**wan**
10-26-2008, 03:42 PM
http://www.dhammajak.net/gallery/albums/userpics/normal_%CB%C5%C7%A7%BB%D9%E8%CA%D4%C1%20%BE%D8%B7%B8%D2%A8%D2%E2%C3%205.jpg
ความเพียร
พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๕
๓ มิถุนายน ๒๕๒๖
โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 005160 โดยคุณ : mayrin [ 8 พ.ค. 2545 ]
ณ บัดนี้ ได้เวลานั่งสมาธิภาวนา ให้พากันนั่งขัดสมาธิเพชร แสดงความองอาจกล้าหาญในใจ ให้จิตใจมีความเพียร ความหมั่น ความขยัน ตื่นขึ้นลุกขึ้นในหัวใจ อย่าปล่อยให้อำนาจถีนมิทธะ ความง่วง เหงาหาวนอนเข้ามาทับถม การนั่งสมาธินี้ ท่านมีระเบียบอยู่ว่าให้นั่งขัดสมาธิเพชร เอาขาซ้ายขึ้นทับขาขวา แล้วก็เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือข้างขวาวางทับมือข้างซ้าย เรียบร้อยแล้วหลับตา ตั้งใจบริกรรมภาวนา มี พุทโธ พุทโธในใจ เป็นต้น
จิตใจหรือว่าจิตคนเรานั้นต้องฝึกฝนอบรมจึงจะเป็นไปได้ ให้ใจมันมีความเพียร ความหมั่น ความขยันไม่ให้เกียจคร้าน ไม่ว่าจะเป็นการท่องบ่นสาธยายพระธรรมคำสั่งสอน ก็ไม่ให้เกียจคร้าน ให้หมั่น ความเพียรนั้นคือว่าหมั่น ขยัน กราบพระ ไหว้พระ สวดมนต์ ก็อย่าเพียงหมายแต่ว่ามารวมในหมู่ในคณะกราบพระไหว้พระ เราอยู่คนเดียวก็กราบได้ไหว้ได้ นั่งสมาธิภาวนาได้ สวดมนต์ภาวนาได้ เดินจงกรมได้
ความเพียรนี่แหละท่านว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญ วิริเยน ทุกฺข มจฺเจติ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ผู้มีความพากเพียรพยายามแล้ว กิจกรรมการงานใด ๆ ไม่เหลือวิสัย ผู้มีความเพียรพ้นทุกข์ได้ แต่ผู้มาภาวนาตั้งใจปฏิบัติไม่มีความเพียร แต่อยากให้จิตใจของตนพ้นจากความทุกข์ความเร่าร้อนต่าง ๆ นานา ทำอย่างไรใจข้าพเจ้าจะสงบระงับ มีอุบายอะไร ก็อุบายไม่ขี้เกียจนั่นแหละ
อุบายมันอยู่ที่ไหน อุบายมันอยู่ที่ความเพียร ทำอย่างไรข้าพเจ้าจะสู้กับกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ในใจได้ ไปสู้ที่ไหน ก็สู้ด้วยความเพียร สู้ด้วยความตั้งใจมั่น เราตั้งใจลงไปแล้วให้มันมั่นคง ไม่มั่นคงอย่าไปถอย เมื่อจิตใจไม่ถอย จิตเพียรพยายามอยู่ หาวิธีการที่จะเอาชนะกิเลสในใจของตนให้ได้ เดี๋ยวนี้กิเลสในใจมันย่ำยีเหยียบกาย วาจาจิตของเราอยู่ ไม่ยอมให้เราลุกขึ้นปฏิบัติภาวนาได้เต็มที่ทำได้นิด ๆ หน่อย ๆ แต่ความอยากได้มาก อันนี้ไม่ถูก
เมื่อมีความเพียรอะไรมันจะเหลือ (วิสัย) ความเพียร ดูพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านมีความเพียร สี่อสงไขย แสนมหากัป ท่านยังมีความเพียร ความหมั่น ขยัน เอาจนสำเร็จลุล่วงไปได้นั่นแหละคือความเพียร ความเพียรไม่ใช่คำพูดอย่างเดียว เป็นการเพียรทางกาย เพียรทางวาจา เพียรทางจิต เพียรหมดทุกอย่าง เรียกว่า วิริเยน ทุกฺข มจฺเจติ บุคคลจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะความเพียร
ถ้าเราจะมาท่องแค่คำพูดเท่านี้ จำได้แล้วก็ว่าได้ กิเลส ราคะละไม่หมดชื่อว่ายังไม่มีความเพียร กิเลสโทสะในใจของตัวเอง ยังไปยึดไปถือมันอยู่ ไม่ละให้หมด นั่นแหละมันยังไม่มีความเพียร กิเลสโมหะในใจยังไม่หมดไปสิ้นไป ไปถอยความเพียรได้ที่ไหน ต้องเพียรพยายามอยู่ทุกเวลา พระองค์ทรงตรัสว่า เพียรพยายามอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก คำว่าทุกลมหายใจเข้าออก นั่นคือว่า เพียรอยู่เสมอ ตั้งใจอยู่เสมอ ณ ภายใน นั่งก็ไม่ยอมให้มันง่วงเหงาหาวนอน ยืดตัวขึ้นไปให้มันสูงสุด ไม่ให้กระดูกสันหลังมันอ่อนลงไปได้ เรียกว่าเพียร เพียรพยายามฝึกตัวเองอยู่มันจะเหลือ (วิสัย) ผู้มีความเพียรไปไม่ได้
เพราะว่าบนแผ่นดินนี้ผู้มีความเพียร ผู้ไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจ ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมสำเร็จได้ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นแล้วเราต้องตั้งความเพียรลงไป ภาวนาลงไป เมื่อมันยังไม่ตายจะไปถอยความเพียรก่อนไม่ได้ ให้มันตายมนุษย์เผาไฟแล้วจึงค่อยถอย ถ้ามันยังไม่ตาย เราจะไปถอยความเพียรไม่ได้
ตื่นขึ้นลุกขึ้น ในจิตในใจ ใครจะคิดชั่วเหลวไหลให้เป็นเรื่องของเขา ใจเราไม่ต้องคิด คนใดจะพูดชั่วเหลวไหลไม่มีประโยชน์เป็นเรื่องของเขา ตัวเราทุกคน สิ่งใดไม่ดี ไม่มีประโยชน์ ไม่พูดเสียเลย เพียรพยายาม ระวังรักษา รักษากาย รักษาวาจา รักษาใจ รักษาตัวก้อนเดียวตัวเดียวนี้ไม่ได้ จะจัดว่าเป็นผู้มีความเพียร มีภาวนาไม่ได้
ความเพียร ความหมั่น ความขยันขันแข็ง ไม่ท้อแท้อ่อนแอในหัวใจ เมื่อมันเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใด ๆ ขึ้นมาก็ให้เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างลงสู้ สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเราเสียงไม่ดีเข้าหู ก็เพียรละออกไปให้มันหมดสิ้น มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้ มนุษย์มีตา ห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้ มันเป็นเรื่องของโลก ท่านจึงตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นความร้อน
ความร้อนคือกิเลส กิเลสเหมือนกับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน ไม่ว่าไฟนั้นจะเป็นไฟ วันไหน เดือนไหน ยุคใด สมัยใดก็ตาม ไฟธรรมดานี่แหละมันร้อน กิเลสในใจมนุษย์คนเรานั้นมันเป็นไฟ ไหม้หัวใจของตนอยู่ทุกเวลาเรายังเด็กอยู่ไฟไหม้ไม่ได้ ไม่ได้ (อย่างไร) ก็เหมือนไฟภายนอก เด็กไปเผลอเข้า มันไปเหยียบเข้า ไฟก็ไหม้เท้าไหม้ตีน เหยียบมากก็ไหม้มาก เข้าสู่กองไฟก็ตายเลย
