*8q*
10-29-2008, 12:30 PM
:-*
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ความสงสัย (วิจิกิจฺจา)เป็นนิวรณ์ข้อหนึ่งในนิวิรณ์ ๕ ประการ ที่ขัดขวางต่อความเข้าใจในสัจธรรม และขัดขวางต่อความก้าวหน้าทางจิตใจ (หรือขัดขวางความก้าวหน้าใดๆทั้งสิ้น) อย่างไรก็ตาม ความสงสัยมิใช่บาป เพราะไม่มีกฏเกณฑ์แห่งความเชื่อในพระพุทธศาสนา ตามที่จริงไม่มีบาปในพระพุทธศาสนาเลย เหมือนอย่างที่เข้าใจกันในศาสนาบางศาสนารากเหง้าแห่งความชั่วร้ายทั้งปวงคือ อวิชชาและมิฏจฉาทิฏฐิ เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ที่ว่าตราบใดที่ยังมีความลังเลสงสัยความคลางแคลงใจอยู่ ความก้าวหน้าก็จะไม่มีตราบนั้น และความสงสัยจะคงยังมีอยู่ตราบเท่าที่บุคคลยังไม่เข้าใจหรือเห็นอย่างแจ่มแจ้ง แต่ในการที่จะก้าวหน้าต่อไปได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำจัดความสงสัยเสีย ในการที่จะกำจัดความสงสัยเสียได้นั้น บุคคลจะต้องมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เป็นการเลื่อนลอยที่จะพูดว่า บุคคลไม่ควรสงสัย หรือ บุคคลควรเชื่อ เพียงแต่พูดว่าฉันเชื่อ ไม่ได้หมายความว่าท่านเข้าใจและมองเห็น เหมือนเมื่อนักเรียนคิดแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ข้อหนึ่ง เขาจะมาถึงขั้นตอนหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร และเขามาถึงจุดที่เกิดความสงสัยและคลางแคลงใจ ตราบใดที่เขายังมีความสงสัยข้อนี้อยู่ เขาจะดำเนินการต่อไปไม่ได้เลย ถ้าเขาต้องการจะดำเนินการต่อไป ก็จะต้องกำจัดความสงสัยนี้เสียก่อน และวิถีทางในการขจัดความสงสัยนี้ก็มีอยู่ เพียงแต่พูดว่า ฉันเชื่อ หรือ ฉันไม่สงสัย จะปัญหานั้นไม่ได้อย่างแน่นอน การบังคับตัวเองให้เชื่อและให้ยอมรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยปราศจากความเข้าใจนั้นเป็นเรื่องของการเมือง ไม่ใช่เรื่องของจิตใจหรือสติปัญญาเลย
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ความสงสัย (วิจิกิจฺจา)เป็นนิวรณ์ข้อหนึ่งในนิวิรณ์ ๕ ประการ ที่ขัดขวางต่อความเข้าใจในสัจธรรม และขัดขวางต่อความก้าวหน้าทางจิตใจ (หรือขัดขวางความก้าวหน้าใดๆทั้งสิ้น) อย่างไรก็ตาม ความสงสัยมิใช่บาป เพราะไม่มีกฏเกณฑ์แห่งความเชื่อในพระพุทธศาสนา ตามที่จริงไม่มีบาปในพระพุทธศาสนาเลย เหมือนอย่างที่เข้าใจกันในศาสนาบางศาสนารากเหง้าแห่งความชั่วร้ายทั้งปวงคือ อวิชชาและมิฏจฉาทิฏฐิ เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ที่ว่าตราบใดที่ยังมีความลังเลสงสัยความคลางแคลงใจอยู่ ความก้าวหน้าก็จะไม่มีตราบนั้น และความสงสัยจะคงยังมีอยู่ตราบเท่าที่บุคคลยังไม่เข้าใจหรือเห็นอย่างแจ่มแจ้ง แต่ในการที่จะก้าวหน้าต่อไปได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำจัดความสงสัยเสีย ในการที่จะกำจัดความสงสัยเสียได้นั้น บุคคลจะต้องมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เป็นการเลื่อนลอยที่จะพูดว่า บุคคลไม่ควรสงสัย หรือ บุคคลควรเชื่อ เพียงแต่พูดว่าฉันเชื่อ ไม่ได้หมายความว่าท่านเข้าใจและมองเห็น เหมือนเมื่อนักเรียนคิดแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ข้อหนึ่ง เขาจะมาถึงขั้นตอนหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร และเขามาถึงจุดที่เกิดความสงสัยและคลางแคลงใจ ตราบใดที่เขายังมีความสงสัยข้อนี้อยู่ เขาจะดำเนินการต่อไปไม่ได้เลย ถ้าเขาต้องการจะดำเนินการต่อไป ก็จะต้องกำจัดความสงสัยนี้เสียก่อน และวิถีทางในการขจัดความสงสัยนี้ก็มีอยู่ เพียงแต่พูดว่า ฉันเชื่อ หรือ ฉันไม่สงสัย จะปัญหานั้นไม่ได้อย่างแน่นอน การบังคับตัวเองให้เชื่อและให้ยอมรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยปราศจากความเข้าใจนั้นเป็นเรื่องของการเมือง ไม่ใช่เรื่องของจิตใจหรือสติปัญญาเลย