**wan**
10-26-2008, 03:54 PM
http://www.dhammajak.net/gallery/albums/userpics/%CB%C5%C7%A7%BB%D9%E8%CA%D4%C1%20%BE%D8%B7%B8%D2%A8%D2%E2%C3%201.jpg
ธรรมมีอยู่ทุกเวลา
พระธรรมเทศนาของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร
นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๒ ฉบับที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๑
การฟังธรรมนั้น ความจริงธรรมนั้นมีอยู่ทั่วไป ถ้าใจเราตั้งมั่นเป็นสมาธิภาวนา อะไร ๆ ก็เป็นธรรมเป็นพระธรรมพระวินัยทั้งนั้นแหละ การฟังธรรมจึงไม่เลือกกาล ไม่เลือกเวลากาลเวลาที่เราดังนี้เรียกว่าเป็นเวลาเป็นระยะ แต่ถ้าตัวเองสอนตัวเองฟังธรรมอยู่ในตัวเราแล้ว ธรรมมีอยู่ทุกเวลา นั่งก็ภาวนาได้ ยืนก็ภาวนาได้เดินก็ภาวนาได้ ไปรถไปราก็ภาวนาได้
เวลาไปรถไปราให้ภาวนาตายไว้ล่วงหน้า มรณํ เม ภวิสฺสติ (ความตายจักมีแก่เรา) ความตายอยู่ที่ความประมาท ผู้ใดประมาทเปรียบเหมือนคนตายแล้ว คนตายแล้วทำอะไรไม่ได้ ผู้ประมาทมัวเมาเข้าใจผิดคิดหลงลืมภาวนา พุทโธ ในใจลืมพิจารณาสังขาร ร่างกาย รูปธรรม นามธรรมของตัวเอง และของบุคคลผู้อื่น ขึ้นชื่อว่า รูป นามกาย ใจ ตัวตน สัตว์ บุคคล ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดกาล
การนั่งสมาธิภาวนาให้พากันนั่งขัดสมาธิเพชร การนั่งขัดสมาธิเพชรนี้ อย่าว่าเราทำไม่ได้ เมื่อเราทำไม่ได้คนอื่นเขาก็ว่าทำไม่ได้เหมือนกัน ที่เราทำไม่ได้เราติว่าขัดแข้งขัดขาเจ็บนั่นเจ็บนี่ รูปร่างกายของมนุษย์จะไม่ให้มันเจ็บมันเป็นไม่ได้ เกิดมาแล้วจะไปคิดว่า ไม่ให้มันแก่ชรา มีทางแก้ไขได้ที่ไหน มันแก้ไม่ได้ ความแก่ความชรามันแก่ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ อยู่ในท้องแม่ก็คือว่าแก่ คนอยู่ในท้องแม่มันแก่แล้ว มันใกล้จะคลอดแล้ว นั่นน่ะมันแก่ตั้งแต่มาอยู่ท้องแม่ เมื่อเกิดมาแล้วมันก็แก่เรื่อยมา มันแก่ขึ้น แก่ลง เจริญขึ้น แล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรที่จะคงที่ได้
แต่ความอยากความปรารถนาของคนเรานั้น อารมณ์เรื่องราวใดที่เป็นความสุขกายสบายใจ ก็อยากให้อารมณ์เรื่องราวนั้นอยู่ได้นาน ถ้าเรื่องราวอะไรเป็นอารมณ์ที่เสีย อารมณ์ที่ไม่ชอบพอใจ ก็ไม่ต้องการ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ในโลกนี้มันมีทุกอย่าง ก็ล้วนแล้วแต่ธรรมเทศนาทั้งนั้นแหละ เราได้เห็นคนเกิด ก็เป็นธรรมเทศนาสอนใจ ว่าเกิดมาเป็นทุกข์อย่างนี้นะ ทุกข์ทั้งผู้เกิด ทั้งผู้ให้เกิด ดูสภาพความเกิด พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ความเกิดเป็นทุกข์ แต่จิตใจคนเราก็ไม่เอามาพิจารณาว่าเกิดเป็นทุกข์อย่างไร ใครบ้างเป็นทุกข์ในวันเวลาที่เราเกิด ต้องกำหนดพิจารณาดูเรื่องของตัวเอง ไม่ให้จิตใจออกไปนอกกายนอกจิต เมื่อจิตอยู่ที่กายวาจาจิตของตัวเองอยู่ มีสติในเวลาดู มีสติระลึกอยู่ในเวลาฟังเสียง ในเวลาดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องโผฏฐัพพะ ใจคิดธรรมารมณ์ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า จงเป็นผู้มีสติในเวลานั่ง จงเป็นผู้มีสติในเวลายืน จงเป็นผู้มีสติในเวลาเดิน ในเวลาไปรถไปรา เวลานั่ง เวลานอน ท่านให้มีสติระลึก
