**wan**
10-26-2008, 04:08 PM
http://www.santidham.com/abotpic/Simg/santitham030.jpg
จดหมายจากหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
จดหมายจากหลวงปู่
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ได้ไปจำพรรษาที่วัดอโศการาม จังหวัสมุทรปราการ ท่านได้มีลิขิตเป็นจดหมายชี้แจงข้อธรรมสั้น ๆ แต่มีใจความลึกซึ้ง ส่งถึงคณะสานุศิษย์วัดสันติธรรม จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ถึงวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๖ ทั้งหมดมี ๒๐ ฉบับ ฉบับที่ ๑๙ ขาดหายไป
ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๑
วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
ให้ละกิเลสออกจากจิตใจให้หมดทุกคน กิเลสนี้แหละทำให้คนเราเดือดร้อนวุ่นวายยู่ไม่มีที่สิ้นสุด กิเลสนั้นเมื่อท่านย่อเข้ามา คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง สามอย่างเท่านี้ ทำไมหนอใจคนเราจึงไม่ยอมละ การละก็ไม่หมดซักที ทำไมจึงเกิดมาเพื่อสร้างกิเลสให้มากขึ้นไปทุกภพ ทุกชาติ ในชาติเดียวนี้ ให้ตั้งใจละ ทั้งพระ ทั้งเณรและญาติโยมทั้งหลาย ความโกรธเมื่อเกิดขึ้น อย่าไปโกรธตาม ถ้าไม่ได้โกรธไปตาม มันจะตายเชียวหรือ ทำไมจึงไม่ละ รักอยู่เสมอ ๆ ว่า เราจะละความโกรธให้หมดสิ้นไป เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ อย่ามีความท้อถอยในในการสร้างความดี มีการรักษาศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ ศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด พร้อมทั้งการเจริญสมาธิภาวนา ฆ่ากิเลส ตัณหาให้หมดไป ใจจะเย็น เย็นสุขทุกคนเลย
โดยความเมตตาถึงทุก ๆ คน
พระครูสันติวรญาณ
ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๒
วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
ให้พากันตั้งใจฟังด้วยดี จึงจะได้ปัญญา ความโลภในจิตของเราไม่มีที่พอที่เต็มได้เลย ต่อให้ดอยสุเทพหมดทั้งลูกกลายเป็นทองคำจิตของคนเราก็จะยังไม่พอ ทางที่ดี ให้ตั้งที่ดี ให้ตั้งจิตอยู่ในสมาธิภาวนา ตั้งจิตดวงนี้ให้เต็มในขั้นสมถากรรมฐาน พร้อมด้วยวิปัสสนากรรมฐาน ให้แจ่มแจ้งในดวงใจทุก ๆ คน เท่านี้ก็พอ เพราะว่าเมื่อเราเกิดมา ก็ไม่ได้นำอะไรติดตัวมา ครั้นเมื่อเราทุกคนตายไป แม้สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จงพากันตั้งสมาธิภาวนาให้เต็มที่กิเลสโลภ อันมันนอนเนื่องอยู่ในจิตนี้ ให้หมดไปเสียวันนี้ ๆ ถ้ากิเลสความโลภนี้ยังไม่หมดจากจิต ก็ไม่ให้หยุดยั้งภาวนา ไปจนถึงวันตามโน้น
โดยความเมตตาถึงทุกคน
พระครูสันติวรญาณ
ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๓
วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
