เข้าสู่ระบบ

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ลานบุษปะ



ทั่นยาย
09-01-2010, 08:48 AM
http://www.oceansmile.com/N/Uthaithani/picUthai1/uthai-160.jpg
สืบ นาคะเสถียร วีระษุรุษของพงไพร

เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณ สืบ นาคะเสถียร วีระบุรุษในดวงใจผู้ที่รักและปกป้องผืนป่ายิ่งชีวิต
ทั่นยายจึงขอเปิดกระทู้ ลานบุษปะ ขึ้นมา เพื่อสืบทอดเจตตนารมณ์ของคุณ สืบ นาคะเสถียร
ที่มุ่งหวังจะอนุรักษ์ผืนป่า สัตว์ป่าของไทยไว้ให้ลูกหลานได้ภาคภูมิใจสืบไป กระทู้นี้จึงมุ่งหวังเพื่อเสริมสร้าง
ให้ผู้อ่านได้รู้จักต้นไม้ ดอกไม้ ผลไม้ นานาพรรณมากขึ้น อันจะก่อให้เกิดองค์ความรู้ ความเข้าใจ ในประโยชน์
ของ ต้นไม้ ดอกไม้ ผลไม้ และป่า อันมีประโยชน์ มีคุณค่า ต่อคนและสัตว์ และต่อสภาพแวดล้อม อย่างประมาณค่ามิได้
จึงขอเชิญชวนทุกท่านเข้ามาเยี่ยมชม ลานบุษปะ แห่งนี้ดูค่ะ ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
หรือใครจะอาสามาเป็นคนสวน ช่วยกันปลูกต้นไม้ ดอกไม้ ก็ยินดีอย่างยิ่งค่ะ เพียงร่วมกันปลูกคนละต้นสองต้น
ไม่นาน ลานบุษปะ แห่งนี้ก็จะกลายเป็นสวนป่าแห่งความรู้ในโลกอินเตอร์เน็ตค่ะ
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ลานบุษปะ เล็กๆแห่งนี้จะจุดประกายให้ทุกคน รู้จักต้นไม้ เข้าใจต้นไม้
และรักต้นไม้มากขึ้น เพื่อที่จะร่วมแรงร่วมใจกันอนุรักษ์ต้นไม้ อนุรักษ์ป่าให้อยู่คู่เมืองไทยตลอดไปค่ะ

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-01-2010, 12:47 PM
หลังจากเตรียมพื้นที่ปลูกต้นไม้กันไปเรียบร้อยแล้ว ที่นี้ก็ต้องมองหาต้นกล้าไม้ที่จะนำมาปลูก
เป็นลำดับต่อไปค่ะ เอ...จะปลูกต้นอะไรดีหนอ คิดไปคิดมาสรุปว่าน่าจะปลูกต้นไม้พระราชทาน
เอาฤกษ์เอาชัยกันก่อนดีกว่าค่ะ เพื่อจะได้เป็นศิริมงคลแก่ ลานบุษปะ แห่งนี้สืบไปค่ะ

http://gotoknow.org/file/khajitfoythong/peep1.jpg

ชื่อพันธุ์ไม้ กาสะลองคำ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Radermachera ignea (Kurz)Steenis
ชื่อวงศ์ : BIGNONIACEAE
ชื่อท้องถิ่น : ปีบทอง (ภาคกลาง) แคะเป๊าะ สำเภาหรือ หลามต้น (ลำปาง) จางจืด (เชียงใหม่)
สะเภา, อ้อยช้าง (ภาคเหนือ) กากี (สุราษฎร์ธานี)

ประวัติความเป็นมาของต้นไม้ประจำจังหวัดเชียงราย
ต้นกาสะลองคำ เป็นต้นไม้ที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ในพิธีเปิดโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์
ปีที่ 50 วันที่ 9 พฤษภาคม 2537 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ปีบทอง หรือ กาสะลองคำ (อังกฤษ: Tree Jasmine )
เป็นไม้ต้นผลัดใบในวงศ์ BIGNONIACEAE สูงประมาณ 10 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ
ใบเป็นประเภทใบประกอบแบบ 2-3 ชิ้น ใบย่อยรูปไข่ปลายใบแหลม ขึ้นตามธรรมชาติ
บนเทือกเขาหินปูนที่ค่อนข้างชื้น พบตั้งแต่พม่าตอนใต้ ไปถึงเกาะไหหลำ

กาสะลองคำหรือปีบทอง เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลแก่จังหวัดเชียงราย
และเป็นพรรณไม้ประจำมหาลัยสองที่ คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเรียกว่า "กาซะลองคำ"
และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีเรียกว่า "ปีปทอง"

http://www.pantip.com/cafe/jatujak/topic/J5295419/J5295419-11.jpg
ลักษณะ : เป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ผลัดใบสูง 6 - 20 ม. ลำต้นเปลาตรง
เปลือกนอก สีเทา ใบประกอบแบบขนนกสองถึงสามชั้น เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ยาว 20 - 60 ซม.

http://file.siam2web.com/pooplaza/pooplaza/2010118_81129.jpg
กาสะลองคำอีกหนึ่งสายพันธุ์ ดอกจะใหญ่กว่า
ดอก มีสีเหลืองอมส้ม หรือสีส้ม ออกเป็นกระจุกตามกิ่งและลำต้น กระจุกละ 5 - 10 ดอก ช่อดอกยาว 1 - 1.7 ซม.
มีขนนุ่มประปราย ก้านดอก ยาว 1 ซม. มี 3 - 8 ดอก กลีบดอกสีเหลืองอมส้มติดกันเป็นรูปทรงกระบอก ยาว 4 - 4.7ซม.
ออกดอกประมาณเดือน มกราคม - เมษายน ผลัดใบก่อนออกดอก

http://www.bloggang.com/data/s/starparadise/picture/1263151698.jpg
ผล เป็นฝักติดห้อยลงจากกิ่งที่ออกดอก ยาว 32 - 45 ซม. กว้าง 4 - 6 มม. เมื่อผลอ่อน สีเขียว
พอแก่ สีน้ำตาลเทา ค่อนข้างบาง เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ซีก ภายในผลมีแกนทรงกระบอกยาวเรียว
มีเมล็ดอยู่จำนวนมาก เมล็ดแบน เมล็ดกว้าง 2 มม. ยาว 1.3 - 1.5 ซม.

ขยายพันธุ์ โดยเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำกิ่งและหน่อ
ประโยชน์ ปลูกเป็นไม้ประดับ และสมุนไพร ส่วนที่นำมาใช้ : ลำต้น เปลือกต้น และใบ
สรรพคุณ : ลำต้น แก้ซาง เปลือกต้น แก้ท้องเสีย ใบ รักษาแผลสด ห้ามเลือด
สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ ยับยั้งเอนไซด์ HIV-1 reverse transcriptase

อืม...รูปทรงของดอกกาสะลองคำนี่ เหมือนถ้วยไอศครีมจังเลยค่ะ
แหม..นี่ถ้าเอาหมูสับยัดลงไปในดอกรูปถ้วยเล็กๆพอคำนี่ แล้วนำไปทำแกงจืด
คงเป็นแกงจืดที่มีสีสันสดสวย ชวนให้เจริญอาหารนะคะ
แต่ไม่ทราบว่าดอกกาสะลองคำนี่ทานได้หรือเปล่า...ใครทราบช่วยแจ้งให้ทราบด้วยนะคะ
เผื่อวันหน้าไปเจอดอกกาสะลองคำที่ไหนจะได้เก็บมากินซะให้เกลี้ยงต้นเลยค่ะ อิ อิ


อ้างอิง
พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542
http://www.komchadluek.net/2007/10/06/b005_153104.php?news_id=153104
http://www.nrru.ac.th/web/plant/showdata.asp?id=36

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-03-2010, 08:24 AM
หลังจากปลูกต้นไม้พระราชทานอันเป็นสิริมงคลแล้ว
ก็ขอนำต้นไม้ที่เป็นสิริมงคลประจำวันเกิดมาปลูกกันเป็นลำดับต่อไปนะคะ
เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ที่ทุกท่านค่ะ งั้นเริ่มที่วันอาทิตย์กันก่อนละกันนะคะ
มาดูกันค่ะว่าวันอาทิติย์ควรจะปลูก ต้นไม้ ดอกไม้อะไรดีหนอถึงจะเสริมโชค ลาภ วาสนาบารมีค่ะ

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/35/12035/images/Fasai/DSC06828.JPG

1.ต้นไม้ประจำวันของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์
คนเกิดวันอาทิตย์ เป็นคนที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้า นิสัยส่วนตัวของผู้ที่เกิดวันนี้จะมีนิสัยทะเยอทะยาน
ถือตัว หยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย กระตือรือล้น มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ชีวิตในวัยเด็กไม่ค่อยอบอุ่นสุขสบายนัก
แต่เมื่อเติบโตแล้วจะมีฐานะมั่งคั่ง ด้วยความเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ
แต่ให้ระวังเรื่องการใช้สอยเพราะเป็นคนใจกว้างอย่างนักเลง ชอบช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่าตนเอง
เป็นคนรักเพื่อนฝูงมาก จริงใจประเภทถึงไหนถึงกัน แต่ไม่ค่อยได้ความจริงใจตอบเพราะทำคุณกับใครไม่ขึ้น
อุปนิสัยอารมณ์ร้อน โกรธง่ายหายเร็ว สุภาพอ่อนโยน คล่องแคล่ว ชอบพบปะผู้คน พูดจาดีมีหลักการ
ใจอ่อนรักหลงคนง่าย ค่อนจะเจ้าชู้แต่รักใครแล้วจะทุ่มเทสุดชีวิต ชอบเดินทางท่องเที่ยวผจญภัย
คนเกิดวันอาทิตย์ควรระวังเรื่องความใจร้อน เรื่องความหูเบาเชื่อคนง่าย และเรื่องหน้าใหญ่ใจโต
ซึ่งอาจจะสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว ไม้มงคลของคนที่เกิดวันอาทิตย์ จะเป็นไม้ดอกสีเหลือง หรือสีส้ม
เนื่องจากสีเหลืองและสีส้มเป็นสีที่ถูกโฉลก ต้นไม้ที่เป็นสิริมงคลของคนเกิดวันอาทิตย์มี ดังนี้
ต้นไม้ประจำวันผู้ที่เกิดวันอาทิตย์นั้น คือ ต้นพวงแสด ต้นพุทธรักษา ต้นธรรมรักษา ต้นเยอร์บีร่าที่มีดอกสีส้ม
ดอกกุหลาบสีส้ม และดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์

http://life.truelife.com/media/image/09/06/19/15/d96de7f54dcd44a7a46eb022b1438472.jpg
ต้นพวงแสดเถา
พวงแสด (ชื่อวิทยาศาสตร์: Pyrostegia venusta)
เป็นพืชในวงศ์ Bignoniaceae
มีชื่อสามัญอื่นๆคือ : Orange trumpet, Flame flower, Fire-cracker vine พวงแสด พวงแสดเครือ

http://www.discoverlife.org/nh/tx/Plantae/Dicotyledoneae/Bignoniaceae/Campsis/radicans/images/Campsis_radica2.337.414x298.jpg

ลักษณะทั่วไป
ไม้เถาเลื้อย เนื้อแข็ง อายุหลายปี ใช้มือพันเลื้อยพัน กิ่งก้านเป็นเหลี่ยม ใบเป็นใบประกอบ เรียงสลับ
มีใบย่อย 3 ใบ ในใบย่อยบางชุดใบกลางจะเปลี่ยนเป็นมือพัน ใบย่อย รูปไข่ กว้าง 2-3 เซนติเมตร
ยาว 4-5 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ ดอกสีส้มอมเหลือง
ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกแยกแขนงตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อละ 10-30 รูปเข็ม
โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 3-6 เซนติเมตร ปลายแยก 5 กลีบ รูปแถบยาวและม้วนงอไปด้านหลัง
มีขนละเอียด ดอกบานเต็มที่กว้าง 1.5-2 เซนติเมตร ออกดอกช่วงเดือน ธ.ค.-ม.ค.
ผลเป็นฝักยาว 15-20 เซนติเมตร เมื่อฝักแก่จะแตกออก
เมล็ดกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3.5 เซนติเมตร

http://2.bp.blogspot.com/_nBYMSbjWOEY/SiHPlWvV5vI/AAAAAAAAA-E/9Jm62HRNLRs/s400/trumpet-vine.jpg

การปลูกเลี้ยง
พวงแสดปลูกได้ในดินทั่วไป มีความชื้นปานกลาง แสงแดดเต็มวัน ถ้าอากาศเย็นจะให้ดอกดก

http://image.shutterstock.com/display_pic_with_logo/7397/7397,1131247765,18/stock-photo-orange-trumpet-flowers-702142.jpg

ประโยชน์
ปลูกเพื่อประดับด้านภูมิทัศน์ เป็นซุ้มกันแดดหรือจะปลูกเป็นแนวรั้วก็สวยจนหาที่ติมิได้เชียวค่ะ
เห็นครั้งแรกที่เขาค้อ ปลูกเป็นแนวรั้วระย้อยห้อยระย้าด้วงพวงแสดต้องบอกว่าตื่นตาตื่นใจกับสีแสดที่แสดได้ใจจริงๆค่ะ

http://www.bloggang.com/data/tiensongsang/picture/1282373533.jpg

พวงแสดต้น (Kaffir Honeysuckle) เป็นพันธุ์ไม้ที่มีพุ่มเตี้ย สูงประมาณ 2-5 ฟุต ลำต้นและกิ่งก้าน เปราะและบอบบาง แตกสาขาเป็นพุ่มได้มาก ดอกออกเป็นช่อ ตามปลายกิ่ง ส่วนยอด เป็นสีแสด หรือสีส้มสดใส ดอกเป็นรูป ทรงแตรฮอร์น กลีบงอนขึ้น มักบานพร้อมกันทั้งต้น ขนาดดอก ยาวประมาณ 5 เซนติเมตร ปลูกง่าย ชอบดินร่วน

http://www.bloggang.com/data/e/endless9/picture/1265525549.jpg
http://farm1.static.flickr.com/202/503604425_4c32bc091f.jpg
http://static.blossomswap.com/imgrepo/thumbs/f/f7/trumpet-vine.jpg/1000x800px-LL-trumpet-vine.jpg

แหม..เห็นดอกพวงแสดแล้วน่าเก็บมาแกงส้มซะจริงเชียวค่ะ คงได้เมนูเด็ดอีกเมนูแน่เลย
ว่าแต่ใครจะอาสามาลองชิ้มล่ะคะ อิ อิ อิ

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-05-2010, 10:29 PM
2.ต้นไม้ประจำวันของผู้ที่เกิดวันจันทร์
คนเกิดวันจันทร์เป็นคนมีเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ของบุคคลทั่วไป พูดจาไพเราะอ่อนหวาน กิริยานุ่มนวล
แต่ยามโมโหแล้วมักจะปากร้าย ส่วนใหญ่มักจะกำพร้าพ่อหรือแม่ตั้งแต่วัยเด็ก
ญาติพี่น้องก็พึ่งพาอาศัยไม่ได้ เป็นคนอ่อนแอ เจ้าน้ำตา ช่างเอาใจผู้อื่นและก็ชอบให้ผู้อื่นเอาใจด้วยเช่นกัน
มีความละเอียดรอบคอบ พิถีพิถัน เป็นคนเจ้าสำราญ มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีน้ำใจ
ชอบความหรูหรา เป็นผู้มีความรู้ดี มีสติปัญญาดี ใฝ่รู้ มักไม่ตกอับเนื่องจากมีผู้ใหญ่ให้ความอุปถัมภ์อยู่เสมอ
คนเกิดวันจันทร์ควรลดความวิตกกังวลลงบ้าง ให้ระวังการคบคนไม่ดีจะนำเรื่องเดือดร้อนมาให้
หรือเสียโอกาสในการก้าวหน้า และให้ระวังการใช้จ่ายอย่าตามใจตัวเอง
ไม้มงคลสำหรับคนเกิดวันจันทร์ ถ้าเป็นไม้ดอกควรเป็นไม้ที่มีดอกสีขาวหรือเหลืองจะถูกโฉลกมาก
คนเกิดวันจันทร์จะมีต้นไม้มงคลให้เลือกปลูก ดังนี้
ต้นไม้ประจำวันเกิดคือ ต้นมะลิ ต้นแก้ว ต้นพุด ต้นจำปี ยิ่งถ้าปลูกแล้วออกดอกหอมจะยิ่งโชคดี
ดอกไม้ประจำวันเกิดคือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวคุณที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย
ส่วนดอกไม้อีกชนิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน
เพราะคนวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติก และช่างฝัน

http://photos1.hi5.com/0104/150/040/7ayDt7150040-02.jpg

คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นกุหลาบไว้ประจำบ้านจะทำให้คนในบ้าน
มีคุณค่าแห่งชีวิตที่สูงเนื่องจากดอกมีรูปร่างสีสรรที่สวยงามและยังเชื่ออีกว่า
บ้านใดปลูกต้นกุหลาบไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความสง่าภาคภูมิ
เพราะกุหลาบดอกใหญ่ขณะชูช่อบานนั้นดูโดดเด่นเห็นเป็นสง่าแก่บุคคลทั่วไป

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai2/1-7.jpg

[size=15pt]เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นกุหลาบไว้ทางทิศตะวันออก
ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่า การปลูกไม้เอาประโยชน์ทางดอกให้ปลูกในวันพุธ
นอกจากนี้ถ้าจะให้เป็นสิริมงคลแก่ตนเองผู้ปลูกควรเป็นสุภาพสตรี เพราะกุหลาบเป็นราชินีแห่งอุทยาน
กุหลาบมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์และมีประโยชน์มากมาย เป็นทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ อาหาร และสมุนไพร ฯ
ดังนั้นกุหลาบจึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญทีเดียวค่ะ มาดูกันค่ะว่าต้นไม้มหัศจรรย์ที่ชื่อว่ากุหลาบ
นอกจากสวยงามและหอมชื่นใจแล้ว ยังเป็นประโยชน์ในด้านใดอีกบ้าง

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/1.jpg
ปลูกกุหลาบเลื้อยเพื่อเป็นรั้วที่ทั้งสวย ทั้งหอมและมีสีสันสวยงาม

