**wan**
10-26-2008, 04:30 PM
http://www.buddhismthailand.com/sounds/pic/cha22.jpg
แนวทางการปฏิบัติธรรม
พระโพธิญาณเถร ( หลวงปู่ชา สุภัทโท )
พระสุญฺโญฺภิกขุ พระภิกษุชาวอเมริกัน จดบันทึกเป็นภาษาอังกฤษเมื่อลาสิกขาแล้ว ท่านได้พิมพ์
เผยแผ่เป็นธรรมทาน ต่อมามีผู้แปลเป็นภาษาไทยและหลวงพ่อชาให้พระวีรพล เตชปญฺโญ
แห่งวัดหนองป่าพงสอบทาน แล้วจึงได้พิมพ์ภาษาไทย
สารบัญธรรม
พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐาน
ควรจะพักผ่อนนอนหลับมากน้อยเพียงใด
ควรจะศึกษาพระไตรปิฎกด้วยหรือไม่ในการฝึกปฏิบัติ
ทำไมจึงไม่มีการสอบอารมณ์กับอาจารย์ทุกวัน
ควรทำอย่างไรเมื่อสงสัยเกิดขึ้น
จำเป็นไหมที่ต้องนั่งภาวนาให้นานๆหรือไม่
ในการปฏิบัติ จำเป็นที่จะต้องเข้าถึงฌาณไหม
เราจะเอาชนะกามราคะที่เกิดขึ้นได้อย่างไร
ความง่วงเหงาหาวนอน ทำให้ภาวนาลำบาก
อุปสรรคใหญ่ของลูกศิษย์ใหม่คืออะไร
กิเลสเครื่องเศร้าหมองเป็นเพียงมายาหรือว่าของจริง
ของฝากท้ายเล่ม
พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐาน
๑. ผมได้พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐาน แต่ยังไม่มีที่ท่าว่าจะได้ผลคืบหน้าเลย
เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าพยายามที่จะเอาอะไรๆในการปฏิบัติความอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้นจะเป็นความอยากที่ขวางกั้นท่านก็ได้ จะเร่งความเพียรทั่งกลางคืนกลางวันก็ได้ แต่ถ้าการฝึกปฏิบัตินั้นยังประกอบด้วยความที่อยากจะบรรลุเห็นแจ้งแล้ว ท่านจะพบความสงบไม่ได้เลย แรงอยากจะเป็นเหตุให้เกิดความสงสัยและความกระวนกระวายใจ ไม่ว่าท่านจะฝึกปฏิบัตินานเท่าใดหรือนานสักเพียงใด ปัญญา (ที่แท้) จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากนั้น ดังนั้นจงเพียงแต่ละความอยากเสีย จงเฝ้าดูจิตและกายอย่างมีสติแต่อย่ามุ่งหวังที่จะบรรลุถึงอะไร อย่ายึดมั่นถือมั่นแม้ในเรื่องการฝึกปฏิบัติหรือในการรู้แจ้ง
ควรจะพักผ่อนนอนหลับมากน้อยเพียงใด
๒. เรื่องการหลับนอนล่ะครับ ผมควรจะนอนมากน้อยเพียงใด
อย่าถามผมเลย ผมตอบให้ท่านไม่ได้ บางคนหลับนอนคืนละประมาณ ๔ ชั่วโมงวก็พอ อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญก็คือ ท่านเฝ้าดูและรู้จักตัวของท่านเอง ถ้าท่านนอนน้อยจนเกินไป จิตก็จะตื้อเฉื่อยชาหรืซัดส่าย จงหาสภาวะที่พอเหมาะกับตัวท่านเอง ตั้งใจเฝ้าดูกายและจิตจนท่านรู้ระยะเวลาที่นอนหลับที่พอเหมาะสำหรับท่าน ถ้าท่านณู้สึกตื้นตัวแล้ว และยังซุกตัวของีบต่อไปอีก นี่เปผ็นกิเลสเครื่องเศร้าหมอง จงมีสติรู้ตัวทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้น
๓. เรื่องการขับขบฉันล่ะครับ ผมควรจะฉันอาหาร มากน้อยเพียงใด