กิเลสตัวสำคัญที่อยู่ลึกในใจมนุษย์ คือ กิเลสความหลง ความหลงนี้ คือ หลงกาย หลงจิตนี้เอง ทางที่จะแก้จิตหลงนี้ ให้พากันทำสมาธิให้ได้ทุกวัน ทุกคืน ทั่งยืน ทั้งนั่ง ทั้งนอน การตั้งจิตนั้นให้มั่นอยู่ที่ลมหายใจ จนจิตนี้ใสสว่าง หายมืดหายหลง หายมัวเมาในกามคุณ ๕ จนเกิดดวงตาญาณ เผาผลาญกิเลสให้หมดไป กิเลสความหลงนี้มันชอบกันกับคนขี้เกียจขี้คร้านหลังยาว ชอบนอนก่อนยังไม่ได้ภาวนา ด้วยเหตุนี้เราทุกคน อย่ามาหลงใหลอยู่แค่กินแล้วก็นอน ๆ เท่านั้นเลย เมื่อพากันได้ฟังธรรม คำสั่งสอนนี้แล้ว จงลุกขึ้นทำลายกิเลสโมหะ ความหลงในจิตใจ ให้หมดไปสิ้นไปเทอญ
โดยความเมตตาถึงทุกคน
พระครูสันติวรญาณ
ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๔
วันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
บัดนี้เราทุกคนรู้แล้วว่า กิเลสมันดองอยู่ในจิตใจเรามานาน ตั้งมานานจนนับภพนับชาติไม่ได้ แล้วที่มาเกิดมาตายอยู่ในโลกนี้ ก็เพราะจิต เพราะจิตนี้หลงอยู่ในกามารมณ์ สำคัญผิดว่ากามให้ความสุข ที่ไหนได้ กามนี้มันให้ความทุกข์ ตั้งแต่เกิดจนตาย คนเราตายแล้วมันก็ยังติดกาม จิตหลงไปนับภพนับชาติไม่ถ้วน ในอนาคต ดูแต่ในปัจจุบันชาตินี้ คนได้บริโภคทางกายอยู่ ทางการอยู่ ทางจิตอยู่ ย่อมมีแต่เรื่องร้อนจิต ร้อนใจ ทั้งภายนอกและภายใน ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราท่านทั้งหลายได้ฟังธรรมเทศนากัณฑ์นี้แล้ว ให้พากันละกาม ตัวมารร้ายนี้ออกให้หมดสิ้น อย่าเสียดายตามอยากเลย
โดยความเมตตาถึงทุกคน
พระครูสันติวรญาณ
ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๕
วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
ความขยันหมั่นเพียรเป็นยอดแห่งธรรม คำว่า ความขยันหมั่นเพียร มีทั้งภายนอกและทั้งภายใน ภายนอกนั้นผู้ที่เป็นนักบวช ก็ต้องขยันหมั่นเพียรในการปัดกวาดเช็ดถู แต่ก่อนอื่นที่จะปัดกวาดได้ต้องพร้อมเพรียงกันถางหญ้าดายหญ้า ในบริเวณเขตวัดที่อยู่ที่อาศัย โดยเฉพาะกลางพรรษา ไม่ว่าวัดใดย่อมมีหญ้าขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อได้รับอุบายนี้เมื่อใดแล้ว เณรทุกรูป เด็กวัดทุกคน (ศิษย์วัด) ลุกยืนขึ้นจับจอบดายหญ้า พระทุกองค์ก็ลุกขึ้นจับไม้กวาด ปัดกวาดพร้อมกันไป ให้เห็นว่าเป็นกิจส่วนรวมของหมู่คณะ อย่านั่งดูดายเป็นอันขาด ส่วนความขยันหมั่นเพียรภายในนั้น ได้แก่ ท่องบ่นสาธยาย ศึกษาเล่าเรียน ฟังเทศน์ สนทนาธรรม กราบพระ สวดมนต์ ท่องคาถา ทุก ๆ ค่ำเช้า ภาวนานั่งสมาธิไม่ให้ขาด กลางวัน ๒ ชั่วโมง กลางคืน ๒ ชั่วโมง ส่วนการตั้งจิตนั้น ให้กำหนดลมหายใจ เมื่อหายใจเข้าไป ก็ให้มีสติว่านี้คือลมหายใจเข้า เมื่อลมหายใจออก ก็ให้มีสติว่า นี้คือลมหายใจออกมา ไม่ให้ลืมเป็นอันขาด จงเรียนแบบลมหายใจ ตั้งแต่เราเกิดมาไม่เห็นมันหยุดซักที ถ้าลมหายใจหยุด เราก็ตายเป็นผีเฝ้าพสุธานี้เท่านั้นเอง อาจารย์หวังว่าศิษยานุศิษย์ พร้อมทั้งญาติโยมทั้งหลายคงปฏิบัติได้ตามที่กล่าวมานี้ทุก ๆ คน