บางคราวบางเวลาเราไปนั่งในที่เราขาดสติ บนศีรษะบนหัวของเรามันมีไม้มีอะไรอยู่บนหัวบนศีรษะ แต่เราขาดสติ ไม่ได้ระลึกว่า เวลาเราลุกขึ้น เราจะต้องระวัง ไม่ได้คิด ! เมื่อคิดจะไปก็มองไปเห็นที่ตนจะไป ก็เลยลุกขึ้นด้วยความแรงสูง ศีรษะจะไปตำไม้ตำทิ่มอยู่แล้วนั้นแหละ บางคราวบางคนเมื่อตำแล้วจนกลับนั่งอีก มันไปไม่ได้เพราะว่าขาดสติ เอาศีรษะไปตำไม้ตำขอนตำสิ่งที่มันมีอยู่ใกล้ ๆ ตัวเองนั่นแหละ อันนี้ท่านว่าขาดสติ คนที่ไปไหนมาไหน พลาดล้ม แผ่นดินใหญ่เท่าใหญ่ ก็เหยียบพลาดไปล้ม ในเวลาล้มนั้นน่ะ ถ้าเด็กล้มก็พาให้เจริญวัยใหญ่โต แต่ถ้าคนแก่คนชราล้มก็พาให้ตาย คนแก่คนชราเพิ่นว่าห้ามล้ม ล้มละก็ตายล่ะ
จงภาวนาดูทุกอย่าง ยืนเดินนั่งนอนมีสติภาวนา พุทฺโธอยู่ พุทฺโธ ๆ จิตใจผู้รู้ ให้รู้แจ้งอยู่ในธรรมปฏิบัติระมัดระวังจิตใจของตน ไม่ให้โกรธให้คนโน้นคนนี้ ไม่ให้โกรธให้ตัวเอง ตั้งใจภาวนาเอาใจของตนให้แน่วแน่มั่นคง อย่าได้หลงใหล ความหลงใหลไปตามอำนาจกิเลส เวลามันหลงใหล มันหลงที่ไหน เรียกว่าหลงที่ขาดสติ คนเราเวลาพูด พูดไป ๆ ความหลงมันก็ขึ้นมาทับถมจิตใจขาดสติ เมื่อขาดสติ อื่น ๆ มันก็ขาดไป
สตินี้เมื่อระลึกอยู่ในกาย ในหลักของกายว่า กายนี้เต็มไปด้วยโลหิต เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ ตรวจตราพิจารณาร่างกายของตนเองอยู่ ให้มีสติ ไม่ให้หลงกาย จิตใจที่ไม่สงบระงับอยู่ทุกวันเวลานี้ เพราะอะไร เพราะจิตใจเราไม่ได้มาพิจารณากาย คือรูปขันธ์ตัวเอง เมื่อไม่พิจารณารูปขันธ์ตัวเองที่นั่งเฝ้า นอนเฝ้า กองกระดูกอยู่นี้ จึงได้เกิดความเกลียดชังบุคคลภายนอกที่ไม่ชอบพอใจตัวเอง จึงได้เกิดความรักใคร่พอใจในรูป รส กลิ่น เสียง จึงได้สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้ตัวเอง และเพื่อนมนุษย์ ให้ได้รับความเดือดร้อน วุ่นวาย
นี่คือไม่ตรวจกาย พิจารณาร่างกายอันเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ กายนี้ พระพุทธเจ้าสอนว่าให้กำหนดให้เห็นก้อนอสุภะที่มันมีอยู่ คำว่า อสุภะ ก็คือว่าของไม่งาม ไม่ใช่ของดิบของดี ไม่ใช่ของทนทาน ประการใด ถ้าหากว่าคนไหนได้ไปเยี่ยมคนป่วยคนไข้ หรือคนใกล้จะตาย หรือคนตาย ถ้ามันหมดลมเมื่อใด เวลาใด มันจะส่งกลิ่นเหม็นออกมา ยังไม่ตายก็จริง แต่ว่าธาตุต่าง ๆ มันตายไปแล้ว มันเกิดธาตุเหม็นธาตุเขียวขึ้นมาแล้วก็มี สังขารร่างกายของเราก็ตาม ของเขาก็ตาม มันเหมือน ๆ กัน ถ้าตายแล้ว มันเน่าแล้ว ไม่ว่าคนในเมือง คนนอกเมือง คนในป่าในดอย ในที่ใดก็ตาม ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ถ้ามันตายแล้ว กลิ่นเหม็นเหมือนกันหมด
ให้กำหนดตัวเองให้รู้ ภาวนาดูให้เข้าใจภายใน ให้เห็นว่าก้อนอสุภกรรมฐานมันไหลเข้าเทออก ตื่นเช้ามาแจ้งมาก็หาอาหารมาเลี้ยงไหลเข้าไป ตื่นนอนขึ้นมาก็ถ่ายไป ชีวิตของคนเรานี้เรียกว่าลำบาก ทุกข์ยากลำบากไม่ใช่สบาย
เราอยู่ทุกวันนี้ก็คือว่า ทนทุกขเวทนาเพราะวิบากกรรมที่มาลุ่มหลงมัวเมา ไม่บำเพ็ญทานรักษาศีล บำเพ็ญภาวนาให้เพียงพอ สติก็ขาดไป สมาธิก็ขาดไป ปัญญาก็ขาดไป ความรอบรู้ในกองสังขารไม่เพียงพอ จิตใจมันก็หลงพร่ำเพ้อขาดสติสัมปชัญญะ บุคคลที่ขาดสติสัมปชัญญะขาดภาวนาในใจ ความลุ่มหลงมัวเมามันเป็นคลื่นมหาสมุทร ทับถมจิตใจของบุคคลผู้นั้น ความมีหน้ามีตา ความมีชื่อมีเสียง ความหมายว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นของของเรา เมื่อไม่ภาวนาดู จิตใจมันก็เพลินออกไปข้างนอก หลงออกไปข้างนอก พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า สวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว สอนไว้ดีแล้ว บอกไว้ดีแล้วแม้ จะตรัสไว้ บอกไว้ สอนไว้ แนะนำไว้อย่างไรก็ตาม สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติผู้ภาวนาจะต้องรู้เองเห็นเอง ให้เข้าใจตามพระธรรมวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ท่านสอนท่านตรัสดีแล้ว อันนั้นมันดีของท่าน ของเรามันยังไม่ดี จึงให้พินิจพิจารณาภาวนา อย่าได้มีความท้อถอย อย่าไปเห็นว่าภาวนามันเจ็บหลัง ปวดเอว หลังและเอวข้อเท้าข้อเข่า มีร่างกายจะไม่ให้มันเจ็บปวดทุกขเวทนา (เป็นไป) ไม่ได้ เราต้องกำหนดรู้ให้มันเห็นเอง เห็นเองว่า นี่แหละร่างกาย สังขาร มันรอวันตายอยู่ทุกเวลา จิตเราอย่าได้มาหลงยึด ยึดหน้าถือตา ยึดตัวคือตน ยึดเรายึดของของเรา เวลาเป็นเด็กก็หลงวัยเด็ก วัยหนุ่ม ว่าตัวเองแข็งแรง ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ไข้และจะไม่ตายด้วย ที่ไหนได้ เมื่อความตายมาถึงเข้า เด็ก ๆ ก็ตายได้ คนหนุ่มแข็งแรงก็ตายได้ คนแก่คนชรายิ่งตายเร็ว ต้องภาวนาไว้ นึกไว้ เจริญไว้ พิจารณาไว้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับไตไส้พุง อาหารใหม่ อาหารเก่า ไหลเข้า เทออก ไม่ให้จิตใจออกหนีจากร่างกายสังขารของตัวเองเรียกว่า ภาวนา
ภาวนาเพียรเพ่งดูภายนอกมันเป็นอย่างไร ภายในเป็นอย่างไร กิเลสความโกรธที่มันอยู่นี่ มันอยู่ที่ไหน มันเป็นตัวอย่างไร กิเลสความโลภ คือความอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด มันอยู่ที่ไหน ทำไมเราภาวนาไม่เห็นมัน ต้องภาวนาให้มันรู้เห็นแจ้งในจิตในใจว่า ตัวโลภะ ตัวมานะ ตัวทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ มันอยู่ที่ไหน ภาวนาดู สนฺทิฏฐิโก ต้องเห็นเอง เห็นเอง รู้เอง เข้าใจเอง เรียกว่า อะไรผิดอะไรถูก จะได้แก้ไขด้วยสติปัญญาของตัวเอง จะไปรอว่าให้คนอื่นบอกตักเตือนไม่ได้ เราต้องตักเตือนจิตใจของเราเอง
ตัวเจ้าของเรามันอยู่ที่ไหน อะไรเป็นจิตอะไรเป็นใจ อะไรเป็นกาย อะไรเป็นวาจา ฝึกจิตใจของตัวเองให้มีสติ สนฺทิฏฐิโก เอาจนมันเห็นเอง เห็นเอง เข้าใจเอง ให้มันแจ่มแจ้ง ชัดเจน ซาบซึ้งตรึงใจ เอาจนให้มันรอบคอบ อะไรควร อะไรไม่ควร อะไรดี อะไรชั่ว ใครจะเป็นผู้ทำดีทำชั่ว มันมีที่ไหน ล้วนแล้วแต่มารวมอยู่ในสติสัมปชัญญะ สติวินัย ผู้จะรักษาพระวินัยได้ต้องมีสติ สติสัมโพชฌงค์ มหาสติปัฏฐานสี่ สติในเวลานั่งให้มี เวลาจะนั่งก็ให้มีสติ เวลาจะลุกก็ให้มีสติ เวลาจะยืนก็ให้มีสติ เวลาจะเดินก็ให้มีสติ เดินอยู่ก็ให้มีสติ ตาดูหูฟัง มีสติอยู่ในตัวในใจ นั่นจึงชื่อว่า สนฺทิฏฐิโก เอาจนรู้เองเห็นเอง ให้รอบคอบในตัวเราเอง ไม่มีคนอื่นที่จะไปตามรักษาให้ ตัวเองรักษาตัวเองทั้งนั้นแหละ
พระธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว แต่เรื่องที่จะนำมาประพฤติปฏิบัติสังวรระวังจิตใจกายวาจาจิตของเรา มันต้องอีกทีหนึ่ง พระองค์ตรัสดีแล้วเราก็ต้องทำดี ปฏิบัติดีด้วยกาย คือความประพฤติ ด้วยวาจาคือคำพูด ด้วยใจคือความคิดความภาวนาอยู่ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เรียกว่า สวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สนฺทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติต้องเห็นเองเข้าใจเอง อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา มีสติเมื่อใด เวลาใด ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเทศนาว่า การอยู่ทั้งวัน กลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ทุกอิริยาบถเหมือนกับฝนตกในฤดูฝน ไม่เลือกกาล เลือกเวลา ผู้ใดประพฤติดีปฏิบัติชอบไม่ท้อถอย ผู้นั้นก็ใกล้ไปสู่การบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ไม่ว่านั่ง นอน ยืน เดิน กลางคืน กลางวัน ภาวนาไม่ท้อถอย เอหิปสฺสิโก เป็นธรรมร้องเรียกผู้ปฎิบัติให้มาดูได้ ดูกาย ดูใจ ดูความผิดความถูกของตัวเอง เอหิ-จงดู ปสฺสิโก-จงเห็น จงดู จงเห็นอยู่ที่นี้ จิตแส่ส่ายไปภายนอกนั้นไม่ได้ คิดไปกว้างเท่าใด ก็หลงกว้างไปเท่านั้น ให้ โอปนยิโก รวมเข้ามา น้อมเข้ามา สืบเข้ามา อยู่ที่จิตใจดวงผู้รู้ ภาวนา พุทฺโธ อยู่ พุทฺโธ พุทธะ จิตใจดวงผู้มีความรู้อยู่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้เป็นดวงพุทธะ
พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ จิตใจทุกคนมันมีใจผู้รู้อยู่ในตัวทั้งนั้น แต่แทนที่ใจผู้รู้จะอยู่สงบตั้งมั่นอยู่ในธรรมปฏิบัติ มันกลายเป็นใจผู้หลง หลงไปตามรูป หลงไปตามเสียง หลงไอตามกลิ่น หลงไปตามรสอาหารการกิน หลงไปตามโผฏฐัพพะ เย็นร้อนอ่อนแข็ง หลงไปตามธรรมารมณ์ หลงไปตามโลก หลงไปตามธรรม คือไม่สงบตั้งมั่นอยู่ในกาย ในจิตของตัวเอง กิเลสโลเลมันพานั่ง กิเลสโลเลมันพานอน กิเลสโลเลมันพาไป กิเลสโลเลมันพาอยู่ เมื่อจิตใจโลเลไม่มีหลักศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ในตัว ในกาย วาจา จิตแล้ว เสียหลัก เสียหลักภาวนา ให้ตั้งจิตตั้งใจขึ้นมาในหัวใจของเราทุก ๆ คน คนเรานั้นมีบุญบารมีต่าง ๆ กัน มีสติมากน้อยกว่ากัน มีสมาธิมากน้อยกว่ากัน มีปัญญามากน้อยกว่ากัน ต้องภาวนาอยู่ ต้องทำอยู่ ปฏิบัติอยู่ รักษาอยู่ ตามรู้เห็นอยู่ ภายในจิตใจดวงใจของเรานี้
เมื่อเราได้เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนไข้ คนตาย คนอยู่ดี สบาย ไม่สบาย เห็นอะไรอยู่ก็ตาม อย่าได้หลงออกไป เอามาเตือนใจของเรา ให้มีสติ ให้มีสมาธิด้วย ให้มีปัญญาด้วย จนให้มีญาณอันวิเศษ ละกิเลส ราคะ โทสะ โมหะในจิตใจ ในกายวาจาจิตของตัวเอง ให้มันหมดไป สิ้นไป ให้ใจผ่องใสสะอาด ใจขี้เซาเหงานอน ไล่ให้มันไป ไปมัวหลับใหลอยู่ ไม่ได้ปัญญา ไม่ได้ความคิดที่ดี
คนเราโง่ (หรือ) ฉลาดมันอยู่ที่ความตั้งใจ ถ้าใจไม่ฉลาด มันก็เก็บเอาความโง่เขลาเบาปัญญามาไว้ อารมณ์ที่ดีมันนึกไม่ได้ พุทโธ ๆ ในใจมันนึกไม่ได้ แต่นึกรั่วไหลไปที่อื่น หลงใหลไปตามกิเลสของใจ กิเลสของโลก เมื่อหลงออกไปกว้างขวางเท่าไร ก็เรียกว่าจมลงไปในแม่น้ำมหาสมุทร คือว่าหลงไปตามสมมติของมนุษย์ที่สมมติอยู่ จิตและใจเราไม่ภาวนาไม่สงบเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว จึงใช้การไม่ได้ โอปนยิโก ท่านให้น้อมเข้ามาพิจารณา อะไรไม่ดีอย่าไปยึดไปถือเอา สิ่งใดดีมีประโยชน์ ไม่มีทุกข์โทษประการใด พระองค์ก็ให้เอามาภาวนาให้มันรู้เข้าใจไว้ ตั้งจิตใจให้มั่นคง หนักแน่น ดูพื้นแผ่นดินพื้นพสุธาหน้าแผ่นดินที่เรานั่งยืนเดินอยู่ สร้างบ้านเรือนอาศัย ตั้งแต่เกิดจนตาย เขามีความหนักแน่น ไม่หวั่นไหวสั่นสะเทือน มนุษย์จะทำดีให้แผ่นดินก็เฉย มนุษย์จะดุด่าว่าร้ายให้ทำลายแผ่นดินอย่างใด แผ่นดินเขาก็ไม่เดือดร้อน แต่กิเลสในใจของคนเรามันเดือดร้อน คือจิตใจไม่อยู่ไม่ภาวนา
