PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : สู่ชีวิตที่สงบเย็น และ เป็นอิสระ ท่านพระไพศาล วิสาโล



lek
11-16-2010, 04:51 AM
หมวดหมู่ คอลัมน์ มองอย่างพุทธ บทความนี้โพสใน วันพุธที่ 4 สิงหาคม 2010 เวลา 17:09 น.

มติชน ฉบับเดือน กรกฎาคม 2553

เมื่อสองเดือนที่แล้วมีรายงานข่าวว่าศาลเกาหลีใต้ได้ตัดสินจำคุกสามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นเวลาสองปี
เนื่องจากทิ้งให้ลูกสาววัยสามเดือนอดอาหารจนตาย

ทารกที่น่าสงสารคนนี้มิได้ถูกทิ้งที่กองขยะอย่างที่มักจะเป็นข่าว หากถูกปล่อยไว้ที่บ้านของเธอเอง
ส่วนคนที่หายไปจากบ้านคือผู้ที่เป็นพ่อแม่ ทั้งสองคนไปขลุกอยู่ที่ร้านอินเตอร์ทั้งวัน
เนื่องจากติดเกมอย่างหนัก รายงานข่าวไม่ได้แจ้งว่าทั้งสองมีเวลาไปทำมาหากินหรือไม่
แต่ที่แน่ ๆ ก็คือทารกน้อยได้รับอาหารเพียงวันละมื้อเท่านั้น ซึ่งก็คงเป็นช่วงที่ทั้งสองกลับไปนอนบ้าน

ผู้เป็นพ่อนั้นมิใช่วัยรุ่น หากเป็นผู้ใหญ่วัย 41 ปี ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ เกมออนไลน์
ที่เขาและภรรยาวัย 25 ปี ติดหนักจนโงหัวไม่ขึ้น
มิใช่เกมบู๊ล้างผลาญเต็มไปด้วยความรุนแรง หากเป็น เกมชื่อ “พริอุส”
ซึ่งผู้เล่นจะต้องเพียรพยายามช่วยเหลือเด็กหญิงนาม “อะนิเมะ”
ให้สามารถฟื้นฟูความทรงจำและพัฒนาอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ของตนเอง

ใครจะคาดคิดว่า ขณะที่สามีภรรยาคู่นี้เอาจริงเอาจังกับการช่วยเด็กหญิงในจินตนาการ
แต่กลับละทิ้งลูกน้อยของตัว ซึ่งมีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานเนื่องจากคลอดก่อนกำหนด
เท่านั้นยังไม่พอเมื่อกลับมาบ้าน ทั้งสองยังตีลูกน้อยของตัวด้วย

ข่าวนี้ตอกย้ำถึงอานุภาพของเกมออนไลน์ ซึ่งสามารถสะกดผู้คนให้ลุ่มหลงและเสพติดอย่างหนัก
จนลืมได้แม้กระทั่งลูกตัวเอง

เกมออนไลน์หากเสพติดเมื่อใด ก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งของตนเองและผู้อื่น

เมื่อปีที่แล้วก็มีข่าวว่า หนุ่มเกาหลีใต้ผู้หนึ่งติดเกมออนไลน์อย่างหนัก จนไม่สนใจการงาน
ในที่สุดก็ถูกไล่ออกจากงาน แทนที่จะเสียใจ เขากลับดีใจที่ได้เล่นเกมเต็มที่
คราวนี้เขาขลุกอยู่แต่ในห้องเล่นเกมทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน อาหารก็กินหน้าจอ
คอมพิวเตอร์ หลังจากเล่นเกมแบบไม่หยุดติดต่อกันถึง 36 ชั่วโมง
ร่างกายเขาก็ทนไม่ไหว ถึงกับช็อคและเสียชีวิตคาแป้น