ท้ายนี้อาจารย์เมตตาจิตมาช่วยทุกลมหายใจ
ลงชื่อ พระครูสันติวรญาณ
ปญฺญาวโรภิกขุ ผู้เขียนแทน
เมตตาธรรม ฉบับที่ ๖
วันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
การทำความเพียรเพื่อละกิเลสนั้น ไม่ใช่เรื่องทำเล่น ๆ กิเลสในใจของมนุษย์นั้น มีมาตั้งแต่ก่อนเกิด จนเดี๋ยวนี้กิเลสก็ยังมีอยู่ ถ้าไม่เพียรละให้หมดในชาตินี้ กิเลสนี้ก็จะพาเกิดพาตายในอนาคต ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้พุทธบริษัททั้งสี่ ที่ยังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ จงเพียรทำทานการกุศลจนวาระสุดท้าย หมดลมหายใจ จงเพียรพยายามรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ตามศรัทธาของตน ๆ พร้อมทั้งขันติความอดทน ทุก ๆ คนไปจนตราบเท่า ยาวชีวํ ตลอดชีวิตด้วยจิตศรัทธาเลื่อมใสจริง ๆ ให้พากันทำความเพียร นั่งสมาธิ ยืนก็ให้เป็นสมาธิ เดินไปข้างหน้าก็ให้เป็นสมาธิ ถอยหลังก็ให้เป็นสมาธิ ยืนก็ให้เป็นสมาธิ ขึ้นรถก็ให้เป็นสมาธิ ไปรถไปเรือก็ให้เป็นสมาธิ ลงจากรถก็ให้เป็นสมาธิ ขึ้นจากเรือก็ให้เป็นสมาธิ ขึ้นเครื่องบินและขณะโดยสารอยู่ในเครื่องบินก็ให้เป็นสมาธิ ตลอดทั้งกลางวัน ตลอดทั้งกลางคืนก็ให้เป็นสมาธิขั้นสุดท้ายเวลาจะตายยิ่งให้เป็นสมาธิอย่างยอดเยี่ยม ถอดถอนอาสวะกิเลสออกให้หมดสิ้น ก็ดับขันธ์สู่นฤพานเลย เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
อาจารย์ส่งอำนาจจิตมาช่วยพุทธบริษัททุก ๆ คน
พระครูสันติวรญาณ
เมตตาธรรม ฉบับที่ ๗
วันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
เวลาเขียนธรรมอยู่นี้ ซึ่งอยู่ในระยะกลางพรรษา ในพรรษานี้ให้พากันระลึกถึงพระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย ท่านพระโยคาวจรพยายามตั้งจิตในก่อนเข้าพรรษาว่า ในพรรษาที่ถึงนี้ จะทำความเพียรแผดเผากิเลสให้หมดไปสิ้นไปภายในเจ็ดวัน พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลายก็ละกิเลสได้ตามชั้นตามภูมิในการปฏิบัติของตน ๆ บางท่านก็เป็นพระโสดา บางท่านก็เป็นพระสกิทาคา บางท่านก็เป็นพระอนาคา องค์สำคัญก็สำเร็จพระอรหันต์ ภายในเจ็ดวันนั้นเอง บางท่านที่ยังไม่สำเร็จก็ตั้งจิตอธิษฐานใหม่ต่อไปอีกเจ็ดวันบ้าง หน้านี้ ถ้ายังไม่สำเร็จก็ตั้งจิตว่าในครึ่งพรรษานี้จะให้สำเร็จ ถ้าหากยังไม่สำเร็จอีก ท่านก็ตั้งใจเด็ดเดี่ยวเต็มที่ว่า ไม่ให้เกินในคืนวันออกพรรษา วันมหาปวารณา เมื่อวันมหาปวารณาผ่านไปแล้ว พระโยคาวจรทั้งหลายที่จำพรรษาอยู่ในอาวาส พร้อมทั้งญาติโยมก็ได้สำเร็จมรรคผล เห็นแจ้งซึ่งพระนิพพานตามอุปนิสัยวาสนาของตน ๆ ฉะนั้นเราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย ผู้ได้สดับรับฟังพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้แล้ว จงให้พากันทำความเพียรละกิเลสให้หมดไปสิ้นไป ภายในพรรษานี้ ทุก ๆ ท่าน ทุก ๆ คน เท่าที่มีชีวิตอยู่นี้เทอญ