กิเลสราคะ กิเลสโทสะ กิเลสโมหะ ต้องภาวนาดูจึงจะรู้ว่ากิเลสมันอยู่ตรงไหน จะเลิกละได้โดยวิธีใด เราต้องตั้งตัวตั้งใจขึ้นมา อย่าไปปล่อยให้อำนาจฝ่ายต่ำเข้ามาทับถมจิตใจ เมื่อจิตมันไม่มีความเพียรปล่อยให้กิเลสมันทับถม กายมันก็อ่อนแอท้อแท้ ขี้เซาเหงานอนมันก็ไหลมาเทมา ก็เพราะจิตมันไม่มีความเพียร จิตมันไม่ตื่นขึ้นไม่ลุกขึ้น จิตมันอ่อนแอท้อแท้ จิตมันขุ่นมัว มันไม่ใส พุทโธไม่อยู่ในจิต จิตไม่เข้าถึงพุทโธ พุทโธอยู่ภายในใจสว่างแจ้งไม่หลงใหลไปตามคนสัตว์วัตถุธาตุทั้งหลาย
ตั้งใจยกจิตใจของตนขึ้นมา เอาจนให้ได้คำว่า ผู้มีความเพียรย่อมสำเร็จได้ทุกอย่างทุกประการ ตั้งใจทำตั้งใจพูด ตั้งใจคิด ตั้งใจภาวนา มันไม่เหลือวิสัยของผู้มีความเพียร ผู้มีเพียร คนมีเพียร ทำอะไรก็สำเร็จ พูดอะไรก็สำเร็จ คิดอะไรก็สำเร็จ เมื่อไม่มีความเพียร มันจะเอาอะไรมาเป็นความสำเร็จ ทำอะไรไม่ตั้งใจทำ ทำจนตลอดรอดฝั่งคือว่า เอาจริงเอาจังในใจ แม้พุทโธคำเดียวก็ได้สำเร็จมรรคผลเห็นแจ้งพระนิพพาน เพราะอะไรเพราะองค์นั้น ผู้นั้นทำจริง ๆ ปฏิบัติจริง ๆ ภาวนาจริง ๆ ตั้งจิตตั้งใจจริง ๆ ตั้งเนื้อตัวจริง ๆ เอาจริงเอาจังทุกอย่าง เมื่อทำจริง ๆ ปฏิบัติจริง ๆ ของจริงมันก็ปรากฏการณ์ขึ้นมา ในที่ความจริงนั่นแหละ ไม่ได้อยู่ในที่อื่น มันอยู่ที่จิตที่ใจของแต่ละบุคคล ไม่ต้องไปมัวสงสัยวิตกวิจารอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้ทำจริงปฏิบัติจริง มันไม่จริงอย่าไปถอยความเพียร
ดูพระสาวกในครั้งพุทธกาลท่านทำจริง ท่านเดินจงกรมอย่างเดียว เอาจนได้สำเร็จมรรคผล เห็นแจ้งพระนิพพาน ท่านทำอย่างไร คำว่าจริง ทีนี้ท่านนั่งภาวนามันก็ง่วงเหงาหาวนอนเหมือนเราท่านทั้งหลายนี่แหละ ท่านก็ไม่ยอมนั่ง ถ้านั่งมันสัปหงก ท่านไม่นั่ง ท่านเดินจงกรม คำว่าเดินจงกรมก็คือว่าเดินก้าวไปก้าวมา ในทางในเส้นทางจงกรมที่ท่านปัดกวาดไว้นั้น ไม่ยอดหยุดไม่ยอมนั่ง ถ้านั่งมันคอยหลับตา หลับตาก็ยิ่งร้ายใหญ่ เดินเอาอย่างเดียว เดินจนไม่รู้ว่ามันนานเท่าไรล่ะ เดินจนหนังเท้าแตกเลือดไหล เดินไม่ได้
แล้วเราท่านทั้งหลายผู้นั่งภาวนาอยู่นี่เดินจงเท้าแตกเลือดไหลเดินไม่ได้ มีหรือไม่เห็นมี ไปทางไหนก็สวมรองเท้า กลัวตีนแตก เจ็บนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เอาไม่ไหวแล้ว ตายแล้วทำไมไม่ตายตั้งแต่ยังไม่เกิดล่ะ นั่นแหละคือว่าใจท้อถอย ใจเกียจคร้าน ไม่ได้ดูพระแต่ก่อนท่านเดินจนกระทั่งหนังเท้าแตกเดินไม่ได้ เมื่อเดินไม่ได้ท่านก็ยังไม่ถอยความเพียร ถ้าเราสมัยนี้ถ้าถึงขนาดนั้นละก็นอนแผ่เท่านั้นแหละ ไม่เดินอีกต่อไป ไม่ภาวนาอีกต่อไป
