orchid
09-07-2010, 02:28 PM
ชีวประวัติพระบวรปริยัติวิธาน
วิถีชีวิตของข้าพเจ้านับตั้งแต่เป็นเด็กมาจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๔๐) เริ่มแต่เป็นเด็กรู้เดียงสามา ข้าพเจ้าไม่เคยสร้างศัตรูให้แก่ตัวเอง ถ้าหากว่าเพื่อนๆ ไม่พอใจในเรื่องอะไร ข้าพเจ้าจะรีบขอโทษทันที ข้าพเจ้าเคารพเพื่อน รักเพื่อนทั้งชายและหญิง เวลาเล่น ส่วนมากก็ชอบเล่นกับผู้หญิง จนเพื่อนๆ ล้อเลียนข้าพเจ้าว่าเป็นคนแม่ (นิสัยเหมือนผู้หญิง)
ในบรรดาเพื่อนจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม พวกเขาจะรักข้าพเจ้ามาก มีอะไรก็แบ่งสรรปันส่วนเฉลี่ยเจือจานกัน ส่วนมากข้าพเจ้าจะทำงานผู้หญิง เช่น ตำข้าว เก็บฟืน หาอาหาร ปั่นฝ้าย ทอไหม เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแม่มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ประกอบกับข้าพเจ้าเป็นบุตรคนโต จึงได้ทำงานช่วยแม่ นอกจากนี้สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะรักข้าพเจ้ามาก มีอะไรก็อยากจะให้ อยากจะสอน มีวิชาอาคมขลัง ก็อยากจะสอนให้ บางท่านก็สอนให้ และก็นำมาใช้ได้ตามที่ท่านสอน
ข้าพเจ้าแม้จะตัวเล็ก แต่ก็มีความคิดคล้ายผู้ใหญ่ มีอะไรๆ เกิดขึ้นเพื่อนๆ ก็เลือกให้เป็นหัวหน้า ด้วยเหตุนี้ชีวิตของข้าพเจ้าจึงไม่ว้าเหว่ ไม่มีปมด้อย ได้รับความอบอุ่นจากเพื่อนๆ ตลอดถึงผู้เฒ่าผู้แก่เป็นอย่างดีเสมอมา
เมื่ออายุครบเกณฑ์เข้าโรงเรียน ข้าพเจ้าก็ได้เข้าเรียนเหมือนเด็กชาวบ้านทั่วไป เมื่อเข้าโรงเรียนจะด้วยบารมีหรือเหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่จะเดา นับแต่ชั้นมูลขึ้นไป คณะครูอาจารย์ภายในโรงเรียนตลอดนักเรียน ทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่และรุ่นเดียวกัน ส่วนมากจะรักข้าพเจ้ามาก จนจบชั้นมูลแล้ว ก็ได้เลื่อนชั้นขึ้น ป.๑ และขึ้น ป.๒ ขณะเรียนอยู่ในชั้น ป.๒ นั้นคณะครูอาจารย์และนักเรียนได้ประชุมกันคัดเลือกนักเรียนผู้สมควรเป็นหัวหน้าในโรงเรียน ข้าพเจ้าได้ถูกคัดเลือกให้เป็นหัวหน้านักเรียน โดยไม่มีใครคัดค้านแม้แต่คนเดียว ข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่หัวหน้านักเรียนในโรงเรียน ตั้งแต่วันนั้นมาจนเรียนจบ และออกจากโรงเรียน
บัดนี้ ขอวกมาอีกฉากหนึ่ง ซึ่งเห็นว่าสมควรเขียนลงในประวัติ ถึงแม้ว่าไม่มีสาระน่ารู้ ก็อาจจะทำให้ผู้อ่านเบื่อเซ็งและหมั่นไส้ได้ เพราะเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ ไม่ใช่วิสัยของข้าพเจ้า ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าและข้าพเจ้าก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น
แต่ถึงอย่างไรก็ขอร้องท่านผู้อ่านได้ทำใจให้เป็นกลางๆ อย่าเพิ่งเชื่อและอย่าเพิ่งปฏิเสธ ขอให้อุเบกขา อย่าให้อกุศลจิตหรือกุศลจิตเกิดขึ้น ขอได้กรุณาใช้วิจารณญาณตัดสินเอาเอง เพราะเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ เขียนตามคำขอร้องศิษยานุศิษย์ ที่ตกลงกันในที่ประชุมในต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในที่ประชุม เพราะเดินทางไปเยี่ยมศิษยานุศิษย์ และญาติโยมทางปักษ์ใต้พร้อมด้วยคณะเป็นเวลา ๑๓ วัน เมื่อกลับมาได้อ่านดูมติที่ประชุม เกิดอึดอัดใจมากเพราะเป็นเรื่องที่ไม่อยากเขียน เหตุว่า เป็นดาบสองคม เป็นทั้งบุญและบาป เป็นเรื่องหมั่นไส้ บางท่านก็จะตัดสินเอาว่า ข้าพเจ้าอวดอุตตริมนุสธรรม
แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงนี้แล้ว จะกลืนก็ไม่เข้า จะคลายก็ไม่ออก จำต้องทำตามมติที่ประชุม ที่ตกลงกันไว้แล้ว หากเรื่องอกุศลจิตหรือบาปกรรม อันจะพึงเกิดแก่ท่านผู้อ่านด้วยประการใดหรือประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมรับเอาด้วยตนเองทั้งหมด
ก่อนอื่นก็ขอทำความเข้าใจว่า ชีวประวัตินี้ ไม่ได้มีเจตนาเขียนเพื่อที่จะอวด แต่เขียนไว้เพื่อท่านผู้อ่านทั้งหลายจะได้ศึกษา และจะเขียนตามความเป็นจริงที่สุด จำเป็นที่สุด สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อให้ประวัติสมบูรณ์บ้างไม่มากก็น้อย ข้าพเจ้าขอย้อนกลับไปเมื่อสมัยเด็ก ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลสัมมาทิฏฐิ (มารู้เอาเมื่อตอนบวชแล้ว) พ่อแม่และญาติต่างพอใจในการทำบุญทำทาน โยมพ่อ โยมลุงได้แนะนำให้ข้าพเจ้ายินดีในการให้ทาน เจริญเมตตา และสงสารผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น อย่าไปทะเลาะกับผู้อื่น ที่สอนนักสอนหนาก็คือ ไม่ให้กินเนื้อดิบ ไม่ให้กินปลาดิบ สอนไม่ให้ฆ่าสัตว์ ไม่ให้ลักขโมย สอนไม่ให้ล่วงเกินลูกสาวเขา สอนไม่ให้ตั๋ว (พูดเท็จ) สอนไม่ให้กินเหล้า (มารู้เมื่อบวชแล้ว) สอนให้เคารพอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ สอนให้ไหว้พระก่อนนอน สอนให้ขยันทำงาน คำสอนเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้ถือปฏิบัติมาโดยตลอด เพราะถ้าโยมพ่อ โยมลุง รู้ว่าข้าพเจ้าไม่ปฏิบัติตาม ก็จะถูกเอ็ดเอาทันที (ถูกต่อว่า)
ข้าพเจ้าจะเคารพและรักพระรักเณร มีใจผูกพันอยู่กับเณรมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะกระท่อมนาเป็นทางผ่านของพระเณร รูปนั้นผ่านไป รูปนี้ผ่านมา บ้างก็ให้ขนม บ้างก็ให้ของกิน บ้างก็ลูบหัว เป็นต้น เพราะความเคารพ ความรัก ความคุ้นเคยและความผูกพัน จึงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าอยากบวชตลอดเวลา อนึ่งโรงเรียนที่เรียนอยู่ในวัด เวลาหยุดพักก็ต้องกินข้าววัด ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวมา จึงทำให้ข้าพเจ้าอยากบวช พอออกโรงเรียนแล้วก็ขอพ่อแม่บวช แต่ท่านไม่อนุญาตเพราะเห็นว่ายังเด็กอยู่ โตกว่านี้ค่อยบวช
ประกอบกับโชคไม่เข้าข้าง ช่วงนี้พ่อพร้อมกับลุงอีก ๒ คน รวมเป็น ๓ พากันออกบวช แล้วจำวัดอยู่ถ้ำพวง ปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์วิเชียร เพราะสมัยนั้น พระอาจารย์วิเชียร (อาจารย์หลง) ท่านมีชื่อเสียงมาก แสดงธรรมเก่ง คนเล่าลือกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ หลังจากคณะของพ่อบวชได้ ๓ เดือน อาจารย์เกิดวิปลาส ใช้มีดโกนเชือดคอตัวเองแล้วเอาประคตเอวรัดคอตัวเองตาย ในท่านั่งกระโหย่งประนมมือ (ทำอัตตวินิบาต) ถูกทางตำรวจสอบสวน พ้นคดี พ่อและลุงทั้งสองก็ลาสิกขาเพราะหมดที่พึ่ง