อาจารย์มีความเมตตาสงสารศิษย์และญาติโยมพร้อมหน้ากัน
พระครูสันติวรญาณ
เมตตาธรรม ฉบับที่ ๘
วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
การละกิเลสเป็นของละง่าย การเอากิเลสเป็นของยาก คนทุกคนที่เกิดมา หาเอาแต่กิเลสมาเพิ่มใหม่เรื่อย ๆ เมื่อเราเกิดมามีกิเลสตัวเดียว ผู้เป็นชายก็ชายคนเดียว ไม่ได้กอดคอหญิงมา แต่เมื่อเกิดเป็นหญิง เป็นหญิงคนเดียวไม่ได้กอดคอชายแต่เมื่อเกิด ทั้งชายและหญิง เมื่อคลอดออกมาจากท้องแม่ ก็เปลือยกายออกมาทุกคน ในเวลานั้นยังไม่มีสมบัติใด ๆ เป็นของตัว เมื่อใหญ่แล้วจึงดิ้นรนวุ่นวาย หาเอาสมบัติในโลกนี้ จึงได้เกิดความยุ่งยากร้อยแปดพันประการอย่างนี้แหละ เราท่านทั้งหลาย อาจารย์เอง จึงแสดงธรรมว่าละกิเลสเป็นของง่าย ให้ดูตัวอย่างที่อ้างมาให้เห็น เมื่อพิจารณาเห็นแจ้งดังกล่าวสอนมานี้แล้ว จงพากันตื่นขึ้น ลุกขึ้นกราบพระ ๓ หน ไหว้พระสวดมนต์ เข้าที่นั่งสมาธิ ละกิเลสที่ย่องเข้ามาใหม่นี้ออกไปให้หมด ถ้ายังไม่หมดให้ลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู่กับกิเลสให้หมดไป ในขณะที่ยืนอยู่นี้ ถ้ายังไม่หมด ให้ก้าวเท้าเดินจงกรมภาวนา ละความโกรธ ความโลภ ความหลง ให้หมดสิ้นไปในขณะนั้น ถ้ากิเลสยังไม่ตาย เราสู้เดินจงกรมภาวนาก็ให้ก้าวเดินต่อไป จนหมดลมหายใจ ล้มตายลง ๆ ตรงทางเดินจงกรมนั้นแหละ
โดยความเมตตาถึงทุกคน
พระครูสันติวรญาณ
///////////// ต่อตอน 2
จดหมายจากหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
จดหมายจากหลวงปู่
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ได้ไปจำพรรษาที่วัดอโศการาม จังหวัสมุทรปราการ ท่านได้มีลิขิตเป็นจดหมายชี้แจงข้อธรรมสั้น ๆ แต่มีใจความลึกซึ้ง ส่งถึงคณะสานุศิษย์วัดสันติธรรม จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ถึงวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๖ ทั้งหมดมี ๒๐ ฉบับ ฉบับที่ ๑๙ ขาดหายไป
ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๑
วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
ให้ละกิเลสออกจากจิตใจให้หมดทุกคน กิเลสนี้แหละทำให้คนเราเดือดร้อนวุ่นวายยู่ไม่มีที่สิ้นสุด กิเลสนั้นเมื่อท่านย่อเข้ามา คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง สามอย่างเท่านี้ ทำไมหนอใจคนเราจึงไม่ยอมละ การละก็ไม่หมดซักที ทำไมจึงเกิดมาเพื่อสร้างกิเลสให้มากขึ้นไปทุกภพ ทุกชาติ ในชาติเดียวนี้ ให้ตั้งใจละ ทั้งพระ ทั้งเณรและญาติโยมทั้งหลาย ความโกรธเมื่อเกิดขึ้น อย่าไปโกรธตาม ถ้าไม่ได้โกรธไปตาม มันจะตายเชียวหรือ ทำไมจึงไม่ละ รักอยู่เสมอ ๆ ว่า เราจะละความโกรธให้หมดสิ้นไป เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ อย่ามีความท้อถอยในในการสร้างความดี มีการรักษาศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ ศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด พร้อมทั้งการเจริญสมาธิภาวนา ฆ่ากิเลส ตัณหาให้หมดไป ใจจะเย็น เย็นสุขทุกคนเลย