การขบฉันก็เหมือนกับการหลับนอน ท่านต้องรู้จักตัวของท่านเอง อาหารต้องบริโภคให่เพียงพอตามความต้องการของ ร่างกาย จงมองอาหารเหมือนยารักษาโรค ท่านฉันมากเกินไปจยง่วงนอนหลังฉันอาหารหรือเปล่า และท่านอ้วนขึ้นทุกวัน หรือเปล่า จงหยุดแล้วสำรวจกายและจิตของท่านเอง ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร จงทดลองฉันอาหารตามปรมาณมาก น้อยต่างๆ หาปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกายของท่านใส่อาหารที่จะฉันทั้งหมดลงในบาตรแบบธุดงควัตร แล้วท่านจะกะปริมาณ อาหารที่จะฉันได้ง่าย เฝ้าดูตัวท่านเองอย่างถี่ถ้วน ขณะที่ฉันจงรู้จักตัวเอง สาระสำคัญของการฝึกปฏิบัติของเราเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรพิเศษที่ต้องทำมากกว่านี้ จงเฝ้าดูเท่านั้น สำรวจท่านเอง เฝ้าดูจิต แล้วท่านจะรู้ว่า อะไรคือสภาวะที่พอเหมาะสำหรับการฝึกปฏิบัติของท่าน
ควรจะศึกษาพระไตรปิฎกด้วยหรือไม่ในการฝึกปฏิบัติ
๔. จิตของชาวเอเชียและตะวันตกแตกต่างกันหรือไม่ครับ
โดยพื้นฐานแล้วไม่แตกต่างกัน ดูจากภายนอกขบนธรรมเนียงประเพณีและภาษาที่ใช้อาจดูต่างกัน แต่จิตของมนุษย์นั้นเป็นธรรมชาติซึงเหมือนกันหมด ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ความโภลและความเกลียดก็มีเหมือนกัน ทั่งในจิตของชาวตะวันออกหรือชาวตะวันตก ความทุกข์และความดับททุกข์ก็เหมือนกันทุกๆคน
๕. เราควรอ่านตำรามากๆ หรือศึกษาพระไตรปิฏกด้วยหรือไม่ครับ ในการฝึกปฏิบัตินี่
พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่อาจค้นพบได้ด้วยตำราต่างๆ ถ้าท่านต้องการจะรู้เห็นจริงด้วยตัวของท่านเองว่าพระพุทธเจ้าทรง ตรัสสอนอะไร ท่านไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับตำราเลย จงเฝ้าดูจิตของท่านเอง พิจารณาให้รู้เห็นว่า ความรู้สึกต่างๆ (เวทนา) เกิดขึ้น และดับไปได้อย่างไร ความนึกคิดเกิดขึ้นและดับอย่างไร อย่าได้ผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย จงมีสติอยู่เสมอ เมื่อมีอะไรๆเกิดขึ้นให้ได้รู้ได้ เห็น นี่คือทางบรรลุถึงสัจธรรมของพระพุทธองค์ จงปฏิบัติธรรมดาตามธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอยางที่ท่านทำขณะที่นี่ เป็นโอกาสแห่ง การฝึกปฏิบัติ เป็นธรรมะทั้งหมด เมื่อท่านทำวัตรสวดมนต์อยู่ พยายามให้มีสติ ถ้าท่านกำลังเทกระโถนหรือล้างส้วมอยู่ อย่าคิดว่า ท่านกำลังทำบุญทำคุณให้กับผู้หนึ่งผู้ใด มีธรรมะอยู่ในการเทกระโถนนั้น อย่ารู้สึกว่าท่านกำลังฝึกปฏิบัติอยู่เฉพาะเวลานั่งขัดสมาธิเท่านั้น พวกท่านบางคนบ่นงว่าไม่มีเวลาพอท่จะทำสมาธิภาวนา แล้วเวลาหายใจเล่ามีเพียงพอไหม? การทำสมาธิภาวนาของท่าน คือการมีสติ ระลึกรู้ และการรักษาจิตให้เป็นปกติตามธรรมชาติในการกระทำทุกอิริยาบถ
ทำไมจึงไม่มีการสอบอารมณ์กับอาจารย์ทุกวัน
๖. ทำไมพวกเราจึงไม่มีการสอบอารมณ์กับอาจารย์ทุกวันเล่าครับ