เมื่อพ่อลาสิกขาออกมาประมาณ ๑ เดือน ท่านบอกและถามว่าจะให้บวชแล้วนะ จะบวชไหม ตอนนี้กลับไม่อยากบวชเสียแล้ว เพราะเกิดไปชอบผู้หญิง เหตุว่าวันๆ อยู่กับแต่ผู้หญิง ต้องเลี้ยงโค กระบือ เอาฟืน ตักน้ำ ตำข้าว หากิน เป็นต้น ตกกลางคืนก็ต้องตำข้าวกับเพื่อนผู้หญิง ๒ คนบ้าง ๓ คนบ้าง ๔ คนบ้าง กว่าจะแล้วเสร็จก็กินเวลา ๓ ทุ่มบ้าง ๔ ทุ่มบ้าง ค่อยกลับไปนอนกัน วันใหม่ก็ตำข้าวอีกเนื่องจากเป็นฤดูจะลงนา โรงสีก็ไม่มี ต้องตำข้าวตุนเอาไว้ อย่างน้อยคนละ ๑๐ กระสอบป่าน ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวนี้แล้วจึงไม่อยากบวช แต่จะทำอย่างไรได้ กลัวพ่อก็กลัว เคารพก็เคารพ เลยไม่กล้าขัดใจท่าน แต่ก็ขัดใจเรา แต่จะทำอย่างไร เพราะเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว จำเป็นต้องตัดสินใจบอกพ่อว่าบวช
ตื่นเช้าวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ พ่อพาไปบวชเป็นสามเณรที่วัดโพธิ์ศรีสว่าง บ้านตาแหลว ตำบลเจียด อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิด โดยมีพระครูภัทรกิจโกศล เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชแล้วได้กลับมาสังกัดอยู่วัดโคกสว่าง บ้านอีเติ่ง ตำบลเจียด อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นเวลา ๑ เดือนเศษ บวชแล้วได้รับการอบรมพระธรรมวินัย ใจยิ่งเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระธรรมยิ่งขึ้น ใกล้จะเข้าพรรษาได้ย้ายสังกัดไปอยู่วัดโพธิ์-ศรีสว่าง บ้านตาแหลว เพื่อศึกษาปริยัติธรรม เพราะในสมัยนั้นสำนักเรียนนักธรรมหายากมาก ตำบลหนึ่งก็จะมีเพียง ๑ สำนักเป็นอย่างมาก
ผลของการศึกษาปริยัติธรรมในพรรษา ไม่ค่อยก้าวหน้าคือไม่เข้าใจเท่าที่ควร ผลการสอบสนามหลวงออกมาปรากฏว่า ไม่ผ่าน พ.ศ. ๒๔๙๒ จึงได้ย้ายสังกัดไปอยู่วัดยางกระเดา ตำบลท่าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี การอยู่อาศัยในวัดนี้ได้รับการศึกษาดีพอสมควร และสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในปีนั้นเอง
พ.ศ. ๒๔๙๓ เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าได้เข้าไปนั่งสมาธิอยู่ในอุโบสถวัดยางกระเดานั่นเอง ได้เกิดปัญญาญาณขึ้นในดวงใจของข้าพเจ้าว่า การท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะสงสารของข้าพเจ้าชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย การเกิดครั้งนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้ายของข้าพเจ้า การบวชครั้งนี้เป็นการบวชครั้งสุดท้าย ข้าพเจ้าจะไม่ลาสิกขาเลย
นับตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าได้พยายามปฏิบัติพระกรรมฐานตามแต่โอกาสและเวลาจะเอื้ออำนวย ในส่วนที่เป็นกายาคตาสติ จากตำหรับตำราที่ได้เล่าเรียนมา โดยเฉพาะได้พิจารณาร่างกายอันเป็นอสุภะโสโครก น่าเกลียด เต็มไปด้วยของไม่สะอาด ปฏิกูลน่าเกลียดทั้งร่างของตนเองและผู้อื่น จนมีความสามารถแยกร่างกายออกเป็นกองๆ เป็นส่วนๆ ในอาการ ๓๒ จนบางครั้งคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย ข้าพเจ้าชำนาญในกรรมฐานบทนี้เป็นพิเศษ จึงเอาชนะรูปนามของเพศตรงข้ามได้
พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนในหลักสูตรนักธรรมชั้นโท ได้อ่านประวัติของพระพุทธเจ้าและประวัติของพระสาวกบ้าง ยิ่งทำให้เกิดปิติ เกิดปสาทะศรัทธาเพิ่มขึ้น เมื่อถึงคราวสอบ ข้าพเจ้าสามารถสอบผ่านได้นักธรรมชั้นโทในปีนั้น
พ.ศ. ๒๔๙๓ ข้าพเจ้าได้สมาทาน เอกาสนิกังคะธุดงค์ คือฉันหนเดียวตลอดไตรมาสพรรษา ๓ เดือน
พ.ศ. ๒๔๙๔ หลวงพ่อพระครูวัตตกิจอาทร เจ้าอาวาสวัดยางกระเดา และเจ้าคณะตำบลท่าเมือง ได้ถึงแก่มรณภาพ ก่อนท่านจะมรณภาพประมาณ ๑ เดือน ทางวัดและชาวบ้านยางกระเดา ได้จัดงานประเพณีบุญเดือน ๖ หลวงพ่อท่านได้ทำบั้งไฟไว้หลายบั้ง แต่บั้งที่ใหญ่หน่อยมีอยู่ ๒ บั้ง บั้งที่ ๑ หมดดินประสิว ๖ หมื่น บั้งที่ ๒ หมดดินประสิว ๑๐ กิโลกรัมแต่ไม่มีช่าง ข้าพเจ้าเลยรับเป็นช่างเอง ตอนเช้าถึงเวลาจุดบูชา ประชาชนมาพร้อมกัน ข้าพเจ้าเอาบั้งที่หนัก ๖ หมื่นขึ้นจุดบูชา ไม่มีปัญหาเพราะบั้งไฟขึ้นสมใจที่ตั้งไว้ แต่มีปัญหาบั้งสุดท้าย ที่หนัก ๑๐ กิโลกรัมนั้น ไม่มีใครกล้าจุด แม้แต่คนเดียว ตกลงข้าพเจ้าขึ้นจุดเอง สมัยนั้นบั้งไฟจุดหม่อม คือชะนวนจะอยู่ข้างบนตัวบั้งไฟ ข้าพเจ้าใช้กระใต้ (กระบอง) จุดไปที่ชะนวน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ออกห่างไปจากบั้งไฟ ระยะห่างจากบั้งไฟกับตัวข้าพเจ้าห่างกันเพียงช่วงแขนเดียวเท่านั้น ทันใดนั้นบั้งไฟก็ระเบิดขึ้นทันที และระเบิดอยู่กับที่ ยังไม่ได้เคลื่อนออกไปจากฐานเลย ควันไฟคลุ้งตลบไปหมด ข้าพเจ้ามองลงมาข้างล่างก็ไม่เห็นผู้คน คนที่อยู่ข้างล่างก็มองขึ้นไปไม่เห็นข้าพเจ้า ได้ยินเสียงคนร้องระงมไปหมดว่าเณรเฮืองตายแล้ว เณรเฮืองตายแล้ว ในขณะที่จุดบั้งไฟอยู่นั้น ข้าพเจ้าไม่ได้ตกใจ ในขณะบั้งไฟระเบิด ข้าพเจ้าก็ไม่ตกใจ และในช่วงที่บั้งไฟระเบิดเป็นประกายไฟลุกท่วมตัวข้าพเจ้า แทนที่จะร้อน กลับรู้สึกเย็นเหมือนถูกพัดลมเป่า เมื่อสร่างควันแล้วจึงมองเห็นคนและบันได ข้าพเจ้าก็ลงบันได พอไปถึงพื้นเท่านั้นผู้คนก็กรูกันเข้ามาถามว่า เป็นอย่างไรๆ ข้าพเจ้าตอบเพียงคำเดียวว่า ”เย็น” เล่นเอาคนทั้งหลายตกตะลึง พอพากันหายจากการตกตะลึงต่างก็หลีกไปเล่นงานบุญตามปกติ
สำหรับตัวของข้าพเจ้านั้น ดำปานตอตะโก ผ้าสบง ผ้าอังสะ ดำหมด ใช้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่ แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ตลอดทั้งวันข้าพเจ้ารู้สึกเย็นทั้งใจ ทั้งกาย ตามร่างกายแต่ละจุดหาพุพองเท่าเมล็ดงาก็ไม่มี เส้นผม ขนคิ้ว ขนตาและขนตามร่างกาย แม้แต่ขนเดียวก็ไม่ไหม้ อันนี้ก็เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างซึ่งเกิดกับข้าพเจ้าสมัยนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เป็นแต่คิดว่า เออ! อันนี้ก็เป็นอำนาจของเมตตาธรรมอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญมา
พ.ศ. ๒๔๙๔ หลังจากเสร็จงานฌาปนกิจศพหลวงพ่อเจ้าอาวาสแล้ว ข้าพเจ้าได้ย้ายสังกัดไปอยู่วัดท่าบ่อแบง ตำบลขามเปี้ย อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานีเพื่อเรียนบาลี โดยมีท่านพระอาจารย์ไฟ จนฺทสาโร เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าเป็นครูสอนปริยัติธรรม ตลอดถึงงานก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวัด
พ.ศ. ๒๔๙๖ ข้าพเจ้ามีอายุครบบวชพระ โยมพ่อโยมแม่และญาติได้นำมาบวชพระที่บ้านเดิม และได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๖ ณ อุโบสถวัดโพธิ์ศรี ตำบลขามป้อม อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีท่านพระครูภัทรกิจโกศล เจ้าคณะอำเภอเขมราฐ เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการชา โชตโก เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอธิการประดิษฐ์ เขมวีโร เป็นอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า วิสารโท เมื่ออุปสมบทแล้วก็ได้กลับไปอยู่วัดท่าบ่อแบงอีก