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/2-1.jpg
ปลูกเป็นซุ้มเพื่ออาศัยร่มเงา ได้ชื่นชมความสวยของดอกกุหลาบอันงามละมุ่น
และกรุ่นกลิ่นหอมเย็นชื่นใจยามที่ได้มานั่งจิ๊บน้ำชาตอนบ่าย

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/3.jpg
ปลูกเป็นซุ้มประตูเพื่อความสวยงามที่โดดเด่นสะดุจตา

เมนูจากดอกกุหลาบ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/4.jpg
ยำกลีบกุหลาบ เป็นเมนูเด็กอีกจานที่ใครได้ลองชิมแล้วต้องบอกว่า... รำแต้ๆเจ้า

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/5.jpg
กลีบกุหลาบนำมาทอดแล้วทานกับน้ำจิ้มรสเด็ด หรือจะทานกับน้ำพริกต่างๆก็... หร่อยจังฮู้

Rose Tea ชากุหลาบ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/3-1.jpg

มีประโยชน์ และคุณสมบัติน่าสนใจหลายอย่าง เช่น ดื่มเป็นประจำทำให้นอนหลับง่าย
ผิวพรรณสดใส หน้าตาอ่อนกว่าวัย บำรุงหัวใจ
มีสรรพคุณคอยทำปฏิกิริยากับพวกไขมันและน้ำมัน ป้องกันคลอเลสเทอรอล
ลดระดับความดันในเส้นเลือด ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน
มีวิตามินซีสูง ช่วยในการขับถ่าย ชะล้างสารพิษในร่างกาย

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/2-2.jpg

น้ำมันหอมของชากุหลาบช่วยลดอาการซึมเศร้า เหมาะสำหรับคนที่เกิดอาการเครียดบ่อยๆ
และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตกใจง่าย ช่วยบำรุงผิวพรรณจากการขับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
ทำให้แลดูสดใสเปล่งปลั่ง ช่วยในการควบคุมการไหลเวียนของเลือดให้เป็นปกติ
ช่วยปรับฮอร์โมนให้สมดุลสำหรับบุคคลที่มีปัญหาเรื่องประจำเดือน
ช่วยกระตุ้น ให้ระบบประสาท และสมองแจ่มใส ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง กลิ่นหอมสดชื่นช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย

น้ำหอมจากดอกกุหลาบ
http://www.99perfume.com/image/PSR79_W.jpg
กลิ่นหอมละมุ่นที่ชวนให้น่าหลงใหลของผู้หญิงส่วนใหญ่
เป็นกลิ่นน้ำหอมที่สะกัดมาจากดอกกุหลาบนี่เองค่ะ

สมแล้วที่เป็นราชินีแห่งดอกไม้ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็สวยงดงามแบบไร้ที่ติ
และนอกจากจะเป็นราชินีแห่งดอกไม้แล้ว เธอยังเป็นฑูตแห่งความรักอันสนโรแมนติกด้วยนะ
แถมดอกก็ยังทานได้ และเป็นสมุนไพรเพื่อสุขภาพอีกด้วย
นี่แหล่ะที่เรียกว่า สวยอย่างมีคุณค่า....มัทนะพาทาเจ้าเอย...

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-07-2010, 02:36 PM
3.ต้นไม้ประจำวันของผู้เกิดวันอังคาร

ในวัยเด็กจะไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่ ส่วนใหญ่จะไปเติบโตโดยคนอื่นเลี้ยงดู
ชีวิตมักจะขึ้นๆ ลงๆ เนื่องจากเป็นคนใช้เงินมือเติบ ควรอยู่ไกลถิ่นบ้านเกิด
จึงจะก้าวไกลดี อุปนิสัยเป็นคนจิตใจกล้าหาญ ใจนักเลง มีบุคลิกที่ดูเหมือนก้าวร้าว
เพราะพูดจาไม่อ่อนหวาน แต่พูดในทางผลประโยชน์ได้ดี พูดจาไม่เกรงใจใคร
ทั้งที่จริงใจจึงไม่ค่อยมีเพื่อนแท้ อารมณ์ร้อน มีความอดทนสูง
เป็นนักต่อสู้ทั้งใจและกาย ชอบงานอิสระที่ไม่ต้องใช้ความประณีต
คนเกิดวันอังคารควรระวังเรื่องใจร้อนจะทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
แม้จะมีความตั้งใจในการทำการงาน ควรมีความยับยั้งชั่งใจในการใช้จ่าย
และควรฝึกการวางแผนหรือเรียงลำดับความคิดให้ดี
ไม้มงคลสำหรับคนเกิดวันอังคาร และสีมงคลของคนวันอังคารคือ สีแดง หรือชมพู
ดังนั้นต้นไม้ที่เป็นสิริมงคลของเธอคือ ต้นชัยพฤกษ์ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ต้นยี่โถดอกสีชมพู
ต้นเข็มดอกสีชมพู ถ้าต้นไม้ของเธอออกดอกมากๆ บอกได้ว่าเธอกำลังมีความสุข
ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกล้วยไม้ โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู
เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/tunyay3/59b798ef.jpg

[b]ตาเบบูย่า หรือ ชมพูพันธุ์ทิพย์
ชื่อสามัญ Pink Trumpet, Pink Tecoma, Rosy Trumpet-tree
ชื่ออื่น ๆ ชมพูอินเดีย, ตาเบบูย่า, ธรรมบูชา (กรุงเทพฯ)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Tabebuia rosea (Bertol.) DC.
วงศ์ Bignoniaceae

ต้นกำเนิดของชมพูพันธุ์ทิพย์ อยู่ในเขตร้อนของทวีปอเมริกาใต้
ต่อมาได้ถูกนำไปปลูกในเขตร้อนทวีปต่างๆ อย่างแพร่หลาย รวมทั้งประเทศไทยด้วย
สำหรับประเทศไทยมีบันทึกเป็นหลักฐานว่า ผู้ที่นำตาเบบูย่าเข้ามาในประเทศครั้งแรก
เมื่อปี พ.ศ. 2500 คือ กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิ์พินิต และ ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร
จึงตั้งชื่อตามสีดอก และเป็นเกียรติแก่ผู้นำเข้าว่า ชมพูพันธุ์ทิพย์
ส่วนชื่อเดิมคือ ตาเบบูย่า มีชื่ออื่นๆ คือ แตรชมพู ธรรมบูชา
ชื่อในภาษาอังกฤษคือ Pink Trumpet Tree ตามลักษณ์ของดอกนั่นเอง

ลักษณะทั่วไป

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/1-2.jpg

เบตาบูย่า เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับทองอุไรและศรีตรัง
สูงราว ๘-๑๒ เมตร เปลือกต้นเรียบ สีเทาหรือสีน้ำตาล ต้นที่มีอายุมากเปลือกจะแตกเป็นร่อง
กิ่งก้านสาขาแผ่ออกเป็นพุ่มค่อนข้างแน่น เรือนยอดรูปไข่หรือทรงกลมแผ่กว้างเป็นชั้นๆ
ใบ เป็นใบประกอบรูปนิ้วมือ ใบย่อย 5 ใบ ใบรูปขอบขนาน หรือรูปไข่แกมรูปรี
ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม โคนใบมนหรือสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาแผ่ออกคล้ายใบปาล์ม

ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ เมื่อใบแก่จะทิ้งใบในฤดูหนาว ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม
หลังจากนั้นจะออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ดอกออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง ช่อละ ๕-๘ ดอก
ดอกย่อยลักษณะคล้ายดอกผักบุ้งหรือปากแตร โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ
ดอกย่อยแต่ละดอกกว้างราว ๘ เซนติเมตร ยาวราว ๑๕ เซนติเมตร กลีบดอกบาง มีหลายสีคือ
สีขาว สีชมพูอ่อน สีชมพูเข้ม สีส้ม สีโอด์โรส สีเหลือง สีม่วง ดอกมักบานพร้อมๆกัน และร่วงหล่นง่าย

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/55.jpg
ตาเบบูยาสีขาว White Tabebuia bahamensis

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/7-1.jpg
ตาเบบูยาสีขาวหลอดเหลืองอ่อน White Tabebuia roseoalba ia

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/2-3.jpg
ตาเบบูยาสีขาวหลอดเหลืองเข้ม White dwarf tabebuia.

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/6.jpg
ตาเบบูยาสีขาวอมชมพู White Tabebuia Rosea

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/2.jpg
ตาเบบูยาสีชมพูอ่อน White Pink Tabebuia

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/13.jpg
ตาบูเบยาสีชมพู Pink Tabebuia

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/71.jpg
ตาบูเบยาสีชมพูเข้ม Dwarf Pink Tabebuia

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/75.jpg
ตาเบบูยาสีมชมพูอมม่วง Violet Tabebuia

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/01.jpg
ตาเบบูย่าสีม่วง Purple Tabebuia impetiginosa

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/02.jpg
ตาเบบูย่าสีม่วงเข้ม Dwarf Purple Tabebuia impetiginosa
สีนี้หาชมค่อนข้างยากมากค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/80.jpg
ตาบูเบยาสีแดง Red Tabebuia

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/77.jpg
ตาบูเบยาสีแดงเข้ม Dwarf Red Tabebuia

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/79.jpg
ตาเบบูย่าสีชมพูอมเหลือง Tabebuia Heterophilla rosea

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/56.jpg
http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/19.jpg
ตาเบบูยาสีชมพูโอล์ดโรส Rose Tabebuia Heterophilla
สีนี้มีปลูกอยู่ที่กว๊านพะเยาด้วยค่ะ

http://image.gardening.eu/piante/Immdata/tabebuia_chrysantha.jpg
ตาเบบูยาสีส้ม Watering Tabebuia Chrysotricha Caribbeane
สีนี้ยิ่งหาชมได้ยากมากๆค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/67.jpg
ตาเบบูย่าเหลืองอินเดีย Yellow Tabebuia India

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/8.jpg
ตาเบบูยาสีเหลืองสดใส Yellow Tabebuia crysantha

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/68.jpg
ตาเบบูย่าสีเหลืองเข้ม Yellow Tabebuia

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/37.jpg
ตาเบบูย่าสีเหลืองอมส้ม Tabebuia aurea

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/38.jpg
ตาเบบูย่าสีเหลืองทอง Gold Tabebuia aurea

น่าเสียดายจังที่เมืองไทยไม่ได้นำสายพันธุ์สีขาว สีส้ม สีโอด์โรส สีม่วง
มาปลูกบ้าง เมืองไทยของเราคงจะมีสีสันสดใสขึ้นอีกเยอะเลยนะคะ



ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-08-2010, 04:43 PM
ผล เป็นฝักรูปร่างคล้ายฝักถั่ว ยาวราว ๑๕ เซนติเมตร
ฝักแก่ราวเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม เมื่อแก่จะฝักแตกออกตามแนวยาว
http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/25.jpg

เมล็ด มีลักษณะแบน สีน้ำตาล มีปีกเป็นเยื่อบางทั้ง 2 ด้านของเมล็ด
ขนาดเมล็ด 0.73 x 1.34 x 0.99 ซม.ปลิวไปตามลมได้ไกลๆ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/26.jpg

การกระจายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดทางใต้ของเม็กซิโกไปถึงโคลัมเบียและเวเนซุเอลา
เข้ามาเมืองไทยเมื่อปี พ.ศ. 2500 จึงตั้งชื่อตาม ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร ผู้นำเข้ามา

การขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด

http://www.hugchiangmai.com/v2016/uploads/img4ab59ffb38f81.jpg

ประโยชน์ของชมพูพันธุ์ทิพย์
ชมพูพันธุ์ทิพย์เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ทนทานต่อดินฟ้าอากาศ และโรคแมลง
โตเร็ว มีดอกดกสวยงาม จึงนิยมนำไปปลูกเป็นไม้ประดับ และให้ร่มเงา
ในบริเวณสถานที่ราชการ สวนสาธารณะ และตามถนนหนทาง

นอกเหนือจากการนำไปหมักปุ๋ยน้ำ หรือน้ำจุลินทรีย์ในระบบเกษตรอินทรีย์แล้ว
ยังสามารถนำไปศึกษาเพื่อหาประโยชน์อื่นๆ เพิ่มเติมได้หลากหลายทาง ดังเช่น
ประมาณปี พ ศ. 2540 มีการเตรียมสร้างตึกใหม่หลายตึกในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ขณะนั้นมีงานทดลองปลูกเห็ดธรรมชาติหลายชนิดที่ภาควิชาจุลชีววิทยา มก.
จึงได้มีการนำท่อนไม้ชมพูพันธุ์ทิพย์ มาเพาะเชื้อเห็ดต่างๆ คือเห็ดหูหนู เห็ดลม
เห็ดขอนขาว เห็ดตีนแรด เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้าภูฐาน เห็ดเป๋าฮื้อ เป็นต้น
โดยเจาะรูลึกครึ่งนิ้ว ขนาดกว้างครึ่งนิ้ว ถ้าบริเวณใดมีเปลือกหนาก็เจาะให้ลึกยิ่งขึ้น
จนทะลุเปลือก ลงไปถึงเนื้อไม้หน่อยหนึ่ง ใส่เชื้อเห็ดที่จากเมล็ดข้าวฟ่าง
ปิดด้วยผ้าพลาสติกเก็บไว้ในที่ร่ม 1 เดือนจึงนำมาวางบริเวณข้างตึกจุลชีววิทยา
เพื่อให้เปียกฝน ถ้าฝนไม่ตกก็รดน้ำ เวลาผ่านไป 3 เดือนเห็ดที่เพาะเชื้อลงไป
ก็ออกมากระปริบกระปรอย จำนวนน้อย ไม่พอที่นำมาบันทึกเป็นตัวเลขได้
แต่เมื่อเข้าเดือนที่ 3 กลับพบเห็ดตีนปลอกขึ้นที่ท่อนไม้จำนวนมาก

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/07782b0e.jpg

จากนั้นเวลาที่ฝนตกมากก็จะมีการเกิดดอกเห็ดตีนปลอกขึ้นเป็นจำนวนมากทุกครั้ง
ต่อเนื่องหลายปีจนกระทั่งท่อนไม้ผุพังสลายตัวหมดสภาพไป ครั้งแรกมองผิวเผิน
เข้าใจว่าเป็นเห็ดกระด้างหรือเห็ดลม แต่เมื่อตรวจสอบกับหนังสือเห็ดเมืองไทย
ของอาจารย์อนงค์ จันทร์ศรีกุล แล้วจึงจำแนกว่าเป็นเห็ดตีนปลอก

ใช้เป็นสมุนไพร
รากใช้ปรุงเป็นยาขับประจำเดือน

เมนูเด็ด
เนื่องจากชมพูพันธุ์ทิพย์เป็นต้นไม้ที่เพิ่งเข้ามาเมืองไทยได้ไม่กี่สิบปี
จึงยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ทางสมุนไพรและด้านอาหาร
เท่าที่สังเกตดูดอกของชมพูพันธุ์ทิพย์น่าจะไม่มีพิษภัย
อาจจะนำมาประกอบอาหารได้ เช่น การชุบแป้งทอด เป็นต้น



ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-08-2010, 04:51 PM
4.ต้นไม้ประจำวันของผู้เกิดวันพุธ

คนวันพุธมักมีโรคประจำตัว นอกจากจะพึ่งพาญาติพี่น้องไม่ได้แล้วมักจะต้องเกื้อหนุนญาติพี่น้องด้วย
ชีวิตไม่ได้อยู่ปรนนิบัติพ่อแม่ มักคบหาเพื่อนอายุมากหรือฐานะหน้าที่สูงกว่า เป็นคนฝักใฝ่เรื่องของศาสนา
ถ้าบวชจะเด่นดังในวงการศาสนา ทำงานอื่นจะรุ่งโรจน์ได้กว่าทางค้าขาย
อุปนิสัยทั่วไปเป็นคนมีเสน่ห์ มีจิตใจและน้ำใจไมตรีดี พูดจาเปิดเผยตรงไปตรงมา รักและซื่อสัตย์ต่อเพื่อนฝูง
ใจกว้าง ชอบเลี้ยงเพื่อนฝูงให้มีความสุข ชอบเรื่องบันเทิงใจไม่เคร่งเครียดกับชีวิต ดูเป็นคนเรื่อยๆ เฉื่อยๆ เอาแต่สบาย
แต่ความจริงไม่ใช่คนเกียจคร้าน ขี้ใจน้อย หูเบา ชอบให้คนเอาใจ ทำอะไรไม่ค่อยคิดให้ถ้วนถี่ สะเพร่า
คนเกิดวันพุธควรระมัดระวังเรื่องใจอ่อนใจง่ายเชื่อคนง่าย และความใจกว้างจนเกินไป

วันพุธ (กลางคืน )
วันพุธกลางคืนหรือวันราหู คนเกิดวันนี้จะเป็นคนดื้อรัน ไม่ฟังใคร ไม่ยอมปรับปรุงแก้ไขตัวเอง
มักเชื่อคนผิดๆ คนไม่จริงใจ แต่กับคนใกล้ชิดที่จริงใจกลับไม่เชื่อฟัง ฐานะลุ่มๆ ดอนๆ
มีหลักทรัพย์แต่ไม่มีเงินทองพอใช้จ่าย มีความรู้ความสามารถ มีความตั้งใจสูง
แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เหมาะกับการประกอบอาชีพครูสอนศีลธรรม
หรือวิชาช่างจึงจะดี จะตั้งตัวได้เมื่ออายุมากแล้ว
ไม้มงคลสำหรับคนเกิดวันพุธ มีหลายชนิด ไม่ว่าจะเกิดพุธกลางวันหรือกลางคืนจะมีไม้มงคลอย่างเดียวกัน
และควรเลือกที่มีดอกสีเหลืองซึ่งเป็นสีต้องโฉลก
ต้นไม้ประจำวันของคนที่เกิดวันพุธนั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ใบเขียว คือ
ไม้ดอกที่มีสีเขียวอมเหลือง หรือสีเหลือง จะช่วยเสริมสิริมงคลให้คนเกิดวันพุธยิ่งนัก
เช่น กระดังงา สนฉัตร ขี้เหล็ก โกสน วาสนา ดังนั้นควรปลูกต้นไม้เยอะๆ ถึงจะโชคดี
ดอกไม้ประจำวันเกิด ดอกไม้ที่ช่วยปกป้องคุ้มครอง คือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ
เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรัก สันติภาพ ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน)
สีเหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชิดนี้ หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน

เนื่องจากคนเกิดวันพุธมีไม้ดอก ไม้ใบ ให้เลือกปลูกมากมาย ทั่นยายจึงขอเลือกปลูก กระดังงาแล้วกันค่ะ
เพราะกระดังงามีดอกสีเหลืองและเหลืองทองซึ่งถูกโฉลกกับคนเกิดวันพุธอย่างมาก
และกระดังงายังเป็นต้นไม้ที่น่าสนใจมากทีเดียวค่ะ งั้นเรามาทำความรู้จักกับกระดังงากันเลยดีมั้ยคะ

http://bangkok-guide.z-xxl.com/wp-content/uploads/2010/01/kd-2.jpg

ประวัติและข้อมูลทั่วไป
กระดังงาไทยที่ปลูกกันมากตามบ้านนั้นจริงๆ แล้วไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย
แต่มีถิ่นกำเนิดในประเทศฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย
กระดังงามีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ กระดังงาไทย, กระดังงาสงขลา ,กระดังงาจีน
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า เพอร์ฟูมทรี (Perfume Tree)
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า คานันกา โอดรอเอต้า (Cananga Odroata)
จัดอยู่ในวงศ์ แอนโนนาซีอี้ (Annonaceae) วงศ์เดียวกันกับต้นน้อยหน่าและต้นการเวก


ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-08-2010, 05:03 PM
http://www4.webng.com/sarapad/dada/data/a782.jpg
กระดังงาไทย

ชื่ออื่น ๆ : กระดังงาใบใหญ่ กระดังงาใหญ่ กระดังงาไทย กระดังงา กะดังงา (ภาคกลาง)
สะบันงาต้น สะบานงา สะบานงา (ภาคเหนือ) กระดังงา กระดังงอ (ภาคใต้)
ชื่อสามัญ : Perfume Tree, llang-llang,Ylang-Ylang
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Cananga odorata (Lam.)Hppker f & Thome
วงศ์ : ANONACEAE
ถิ่นกำเนิด : ประเทศฟิลิปปินส์, ประเทศอินโดนีเซีย,เอเซียเขตร้อน

ลักษณะทั่วไป
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้น ขนาดกลางมีความสูงประมาณ 15-20 เมตร เปลือกลำต้นของมันจะเป็นสีเทาเกลี้อง
ใบ : มีสีเขียวอ่อน ใบบางนิ่ม รูปลักษณะของมันยาว ส่วนปลายแหลม มีติ่ง โคนของใบมน กลม และใบจะออกเรียงสลับห้อยลง
ดอก : สีของดอกที่ออกมาใหม่สีเขียว พอแก่จัดก็จะเป็นสีเหลืองอมเขียว หรือสีเหลืองอ่อน ลักษณะของดอกใหญ่ออกทีละ 3-6 ดอก กลีบดอกของมันยาวห้อยลง มีประมาณ 6 กลีบ กลีบชั้นนอก ปลายเรียวยาว ขอบของมันเป็นหยักเป็นคลื่น รูปกลีปแคบ
กลีบยาวประมาณ 4-5 นิ้ว กลีบชั้นในจะสั้นและเล็กกว่าเล็กน้อย กลิ่นของดอกมีกลิ่นหอมฉุน
http://agkc.lib.ku.ac.th/plantwebsite/Image/Wild%20Trees/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A26.JPG
ผล : เป็นสีเขียวเข้ม เมื่อผลสุกจะเป็นสีเหลืองคล้ำ ผิวมันเรียบและผลออกเป็นพวง ประมาณ 4-14 ผล เป็นรูปรี

http://farm3.static.flickr.com/2340/2351989450_8c484759f0.jpg?v=0

การขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์โดยการ ตอนกิ่ง แล้วนำไปปลูก ในดินที่ร่วนซุย หรือดินเหนียวที่อุ้มน้ำได้ดี



ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-09-2010, 09:23 AM
http://www4.webng.com/sarapad/dada/data/f547.jpg

กระดังงาสงขลา
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cananga odorata Hook.f. et Th. Var. fruticosa (Craib) J.Sincl.
วงศ์ : ANNONACEAE
ชื่ออื่น : กระดังงาสาขา (กรุงเทพฯ) กระดังงาเบา (ใต้) กระดังงอ (ยะลา)

กระดังงาสงขลาไม้ดอกหอมเฉพาะถิ่นของไทย ในวงศ์กระดังงา ANNONACEAE
มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Dwarf Ylang - Ylang หมายถึงกระดังงาแคระ
พบครั้งแรกที่บ้านจะโหน่ง อ.จะนะ จ.สงขลา แต่หมอคาร์ชาวไอริชเก็บตัวอย่างมาจาก
ต้นที่ปลูกอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อเดือนมีนาคม พศ. 2458 และมีรายงาการตั้งชื่อเมื่อพศ.2465

กระดังงาสงขลา เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 1-3 เมตร แตกกิ่งมาก
ใบหนาเป็นทรงพุ่มแน่น ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุกที่บริเวณปลายกิ่ง
กลีบดอกมีสีเหลือง กลีบเรียวยาวบิดเป็นเกลียวและอ่อนนิ่ม มีกลีบดอก 15-24 กลีบ
เรียงตัวหลายชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบยาว 5-9 เซนติเมตร ดอกอ่อนจะมีสีเขียว
เมื่อเริ่มบานจึงเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอมแรง ออกดอกได้ตลอดทั้งปี
นิยมปลูกเป็นไม้ประดับโชว์ทรงพุ่มสวยงาม ดอกมีกลิ่นหอมและยังนิยมนำมาสกัด
เป็นน้ำมันหอกระเหย กระดังงาสงขลาขยายพันธุ์ได้ง่ายด้วยการตอนกิ่ง
กิ่งตอนออกรากง่าย ชอบดินที่มีความชุ่มชื้นสูง และชอบแสงแดดจัด

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-09-2010, 10:48 AM
ประโยชน์ของกระดังงา
ประโยชน์และสรรพคุณทางสมุนไพรของกระดังงาไทยและกระดังงาสงขลาจะเหมือนกันค่ะ
ส่วนที่นำมาใช้ทำประโยชน์มีอยู่หลายส่วนดังนี้ค่ะ

1. เปลือก มีรสฝาดเฝื่อน ใช้ขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย แก้คัน,
นอกจากนี้แล้วเปลือกยังสามารถใช้ทำเชือกชนิดหยาบได้
2. ใบ : รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน แก้คัน
นำใบ ,เปลือกและเนื้อไม้ มาต้มกับน้ำใช้ดื่มกินเป็นยาขับปัสสาวะ
3. ราก : คุมกำเนิด
4. เกสร : แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ปถวีธาตุ แก้โรคตา ช่วยเจริญอาหาร
5 . ดอกที่แก่จัด (สีเหลืองอ่อน นำดอกมากลั่น ในดอกที่แก่จัดนั้นจะมีน้ำมันที่มีคุณภาพดี
หรือที่เรียกว่าน้ำมันหอมระเหย เป็น ester

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/fe4dd05d.jpg

ในดอกกระดังงามีน้ำมันหอมระเหยเรียกว่า" Ylang Ylang oil " มีฤทธิ์ลดความดันเลือดสูง
ต้านเชื้อรา ต้านเชื้อแบคทีเรีย ยีสต์ ไล่แมลง ฆ่าเซลล์มะเร็งได้
นอกจากนั้นยังนำไปใช้ในการรักษาแบบ aromatherapy แก้อาการหัวใจเต้นเร็ว หายใจหอบ
ความดันเลือดสูง ปัญหาระบบทางเดินอาหาร และน้ำมันหอมระเหยจากดอกกระดังงา
นิยมใช้แก้ลมวิงเวียนศรีษะ และบำรุงเลือด จึงใช้ปรุงเป็นยาหอม เมื่อดื่มแล้ว
จะช่วยผ่อนคลายความเครียด ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้ที่นอนไม่หลับ
ช่วยลดอาการท้อแท้หดหู่ ลดความดันโลหิต และปัญหาจิตใจเกี่ยวกับทางเพศ
จึงช่วยให้นอนหลับสนิท

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/161daf78.jpg

น้ำมันนวดตัวซึ่งผสมน้ำมันหอมระเหยจากดอกกระดังงา
สำหรับผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ เนื่องจากความเครียด ยังใช้เพื่อกระตุ้นกำหนัดด้วย

http://www.libraryhub.info/img/K9562547/K9562547-0.jpg

น้ำมันหอมระเหยจากกระดังงายังใช้ทำน้ำหอม แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง ใช้แต่งกลิ่นขนม
หรือ อาหารให้มีกลิ่นหอมน่ากินอีกด้วย ใช้แต่งกลิ่นอาหาร ทำได้โดยนำดอกที่แก่จัด
ลมควันเทียนหรือเปลวไฟจากเทียนเพื่อให้ต่อมน้ำหอมในกลีบดอกแตก และส่งกลิ่นหอมออกมา
แล้วนำไปลอยน้ำเพื่อนำน้ำไปคั้นกะทิ และน้ำเชื่อมมาปรุงขนมหวาน ต่าง ๆ
เช่น ทับทิมกรอบ ข้าวต้มน้ำวุ้น สลิ่ม เป็นต้น
หรือจะเอามาทำเป็นเทียนอบร่ำเพื่อใช้อบทำให้น้ำเชื่อมมีกลิ่นหอม หรืออบขนมต่างๆ
ให้มีกลิ่นหอม เช่น ข้าวตู ลูกชุบ ถั่วกวน เผือกกวน เป็นต้น

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/c44bf95c.jpg
ใช้ดอกกระดังงามาสะกัดจะได้หัวน้ำหอมที่นำมาทำเป็นน้ำหอมจากดอกกระดังงา

ฉะนั้นน้ำมันกระดังงา (oil of Ylong-Ylong) น้ำมันกระดังงาชนิดที่มีคุณภาพ
จะไม่มีสีหรือมีสีก็มีเพียงสีเหลืองเรื่อ ๆ เท่านั้นใช้ปรุงน้ำอบ อบร่ำ ทำน้ำหอม เครื่องสำอาง
หมายเหตุ : น้ำมันกระดังงาใช้เข้าเครื่องหอมทุกชนิด มักจะใช้กับเครื่องหอมที่มีราคาแพง
เช่นน้ำหอม ซึ่งจะเห็นว่าเดิมนั้นเป็นสินค้าออกของประเทศฟิลิปปินส์ แต่ต่อมาประเทศอื่น ๆ ในแถบร้อนก็ปลูก
และก็ใช้สินค้าออกขายต่างประเทศได้ ทำให้กระดังงานี้จัดอยู่ในพืชเศรฐกิจได้อีกอย่างหนึ่ง

สารเคมี : ในน้ำมันกระดังงา ( ylang -ylang oil ) มีสารสำคัญคือ linalool , benzyl benzoate p-totyl methylether,
methylether, benzyl acetate

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-09-2010, 03:04 PM
http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/069f925b.jpg

ชื่อวิทยาศาสตร์ Desmos chinensis Lour.
ตระกูล ANNONACEAE
ชื่อสามัญ สายหยุด,สาวหยุด

สายหยุด เป็นไม้ดอกหอมพื้นเมืองของไทย พบได้ทั่วทุกภาคของไทย จึงมีชื่อเรียกของแต่ละท้องถิ่นที่แตกต่างกันหลายชื่อ
เช่น กล้วยเครือ(สระบุรี), สาวหยุด(ใต้), เสลาเพชร (สุราษฎร์ธานี), เครือเขาแกลบ (นครราชสีมา,เลย) เป็นต้น
แต่ฝรั่งจะเรียกว่า Dwarf Ylang-Ylang

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/7-2.jpg

ดอกสายหยุด จะมีกลีบดอก 6 กลีบโค้งเข้าหากันด้านใน ดูอ่อนช้อยสวยงามมาก จะออกดอกบริเวณใกล้ปลายยอด
ออกดอกตลอดปี เมื่อออกดอกใหม่ๆ จะเป็นดอกสีเขียว เมื่อบานจะเป็นสีเหลือง ส่งกลิ่นหอมแรง ชื่นใจในตอนเช้า
ได้กลิ่นแล้วรู้สึกสดชื่นมาก และกลิ่นหอมจะค่อยๆ ลดหายไป ในตอนสายๆ และจะหมดกลิ่นตอนใกล้ๆเที่ยง
จึงเป็นที่มาของชื่อ “สายหยุด” (คือ ช่วงเวลาตอน “สาย” จะ “หยุด” ส่งกลิ่นหอมนั่นเอง)
ส่วนชื่อ “สาวหยุด” นั้น ก็ว่ากันว่า น่าจะมาจากกลิ่นหอมหวาน ชื่นใจ หอมโชยไกล ของดอกสายหยุดนี่เอง
ที่ทำให้ “สาว” ถึงกับต้อง “หยุด” เพื่อดมกลิ่นหอมชื่นใจนี้เลยทีเดียวเชียว

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/8-2.jpg
http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/394da07a.jpg

ผล เป็นผลกลุ่มประกอบด้วยผลย่อย รูปยาวเรียว มีส่วนป่องเป็นกระเปาะ 7-8 กระเปาะ สลับกับส่วนคอด
ผลอ่อนจะสีเขียวเมื่อแก่จะเริ่มเหลืองจนแดงและกลายเป็นสีดำในที่สุด
การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ประโยชน์ เป็นไม้ประดับที่มีกลิ่นหอม
ถ้าปลูกไม่ให้เลื้อยก็ใช้ไม้ปักให้ต้นตรง ดัดแต่งให้เป็นพุ่ม ถิ่นกำเนิด จีนตอนใต้

สายหยุดมีลักษณะของดอกและสีแตกต่างกันมากมายตามลักษณะของสายพันธุ์
ลองมาดูกันนะคะว่า สายหยุดลักษณะดอกและสีแบบไหนจะสวยงามกว่ากัน

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/1-3.jpg
สายหยุดกลีบบางยาวปลายบิดเกลียวสวยมากงามค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/3-2.jpg
สายหยุดกลีบางบิดเกลียวแต่สั้นกว่าแบบแรกค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/2-4.jpg
สายหยุดกลีบเริ่มม้วนเรียวเล็กลงแต่ปลายกลีบบิดเกลียวนิดๆค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/4-2.jpg
สายหยุดกลีบเรียวตรงค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/d1bc35c2.jpg
กลีบเรียวแต่โค้งเข้าหากันค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/2-5.jpg
กลีบเรียวเส้นเล็กมากค่ะ

ทั่นยาย
09-11-2010, 03:59 PM
เนื่องจากสายหยุดเป็นไม้ในวงศ์เดียวกันกับกระดังงา ดังนั้นสายหยุดจึงมีลักษณะดอกหลายแบบ
และมีหลายสีเช่นกันค่ะ ลองมาชมสายหยุดแต่ละพันธุ์กันดูนะคะแล้วจะร้องว่า..งามเหลือเกินค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/76d566ae.jpg
สายหยุดสีขาวไม่ทราบเมืองไทยมีหรือเปล่านะคะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/03490909.jpg
สายหยุดสีเหลืองพันธุ์นี้ เหมือนดอกจำปาแต่เรียกว่าปาหนันค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/3-3.jpg
สายหยุด สีเหลืองพันธุ์นี้เมืองไทยเรียกว่า ส่าเหล้าปัตตานีเหลืองค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/b6b8c4ca.jpg
ส่วนดอกนี้เป็นส่าเหล้าปัตตานีแดงค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/2-8.jpg
อันก็เป็นส่าเหล้าเหมือนกันค่ะ อย่างเพิ่งเมานะคะ อิ อิ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/2-6.jpg
สายหยุดสีแดงสดสวยดอกนี้ เมืองไทยมีแน่นอนค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/4-3.jpg
สายหยุดแดงกลีบบิดเกลียวพริ้วแบบนี้สวยมากค่ะ ไม่ทราบเรียกว่าอะไรค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/5-2.jpg
นี่ก็สายหยุดแดงค่ะ มองแล้วเหมือนดอกดองดึงส์ค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/1182d7bc.jpg
สายหยุดสีม่วงค่ะ หาชมยากมากค่ะ


ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-11-2010, 09:42 PM
http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/4-1.jpg

ชื่อวิทยาศาสตร์: Artabotrys hexapetalus (L.f.) Bhandari.
ชื่อวงศ์: ANNONACEAE
ชื่อสามัญ: Climbing Ilang-Ilang
ชื่อพื้นเมือง: กระดังงาจีน (ภาคกลาง), สะบันงาจีน (ภาคเหนือ), การเวก สะบันงาเครือ
ถิ่นกำเนิด : ประเทศอินเดียตอนใต้ ศรีลังกา จีน

“กระดังงาจีน” เป็นไม้เลื้อยดอกหอมต่างถิ่น นำเข้ามาปลูกในบ้านเรานานแล้ว
แต่มักจะถูกเรียกชื่อผิดสลับสับสนกับ “การเวก” ซึ่งเป็นไม้เลื้อยดอกหอมพื้นเมืองของไทย
เนื่องจากมีลักษณะต่างๆ คล้ายกันมาก ทั้งลักษณะของต้น ใบ ดอก แต่กระดังงาจีนไม่มีหนาม
http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/8-1.jpg
แต่หากสังเกตุอย่างละเอียดจะพบว่า ดอกของกระดังงาจีนจะมีขนาดดอกใหญ่กว่า
กลีบดอกหนากว่า สีเหลืองเข้มกว่า และออกดอกดกกว่าการเวก
ส่วนดอกการเวกชั้นกลีบจะห่างกลีบดอกจะกางกว่ากระดังงาจีน
และจุดแตกต่างอีกจุดหนึ่งก็คือ ตามกิ่งและยอดอ่อนของกระดังงาจีนจะไม่มีขน
ในขณะที่ยอดอ่อนของการเวกจะมีขนนุ่ม และใบของกระดังงาจีนจะผิวเรียบเป็นมัน

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/ffb121b7.jpg

กระดังงาจีน ออกดอกได้ตลอดทั้งปี ออกดอกง่าย ดอกดก และดอกใหญ่กว่าการเวก
ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่า จนทำให้การเวกแท้ๆ ของไทยเริ่มหายากมากขึ้นเรื่อยๆ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/23.jpg
http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/17-1.jpg