โดยความเมตตาถึงทุก ๆ คน
พระครูสันติวรญาณ
ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๒
วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
ให้พากันตั้งใจฟังด้วยดี จึงจะได้ปัญญา ความโลภในจิตของเราไม่มีที่พอที่เต็มได้เลย ต่อให้ดอยสุเทพหมดทั้งลูกกลายเป็นทองคำจิตของคนเราก็จะยังไม่พอ ทางที่ดี ให้ตั้งที่ดี ให้ตั้งจิตอยู่ในสมาธิภาวนา ตั้งจิตดวงนี้ให้เต็มในขั้นสมถากรรมฐาน พร้อมด้วยวิปัสสนากรรมฐาน ให้แจ่มแจ้งในดวงใจทุก ๆ คน เท่านี้ก็พอ เพราะว่าเมื่อเราเกิดมา ก็ไม่ได้นำอะไรติดตัวมา ครั้นเมื่อเราทุกคนตายไป แม้สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จงพากันตั้งสมาธิภาวนาให้เต็มที่กิเลสโลภ อันมันนอนเนื่องอยู่ในจิตนี้ ให้หมดไปเสียวันนี้ ๆ ถ้ากิเลสความโลภนี้ยังไม่หมดจากจิต ก็ไม่ให้หยุดยั้งภาวนา ไปจนถึงวันตามโน้น
โดยความเมตตาถึงทุกคน
พระครูสันติวรญาณ
ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๓
วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
กิเลสตัวสำคัญที่อยู่ลึกในใจมนุษย์ คือ กิเลสความหลง ความหลงนี้ คือ หลงกาย หลงจิตนี้เอง ทางที่จะแก้จิตหลงนี้ ให้พากันทำสมาธิให้ได้ทุกวัน ทุกคืน ทั่งยืน ทั้งนั่ง ทั้งนอน การตั้งจิตนั้นให้มั่นอยู่ที่ลมหายใจ จนจิตนี้ใสสว่าง หายมืดหายหลง หายมัวเมาในกามคุณ ๕ จนเกิดดวงตาญาณ เผาผลาญกิเลสให้หมดไป กิเลสความหลงนี้มันชอบกันกับคนขี้เกียจขี้คร้านหลังยาว ชอบนอนก่อนยังไม่ได้ภาวนา ด้วยเหตุนี้เราทุกคน อย่ามาหลงใหลอยู่แค่กินแล้วก็นอน ๆ เท่านั้นเลย เมื่อพากันได้ฟังธรรม คำสั่งสอนนี้แล้ว จงลุกขึ้นทำลายกิเลสโมหะ ความหลงในจิตใจ ให้หมดไปสิ้นไปเทอญ
โดยความเมตตาถึงทุกคน
พระครูสันติวรญาณ
ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๔
วันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
บัดนี้เราทุกคนรู้แล้วว่า กิเลสมันดองอยู่ในจิตใจเรามานาน ตั้งมานานจนนับภพนับชาติไม่ได้ แล้วที่มาเกิดมาตายอยู่ในโลกนี้ ก็เพราะจิต เพราะจิตนี้หลงอยู่ในกามารมณ์ สำคัญผิดว่ากามให้ความสุข ที่ไหนได้ กามนี้มันให้ความทุกข์ ตั้งแต่เกิดจนตาย คนเราตายแล้วมันก็ยังติดกาม จิตหลงไปนับภพนับชาติไม่ถ้วน ในอนาคต ดูแต่ในปัจจุบันชาตินี้ คนได้บริโภคทางกายอยู่ ทางการอยู่ ทางจิตอยู่ ย่อมมีแต่เรื่องร้อนจิต ร้อนใจ ทั้งภายนอกและภายใน ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราท่านทั้งหลายได้ฟังธรรมเทศนากัณฑ์นี้แล้ว ให้พากันละกาม ตัวมารร้ายนี้ออกให้หมดสิ้น อย่าเสียดายตามอยากเลย
โดยความเมตตาถึงทุกคน
พระครูสันติวรญาณ
ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๕
วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
ความขยันหมั่นเพียรเป็นยอดแห่งธรรม คำว่า ความขยันหมั่นเพียร มีทั้งภายนอกและทั้งภายใน ภายนอกนั้นผู้ที่เป็นนักบวช ก็ต้องขยันหมั่นเพียรในการปัดกวาดเช็ดถู แต่ก่อนอื่นที่จะปัดกวาดได้ต้องพร้อมเพรียงกันถางหญ้าดายหญ้า ในบริเวณเขตวัดที่อยู่ที่อาศัย โดยเฉพาะกลางพรรษา ไม่ว่าวัดใดย่อมมีหญ้าขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อได้รับอุบายนี้เมื่อใดแล้ว เณรทุกรูป เด็กวัดทุกคน (ศิษย์วัด) ลุกยืนขึ้นจับจอบดายหญ้า พระทุกองค์ก็ลุกขึ้นจับไม้กวาด ปัดกวาดพร้อมกันไป ให้เห็นว่าเป็นกิจส่วนรวมของหมู่คณะ อย่านั่งดูดายเป็นอันขาด ส่วนความขยันหมั่นเพียรภายในนั้น ได้แก่ ท่องบ่นสาธยาย ศึกษาเล่าเรียน ฟังเทศน์ สนทนาธรรม กราบพระ สวดมนต์ ท่องคาถา ทุก ๆ ค่ำเช้า ภาวนานั่งสมาธิไม่ให้ขาด กลางวัน ๒ ชั่วโมง กลางคืน ๒ ชั่วโมง ส่วนการตั้งจิตนั้น ให้กำหนดลมหายใจ เมื่อหายใจเข้าไป ก็ให้มีสติว่านี้คือลมหายใจเข้า เมื่อลมหายใจออก ก็ให้มีสติว่า นี้คือลมหายใจออกมา ไม่ให้ลืมเป็นอันขาด จงเรียนแบบลมหายใจ ตั้งแต่เราเกิดมาไม่เห็นมันหยุดซักที ถ้าลมหายใจหยุด เราก็ตายเป็นผีเฝ้าพสุธานี้เท่านั้นเอง อาจารย์หวังว่าศิษยานุศิษย์ พร้อมทั้งญาติโยมทั้งหลายคงปฏิบัติได้ตามที่กล่าวมานี้ทุก ๆ คน
ท้ายนี้อาจารย์เมตตาจิตมาช่วยทุกลมหายใจ
ลงชื่อ พระครูสันติวรญาณ
ปญฺญาวโรภิกขุ ผู้เขียนแทน
เมตตาธรรม ฉบับที่ ๖
วันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
การทำความเพียรเพื่อละกิเลสนั้น ไม่ใช่เรื่องทำเล่น ๆ กิเลสในใจของมนุษย์นั้น มีมาตั้งแต่ก่อนเกิด จนเดี๋ยวนี้กิเลสก็ยังมีอยู่ ถ้าไม่เพียรละให้หมดในชาตินี้ กิเลสนี้ก็จะพาเกิดพาตายในอนาคต ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้พุทธบริษัททั้งสี่ ที่ยังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ จงเพียรทำทานการกุศลจนวาระสุดท้าย หมดลมหายใจ จงเพียรพยายามรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ตามศรัทธาของตน ๆ พร้อมทั้งขันติความอดทน ทุก ๆ คนไปจนตราบเท่า ยาวชีวํ ตลอดชีวิตด้วยจิตศรัทธาเลื่อมใสจริง ๆ ให้พากันทำความเพียร นั่งสมาธิ ยืนก็ให้เป็นสมาธิ เดินไปข้างหน้าก็ให้เป็นสมาธิ ถอยหลังก็ให้เป็นสมาธิ ยืนก็ให้เป็นสมาธิ ขึ้นรถก็ให้เป็นสมาธิ ไปรถไปเรือก็ให้เป็นสมาธิ ลงจากรถก็ให้เป็นสมาธิ ขึ้นจากเรือก็ให้เป็นสมาธิ ขึ้นเครื่องบินและขณะโดยสารอยู่ในเครื่องบินก็ให้เป็นสมาธิ ตลอดทั้งกลางวัน ตลอดทั้งกลางคืนก็ให้เป็นสมาธิขั้นสุดท้ายเวลาจะตายยิ่งให้เป็นสมาธิอย่างยอดเยี่ยม ถอดถอนอาสวะกิเลสออกให้หมดสิ้น ก็ดับขันธ์สู่นฤพานเลย เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
อาจารย์ส่งอำนาจจิตมาช่วยพุทธบริษัททุก ๆ คน