แต่ท่านไม่ยอม เมื่อเดินไม่ได้เข่ายันมี มือยังมี คลานเอา ท่านว่าอย่างนั้น ทีนี้ก็คลานเดินจงกรมไป กลับไปกลับมา ไม่รู้ว่ากี่หนแหละ เข่าแตก หนังเข่าแตกไป ช่างมันไม่ใช่เข่าเรา เข่าของกิเลส มือแตกก็แตกช่างมัน เดินไม่ได้มันเจ็บ แตกเลือดไหล
เราได้คลานภาวนาจนเข่าแตกเลือดออกมีไหม ไม่มี มีแต่นอนห่มผ้าให้มันตลอดคืน มันจะได้สำเร็จมรรคผลอะไร ก็ได้แต่กรรมฐานขี้ไก่เท่านั้นเองแหละ กรรมฐานขี้ไก่ กรรมฐานขี้หมู ไม่ลุกขึ้น ภาวนาเหมือนพระแต่ก่อน พระแต่ก่อนท่านเดินไม่ได้ท่านคลานเอา
ทีนี้คลานไม่ได้ท่านทำอย่างไร ท่านก็ไม่ต้องนอนกันล่ะ แต่ท่านนอนขวางทางจงกรม แล้วไม่ใช่นอนนิ่ง ๆ ให้มันหลับ พลิกเหมือนกับเดินจงกรมในทางนั่นเองแหละเหยียดยาวลงตั้งแต่หัวถึงตีน ทีนี้มันก็ไม่มีที่ตรงไหนแตกแล้วทีนี้ กลิ้งไป พลิกไป จนสุดทางจงกรม กลิ้งกลับมาอีก เอาอยู่อย่างนั้น ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน นับไม่ถ้วน ท่านตั้งใจลงไปท่านไม่ยอมให้มันหลับมันไหล ไม่ให้มันฟุ้งซ่านไปที่อื่น เท้ามันเจ็บก็ไม่ให้ไปยึดไปถือ เข่ามันแตกก็ไม่ให้ไปยึดถือ มือแตกก็ช่างมือ มือผีหลอก มันหลอกให้หลง เข่าผีหลอก เท้าผีหลอก ท่านไม่ย่อท้อ ใจไม่ย่อท้อ อันนั้นแหละเรียกว่าความเพียร ไม่ใช่คำ "เพียร" พูดปลายลิ้นเท่านี้ ท่านมีความเพียรจริง ๆ ไม่ยอมให้มันนิ่ง ถ้านิ่งมันก็หลับ พลิกไปกลิ้งกลมไปเรื่อย มันจะตายก็ช่างสิ ได้ภาวนาทำความเพียรละกิเลสเป็นสิ่งสำคัญ ความตั้งใจองค์นั้น
เมื่อถึงขั้น นอนเหยียดตามแผ่นดินแล้ว กลิ้งไปเถิดมันไม่แตกละทีนี้ มันไม่มีที่ไหนหนัก ถ้ายืนมันก็ไปลงหนักที่เท้าที่ตีน ถ้าคลานมันก็ไปที่เข่าที่มือ มันไปหนักที่นั้น ถ้านอนเหยียดยาวละก็ไม่มีที่ไหนจะไปหนักมันเท่ากันหมด แต่ไม่ใช่ท่านนอนหลับ เหมือนพวกเรา ไม่ใช่นอนภาวนา นอนกลิ้งไม่ยอมให้มันหลับ ไม่ยอมให้มันนิ่ง เรียกว่า สติสัมปชัญญะสมาธิท่านตั้งมั่นลงไป องค์นี้เรียกว่ามีความเพียรที่สุดในพุทธศาสนา ไม่มีองค์ใดที่จะได้สำเร็จแบบนี้ มีองค์เดียวเท่านั้น เพราะว่าท่านทำจริง
เราทุกคนทุกดวงใจถ้ามีความเพียรขนาดนั้นล่ะคิดดูสิ ไม่ต้องไปถามหามรรคผลนิพพานล่ะ (ต้องได้แน่)ท่านเอาจนสำเร็จ แม้เราทุกคนก็เอาให้มันขนาดนั้นมันจะไปเหลือวิสัยได้หรือ มันยังไม่ถึงขั้นนั้นมันไปถอยเสียก่อน หยุดเสียก่อน มันกลัวตายน่ะ มันจึงได้มาเกิดมาตายอยู่ไม่จบไม่สิ้น มานอนอยู่ในท้องแม่นับภพนับชาติไม่ถ้วนก็เพราะจิตอันนี้ไม่มีความเพียร ไม่สมกับพุทธภาษิตที่ว่า วิริเยน ทุกฺข มจฺเจติ บุคคลจะล่วงความทุกข์ได้ด้วยความเพียร ไม่ใช่เพียงคำพูดวาจาที่เปล่งออกมา มันเป็นการกระทำทั้งหมดนั่นแหละ