ถ้าท่านมีคำถาม เชิญมาถามได้ทุกเวลา แต่ท่นี้เราไม่จำเป็นจะต้องมีการสอบอารมณ์กันทุกวัน ถ้าผมตอบปัญหาเล็กๆน้อยๆทุกปัญหา ของท่าน ท่านก็จไม่มีทางรู้เท่าทันกับการเกิดดับของความสงสัยในใจของท่านเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่าน ต้องเรียนรู้ที่จะสำรวจตัวท่านเอง สอบถามตัวท่านเอง จงตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาทุกๆครั้งแล้ว จงนำเอาคำสอนนี้ ไปเปรียบเทียบกับการฝึกปฏิบัติของท่านเองว่าเหมือนกันหรือไม่ ต่างกันหรือไม่ ทำไมท่านจึงมีความสงสัยอยู่ ใครคือผู้ที่สงสัยนั้น โดยการสำรวจตัวเองเท่านั้นจะทำให้ท่านเข้าใจได้
๗. บางครั้งผมกังวลใจอยู่กับพระวินัยของพระสงฆ์ ถ้าผมฆ่าแมลงโดยบังเอิญแล้ว จะผิดไหมครับ
ศีลหรือพระวินัยและศีลธรรม เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการฝึกปฏิบัติของเรา แต่ท่านต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นในกฏเกณฑ์ต่างๆ อย่างงมงายในการฆ่าสัตว์ หรือการละเมิดข้อห้ามอื่นๆนั้น มันสำคัญที่เจตนา ท่านย่อมรู้แก่ใจของท่านเอง อย่าได้กังวลกับเรื่องพระวินัยให้มากจนเกินไป ถ้านำมาปฏิบัติอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยส่งเสริมการปฏิบัติ และพระภิกษุบางรูปกังวลกับกฎเกณฑ์เล็กๆน้อยๆ มากเกินไปจนนอนไม่เป็นสุข พระวินัยไม่ใช่ภาระที่ต้องแบก ในการปฎิบัติของเราที่นี้มีรากฐานคือพระวินัย พระวินัยรวมทั้งธุดงควัตรและการปฎิบัติภาวนา การมีสติและการสำรวมระวังในกฏระเบียบต่างๆ ตลอดจนในศีล ๒๒๗ ข้อนั้น ให้คุณประโยชน์อันใหญ่หลวง ทำให้มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่ต้องพะวงว่าจะต้องทำตนอย่างไร ดังน้นท่านก็หมดเรื่องต้องครุ่นคิด และมีสติดำรงอยู่แทน พระวินัยทำให้พวกเราอยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืน และชุมชนก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ลักษณะภายนอกทุกๆคนดูเหมือนกัน และปฏิบัติอย่างเดียวกัน พระวินัยและศีลธรรม เป็นบันไดอันแข็งแกร่งนำไปสู่สมาธิยิ่งและปัญญายิ่ง โดยการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามพระวินัยของพระสงฆ์และธุดงควัตร ทำให้เรามีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ และต้องจำกัดจำนวน บริขารของเราด้วย ดังนั้นที่นี้เราจึงควรมีการปฏิบัติที่ครบถ้วนตามแบบของพระพุทธเจ้า คือ การงดเว้นจากความชั้วและทำความดี มีความ เป็นอยู่อย่างง่ายๆ ตามความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ชำระจิตให้บริสุทธิ์ โดยการเฝ้าดูจิตและกายของเราในทุกๆอิริยาบท เมื่อนั่งอยู่ ยืนอยู่ เดินอยู่ หรือนอนอยู่ จงรู้ตัวของท่านเอง
๘. ผมควรจะทำอย่างไรครับเมื่อผมสงสัย บางวันผมวุ่นวายใจด้วยความสงสัยในเรื่องปฏิบัต หรือในความคืบหน้าของผม หรือในอาจารย์
ความสงสัยนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทุกๆคนเริ่มต้นด้วยความสงสัย ท่นอาจได้เรียนรู้อย่างมากจากความสงสัยนั้น ที่สำคัญก็คือ ถ้าท่านยังถือเอาความสงสัยนั้นเป็นตัวเป็นตน นั่นคืออย่าตกเป็นเหยื่อของความสงสัย ซึ่งจะทำให้จิตใจของท่านหมุนวนเป็นวัฏฏะ อันไม่มีที่สิ้นสุด แทนที่จะเป็นเช่นั้น จงเฝใดูกระบวนการเกิดดับของความสงสัย ของความฉงนสนเท่ห์ ดูว่าใครคือผู้ที่สงสัย ดูว่าความสงสัยนั้นเกิดขึ้นและ ดับไปอย่างไร และท่านจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความสงสัยอีกต่อไป ท่านจะหลุดพ้นออกจากความสงสัยและจิตของท่านก็จะสงบ ท่านจะเห็นว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร จงปล่อยวางสิ่งต่างๆที่ท่านยังยึดมั่นอยู่ ปล่อยวางความสงสัยของท่านและเพียงแต่เฝ้าดู นี่คือสิ่งที่สิ้นสุดของควาสงสัย
๙. ท่านอาจารย์มีความเห็นเกี่ยวแก่วิธีปฏิบัติ(วิธีภาวนา)วิธีอื่นๆอย่างไรครับ ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าจะมีอาจารย์มากมาย และมีแนวทางการทำสมาธิ
วิปัสสนาหลายแบบ จนทำให้สับสน มันก็เหมือนกับการจะเข้าไปในเมือง บางคนอาจจะเข้าเมืองทางทิศเหนือ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ทางถนนหลายสาย โดยมากแล้วแนวทางภาวนาก็แตกต่างกันแต่เพียงรูปแบบเท่านั้น ไม่ว่าท่านจะเดินทาสายหนึ่งสายใด เดินช้าหรือเดินเร็ว ถ้าท่านมีสติอยู้เสมอ มันก็เหมือนกันทั้งนั้น ข้อสำคัญที่สุดก็คือแนวทางภาวนาที่ดีและถูกต้องจะต้องนำไปสู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ลงท้ายแล้ว ก็ต้องปล่อยแนวทางการภาวนาทุกรูปแบบด้วย ผู้ปฏิบัติต้องไม้ยึดมั่นแม้ในตัวอาจารย์แนวทางใดที่นำไปสู่การปล่อยวาง สู่การไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ท่านอาจจะอยากเดินทางเพื่อศึกษาอาจารย์อื่นอีก และลองปฏิบัติตามแนวทางอื่นบ้างก็ได้ พวกท่านบางคนก็ทำเช่นนั้น นี้เป็นความต้องการ ตามธรรมชาติ ท่านจะรู้ว่าแม้ได้ถามคำถามนับพันคำถามก็แล้ว และมีความรู้เรื่องแนวทางปฏิบัติอื่นๆก็แล้ว ก็ไม่อาจจะนำท่านเข้าถึงสัจจะธรรมได้ในที่สุดท่านก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย ท่านจะรู้ว่าเพียงแต่หยุด และสำรวจตรวจสอบดูจิตใจของท่านเองเท่านั้น ท่านก็จะรู้ว่าพระพุทะเจ้าตรัสสอนอะไร ไม่มีประโยชน์ที่แสวงหาออกไปนอกตัวเอง ผลที่สุดท่านต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับสภาวะที่แท้จริงของตัวท่นเอง ตรงนี้แหละที่ท่านจะเข้าใจ ธรรมะได้
๑๐. มีหลายครั้งหลายหนที่ดูเหมือนว่าพระหลายรูปที่นี่ไม่ฝึกปฏิบัติ ดูท่านไม่ใส่ใจธรรม หรือขาดสติ เรื่องนี้กวนใจผม
มันไม่ถูกต้องที่จะคอยจับตาดูผู้อื่น นี้ไม่ช่วยการฝึกปฏิบัติของท่านเลย ถ้าท่านรำคาญใจก็จงเฝ้าดูความรำคาญในใจของท่านเลย ถ้าศีลของผู้อื่นบกพร่อง หรือเขาเหล่านั้นไม่ใช่พระที่ดี ก็ไม่ใช่เรื่องของท่านที่จะไปตัดสิน ท่านจะไม่เกิดปัญญา การจับตาดูผู้อื่น พระวินัยเป็นเครื่องช่วยในการทำสมาธิภาวนาของท่าน ไม่ใช่อาวุธสำหรับใช้ติเตียนหรือจับผิดผู้อื่น ไม่ใครสามารถฝึกปฏิบัติให้ท่านได้ หรือท่านก็ไม่สามารถปฏิบัติให้ผู้อื่นได้ จงมีสติใส่ใจในการฝึกปฏิบัติของตัวท่านเอง และนี่คือแนวทางของการปฏิบัติ