กระดังงาจีนเป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง ดังนั้นการปลูกกระดังงาจีน จึงควรทำค้างหรือซุ้มที่ต้องแข็งแรงมาก
และควรอยู่กลางแจ้ง หรือบริเวณที่ได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ จะออกดอกได้ดีกว่าอยู่ในที่ร่ม
และควรหมั่นตัดแต่งกิ่งอยู่เสมอ เพราะกระดังงาจีนจะแตกยอดและเลื้อยได้เร็วมาก
เถาของกระดังงาจีน เลื้อยได้ไกล 15-20 เมตร มีมือเกาะเป็นรูปตาขอ เปลือกลำต้นเป็นสีเทาเกลี้ยง
ใบ สีเขียวอ่อน ใบเรียงสลับ ใบเดี่ยว รูปรี หรือขอบขนาน ปลายแหลมมีติ่งทู่


ดอกเดี่ยวหรือดอกช่อ 1-5 ดอก โดยบานทีละดอก มี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น ยาว 3-5 ซม. กลีบ
ชั้นในสั้นและเล็กกว่าเล็กน้อย กลิ่นหอมแรงตอนเย็น เมื่อออกใหม่สีเขียว
พอแก่จัดเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมเขียว หรือเหลือง ออกดอกตลอดปี
ดอกกระดังงาจีน จะส่งกลิ่นหอมอ่อนตลอดทั้งวัน และจะหอมแรงในช่วงใกล้ค่ำ-กลางคืน
ดอกบานได้วันเดียวก็โรย หากดอกโรยแล้วติดผล ผลจะติดเป็นกลุ่ม เมื่อผลแก่สามารถเก็บไปเพาะเมล็ดได้

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/19-1.jpg

ผล กลุ่ม 4-20 ผล ผลย่อยมาก รูปไข่กลับหรือรูปรี สีเขียวเข้ม เมื่อสุกเป็นสีเหลืองคล้ำ ผิวเรียบ
การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
ประโยชน์ ปลูกเป็นไม้ประดับ เพื่อให้ร่มเงา ปลูกได้ทั่วไปในประเทศที่มีอากาศร้อน

กระดังงาจีน คล้ายกับการะเวก แต่ไม่มีหนาม และดอกใหญ่กว่า ชื่อทั้งสองนี้มีการเรียกสับสนกันมานาน
ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากความคล้ายคลึงกันมากระหว่างพันธุ์ไม้คู่นี้ ปัจจุบันชื่อ กระดังงาจีน ค่อนข้างจะเลือนหายไป
และเรียกกระดังงาจีนที่ปลูกให้ร่มเงาตามทางเดินเท้าในกรุงเทพฯว่า การะเวก

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-11-2010, 10:11 PM
http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/34.jpg

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Artabotrys siamensis Miq.
ชื่อวงศ์ : Annonaceae
ชื่อสามัญ : Gara-Wek
ชื่อพื้นเมือง : กระดังงาป่า,กระดังงาเถา, กระดังงัว, หนามควายนอน
ถิ่นกำเนิด : ประเทศไทย

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/31.jpg

การเวกเป็นไม้พื้นเมืองของไทย การเวกเป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งที่มีขนาดใหญ่มีปุ่มตามลำต้น
มีลักษณะต้น ใบ ดอก และผลคล้ายกระดังงาจีนมาก ต่างกันที่การเวกมีใบและดอกเล็กกว่า
มีขนอยู่ทั่วไปตามกิ่ง ก้าน และใบมีมือเกาะรูปตะขอยื่นออกมาจากเถา การเวกเป็นไม้ใบเดี่ยวออกใบสลับกัน
ทั้งโคนใบและปลายใบจะแหลมมีก้านใบสัน พื้นใบสีเขียวเข้มเป็นคลื่นเล็กน้อย ขอบใบเรียบไม่มีจัก

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/32.jpg

เถาบริเวณยอดอ่อนของการเวกจะมีขนอ่อนนุ่มสั้นขึ้นตามกิ่งก้าน เมื่อเถาแก่ก็จะเป็นสีน้ำตาล
แต่ตามกิ่งและยอดอ่อนของกระดังงาจีนจะไม่มีขน

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/37-1.jpg
หากสังเกตุดีๆกลีบดอกการเวกจะเห็นมีขนอ่อนสั้นๆด้วยค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/35-1.jpg

ดอกเดี่ยว ออกบนส่วนโค้งหรือปลายสุดของก้านช่อที่งอเป็นขอ กลิ่นหอม กลีบดอกมีขนมากกว่า
และเนื้อกลีบแข็งกว่าดอกกระดังงาจีนกลีบดอกจะกางออก ดอกที่ออกใหม่มีสีเขียวเข้มมีขน
เมื่อดอกแก่จะมีสีเหลืองและมีกลิ่นหอม กลิ่นจะหอมจัดในตอนเย็น และตอนเช้ามืด
เมื่อสายกลิ่นหอมจะหายไป ใบเรียงสลับ ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลมเป็นมัน เป็นไม้ไม่ผลัดใบ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/36.jpg
เมื่อดอกโรยจะติดผล มีผลเป็นกลุ่มสีเขียวเข้ม

กระดังงาจีนต่างจากการเวกอย่างไร ต้องไปอ่านหนังสือของดร.ปรีชา เฉลิมกลิ่น
ซึ่งอธิบายไว้ชัดเจน ท่านบอกว่า ส่วนใหญ่ที่เห็นปลูกเป็นซุ้มของกทมนั้น เป็นกระดังจีนทั้งนั้น


ข้อมูลการเวก
http://toptropicals.com/catalog/uid/artabotrys_siamensis.htm
Artabotrys siamensis
Family: Annonaceae Climbing ilang-ilang, Manorangini, Hara-champa,
Kantali champaOrigin: Tropical Asia

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-12-2010, 08:31 PM
นอกจากกระดังงาจีนและการเวกที่เหมือนกันยังกับฝาแฝดแล้ว
ก็ยังมีพี่น้องของการเวกและกระดังงาจีนอีกหลายสายพันธุ์ แต่ขอนำมาให้ชมสักสองสายพันธุ์นะคะ
เพราะทั้งต้น ใบ ดอก คล้ายกันมาก ลองมาดูค่ะว่าพี่น้องของกระดังงาและการเวกหน้าตาจะเป็นอย่างไร

เริ่มจาก

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/1-1.jpg
กระดังงาสายพันธุ์ Artabotrys sp.

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/5-1.jpg
นมงัว Artabotrys harmandii Finet & Gagnep

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/6-1.jpg
นมชะนี Artabotrys burmanicus R. Br. ex Ker Gawl

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/12.jpg
เปรียบเทียบลักษณะดอกการเวกและ กระดังงาสายพันธุ์ Artabotrys sp.

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/15-1.jpg
เปรียบเทียบลักษณะดอกกระดังงาจีนและ กระดังงาสายพันธุ์ Artabotrys sp.

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/13-1.jpg
เปรียบเทียบขนาดดอกนมชะนีกับการเวก

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/10.jpg
เปรียบเทียบขนาดดอกของแต่ละชนิด

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/11-1.jpg
รวมญาติทุกชนิดค่ะ แบบนี้จะเห็นชัดว่าดอกไหนคือพี่ใหญ่และดอกไหนคือน้องเล็ก อิ อิ



ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-19-2010, 08:12 PM
แถมสายพันธุ์การเวกให้ชมอีกสามสี่สายพันธุ์ค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/Artabotryshehaprtalu2.jpg
ทั้งต้น ทั้งดอก และใบ คล้ายกระดังงาจีน และการเวกมาเลยค่ะ
แต่ดอกเล็ก และกลีบดอกบางกว่า อยู่ในวงศ์ Artabotrys hexapetalus ค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/4294abb5.jpg
อยู่ในวงศ์ Artabotrys uncinata ต้น ดอก ใบ คล้ายการเวก แต่ไม่ใช่การเวก
เพราะกลีบดอกจะบางกว่าการเวกมาก และขนาดดอกเล็กกว่ามากค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/71af320a.jpg
อยู่ในวงศ์ Artabotrys uncinata คล้ายดอกด้านบน
แต่กลีบดอกจะบางกว่า และดอกก็กลมและสั้นกว่าค่ะ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/aa5afa21.jpg
อันนี้ชื่อไทยๆ ชื่อกล้วยเต่าผลเหลืองค่ะ อยู่ในตระกูลกระดังงาเช่นกันค่ะ
ดอกเหมือนการเวกย่อส่วนน่ารัก..น่ากินจังเลยค่ะ อิ อิ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/violetArtabotrys.jpg
กระดังงาม่วง violet Artabotrys

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/931c4d59.jpg
ไม้วงศ์กระดังงาที่เกาะบอเนียวค่ะ Kinabatangan River

ไม้ในวงศ์กระดังงาเป็นไม้วงศ์ใหญ่มากค่ะ มีมากมายเป็นร้อยสายพันธุ์ทั่วโลกจำกันไม่หวาดไม่ไหวค่ะ
แต่หากใครที่ชอบต้นไม้ อยากจะลองศึกษาไว้เป็นความรู้ก็ลองเข้าไปที่ Link นี่นะคะ
http://www.annonagarden.com/forum/kadangngas.php (http://www.annonagarden.com/forum/kadangngas.php)
ไปทักทายทำความรู้จักกับไม้วงศ์กระดังงากันค่ะ แล้วจะทึ่งกับความมหัศจรรย์ของไม้วงศ์กระดังงาค่ะ



ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-19-2010, 09:45 PM
http://mostbeautifulflower.com/wp-content/uploads/2011/07/Jasmine-Flower-Wallpaper-5.jpg

5. ต้นไม้ประจำวันของผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี

คนเกิดวันพฤหัสบดีจะมีรูปร่างสง่างามทั้งชายและหญิง มีสติปัญญาดีฉลาดหลักแหลมเป็นเลิศ มีความละเอียดลึกซึ้ง ทำงานประณีต สนใจใฝ่หาความรู้สม่ำเสมอพูดจาฉะฉานมีหลักการ เชื่อในความคิดของตัวเองจนไม่ค่อยยอมรับฟังคนอื่น โกรธง่ายหายเร็ว
เมื่อโต้เถียงกับใครอยากเป็นฝ่ายถูกแต่ไม่คิดจะเก็บมาเป็นอารมณ์ เพียงแค่อยากชนะเท่านั้น มีความมุ่งมั่น และตั้งใจสูง ตัดสินใจแล้วยากที่จะเปลี่ยนแปลง มีความทะเยอทะยานต้องการทั้งชื่อเสียง เกียรติยศ และฐานะ จะวางแผนอย่างรอบคอบ
และอดทนรอคอยอย่างใจเย็น ชะตาชีวิตจะได้ดีมีเกียรติ มีทรัพย์ แต่จะมีทุกข์เรื่องเพื่อนฝูงหรือคู่ครอง เพราะเป็นคนเจ้าชู้ บริวารไม่ค่อยเชื่อฟัง ชะตาชีวิตต้องคอยค้ำชูผู้อยู่รอบข้างเสมอ ไม้มงคลของคนเกิดวันพฤหัสบดี คือไม้ที่มีดอกสีขาวบริสุทธิ์ จึงจะต้องโฉลก
เพราะเป็นสีที่เสริมสร้างบารมี และเป็นสิริมงคลความรุ่งโรจน์ ไม้ดอกสีขาวทึ่ควรปลูกคือ

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/1-5.jpg

มะลิ ถือเป็นไม้มงคลที่สูงค่าจึงนิยมใช้บูชาพระ ไม่ว่าจะเป็นมะละซ้อนหรือมะลิลา
ก็เป็นสิริมงคลทางด้านทำให้คนในบ้านมีความบริสุทธิ์ มีความรักและความคิดถึง
แก่บุคคลทั่วไป คนเกิดวันพฤหัสบดี พรรณไม้มงคล คือ มะลิ การเวก จำปา จำปี
พุดซ้อน ราตรี กุหลาบขาว ดอกแก้ว บานชื่น พุทธรักษา ธรรมรักษา มะละกอ กล้วย
พุดพิชชา โมก

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/24d10b6b.jpg

การปลูกมะลิเป็นมงคล
คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นมะลิไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดศิริมงคล เกิดความรัก
ความคิดถึงแก่บุคคลทั่วไป เพราะดอกมะลิเป็นดอกไม้มงคลที่ใช้บูชาพระ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ รวมถึงเป็นสัญลักษณ์วันแม่แห่งชาติ นอกจากนี้คนไทยโบราณยังเชื่ออีกว่า บ้านใดปลูกต้นมะลิไว้ประจำบ้าน จะทำให้คนในบ้านมีความบริสุทธิ์ เพราะดอกมะลิมีสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ ซึ่งคนไทยนิยมนำมาบูชาพระ

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/0caeb9b3.jpg

ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูกต้นมะลิ
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัยควรปลูกต้นมะลิไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธเพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกต้นไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไป
ทางดอกให้ปลูกในวันพุธ ถ้าจะให้เป็นสิริมงคลยิ่งขึ้นนั้นผู้ปลูกควรเป็นสภาพสตรี
ที่สูงศักดิ์ เพราะเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงและยังเป็นผู้ที่ประกอบคุณงามความดี
เป็นที่ยอมรับนับถือของบุคคลทั่วไป

http://ayurmantra.com/wp-content/uploads/2011/07/jasmine_officinale.jpg

มะลิ Mali Arabian Jasmins, Tuscan jasmine
ชื่อวิทยาศาสตร์ Jasminum sambac (L.) Ait.
วงศ์ OLEACEAE
ชื่ออื่นๆ ไทย: มะลิลา (Mali-la) มะลิซ้อน (Mali-son)
มาเลเซีย : เมอโลร์ ( Melur ) จีน : หมัว-ลี่-ฮัว (Mo-Li-Hua )
อินเดีย : มอกรา ( Mogra ) ฟิลิปิน : มาลาตี (Melati )

ถิ่นกำเนิด อินเดีย จีน มาเลเซีย ไทย

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/3-4.jpg

มะลิ (Jasmine) เป็นต้นไม้เก่าแก่ เป็นพืชในสกุล Jasminum วงศ์ Loeaceae
มะลิมีต้นกำเนิดในเทือกเขาหิมาลัย ในภาคตะวันตกของจีนและทิเบต
ซึ่งคือประเทศอินเดียนั่นเองบางแห่งบอกว่าดอกมะลิมีต้นกำเนิดจากทางเปอร์เชียและแคชเมียร์ (จริงๆแล้วแคชเมียร์เป็นของอินเดียมาก่อน) ต่อมานำเข้าไปในยุโรบผ่านทางสเปญ (Spain)เมื่อศตวรรษที่17 นี่เอง จะเห็นว่ามีการอ้างอิงถึงดอกมะลิ ที่สามารถพบได้ในงานเขียนภาษาจีน, ภาษาเปอร์เซียและอียิปต์โบราณ ในอินเดียเรียกมะลิว่า มอกรา ( Mogra) หรือ มอการา (Mogara) มักจะหมายถึง"ความหวังที่สูงส่ง" อาจเป็นเพราะว่าใช้บูชาพระ ในพิธีกรรมทางศาสนา ในงานแต่งงาน และใช้ประดับผมสตรีก็เป็นได้
อาหรับโบราณเรียกมะลิว่า ยัสมิน (Yasmin ) หมายถึง "ของขวัญของพระเจ้า "หรือดอกไม้จากสวรรค์
ประเทศจีนเรียกมะลิว่า หมัว-ลี่-ฮัว (Mo-Li-Hua ) หมายถึง "หญิงสาวสวยรวยเสน่ห์"
ทางศาสนาฮินดูและศาสนามุสลิม चमेली (Jasmine) จะหมายถึง"กลิ่นหอมหวานแห่งความรัก"
ทั่วโลกมีมะลิอยู่ทั้งหมดประมาณ 200 ชนิด (species)

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/34-1.jpg

มะลิในภูมิภาคเอเซีย สามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ 2 กลุ่ม คือ
1 มะลิฤดูร้อน Summer ( Jasminum Officinale )
2 มะลิฤดูหนาว Winter ( Jasminum Nudiflorum )

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/33.jpg

มะลิฤดูร้อน (Jasminum Officinale ) เป็นพืชดอก มีถิ่นกำเนิดในแถบร้อนชื้นและกึ่งร้อนชื้น
พบมากทั้งในยุโรป เอเชีย อาฟริกา และแถบแปซิฟิค ดอกมีกลิ่นหอมเย็น
ลักษณะทั่วไป เป็นพรรณไม้พุ่มยืนต้นขนาดกลาง แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบๆ
ลำต้นสูงประมาณ 5 ฟุต ใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกเป็นคู่ ไปตามก้านต้นลักษณะใบป้อมมน
ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบไม่มีจัก ผิวใบเรียบสีเขียวเข้มเป็นมัน ใบยาว 2-3 นิ้ว
มีดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกเป็นช่อตามปลายยอดหรือปลายกิ่งประมาณ 3-5 ดอกแล้วแต่ชนิดพันธุ์
ดอกมีสีขาวกลิ่นหอม มีทั้งดอกลาและดอกซ้อน ออกดอกตลอดปี

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-20-2010, 11:21 AM
ชนิดของมะลิที่พบในประเทศไทย
มะลิเป็นไม้ดอกเศรษฐกิจที่มีความสำคัญมากชนิดหนึ่ง เพราะคนไทยนิยมใช้เป็นเครื่องบูชาพระและปัจจุบันทางราชการได้กำหนดให้ดอกมะลิเป็นสัญญาลักษณ์ประจำวันแม่แห่งชาติอีกด้วย
ในหนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย โดย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2544 ระบุว่าในประเทศไทย มีมะลิ (Jasminum) อยู่ 35 species 7 subspecies
และ 4 varieties หรือเรียกง่ายๆ ว่ามีอยู่รวม 40 ชนิด

http://www.rakbankerd.com/kaset/Plant/416_1.jpg
http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/d41c0d5f.jpg
จากซ้ายไปขวา ใบมะลิเมือง มะลิพิกุล มะลิลา มะลิฉัตร มะลิซ้อน

สำหรับรายชื่อมะลิที่มีอยู่ในประเทศไทยทั้ง 40 ชนิด เป็นมะลิที่มาจากต่างประเทศ 2 ชนิด
คือ J. grandiflorum (L.) Kobuski จะขาน หรือ สถาน หรือ มะลิก้านแดง
และ J. sambac (L.) Aiton มะลิลา, มะลิฉัตร, มะลิถอด, มะลิพิกุล, มะลิซ้อน
เท่ากับว่า ที่เหลือ 38 ชนิด เป็นมะลิพื้นเมืองของไทย เช่น มะลิสยาม มะลิขน มะลิดอย
มะลิพวง มะลิเลื้อย มะลิวัลย์ พุทธชาด ปันหยี เครือไส้ไก่ อ้อยแสนสวย และมะลิเขี้ยวงู
นอกจากนี้ยังมีมะลิชนิดอื่นอีก เช่น มะลิไส้ไก่ มะลิฝรั่ง มะลิย่าน มะลิเถื่อน เป็นต้น
มีการระบุโดยนักพฤกษศาสตร์ว่า มีมะลิประมาณ 9 ชนิดที่ปลูกกันอย่างแพร่หลาย
และมี 8 ชนิด ที่ปลูกเป็นไม้ประดับ มะลิที่นิยมปลูกเป็นการค้าในปัจจุบันคือ มะลิลา

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/7-3.jpg

มะลิลา ชื่อวิทยาศาสตร์: Jasminum sambac (L.) Aiton
ชื่อสามัญ: Arabian Jasmine, Jusmine, Kampopot
ชื่ออื่น: มะลิซ้อน ,มะลิหลวง , มะลิขี้ไก่
ชื่อวงศ์: Oleaceae
ถิ่นกำเนิด : ประเทศแถบเอเชีย เช่น อินเดีย คาบสมุทรอาระเบีย

เป็นไม้รอเลื้อย กิ่งอ่อนและกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนมีขน ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงกันข้าม
กันใบเป็นรูปไข่ขอบเรียบ
ดอกออกเป็นช่อ มี 3 ดอก ดอกกลางบานก่อน กลีบดอกชั้นเดียว
ปลายกลีบมน ดอกสีขาวกลิ่นหอม
มักจะเริ่มขยายกลีบและส่งกลิ่นหอมในช่วงเวลาเย็น มะลิลาเป็นมะลิที่ปลูก
เป็นการค้ากันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน นิยมปลูกเพื่อเก็บดอกขายพันธุ์ที่นิยมปลูกเป็นการค้า
ในปัจจุบัน คือ พันธุ์ราษฎร์บูรณะ พันธุ์แม่กลอง และพันธุ์ชุมพร

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/8-3.jpg

มะลิลาซ้อน ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum sambac ( L. ) Ait.
ชื่อสามัญ : Arabian jasmine , Japanese Rai
ชื่ออื่นๆ : ข้าวแตก เตียมูน (ละว้า) มะลิ มะลิป้อม
ชื่อวงศ์ : Oleaceae
ถิ่นกำเนิด : ประเทศแถบเอเชีย เช่น อินเดีย คาบสมุทรอาระเบีย

มีลักษณะต้น ใบ และอื่นๆ คล้ายกับมะลิลามาก แต่ใบมีขนาดใหญ่กว่า
ออกดอกเป็นช่อ ๆ ละ 3 ดอก มีกลิ่นหอม และดอกกลางบานก่อนเช่นกัน แต่มะลิลาซ้อน
จะมีดอกซ้อนกันประมาณ 3-4 ชั้น ปลายกลีบมน ดอกมีขนาดประมาณ 3 – 3.5 เซนติเมตร

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/3cecf955.jpg

มะลิถอด ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum Sambac (L.) Ait.
ชื่อสามัญ : Motia
ชื่อวงศ์ : Oleaceae
ถิ่นกำเนิด : ประเทศแถบเอเชีย เช่น อินเดีย คาบสมุทรอาระเบีย

ลักษณะโดยทั่วไปทั้งต้น ใบ การจัดเรียงของใบและรูปแบบของใบจะคล้ายกับมะลิลาซ้อน
แต่ใบของมะลิถอดจะเป็นคลื่นและใหญ่กว่า ออกดอกเป็นช่อ ๆ ละ 3 ดอก ดอกจะซ้อนกันมากกว่า
คือ 3-5 ชั้น ดอกมีสีขาว มีกลิ่นหอมมาก ขนาดดอกประมาณ 2.5-3.5 เซนติเมตร
ลักษณะเด่นคือเวลาดอกบานกลีบตรงกลางจะตูมเหมือนดอกบัวตูมเล็กๆเป็นที่สังเกตุได้ชัดเจน

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/05cc58ed.jpg

มะลิซ้อน ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum sambac L.
ชื่อสามัญ : Grand Duke of Tuscany
ชื่ออื่นๆ : ข้าวแตก เตียมูน มะลิ มะลิป้อม
วงศ์ : Oleaceae
ถิ่นกำเนิด : ประเทศแถบเอเชีย เช่น อินเดีย คาบสมุทรอาระเบีย

ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายมะลิถอดและมะลิลาซ้อน แต่ใบจะมีลักษณะแคบกว่า
ออกดอกเป็นช่อ ๆ ละ 3 ดอก กลีบดอกจะซ้อนกันมากกว่า 5 ชั้น และแต่ละชั้นจะมีกลีบดอก
ตั้งแต่ 10 กลีบขึ้นไป ดอกมีสีขาว และมีกลิ่นหอมมาก ขนาดดอกประมาณ 3-4 เซนติเมตร

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/2-1.jpg

มะลิฉัตร ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum sambac (L) Alton.
ชื่อวงศ์ : Oleaceae
ถิ่นกำเนิด : อินเดียและตะวันออกกลาง

ลักษณะโดยทั่ว ๆไปคล้ายกับมะลิทั้งสี่ชนิดที่กล่าวมาแล้ว ใบคล้ายมะลิซ้อนและมีคลื่นเล็กน้อย
ออกดอกเป็นช่อ ๆ ละ 3 ดอก มีกลีบเลี้ยงเป็นเส้นสีเขียว โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดยาว 0.5-1.2 ซม.
ปลายแยกเป็นกลีบดอกจะซ้อนเรียงเวียนโดยรอบ 3-4 ชั้น ห่างกัน ชั้นละ 0.2-0.4 ซม.
เห็นได้ชัดเจนมีลักษณะคล้ายฉัตร จึงมักเรียกว่า "มะลิฉัตร " ดอกมีสีขาวนวล กลิ่นหอม
ดอกมีขนาดเท่าดอกพิกุลคือมีขนาดประมาณ 1-1.4 เซนติเมตร

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/12-1.jpg

มะลิพิกุล ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum sambac Ait.
ชื่อวงศ์ : Oleaceae
ถิ่นกำเนิด : เป็นพันธุ์ไม้หอมที่นำเข้าจากต่างประเทศ

ลักษณะเป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย สูง 1-2 เมตร โตช้า ทรงพุ่มเตี้ยแจ้
เหมาะปลูกเป็นไม้กระถาง ชอบแดดจัด

ต้นกลายพันธุ์ มะลิต้นนี้เป็นมะลิสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นคนละชนิดกับมะลิฉัตร
แต่มีลักษณะคล้ายกับมะลิฉัตรจึงเรียกว่า"มะลิฉัตรพิกุล หรือมะลิพิกุล"
ขนาดใบและดอกต่างกันไป ใบเรียงเป็นคู่ ใบรูปไข่สีเขียวอมเหลือง
ลักษณะเด่นของมะลิสายพันธุ์นี้คือ ออกดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อที่ปลายกิ่ง
หรือซอกใบใกล้ปลายกิ่ง 1-4 ดอก ดอกสีขาว มี 5-6 กลีบ
กลีบดอกเรียงเวียน 3-4 ชั้น ปลายแหลม เหมือนดอกพิกุล
ดอกบานนาน 1-2 วัน ออกดอกตลอดปี มีกลิ่นหอมเย็น

http://www.baanlaesuan.com/plantlover/Webboard/images_board/reply_Q1896A35.jpg


มะลิพวง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum pubescens Willd.
ชื่อสามัญ : Angelwing jasmine
ชื่ออื่นๆ : มะลิซ่อม,มะลิเลื้อย
ชื่อวงศ์ : Oleaceae.
ถิ่นกำเนิด : ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย 10 ประเทศ คือ
พม่า ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์

ปัจจุบัน คนเข้าใจว่า มะลุลี คือ “มะลิพวง” สายพันธุ์โบราณ เพราะลักษณะดอก ใบ
และต้นคล้ายคลึงกันมาก ความจริงแล้วทั้ง 2 ชนิด เป็นคนละต้นกัน มีข้อแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งคนทั่วไปจะไม่ทราบ แต่สำหรับเกษตรกรที่มีอาชีพเพาะขยายพันธุ์มะลิทั้ง 2 ชนิดขายจะรู้ข้อแตกต่างเป็นอย่างดี และบอกจุดให้สังเกตคือ ถ้าเป็น “มะลิพวง” สายพันธุ์โบราณ ใบจะรีกว้างและใหญ่กว่าใบของมะลุลี ที่จะเป็นรูปรียาวเล็กกว่าอย่างชัดเจน ดอกของมะลิทั้ง 2 พันธุ์ จะแตกต่างกันด้วย คือ ดอกของมะลุลีจะเป็นพวงใหญ่และดกกว่า
รูปทรงของกลีบดอกใกล้เคียงกันมาก จึงทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นต้นเดียวกัน อีกประเด็นหนึ่ง ได้แก่ มะลุลีมีชื่อรองเรียกว่า “มะลิพวง” ด้วยจึงยิ่งทำให้คนทั่วไป
เชื่อมั่นว่าเป็นต้นเดียวกันอย่างแน่นอน ที่ต่างกันชัดเจนอีกจุดหนึ่งที่เกษตรกรบอกคือ
กลิ่นหอมของดอก “มะลิพวง” สายพันธุ์โบราณ จะหอมแรงกว่ากลิ่นหอมของดอกมะลุลี
จึงสามารถแยกแยะได้ตามที่กล่าวข้างต้น

มะลิพวง สายพันธุ์โบราณ อยู่ในวงศ์ OLEACEAE เป็นไม้กึ่งเลื้อยเนื้อแข็งขนาดเล็ก
กิ่งเปราะหักง่าย แตกกิ่งก้านสาขาหนาแน่น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปรีกว้าง ปลายแหลม โคนมน สีเขียวสด เป็นมัน กิ่งก้านมีขนนุ่มสีน้ำตาลที่บริเวณกิ่งอ่อนและกิ่งกึ่งอ่อนกึ่งแก่ ที่ใบจะมีขนเห็นเด่นชัด ออกตรงข้ามเป็นคู่ หรือ 3 ใบ ใบย่อยรูปรีแกมไข่
ขนาดกว้าง 3-3.5 ซม. ยาว 5-6 ซม.
ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก
มีดอกเป็นพวงแต่ไม่หนาแน่นเหมือนกับดอกมะลุลี ลักษณะดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบดอกตั้งแต่ 5 กลีบขึ้นไป
จนกระทั่ง 7-8 กลีบก็มี แต่ละกลีบเป็นรูปขอบขนาน ปลายกลีบแหลม ดอกเมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-4 ซม. เป็นสีขาว มีกลิ่นหอมแรงตลอดทั้งวัน เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น จะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ชื่นใจมาก
ดอกออกตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่งและตอนกิ่ง


http://www.atom.rmutphysics.com/charud/oldnews/103/maruree.jpg

มะลุลี ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum multiflorum (Burman.f.) Andrews
ชื่อพ้อง : J. pubescens Willd.
ชื่อสามัญ : The star jasmine ,Angel-hair jasmine
ชื่ออื่นๆ : มะลุลี, มะลิซ่อม ,มะลิเลื้อย
ชื่อวงศ์ : Oleaceae.
ถิ่นกำเนิด : ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลักษณะเป็นไม้เถาขนาดเล็ก ต้น ใบ คล้ายมะลิลา แต่ใบใหญ่กว่า ลำต้นมีสีเขียว กิ่งเปราะ
ใบเดี่ยวเรียงเป็นคู่ตรงข้าม รูปไข่ปลายแหลม โคนใบมนป้าน ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน กว้าง 3-4 เซนติเมตร ยาว 6-9 เซนติเมตร ใบอ่อนและยอดอ่อนมีขนนุ่ม

ดอกสีขาว ออกเป็นช่อแบบกระจุกแน่นที่ปลายยอดหรือตามซอกใบใกล้ปลายยอด
โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 6-9 กลีบ กลิ่นหอมทั้งกลางวัน
และกลางคืน ดอกบานพร้อมกันเกือบทั้งช่อ และบานทนอยู่ได้หลายวัน
ออกดอกบานตลอดปี ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือกิ่งด้านข้าง ช่อค่อนข้างแน่น
กลีบรองดอก สีเขียว 5 กลีบ รูปขอบขนานแคบปลายแหลม มีขนนุ่มสีน้ำตาลคลุม
กลีบดอกส่วนโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 2 ซม. ตอนปลายแยกเป็น 8-9 กลีบ
ยาว 2 ซม. ดอกสีขาว กลิ่นหอมมาก กลีบดอกมีชั้นเดียว ขนาดดอกประมาณ 3-4.5 เซนติเมตร

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/e5aec78b.jpg

มะลุลีสีชมพู ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum multiflorum (Burm.f.) Andr.
ชื่อสามัญ: Downy Jasmine, Star Jasmine
ชื่ออื่น : มะลิไส้ไก่
ชื่อวงศ์ : Oleaceae
ถิ่นกำเนิด : ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“มะลุลีสีชมพู” เป็นไม้ดอกหอมในวงศ์มะลิ และเป็นชนิดเดียวกับมะลุลีธรรมดา
แต่จะแตกต่างกันตรงที่ มะลุลีสีชมพูเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก แต่มะลุลีธรรมดา
จะเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยดอกมะลุลีสีชมพู จะมีช่อดอกกลมแน่น ออกดอกที่ปลายกิ่ง
มีดอกย่อยประมาณ 9-15 ดอก กลีบเลี้ยงเป็นซี่แหลมเรียว ยาว 6-8 มิลลิเมตร
ดอกตูมสีชมพูเข้ม ดอกบานสีขาวสะอาด มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร
มะลุลีสีชมพู จะออกดอกตลอดปี ดอกจะดกมากในช่วงฤดูฝน ดอกบานวันเดียวแล้วร่วง
ในวันถัดมา ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ตลอดทั้งวันและหอมแรงขึ้นในช่วงเย็น

http://www.biogang.net/upload_img/biodiversity/biodiversity-13922-1.jpg

พุทธชาด ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum auriculatum Vahl
ชื่อสามัญ : Jusmine Vine, Star jasmine
ชื่อพื้นเมือง : ไก่น้อย บุหงา ประหนัน
ชื่อวงศ์ : Oleaceae
ถิ่นกำเนิด : ประเทศอินเดียตอนใต้ จีน

ต้นพุทธชาดเป็นไม้กึ่งเลื้อย กึ่งต้น หรือเป็นไม้รอเลื้อย เป็นไม้ที่มีเถาแข็งมีอายุหลายปี
กิ่งก้านที่ออกใหม่ ๆ จะมีสีเขียวสด กิ่งแก่จัดจึงจะเป็นสีน้ำตาล เถากลมเกลี้ยง กิ่งเปราะหักง่าย
ออกใบตรงข้ามกันตามข้อต้น ใบเป็นใบประกอบชนิด ๓ ใบย่อย ซึ่งมักจะลดรูปลงเหลือเพียงใบเดียว
บางใบอาจพบใบย่อยด้านข้างที่ลดรูปลงเหลือเป็นแผ่นเล็กๆ สีเขียว ๑-๒ แผ่น แผ่นใบรูปไข่
หรือรูปไข่แกมรูปรี ปลายใบมนทู่ หรือบางใบอาจมีติ่งแหลมเล็กน้อย ยาวเพียง ๒-๓ ซม. มีขนนุ่มๆ
ออกดอกเป็นช่อโปร่งที่ปลายกิ่งและซอกใบ โคนกลีบดอกจะติดกันเป็นหลอด มีกลีบเลี้ยงสีเขียวรองรับอยู่
ดอกสีขาว มี 6-8 กลีบ คล้ายมะลิลา แต่ขนาดเล็กกว่า เส้นผ่านศูนย์กลางดอก ๑-๑.๕ ซม.
ดอกจะบานและเริ่มส่งกลิ่นหอมตั้งแต่ตอนเย็นเรื่อยไป กลิ่นหอมแรงกว่าดอกมะลิ

http://www.nattawoot.com/wp-content/uploads/Brazilian-Jasmine-Pud_tha_chat_luang-01.jpg

พุทธชาดหลวง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum fluminense Vahl subsp. gratissimum (Deflers) P.S.Green
ชื่อสามัญ : Brazilian Jasmine
วงศ์ : Oleaceae
ถิ่นกำเนิด : นำเข้าจากต่างประเทศ

พุทธชาดหลวง เป็นไม้ดอกหอมจากต่างประเทศที่นำเข้ามาปลูกนานแล้ว ใบประกอบมีใบย่อย 3 ใบ
ซึ่งต่างจากมะลิในบ้านเรา พุทธชาดหลวง เป็นไม้เลื้อยดอกหอม ที่ปลูกเลี้ยงง่าย เป็นไม้เลื้อยขนาดเล็กเถาอ่อน
สามารถปลูกเลี้ยงในกระถางแล้วให้เลื้อยขึ้นซุ้มโครงเหล็กได้ดี
ดอกออกเป็นช่อดอกที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาว คล้ายๆ กับดอกพุทธชาด
แต่ว่าดอกจะใหญ่กว่า และกลิ่นหอมจะแตกต่างกัน ส่งกลิ่นหอมแรงมากในช่วงใกล้ค่ำและหอมโชยได้ไกล
ดอกบานวันเดียวก็โรยพุทธชาดหลวงออกดอกได้ตลอดทั้งปี และดอกดกมากในช่วงฤดูฝน

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/13-2.jpg

มะลิวัลย์ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum adenophyllum Wall.
ชื่อสามัญ Scented star jasmine, Climbing jasmine
ชื่ออื่นๆ : ผักแส้ว , ไส้ไก่, ,มะลิป่า
ชื่อวงศ์ Oleaceae
ถิ่นกำเนิด : จากอินเดียถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