พระครูสันติวรญาณ
เมตตาธรรม ฉบับที่ ๗
วันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
เวลาเขียนธรรมอยู่นี้ ซึ่งอยู่ในระยะกลางพรรษา ในพรรษานี้ให้พากันระลึกถึงพระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย ท่านพระโยคาวจรพยายามตั้งจิตในก่อนเข้าพรรษาว่า ในพรรษาที่ถึงนี้ จะทำความเพียรแผดเผากิเลสให้หมดไปสิ้นไปภายในเจ็ดวัน พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลายก็ละกิเลสได้ตามชั้นตามภูมิในการปฏิบัติของตน ๆ บางท่านก็เป็นพระโสดา บางท่านก็เป็นพระสกิทาคา บางท่านก็เป็นพระอนาคา องค์สำคัญก็สำเร็จพระอรหันต์ ภายในเจ็ดวันนั้นเอง บางท่านที่ยังไม่สำเร็จก็ตั้งจิตอธิษฐานใหม่ต่อไปอีกเจ็ดวันบ้าง หน้านี้ ถ้ายังไม่สำเร็จก็ตั้งจิตว่าในครึ่งพรรษานี้จะให้สำเร็จ ถ้าหากยังไม่สำเร็จอีก ท่านก็ตั้งใจเด็ดเดี่ยวเต็มที่ว่า ไม่ให้เกินในคืนวันออกพรรษา วันมหาปวารณา เมื่อวันมหาปวารณาผ่านไปแล้ว พระโยคาวจรทั้งหลายที่จำพรรษาอยู่ในอาวาส พร้อมทั้งญาติโยมก็ได้สำเร็จมรรคผล เห็นแจ้งซึ่งพระนิพพานตามอุปนิสัยวาสนาของตน ๆ ฉะนั้นเราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย ผู้ได้สดับรับฟังพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้แล้ว จงให้พากันทำความเพียรละกิเลสให้หมดไปสิ้นไป ภายในพรรษานี้ ทุก ๆ ท่าน ทุก ๆ คน เท่าที่มีชีวิตอยู่นี้เทอญ
อาจารย์มีความเมตตาสงสารศิษย์และญาติโยมพร้อมหน้ากัน
พระครูสันติวรญาณ
เมตตาธรรม ฉบับที่ ๘
วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
การละกิเลสเป็นของละง่าย การเอากิเลสเป็นของยาก คนทุกคนที่เกิดมา หาเอาแต่กิเลสมาเพิ่มใหม่เรื่อย ๆ เมื่อเราเกิดมามีกิเลสตัวเดียว ผู้เป็นชายก็ชายคนเดียว ไม่ได้กอดคอหญิงมา แต่เมื่อเกิดเป็นหญิง เป็นหญิงคนเดียวไม่ได้กอดคอชายแต่เมื่อเกิด ทั้งชายและหญิง เมื่อคลอดออกมาจากท้องแม่ ก็เปลือยกายออกมาทุกคน ในเวลานั้นยังไม่มีสมบัติใด ๆ เป็นของตัว เมื่อใหญ่แล้วจึงดิ้นรนวุ่นวาย หาเอาสมบัติในโลกนี้ จึงได้เกิดความยุ่งยากร้อยแปดพันประการอย่างนี้แหละ เราท่านทั้งหลาย อาจารย์เอง จึงแสดงธรรมว่าละกิเลสเป็นของง่าย ให้ดูตัวอย่างที่อ้างมาให้เห็น เมื่อพิจารณาเห็นแจ้งดังกล่าวสอนมานี้แล้ว จงพากันตื่นขึ้น ลุกขึ้นกราบพระ ๓ หน ไหว้พระสวดมนต์ เข้าที่นั่งสมาธิ ละกิเลสที่ย่องเข้ามาใหม่นี้ออกไปให้หมด ถ้ายังไม่หมดให้ลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู่กับกิเลสให้หมดไป ในขณะที่ยืนอยู่นี้ ถ้ายังไม่หมด ให้ก้าวเท้าเดินจงกรมภาวนา ละความโกรธ ความโลภ ความหลง ให้หมดสิ้นไปในขณะนั้น ถ้ากิเลสยังไม่ตาย เราสู้เดินจงกรมภาวนาก็ให้ก้าวเดินต่อไป จนหมดลมหายใจ ล้มตายลง ๆ ตรงทางเดินจงกรมนั้นแหละ
โดยความเมตตาถึงทุกคน
พระครูสันติวรญาณ
///////////// ต่อตอน 2