ôôôôô ต่อหน้า 2 ôôôôô
ธรรมมีอยู่ทุกเวลา
พระธรรมเทศนาของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร
นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๒ ฉบับที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๑
การฟังธรรมนั้น ความจริงธรรมนั้นมีอยู่ทั่วไป ถ้าใจเราตั้งมั่นเป็นสมาธิภาวนา อะไร ๆ ก็เป็นธรรมเป็นพระธรรมพระวินัยทั้งนั้นแหละ การฟังธรรมจึงไม่เลือกกาล ไม่เลือกเวลากาลเวลาที่เราดังนี้เรียกว่าเป็นเวลาเป็นระยะ แต่ถ้าตัวเองสอนตัวเองฟังธรรมอยู่ในตัวเราแล้ว ธรรมมีอยู่ทุกเวลา นั่งก็ภาวนาได้ ยืนก็ภาวนาได้เดินก็ภาวนาได้ ไปรถไปราก็ภาวนาได้
เวลาไปรถไปราให้ภาวนาตายไว้ล่วงหน้า มรณํ เม ภวิสฺสติ (ความตายจักมีแก่เรา) ความตายอยู่ที่ความประมาท ผู้ใดประมาทเปรียบเหมือนคนตายแล้ว คนตายแล้วทำอะไรไม่ได้ ผู้ประมาทมัวเมาเข้าใจผิดคิดหลงลืมภาวนา พุทโธ ในใจลืมพิจารณาสังขาร ร่างกาย รูปธรรม นามธรรมของตัวเอง และของบุคคลผู้อื่น ขึ้นชื่อว่า รูป นามกาย ใจ ตัวตน สัตว์ บุคคล ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดกาล
การนั่งสมาธิภาวนาให้พากันนั่งขัดสมาธิเพชร การนั่งขัดสมาธิเพชรนี้ อย่าว่าเราทำไม่ได้ เมื่อเราทำไม่ได้คนอื่นเขาก็ว่าทำไม่ได้เหมือนกัน ที่เราทำไม่ได้เราติว่าขัดแข้งขัดขาเจ็บนั่นเจ็บนี่ รูปร่างกายของมนุษย์จะไม่ให้มันเจ็บมันเป็นไม่ได้ เกิดมาแล้วจะไปคิดว่า ไม่ให้มันแก่ชรา มีทางแก้ไขได้ที่ไหน มันแก้ไม่ได้ ความแก่ความชรามันแก่ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ อยู่ในท้องแม่ก็คือว่าแก่ คนอยู่ในท้องแม่มันแก่แล้ว มันใกล้จะคลอดแล้ว นั่นน่ะมันแก่ตั้งแต่มาอยู่ท้องแม่ เมื่อเกิดมาแล้วมันก็แก่เรื่อยมา มันแก่ขึ้น แก่ลง เจริญขึ้น แล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรที่จะคงที่ได้
แต่ความอยากความปรารถนาของคนเรานั้น อารมณ์เรื่องราวใดที่เป็นความสุขกายสบายใจ ก็อยากให้อารมณ์เรื่องราวนั้นอยู่ได้นาน ถ้าเรื่องราวอะไรเป็นอารมณ์ที่เสีย อารมณ์ที่ไม่ชอบพอใจ ก็ไม่ต้องการ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ในโลกนี้มันมีทุกอย่าง ก็ล้วนแล้วแต่ธรรมเทศนาทั้งนั้นแหละ เราได้เห็นคนเกิด ก็เป็นธรรมเทศนาสอนใจ ว่าเกิดมาเป็นทุกข์อย่างนี้นะ ทุกข์ทั้งผู้เกิด ทั้งผู้ให้เกิด ดูสภาพความเกิด พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ความเกิดเป็นทุกข์ แต่จิตใจคนเราก็ไม่เอามาพิจารณาว่าเกิดเป็นทุกข์อย่างไร ใครบ้างเป็นทุกข์ในวันเวลาที่เราเกิด ต้องกำหนดพิจารณาดูเรื่องของตัวเอง ไม่ให้จิตใจออกไปนอกกายนอกจิต เมื่อจิตอยู่ที่กายวาจาจิตของตัวเองอยู่ มีสติในเวลาดู มีสติระลึกอยู่ในเวลาฟังเสียง ในเวลาดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องโผฏฐัพพะ ใจคิดธรรมารมณ์ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า จงเป็นผู้มีสติในเวลานั่ง จงเป็นผู้มีสติในเวลายืน จงเป็นผู้มีสติในเวลาเดิน ในเวลาไปรถไปรา เวลานั่ง เวลานอน ท่านให้มีสติระลึก