//////////ต่อตอน 2
แนวทางการปฏิบัติธรรม
พระโพธิญาณเถร ( หลวงปู่ชา สุภัทโท )
พระสุญฺโญฺภิกขุ พระภิกษุชาวอเมริกัน จดบันทึกเป็นภาษาอังกฤษเมื่อลาสิกขาแล้ว ท่านได้พิมพ์
เผยแผ่เป็นธรรมทาน ต่อมามีผู้แปลเป็นภาษาไทยและหลวงพ่อชาให้พระวีรพล เตชปญฺโญ
แห่งวัดหนองป่าพงสอบทาน แล้วจึงได้พิมพ์ภาษาไทย
สารบัญธรรม
พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐาน
ควรจะพักผ่อนนอนหลับมากน้อยเพียงใด
ควรจะศึกษาพระไตรปิฎกด้วยหรือไม่ในการฝึกปฏิบัติ
ทำไมจึงไม่มีการสอบอารมณ์กับอาจารย์ทุกวัน
ควรทำอย่างไรเมื่อสงสัยเกิดขึ้น
จำเป็นไหมที่ต้องนั่งภาวนาให้นานๆหรือไม่
ในการปฏิบัติ จำเป็นที่จะต้องเข้าถึงฌาณไหม
เราจะเอาชนะกามราคะที่เกิดขึ้นได้อย่างไร
ความง่วงเหงาหาวนอน ทำให้ภาวนาลำบาก
อุปสรรคใหญ่ของลูกศิษย์ใหม่คืออะไร
กิเลสเครื่องเศร้าหมองเป็นเพียงมายาหรือว่าของจริง
ของฝากท้ายเล่ม
พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐาน
๑. ผมได้พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐาน แต่ยังไม่มีที่ท่าว่าจะได้ผลคืบหน้าเลย
เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าพยายามที่จะเอาอะไรๆในการปฏิบัติความอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้นจะเป็นความอยากที่ขวางกั้นท่านก็ได้ จะเร่งความเพียรทั่งกลางคืนกลางวันก็ได้ แต่ถ้าการฝึกปฏิบัตินั้นยังประกอบด้วยความที่อยากจะบรรลุเห็นแจ้งแล้ว ท่านจะพบความสงบไม่ได้เลย แรงอยากจะเป็นเหตุให้เกิดความสงสัยและความกระวนกระวายใจ ไม่ว่าท่านจะฝึกปฏิบัตินานเท่าใดหรือนานสักเพียงใด ปัญญา (ที่แท้) จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากนั้น ดังนั้นจงเพียงแต่ละความอยากเสีย จงเฝ้าดูจิตและกายอย่างมีสติแต่อย่ามุ่งหวังที่จะบรรลุถึงอะไร อย่ายึดมั่นถือมั่นแม้ในเรื่องการฝึกปฏิบัติหรือในการรู้แจ้ง
ควรจะพักผ่อนนอนหลับมากน้อยเพียงใด
๒. เรื่องการหลับนอนล่ะครับ ผมควรจะนอนมากน้อยเพียงใด
อย่าถามผมเลย ผมตอบให้ท่านไม่ได้ บางคนหลับนอนคืนละประมาณ ๔ ชั่วโมงวก็พอ อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญก็คือ ท่านเฝ้าดูและรู้จักตัวของท่านเอง ถ้าท่านนอนน้อยจนเกินไป จิตก็จะตื้อเฉื่อยชาหรืซัดส่าย จงหาสภาวะที่พอเหมาะกับตัวท่านเอง ตั้งใจเฝ้าดูกายและจิตจนท่านรู้ระยะเวลาที่นอนหลับที่พอเหมาะสำหรับท่าน ถ้าท่านณู้สึกตื้นตัวแล้ว และยังซุกตัวของีบต่อไปอีก นี่เปผ็นกิเลสเครื่องเศร้าหมอง จงมีสติรู้ตัวทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้น
๓. เรื่องการขับขบฉันล่ะครับ ผมควรจะฉันอาหาร มากน้อยเพียงใด