พ.ศ. ๒๔๙๖ หลังจากบวชพระแล้ว ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญพรตอีก คือฉันวันละครั้งบ้าง ฉันครั้งละ ๗ คำบ้าง บำเพ็ญอยู่ ๕ เดือน จนร่างกายผ่ายผอม ความจำเสื่อม หมอได้ขอร้องให้เลิก ถ้าไม่เลิก จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ข้าพเจ้าฝ่าฝืนคำหมอสั่งอยู่พักหนึ่ง อาการยิ่งทรุดลง จึงเลิกแล้วกลับมาฉันตามปกติ และในช่วง พ.ศ. ๒๔๙๖ นี้เอง จิตใจของข้าพเจ้าเริ่มหันเหหนักไปทางปฏิบัติ โดยมาคิดย้อนหลัง วันที่ไปทำสมาธิอยู่ที่อุโบสถวัดยางกระเดา ว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของข้าพเจ้า การบวชครั้งนี้ถือว่าเป็นการบวชครั้งสุดท้าย การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะสงสารของข้าพเจ้า จะจบลงในชาตินี้
แต่มาคิดอีกแง่หนึ่งว่า ข้าพเจ้ามีราคะกล้ามาก จะทำอย่างไรจึงจะเอาชนะมันได้ ถ้าเอาชนะมันไม่ได้เราก็บวชอยู่ต่อไปไม่ได้ ตกลงตัดสินใจปฏิบัติกรรมฐาน แต่เกิดความลังเลใจว่า เราจะปฏิบัติกรรมฐานได้อย่างไร เพราะถ้าอยู่กับเพื่อนก็ไม่สะดวก จะอยู่ป่าก็กลัวผี ตกลงตัดสินใจเข้าป่าช้าฝึกตัวเอง เผื่อว่าความกลัวผีจะได้หมดไป โชคดีในวัดมีป่าช้าและเป็นป่าที่รกด้วย สะดวกต่อการฝึกด้วย
วิธีฝึกวันแรก ๑๗.๐๐ น. เศษ ครองจีวรเสร็จแล้วเดินเข้าป่าช้า เดินจงกรม นั่งภาวนา จนดึกสงัด เห็นว่าความกลัวมันลดลงไปบ้าง แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล อธิษฐานจิต แล้วออกจากป่าช้า
เมื่อฝึกอยู่หลายวันเป็นที่พอใจแล้ว วันต่อไปก็เป็น ๑๘.๐๐ น., ๑๙.๐๐ น., ๒๐.๐๐น., ๒๑.๐๐น. แต่ละครั้งทำอยู่หลายวันจนเป็นที่พอใจวันสุดท้าย เวลา ๒๒.๐๐ น. พระภิกษุสามเณรตีระฆังสัญญาณจำวัดกันแล้ว เตรียมตัวครองผ้าเข้าป่าช้า พอเข้าไปถึงริมป่าช้า ได้ยินเสียงควายวิ่งฝ่าป่าทึบออกมา เสียงดังมาก เลยหยุดยืนฟังเสียงพร้อมกับพิจารณาในใจว่า เอ! ควายทำไมมันวิ่งเสียงดังมาก หน้านาแท้ๆ ทำไมเจ้าของไม่ผูกปล่อยปละละเลย มันจะไม่ไปกินข้าวในนาเขาหรือ พอมันวิ่งพ้นป่าออกมา เห็นตัวเท่าสุนัขตัวโตๆ พร้อมกับคิดว่า เอ! ทำไมสุนัขตัวเล็กๆ มันวิ่งเสียงดังเกินตัว ขณะที่ยืนคิดอยู่ ขาทั้งสองไม่ชิดกัน มันวิ่งผ่านช่องขาทั้งสองเข้าไปในหมู่บ้าน เสียงดังเหมือนม้าวิ่งแข่งกัน และฉุกคิดขึ้นมาอีกว่า เอ! สุนัขตัวเล็กๆ ทำไมมันวิ่งเสียงดังเหมือนม้าวิ่ง ยืนฟังอยู่จนเงียบเสียงจึงคิดว่า เออ! มันไปแล้วก็ดีเราเข้าป่าช้าดีกว่า กำลังจะเดินเข้าป่าช้า ได้ยินเสียงมันวิ่งกลับมาอีก ตอนนี้ยืนเอาขาชิดกันไว้ เผื่อว่าจะไม่ให้มันวิ่งลอดขาอีก พอวิ่งมาถึง มันวิ่งเฉียดขาข้างขวา เข้าป่าช้าเสียงก็เงียบไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลยคิดว่า เออ! มันไปก็ดีละ มันก็ไปทางของมัน เราก็ไปทางของเรา จึงได้เข้าไปถึงกลางป่าช้า เดินจงกรมแล้วก็นั่งภาวนา และก็ไม่มีอะไรมารบกวนอีกเลย
นับแต่วันนั้น เป็นต้นมา ก็เริ่มเจริญกรรมฐานในส่วนที่เป็นกายาคตาสติกรรมฐาน จนเกิดสติ สมาธิ ปัญญา สามารถมองเห็นความเป็นจริงของร่างกายและจิตใจ ทำความเพียรอยู่ประมาณ ๑ เดือน เกิดอุปกิเลสจิตอย่างแรงกล้า สามารถอธิบายธรรมะได้พิสดารกว้างขวางโดยเฉพาะเรื่องโมหะ นึกจะอธิบายอยู่ถึง ๑๐ วันก็ยังไม่รู้จบ ชวนะมันเกิดขึ้นตลอดเวลา คล้ายแตกฉานในอรรถ ในธรรม ในปฏิภาณ จนคิดว่าทำไมหนอจึงเป็นเช่นนี้ เราจะไม่เป็นบ้าไปหรือนี่ ถ้าจะไปหาอาจารย์กรรมฐานแก้อารมณ์ ก็ไม่มีอาจารย์อยู่แถวนั้น ตกลงกัดฟันอดทนต่อสู้กับสภาวะ จนสามารถเอาชนะได้
หลังจากอุปกิเลสสงบลง จิตเกิดพลัง หากว่ามีคนที่มีทิฏฐิมานะกล้าๆ มาสนทนา มาถามปัญหา เราอธิบายธรรมให้ฟังไม่ถึง ๕ นาที น้ำตาจะคลอเบ้าหรือร้องไห้ พร้อมกับพูดว่า เมื่อก่อนทำไมอาจารย์จึงไม่พูดให้ฟัง ผมหลงผิดไปมากแล้ว ต่อไปผมจะตั้งใจทำความดี
สมัยนั้น คล้ายกับว่าได้บรรลุธรรมแล้ว จนนึกว่าหลังจากสอบธรรมสนามหลวงแล้ว เราจะขึ้นไปบ้านโปรดโยมพ่อโยมแม่ จะใช้เวลาเทศน์สัก ๑๕ นาที ท่านจะได้รู้แจ้งธรรมะ แต่โชคไม่เข้าข้าง เพราะท่านพระอาจาย์ที่วัดได้บังคับให้พระภิกษุสามเณรดูหนังสือ เนื่องจากใกล้จะถึงวันสอบธรรมสนามหลวงแล้ว เลยเพลาๆ จากการปฏิบัติ สภาวะที่เกิดขึ้นก็ลดลงไปสมาธิก็เริ่มอ่อนกำลังลงตามลำดับ
พ.ศ. ๒๔๙๖ นั่นเอง ท่านพระอาจารย์ไพ จนฺทสาโร เจ้าอาวาสได้พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร และญาติโยมชาวบ้านสร้างสิมน้ำ (อุทกกุกเขปสีมาหรือโบสถ์น้ำ) ขนาดกว้าง ๔ เมตร ยาว ๖ เมตร สูง ๑๒ เมตร สร้างด้วยไม้โดยเอาเสาต่อกันขึ้นไป
วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าตอกไม้คอสอง ด้านกว้างอยู่ บังเอิญไม้ที่พาดอยู่ตอนนั้น เกิดพลัดตกลง ข้าพเจ้าก็พลอยตกลงไปด้วย โดยเอาศีรษะลงก่อน มือขวาถือเหล็กชะแลง มือซ้ายถือขวาน ขณะตกลงได้ยินเสียงครูอาจารย์พระสงฆ์สามเณรและญาติโยมที่อยู่ข้างล่าง ได้อุทานออกมาพร้อมกันว่า “ฮึ” แล้วก็เงียบเสียงทั้งหมด เหมือนถูกมนต์สะกด แต่ในเสี้ยววินาทีแห่งความตายนั้น ข้าพเจ้ามีใจปกติธรรมดา ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นใจ ไม่ตกใจ พร้อมกันนั้น ประโยคแรกที่จิตคิดได้ว่า เราตกลงไปนี้ ศีรษะของเราก็จะไปชนกับตอไม้ตะเคียนไฟไหม้ ไม้ที่นั่งอยู่ข้างบนนั้น ก็จะลอยตกตามลงไปกระทุ้ง ประโยคที่สองคิดว่า โอ้ เราเกิดมาชาตินี้ ตายไม่ได้สั่งพ่อสั่งแม่หนอ ประโยคที่สาม คิดถึงภาพยนตร์ ท่าเขากระโดดน้ำ ซึ่งหน่วยสอบธรรมสนามหลวงวัดมงคลใน บ้านเหล่าเสือโก๊ก ฉายให้ชมวันสุดท้ายของการสอบ พอนึกได้ข้าพเจ้าเอาแขนทั้งสองกวักอย่างแรง ทำให้ศีรษะหมุนกลับขึ้นข้างบน เท้าทั้งสองหมุนกลับลงข้างล่าง ตอนนี้รู้สึกตัวเบา ทำให้เพลินเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ พอตัวหมุนตรงได้ที่ เท้าทั้งสองก็ถึงพื้นพอดี พร้อมกับวิ่งออกจากตรงนั้น เพราะนึกได้ว่าไม้ตัวที่พาดอยู่ข้างบนจะตกลงมากระทุ้ง จริงอย่างนั้น พอข้าพเจ้าวิ่งออกมา ไม้ที่ตกจากข้างบนก็ตกลงมาแทนที่พอดี แต่โชคดีที่ร่างกายไม่เคล็ดขัดยอก ไม่ช้ำไม่บวม เนื่องจากตอนตกลงจะถึงพื้นนั้น มันรู้สึกนุ่มเหมือนสำลีตกลงมาจากอากาศ คณะครูอาจารย์พระสงฆ์ สามเณรและญาติโยมที่อยู่ข้างล่าง คงเห็นภาพประทับใจจนบอกไม่ถูก เห็นข้าพเจ้าไม่เป็นไร ต่างคนต่างได้เครื่องไม้เครื่องมือกลับวัด ส่วนพระอาจารย์เจ้าอาวาส เอาผ้าคลุมศีรษะกลับวัด ตามศิษย์และญาติโยม แต่แปลกคนทั้งหมดไม่มีใครพูดกัน แม้แต่ข้าพเจ้า ซึ่งตกลงจากที่สูงก็ไม่มีใครวิ่งมาหา และก็ไม่มีใครถาม คงคิดว่าข้าพเจ้าเป็นตัวกาลี ที่ทำให้งานนี้ต้องเสียขวัญ นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้ ไม่มีใครพูด ไม่มีใครถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เลย (งานหยุดชะงักไปอาทิตย์เศษ จึงได้มาทำต่อ)