เสน่ห์อย่างหนึ่งของเกมออนไลน์คือให้ความตื่นเต้น เพราะเต็มไปด้วยสิ่งท้าทาย
ที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากเอาชนะ หากแพ้ก็อยากแก้มือเพื่อเป็นผู้ชนะให้ได้
ถ้าชนะก็ดีใจ อยากเล่นต่อเพราะติดใจในชัยชนะ (และรางวัลที่ได้รับ
ไม่ว่าจะเป็นคะแนนหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ) นี้คือเสน่ห์อย่างเดียวกับที่ทำให้คนติดการพนัน
เป็นแต่ว่ารางวัลที่ได้จากการพนันนั้นสามารถเอาไปซื้อความสุข
อย่างอื่นได้อีกเพราะเป็นเงินจริง ๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่การพนันไม่สามารถให้ได้ ก็คือความรู้สึกมีอำนาจมากกว่าเดิม
เกมออนไลน์ได้สร้างโลกเสมือนจริงที่ผู้เล่นมีความสามารถนานัปการ
ซึ่งสามารถเพิ่มพูนได้เรื่อย ๆ จนกลายเป็นยอดมนุษย์ มีอำนาจควบคุมสิ่งต่าง ๆ
ได้มากมาย ซึ่งมิอาจทำได้ในโลกแห่งความเป็นจริง
มันยังทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าเป็นพระเอก หรือวีรชนเพราะได้ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก
หรือปราบปรามศัตรูผู้หมายทำลายโลก ความรู้สึกอย่างนี้มีความหมายต่อผู้เล่นมาก
เพราะไม่อาจหาได้ในชีวิตจริง ใคร ๆ ก็อยากเป็นคนเก่ง เป็นพระเอกนางเอก
หรือวีรชนทั้งนั้น ในอดีตคนส่วนใหญ่ทำได้อย่างมากก็แค่ฝันกลางวัน
แต่เกมออนไลน์ได้สร้างโลกเสมือนจริงที่ตอบสนองความต้องการดังกล่าว
ทำให้ความรู้สึกว่า “กูแน่”นั้นดูเข้มข้นสมจริงยิ่งกว่าเดิม
สำหรับคนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้แพ้ คนไม่เก่ง ไร้อำนาจในชีวิตจริง
อะไรจะทำให้มีความสุขและชวนลุ่มหลงเท่ากับการหลุดเข้าไปในโลกแบบนี้

พูดง่าย ๆ เสน่ห์ที่สำคัญที่สุดของเกมออนไลน์ ก็คือการสนองและปรนเปรออัตตาของผู้เล่น
ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยหรือมีชีวิตชีวาขึ้นมา (ซึ่งสัมพันธ์กับสารเคมีบางอย่างที่หลั่งออกมาด้วย)
ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันกันอย่างรุนแรง คนส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นผู้ชนะ
ขณะที่คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าตนเป็นผู้แพ้ ไร้ความสามารถ ไม่มีน้ำยา
(ที่จริงแค่รู้สึกว่าเป็นคนธรรมดาก็ยากที่คนสมัยนี้จะรับได้
เพราะถูกปลูกฝังว่าชีวิตนี้จะมีคุณค่า ก็ต่อเมื่อเป็นผู้ชนะหรือคนเก่งเท่านั้น)

ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจ ที่มีผู้คนเป็นอันมากจมหายเข้าไปในโลกเสมือนผ่านเกมออนไลน์
จนลืมโลกแห่งความเป็นจริง หลายคนเพลินกับการเป็นวีรบุรุษช่วยเด็กที่น่าสงสารในโลกเสมือนจริง
จนลืมลูกน้อยของตัวที่บ้านไป ในที่สุดจึงกลายเป็นผู้ร้ายในโลกแห่งความเป็นจริง ดังสามีภรรยาในเรื่องข้างต้น

เกมออนไลน์เมื่อเล่นมาก ๆ ย่อมทำให้ผู้คนลืมตัว และเมื่อลืมตัวแล้ว
ก็สามารถลืมทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกเมียพ่อแม่หรือหน้าที่ความรับผิดชอบ
ทำให้เกิดความเสียหายตามมามากมาย แต่คนเราไม่ได้ลืมตัวเพราะเกมออนไลน์เท่านั้น
มีอีกมากมายที่ทำให้เราลืมตัวได้ แต่ไหนแต่ไรมาสิ่งที่ทำให้ลืมตัวมีชื่อเรียกรวม ๆ ว่า
“อบายมุข” พุทธศาสนาได้จำแนกออกเป็น 6 อย่าง คือสุรายาเสพติดการพนัน
การเที่ยวกลางคืน การเที่ยวดูการละเล่น การคบคนชั่ว และความเกียจคร้าน
แต่ในปัจจุบันการจำแนกเท่านี้ ย่อมไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะช่องทางแห่งความเสื่อม
อันเนื่องจากความลืมตัวนั้นได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น นอกจากเกมออนไลน์แล้ว
โทรทัศน์ภาพยนตร์ หรือแม้แต่การช็อปปิ้งก็สามารถทำให้เกิดการเสพติดจนลืมตัวได้