ôôôôô ต่อหน้า 2 ôôôôô
ความเพียร
พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๕
๓ มิถุนายน ๒๕๒๖
โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 005160 โดยคุณ : mayrin [ 8 พ.ค. 2545 ]
ณ บัดนี้ ได้เวลานั่งสมาธิภาวนา ให้พากันนั่งขัดสมาธิเพชร แสดงความองอาจกล้าหาญในใจ ให้จิตใจมีความเพียร ความหมั่น ความขยัน ตื่นขึ้นลุกขึ้นในหัวใจ อย่าปล่อยให้อำนาจถีนมิทธะ ความง่วง เหงาหาวนอนเข้ามาทับถม การนั่งสมาธินี้ ท่านมีระเบียบอยู่ว่าให้นั่งขัดสมาธิเพชร เอาขาซ้ายขึ้นทับขาขวา แล้วก็เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือข้างขวาวางทับมือข้างซ้าย เรียบร้อยแล้วหลับตา ตั้งใจบริกรรมภาวนา มี พุทโธ พุทโธในใจ เป็นต้น
จิตใจหรือว่าจิตคนเรานั้นต้องฝึกฝนอบรมจึงจะเป็นไปได้ ให้ใจมันมีความเพียร ความหมั่น ความขยันไม่ให้เกียจคร้าน ไม่ว่าจะเป็นการท่องบ่นสาธยายพระธรรมคำสั่งสอน ก็ไม่ให้เกียจคร้าน ให้หมั่น ความเพียรนั้นคือว่าหมั่น ขยัน กราบพระ ไหว้พระ สวดมนต์ ก็อย่าเพียงหมายแต่ว่ามารวมในหมู่ในคณะกราบพระไหว้พระ เราอยู่คนเดียวก็กราบได้ไหว้ได้ นั่งสมาธิภาวนาได้ สวดมนต์ภาวนาได้ เดินจงกรมได้
ความเพียรนี่แหละท่านว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญ วิริเยน ทุกฺข มจฺเจติ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ผู้มีความพากเพียรพยายามแล้ว กิจกรรมการงานใด ๆ ไม่เหลือวิสัย ผู้มีความเพียรพ้นทุกข์ได้ แต่ผู้มาภาวนาตั้งใจปฏิบัติไม่มีความเพียร แต่อยากให้จิตใจของตนพ้นจากความทุกข์ความเร่าร้อนต่าง ๆ นานา ทำอย่างไรใจข้าพเจ้าจะสงบระงับ มีอุบายอะไร ก็อุบายไม่ขี้เกียจนั่นแหละ
อุบายมันอยู่ที่ไหน อุบายมันอยู่ที่ความเพียร ทำอย่างไรข้าพเจ้าจะสู้กับกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ในใจได้ ไปสู้ที่ไหน ก็สู้ด้วยความเพียร สู้ด้วยความตั้งใจมั่น เราตั้งใจลงไปแล้วให้มันมั่นคง ไม่มั่นคงอย่าไปถอย เมื่อจิตใจไม่ถอย จิตเพียรพยายามอยู่ หาวิธีการที่จะเอาชนะกิเลสในใจของตนให้ได้ เดี๋ยวนี้กิเลสในใจมันย่ำยีเหยียบกาย วาจาจิตของเราอยู่ ไม่ยอมให้เราลุกขึ้นปฏิบัติภาวนาได้เต็มที่ทำได้นิด ๆ หน่อย ๆ แต่ความอยากได้มาก อันนี้ไม่ถูก
เมื่อมีความเพียรอะไรมันจะเหลือ (วิสัย) ความเพียร ดูพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านมีความเพียร สี่อสงไขย แสนมหากัป ท่านยังมีความเพียร ความหมั่น ขยัน เอาจนสำเร็จลุล่วงไปได้นั่นแหละคือความเพียร ความเพียรไม่ใช่คำพูดอย่างเดียว เป็นการเพียรทางกาย เพียรทางวาจา เพียรทางจิต เพียรหมดทุกอย่าง เรียกว่า วิริเยน ทุกฺข มจฺเจติ บุคคลจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะความเพียร
ถ้าเราจะมาท่องแค่คำพูดเท่านี้ จำได้แล้วก็ว่าได้ กิเลส ราคะละไม่หมดชื่อว่ายังไม่มีความเพียร กิเลสโทสะในใจของตัวเอง ยังไปยึดไปถือมันอยู่ ไม่ละให้หมด นั่นแหละมันยังไม่มีความเพียร กิเลสโมหะในใจยังไม่หมดไปสิ้นไป ไปถอยความเพียรได้ที่ไหน ต้องเพียรพยายามอยู่ทุกเวลา พระองค์ทรงตรัสว่า เพียรพยายามอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก คำว่าทุกลมหายใจเข้าออก นั่นคือว่า เพียรอยู่เสมอ ตั้งใจอยู่เสมอ ณ ภายใน นั่งก็ไม่ยอมให้มันง่วงเหงาหาวนอน ยืดตัวขึ้นไปให้มันสูงสุด ไม่ให้กระดูกสันหลังมันอ่อนลงไปได้ เรียกว่าเพียร เพียรพยายามฝึกตัวเองอยู่มันจะเหลือ (วิสัย) ผู้มีความเพียรไปไม่ได้
เพราะว่าบนแผ่นดินนี้ผู้มีความเพียร ผู้ไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจ ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมสำเร็จได้ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นแล้วเราต้องตั้งความเพียรลงไป ภาวนาลงไป เมื่อมันยังไม่ตายจะไปถอยความเพียรก่อนไม่ได้ ให้มันตายมนุษย์เผาไฟแล้วจึงค่อยถอย ถ้ามันยังไม่ตาย เราจะไปถอยความเพียรไม่ได้
ตื่นขึ้นลุกขึ้น ในจิตในใจ ใครจะคิดชั่วเหลวไหลให้เป็นเรื่องของเขา ใจเราไม่ต้องคิด คนใดจะพูดชั่วเหลวไหลไม่มีประโยชน์เป็นเรื่องของเขา ตัวเราทุกคน สิ่งใดไม่ดี ไม่มีประโยชน์ ไม่พูดเสียเลย เพียรพยายาม ระวังรักษา รักษากาย รักษาวาจา รักษาใจ รักษาตัวก้อนเดียวตัวเดียวนี้ไม่ได้ จะจัดว่าเป็นผู้มีความเพียร มีภาวนาไม่ได้
ความเพียร ความหมั่น ความขยันขันแข็ง ไม่ท้อแท้อ่อนแอในหัวใจ เมื่อมันเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใด ๆ ขึ้นมาก็ให้เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างลงสู้ สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเราเสียงไม่ดีเข้าหู ก็เพียรละออกไปให้มันหมดสิ้น มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้ มนุษย์มีตา ห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้ มันเป็นเรื่องของโลก ท่านจึงตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นความร้อน
ความร้อนคือกิเลส กิเลสเหมือนกับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน ไม่ว่าไฟนั้นจะเป็นไฟ วันไหน เดือนไหน ยุคใด สมัยใดก็ตาม ไฟธรรมดานี่แหละมันร้อน กิเลสในใจมนุษย์คนเรานั้นมันเป็นไฟ ไหม้หัวใจของตนอยู่ทุกเวลาเรายังเด็กอยู่ไฟไหม้ไม่ได้ ไม่ได้ (อย่างไร) ก็เหมือนไฟภายนอก เด็กไปเผลอเข้า มันไปเหยียบเข้า ไฟก็ไหม้เท้าไหม้ตีน เหยียบมากก็ไหม้มาก เข้าสู่กองไฟก็ตายเลย