หลังจากสร้างสิมน้ำ (เป็นภาษาอีสาน) เสร็จแล้ว พระที่อยู่ด้วยกันชื่อบุญชู มาชักชวนลาสิกขาไปทำงานเหมืองแร่ที่ปักษ์ใต้ เพื่อนบอกว่า ขายได้กิโลละ ๖๐ บาท วันหนึ่งได้ตั้งหลายกิโล ข้าพเจ้ามีใจคล้อยตามเพื่อน จะลาสิกขาไปด้วยกัน ตัดชุดเตรียมเครื่องนุ่งห่มพร้อม คิดว่าการลาสิกขาครั้งนี้ จะไม่บอกให้โยมพ่อโยมแม่รู้ กลัวท่านจะไม่ให้ลาสิกขาและไม่ให้ไป พอใกล้ถึงวันจะไปจริงๆ ดูท่าทีของเพื่อนไม่อยากให้ไปด้วย เพราะมีโยมพี่ชายของท่าน มาบอกว่าไม่อยากให้ไปหลายคน ข้าพเจ้าฉุกคิดขึ้นมาในใจว่า ทำไมหนอ เพื่อนถึงเป็นอย่างนี้ ไม่ทันไรจะทิ้งกันแล้ว หากว่าไปด้วยกันจริงๆ จะเป็นอย่างไร เขาจะไม่ทิ้งเราหรือ
เกิดบุพนิมิต
กลางคืนของวันนั้นเอง เวลาดึกสงัด ข้าพเจ้าปฏิบัตินั่งสมาธิอยู่ “เห็นท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม” นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ท่านถือบัญชีเดินเข้ามาทางประตูทิศใต้ของวัด เพื่อสำรวจผู้มีบุญวาสนาบารมีจะได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนาตลอดไป พอมาถึงกลางวัด ท่านนั่งลงบนเก้าอี้ วางบัญชีไว้บนโต๊ะ ข้าพเจ้าเดินจากทิศตะวันออก เข้าไปหาท่านนายก แล้วถามว่า ฯพณฯ ท่านนายก มาที่นี่ด้วยธุระอะไร ท่านตอบว่ามาสำรวจหาผู้ที่มีบุญวาสนาบารมี ที่จะได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนาได้นานๆ ข้าพเจ้าเลยขอร้องท่านว่า ถ้าอย่างนั้น ขอท่านได้มีเมตตากรุณาตรวจดูชื่อของอาตมาหน่อยซิ มีชื่ออยู่ในบัญชีกับเขาบ้างหรือไม่ เมื่อท่านเปิดดูปรากฎว่ามีชื่อของข้าพเจ้ามีอยู่ในบัญชีด้วยแล้ว ฯพณฯ ท่านจอมพล ป. ได้พูดกับข้าพเจ้าว่า เออ! ดีละ พระคุณเจ้าเป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีที่จะบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาได้นานๆ ขอนิมนต์อยู่ต่อไปเถอะ อย่าพึ่งลาสิกขาเลย ทั้งนี้เพื่อจะได้บำเพ็ญบารมีและสั่งสอนญาติโยม ให้รู้แจ้งต่อไป เท่านั้นละเลิกกัน เมื่อท่านพูดจบ ข้าพเจ้ารู้สึกตัวออกจากสมาธิ ความคิดที่จะลาสิกขาหายไปหมดเหมือนปลิดทิ้งไปกับนิมิตนั้น เหลืออยู่แต่ปีติ ความเอิบอิ่มใจและความสุขใจ เครื่องแต่งตัวหรือชุดที่เตรียมไว้ทั้งหมดเพื่อลาสิกขา ได้บริจาคให้คนอื่นหมดทั้งสิ้น
ในปีนั้นเอง ข้าพเจ้าได้ตั้งสัจจะปฏิญญาต่อหน้าพระประธานโดยมีท่านพระอาจารย์อ่อน เป็นสักขีพยานว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเป็นเวลา ๑๕ ปี ข้าพเจ้าจะไม่ลาสิกขาเลย
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ สภาวะแวดล้อมทางครอบครัวบีบบังคับ ข้าพเจ้าคิดจะละสัจจะที่ตั้งไว้แล้ว จะลาสิกขา ตกลงได้ตัดชุดเครื่องแต่งตัวไว้เรียบร้อยว่าจะสึกแน่นอนในปีนี้
บุพนิมิตครั้งที่ ๓
ก่อนหน้าจะเข้าลาเจ้าอาวาส คืนหนึ่งเวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกาเศษๆ ข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิ เมื่อจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ได้เกิดนิมิตขึ้น เห็นปะรำอันกว้างใหญ่สวยงามมากมีเครื่องประดับประดาตกแต่งมากมาย สวยงามมาก พร้อมทั้งมีสิ่งของต่างๆ ครบทุกอย่างอยู่ในปะรำนั้น ต้องการอะไรพร้อมหมด มีพระราชบัลลังก์ประดิษฐานอยู่กลางปะรำ และมีในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงประทับอยู่ ณ ที่นั้นด้วย โดยพระองค์ทรงประทับผินพระพักตร์ไปทางทิศใต้ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปทางทิศเหนือของปะรำ เมื่อเข้าไปถึงพระราชบัลลังก์ ข้าพเจ้ายืนทางทิศใต้ของบัลลังก์ แล้วมองหน้าขึ้นดูในหลวง พร้อมกันนั้นในหลวงได้ทรงตรัสว่า เออ! ดีละ พระคุณเจ้ามาถึงแล้ว พระคุณเจ้าต้องการสิ่งใดในปะรำนี้ ก็เลือกเอาตามใจชอบเถิด ข้าพเจ้าได้หาเลือกเอาของทั่วปะรำ แต่หาของที่ชอบใจไม่มี ผลสุดท้ายข้าพเจ้าได้เดินไปทางทิศใต้ของปะรำ ไปพบหมากเกลี้ยงสุกผลหนึ่งมีสีเหลืองงาม เกิดชอบใจขึ้นมาทันที เลยยื่นมือขวาไปหยิบเอา แล้วเดินมาหน้าพระราชบัลลังก์ ที่ในหลวงทรงประทับอยู่ พระองค์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ท่านเคยขับขี่เครื่องบินแล้วหรือยัง ข้าพเจ้าตอบว่า ยังไม่เคยขับขี่เลย พระองค์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ถ้าอย่างนั้น ขอนิมนต์ท่านไปขับขี่เอา เครื่องบินจอดอยู่ทางทิศตะวันตกของปะรำโน้น ข้าพเจ้าตอบพระองค์ท่านว่า ขับขี่ไม่เป็น เอ้า ถ้าอย่างนั้นจะพาไปขับขี่ พระองค์ท่านพาขับขี่เครื่องบินรอบปะรำ ๔ รอบ แล้วนำเครื่องลงจอด เสด็จกลับขึ้นไปประทับบนบัลลังก์ตามเดิม แล้วตรัสว่าพระคุณเจ้า เป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีที่จะบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาตลอดไป นิมนต์ท่านอย่าพึ่งลาสิกขา ให้บำเพ็ญบารมี สั่งสอนญาติโยมต่อไป เท่านั้นละเลิกกัน พอตรัสจบท่านเตรียมจะเสด็จลงจากบัลลังก์ ข้าพเจ้าก็เตรียมจะเดินออกจากปะรำ ก็พอดีคลายออกจากสมาธิ รู้สึกตัวขึ้นมา ความอยากลาสิกขาหายไปหมดสิ้น มีแต่ความอิ่มเอิบ ชุ่มฉ่ำและมีความสุขใจ เครื่องแต่งตัวที่เตรียมไว้ว่าจะลาสิกขา ก็ได้บริจาค แม้แต่สตางค์ที่มีอยู่ก็ได้บริจาคหมด ไม่เหลือไว้ในบ่ายของวันต่อมานั้นเอง
ข้าพเจ้ามีความต้องการที่จะศึกษาธรรมะให้รู้ถ่องแท้ ทั้งด้านปริยัติธรรมและด้านปฏิบัติล้วนๆ โดยเฉพาะด้านปฏิบัติ ในสมัยนั้นหาครูอาจารย์ที่จะแนะนำสั่งสอนมีน้อยมาก ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติกรรมฐานตามที่ได้เล่าเรียนมา ในสูตรของนักธรรมชั้นเอก ด้วยตนเองเป็นส่วนมาก โดยไม่มีครูอาจารย์ช่วยแนะนำได้ปฏิบัติโดยลำพัง แต่การปฏิบัติได้ผลเกินคาด เพราะยิ่งปฏิบัติไปเท่าไร จิตใจยิ่งมีความละเอียดอ่อนซาบซึ้งในรสพระธรรมมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ข้าพเจ้าอยากจะศึกษาด้านวิปัสสนาธุระมากขึ้น
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้เข้าอบรมวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาวนาราม อำเภอเมือง อุบลราชธานี เป็นการเปิดอบรมปีแรก มีหลวงพ่ออาสภะเถระ เป็นประธานอำนวยการ ได้อบรมอยู่เป็นเวลา ๒ เดือน ผลของการอบรมวิปัสสนา ไม่เป็นที่พอใจ จึงได้ลาออกจากสำนัก พร้อมด้วยคณะครูอาจารย์จำนวน ๔ รูป กับข้าพเจ้า ได้เข้าพักอยู่ที่อ่างฮัง ซึ่งอยู่ระหว่างภูจันทร์กับภูเขาขาม นานเป็นเดือนๆ ต้องประสบกับอุปสรรคนานาประการ ทั้งพวกสัตว์ร้าย พวกเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ พวกอมนุษย์รบกวนอยู่ตลอดเวลา