ทุกวันนี้สำหรับคนจำนวนไม่น้อย การช็อปปิ้งเป็นมากกว่ากิจวัตร
เพราะกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว เลิกเรียน
หรือเลิกงานเมื่อไร เป็นต้องไปเที่ยวห้าง มิใช่เพื่อเสพสิ่งปรนเปรอทางผัสสะทั้งห้า
หรือสนองความอยากทางกามเท่านั้น หากยังเพราะ
รู้สึกมีอำนาจเมื่อได้ซื้อสิ่งของตามใจนึกและได้รับบริการจากผู้คน
ดังนั้นเมื่อไปเที่ยวห้างแล้วไม่ซื้ออะไรเลย (ไม่ว่าสินค้าหรือบริการ)
ก็เหมือนกับไม่ได้ไป แม้จะไม่มีเงินก็ต้องดิ้นรนหาบัตรเครดิตมาจนได้
ยิ่งจ่ายเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุข และยิ่งมีความสุขก็ยิ่งจ่ายจนหนี้ล้นพ้นตัว
ของที่ซื้อมานั้นจำนวนมากอาจจะไม่ได้ใช้เลย แต่ก็ยังซื้ออีก
เพราะความสุขอยู่ที่การซื้อและได้มา หาได้อยู่ที่การใช้ไม่
ถ้าถามว่านักช็อปปิ้งเสพติดอะไร ก็ต้องตอบว่าเสพติดประสบการณ์การช็อปปิ้ง
ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงทุรนทุราย กระสับกระส่าย เป็นอย่างยิ่งเมื่อคนเสื้อแดงยึดราชประสงค์
เพราะทำให้ไม่สามารถไปช็อปปิ้งในศูนย์การค้าชื่อดังบริเวณนั้น นานถึงเดือนครึ่ง

กระแสบริโภคนิยม ดูเหมือนจะทำให้เรามีเสรีภาพมากขึ้น ในการเสพและแสวงหาความสุข
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือผู้คนมีอิสรภาพในทางจิตใจน้อยลง
เพราะตกเป็นทาสของอบายมุขทั้งเก่าและใหม่มากขึ้น
ชีวิตจึงติดอยู่ในกับดักแห่งความทุกข์ ยากจะไถ่ถอนออกมา
ได้ แม้จะได้รับความสุขอยู่บ้างจากการเสพวัตถุ แต่ก็ชโลมใจชั่วคราว
เพราะเป็นสุขที่เจือด้วยทุกข์ และทำให้ลุ่มหลงหรือลืมตัวหนักขึ้น

หากปรารถนาชีวิตที่เป็นสุขอย่างแท้จริง จะต้องพยายามยกจิต
ให้เป็นอิสระจากอบายมุขทั้งหลาย รวมทั้งพึ่งพาความสุขจากวัตถุให้น้อยลง
เริ่มต้นด้วยการลดการเสพจนสามารถเลิกได้ในที่สุด ตั้งแต่อบายมุขอย่างหยาบ
(สุรา ยาเสพติด การพนัน สถานเริงรมย์) จนถึงอบายมุขอย่างละเอียด
(เกมออนไลน์ การช็อปปิ้ง ละครโทรทัศน์) ขณะเดียวกัน
ก็มีความสุขอย่างประณีตมาทดแทน เช่น สุขจากสมาธิภาวนา
สุขจากการทำบุญสร้างกุศล สุขจากการบำเพ็ญประโยชน์ เป็นต้น
ยิ่งได้สัมผัสกับความสุขประณีตมากเท่าไร ก็ยิ่งเห็นชัดว่าสุขจากอบายมุข
และวัตถุนั้นเต็มไปด้วยโทษ ไม่น่าพัวพันลุ่มหลง
หากทำได้มากกว่านั้นคือฝึกฝนจิตใจให้รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ
ก็จะไม่ถูกกิเลสครอบงำจนลืมตัว หรือมัวแต่ปรนเปรออัตตาจนถลำสู่ความเสื่อม
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ ปัญญาที่ตระหนักชัดว่าความสุขที่แท้อยู่ที่ใจซึ่งโปร่งโล่ง
สงบเย็น เป็นอิสระ ไม่หลงใหลติดยึดในตัวตน ความตระหนักชัดดังกล่าว
จะเป็นทั้งฐานที่มั่นคงและพลังขับเคลื่อน ให้ชีวิตเป็นอิสระอย่างแท้จริง