กิเลสราคะ กิเลสโทสะ กิเลสโมหะ ต้องภาวนาดูจึงจะรู้ว่ากิเลสมันอยู่ตรงไหน จะเลิกละได้โดยวิธีใด เราต้องตั้งตัวตั้งใจขึ้นมา อย่าไปปล่อยให้อำนาจฝ่ายต่ำเข้ามาทับถมจิตใจ เมื่อจิตมันไม่มีความเพียรปล่อยให้กิเลสมันทับถม กายมันก็อ่อนแอท้อแท้ ขี้เซาเหงานอนมันก็ไหลมาเทมา ก็เพราะจิตมันไม่มีความเพียร จิตมันไม่ตื่นขึ้นไม่ลุกขึ้น จิตมันอ่อนแอท้อแท้ จิตมันขุ่นมัว มันไม่ใส พุทโธไม่อยู่ในจิต จิตไม่เข้าถึงพุทโธ พุทโธอยู่ภายในใจสว่างแจ้งไม่หลงใหลไปตามคนสัตว์วัตถุธาตุทั้งหลาย
ตั้งใจยกจิตใจของตนขึ้นมา เอาจนให้ได้คำว่า ผู้มีความเพียรย่อมสำเร็จได้ทุกอย่างทุกประการ ตั้งใจทำตั้งใจพูด ตั้งใจคิด ตั้งใจภาวนา มันไม่เหลือวิสัยของผู้มีความเพียร ผู้มีเพียร คนมีเพียร ทำอะไรก็สำเร็จ พูดอะไรก็สำเร็จ คิดอะไรก็สำเร็จ เมื่อไม่มีความเพียร มันจะเอาอะไรมาเป็นความสำเร็จ ทำอะไรไม่ตั้งใจทำ ทำจนตลอดรอดฝั่งคือว่า เอาจริงเอาจังในใจ แม้พุทโธคำเดียวก็ได้สำเร็จมรรคผลเห็นแจ้งพระนิพพาน เพราะอะไรเพราะองค์นั้น ผู้นั้นทำจริง ๆ ปฏิบัติจริง ๆ ภาวนาจริง ๆ ตั้งจิตตั้งใจจริง ๆ ตั้งเนื้อตัวจริง ๆ เอาจริงเอาจังทุกอย่าง เมื่อทำจริง ๆ ปฏิบัติจริง ๆ ของจริงมันก็ปรากฏการณ์ขึ้นมา ในที่ความจริงนั่นแหละ ไม่ได้อยู่ในที่อื่น มันอยู่ที่จิตที่ใจของแต่ละบุคคล ไม่ต้องไปมัวสงสัยวิตกวิจารอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้ทำจริงปฏิบัติจริง มันไม่จริงอย่าไปถอยความเพียร
ดูพระสาวกในครั้งพุทธกาลท่านทำจริง ท่านเดินจงกรมอย่างเดียว เอาจนได้สำเร็จมรรคผล เห็นแจ้งพระนิพพาน ท่านทำอย่างไร คำว่าจริง ทีนี้ท่านนั่งภาวนามันก็ง่วงเหงาหาวนอนเหมือนเราท่านทั้งหลายนี่แหละ ท่านก็ไม่ยอมนั่ง ถ้านั่งมันสัปหงก ท่านไม่นั่ง ท่านเดินจงกรม คำว่าเดินจงกรมก็คือว่าเดินก้าวไปก้าวมา ในทางในเส้นทางจงกรมที่ท่านปัดกวาดไว้นั้น ไม่ยอดหยุดไม่ยอมนั่ง ถ้านั่งมันคอยหลับตา หลับตาก็ยิ่งร้ายใหญ่ เดินเอาอย่างเดียว เดินจนไม่รู้ว่ามันนานเท่าไรล่ะ เดินจนหนังเท้าแตกเลือดไหล เดินไม่ได้
แล้วเราท่านทั้งหลายผู้นั่งภาวนาอยู่นี่เดินจงเท้าแตกเลือดไหลเดินไม่ได้ มีหรือไม่เห็นมี ไปทางไหนก็สวมรองเท้า กลัวตีนแตก เจ็บนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เอาไม่ไหวแล้ว ตายแล้วทำไมไม่ตายตั้งแต่ยังไม่เกิดล่ะ นั่นแหละคือว่าใจท้อถอย ใจเกียจคร้าน ไม่ได้ดูพระแต่ก่อนท่านเดินจนกระทั่งหนังเท้าแตกเดินไม่ได้ เมื่อเดินไม่ได้ท่านก็ยังไม่ถอยความเพียร ถ้าเราสมัยนี้ถ้าถึงขนาดนั้นละก็นอนแผ่เท่านั้นแหละ ไม่เดินอีกต่อไป ไม่ภาวนาอีกต่อไป