อ่านหน้าต่อไปค่ะ *************************
วิถีชีวิตของข้าพเจ้านับตั้งแต่เป็นเด็กมาจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๔๐) เริ่มแต่เป็นเด็กรู้เดียงสามา ข้าพเจ้าไม่เคยสร้างศัตรูให้แก่ตัวเอง ถ้าหากว่าเพื่อนๆ ไม่พอใจในเรื่องอะไร ข้าพเจ้าจะรีบขอโทษทันที ข้าพเจ้าเคารพเพื่อน รักเพื่อนทั้งชายและหญิง เวลาเล่น ส่วนมากก็ชอบเล่นกับผู้หญิง จนเพื่อนๆ ล้อเลียนข้าพเจ้าว่าเป็นคนแม่ (นิสัยเหมือนผู้หญิง)
ในบรรดาเพื่อนจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม พวกเขาจะรักข้าพเจ้ามาก มีอะไรก็แบ่งสรรปันส่วนเฉลี่ยเจือจานกัน ส่วนมากข้าพเจ้าจะทำงานผู้หญิง เช่น ตำข้าว เก็บฟืน หาอาหาร ปั่นฝ้าย ทอไหม เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแม่มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ประกอบกับข้าพเจ้าเป็นบุตรคนโต จึงได้ทำงานช่วยแม่ นอกจากนี้สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะรักข้าพเจ้ามาก มีอะไรก็อยากจะให้ อยากจะสอน มีวิชาอาคมขลัง ก็อยากจะสอนให้ บางท่านก็สอนให้ และก็นำมาใช้ได้ตามที่ท่านสอน
ข้าพเจ้าแม้จะตัวเล็ก แต่ก็มีความคิดคล้ายผู้ใหญ่ มีอะไรๆ เกิดขึ้นเพื่อนๆ ก็เลือกให้เป็นหัวหน้า ด้วยเหตุนี้ชีวิตของข้าพเจ้าจึงไม่ว้าเหว่ ไม่มีปมด้อย ได้รับความอบอุ่นจากเพื่อนๆ ตลอดถึงผู้เฒ่าผู้แก่เป็นอย่างดีเสมอมา
เมื่ออายุครบเกณฑ์เข้าโรงเรียน ข้าพเจ้าก็ได้เข้าเรียนเหมือนเด็กชาวบ้านทั่วไป เมื่อเข้าโรงเรียนจะด้วยบารมีหรือเหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่จะเดา นับแต่ชั้นมูลขึ้นไป คณะครูอาจารย์ภายในโรงเรียนตลอดนักเรียน ทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่และรุ่นเดียวกัน ส่วนมากจะรักข้าพเจ้ามาก จนจบชั้นมูลแล้ว ก็ได้เลื่อนชั้นขึ้น ป.๑ และขึ้น ป.๒ ขณะเรียนอยู่ในชั้น ป.๒ นั้นคณะครูอาจารย์และนักเรียนได้ประชุมกันคัดเลือกนักเรียนผู้สมควรเป็นหัวหน้าในโรงเรียน ข้าพเจ้าได้ถูกคัดเลือกให้เป็นหัวหน้านักเรียน โดยไม่มีใครคัดค้านแม้แต่คนเดียว ข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่หัวหน้านักเรียนในโรงเรียน ตั้งแต่วันนั้นมาจนเรียนจบ และออกจากโรงเรียน
บัดนี้ ขอวกมาอีกฉากหนึ่ง ซึ่งเห็นว่าสมควรเขียนลงในประวัติ ถึงแม้ว่าไม่มีสาระน่ารู้ ก็อาจจะทำให้ผู้อ่านเบื่อเซ็งและหมั่นไส้ได้ เพราะเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ ไม่ใช่วิสัยของข้าพเจ้า ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าและข้าพเจ้าก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น
แต่ถึงอย่างไรก็ขอร้องท่านผู้อ่านได้ทำใจให้เป็นกลางๆ อย่าเพิ่งเชื่อและอย่าเพิ่งปฏิเสธ ขอให้อุเบกขา อย่าให้อกุศลจิตหรือกุศลจิตเกิดขึ้น ขอได้กรุณาใช้วิจารณญาณตัดสินเอาเอง เพราะเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ เขียนตามคำขอร้องศิษยานุศิษย์ ที่ตกลงกันในที่ประชุมในต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในที่ประชุม เพราะเดินทางไปเยี่ยมศิษยานุศิษย์ และญาติโยมทางปักษ์ใต้พร้อมด้วยคณะเป็นเวลา ๑๓ วัน เมื่อกลับมาได้อ่านดูมติที่ประชุม เกิดอึดอัดใจมากเพราะเป็นเรื่องที่ไม่อยากเขียน เหตุว่า เป็นดาบสองคม เป็นทั้งบุญและบาป เป็นเรื่องหมั่นไส้ บางท่านก็จะตัดสินเอาว่า ข้าพเจ้าอวดอุตตริมนุสธรรม
แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงนี้แล้ว จะกลืนก็ไม่เข้า จะคลายก็ไม่ออก จำต้องทำตามมติที่ประชุม ที่ตกลงกันไว้แล้ว หากเรื่องอกุศลจิตหรือบาปกรรม อันจะพึงเกิดแก่ท่านผู้อ่านด้วยประการใดหรือประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมรับเอาด้วยตนเองทั้งหมด
ก่อนอื่นก็ขอทำความเข้าใจว่า ชีวประวัตินี้ ไม่ได้มีเจตนาเขียนเพื่อที่จะอวด แต่เขียนไว้เพื่อท่านผู้อ่านทั้งหลายจะได้ศึกษา และจะเขียนตามความเป็นจริงที่สุด จำเป็นที่สุด สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อให้ประวัติสมบูรณ์บ้างไม่มากก็น้อย ข้าพเจ้าขอย้อนกลับไปเมื่อสมัยเด็ก ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลสัมมาทิฏฐิ (มารู้เอาเมื่อตอนบวชแล้ว) พ่อแม่และญาติต่างพอใจในการทำบุญทำทาน โยมพ่อ โยมลุงได้แนะนำให้ข้าพเจ้ายินดีในการให้ทาน เจริญเมตตา และสงสารผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น อย่าไปทะเลาะกับผู้อื่น ที่สอนนักสอนหนาก็คือ ไม่ให้กินเนื้อดิบ ไม่ให้กินปลาดิบ สอนไม่ให้ฆ่าสัตว์ ไม่ให้ลักขโมย สอนไม่ให้ล่วงเกินลูกสาวเขา สอนไม่ให้ตั๋ว (พูดเท็จ) สอนไม่ให้กินเหล้า (มารู้เมื่อบวชแล้ว) สอนให้เคารพอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ สอนให้ไหว้พระก่อนนอน สอนให้ขยันทำงาน คำสอนเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้ถือปฏิบัติมาโดยตลอด เพราะถ้าโยมพ่อ โยมลุง รู้ว่าข้าพเจ้าไม่ปฏิบัติตาม ก็จะถูกเอ็ดเอาทันที (ถูกต่อว่า)
ข้าพเจ้าจะเคารพและรักพระรักเณร มีใจผูกพันอยู่กับเณรมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะกระท่อมนาเป็นทางผ่านของพระเณร รูปนั้นผ่านไป รูปนี้ผ่านมา บ้างก็ให้ขนม บ้างก็ให้ของกิน บ้างก็ลูบหัว เป็นต้น เพราะความเคารพ ความรัก ความคุ้นเคยและความผูกพัน จึงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าอยากบวชตลอดเวลา อนึ่งโรงเรียนที่เรียนอยู่ในวัด เวลาหยุดพักก็ต้องกินข้าววัด ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวมา จึงทำให้ข้าพเจ้าอยากบวช พอออกโรงเรียนแล้วก็ขอพ่อแม่บวช แต่ท่านไม่อนุญาตเพราะเห็นว่ายังเด็กอยู่ โตกว่านี้ค่อยบวช
ประกอบกับโชคไม่เข้าข้าง ช่วงนี้พ่อพร้อมกับลุงอีก ๒ คน รวมเป็น ๓ พากันออกบวช แล้วจำวัดอยู่ถ้ำพวง ปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์วิเชียร เพราะสมัยนั้น พระอาจารย์วิเชียร (อาจารย์หลง) ท่านมีชื่อเสียงมาก แสดงธรรมเก่ง คนเล่าลือกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ หลังจากคณะของพ่อบวชได้ ๓ เดือน อาจารย์เกิดวิปลาส ใช้มีดโกนเชือดคอตัวเองแล้วเอาประคตเอวรัดคอตัวเองตาย ในท่านั่งกระโหย่งประนมมือ (ทำอัตตวินิบาต) ถูกทางตำรวจสอบสวน พ้นคดี พ่อและลุงทั้งสองก็ลาสิกขาเพราะหมดที่พึ่ง