บางคราวบางเวลาเราไปนั่งในที่เราขาดสติ บนศีรษะบนหัวของเรามันมีไม้มีอะไรอยู่บนหัวบนศีรษะ แต่เราขาดสติ ไม่ได้ระลึกว่า เวลาเราลุกขึ้น เราจะต้องระวัง ไม่ได้คิด ! เมื่อคิดจะไปก็มองไปเห็นที่ตนจะไป ก็เลยลุกขึ้นด้วยความแรงสูง ศีรษะจะไปตำไม้ตำทิ่มอยู่แล้วนั้นแหละ บางคราวบางคนเมื่อตำแล้วจนกลับนั่งอีก มันไปไม่ได้เพราะว่าขาดสติ เอาศีรษะไปตำไม้ตำขอนตำสิ่งที่มันมีอยู่ใกล้ ๆ ตัวเองนั่นแหละ อันนี้ท่านว่าขาดสติ คนที่ไปไหนมาไหน พลาดล้ม แผ่นดินใหญ่เท่าใหญ่ ก็เหยียบพลาดไปล้ม ในเวลาล้มนั้นน่ะ ถ้าเด็กล้มก็พาให้เจริญวัยใหญ่โต แต่ถ้าคนแก่คนชราล้มก็พาให้ตาย คนแก่คนชราเพิ่นว่าห้ามล้ม ล้มละก็ตายล่ะ
จงภาวนาดูทุกอย่าง ยืนเดินนั่งนอนมีสติภาวนา พุทฺโธอยู่ พุทฺโธ ๆ จิตใจผู้รู้ ให้รู้แจ้งอยู่ในธรรมปฏิบัติระมัดระวังจิตใจของตน ไม่ให้โกรธให้คนโน้นคนนี้ ไม่ให้โกรธให้ตัวเอง ตั้งใจภาวนาเอาใจของตนให้แน่วแน่มั่นคง อย่าได้หลงใหล ความหลงใหลไปตามอำนาจกิเลส เวลามันหลงใหล มันหลงที่ไหน เรียกว่าหลงที่ขาดสติ คนเราเวลาพูด พูดไป ๆ ความหลงมันก็ขึ้นมาทับถมจิตใจขาดสติ เมื่อขาดสติ อื่น ๆ มันก็ขาดไป
สตินี้เมื่อระลึกอยู่ในกาย ในหลักของกายว่า กายนี้เต็มไปด้วยโลหิต เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ ตรวจตราพิจารณาร่างกายของตนเองอยู่ ให้มีสติ ไม่ให้หลงกาย จิตใจที่ไม่สงบระงับอยู่ทุกวันเวลานี้ เพราะอะไร เพราะจิตใจเราไม่ได้มาพิจารณากาย คือรูปขันธ์ตัวเอง เมื่อไม่พิจารณารูปขันธ์ตัวเองที่นั่งเฝ้า นอนเฝ้า กองกระดูกอยู่นี้ จึงได้เกิดความเกลียดชังบุคคลภายนอกที่ไม่ชอบพอใจตัวเอง จึงได้เกิดความรักใคร่พอใจในรูป รส กลิ่น เสียง จึงได้สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้ตัวเอง และเพื่อนมนุษย์ ให้ได้รับความเดือดร้อน วุ่นวาย
นี่คือไม่ตรวจกาย พิจารณาร่างกายอันเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ กายนี้ พระพุทธเจ้าสอนว่าให้กำหนดให้เห็นก้อนอสุภะที่มันมีอยู่ คำว่า อสุภะ ก็คือว่าของไม่งาม ไม่ใช่ของดิบของดี ไม่ใช่ของทนทาน ประการใด ถ้าหากว่าคนไหนได้ไปเยี่ยมคนป่วยคนไข้ หรือคนใกล้จะตาย หรือคนตาย ถ้ามันหมดลมเมื่อใด เวลาใด มันจะส่งกลิ่นเหม็นออกมา ยังไม่ตายก็จริง แต่ว่าธาตุต่าง ๆ มันตายไปแล้ว มันเกิดธาตุเหม็นธาตุเขียวขึ้นมาแล้วก็มี สังขารร่างกายของเราก็ตาม ของเขาก็ตาม มันเหมือน ๆ กัน ถ้าตายแล้ว มันเน่าแล้ว ไม่ว่าคนในเมือง คนนอกเมือง คนในป่าในดอย ในที่ใดก็ตาม ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ถ้ามันตายแล้ว กลิ่นเหม็นเหมือนกันหมด
ให้กำหนดตัวเองให้รู้ ภาวนาดูให้เข้าใจภายใน ให้เห็นว่าก้อนอสุภกรรมฐานมันไหลเข้าเทออก ตื่นเช้ามาแจ้งมาก็หาอาหารมาเลี้ยงไหลเข้าไป ตื่นนอนขึ้นมาก็ถ่ายไป ชีวิตของคนเรานี้เรียกว่าลำบาก ทุกข์ยากลำบากไม่ใช่สบาย
เราอยู่ทุกวันนี้ก็คือว่า ทนทุกขเวทนาเพราะวิบากกรรมที่มาลุ่มหลงมัวเมา ไม่บำเพ็ญทานรักษาศีล บำเพ็ญภาวนาให้เพียงพอ สติก็ขาดไป สมาธิก็ขาดไป ปัญญาก็ขาดไป ความรอบรู้ในกองสังขารไม่เพียงพอ จิตใจมันก็หลงพร่ำเพ้อขาดสติสัมปชัญญะ บุคคลที่ขาดสติสัมปชัญญะขาดภาวนาในใจ ความลุ่มหลงมัวเมามันเป็นคลื่นมหาสมุทร ทับถมจิตใจของบุคคลผู้นั้น ความมีหน้ามีตา ความมีชื่อมีเสียง ความหมายว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นของของเรา เมื่อไม่ภาวนาดู จิตใจมันก็เพลินออกไปข้างนอก หลงออกไปข้างนอก พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า สวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว สอนไว้ดีแล้ว บอกไว้ดีแล้วแม้ จะตรัสไว้ บอกไว้ สอนไว้ แนะนำไว้อย่างไรก็ตาม สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติผู้ภาวนาจะต้องรู้เองเห็นเอง ให้เข้าใจตามพระธรรมวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ท่านสอนท่านตรัสดีแล้ว อันนั้นมันดีของท่าน ของเรามันยังไม่ดี จึงให้พินิจพิจารณาภาวนา อย่าได้มีความท้อถอย อย่าไปเห็นว่าภาวนามันเจ็บหลัง ปวดเอว หลังและเอวข้อเท้าข้อเข่า มีร่างกายจะไม่ให้มันเจ็บปวดทุกขเวทนา (เป็นไป) ไม่ได้ เราต้องกำหนดรู้ให้มันเห็นเอง เห็นเองว่า นี่แหละร่างกาย สังขาร มันรอวันตายอยู่ทุกเวลา จิตเราอย่าได้มาหลงยึด ยึดหน้าถือตา ยึดตัวคือตน ยึดเรายึดของของเรา เวลาเป็นเด็กก็หลงวัยเด็ก วัยหนุ่ม ว่าตัวเองแข็งแรง ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ไข้และจะไม่ตายด้วย ที่ไหนได้ เมื่อความตายมาถึงเข้า เด็ก ๆ ก็ตายได้ คนหนุ่มแข็งแรงก็ตายได้ คนแก่คนชรายิ่งตายเร็ว ต้องภาวนาไว้ นึกไว้ เจริญไว้ พิจารณาไว้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับไตไส้พุง อาหารใหม่ อาหารเก่า ไหลเข้า เทออก ไม่ให้จิตใจออกหนีจากร่างกายสังขารของตัวเองเรียกว่า ภาวนา
ภาวนาเพียรเพ่งดูภายนอกมันเป็นอย่างไร ภายในเป็นอย่างไร กิเลสความโกรธที่มันอยู่นี่ มันอยู่ที่ไหน มันเป็นตัวอย่างไร กิเลสความโลภ คือความอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด มันอยู่ที่ไหน ทำไมเราภาวนาไม่เห็นมัน ต้องภาวนาให้มันรู้เห็นแจ้งในจิตในใจว่า ตัวโลภะ ตัวมานะ ตัวทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ มันอยู่ที่ไหน ภาวนาดู สนฺทิฏฐิโก ต้องเห็นเอง เห็นเอง รู้เอง เข้าใจเอง เรียกว่า อะไรผิดอะไรถูก จะได้แก้ไขด้วยสติปัญญาของตัวเอง จะไปรอว่าให้คนอื่นบอกตักเตือนไม่ได้ เราต้องตักเตือนจิตใจของเราเอง
ตัวเจ้าของเรามันอยู่ที่ไหน อะไรเป็นจิตอะไรเป็นใจ อะไรเป็นกาย อะไรเป็นวาจา ฝึกจิตใจของตัวเองให้มีสติ สนฺทิฏฐิโก เอาจนมันเห็นเอง เห็นเอง เข้าใจเอง ให้มันแจ่มแจ้ง ชัดเจน ซาบซึ้งตรึงใจ เอาจนให้มันรอบคอบ อะไรควร อะไรไม่ควร อะไรดี อะไรชั่ว ใครจะเป็นผู้ทำดีทำชั่ว มันมีที่ไหน ล้วนแล้วแต่มารวมอยู่ในสติสัมปชัญญะ สติวินัย ผู้จะรักษาพระวินัยได้ต้องมีสติ สติสัมโพชฌงค์ มหาสติปัฏฐานสี่ สติในเวลานั่งให้มี เวลาจะนั่งก็ให้มีสติ เวลาจะลุกก็ให้มีสติ เวลาจะยืนก็ให้มีสติ เวลาจะเดินก็ให้มีสติ เดินอยู่ก็ให้มีสติ ตาดูหูฟัง มีสติอยู่ในตัวในใจ นั่นจึงชื่อว่า สนฺทิฏฐิโก เอาจนรู้เองเห็นเอง ให้รอบคอบในตัวเราเอง ไม่มีคนอื่นที่จะไปตามรักษาให้ ตัวเองรักษาตัวเองทั้งนั้นแหละ
พระธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว แต่เรื่องที่จะนำมาประพฤติปฏิบัติสังวรระวังจิตใจกายวาจาจิตของเรา มันต้องอีกทีหนึ่ง พระองค์ตรัสดีแล้วเราก็ต้องทำดี ปฏิบัติดีด้วยกาย คือความประพฤติ ด้วยวาจาคือคำพูด ด้วยใจคือความคิดความภาวนาอยู่ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เรียกว่า สวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สนฺทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติต้องเห็นเองเข้าใจเอง อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา มีสติเมื่อใด เวลาใด ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเทศนาว่า การอยู่ทั้งวัน กลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ทุกอิริยาบถเหมือนกับฝนตกในฤดูฝน ไม่เลือกกาล เลือกเวลา ผู้ใดประพฤติดีปฏิบัติชอบไม่ท้อถอย ผู้นั้นก็ใกล้ไปสู่การบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ไม่ว่านั่ง นอน ยืน เดิน กลางคืน กลางวัน ภาวนาไม่ท้อถอย เอหิปสฺสิโก เป็นธรรมร้องเรียกผู้ปฎิบัติให้มาดูได้ ดูกาย ดูใจ ดูความผิดความถูกของตัวเอง เอหิ-จงดู ปสฺสิโก-จงเห็น จงดู จงเห็นอยู่ที่นี้ จิตแส่ส่ายไปภายนอกนั้นไม่ได้ คิดไปกว้างเท่าใด ก็หลงกว้างไปเท่านั้น ให้ โอปนยิโก รวมเข้ามา น้อมเข้ามา สืบเข้ามา อยู่ที่จิตใจดวงผู้รู้ ภาวนา พุทฺโธ อยู่ พุทฺโธ พุทธะ จิตใจดวงผู้มีความรู้อยู่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้เป็นดวงพุทธะ
พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ จิตใจทุกคนมันมีใจผู้รู้อยู่ในตัวทั้งนั้น แต่แทนที่ใจผู้รู้จะอยู่สงบตั้งมั่นอยู่ในธรรมปฏิบัติ มันกลายเป็นใจผู้หลง หลงไปตามรูป หลงไปตามเสียง หลงไอตามกลิ่น หลงไปตามรสอาหารการกิน หลงไปตามโผฏฐัพพะ เย็นร้อนอ่อนแข็ง หลงไปตามธรรมารมณ์ หลงไปตามโลก หลงไปตามธรรม คือไม่สงบตั้งมั่นอยู่ในกาย ในจิตของตัวเอง กิเลสโลเลมันพานั่ง กิเลสโลเลมันพานอน กิเลสโลเลมันพาไป กิเลสโลเลมันพาอยู่ เมื่อจิตใจโลเลไม่มีหลักศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ในตัว ในกาย วาจา จิตแล้ว เสียหลัก เสียหลักภาวนา ให้ตั้งจิตตั้งใจขึ้นมาในหัวใจของเราทุก ๆ คน คนเรานั้นมีบุญบารมีต่าง ๆ กัน มีสติมากน้อยกว่ากัน มีสมาธิมากน้อยกว่ากัน มีปัญญามากน้อยกว่ากัน ต้องภาวนาอยู่ ต้องทำอยู่ ปฏิบัติอยู่ รักษาอยู่ ตามรู้เห็นอยู่ ภายในจิตใจดวงใจของเรานี้
เมื่อเราได้เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนไข้ คนตาย คนอยู่ดี สบาย ไม่สบาย เห็นอะไรอยู่ก็ตาม อย่าได้หลงออกไป เอามาเตือนใจของเรา ให้มีสติ ให้มีสมาธิด้วย ให้มีปัญญาด้วย จนให้มีญาณอันวิเศษ ละกิเลส ราคะ โทสะ โมหะในจิตใจ ในกายวาจาจิตของตัวเอง ให้มันหมดไป สิ้นไป ให้ใจผ่องใสสะอาด ใจขี้เซาเหงานอน ไล่ให้มันไป ไปมัวหลับใหลอยู่ ไม่ได้ปัญญา ไม่ได้ความคิดที่ดี
คนเราโง่ (หรือ) ฉลาดมันอยู่ที่ความตั้งใจ ถ้าใจไม่ฉลาด มันก็เก็บเอาความโง่เขลาเบาปัญญามาไว้ อารมณ์ที่ดีมันนึกไม่ได้ พุทโธ ๆ ในใจมันนึกไม่ได้ แต่นึกรั่วไหลไปที่อื่น หลงใหลไปตามกิเลสของใจ กิเลสของโลก เมื่อหลงออกไปกว้างขวางเท่าไร ก็เรียกว่าจมลงไปในแม่น้ำมหาสมุทร คือว่าหลงไปตามสมมติของมนุษย์ที่สมมติอยู่ จิตและใจเราไม่ภาวนาไม่สงบเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว จึงใช้การไม่ได้ โอปนยิโก ท่านให้น้อมเข้ามาพิจารณา อะไรไม่ดีอย่าไปยึดไปถือเอา สิ่งใดดีมีประโยชน์ ไม่มีทุกข์โทษประการใด พระองค์ก็ให้เอามาภาวนาให้มันรู้เข้าใจไว้ ตั้งจิตใจให้มั่นคง หนักแน่น ดูพื้นแผ่นดินพื้นพสุธาหน้าแผ่นดินที่เรานั่งยืนเดินอยู่ สร้างบ้านเรือนอาศัย ตั้งแต่เกิดจนตาย เขามีความหนักแน่น ไม่หวั่นไหวสั่นสะเทือน มนุษย์จะทำดีให้แผ่นดินก็เฉย มนุษย์จะดุด่าว่าร้ายให้ทำลายแผ่นดินอย่างใด แผ่นดินเขาก็ไม่เดือดร้อน แต่กิเลสในใจของคนเรามันเดือดร้อน คือจิตใจไม่อยู่ไม่ภาวนา
ôôôôô ต่อหน้า 2 ôôôôô