เข้าสู่ระบบ

แสดงเวอร์ชันเต็ม : สงสัยครับ พ่อกับแม่ใครมีพระคุณต่อลูกมากกว่ากันครับ



witta
02-22-2010, 12:37 PM
ได้คำตอบแล้วครับ ผมไม่ควรสงสัยเลย ได้รับคำชี้แนะมาครับว่า "เปรียบเหมือนถามว่า หูซ้ายกับหูขวา หูข้างไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน"

ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ

ทั้งมารดา และบิดา เป็นพรหมของบุตร เป็นบุรพาจารย์ของบุตร เป็นผู้ควรรับของคำนับของบุตร และว่าเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร


๗. พรหมสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=6643&Z=6657&pagebreak=0

[๒๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตระกูลใด บุตรบูชามารดาและบิดาอยู่ใน
เรือนของตน ตระกูลนั้นชื่อว่ามีพรหม มีบุรพเทวดา มีบุรพาจารย์ มีอาหุไนย
บุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าพรหม เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าบุรพ-
*เทวดา เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าบุรพาจารย์ เป็นชื่อของมารดาและบิดา
คำว่าอาหุไนยบุคคล เป็นชื่อของมารดาและบิดา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ
มารดาและบิดาเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้ถนอมเลี้ยง เป็นผู้แสดงโลกนี้แก่บุตร ฯ
มารดาและบิดาเรากล่าวว่า เป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์ เป็น
อาหุไนยบุคคลของบุตร เพราะเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร เพราะ
เหตุนั้นแหละ บัณฑิตพึงนอบน้อมและพึงสักการะมารดาและ
บิดาทั้งสองนั้น ด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การขัดสี การ
ให้อาบน้ำ และการล้างเท้า บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ
บุคคลนั้นในโลกนี้ทีเดียว เพราะการปฏิบัติในมารดาและบิดา
บุคคลนั้นละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์ ฯ





พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๐ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=28&A=943&Z=1157
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒
๒. โสณนันทชาดก
เรื่องพระราชาไปขอขมาโทษโสณดาบส

[๑๖๒] มารดาหวังผลคือบุตร จึงนอบน้อมแก่เทวดา และไต่ถามถึงฤกษ์ ฤดู
และปีทั้งหลาย เมื่อมารดานั้นมีระดู ความก้าวลงแห่งสัตว์ผู้เกิดในครรภ์
ก็ย่อมมี เพราะสัตว์เกิดในครรภ์นั้นมารดาจึงแพ้ท้อง เพราะเหตุนั้น
บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่าเป็นผู้มีใจดี มารดาบริหารครรภ์อยู่หนึ่งปี
หรือหย่อนกว่าปีแล้วจึงคลอด เหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า
ชนยนตีและชเนตตี ผู้ยังบุตรให้เกิด มารดาย่อมปลอบบุตรผู้ร้องไห้อยู่
ให้รื่นเริง ด้วยการให้ดื่มน้ำนมบ้าง ด้วยการขับกล่อมบ้าง ด้วยการอุ้ม
แนบไว้กับอกบ้าง เหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า ปลอบบุตร
ให้รื่นเริง ต่อแต่นั้น มารดาเห็นบุตรผู้ยังเป็นเด็กอ่อน ไม่รู้จักเดียงสา
เล่นอยู่ท่ามกลางสายลมและแสงแดดอันกล้าก็เข้ารับขวัญ เพราะเหตุนั้น
บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า โปเสนตี ผู้เลี้ยงดูบุตร มารดาย่อม
คุ้มครองทรัพย์แม้ทั้งสองฝ่าย คือ ทรัพย์ของมารดาและทรัพย์ของบิดา
เพื่อบุตรนั้น ด้วยตั้งใจว่า ทรัพย์ทั้งสองฝ่ายพึงเป็นของบุตรแห่งเรา
มารดายังบุตรให้ศึกษาดังนี้ว่า อย่างนี้ซิลูกอย่างโน้นซิลูก ย่อมลำบาก
เมื่อบุตรกำลังรุ่นหนุ่มคะนอง มารดาย่อมคอยมองดูบุตรผู้หลงเพลิดเพลิน
ในภรรยาผู้อื่น จนพลบค่ำก็ยังไม่กลับมา ย่อมเดือดร้อนด้วยประการ
ฉะนี้ บุตรผู้อันมารดาเลี้ยงดูมาแล้ว ด้วยความลำบากอย่างนี้ ไม่บำรุง
มารดา บุตรนั้นชื่อว่าประพฤติผิดในมารดา ย่อมเข้าถึงนรก บุตรผู้
อันบิดาเลี้ยงมาด้วยความลำบากอย่างนี้ ไม่บำรุงบิดา บุตรนั้นชื่อว่า
ประพฤติผิดในบิดา ย่อมเข้าถึงนรก เราได้สดับมาว่า เพราะไม่บำรุง
มารดา แม้ทรัพย์ที่เกิดแก่บุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาทรัพย์ย่อมฉิบหาย
หรือบุตรนั้นย่อมเข้าถึงความยากแค้น เราได้สดับมาว่า เพราะไม่บำรุง
บิดา แม้ทรัพย์ที่เกิดแก่บุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาทรัพย์ย่อมฉิบหาย หรือ
บุตรนั้นย่อมเข้าถึงความยากแค้น ความรื่นเริง ความบันเทิง และความ
หัวเราะเล่นหัวกันทุกเมื่อ บัณฑิตผู้รู้แจ้งพึงได้เพราะการบำรุงมารดา
ความรื่นเริงความบันเทิง และความหัวเราะเล่นหัวกันทุกเมื่อ บัณฑิตผู้
รู้แจ้งพึงได้เพราะการบำรุงบิดา สังคหวัตถุ ๕ ประการนี้คือทาน
การให้ ๑ ปิยวาจา เจรจาคำน่ารัก ๑ อัตถจริยา การประพฤติ
ประโยชน์ ๑ สมานัตตตา ความเป็นผู้มีตนเสมอในธรรมทั้งหลาย
ตามสมควร ในที่นั้นๆ ๑ ย่อมมีในโลกนี้ เหมือนเพลารถย่อมมี
แก่รถที่กำลังแล่นไป ฉะนั้น ถ้าว่าสังคหวัตถุเหล่านี้ไม่พึงมีไซร้ มารดา
ก็จะไม่พึงได้รับความนับถือหรือการบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร หรือ
บิดาก็จะไม่พึงได้ความนับถือหรือการบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร ก็เพราะ
บัณฑิตทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นสังคหวัตถุนี้ ฉะนั้น บัณฑิตเหล่านั้น
ย่อมถึงความเป็นผู้ประเสริฐ และเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์พึงสรรเสริญ
**** มารดาและบิดาบัณฑิตเรียกว่าเป็นพรหมของบุตร เป็นบุรพาจารย์ของบุตร
เป็นผู้ควรรับของคำนับของบุตร และว่าเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร
เพราะเหตุนั้นแล บุตรผู้เป็นบัณฑิต พึงนอบน้อมและสักการะมารดา
บิดาทั้ง ๒ นั้นด้วย ข้าว น้ำ ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ที่นอน การขัดสี การ
ให้อาบน้ำ และการล้างเท้า บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุตรนั้น
ด้วยการบำรุงในมารดาบิดาในโลกนี้ ครั้นบุตรนั้นละโลกนี้ไปแล้ว ย่อม
บันเทิงในสวรรค์.****