เมื่อพ่อลาสิกขาออกมาประมาณ ๑ เดือน ท่านบอกและถามว่าจะให้บวชแล้วนะ จะบวชไหม ตอนนี้กลับไม่อยากบวชเสียแล้ว เพราะเกิดไปชอบผู้หญิง เหตุว่าวันๆ อยู่กับแต่ผู้หญิง ต้องเลี้ยงโค กระบือ เอาฟืน ตักน้ำ ตำข้าว หากิน เป็นต้น ตกกลางคืนก็ต้องตำข้าวกับเพื่อนผู้หญิง ๒ คนบ้าง ๓ คนบ้าง ๔ คนบ้าง กว่าจะแล้วเสร็จก็กินเวลา ๓ ทุ่มบ้าง ๔ ทุ่มบ้าง ค่อยกลับไปนอนกัน วันใหม่ก็ตำข้าวอีกเนื่องจากเป็นฤดูจะลงนา โรงสีก็ไม่มี ต้องตำข้าวตุนเอาไว้ อย่างน้อยคนละ ๑๐ กระสอบป่าน ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวนี้แล้วจึงไม่อยากบวช แต่จะทำอย่างไรได้ กลัวพ่อก็กลัว เคารพก็เคารพ เลยไม่กล้าขัดใจท่าน แต่ก็ขัดใจเรา แต่จะทำอย่างไร เพราะเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว จำเป็นต้องตัดสินใจบอกพ่อว่าบวช
ตื่นเช้าวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ พ่อพาไปบวชเป็นสามเณรที่วัดโพธิ์ศรีสว่าง บ้านตาแหลว ตำบลเจียด อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิด โดยมีพระครูภัทรกิจโกศล เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชแล้วได้กลับมาสังกัดอยู่วัดโคกสว่าง บ้านอีเติ่ง ตำบลเจียด อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นเวลา ๑ เดือนเศษ บวชแล้วได้รับการอบรมพระธรรมวินัย ใจยิ่งเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระธรรมยิ่งขึ้น ใกล้จะเข้าพรรษาได้ย้ายสังกัดไปอยู่วัดโพธิ์-ศรีสว่าง บ้านตาแหลว เพื่อศึกษาปริยัติธรรม เพราะในสมัยนั้นสำนักเรียนนักธรรมหายากมาก ตำบลหนึ่งก็จะมีเพียง ๑ สำนักเป็นอย่างมาก
ผลของการศึกษาปริยัติธรรมในพรรษา ไม่ค่อยก้าวหน้าคือไม่เข้าใจเท่าที่ควร ผลการสอบสนามหลวงออกมาปรากฏว่า ไม่ผ่าน พ.ศ. ๒๔๙๒ จึงได้ย้ายสังกัดไปอยู่วัดยางกระเดา ตำบลท่าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี การอยู่อาศัยในวัดนี้ได้รับการศึกษาดีพอสมควร และสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในปีนั้นเอง
พ.ศ. ๒๔๙๓ เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าได้เข้าไปนั่งสมาธิอยู่ในอุโบสถวัดยางกระเดานั่นเอง ได้เกิดปัญญาญาณขึ้นในดวงใจของข้าพเจ้าว่า การท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะสงสารของข้าพเจ้าชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย การเกิดครั้งนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้ายของข้าพเจ้า การบวชครั้งนี้เป็นการบวชครั้งสุดท้าย ข้าพเจ้าจะไม่ลาสิกขาเลย
นับตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าได้พยายามปฏิบัติพระกรรมฐานตามแต่โอกาสและเวลาจะเอื้ออำนวย ในส่วนที่เป็นกายาคตาสติ จากตำหรับตำราที่ได้เล่าเรียนมา โดยเฉพาะได้พิจารณาร่างกายอันเป็นอสุภะโสโครก น่าเกลียด เต็มไปด้วยของไม่สะอาด ปฏิกูลน่าเกลียดทั้งร่างของตนเองและผู้อื่น จนมีความสามารถแยกร่างกายออกเป็นกองๆ เป็นส่วนๆ ในอาการ ๓๒ จนบางครั้งคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย ข้าพเจ้าชำนาญในกรรมฐานบทนี้เป็นพิเศษ จึงเอาชนะรูปนามของเพศตรงข้ามได้
พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนในหลักสูตรนักธรรมชั้นโท ได้อ่านประวัติของพระพุทธเจ้าและประวัติของพระสาวกบ้าง ยิ่งทำให้เกิดปิติ เกิดปสาทะศรัทธาเพิ่มขึ้น เมื่อถึงคราวสอบ ข้าพเจ้าสามารถสอบผ่านได้นักธรรมชั้นโทในปีนั้น
พ.ศ. ๒๔๙๓ ข้าพเจ้าได้สมาทาน เอกาสนิกังคะธุดงค์ คือฉันหนเดียวตลอดไตรมาสพรรษา ๓ เดือน
พ.ศ. ๒๔๙๔ หลวงพ่อพระครูวัตตกิจอาทร เจ้าอาวาสวัดยางกระเดา และเจ้าคณะตำบลท่าเมือง ได้ถึงแก่มรณภาพ ก่อนท่านจะมรณภาพประมาณ ๑ เดือน ทางวัดและชาวบ้านยางกระเดา ได้จัดงานประเพณีบุญเดือน ๖ หลวงพ่อท่านได้ทำบั้งไฟไว้หลายบั้ง แต่บั้งที่ใหญ่หน่อยมีอยู่ ๒ บั้ง บั้งที่ ๑ หมดดินประสิว ๖ หมื่น บั้งที่ ๒ หมดดินประสิว ๑๐ กิโลกรัมแต่ไม่มีช่าง ข้าพเจ้าเลยรับเป็นช่างเอง ตอนเช้าถึงเวลาจุดบูชา ประชาชนมาพร้อมกัน ข้าพเจ้าเอาบั้งที่หนัก ๖ หมื่นขึ้นจุดบูชา ไม่มีปัญหาเพราะบั้งไฟขึ้นสมใจที่ตั้งไว้ แต่มีปัญหาบั้งสุดท้าย ที่หนัก ๑๐ กิโลกรัมนั้น ไม่มีใครกล้าจุด แม้แต่คนเดียว ตกลงข้าพเจ้าขึ้นจุดเอง สมัยนั้นบั้งไฟจุดหม่อม คือชะนวนจะอยู่ข้างบนตัวบั้งไฟ ข้าพเจ้าใช้กระใต้ (กระบอง) จุดไปที่ชะนวน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ออกห่างไปจากบั้งไฟ ระยะห่างจากบั้งไฟกับตัวข้าพเจ้าห่างกันเพียงช่วงแขนเดียวเท่านั้น ทันใดนั้นบั้งไฟก็ระเบิดขึ้นทันที และระเบิดอยู่กับที่ ยังไม่ได้เคลื่อนออกไปจากฐานเลย ควันไฟคลุ้งตลบไปหมด ข้าพเจ้ามองลงมาข้างล่างก็ไม่เห็นผู้คน คนที่อยู่ข้างล่างก็มองขึ้นไปไม่เห็นข้าพเจ้า ได้ยินเสียงคนร้องระงมไปหมดว่าเณรเฮืองตายแล้ว เณรเฮืองตายแล้ว ในขณะที่จุดบั้งไฟอยู่นั้น ข้าพเจ้าไม่ได้ตกใจ ในขณะบั้งไฟระเบิด ข้าพเจ้าก็ไม่ตกใจ และในช่วงที่บั้งไฟระเบิดเป็นประกายไฟลุกท่วมตัวข้าพเจ้า แทนที่จะร้อน กลับรู้สึกเย็นเหมือนถูกพัดลมเป่า เมื่อสร่างควันแล้วจึงมองเห็นคนและบันได ข้าพเจ้าก็ลงบันได พอไปถึงพื้นเท่านั้นผู้คนก็กรูกันเข้ามาถามว่า เป็นอย่างไรๆ ข้าพเจ้าตอบเพียงคำเดียวว่า ”เย็น” เล่นเอาคนทั้งหลายตกตะลึง พอพากันหายจากการตกตะลึงต่างก็หลีกไปเล่นงานบุญตามปกติ
สำหรับตัวของข้าพเจ้านั้น ดำปานตอตะโก ผ้าสบง ผ้าอังสะ ดำหมด ใช้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่ แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ตลอดทั้งวันข้าพเจ้ารู้สึกเย็นทั้งใจ ทั้งกาย ตามร่างกายแต่ละจุดหาพุพองเท่าเมล็ดงาก็ไม่มี เส้นผม ขนคิ้ว ขนตาและขนตามร่างกาย แม้แต่ขนเดียวก็ไม่ไหม้ อันนี้ก็เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างซึ่งเกิดกับข้าพเจ้าสมัยนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เป็นแต่คิดว่า เออ! อันนี้ก็เป็นอำนาจของเมตตาธรรมอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญมา
พ.ศ. ๒๔๙๔ หลังจากเสร็จงานฌาปนกิจศพหลวงพ่อเจ้าอาวาสแล้ว ข้าพเจ้าได้ย้ายสังกัดไปอยู่วัดท่าบ่อแบง ตำบลขามเปี้ย อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานีเพื่อเรียนบาลี โดยมีท่านพระอาจารย์ไฟ จนฺทสาโร เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าเป็นครูสอนปริยัติธรรม ตลอดถึงงานก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวัด
พ.ศ. ๒๔๙๖ ข้าพเจ้ามีอายุครบบวชพระ โยมพ่อโยมแม่และญาติได้นำมาบวชพระที่บ้านเดิม และได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๖ ณ อุโบสถวัดโพธิ์ศรี ตำบลขามป้อม อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีท่านพระครูภัทรกิจโกศล เจ้าคณะอำเภอเขมราฐ เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการชา โชตโก เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอธิการประดิษฐ์ เขมวีโร เป็นอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า วิสารโท เมื่ออุปสมบทแล้วก็ได้กลับไปอยู่วัดท่าบ่อแบงอีก