การขบฉันก็เหมือนกับการหลับนอน ท่านต้องรู้จักตัวของท่านเอง อาหารต้องบริโภคให่เพียงพอตามความต้องการของ ร่างกาย จงมองอาหารเหมือนยารักษาโรค ท่านฉันมากเกินไปจยง่วงนอนหลังฉันอาหารหรือเปล่า และท่านอ้วนขึ้นทุกวัน หรือเปล่า จงหยุดแล้วสำรวจกายและจิตของท่านเอง ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร จงทดลองฉันอาหารตามปรมาณมาก น้อยต่างๆ หาปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกายของท่านใส่อาหารที่จะฉันทั้งหมดลงในบาตรแบบธุดงควัตร แล้วท่านจะกะปริมาณ อาหารที่จะฉันได้ง่าย เฝ้าดูตัวท่านเองอย่างถี่ถ้วน ขณะที่ฉันจงรู้จักตัวเอง สาระสำคัญของการฝึกปฏิบัติของเราเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรพิเศษที่ต้องทำมากกว่านี้ จงเฝ้าดูเท่านั้น สำรวจท่านเอง เฝ้าดูจิต แล้วท่านจะรู้ว่า อะไรคือสภาวะที่พอเหมาะสำหรับการฝึกปฏิบัติของท่าน
ควรจะศึกษาพระไตรปิฎกด้วยหรือไม่ในการฝึกปฏิบัติ
๔. จิตของชาวเอเชียและตะวันตกแตกต่างกันหรือไม่ครับ
โดยพื้นฐานแล้วไม่แตกต่างกัน ดูจากภายนอกขบนธรรมเนียงประเพณีและภาษาที่ใช้อาจดูต่างกัน แต่จิตของมนุษย์นั้นเป็นธรรมชาติซึงเหมือนกันหมด ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ความโภลและความเกลียดก็มีเหมือนกัน ทั่งในจิตของชาวตะวันออกหรือชาวตะวันตก ความทุกข์และความดับททุกข์ก็เหมือนกันทุกๆคน
๕. เราควรอ่านตำรามากๆ หรือศึกษาพระไตรปิฏกด้วยหรือไม่ครับ ในการฝึกปฏิบัตินี่
พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่อาจค้นพบได้ด้วยตำราต่างๆ ถ้าท่านต้องการจะรู้เห็นจริงด้วยตัวของท่านเองว่าพระพุทธเจ้าทรง ตรัสสอนอะไร ท่านไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับตำราเลย จงเฝ้าดูจิตของท่านเอง พิจารณาให้รู้เห็นว่า ความรู้สึกต่างๆ (เวทนา) เกิดขึ้น และดับไปได้อย่างไร ความนึกคิดเกิดขึ้นและดับอย่างไร อย่าได้ผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย จงมีสติอยู่เสมอ เมื่อมีอะไรๆเกิดขึ้นให้ได้รู้ได้ เห็น นี่คือทางบรรลุถึงสัจธรรมของพระพุทธองค์ จงปฏิบัติธรรมดาตามธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอยางที่ท่านทำขณะที่นี่ เป็นโอกาสแห่ง การฝึกปฏิบัติ เป็นธรรมะทั้งหมด เมื่อท่านทำวัตรสวดมนต์อยู่ พยายามให้มีสติ ถ้าท่านกำลังเทกระโถนหรือล้างส้วมอยู่ อย่าคิดว่า ท่านกำลังทำบุญทำคุณให้กับผู้หนึ่งผู้ใด มีธรรมะอยู่ในการเทกระโถนนั้น อย่ารู้สึกว่าท่านกำลังฝึกปฏิบัติอยู่เฉพาะเวลานั่งขัดสมาธิเท่านั้น พวกท่านบางคนบ่นงว่าไม่มีเวลาพอท่จะทำสมาธิภาวนา แล้วเวลาหายใจเล่ามีเพียงพอไหม? การทำสมาธิภาวนาของท่าน คือการมีสติ ระลึกรู้ และการรักษาจิตให้เป็นปกติตามธรรมชาติในการกระทำทุกอิริยาบถ
ทำไมจึงไม่มีการสอบอารมณ์กับอาจารย์ทุกวัน
๖. ทำไมพวกเราจึงไม่มีการสอบอารมณ์กับอาจารย์ทุกวันเล่าครับ