แต่ท่านไม่ยอม เมื่อเดินไม่ได้เข่ายันมี มือยังมี คลานเอา ท่านว่าอย่างนั้น ทีนี้ก็คลานเดินจงกรมไป กลับไปกลับมา ไม่รู้ว่ากี่หนแหละ เข่าแตก หนังเข่าแตกไป ช่างมันไม่ใช่เข่าเรา เข่าของกิเลส มือแตกก็แตกช่างมัน เดินไม่ได้มันเจ็บ แตกเลือดไหล
เราได้คลานภาวนาจนเข่าแตกเลือดออกมีไหม ไม่มี มีแต่นอนห่มผ้าให้มันตลอดคืน มันจะได้สำเร็จมรรคผลอะไร ก็ได้แต่กรรมฐานขี้ไก่เท่านั้นเองแหละ กรรมฐานขี้ไก่ กรรมฐานขี้หมู ไม่ลุกขึ้น ภาวนาเหมือนพระแต่ก่อน พระแต่ก่อนท่านเดินไม่ได้ท่านคลานเอา
ทีนี้คลานไม่ได้ท่านทำอย่างไร ท่านก็ไม่ต้องนอนกันล่ะ แต่ท่านนอนขวางทางจงกรม แล้วไม่ใช่นอนนิ่ง ๆ ให้มันหลับ พลิกเหมือนกับเดินจงกรมในทางนั่นเองแหละเหยียดยาวลงตั้งแต่หัวถึงตีน ทีนี้มันก็ไม่มีที่ตรงไหนแตกแล้วทีนี้ กลิ้งไป พลิกไป จนสุดทางจงกรม กลิ้งกลับมาอีก เอาอยู่อย่างนั้น ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน นับไม่ถ้วน ท่านตั้งใจลงไปท่านไม่ยอมให้มันหลับมันไหล ไม่ให้มันฟุ้งซ่านไปที่อื่น เท้ามันเจ็บก็ไม่ให้ไปยึดไปถือ เข่ามันแตกก็ไม่ให้ไปยึดถือ มือแตกก็ช่างมือ มือผีหลอก มันหลอกให้หลง เข่าผีหลอก เท้าผีหลอก ท่านไม่ย่อท้อ ใจไม่ย่อท้อ อันนั้นแหละเรียกว่าความเพียร ไม่ใช่คำ "เพียร" พูดปลายลิ้นเท่านี้ ท่านมีความเพียรจริง ๆ ไม่ยอมให้มันนิ่ง ถ้านิ่งมันก็หลับ พลิกไปกลิ้งกลมไปเรื่อย มันจะตายก็ช่างสิ ได้ภาวนาทำความเพียรละกิเลสเป็นสิ่งสำคัญ ความตั้งใจองค์นั้น
เมื่อถึงขั้น นอนเหยียดตามแผ่นดินแล้ว กลิ้งไปเถิดมันไม่แตกละทีนี้ มันไม่มีที่ไหนหนัก ถ้ายืนมันก็ไปลงหนักที่เท้าที่ตีน ถ้าคลานมันก็ไปที่เข่าที่มือ มันไปหนักที่นั้น ถ้านอนเหยียดยาวละก็ไม่มีที่ไหนจะไปหนักมันเท่ากันหมด แต่ไม่ใช่ท่านนอนหลับ เหมือนพวกเรา ไม่ใช่นอนภาวนา นอนกลิ้งไม่ยอมให้มันหลับ ไม่ยอมให้มันนิ่ง เรียกว่า สติสัมปชัญญะสมาธิท่านตั้งมั่นลงไป องค์นี้เรียกว่ามีความเพียรที่สุดในพุทธศาสนา ไม่มีองค์ใดที่จะได้สำเร็จแบบนี้ มีองค์เดียวเท่านั้น เพราะว่าท่านทำจริง
เราทุกคนทุกดวงใจถ้ามีความเพียรขนาดนั้นล่ะคิดดูสิ ไม่ต้องไปถามหามรรคผลนิพพานล่ะ (ต้องได้แน่)ท่านเอาจนสำเร็จ แม้เราทุกคนก็เอาให้มันขนาดนั้นมันจะไปเหลือวิสัยได้หรือ มันยังไม่ถึงขั้นนั้นมันไปถอยเสียก่อน หยุดเสียก่อน มันกลัวตายน่ะ มันจึงได้มาเกิดมาตายอยู่ไม่จบไม่สิ้น มานอนอยู่ในท้องแม่นับภพนับชาติไม่ถ้วนก็เพราะจิตอันนี้ไม่มีความเพียร ไม่สมกับพุทธภาษิตที่ว่า วิริเยน ทุกฺข มจฺเจติ บุคคลจะล่วงความทุกข์ได้ด้วยความเพียร ไม่ใช่เพียงคำพูดวาจาที่เปล่งออกมา มันเป็นการกระทำทั้งหมดนั่นแหละ
ôôôôô ต่อหน้า 2 ôôôôô