาบและอย่างกลางเสียได้

ส่วนที่ละเอียดเป็นอนุสัย หรือเป็นอุปธิฝังแน่นอยู่เหมือนอย่างไม่มี จะรู้ได้ต่อเมื่อมีอารมณ์มากระทบ ถ้ายังกระเทือนอยู่หวั่นไหวอยู่ อย่างนี้ชื่อว่ามีกิเลสอย่างละเอียดฝังแนบแน่นอยู่ในใจ ท่านที่ปฏิบัติก็ปฏิบัติตนของท่านจนเป็นปัญญา เมื่อเป็นปัญญาขึ้นแล้ว อุปธิกิเลสซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียดนี้ก็หมดไปเอง ข้อสำคัญการปฏิบัติที่จะเป็นพระสงฆ์บริสุทธิ์ขึ้นได้ ก็ประสงค์ปัญญา ๆ ก็คือให้รู้จักสังขารนี่เอง สังขารมีมาก หยาบบ้าง ปานกลางบ้าง ละเอียดบ้าง ถ้าความรู้ของเราหยาบ สังขารก็หยาบ ถ้าความรู้ของเราปานกลางหรือละเอียด สังขารก็ปานกลางหรือละเอียดไปตาม สุดแท้แต่ว่าถ้าความรู้ของเราละเอียดหนักเข้าไปเพียงไร สังขารก็ละเอียดหนักเข้าไปเพียงนั้น ผู้ประสงค์จะตรวจสังขารต้องดำเนินทางวิปัสสนา ต้องตรวจตรองให้หนักเข้าไป ๆ จึงจะรู้เรื่องของสังขาร

สังขารนี้ก็เทศน์อยู่เสมอ เพราะเป็นของละเอียดนัก เป็นของที่คอยซ่อนเงื่อนอยู่เสมอ เหมือนอย่างที่เราเรียนจำทรงเข้าไว้ จนแน่นอนแก่ใจ ดัง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้นนี้ เป็นเรื่องของสังขารทั้งนั้น ที่ว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หรือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของที่แต่งขึ้นทั้งสิ้น ไม่ใช่ของจริง เพียงสมมติเท่านั้นความจริงไม่ใช่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไม่ใช่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ถ้าไม่สมมติก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ากระไร จึงต้องตั้งชื่อเรียกกันทั้งนั้น ให้เข้าใจว่า ชื่อที่ตั้งไว้สำหรับเรียกกันนั้นเป็นของใหม่ ให้ตรวจดูให้ถึงของจริง ถ้าไปดูเพียงสมมติ ก็รู้จักของจริงไม่ได้ ของจริงคือสิ่งที่รับสมมติ อันนี้เป็นทางสำหรับจะตรองให้เพิกอุปธิ ถึงในตัวของเราที่เรียกว่าธาตุ ขันธ์ อายตนะ อินทรีย์ เหล่านี้ ก็ล้วนเป็นของจริงเพียงสมมติเท่านั้น ไม่ใช่จริงปรมัตถ์

ท่านที่ทำสำเร็จแต่ก่อน อย่าพากันเข้าใจว่า วิเศษวิโสยิ่งกว่าพวกเราเกินไป ท่านก็กินข้าวเหมือนกันกับเรา มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเหมือนกันกับพวกเรา ทำไมท่านจึงสำเร็จได้ น่าคิดน่าสงสัย แต่ก็ไม่คิด ไม่สงสัย ปล่อยให้สังขาร วิญญาณ นามรูป ฯลฯ ที่เป็นอุปธิฝังแน่นอยู่ในใจของตนได้ เมื่อไม่คิดให้รู้เท่าในตัวของเราก็เป็นสังขารหมดทั้งก้อน เมื่อตรวจตรองดูรู้ความจริงแจ้งชัดเป็นตัววิชชาขึ้นแล้ว อวิชชาก็ดับ เมื่ออวิชชาดับ สังขาร วิญญาณ นามรูป ฯลฯ ก็ดับ อาการที่ดับ ก็คือดับสมมตินี้เอง คือสกลกายก้อนนี้เป็นสังขารโดยสมมติเท่านั้น ถ้าว่าโดยปรมัตถ์ก็ไม่ใช่สังขาร เป็นของจริงอยู่ส่วนหนึ่ง เรียกว่า ธมฺโม แปลว่าธรรมดา เมื่อรู้เท่าสมมติ สมมติก็ดับ ตลอดถึงเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ดับหมดเหลือแต่ธรรมดาที่เรียกว่า สภาวธรรมเท่านั้น ให้ตรวจดูหน้าตาของสมมติจนเห็นชัด เป็นยถาภูตญาณทัสสนะ ก็สามารถจะทำใจของตนให้หมดจด เป็นวิสุทธขันธสันดานได้

ท่านที่คิดปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา จนเพิกสังขารได้อย่างนี้ย่อมสำเร็จมรรคผลเป็นอริยบุคคลอย่างต่ำก็ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพัตตปรามาสได้ ท่านละสักกายทิฏฐิคือละ อัตตานุทิฏฐิ ความเห็นที่เป็นเหตุให้ถือว่าขันธ์ ๕ มีในตน หรือตนมีในขันธ์ ๕ หรือเห็นขันธ์ ๕ เป็นตน หรือเห็นตนเป็นขันธ์ ๕ รวมเป็นสักกายทิฏฐิ ๒๐ อย่างนี้ก็ดับไป วิจิกิจฉา ความสงสัยในเบญจขันธ์ก็ไม่มี สีลพัตตปรามาส ความสงสัยในศีลและวัตรที่ตนประพฤติปฏิบัติอยู่ก็ไม่มี คือเห็นตรงต่อไตรสิกขาที่ตนประพฤติมาแล้วเป็นศีล เป็นวัตร ตัดความสงสัยในศีลและวัตรของตนได้ อย่างนี้เรียกว่าตกกระแส คือถึงภูมิพระโสดาฯ ชื่อว่า อริโย เป็นพระอริยบุคคลประเภทต้น คำว่าอริโย ไม่มีข้าศึก ให้เข้าใจว่า เป็นผู้ไม่ทำตนของตนให้เดือดร้อนอย่างนี้

เมื่อพุทธบริษัทได้สดับแล้ว ควรตรวจดูให้รู้ขึ้นในตน ทำตนให้ถึงคุณของท่านเสียก่อน เมื่อทำให้ถึงจนเห็นผลประจักษ์ชัดขึ้นในใจของตนแล้ว ก็จะเห็นคุณของพระสงฆ์ เกิดความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระสงฆ์อย่างมั่นคงว่า พระสงฆ์เป็นผู้มีคุณอย่างนี้ ๆ ทีเดียว ถ้าไม่มีพระสงฆ์เราก็จะไม่รู้แจ่มแจ้งถึงเพียงนี้ เหตุนั้นจึงควรที่พุทธบริษัทจะพึงโยนิโสในสิการ ตรวจตรองดูให้เข้าใจความ แล้วอุตสาหะประพฤติปฏิบัติตาม ก็จะได้รับความสุขความเจริญในพระศาสนา



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ข้อมูลจาก http://www.dharma-gateway.com/