พ.ศ. ๒๔๙๖ หลังจากบวชพระแล้ว ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญพรตอีก คือฉันวันละครั้งบ้าง ฉันครั้งละ ๗ คำบ้าง บำเพ็ญอยู่ ๕ เดือน จนร่างกายผ่ายผอม ความจำเสื่อม หมอได้ขอร้องให้เลิก ถ้าไม่เลิก จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ข้าพเจ้าฝ่าฝืนคำหมอสั่งอยู่พักหนึ่ง อาการยิ่งทรุดลง จึงเลิกแล้วกลับมาฉันตามปกติ และในช่วง พ.ศ. ๒๔๙๖ นี้เอง จิตใจของข้าพเจ้าเริ่มหันเหหนักไปทางปฏิบัติ โดยมาคิดย้อนหลัง วันที่ไปทำสมาธิอยู่ที่อุโบสถวัดยางกระเดา ว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของข้าพเจ้า การบวชครั้งนี้ถือว่าเป็นการบวชครั้งสุดท้าย การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะสงสารของข้าพเจ้า จะจบลงในชาตินี้
แต่มาคิดอีกแง่หนึ่งว่า ข้าพเจ้ามีราคะกล้ามาก จะทำอย่างไรจึงจะเอาชนะมันได้ ถ้าเอาชนะมันไม่ได้เราก็บวชอยู่ต่อไปไม่ได้ ตกลงตัดสินใจปฏิบัติกรรมฐาน แต่เกิดความลังเลใจว่า เราจะปฏิบัติกรรมฐานได้อย่างไร เพราะถ้าอยู่กับเพื่อนก็ไม่สะดวก จะอยู่ป่าก็กลัวผี ตกลงตัดสินใจเข้าป่าช้าฝึกตัวเอง เผื่อว่าความกลัวผีจะได้หมดไป โชคดีในวัดมีป่าช้าและเป็นป่าที่รกด้วย สะดวกต่อการฝึกด้วย
วิธีฝึกวันแรก ๑๗.๐๐ น. เศษ ครองจีวรเสร็จแล้วเดินเข้าป่าช้า เดินจงกรม นั่งภาวนา จนดึกสงัด เห็นว่าความกลัวมันลดลงไปบ้าง แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล อธิษฐานจิต แล้วออกจากป่าช้า
เมื่อฝึกอยู่หลายวันเป็นที่พอใจแล้ว วันต่อไปก็เป็น ๑๘.๐๐ น., ๑๙.๐๐ น., ๒๐.๐๐น., ๒๑.๐๐น. แต่ละครั้งทำอยู่หลายวันจนเป็นที่พอใจวันสุดท้าย เวลา ๒๒.๐๐ น. พระภิกษุสามเณรตีระฆังสัญญาณจำวัดกันแล้ว เตรียมตัวครองผ้าเข้าป่าช้า พอเข้าไปถึงริมป่าช้า ได้ยินเสียงควายวิ่งฝ่าป่าทึบออกมา เสียงดังมาก เลยหยุดยืนฟังเสียงพร้อมกับพิจารณาในใจว่า เอ! ควายทำไมมันวิ่งเสียงดังมาก หน้านาแท้ๆ ทำไมเจ้าของไม่ผูกปล่อยปละละเลย มันจะไม่ไปกินข้าวในนาเขาหรือ พอมันวิ่งพ้นป่าออกมา เห็นตัวเท่าสุนัขตัวโตๆ พร้อมกับคิดว่า เอ! ทำไมสุนัขตัวเล็กๆ มันวิ่งเสียงดังเกินตัว ขณะที่ยืนคิดอยู่ ขาทั้งสองไม่ชิดกัน มันวิ่งผ่านช่องขาทั้งสองเข้าไปในหมู่บ้าน เสียงดังเหมือนม้าวิ่งแข่งกัน และฉุกคิดขึ้นมาอีกว่า เอ! สุนัขตัวเล็กๆ ทำไมมันวิ่งเสียงดังเหมือนม้าวิ่ง ยืนฟังอยู่จนเงียบเสียงจึงคิดว่า เออ! มันไปแล้วก็ดีเราเข้าป่าช้าดีกว่า กำลังจะเดินเข้าป่าช้า ได้ยินเสียงมันวิ่งกลับมาอีก ตอนนี้ยืนเอาขาชิดกันไว้ เผื่อว่าจะไม่ให้มันวิ่งลอดขาอีก พอวิ่งมาถึง มันวิ่งเฉียดขาข้างขวา เข้าป่าช้าเสียงก็เงียบไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลยคิดว่า เออ! มันไปก็ดีละ มันก็ไปทางของมัน เราก็ไปทางของเรา จึงได้เข้าไปถึงกลางป่าช้า เดินจงกรมแล้วก็นั่งภาวนา และก็ไม่มีอะไรมารบกวนอีกเลย
นับแต่วันนั้น เป็นต้นมา ก็เริ่มเจริญกรรมฐานในส่วนที่เป็นกายาคตาสติกรรมฐาน จนเกิดสติ สมาธิ ปัญญา สามารถมองเห็นความเป็นจริงของร่างกายและจิตใจ ทำความเพียรอยู่ประมาณ ๑ เดือน เกิดอุปกิเลสจิตอย่างแรงกล้า สามารถอธิบายธรรมะได้พิสดารกว้างขวางโดยเฉพาะเรื่องโมหะ นึกจะอธิบายอยู่ถึง ๑๐ วันก็ยังไม่รู้จบ ชวนะมันเกิดขึ้นตลอดเวลา คล้ายแตกฉานในอรรถ ในธรรม ในปฏิภาณ จนคิดว่าทำไมหนอจึงเป็นเช่นนี้ เราจะไม่เป็นบ้าไปหรือนี่ ถ้าจะไปหาอาจารย์กรรมฐานแก้อารมณ์ ก็ไม่มีอาจารย์อยู่แถวนั้น ตกลงกัดฟันอดทนต่อสู้กับสภาวะ จนสามารถเอาชนะได้
หลังจากอุปกิเลสสงบลง จิตเกิดพลัง หากว่ามีคนที่มีทิฏฐิมานะกล้าๆ มาสนทนา มาถามปัญหา เราอธิบายธรรมให้ฟังไม่ถึง ๕ นาที น้ำตาจะคลอเบ้าหรือร้องไห้ พร้อมกับพูดว่า เมื่อก่อนทำไมอาจารย์จึงไม่พูดให้ฟัง ผมหลงผิดไปมากแล้ว ต่อไปผมจะตั้งใจทำความดี
สมัยนั้น คล้ายกับว่าได้บรรลุธรรมแล้ว จนนึกว่าหลังจากสอบธรรมสนามหลวงแล้ว เราจะขึ้นไปบ้านโปรดโยมพ่อโยมแม่ จะใช้เวลาเทศน์สัก ๑๕ นาที ท่านจะได้รู้แจ้งธรรมะ แต่โชคไม่เข้าข้าง เพราะท่านพระอาจาย์ที่วัดได้บังคับให้พระภิกษุสามเณรดูหนังสือ เนื่องจากใกล้จะถึงวันสอบธรรมสนามหลวงแล้ว เลยเพลาๆ จากการปฏิบัติ สภาวะที่เกิดขึ้นก็ลดลงไปสมาธิก็เริ่มอ่อนกำลังลงตามลำดับ
พ.ศ. ๒๔๙๖ นั่นเอง ท่านพระอาจารย์ไพ จนฺทสาโร เจ้าอาวาสได้พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร และญาติโยมชาวบ้านสร้างสิมน้ำ (อุทกกุกเขปสีมาหรือโบสถ์น้ำ) ขนาดกว้าง ๔ เมตร ยาว ๖ เมตร สูง ๑๒ เมตร สร้างด้วยไม้โดยเอาเสาต่อกันขึ้นไป
วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าตอกไม้คอสอง ด้านกว้างอยู่ บังเอิญไม้ที่พาดอยู่ตอนนั้น เกิดพลัดตกลง ข้าพเจ้าก็พลอยตกลงไปด้วย โดยเอาศีรษะลงก่อน มือขวาถือเหล็กชะแลง มือซ้ายถือขวาน ขณะตกลงได้ยินเสียงครูอาจารย์พระสงฆ์สามเณรและญาติโยมที่อยู่ข้างล่าง ได้อุทานออกมาพร้อมกันว่า “ฮึ” แล้วก็เงียบเสียงทั้งหมด เหมือนถูกมนต์สะกด แต่ในเสี้ยววินาทีแห่งความตายนั้น ข้าพเจ้ามีใจปกติธรรมดา ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นใจ ไม่ตกใจ พร้อมกันนั้น ประโยคแรกที่จิตคิดได้ว่า เราตกลงไปนี้ ศีรษะของเราก็จะไปชนกับตอไม้ตะเคียนไฟไหม้ ไม้ที่นั่งอยู่ข้างบนนั้น ก็จะลอยตกตามลงไปกระทุ้ง ประโยคที่สองคิดว่า โอ้ เราเกิดมาชาตินี้ ตายไม่ได้สั่งพ่อสั่งแม่หนอ ประโยคที่สาม คิดถึงภาพยนตร์ ท่าเขากระโดดน้ำ ซึ่งหน่วยสอบธรรมสนามหลวงวัดมงคลใน บ้านเหล่าเสือโก๊ก ฉายให้ชมวันสุดท้ายของการสอบ พอนึกได้ข้าพเจ้าเอาแขนทั้งสองกวักอย่างแรง ทำให้ศีรษะหมุนกลับขึ้นข้างบน เท้าทั้งสองหมุนกลับลงข้างล่าง ตอนนี้รู้สึกตัวเบา ทำให้เพลินเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ พอตัวหมุนตรงได้ที่ เท้าทั้งสองก็ถึงพื้นพอดี พร้อมกับวิ่งออกจากตรงนั้น เพราะนึกได้ว่าไม้ตัวที่พาดอยู่ข้างบนจะตกลงมากระทุ้ง จริงอย่างนั้น พอข้าพเจ้าวิ่งออกมา ไม้ที่ตกจากข้างบนก็ตกลงมาแทนที่พอดี แต่โชคดีที่ร่างกายไม่เคล็ดขัดยอก ไม่ช้ำไม่บวม เนื่องจากตอนตกลงจะถึงพื้นนั้น มันรู้สึกนุ่มเหมือนสำลีตกลงมาจากอากาศ คณะครูอาจารย์พระสงฆ์ สามเณรและญาติโยมที่อยู่ข้างล่าง คงเห็นภาพประทับใจจนบอกไม่ถูก เห็นข้าพเจ้าไม่เป็นไร ต่างคนต่างได้เครื่องไม้เครื่องมือกลับวัด ส่วนพระอาจารย์เจ้าอาวาส เอาผ้าคลุมศีรษะกลับวัด ตามศิษย์และญาติโยม แต่แปลกคนทั้งหมดไม่มีใครพูดกัน แม้แต่ข้าพเจ้า ซึ่งตกลงจากที่สูงก็ไม่มีใครวิ่งมาหา และก็ไม่มีใครถาม คงคิดว่าข้าพเจ้าเป็นตัวกาลี ที่ทำให้งานนี้ต้องเสียขวัญ นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้ ไม่มีใครพูด ไม่มีใครถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เลย (งานหยุดชะงักไปอาทิตย์เศษ จึงได้มาทำต่อ)