ถ้าท่านมีคำถาม เชิญมาถามได้ทุกเวลา แต่ท่นี้เราไม่จำเป็นจะต้องมีการสอบอารมณ์กันทุกวัน ถ้าผมตอบปัญหาเล็กๆน้อยๆทุกปัญหา ของท่าน ท่านก็จไม่มีทางรู้เท่าทันกับการเกิดดับของความสงสัยในใจของท่านเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่าน ต้องเรียนรู้ที่จะสำรวจตัวท่านเอง สอบถามตัวท่านเอง จงตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาทุกๆครั้งแล้ว จงนำเอาคำสอนนี้ ไปเปรียบเทียบกับการฝึกปฏิบัติของท่านเองว่าเหมือนกันหรือไม่ ต่างกันหรือไม่ ทำไมท่านจึงมีความสงสัยอยู่ ใครคือผู้ที่สงสัยนั้น โดยการสำรวจตัวเองเท่านั้นจะทำให้ท่านเข้าใจได้
๗. บางครั้งผมกังวลใจอยู่กับพระวินัยของพระสงฆ์ ถ้าผมฆ่าแมลงโดยบังเอิญแล้ว จะผิดไหมครับ
ศีลหรือพระวินัยและศีลธรรม เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการฝึกปฏิบัติของเรา แต่ท่านต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นในกฏเกณฑ์ต่างๆ อย่างงมงายในการฆ่าสัตว์ หรือการละเมิดข้อห้ามอื่นๆนั้น มันสำคัญที่เจตนา ท่านย่อมรู้แก่ใจของท่านเอง อย่าได้กังวลกับเรื่องพระวินัยให้มากจนเกินไป ถ้านำมาปฏิบัติอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยส่งเสริมการปฏิบัติ และพระภิกษุบางรูปกังวลกับกฎเกณฑ์เล็กๆน้อยๆ มากเกินไปจนนอนไม่เป็นสุข พระวินัยไม่ใช่ภาระที่ต้องแบก ในการปฎิบัติของเราที่นี้มีรากฐานคือพระวินัย พระวินัยรวมทั้งธุดงควัตรและการปฎิบัติภาวนา การมีสติและการสำรวมระวังในกฏระเบียบต่างๆ ตลอดจนในศีล ๒๒๗ ข้อนั้น ให้คุณประโยชน์อันใหญ่หลวง ทำให้มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่ต้องพะวงว่าจะต้องทำตนอย่างไร ดังน้นท่านก็หมดเรื่องต้องครุ่นคิด และมีสติดำรงอยู่แทน พระวินัยทำให้พวกเราอยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืน และชุมชนก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ลักษณะภายนอกทุกๆคนดูเหมือนกัน และปฏิบัติอย่างเดียวกัน พระวินัยและศีลธรรม เป็นบันไดอันแข็งแกร่งนำไปสู่สมาธิยิ่งและปัญญายิ่ง โดยการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามพระวินัยของพระสงฆ์และธุดงควัตร ทำให้เรามีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ และต้องจำกัดจำนวน บริขารของเราด้วย ดังนั้นที่นี้เราจึงควรมีการปฏิบัติที่ครบถ้วนตามแบบของพระพุทธเจ้า คือ การงดเว้นจากความชั้วและทำความดี มีความ เป็นอยู่อย่างง่ายๆ ตามความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ชำระจิตให้บริสุทธิ์ โดยการเฝ้าดูจิตและกายของเราในทุกๆอิริยาบท เมื่อนั่งอยู่ ยืนอยู่ เดินอยู่ หรือนอนอยู่ จงรู้ตัวของท่านเอง
๘. ผมควรจะทำอย่างไรครับเมื่อผมสงสัย บางวันผมวุ่นวายใจด้วยความสงสัยในเรื่องปฏิบัต หรือในความคืบหน้าของผม หรือในอาจารย์
ความสงสัยนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทุกๆคนเริ่มต้นด้วยความสงสัย ท่นอาจได้เรียนรู้อย่างมากจากความสงสัยนั้น ที่สำคัญก็คือ ถ้าท่านยังถือเอาความสงสัยนั้นเป็นตัวเป็นตน นั่นคืออย่าตกเป็นเหยื่อของความสงสัย ซึ่งจะทำให้จิตใจของท่านหมุนวนเป็นวัฏฏะ อันไม่มีที่สิ้นสุด แทนที่จะเป็นเช่นั้น จงเฝใดูกระบวนการเกิดดับของความสงสัย ของความฉงนสนเท่ห์ ดูว่าใครคือผู้ที่สงสัย ดูว่าความสงสัยนั้นเกิดขึ้นและ ดับไปอย่างไร และท่านจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความสงสัยอีกต่อไป ท่านจะหลุดพ้นออกจากความสงสัยและจิตของท่านก็จะสงบ ท่านจะเห็นว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร จงปล่อยวางสิ่งต่างๆที่ท่านยังยึดมั่นอยู่ ปล่อยวางความสงสัยของท่านและเพียงแต่เฝ้าดู นี่คือสิ่งที่สิ้นสุดของควาสงสัย
๙. ท่านอาจารย์มีความเห็นเกี่ยวแก่วิธีปฏิบัติ(วิธีภาวนา)วิธีอื่นๆอย่างไรครับ ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าจะมีอาจารย์มากมาย และมีแนวทางการทำสมาธิ
วิปัสสนาหลายแบบ จนทำให้สับสน มันก็เหมือนกับการจะเข้าไปในเมือง บางคนอาจจะเข้าเมืองทางทิศเหนือ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ทางถนนหลายสาย โดยมากแล้วแนวทางภาวนาก็แตกต่างกันแต่เพียงรูปแบบเท่านั้น ไม่ว่าท่านจะเดินทาสายหนึ่งสายใด เดินช้าหรือเดินเร็ว ถ้าท่านมีสติอยู้เสมอ มันก็เหมือนกันทั้งนั้น ข้อสำคัญที่สุดก็คือแนวทางภาวนาที่ดีและถูกต้องจะต้องนำไปสู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ลงท้ายแล้ว ก็ต้องปล่อยแนวทางการภาวนาทุกรูปแบบด้วย ผู้ปฏิบัติต้องไม้ยึดมั่นแม้ในตัวอาจารย์แนวทางใดที่นำไปสู่การปล่อยวาง สู่การไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ท่านอาจจะอยากเดินทางเพื่อศึกษาอาจารย์อื่นอีก และลองปฏิบัติตามแนวทางอื่นบ้างก็ได้ พวกท่านบางคนก็ทำเช่นนั้น นี้เป็นความต้องการ ตามธรรมชาติ ท่านจะรู้ว่าแม้ได้ถามคำถามนับพันคำถามก็แล้ว และมีความรู้เรื่องแนวทางปฏิบัติอื่นๆก็แล้ว ก็ไม่อาจจะนำท่านเข้าถึงสัจจะธรรมได้ในที่สุดท่านก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย ท่านจะรู้ว่าเพียงแต่หยุด และสำรวจตรวจสอบดูจิตใจของท่านเองเท่านั้น ท่านก็จะรู้ว่าพระพุทะเจ้าตรัสสอนอะไร ไม่มีประโยชน์ที่แสวงหาออกไปนอกตัวเอง ผลที่สุดท่านต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับสภาวะที่แท้จริงของตัวท่นเอง ตรงนี้แหละที่ท่านจะเข้าใจ ธรรมะได้
๑๐. มีหลายครั้งหลายหนที่ดูเหมือนว่าพระหลายรูปที่นี่ไม่ฝึกปฏิบัติ ดูท่านไม่ใส่ใจธรรม หรือขาดสติ เรื่องนี้กวนใจผม
มันไม่ถูกต้องที่จะคอยจับตาดูผู้อื่น นี้ไม่ช่วยการฝึกปฏิบัติของท่านเลย ถ้าท่านรำคาญใจก็จงเฝ้าดูความรำคาญในใจของท่านเลย ถ้าศีลของผู้อื่นบกพร่อง หรือเขาเหล่านั้นไม่ใช่พระที่ดี ก็ไม่ใช่เรื่องของท่านที่จะไปตัดสิน ท่านจะไม่เกิดปัญญา การจับตาดูผู้อื่น พระวินัยเป็นเครื่องช่วยในการทำสมาธิภาวนาของท่าน ไม่ใช่อาวุธสำหรับใช้ติเตียนหรือจับผิดผู้อื่น ไม่ใครสามารถฝึกปฏิบัติให้ท่านได้ หรือท่านก็ไม่สามารถปฏิบัติให้ผู้อื่นได้ จงมีสติใส่ใจในการฝึกปฏิบัติของตัวท่านเอง และนี่คือแนวทางของการปฏิบัติ
//////////ต่อตอน 2