PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : จุดกำเนินและแตกดับ มนุษย์จุดศูนย์รวมของการเปลี่ยนแปลง



*8q*
10-29-2008, 12:03 PM
มนุษย์ จุดศูนย์รวมของการเปลี่ยนแปลง ตอนที่ 1
จากท่านกิตติเมธี อ่านแล้วศึกษาหรือพิจารณากันเองนะครับโปรดใช้หลักกาลามสูตร
หากจะนับกาลเวลาแห่งการเกิดแล้วดับสูญ แล้วเกิดใหม่ ของโลกพร้อมจักรวาล พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่อาจมีใครล่วงรู้ได้ แต่ทุกครั้งที่มีการเกิด ดับสูญไป ล้วนมีมนุษย์ร่วมเป็นตัวการสำคัญเสมอ ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะใน อัคคัญญสูตร (อ่านเพิ่มเติมใน อัคคัญสูตร พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิวรรค เล่มที่ 11 ) พระสูตรหนึ่งในพระไตรปิฎก หรือคัมภีร์วิสุทธิมรรค ก็มีการกล่าวถึงการกำเนิดโลกและพัฒนาไป ล้วนมีมนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์ เครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย มนุษย์นี่เองที่วุ่นวายอยู่ภายใต้ความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์นั่นเอง เป็นทั้งผู้ก่อกำเนิดโลกขึ้น และทำลายโลกในที่สุด
หลังโลกดับสลายจากการทำลายล้างของไฟ น้ำ และลม ต่อมาอีกนานแสนนาน ก็เริ่มเกิดเมฆปกคลุมไปทั่ว ต่อมาฝนก็เริ่มตกเป็นละอองน้ำ แล้วใหญ่ขึ้นๆจนท่วมทั้งจักรวาล น้ำมีลมพัดอยู่รอบๆไม่ให้น้ำกระจายออกไป จนน้ำเริ่มข้นขึ้นในที่สุดก็จับตัวเป็นก้อน เหมือนน้ำที่ถูกอากาศเย็นทำให้แข็งตัวได้ ช่วงที่น้ำจับตัวเป็นก้อนมากขึ้น ก็เริ่มปรากฏสวรรค์ และพรหมโลกขึ้น ต่อมาเมื่อน้ำถูกลมพัดอยู่ตลอด น้ำที่แต่เดิมมีรสหวานอร่อยก็ระเหยหายไป เกิดเป็นง้วนดินลอยขึ้นมา มีสีสันสวยงามรสชาติหอมอร่อย ตอนนี้เองที่เริ่มมีอาภัสสรพรหมที่ไร้รูปร่าง มีเพียงประกายแสงรอบกายเรืองรอง เริ่มมาเกิดเป็นมนุษย์เพราะหมดบุญการกำเนิดมนุษย์ในช่วงแรกไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เกิดแล้วโตเต็มวัยได้ทันที มีรูปลักษณ์เหมือนตอนยังเป็นพรหม ไม่มีเพศร่างกายยังมีแสงสว่าง มีรัศมีล้อมรอบ เหาะไปมาบนท้องฟ้าได้ยังคงไม่ต้องกินอาหาร โลกยุคนั้นยังมีลักษณะแบนๆโลกและสวรรค์เชื่อมต่อกันได้สามารถเหาะไปมาหากันได้ แต่ต่อมาเริ่มเปลี่ยนรูปทรงออกไป และเริ่มเคลื่อนห่างกันออกไป จากบาปกรรมที่มนุษย์สร้างสมขึ้นมา โลกจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงจากแบนเริ่มฟูขึ้น แล้วหดตัวลงจนกลายเป็นรูปวงรี แล้วกลายเป็นทรงกลม กว่าจะพัฒนาได้ในระดับนี้ต้องอาศัยเวลายาวนานจนยากจะคำนวณได้