มะลิวัลย์ เป็นพรรณไม้ป่าของไทยแท้แต่โบราณ เวลาดอกออกจะดูขวาพราวไปทั้งต้น ดอกมีกลิ่นหอมแรงไปไกล
ในหนังสือพรรณไม้ประเทศไทยที่กรมป่าไม้จัดพิมพ์ขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๒๓ กล่าวถึงพันธุ์ไม้ป่าของไทยที่มีชื่อว่า
มะลิวัลย์ ๓ ชนิด ในจำนวนนี้ที่พบได้บ้างมีเพียงชนิดเดียว เป็นชนิดที่นำมาปลูกเป็นไม้ประดับด้วย
คือ มะลิวัลย์ (Jasminum adenophyllum Wall.) ซึ่งเป็นไม้เลื้อย ลำเถาเล็กเกลี้ยง ใบเดี่ยว รูปรี ปลายแหลม
ออกเป็นคู่ตรงกันข้าม ใบเล็กกว่าและยาวกว่ามะลิอื่น ๆ ใช้ยอดเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่นหรือขึ้นร้าน
ยอดอ่อนสามารถรับประทานได้ มีรากออกตามข้อ รากของมะลิวัลย์ใช้เป็นสมุนไพรได้อีกด้วย
ดอกเป็นช่อเล็กเพียง ๑ -๓ ดอก ตรงซอกใบ ก้านดอกสีเขียวอ่อน มีสีน้ำตาลเรื่อ กลีบเลี้ยงสีเขียวโคนเชื่อมติดกัน
ปลายแยก 5-6 แฉก ปลายเรียวแหลม ดอกรูปเช็ม โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดแคบ ปลายแยก 8-9 แฉก
กลีบดอกเล็กยาว สีขาวนวล ขนาดเล้นผ่านศูนย์กลางดอก ๒ - ๓ ซม.ดอกมีกลิ่นหอมแต่ร่วงเร็ว

บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ เรื่อง อิเหนา ตอนหนึ่งบรรยายถึงมะลิวัลย์ไว้อย่างไพเราะยิ่ง
มะลิวันพันพุ่มคัดค้าว
ระดูดอกออกขาวทั้งราวป่า
บ้างเลื้อยเลี้ยวเกี่ยวกิ่งเหมือนชิงช้า
ลมพาพัดแกว่งดังแกล้งไกว

และสุนทรภู่ได้กล่าวถึงมะลิวัลย์ไว้ในวรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนหนึ่งว่า
มะลิวันพันระกำขึ้นแกมจาก
ได้สามวันกรรมพรากไปจากน้อง
จำปีเคียงโศกระย้าผกากรอง
พี่โศกเศร้าเฝ้าตรองกว่าสองปี

อย่างไรก็ตาม มะลิที่เป็นไม้เลื้อยและไม้รอเลื้อยในป่าเมืองไทยยังมีอีกมาก
ดังนั้น พันธุ์ไม้ ที่เรียกกันว่า มะลิวัลย์ จึงอาจหมายถึงมะลิชนิดอื่นๆ อีกก็ได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นชนิดใด สิ่งที่เป็นลักษณะเด่นของมะลิวัลย์ก็คือ กลิ่นที่หอมชื่นใจนั่นเอง

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆค่ะ

ทั่นยาย
09-21-2010, 12:53 AM
มะลิพื้นเมืองของไทย
งานวิจัยการอนุรักษ์มะลิพื้นเมืองถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีมะลิพื้นเมืองอยู่มากมาย
แต่หากขาดการอนุรักษ์ที่เหมาะสมและต่อเนื่อง ก็มีโอกาสที่จะทำให้มะลิพื้นเมืองบางชนิดสูญพันธุ์
หรือเปลี่ยนสถานะเป็นชนิดที่หายากขึ้นได้ งานการวิจัยการอนุรักษ์มะลิพื้นเมืองจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ
เพื่อให้แต่ละชนิดยังมีอยู่มีชีวิตอยู่รอดได้ และในเวลาเดียวกันควรที่จะหาทางพัฒนาการใช้ประโยชน์มะลิพื้นเมือง
แต่ละชนิดให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อเกษตรกรผู้ผลิตผู้จำหน่ายและผู้ใช้ประโยชน์โดยรวมในประเทศไทย

มะลิพื้นเมืองของไทย ส่วนใหญ่มีดอกสีขาว มีกลีบดอกแหลมๆ ขึ้นกระจายอยู่ทั่วประเทศ
เมื่อชาวบ้านหรือผู้คนทั่วไปได้พบเห็น ก็ไม่ได้จำแนกหรือแยกออกจากกันว่าเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร
แต่ก็จะเรียกรวมๆ กันไปว่า มะลิป่า มะลิเลื้อย มะลิวัลย์ มะลิเขี้ยวงู มะลิไส้ไก่
เมื่อเดินทางไปสำรวจทั่วประเทศแล้ว จะพบว่า มีชื่อเหมือนๆ กัน แม้แต่ชื่อทางการก็ยังซ้ำกัน
ทั้งๆ ที่เป็นคนละชนิดกัน ตัวอย่างเช่น ไส้ไก่ มีเรียกถึง 3ชนิด และยังมีชนิดที่เรียกว่า มะลิไส้ไก่อีก 1 ชนิด
หรือถ้าจะพิจารณาคำว่าเขี้ยวงู ก็มีเรียกถึง 2 ชนิด และยังมีชื่อเขี้ยวงูเล็ก อีก 1 ชนิด
ดังนั้น ชื่อของมะลิพื้นเมืองยังมีความสับสน จึงยังเรียกรวมๆ กันไปดังกล่าวแล้ว

ความแตกต่างของมะลิพื้นเมืองแต่ละชนิด ทั้ง 38 ชนิด ที่มีขึ้นกระจายอยู่ทั่วประเทศ
มีความแตกต่างกันอย่างไร นักพฤกษ-ศาสตร์มีข้อกำหนดอะไรที่นำมาใช้แยกมะลิออกจากกัน ดังเช่น

1. ใช้จำนวนใบ สามารถแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ มะลิชนิดที่มีใบเป็นใบเดี่ยว และมะลิที่มีใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อยหลายใบ
2. ใช้ลักษณะของเส้นแขนงใบเป็นเกณฑ์ ว่าเส้นแขนงใบคู่แรกเป็นร่องลึกเด่นชัดมากหรือไม่ หรือเส้นแขนงใบแต่ละคู่ไม่เด่นชัดเท่ากันหมดทั่วทั้งใบ
3. ใช้จำนวนเส้นแขนงใบเป็นเกณฑ์ ว่าแต่ละใบมีเส้นแขนงใบเป็น 3,5, 7, 9 คู่ หรือมากกว่า
4. ใช้ความยาวของกลีบเลี้ยงมาเป็นเกณฑ์ ว่ามีกลีบเลี้ยงยาว หรือปานกลาง หรือสั้น
5. ใช้ความยาวของหลอดโคนกลีบดอกมาเป็นเกณฑ์ เมื่อเทียบกับความยาวของกลีบดอก ว่าสั้นกว่าหรือยาวกว่า
6. ใช้จำนวนกลีบดอกมาเป็นเกณฑ์ ว่ามีจำนวนกลีบดอกเป็นเท่าใดเนื่องจากมะลิแต่ละชนิดมีจำนวนกลีบดอกตั้งแต่ 5 กลีบ จนกระทั่งถึงมากกว่า 10 กลีบ

http://farm6.static.flickr.com/5260/5554799642_f885cca5c3.jpg

มะลิทะเล ชื่อวิทยาศาสตร์
ชื่อวงศ์ : OLEACEAE

มะลิทะเลนี้เป็นต้นแกมเถาคล้ายเฟื่องฟ้า เป็นไม้รอเลื้อยดอกเป็นกระจุก ๆ หนึ่ง มี 5-6 ดอก กลิ่นหอมฉุน

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/3-2.jpg

มะลิเลื้อย ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum pubescens Willd.
ชื่อวงศ์ : OLEACEAE
ชื่ออื่นๆ : มะลิซ่อม มะลิเลื้อย
มีถิ่นกำเนิด : ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลักษณะ : ไม้พุ่มรอเลื้อย กิ่งก้านมีขนนุ่มสีน้ำตาล ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามเป็นคู่ หรือ 3 ใบ
ใบย่อยรูปรีแกมไข่ ขนาดกว้าง 3-3.5 ซม. ยาว 5-6 ซม. ดอก สีขาว ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือกิ่งด้านข้าง
ช่อค่อนข้างแน่น กลีบรองดอก สีเขียว 5 กลีบ รูปขอบขนานแคบปลายแหลม มีขนนุ่มสีน้ำตาลคลุม
กลีบดอกส่วนโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 2 ซม. ตอนปลายแยกเป็น 6-8 กลีบ ยาว 2 ซม. ดอกไม่มีกลิ่นหอม

การกระจายพันธุ์ : ในประเทศไทยพบทางภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ที่ความสูงระดับน้ำทะเลจนถึง 200 ม. ปลูกได้ทั่วไป ออกดอกเกือบตลอดปี

ประโยชน์ : ปลูกเป็นไม้ประดับได้ดี

ข้อมูลจาก : หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 3

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/2-10.jpg

มะลิเขี้ยวงู หรือะลิก้านยาว ชื่อวิทยาศาสตร์ Bauhinia bassacensis Pierre ex Gagnep.
วงศ์ OLEACEAE

พบเลื้อยพันตามไม้เตี้ย ๆ ตามพื้นป่า ไม่เลื้อยขึ้นไม้ใหญ่ ในป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง
ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 300-800 เมตร ทั่วทุกภาค ลำต้นเป็นเถาขนาดเล็ก
ทอดเลื้อยไปได้ไกล 2-4 เมตร แตกกิ่งก้านน้อย กิ่งอ่อนสีเขียวและมีขนอ่อนนุ่มปกคลุม
กิ่งแก่สีน้ำตาลปนเทา ผิวเรียบเกลี้ยง ออกดอกเป็นช่อแตกแขนงตามซอกใบและปลายกิ่ง
ช่อละ 1-3 ดอก กลิ่นหอมแรงในช่วงพลบค่ำจนถึงยามสาย ขนาดดอก 3 ซม. ดอกสีขาว
ดอกเป็นหลอดรูปทรงแจกันสูง สีม่วงอมแดง ปลายแยกเป็นกลีบรูปขอบขนานเรียวแหลม 9-11 กลีบ
สีขาวบริสุทธิ์ ดอกบานเต็มที่เพียง 1-2 วัน ก็ร่วงโรย โดยดอกจะทยอยบานมากเพื่อรับน้ำค้างในยามค่ำคืน
แล้วบานเต็มที่ในช่วงเช้าเมื่อมีแสงแดดอ่อน ๆ ต่อเมื่อแดดรุนแรง ดอกก็จะเริ่มเหี่ยวเฉา
โดยมีสีซีดลงและกลีบดอกห้อยลู่ วันรุ่งขึ้น..ดอกจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือสีฟางข้าว
และมีกลิ่นเหมือนกลิ่นฟางแห้ง กลีบรองกลีบดอกเป็นซี่แหลม ๆ อยู่เป็นวงล้อมรอบดอก

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/Jasminummultiflorum.jpg

มะลิงาช้างชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum multiflorum cv.star Jasmine.
ชื่อวงศ์ : OLEACEAE

ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเตี้ยขนาดเล็ก พุ่มแน่น รูปทรงไม่ค่อยแน่นอน ดอกเป็นช่อ ปลายกลีบดอกแหลมง่อนคล้ายงาช้าง
ดอกหอมอ่อนตลอดวัน ช่วงที่มีอากาศเย็นหรือแสงแดดอ่อนจะมีกลิ่นหอมมากกว่าช่วงที่มีอากาศร้อน

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/AngelwingJasmine.jpg

มะลิหลวง ชื่อสามัญ : Angelwing jasmine ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum nitidum
วงศ์ : Oleaceae

เป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดมาจากหมู่เกาะ Admiralty ของปาปัวนิวกินี
ลักษณะเป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย สูง 1-2 เมตร มีอายุอยู่ได้หลายปี แตกกิ่งยอดจำนวนมากเป็นพุ่มแน่น
ปลายกิ่งชูตั้งขึ้น กิ่งอ่อนมีสีเขียวและเปราะหักง่าย ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามเป็นคู่ ใบรูปหอก
กว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 6-9 เซนติเมตร ปลายใบแหลมยาว โคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเกลี้ยงเป็นมัน
ดอกสีขาว ออกเป็นช่อสั้นๆ ตามซอกใบและปลายกิ่ง ก้านดอกมีสีเขียวอมม่วงอ่อน กลีบเลี้ยงสีม่วงแดง
โคนกลีบดอกติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบรูปขอบขนาน ยาว 1-1.5 เซนติเมตร
ดอกอ่อนสีม่วงแดง เมื่อดอกบานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-3.5 เซนติเมตร ดอกเริ่มบานและส่งกลิ่นหอมในช่วงเย็น
จนถึงช่วงบ่ายของวันรุ่งขึ้น ดอกบานวันเดียวและโรยในช่วงเย็น ออกดอกดกตลอดปี

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/2-11.jpg

ปันหยี ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum rex Craib.
ชื่อสามัญ : King Jasmine
ชื่อพื้นเมือง : มะลิ ร.๕, มะลิวัลย์ดง (จันทบุรี)
ชื่อวงศ์ : Oleaceae

ลักษณะทั่วไป: ต้นเป็นไม้เลื้อยขนาดเล็กเช่นเดียวกับมะลิวัลย์ ใบเดี่ยว การออกของใบเช่นเดียวกัน
แต่ใบมีขนาดใหญ่กว่า ใบเป็นมันสีเขียวเข้ม หนาและแข็ง ใบเดี่ยว รูปรี ปลายแหลม ออกแบบตรงข้ามกัน
ใบเรียงตรงข้ามตามก้านใบ ใบเป็นมันสีเขียวเข้ม หนาและแข็ง
ดอกเป็นดอกช่อ สีขาวดอกใหญ่ กลีบดอกกว้างและมน ดอกชั้นเดียว
ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง 2-3 ดอก ขนาดดอก 4-4.5 ซม.กลิ่นไม่หอม

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/jasminumscandens.jpg

เครือไส้ไก่ ชื่อวิทยาศาสตร์: jasminum scandens (Retz.) Vahl
ชื่อท้องถิ่น: เครือไส้ไก่ , โมกเครือ, เสี้ยวผี
ชื่อวงศ์ : Oleaceae
ถิ่นที่พบ : ป่าชุมชนตำบลสำราญ

ลักษณะเป็นไม้พุ่มกึ่งไม้เถา แตกกิ่งเป็นเถาขนาดเล็กจำนวนมาก มีเถายืดยาว ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามเป็นคู่ๆ
ใบรูปหอก กว้าง 1.5-3 เซนติเมตร ยาว 3-9 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ผิวใบเกลี้ยง ก้านใบยาว 0.5-1 เซนติเมตร
ช่อดอกสีขาว ออกเป็นช่อสั้น ๆ ตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงติดกันเป็นรูปกรวย ปลายแยกเป็นแฉกแหลมๆ 6 แฉก
มีขนประปราย กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นแฉกรูปขอบขนาด 6-8 แฉก
เมื่อดอกย่อยบานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-3 เซนติเมตร ดอกเริ่มแย้มและส่งกลิ่นหอมในช่วงเย็น ดอกบานวันเดียวแล้วโรย
มีฤดูออกดอกอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน - มีนาคม ออกดอกสีขาวโพลนเต็มต้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์
ผลกลมสีดำ มีเมล็ดเดียว ขยายพันธุ์โดยปักชำและตอนกิ่ง ปลูกเลี้ยงในที่ร่มรำไร ชอบความชื้นสูง

http://www.rspg.or.th/exploration/sms_plants/sms29.jpg

มะลิไส้ไก่ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum funale Decne.spp.funale
ชื่อวงศ์ :Oleaceae)
ถิ่นกำเนิด : นครราชสีมา อุบลราชธานี

ไม้พุ่มรอเลื้อย พบมากตามป่าละเมาะโปร่ง ชอบแสงแดดจัด กลีบดอกสีขาว ปลายแยก 5 แฉก กลิ่นหอมอ่อน ผลสีเขียวออกเป็นคู่

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/JasminumRex2.jpg

อ้อยแสนสวย ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum rex
ชื่อวงศ์ : Oleaceae

อ้อยแสยสวยเป็นมะลิที่อยู่ในตระกูลเดียวกับปันหยี ลักษณะเป็นไม้เลื้อย กิ่งอ่อนสีม่วงแดงไม่มีขน
กิ่งแก่สีน้ำตาล ใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ก้านใบสีม่วง ดอกออกเป็นช่อมี 7-8 ดอก ดอกกลางบานก่อน
ก้านดอกยาว กลีบดอกขาวชั้นเดียวปลายกลีบมน

มะลิสยาม ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum siamense Craib
ชื่อพื้นเมือง : ดอกเสี้ยว, ไข่ไก่, มะลิเมา
ชื่อวงศ์ : Oleaceae

http://science.sut.ac.th/gradbio/florae/images/pg166a.jpg

ต้นกึ่งเถาขนาดเล็ก ใบรูปไข่สีเขียวบาง เรียงตรงข้ามเป็นคู่ ดอกเดี่ยวสีขาว

ทั่นยาย
11-02-2010, 09:46 PM
http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/E1E0E380E140_zps822f66d0.jpg (http://s135.photobucket.com/user/tunyay/media/yay4/E1E0E380E140_zps822f66d0.jpg.html)

มะลิก้านแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum grandiflorum Linn.
ชื่อวงศ์ : OLEACEAE
ชื่ออื่นๆ : จะขาน จัสมิน พุทธชาดแดง สถาน มะลิก้านยาว มะลิเขียว
ลักษณะ : ไม้พุ่มรอเลื้อย กิ่งก้านสีเขียว ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ช่อใบออกตรงข้ามเป็นคู่ ก้านใบแผ่ออกเป็นครีบแคบๆ ใบย่อยมี 5-9 ใบ รูปรีแกมสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
ใบย่อยปลายก้าน มีขนาดใหญ่ที่สุด ขนาดกว้าง 1-1.5 ซม. ยาว 2.5-3.5 ซม.
ดอก สีขาวแกมม่วง ด้านหลังกลีบมีสีชมพูอมม่วง ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง
หรือกิ่งด้านข้าง ช่อดอกไม่แน่น กลีบรองดอกสีเขียว 5 กลีบ รูปขอบขนานแคบ
ปลายแหลม กลีบดอกตอนโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 2-2.5 ซม.
ตอนปลายแยกเป็น 5 กลีบ
การกระจายพันธุ์ : ถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ในประเทศไทยปลูกเป็นไม้ประดับ
ปลูกได้ทั่วไป ออกดอกเกือบตลอดปี ประโยชน์ : เป็นไม้ดอกหอม สามารถนำไปสกัด
ทำน้ำหอมได้