หลังจากสร้างสิมน้ำ (เป็นภาษาอีสาน) เสร็จแล้ว พระที่อยู่ด้วยกันชื่อบุญชู มาชักชวนลาสิกขาไปทำงานเหมืองแร่ที่ปักษ์ใต้ เพื่อนบอกว่า ขายได้กิโลละ ๖๐ บาท วันหนึ่งได้ตั้งหลายกิโล ข้าพเจ้ามีใจคล้อยตามเพื่อน จะลาสิกขาไปด้วยกัน ตัดชุดเตรียมเครื่องนุ่งห่มพร้อม คิดว่าการลาสิกขาครั้งนี้ จะไม่บอกให้โยมพ่อโยมแม่รู้ กลัวท่านจะไม่ให้ลาสิกขาและไม่ให้ไป พอใกล้ถึงวันจะไปจริงๆ ดูท่าทีของเพื่อนไม่อยากให้ไปด้วย เพราะมีโยมพี่ชายของท่าน มาบอกว่าไม่อยากให้ไปหลายคน ข้าพเจ้าฉุกคิดขึ้นมาในใจว่า ทำไมหนอ เพื่อนถึงเป็นอย่างนี้ ไม่ทันไรจะทิ้งกันแล้ว หากว่าไปด้วยกันจริงๆ จะเป็นอย่างไร เขาจะไม่ทิ้งเราหรือ
เกิดบุพนิมิต
กลางคืนของวันนั้นเอง เวลาดึกสงัด ข้าพเจ้าปฏิบัตินั่งสมาธิอยู่ “เห็นท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม” นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ท่านถือบัญชีเดินเข้ามาทางประตูทิศใต้ของวัด เพื่อสำรวจผู้มีบุญวาสนาบารมีจะได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนาตลอดไป พอมาถึงกลางวัด ท่านนั่งลงบนเก้าอี้ วางบัญชีไว้บนโต๊ะ ข้าพเจ้าเดินจากทิศตะวันออก เข้าไปหาท่านนายก แล้วถามว่า ฯพณฯ ท่านนายก มาที่นี่ด้วยธุระอะไร ท่านตอบว่ามาสำรวจหาผู้ที่มีบุญวาสนาบารมี ที่จะได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนาได้นานๆ ข้าพเจ้าเลยขอร้องท่านว่า ถ้าอย่างนั้น ขอท่านได้มีเมตตากรุณาตรวจดูชื่อของอาตมาหน่อยซิ มีชื่ออยู่ในบัญชีกับเขาบ้างหรือไม่ เมื่อท่านเปิดดูปรากฎว่ามีชื่อของข้าพเจ้ามีอยู่ในบัญชีด้วยแล้ว ฯพณฯ ท่านจอมพล ป. ได้พูดกับข้าพเจ้าว่า เออ! ดีละ พระคุณเจ้าเป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีที่จะบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาได้นานๆ ขอนิมนต์อยู่ต่อไปเถอะ อย่าพึ่งลาสิกขาเลย ทั้งนี้เพื่อจะได้บำเพ็ญบารมีและสั่งสอนญาติโยม ให้รู้แจ้งต่อไป เท่านั้นละเลิกกัน เมื่อท่านพูดจบ ข้าพเจ้ารู้สึกตัวออกจากสมาธิ ความคิดที่จะลาสิกขาหายไปหมดเหมือนปลิดทิ้งไปกับนิมิตนั้น เหลืออยู่แต่ปีติ ความเอิบอิ่มใจและความสุขใจ เครื่องแต่งตัวหรือชุดที่เตรียมไว้ทั้งหมดเพื่อลาสิกขา ได้บริจาคให้คนอื่นหมดทั้งสิ้น
ในปีนั้นเอง ข้าพเจ้าได้ตั้งสัจจะปฏิญญาต่อหน้าพระประธานโดยมีท่านพระอาจารย์อ่อน เป็นสักขีพยานว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเป็นเวลา ๑๕ ปี ข้าพเจ้าจะไม่ลาสิกขาเลย
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ สภาวะแวดล้อมทางครอบครัวบีบบังคับ ข้าพเจ้าคิดจะละสัจจะที่ตั้งไว้แล้ว จะลาสิกขา ตกลงได้ตัดชุดเครื่องแต่งตัวไว้เรียบร้อยว่าจะสึกแน่นอนในปีนี้
บุพนิมิตครั้งที่ ๓
ก่อนหน้าจะเข้าลาเจ้าอาวาส คืนหนึ่งเวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกาเศษๆ ข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิ เมื่อจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ได้เกิดนิมิตขึ้น เห็นปะรำอันกว้างใหญ่สวยงามมากมีเครื่องประดับประดาตกแต่งมากมาย สวยงามมาก พร้อมทั้งมีสิ่งของต่างๆ ครบทุกอย่างอยู่ในปะรำนั้น ต้องการอะไรพร้อมหมด มีพระราชบัลลังก์ประดิษฐานอยู่กลางปะรำ และมีในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงประทับอยู่ ณ ที่นั้นด้วย โดยพระองค์ทรงประทับผินพระพักตร์ไปทางทิศใต้ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปทางทิศเหนือของปะรำ เมื่อเข้าไปถึงพระราชบัลลังก์ ข้าพเจ้ายืนทางทิศใต้ของบัลลังก์ แล้วมองหน้าขึ้นดูในหลวง พร้อมกันนั้นในหลวงได้ทรงตรัสว่า เออ! ดีละ พระคุณเจ้ามาถึงแล้ว พระคุณเจ้าต้องการสิ่งใดในปะรำนี้ ก็เลือกเอาตามใจชอบเถิด ข้าพเจ้าได้หาเลือกเอาของทั่วปะรำ แต่หาของที่ชอบใจไม่มี ผลสุดท้ายข้าพเจ้าได้เดินไปทางทิศใต้ของปะรำ ไปพบหมากเกลี้ยงสุกผลหนึ่งมีสีเหลืองงาม เกิดชอบใจขึ้นมาทันที เลยยื่นมือขวาไปหยิบเอา แล้วเดินมาหน้าพระราชบัลลังก์ ที่ในหลวงทรงประทับอยู่ พระองค์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ท่านเคยขับขี่เครื่องบินแล้วหรือยัง ข้าพเจ้าตอบว่า ยังไม่เคยขับขี่เลย พระองค์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ถ้าอย่างนั้น ขอนิมนต์ท่านไปขับขี่เอา เครื่องบินจอดอยู่ทางทิศตะวันตกของปะรำโน้น ข้าพเจ้าตอบพระองค์ท่านว่า ขับขี่ไม่เป็น เอ้า ถ้าอย่างนั้นจะพาไปขับขี่ พระองค์ท่านพาขับขี่เครื่องบินรอบปะรำ ๔ รอบ แล้วนำเครื่องลงจอด เสด็จกลับขึ้นไปประทับบนบัลลังก์ตามเดิม แล้วตรัสว่าพระคุณเจ้า เป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีที่จะบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาตลอดไป นิมนต์ท่านอย่าพึ่งลาสิกขา ให้บำเพ็ญบารมี สั่งสอนญาติโยมต่อไป เท่านั้นละเลิกกัน พอตรัสจบท่านเตรียมจะเสด็จลงจากบัลลังก์ ข้าพเจ้าก็เตรียมจะเดินออกจากปะรำ ก็พอดีคลายออกจากสมาธิ รู้สึกตัวขึ้นมา ความอยากลาสิกขาหายไปหมดสิ้น มีแต่ความอิ่มเอิบ ชุ่มฉ่ำและมีความสุขใจ เครื่องแต่งตัวที่เตรียมไว้ว่าจะลาสิกขา ก็ได้บริจาค แม้แต่สตางค์ที่มีอยู่ก็ได้บริจาคหมด ไม่เหลือไว้ในบ่ายของวันต่อมานั้นเอง
ข้าพเจ้ามีความต้องการที่จะศึกษาธรรมะให้รู้ถ่องแท้ ทั้งด้านปริยัติธรรมและด้านปฏิบัติล้วนๆ โดยเฉพาะด้านปฏิบัติ ในสมัยนั้นหาครูอาจารย์ที่จะแนะนำสั่งสอนมีน้อยมาก ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติกรรมฐานตามที่ได้เล่าเรียนมา ในสูตรของนักธรรมชั้นเอก ด้วยตนเองเป็นส่วนมาก โดยไม่มีครูอาจารย์ช่วยแนะนำได้ปฏิบัติโดยลำพัง แต่การปฏิบัติได้ผลเกินคาด เพราะยิ่งปฏิบัติไปเท่าไร จิตใจยิ่งมีความละเอียดอ่อนซาบซึ้งในรสพระธรรมมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ข้าพเจ้าอยากจะศึกษาด้านวิปัสสนาธุระมากขึ้น
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้เข้าอบรมวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาวนาราม อำเภอเมือง อุบลราชธานี เป็นการเปิดอบรมปีแรก มีหลวงพ่ออาสภะเถระ เป็นประธานอำนวยการ ได้อบรมอยู่เป็นเวลา ๒ เดือน ผลของการอบรมวิปัสสนา ไม่เป็นที่พอใจ จึงได้ลาออกจากสำนัก พร้อมด้วยคณะครูอาจารย์จำนวน ๔ รูป กับข้าพเจ้า ได้เข้าพักอยู่ที่อ่างฮัง ซึ่งอยู่ระหว่างภูจันทร์กับภูเขาขาม นานเป็นเดือนๆ ต้องประสบกับอุปสรรคนานาประการ ทั้งพวกสัตว์ร้าย พวกเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ พวกอมนุษย์รบกวนอยู่ตลอดเวลา
อ่านหน้าต่อไปค่ะ *************************