ช่วงแรกนั้นมนุษย์มีอายุประมาณแสนปี จนอยู่มาช่วงหนึ่งเริ่มมีมนุษย์เห็นง้วนดินเข้าก็เกิดความหิวกระหายอยากจะกิน จึงเอามือทั้งสองปั้นกินเป็นคำแล้วใส่เข้าปาก เพียงแค่ผิวดินนั้นสัมผัสกับปลายลิ้น รสอร่อยก็พลันซาบซ่านไปทั่วกาย สร้างความพอใจให้เขาอย่างยิ่ง เขาจึงเริมหันมากินง้วนดินเพราะติดใจในรสชาติ ส่วนมนุษย์คนอื่นเห็นเข้าก็กินตาม จนร่างกายที่เคยละเอียดเริ่มหยาบหนาขึ้น รัศมีเรืองรองรอบตัวเริ่มหายไปความมืดเริ่มเข้าครอบคลุมทุกพื้นดินอีกครา สร้างความหวาดหวั่นเกรงกลัวความมืด และนับเป็นความกลัวแรกในชีวิตมนุษย์เรา เมื่อกลัวมากๆเข้า ต่างพากันอ้อนวอนขอแสงสว่างกลับคืนมาอีกครั้ง ไม่นานก็เกิดดวงสุริยะขึ้นส่องประกายขับไล่ความมืดมิดไปเสียสิ้น จากนั้นดวงจันทราพร้อมหมู่ดวงดาวก็เกิดขึ้นมาตามลำดับ เมื่อมีกลางวันกลางคืนเกิดขึ้น ฤดูกาลก็เริ่มตามมาพร้อมกันนี้ เขาพระสุเมรุ เขาหิมพานต์ มหาสมุทรก็เกิด หลังจากเวลาผ่านไปหลายแสนล้านปี
ต่อมาไม่นาน ด้วยผลแห่งอาหารที่มนุษย์พากันกินเข้าไป ทำให้ผิวพรรณมนุษย์เริ่มหยาบหนาขึ้น ผิวพรรณเริ่มดำคล้ำไม่เท่ากันจากผลบาปกรรมที่ตนต่างพากันสร้างไว้เมื่อชาติปางก่อนเริ่มเกิดความถือตัว ร่างกายที่เหาะได้ก็ไม่อาจเหาะได้อีก เมื่อมนุษย์หันไปกินง้วนดินกันหมด ง้วนดินก็เริ่มหมดไปแต่ยังพอมีสะเก็ดดินให้กินเนื่องจากยังคงมีรสอร่อย และรสหอมหวนชวนบริโภค มนุษย์เริ่มถูกกิเลสครอบงำมากขึ้น ความประณีตของอาหารเริ่มน้อยลงไป เมื่อสะเก็ดดินหมดอร่อยจึงหันไปกินเครือดินแทน
จนเมื่อมีข้าวสาลีเกิดขึ้น ผลของข้าวสาลีใหญ่มาก และไม่มีเปลือกห่อหุ้มไว้แต่อย่างใด ทั้งมีสีเหลืองอมขาว มีรสชาติหอมนุ่มเมื่อเคี้ยว มีกลิ่นหอม คุณค่าทางอาหารครบเมื่อบริโถคแล้วความหิวกระหายหมดสิ้นไป โดยเมล็ดเดียวสามารถบริโภคได้ถึง 3 – 5 คน เมื่อรวงข้าวสุกก็จะโน้มมาให้มนุษย์เก็บกินได้เมื่อเก็บแล้วจะงอกใหม่อยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เมื่อคุณภาพของอาหารที่มนุษย์บริโภคเข้าไปหยาบขึ้นเรื่อยๆเพราะกิเลสที่เพิ่มมากขึ้นของมนุษย์ ทำให้ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถดูดซึมอาหารได้ดีอย่างเดิม เริ่มมีกากอาหารขึ้น ร่างกายจึงปรากฏช่องขับถ่าย คือทวารหนักและทวารเบา
อาศัยกรรมที่ตนเคยผิดศีลข้อสาม คือ ประพฤติผิดในกามตั้งแต่อดีตชาติ ทำให้อวัยวะเพศต่างกันบางคนเป็นหญิงบางคนเป็นชาย ตอนนี้เองมนุษย์เริ่มมีเพศต่างกัน ตอนนั้นมนุษย์ยังไม่รู้จักใช้เสื้อผ้าปกปิดร่างกาย พอเห็นกันเข้าก็เกิดความปรารถนากันและกัน จึงเริ่มเสพกามกันขึ้น แต่เนื่องจากการเสพกามนี้เป็นเรื่องแปลกใหม่ทำให้มนุษย์ส่วนมากเห็นการเสพกามเป็นเรื่องน่ารังเกียจ จึงพากันห้ามปราม และจับพวกนี้แยกออกไป พร้อมทั้งติเตียน ขว้างปาสิ่งของและด่าว่า “เจ้าพวกคนถ่อย จงฉิบหาย เจ้าพวกคนถ่อยจงฉิบหาย........” เมื่อเหล่าชายหญิงผู้เสพกามถูกรังเกียจ และต่างถูกขับไล่ออกมา จึงเสาะแสวงหา และเริ่มสร้างบ้านเรือนขึ้นมาเพื่อไม่ให้มีใครเห็นเวลาเสพกามกัน เมื่อมนุษย์เริ่มเสพกามกันมากขึ้น ก็เกิดมีลูกที่เกิดที่เกิดขึ้นในครรภ์ ถือเป็นมนุษย์ที่เกิดจากครรภ์แต่ครั้งนั้น หลังจากนั้นก็ไม่มีการผุดเกิดเป็นมนุษย์อีกเลย นานวันเข้ากิเลสตัณหาของมนุษย์เริ่มเพิ่มมากขึ้น ขี้เกียจจะออกไปแสวงหาข้าวสาลีมาบ่อยๆ จึงเริ่มกักตุนไว้ทีละมากๆยิ่งเก็บก็ยิ่งโลภมากทำให้อาหารที่กินเริ่มประณีตน้อยลง ข้าวสาลีก็เริ่มเสท่อมคุณภาพลงไปเรื่อยๆ ต้นเริ่มเล็กลงเปลือกหนาขึ้น เมื่อเก็บไปแล้วก็กลับไม่งอกขึ้นดังเดิม ทำให้ข้าวสาลีเริ่มลดน้อยลงและ หายากยิ่งขึ้น
ถึงตรงนี้หากนับเวลาแห่งการกำเนิดเกิดมนุษย์นับตั้งแต่เป็นพรหมจนมีร่างกายเช่นปัจจุบัน ล้วนมาจากความอยาก และหลงไปกับวัตถุที่ธรรมชาติเอามาล่อให้เราหลงตามไปจนท้ายที่สุดก็ถูกกิเลสเข้าครอบงำ แรกเริ่มอายุมนุษย์นับไปได้แสนปีหรือบางทีก็ยืนยาวจนนับไม่ได้ เพราะดินฟ้าอากาศไม่มีมลพิษ ไม่จำเป็นต้องทำงานไม่ต้องมีบ้านคอยกันฝนไม่มีร่มเงาคอยบังแดด แม้เครื่องนุ่งห่มก็ไม่จำเป็น อาหารก็ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายค้นหา อาศัยปีติอย่างเดียวก็ทำให้ตนเองอิ่มได้ โลกสมัยแรกเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ไร้ทุกข์ แต่เพียงเพราะง้วนดินเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างสิ้น ยิ่งกินยิ่งติดอยู่ ในรสจนยากจะเลิกได้ ยิ่งกินมาก กายยิ่งหยาบหนา พาให้ผิวพรรณเปลี่ยนไป แต่หากลองกินให้น้อยลงผิวพรรณกลับดีขึ้น ทั้งสุขภาพแข็งแรงระบบต่างๆในร่างกายกลับฟื้นคืนสภาวะปกติ นั่นอาจนำไปสู่การลดอาหารของพระภิกษุในทางพระพุทธศาสนาให้ฉันน้อยลง บางครั้งเพียงวันละ 1 มื้อ หรือบางศาสนาถึงกับมีศีลอด ก็ช่วยให้ร่างกายกลับฟื้นสภาพได้ดีเช่นกัน
แม้ร่างกายมนุษย์ในยุคต้นจะมีขนาดที่ใหญ่โตและแข็งแรงมาก เนื่องจากสภาพแวดล้อมในยุคก่อนส่งผลมายังร่างกายมนุษย์โดยลำดับ เมื่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ กายของมนุษย์ก็ค่อยๆเล็กลงเริ่มอ่อนแอมากขึ้น มีโรคภัยไข้เจ็บเพิ่มขึ้น แล้วสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติก็เปลี่ยนไปด้วยจิตใจมนุษย์นั่นเอง
โปรดติดตามตอนต่อไปในยุคโลกเสื่อมสภาพ coming soon
http://www.dhammathai.org/store/talk/view.php?No=436