ข้อมูลจาก : หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 3

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/E210E300E250E340E020E190_zpse1247253.jpg (http://s135.photobucket.com/user/tunyay/media/yay4/E210E300E250E340E020E190_zpse1247253.jpg.html)

มะลิขน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum craibianum Kerr
ชื่อวงศ์ : OLEACEAE
ชื่ออื่นๆ :
ลักษณะ : ไม้รอเลื้อย กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดง ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงข้าม
รูปไข่กลับหรือขอบขนานแกมรี กว้าง 2-4 ซม. ยาว 5-10 ซม. โคนใบสอบมน
ปลายใบแหลม แผ่นใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ก้านใบยาว 4-8 มม. ดอกสีขาวนวล
แผ่นใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ก้านใบยาว 4-8 มม. ดอกสีขาวนวล มีกลิ่นหอมจาง
ออกเป็นช่อสั้นตามยอดหรือซอกใบ จนำวน 3-5 ดอก ก้านดอกยาว 1-1.5 ซม.
กลีบประดับเป็นเส้น กลีบรองดอกเป็นถ้วยตื้น ปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกโคน
เชื่อมกันเป็นหลอด ยาว 2 ซม. ปลายแยกเป็น 6-8 แฉก กว้าง 0.2 ซม.
ยาว 1-1.5 ซม. เกสรผู้ 2 อัน
การกระจายพันธุ์ : พบเฉพาะทางในภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามชายป่าดิบและบริเวณป่าโปร่ง
ประโยชน์ : นิยมปลูกตามบ้านเป็นไม้ประดับและไม้มงคล ให้ดอกเกือบตลอดปี

ข้อมูลจาก : หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/E210E300E250E340E0A0E490E320E070_zps456cbe05.jpg (http://s135.photobucket.com/user/tunyay/media/yay4/E210E300E250E340E0A0E490E320E070_zps456cbe05.jpg.html)

มะลิช้าง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum cordatum Ridl
ชื่อวงศ์ : OLEACEAE
ชื่ออื่นๆ : เครือหนามข้อ

มะลิช้างมีเขตการกระจายพันธุ์แคบๆ พบเฉพาะบริเวณคาบสมุทรมลายู
และภาคใต้ของไทย พบที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภูเก็ต พังงา และสงขลา
ขึ้นในป่าดิบชื้นตามเขาหินปูน ระดับความสูง 100-250 เมตร
ลักษณะ : ไม้เถามีเนื้อไม้หรือไม้พุ่มทอดเลื้อย กิ่งอ่อนมีขนละเอียด ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่ รูปขอบขนาน หรือรูปใบหอก ยาว 1.3-5.5 ซม. ปลายใบเรียวแคบ มนหรือแหลมสั้นๆ ปลายใบมีติ่ง โคนใบกลมหรือรูปหัวใจตื้นๆ แผ่นใบค่อนข้างหนา เส้นโคนใบ 3-5 เส้น โค้งเป็นเส้นขอบใบ เส้นแขนงใบเห็นไม่ชัดเจน ก้านใบยาวได้ประมาณ 5 มม. มีขนละเอียด ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง มีดอกเดียว ใบประดับ 1 คู่ เป็นติ่งแหลมอ่อนๆ ยาวประมาณ 1 มม. ก้านดอกยาว 1-2 มม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ หลอดกลีบสั้น ยาว 1.5-2 มม. ปลายแยกเป็นแฉกรูปลิ่มแคบ ยาว 2-5 มม. มีขนละเอียดประปราย ดอกสีขาว หลอดกลีบยาว 1.7-3 ซม. กลีบดอกมี 6-8 กลีบ เรียงซ้อนเหลื่อม กลีบรูปรีหรือรูปขอบขนาน ยาว 0.9-1.7 ซม. เกสรเพศผู้ 2 อัน ติดภายในหลอดกลีบดอก ก้านเกสรสั้นๆ ปลายอับเรณูมีรยางค์สั้นๆ รังไข่รูปถังเบียร์ ก้านเกสรเพศเมีย 1 อัน ปลายแยก 2 แฉก ผลแบบผลสดมีเนื้อหลายเมล็ด ติดเป็นคู่ รูปรีเกือบกลม

(ภาพ: นันท์นภัส ภัทรหิรัญไตรสิน; เขาลังตัง พังงา)


ได้แนะนำมะลิฤดูร้อน ( Jasminum officinale ) ในประเทศไทยที่มีอยู่ 40 กว่าชนิด
ซึ่งเป็นสายพันธุ์ Asminum sambac ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ต่อไปนี้ขอแนะนำสายพันธุ์มะลิของต่างประเทศบ้าง
ซึ่งมะลิของแต่ละประเทศนั้นก็สวยงามโดนเด่นแตกต่างกันไป เช่น จีน อินเดีย อัฟาริกา ปากีสถาน มาเลเซีย ญี่ปุ่น ฯ
ขอแนะนำให้รู้จักพอสังเขปดังนี้ค่ะ

1 สายพันธุ์มะลิฤดูร้อน Jasminum officinale มีอยู่หลายชนิดและหลายประเทศ เช่น

มะลิของจีน Jasmine of China

Jasmine Gelsemium sempervirens ชนิดดอกซ้อนเวลาบานจะดูสวยโดดเด่นมากๆค่ะ
http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/1-4.jpg

ดอกบานเป็นช่อสวยงามขนาดนี้ค่ะ ตัดมาปักแจกันได้เลยนะคะเนี่ย

http://songezegen.com/wp-content/uploads/2013/05/174.jpg

ลักษณะของใบก็แปลกตา คล้ายๆใบหยี่หร่าที่ญี่ปุ่นเอามาทานแนมกับปลาดิบค่ะ

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/tunyay3/ac3c4171.jpg

มะลิชนิดนี้จะมีกลิ่นหอมมากจึงนิยมนำดอกมาอบแห้งเพื่อใส่ในใบชา เป็นชากลิ่นมะลิค่ะ

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/1-2.jpg

Jasmine Gelsemium sempervirens อีกชนิดหนึ่ง ดอกชั้นเดียวมีเกสรเด่นชัดมา
ดอกเป็นช่อสวยมาก มีกลิ่นหอมมากจึงนิยมมำดอกมาอบแห้งใส่ใบชาเช่นกัน
มะลิชนิดนี้มีทั้งในจีน และมาเลเซียค่ะ

http://us.123rf.com/400wm/400/400/ppart/ppart0906/ppart090600061/5045976-jasmine-flowers-on-the-bush.jpg

Jasminum officinale sambac"Hardy Jasmine" สายพันธุ์นี้มีทั้งไทย จีน และมาเลเซียค่ะ

http://www.logees.com/images/R1385-2-small.jpg

มะลิปากีสถาน Jasmine of Parkistan

Jasminum officinale sambac of Parkistan
http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/tunyay3/2e27c9de.jpg
ดอกสวยแปลกตาดี สายพันธุ์นี้เป็นของปากีสถานค่ะ

Jasminum officinale sambac Belle of India
http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/tunyay3/a5d62963.jpg

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/1-4.jpg
Jasminum tortuosum
http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/tunyay3/ffe51755.jpg

Jasminum officinale Fiona Sunrise
http://www.gardenvines.com/shop/images/jasminum_fiona_sunrise.jpg

Jasmine, 'South African' Jasminum angulare
http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/tunyay3/9a21b6f1.jpg

Jasminum angulare – South African Jasmine อีกสายพันธุ์หนึ่ง
http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/tunyay3/84d4c793.jpg

ทั่นยาย
07-29-2011, 01:26 PM
[color=orange][size=16pt]pakistan Jasminum
http://1.bp.blogspot.com/_ZqcEFT6y2-o/SGza9yh3WBI/AAAAAAAABlk/RHhqym-m6Zw/s400/IMG_2924.JPG

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/22.jpg

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/1.jpg

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/1-1.jpg

Jasminum polyanthum form China
http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/3.jpg

ทั่นยาย
07-29-2011, 01:26 PM
มะลิฤดูหนาว Jasminum nudiflorum จะมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น
เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และอีกหลายๆประเทศ ซึ่งจะมีทั้งดอกสีขาวอมชมพู ชมพูอ่อน ชมพูเข้ม และสีเหลือง เป็นต้น

Jasminum officinale Flore pleno
https://toptropicals.com/pics/garden/c20/officinale.jpg

Jasminum officinale Aureum
http://www.seasideplants.co.uk/res/user/786_dscf3359.jpg

Jasminum officinale AGM
http://www.seasideplants.co.uk/res/user/782_dscf3353.jpg

Jasminum officinale Argenteovariegatum AGM
http://www.seasideplants.co.uk/res/user/788_dscf3356.jpg

ทั่นยาย
07-29-2011, 01:27 PM
Jasminum X stephanense
Jasminum x stephanense เป็นลูกผสมธรรมชาติระหว่าง J. officinale var. affine และ J. beesianum
พบว่ามีการเจริญเติบโตในป่าทางตะวันตกเฉียงใต้ประเทศจีนซึ่งเป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
ดอกดอก สีออกชมพู และมีกลิ่นหอม

Jasminum beesianum
http://www.gardenvines.com/shop/images/jasminum_beesianum.gif

Jasminum beesianum "Rose Jasmin "
http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/tunyay3/c6f16454.jpg

Jasminum beesianum "Rose Jasmin "
http://www.thegardengeeks.com/home/images/com_sobi2/gallery/7029/7029_image_1.jpg

Jasminum Jasmine'beesianum 'Red
http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/tunyay3/6fe6c956.jpg

Jasminum Beesianum is also known as the 'Red Jasmine'
http://pics.davesgarden.com/pics/2002/08/15/booboo1410/ab7d8f.jpg

http://farm5.static.flickr.com/4002/5148388864_c23f73e14c.jpg

ผลของมะลิสายพันธุ์ Jasminum beesianum
http://www.aiapagoeta.com/uploads/especies/g_especie1261_3.jpg

Jasminum polyanthum
http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/tunyay3/59b1f5b5.jpg

ทั่นยาย
07-29-2011, 01:28 PM
Jasminum Humile Revolutum มะลิฤดูหนาวสีเหลือง
มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเช๊ย ทางจีนตอนใต้ South west of China.
ลักษณะไม้พุ่มขนาดกลางโดยปกติจะสูงประมาณ 4-6 ฟุต ทรงไม้เป็นพุ่ม หรือ arching
ออกดอกเป็นช่อแบบกลุ่ม ให้ดอกดกถึง 12 ดอกต่อช่อ ดอกมีขนาด 2.5cm (1in)
ใบสีเขียวสว่างถึงเขียวเข้มเป็นใบประกอบ ใบยาว 5-7 1cm (½) ทนต่ออุณหภูมิเย็นจัดได้ถึง -5 ° C (23 ° F)

http://www.provarplants.co.uk/provar-plants/images/main/devoncream.jpg
Jasminum officinale'Clotted Cream

http://www.pepinieres-duval.com/usermedia/Jasminum_humile_revolutum.JPG?w=398&h=298


Jasminum nudiflorum, or Winter Jasmine
http://www.houseplantsguru.com/wp-content/uploads/2011/04/Winter-Jasmine-Jasminium-nudiflorun.jpg

J. floridum – Showy Jasmine
http://www.fiddlefacenursery.com/plants/images/jasmine/jasmine-floridum360.jpg

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/tunyay3/ec50f18b.jpg

http://www.logees.com/images/R1380-2-Small.jpg

ประโยชน์ของมะลิ
คนไทยนิยมนำมาร้อยมาลัยบูชาพระ และลอยน้ำดื่ม

คนจีนนิยมนำไปอบใบชา

คนอินเดียนิยมนำไปร้อย

เป็นพวงใช้ประดับผมสตรี

สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา

ดอก -แก้หืด ใช้แต่งกลิ่นใบชา ใช้อบขนมต่างๆ
ใบ ราก - ทำยาหยอดตา
ใบ - แก้ไข้ ขับน้ำนม รักษาโรดผิวหนัง ใบตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำมันมะพราวใหม่ๆ นำไปลนไฟ ทารักษาแผลพุพอง
ราก - รักษาหลอดลมอักเสบ ฝนกินแก้ร้อนใน เสียดท้อง
ญาติของดอกใะลิคือ ดอกแก้ว ดอกพุด ดอกปีบ ดอกชำมะนาด

ทั่นยาย
07-29-2011, 01:30 PM
ในประเทศไทย มีมะลิ (Jasminum) อยู่ 35 ชนิด (species) 7 สายพันธุ์(subspecies) และ 4 กลุ่ม (varieties)
หรือเรียกง่ายๆ ว่ามีอยู่รวม40 ชนิด ได้แก่
1. J. adenophyllum Wall. ex C.B.Clarke มะลิวัลย์ (ภาคเหนือเรียกผักแส้ว)
2. J. annamense Wernham subsp.annamense ไกรกรัน
3. J. annamense Wernham subsp.kerrii (Bhatnagar) P.S. Green มะลิหมอคาร์
4. J. anodontum Gagnep. ไส้ไก่ (คนทั่วไปเรียกไส้ไก่ก้านแดง)
5. J. attenuatum Roxb. ex G. Donมะลิเถา
6. J. auriculatum Vahl พุทธชาด
7. J. calcicola Kerr เสี้ยวต้น
8. J. coarctatum Roxb. var. coarcta-tum เครือหนามข้อ
9. J. coarctatum Roxb. var. vanprukii(Craib) P.S. Green มะลิป่า
10. J. cordatum Ridl. มะลิช้าง
11. J. craibianum Kerr มะลิเครบ (คนทั่วไปเรียกมะลิขน)•• ภาพที่ 3. เขี้ยวงูเล็ก มะลิที่มีต้นขนาดเล็ก แต่มีดอกกลิ่นหอมแรงภาพที่ 4. มะลิสยาม มีดอกขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับต้นที่มีขนาดเล็กภาพที่ 5. มะลุลี คนไทยชอบปลูกเนื่องจากมีช่อดอกใหญ่
12. J. decipiens P.S. Green มะลิภูหลวง
13. J. decussatum Wall. ex G. Don มะลิเขี้ยวงู
14. J. dispermum Wall. subsp. for-restianum(Kobuski) P. S. Green มะลิดอย
15. J. elongatum (Bergius) Willd.มะลิไส้ไก่
16. J. extensumWall. ex G. Don มะลิเอกา
17. J. flexile Vahl มะลิแม่แตง
18. J. funale Decne. subsp. funaleไส้ไก่ (หรือไส้ไก่ใบมัน)
19. J. funale Decne. subsp. soote-pense (Craib) P.S. Green มะลินก20. J. grandiflorum (L.) Kobuskiสถาน
21. J. harmandianum Gagnep. ไส้ไก่
22. J. kedahense (King & Gamble)Ridl. มะลิใบเรียว
23. J. lanceolaria Roxb. subsp. lan-ceolaria มะลิวัลย์ (หรือมะลิวัลย์เล็ก)
24. J. lanceolaria Roxb. subsp. scor-techinii (King & Gamble) P.S. Greenมะลิวัลย์น้อย
25. J. latipetalum C. B. Clarke มะลิเหลี่ยม
26. J. laurifolium Roxb. var.laurifolium มะลิลอ
27. J. laurifoliumRoxb. var. brachylo-bum Kurz มะลิระบำ
28. J. maingayi C.B. Clarke มะลิปูน
29. J. multiflorum(Burm.f.) Andr. มะลิซ่อม (คนทั่วไปเรียกมะลุลี)
30. J. nervosum Lour. เขี้ยวงูเล็ก
31. J. nobile C.B. Clarke ปันหยี
32. J. perrisanthumP.S. Green มะลิภูคา
33. J. pierreanum Gagnep. มะลิปี
34. J. rambayense Kuntze มะลิรำ
35. J. sambac (L.) Aiton มะลิลา, มะลิฉัตร, มะลิถอด, มะลิพิกุล, มะลิซ้อน
36. J. scandens (Retz.) Vahl เสี้ยวผี
37. J. siamense Craib มะลิวัลย์เถา(คนทั่วไปเรียกมะลิสยาม)
38. J. stellipilum Kerr มะลิหลังสวน
39. J. syringifolium Wall. ex G. Donเขี้ยวงู (คนทั่วไปเรียกเขี้ยวงูแหลม)
40. J. undulatum Ker Gawl. มะลิเลี่ยม

สำหรับรายชื่อมะลิที่มีอยู่ในประเทศไทยทั้ง 40 ชนิด เป็นมะลิที่มาจากต่างประเทศ 2 ชนิด คือ ชนิดที่ 20 และ 35 เท่ากับว่า ที่เหลือ 38ชนิด เป็นมะลิพื้นเมืองของไทยชื่อมะลิพื้นเมืองซ้ำกันอยู่และยังสับสนมะลิพื้นเมืองทั้งหมดมีดอกสีขาว มีกลีบดอกแหลมๆ ขึ้นกระจายอยู่ทั่วประเทศ

ทั่นยาย
07-29-2011, 01:32 PM
http://www.magnoliathailand.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=1470.0;attach=15740;image

http://www.magnoliathailand.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=1470.0;attach=15742;image

http://www.magnoliathailand.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=1470.0;attach=16658;image
มะลิต้น
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Diospyros brandisiana
ชื่อพื้นเมือง สาวตะกั่วป่า