วิธีการดังกล่าวพุทธศาสนาเรียกว่าไตรสิกขา หรือการฝึกฝนพัฒนาตนอย่างเป็นระบบ
ครบถ้วนทั้งสามด้าน คือด้านพฤติกรรม (ศีล) ด้านอารมณ์(สมาธิ)
และด้านความเข้าใจ(ปัญญา) ไตรสิกขามิใช่สิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ลุ่มหลงในวัตถุเท่านั้น
หากยังจำเป็นสำหรับทุกคนที่ปรารถนาชีวิตที่ดีงาม ดังนั้นจึงควรทำเป็นประจำในชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตามในชีวิตประจำวันนั้น คนทั่วไปมักทำได้ไม่ต่อเนื่องเพราะมีภารกิจรัดตัว
ดังนั้นจึงควรจัดหาเวลาเพื่อการฝึกฝนพัฒนาตน
อย่างจริงจัง ในประเพณีของพุทธศาสนา ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการฝึกฝนพัฒนาตนก็คือ
ช่วงเข้าพรรษา ในช่วงสามเดือนดังกล่าวกุลบุตรจึงนิยมบวชพระเพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม
ส่วนผู้ที่ยังครองเพศคฤหัสถ์อยู่ ก็เข้าวัดถือศีล บำเพ็ญภาวนา ตลอดพรรษาเช่นกัน
หรืออย่างน้อยก็ทุกวันพระ

ในอดีตการถือศีลช่วงเข้าพรรษา มักเป็นการถือศีลตามประเพณี เช่น ถือศีล 5 หรือศีล 8
ซึ่งล้วนเป็นไปเพื่อการการละอบายมุขหรือ
ห่างไกลจากกามสุข (เช่น ถือพรหมจรรย์ ไม่กินอาหารหลังเที่ยง ไม่ดูหนังฟังเพลงหรือละเล่น)
แต่ทุกวันนี้มีอบายมุขอย่างใหม่เข้ามาพัวพันในชีวิตของเรามากขึ้น จึงควรใช้ช่วงเวลาดังกล่าว
ในการลดละอบายมุขอย่างใหม่เหล่านี้ด้วย เช่น ลดการช็อปปิ้ง พักการเล่นเกมออนไลน์
ชมรายการบันเทิงทางโทรทัศน์ให้น้อยลง หรือมีวันปลอดความบันเทิงอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
โดยอาจทำเป็นส่วนตัวหรือร่วมกันทำในครอบครัว ใครที่อยากละเลิกนิสัยไม่ดีบางประการ
เช่น ตื่นสาย ติดกาแฟ ชอบนินทา ขี้บ่น ก็น่าจะทำในช่วงนี้ด้วย
เช่นกัน

นอกจากการลดละอบายมุขและพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นโทษแล้ว ทุกวันควรมีเวลาเจริญสมาธิ
ทำจิตให้สงบผ่องใสอย่างน้อยวันละ 5-10 นาที หรือสวดมนต์ทบทวนพุทธวัจนะทุกคืนก่อนนอน
กิจกรรมเหล่านี้หากทำร่วมกันเป็นกลุ่ม (หรือผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์
ก็จะช่วยให้เกิดกำลังใจและความมุ่งมั่นที่จะทำต่อเนื่องทั้งพรรษา

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตน แต่จะดียิ่งขึ้นหากมีการบำเพ็ญประโยชน์ท่านให้มากขึ้นด้วย
เช่นบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่มีประโยชน์ หรือเสนอตัวเป็นจิตอาสา
ช่วยเหลือส่วนรวมหรือเกื้อกูลผู้ตกทุกข์ได้ยาก อันที่จริงกิจกรรมดังกล่าว
ไม่เพียงช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขเท่านั้น หากยังนำความสุขมาสู่ผู้กระทำด้วย
ก่อให้เกิดความปลื้มปีติและภาคภูมิใจ หลายคนได้พบว่าชีวิตที่เคยว่างเปล่านั้นได้รับการเติมเต็ม
รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะรู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่า
ผู้คนจึงพยายามไขว่คว้าความสุขทางวัตถุมาชดเชย หรือไม่ก็หนีปัญหา
ด้วยการไปหมกมุ่นกับอบายมุข รวมทั้งจมอยู่ในโลกเสมือนจากเกมออนไลน์
แต่เมื่อใดก็ตามที่จิตใจไม่รู้สึกว่างเปล่าอีกต่อไป สิ่งยั่วยวนเหล่านั้นก็จะไร้ความหมาย

หากชาวพุทธร่วมกันทำเทศกาลเข้าพรรษา ให้มีความหมายต่อการฝึกฝนพัฒนาตน
โดยประยุกต์ให้สอดคล้องกับยุคสมัยแล้ว ไม่เพียง
ชีวิตจะบังเกิดความสงบเย็นและเป็นอิสระเท่านั้น แต่ยังจะช่วยให้สังคมไทยน่าอยู่กว่านี้มาก

โดย…..พระไพศาล วิสาโล

http://www.budnet.org/article/?p=462
ขอบพระคุณที่มา http://www.tairomdham.net/index.php/topic,3716.msg15628/topicseen.html#msg15628