ขอบคุณมากครับที่ชี้แนะ
ขอขอบคุณมากครับ

D E V
02-22-2010, 02:40 PM
1. พึ่งเคยได้ยินเหมือนกันคับ

2. มีแสดงถึงพระคุณของบิดามารดา และการตอบแทนพระคุณ
ขอยกตัวอย่างเพียงบางส่วนนะคับ

พรหมสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=6643&Z=6657&pagebreak=0

อรรถกถา พรหมสูตร
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=286




8) เดฟ

golffy
03-04-2010, 04:39 PM
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า "บุญคุณ" นี้เป็นสิ่งที่คนต้องกระทำขึ้นมา

ดังนั้น ใครที่ทำบุญคุณกับเรามาก ผู้นั้นเป็นผู้นั้นมีคุณมาก

ดังนั้น จะเป็นบิดา หรือ มารดา ไม่สำคัญ

D E V
03-04-2010, 06:01 PM
อ้าว คุณ witta เข้ามาลบคำถามที่ถามไว้ออกหมดเลยหรอคับ 5555
กำ งี้เดี๋ยวคนเข้ามาอ่านก็งงอ่ะจิคับ
มีแต่คำตอบ แต่ไม่มีคำถามเดิมที่ถามไว้อ่ะคับ อิอิ



8) เดฟ

piangfan
03-04-2010, 07:06 PM
สวัสดีค่ะ อาจารย์เดฟ คุณกอฟ คุณwitta
สาธุค่ะ กับคำถามและคำตอบของทุกๆท่านค่ะ


สมมุติค่ะ พ่อ หรือแม่ เกิดลูกมาไม่เคยเหลียวแลค่ะ
ลูกโตมาด้วยความเอื้ออาทรจากญาติๆ ค่ะ
ลูกไม่เคยพบ พ่อแม่ ที่แท้จริง ค่ะ
ญาติเสี้ยงดูส่งเสียลูกจนเรียนจบ ค่ะ
พอลูกโตมาก็อยู่กับญาติที่เสี้ยงตัวลูกมาค่ะ

อย่างนี้ตัวลูกจะบาปไหมค่ะ
ทีไม่ได้ทดแทนบุญคุณ พ่อแม่ ที่แท้จริงค่ะ
เพราะ พ่อแม่ที่แท้จิงอยู่ไหนมิหยั่งรู้ค่ะ
สงสัย พ่อ กับแม่ หนีลูกไป จึงปล่อยให้ลูกเดียวดาย ค่ะ อิอิ
ขอบคุณทุกท่านค่ะ สาธุค่ะ

D E V
03-05-2010, 07:23 AM
อย่างนี้ตัวลูกจะบาปไหมค่ะ
ทีไม่ได้ทดแทนบุญคุณ พ่อแม่ ที่แท้จริงค่ะ
เพราะ พ่อแม่ที่แท้จิงอยู่ไหนมิหยั่งรู้ค่ะ

ไม่ใช่บาปคับ
เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าท่านอยู่ไหนอ่ะคับ

แต่แม้ไม่อาจรู้ว่าท่านอยู่ไหน...ไม่สามารถดูแลท่านได้
แต่ก็สามารถที่จะน้อมระลึกเคารพในพระคุณท่านได้
เพราะแม้ท่านจะไม่มีโอกาสเลี้ยงดูเรา...แต่ท่านก็ให้กำเนิด
ให้เรามีโอกาสได้เจริญเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้

อย่างน้อยเราก็ได้อยู่กับท่านอย่างใกล้ชิดมาตั้ง 9 เดือนใช่มั้ยคับ
ที่ท่านต้องแบกอุ้มเราไว้อย่างระมัดระวัง
ทนอึดอัดไม่สบายกาย ทนเจ็บปวดกายในวันคลอด
เพื่อให้เราได้ลืมตามาดูโลกอ่ะคับ




8) เดฟ

piangfan
03-05-2010, 12:08 PM
สาธุค่ะ อาจารย์เดฟ