มะลิต้น หรือ “สาวตะกั่วป่า” เป็นไม้ ยืนต้น สูง 3-5 เมตร เปลือกต้นหนา
ผิวเปลือกเป็นตะปุ่มตะปํ่าสีน้ำตาลเข้มถึงเกือบดำถ้าขึ้นในที่ชื้นจัด
ผิวเปลือกจะมีมอสสีเขียวจับทั่วลำต้น กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลปกคลุม
กิ่งแขนงแตกเป็นพุ่มแผ่เป็นทรงกลม ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ
รูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายแหลมโคนใบสอบ หน้าใบสีเขียวอ่อน
ใบดกและหนาแน่นมาก
ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามโคนต้นและลำต้นเรื่อยไปจนถึงกิ่งก้าน
แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยเป็นกลุ่มๆ 3-5 ดอก ลักษณะดอก
มีกลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน แยกเป็นแฉก 5 แฉก ดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด
ยาวประมาณ 1-1.5 ซม. ปลายแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ ดูคล้ายดอกมะลิมาก
ผู้ขยายพันธุ์ขาย จึงเรียกว่า “มะลิต้น” ดอกเมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5-2 ซม. ดอกเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ใจกลางดอกมีเกสรตัวผู้สีเขียวอ่อนเป็นกระจุก 1 อัน ดอกมีกลิ่นหอมแรงและหอมไกลเวลามีดอกดกๆและดอกบานพร้อมกัน จะดูสวยงามแปลกตาและส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ประทับใจมาก
ดอกออกได้เรื่อยๆหรือออกตลอดปี ตามลำต้นและกิ่งก้านจะมีตุ่ม ดอกโผล่ให้เห็นกระจายทั่วลำต้น ซึ่งพอดอกชุดแรกบาน และโรยไปดอกชุดใหม่จะบานขึ้นมาแทนที่ทันทีทำให้มีดอกสวยงาม และส่งกลิ่นหอมไม่ขาดต้น ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่งและทาบกิ่ง
การปลูก “มะลิต้น” หรือ “สาวตะกั่วป่า” เติบโตได้ในดินทั่วไป ไม่ชอบแดดจัด ชอบที่รำไรและชอบความชื้นสูง เหมาะจะปลูกเป็นไม้ประดับในบริเวณบ้าน หลังปลูกรดน้ำพอชุ่มเช้าเย็น บำรุงปุ๋ยมูลสัตว์จำพวกขี้วัว หรือขี้ควายแห้ง โรยกลบฝังดินรอบโคนต้นสม่ำเสมอ 15 วันครั้ง จะทำให้เติบโตเร็ว มีดอกดก สวยงามและส่งกลิ่นหอมกระจายเป็นที่ชื่นใจยิ่ง

ข้อมูลจากหนังสือนายเกษตรเล่ม 2

http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/files/plants/309/jasmrambOLEAC001flw1_resize.jpg



มะลิซาไก
ชื่ออื่น มะลิรำ



ชื่อวงศ์ OLEACEAE





ลักษณะวิสัย
ไม้พุ่มกึ่งเลื้อย สูงได้ถึง 2 เมตร



ลักษณะใบ
ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปวงรี รูปขอบขนาน หรือรูปไข่ ท้องใบมีต่อมขนสีน้ำตาลบริเวณซอกเส้นใบ



ลักษณะดอก
ดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อย 7-13 ดอก กลีบดอกสีขาว เชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว



ลักษณะผล
ที่พบในประเทศไทยยังไม่ติดผล



สรรพคุณ
ยาพื้นบ้านใช้ รากสดหรือแห้ง 2 ราก กินวันละ 2 ครั้ง เป็นยาคุมกำเนิดในสตรี

ทั่นยาย
08-04-2011, 05:22 PM
http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/4-4.jpg

ดอกมะลิมีความแตกต่างไปจากดอกไม้ชนิดอื่น เมื่อได้กลิ่นหอมของดอกมะลิแล้ว
จะรู้สึกชื่นใจมาก จึงมักจะนำดอกมะลิมาใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบ เช่น
เก็บดอกมาร้อยเป็นพวงมาลัย ทำดอกไม้แห้ง ประดับพานพุ่มบูชาพระ ทำพวงหรีด
ใช้ดอกมาอบขนมหรือโรยหน้าบนน้ำเชื่อมและน้ำดื่มให้มีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ

http://news.nipa.co.th/image/manager/img500/172252_553000007648601.JPEG

มะลิ สามารถนำดอกมาสกัดทำน้ำมันหอมระเหย (absolute)
น้ำมันหอมระเหยจากดอกมะลิจัดเป็นน้ำมันหอมระเหยที่มีราคาแพงในตลาดของโลก

http://i135.photobucket.com/albums/q159/tunyay/yay4/3-1.jpg
http://aum43336.files.wordpress.com/2010/12/12286130862.gif?w=300&h=295
การขยายพันธุ์
มะลิเป็นไม้ที่ชอบแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง ต้องการน้ำปานกลาง ปลูกในดินร่วนซุยขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง หรือปักชำ

http://http//2.bp.blogspot.com/_BwK7IvZDha0/TDWszzxfORI/AAAAAAAAAW0/4aJ-47lz-a8/s1600/doogarden45.blogspot.jpg

มะลิบางสายพันธุ์ก็มีผลทรงกลม เป็นผลคู่ ผลอ่อนจะเป็นสีเขียว ผลแก่จัดจะเป็นสีดำ

http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/31-1.jpg
http://i130.photobucket.com/albums/p258/tunyai/tunyai3/e4289c9b.jpg


สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา
ดอก -แก้หืด ใช้แต่งกลิ่นใบชา ใช้อบขนมต่างๆ
ใบ ราก - ทำยาหยอดตา
ใบ - แก้ไข้ ขับน้ำนม รักษาโรดผิวหนัง ใบตำให้ละเอียดผสมกับน้ำมันมะพร้าวใหม่ๆ
นำไปลนไฟ ทารักษาแผลพุพอง
ราก - รักษาหลอดลมอักเสบ ฝนกินแก้ร้อนใน เสียดท้อง

ทั่นยาย
08-04-2011, 05:37 PM
http://image.dek-d.com/13/1221157/13606726

6 ต้นไม้ประจำวันของผู้ที่เกิดวันศุกร์

คนเกิดวันศุกร์มักมีบุคลิกดี มีปากเป็นเอก คือพูดจาหวาน ช่างยกยอเอาอกเอาใจ ปลอบประโลมคนเก่ง
วัยเยาว์มักอาภัพมีญาติก็เหมือนไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่จะกำพร้าบิดาตั้งแต่เล็ก เป็นคนรักสวยรักงาม ชอบความหรูหรา
ชอบแต่งตัวแต่แต่งไม่ขึ้นนัก มักนิยมของงามของหรูหราโอ่อ่า แต่เป็นไปในทางสมถะ เป็นคนขี้น้อยใจ
จิตใจดี มีน้ำใจเมตตาต่อผู้อื่น ไม่เคยคิดแค้นใคร ชอบพูดจากอ่อนน้อมถ่อมตน
แต่เมื่อโกรธแล้วปากร้ายพูดให้คนเกลียดได้ มีความรู้ความสามารถโดดเด่น รักเพื่อนฝูง มีน้ำใจเมตตากรุณา
ทำคุณคนไม่ขึ้น ไม่ทะเยอทะยาน ชอบชีวิตสุขสงบ มั่นคง ปลอดภัย ไม่นิยมเสี่ยงโชค
คนเกิดวันศุกร์มักมีชีวิตพัวพันอยู่กับความรัก ให้ความสำคัญกับความรัก และคนรักมากเป็นพิเศษ
เป็นคนโรแมนติก แต่ก็มักไม่สมหวังในความรัก
ชะตาชีวิตมักถูกคนรอบข้างเบียดเบียนพึ่งพาอาศัย แต่ตัวเองก็ยินดีช่วย ต้องทำงานที่ใช้พรสวรรค์
จะได้ดีกว่าทางที่เล่าเรียนมา จะอาภัพคู่ครอง เป็นคนเจ้าชู้หมกมุ่นในโลกีย์ โดยทั่วไปมักไม่ตกยาก
เพราะมีความรู้ดีและมีผู้ใหญ่ให้ความเอ็นดูอยู่เสมอให้ระวังเรื่องความใจอ่อน และไม่ควรวางใจใครง่ายๆ

ไม้มงคลสำหรับคนเกิดวันศุกร์ มีดังนี้
ต้นไม้ประจำวันเกิด สีของวันศุกร์ คือสีฟ้า แต่ไม้มงคลสำหรับคนที่เกิดวันศุกร์คือไม้ที่มีดอกสีชมพู หรือแดง
เป็นดอกไม้ที่ต้องโฉลกสร้างความเป็นสิริมงคล ความเจริญ รุ่งเรือง ให้คนที่เกิดวันศุกร์เป็น อย่างมาก
เช่น โป๊ยเซียน ชงโค เล็บมือนาง ยี่เข่ง และชวนชม
กุหลาบ ควรเป็นกุหลาบแดง หรือชมพู หากนำมาปลูกเลี้ยงไว้จะทำให้เกิดความสง่างาม ภาคภูมิ
อัญชัน นั้นให้คุณด้านการประสบความสำเร็จในชีวิต
เข็ม หากปลูกเข็มไม่ว่าจะสีแดงหรือชมพูไว้ในบ้าน จะทำให้ชีวิตก้าวหน้าไปด้วยดี
ชบา เป็นไม้ที่เป็นสิริมงคลของคนเกิดวันศุกร์ จะสีแดงหรือชมพูก็ดีทั้งสิ้น
โกสน นั้นพ้องกับคำว่า กุศล จึงเชื่อว่า คือการสร้างบุญ คุณงามความดี ช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข
โป๊ยเซียน ควรปลูกที่ดอกสีแดงหรือชมพู โป๊ยเซียนนั้นจะนำโชคลาภมาให้กับผู้ปลูก

http://www.siamadenium.com/Large%20Caudex/large/Adenium%20Rootstock/Adenium-Rootstock3-A.jpg

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Adenium obesum (Forssk.) Roem. & Schult.
ชื่อวงศ์ : Apocynaceae
ชื่อสามัญ : Desert rose, Mock Azalea, Pinkbignonia, Impala lily
ชื่อพื้นเมือง : ชวนชม, ลั่นทมยะวา ภาษาจีนเรียกว่า Chilean Jasmine

http://www.cactusjungle.com/blog/wp-content/uploads/2010/06/adenium_obesum_thai_hybrid.jpg

ประวัติดอก ลั่นทมยะวา หรือ ชวนชม

ชวนชม เป็นพรรณไม้ที่มีสีสันของดอกสวยงามสะดุดตามีรูปทรงของต้นไม้และกิ่งก้าน
ที่สวยงามและอ่อนช้อยและนุ่มนวลเป็นไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย ทนต่อสภาพอากาศแห้งแล้งได้ดี
จึงได้ชื่อว่า กุหลาบทะเลทราย (Desert Rose) นอกจากนี้ชวนชมยังเป็นชื่อที่มีความไพเราะ
เป็นศิริมงคลตามความเชื่อของคนไทย แม้แต่ชาวจีน ซึ่งเรียกชวนชมว่า “ปู้กุ้ยฮวย” หรือ
ดอกไม้แห่งความร่ำรวยก็ยังมีความหมายไปในทิศทางศิริมงคลเช่นกัน

ถิ่นกำเนิดของชวนชมมีการค้นพบครั้งแรกโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ P. Forskal
ทางภาคตะวันออกของทวีปแอฟริกาแถบประเทศแทนซาเนียและเคนย่า ในปี พ.ศ. 2305
แต่ตอนนั้นเชื่อว่าเป็นเพียงดอกลั่นทมพันธุ์ใหม่
ต่อมาปี พ.ศ. 2357 นายโจเซฟ ออกัสต์ ซูลตส์ ( Josef August Schultes )
นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ได้อธิบายความแตกต่างระหว่างชวนชมกับลั่นทม
จนเป็นที่ยอมรับ ส่วนในประเทศไทย ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าผู้ใดนำเข้ามา และนำเข้ามาเมื่อไร
แต่มีการพบชวนชมตั้งแต่ประมาณสมัยรัชกาลที่ 6 มีแต่ข้อสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นไม้นำเข้า
จากอินโดนีเซียหรือชวา เพราะแต่เดิมเคยเรียกว่า "ลั่นทมยะวา" ชื่อลั่นทม อาจจะเรียกตามความเข้าใจ
ของคนในสมัยนั้น ที่คิดว่าชวนชมอยู่ในสกุลเดียวกับลั่นทมเพราะมีดอกคล้ายกัน
ส่วนคำว่ายะวา ภาษาอินโดนีเซียแปลว่า ชวา ตามความเป็นจริงแล้วชวนชมก็ไม่ใช่ไม้พื้นเมืองของชวา
แต่อาจจะนำเข้ามาจากเนเธอร์แลนด์ เพราะครั้งนั้นชวาถูกปกครองโดยชาวดัชต์อยู่ ซึ่งขึ้นชื่อว่า
เป็นกลุ่มของนักสะสมรวบรวมพันธุ์ไม้ทั่วโลกที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะถิ่นเดิมชวนชมอยู่ในแอฟริกา

http://www.thailandinone.com/dotcom/images/relate/desertrose/obesum/flowers/020b_fragrant_delight_ch.jpg

"พระนางเธอลักษมีลาวัณ ในรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนชื่อโดยตามความเหมาะสม
มีความรู้สึกที่ดีเป็น "ชวนชม" ต้องตามลักษณะของต้นไม้ในสมัยเดียวกันนั้นเอง"

http://www.bloggang.com/data/rakdee/picture/1268051336.jpg

ลักษณะทั่วไป (Characteristic) : ชวนชมเป็นพืชที่มีเนื้อเยื่ออ่อน เปลือกของลำต้นบาง
ต้นและกิ่งก้านกลม มียางใส จัดเป็นพืชในวงศ์ Apocynaceae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับลั่นทม
พืชในวงศ์นี้มีมากมายถึง 300 สกุลและมากกว่า 1,300 ชนิด มีทั้งไม้ล้มลุก ไม้เลื้อย ไม้พุ่มและไม้ยืนต้น

ชวนชมเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกา มีหลายชื่อ เช่น Pink Bignonia, Mock Azalea ,
Desert Rose , Impala Lily , Kudu Lily และ Sabi Star

http://farm3.static.flickr.com/2400/2444171325_778b264d95.jpg

ลำต้น เป็นไม้เนื้ออ่อน อวบน้ำ บิดงอไปตามจังหวะ แตกกิ่งก้านสาขาน้อย รูปทรงโปร่ง
ต้นและกิ่งเป็นลำกลม ผิวค่อนข้างเรียบ เปลือกบางสีเขียวอมเทา ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางใส
แตกกิ่งก้านไม่เป็นระเบียบ ส่วนโคนของลำต้นพองออกมีขนาดรูปทรงใหญ่เล็กแตกต่างกันออกไป
เรียกว่า “ โขด ” มีไว้สำหรับเก็บน้ำเพื่อรักษาสมดุลของต้น

http://www.rakbankerd.com/kaset/Plant/2737_1.jpg

โขด ของชวนชมคือรากที่ใช้สะสมอาหาร เช่นเดียวกับ เผือก มัน หรือพืชที่มีหัวทั่วไป
มีลักษณะบวมออกเป็นหัวขนาดใหญ่อยู่ใต้ดินหรือโผล่ขึ้นเหนือดินมีรูปทรงแตกต่างกันไป

ใบ (Foliage) : เป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับรอบกิ่งคล้ายกังหันหลายๆชั้น และออกหนาแน่นตามปลายกิ่ง
ใบของชวนชมมีหลายลักษณะแตกต่างกันขึ้นกับสายพันธุ์ เช่น ใบรูปไข่ ใบรูปหอก
ปลายใบมีทั้งเว้า มน แหลมและใบตัด ขอบใบเรียบหยักหรือเป็นคลื่น
แผ่นใบหนาแข็งเขียวเข้มเป็นมันหรือบางพันธุ์มีขนนุ่มคล้ายกำมะหยี่ที่ใต้ท้องใบ มีขนาดใหญ่และเล็กแตกต่างกันไป

ดอก (Flower) : มีหลายสี ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะที่ปลายกิ่ง ดอกรูปแตร กลีบดอก โคนกลีบดอกเชื่อมติด
กันเป็นหลอด ภายในหลอดมีสีเหลือง ปลายแยก 5 กลีบ โคนกลีบดอกมีฐานรองดอกเป็นแฉกเล็กๆสีเขียว
ดอกบานเต็มที่กว้าง 3-4 เซนติเมตร

ผล (Fruit) : ผลแห้งแตก เป็นฝักคู่ รูปยาวรี

การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) : นิยมปลูกลงกระถาง เป็นไม้ประธานสวนหย่อม
เหมาะกับสวนกรวด ปลูกริมถนน ริมสระว่ายน้ำ ริมทะเล ให้ดอกดกและสีสดสวยงาม
มีหลายพันธุ์ ทนแล้ง ไม่ทนน้ำท่วมขัง ยางมีพิษ

http://nurbanyureni.com/images/5.jpg

ทั่นยาย
08-04-2011, 05:39 PM
http://www.exot-nutz-zier.de/images/prod_images/Adenium_obesum_Grumbley_White.jpg
http://plumeria2u.co.uk/images/Adenium%20Obesum%20White%20Angel.jpg
http://www.adeniumstore.com/images/Adenium%20Obesum%20White%20Knight%20Seeds.png
http://www.adeniumstore.com/images/Adenium%20Obesum%20Double%20Violet.png
http://cdn3.iofferphoto.com/img/item/192/237/950/adenium-obesum-sapphire-fresh-viable-50-seeds-f1e3c.jpg
http://www.thaiadenium.com/Rosy-Adeniums/images/release_now/large/Rosy-Adenium3.jpg
http://www.thaiadenium.com/Rosy-Adeniums/images/release_now/large/Rosy-Adenium2.jpg
http://www.siamadenium.com/images/May%202010/large/New_Rosy_Adenium1.jpg
http://www.siamadenium.com/images/May%202010/large/New_Rosy_Adenium.jpg
http://www.siamadenium.com/2007/2007/80x60/large/harrypotter.jpg
http://www.siamadenium.com/images/May%202010/large/Madam_Pink3-(2).jpg
http://www.siamadenium.com/2007/2007/80x60/large/Fragrant-Delight.jpg
http://www.siamadenium.com/2007/2010/large/Yellow-Dream-Comes-True.jpg
http://www.siamadenium.com/2007/2007/80x60/large/Muang-Hawaii.jpg
http://www.siamadenium.com/2007/2009/large/CC/large/my-yellow-dream.jpg

ทั่นยาย
06-03-2013, 04:10 PM
อ้าวผิดคิวซะงั้น 55