**wan**
11-02-2008, 03:57 PM
http://www.dhammajak.net/gallery/albums/userpics/%CB%C5%C7%A7%BB%D9%E8%B5%D7%E9%CD%20%CD%A8%C5%B8%C1%DA%E2%C1%204.jpg
อบรมภาวนาญาติโยม
พระธรรมเทศนา ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม กัณฑ์ที่ ๖
อบรมภาวนาญาติโยม อ.นาแก จ.นครพนม (พระธรรมเทศนาเป็นภาษาพื้นเมืองอิสาน)
โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดชีวิตกับธรรมะ กระทู้ 15497 โดย: มุก 21 พ.ย. 48
เอ้าตั้งใจฟัง สงบๆอดเอาถ้ามันเจ็บมันปวดก็ดี ถ้าไม่มีความอดความทนก็ ไม่ได้ซิ เวลาออกลูกมันเจ็บมันปวดกว่านี้เยอะเลย(...หัวเราะทั้งพระทั้งโยม...)
เอ้าตั้งใจฟัง ฟังเทศน์ก็ฟังธรรมด้วย เพื่อจะได้ภาวนาไปในตัวนั่นแหละ ดูจิตดูใจของใครของมัน สร้างเหตุที่ดี ผลได้รับมันก็ดี สมกับที่ว่าการกระทำ คือทำดี
บาปก็กระทำเอาแหละ คือ ทำชั่วมันจึงเป็นบาป ใครอยากดีก็ทำดีเอา ไม่ไปทำชั่ว ความชั่วมันก็เลยไม่เกิดขึ้น ถ้ายังทำชั่วอยู่ มันก็ไม่มีความดี นั่นแหละ
ศาสนามีเท่านั้นแหละ มีดีกับชั่วเท่านั้น มันอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ตัวคน ไม่ได้ อยู่ที่ตัวคนอื่นหรอก
โดยเฉพาะพวกเราเป็นนักปฏิบัติพระพุทธศาสนา มีเจตนาปฏิญาณตน เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระมาบวชก็เหมือนกัน เป็นลูกศิษย์ พระพุทธเจ้า บวชมาก็เพื่อปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นอุบาสกอุบาสิกา ก็เหมือนกัน จึงต้องทำให้มันสมควรที่เราเจตนา สมควรที่เราปรารถนา อยากจะให้พวกเราทุกคนดี เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี
อย่าได้แต่เรียนรู้เฉยๆ มันไม่ดี มันต้องปฏิบัติให้มันเกิดมันมีขึ้นจึงจะดี ถ้าหากเรารู้เฉยๆ ก็เหมือนกับรู้นั่นรู้นี่นั่นแหละ รู้บุญ บุญนี่เราก็รู้จักกันทุกคน แต่ไม่ทำเจ้าของให้มันเป็นบุญ มันก็เลยไม่เป็นบุญ อยากได้บุญแต่ยังทำบาปอยู่ มันก็เลยไม่เป็นบุญ มันเป็นบาป
บาปก็คือตัวคนนี่แหละ บุญก็คือตัวคน ไม่ใช่วัวไม่ใช่ควายหรอก พวกวัวพวกควายนั้นมันไม่ได้ทำบาปหรอก สัตว์มันก็ไม่ฆ่า ลักมันก็ไม่เป็น วัวควายนั้นหาใส่ท้องของมันไปตามเรื่อง ประพฤติผิดทางกามมันก็ไม่ประพฤติ แหละ มันไม่มีหวงแหนนี่ เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้นเอง โกหกไม่เป็น วัวควาย เหล้ามันก็ไม่กิน
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้บัญญัติพระศาสนาไว้ให้แก่สัตว์เดรัจฉาน พระองค์บัญญัติพระศาสนาไว้ให้คนคือพวกเราทั้งหลายนี้แหละ เป็นผู้ประพฤติ ปฏิบัติกัน
สำหรับวันนี้ พวกเราก็มีเจตนาดี ออกมาจากบ้านช่องเข้ามาสู่วัดวาสู่ศาสนา เพื่อมาสร้างคุณงามความดี มาประกอบ ศีลวัตร ทานวัตร ภาวนาวัตร มาประกอบกาลมหากุศล เพื่ออุทิศบุญกุศล ด้วยการไหว้พระ ระลึกถึงคุณ พระรัตนตรัยซึ่งเสร็จสิ้นลงไปแล้ว
ต่อจากนี้ ก็เป็นหน้าที่ที่จะอบรมจิตใจ เพื่อเอาธรรมะมาอบรมจิตใจ ให้มันสงบจากบาป โดยเฉพาะวันนี้ก็เรียกว่าเป็นอภิลักขิตสมัย เป็น วันข้าวประดับดิน เรียกว่า อุทิศกุศลให้แก่ บุพพเปตพลี คือ ผู้ที่ล้มหายตาย จากไป จะเป็นเครือญาติ เป็นพ่อแม่ญาติพี่น้อง ผู้ล้มหายตายจากไป ถ้าวิถี วิญญาณยังเป็นสัมภเวสีอยู่ ก็จะได้มาอนุโมทนารับส่วนบุญส่วนกุศล ที่กุลบุตร กุลธิดา ลูกหลาน อุทิศบุญกุศลไปให้
คืออย่างวันนี้ ใครๆก็สนใจ เหมือนอย่างเมื่อเช้านี่แหละ มีคนมาบำเพ็ญ บุญกุศลมาก มาร่วม ๓๐๐ คน ไม่ใช่น้อยๆ ผู้ที่เป็นเปรตเป็นผีก็มาอนุโมทนา สาธุการ ดีอกดีใจที่เห็นลูกเห็นหลานได้มาบำเพ็ญกองกาลมหากุศลให้
บางคนนับตั้งแต่ต้นปี ๒๕๑๕ ขึ้นมา คือ ตั้งแต่วันที่ ๑มกรา เพิ่งจะได้มา ใส่บาตรวันนี้เป็นครั้งแรกก็มี นั่นก็เพราะว่าระลึกถึงคุณบิดามารดา เครือญาติ ที่ล้มหายตายจากไปแล้ว
อันนี้เรียกว่าเป็นประเพณีมาแต่ครั้งโน้น ครั้งพุทธกาลนั่นแหละ มาตั้งแต่ ศาสนาพระเจ้าวิปัสสีนั่นแหละจึงไม่ใช่ธรรมดา
ในคราวกาละครั้งนั้น พระพุทธองค์เจ้า พระโคดม ของเรา ได้เกิดเป็น ชายทุกขตา ชื่อว่า ติณปาละ เป็นคนทุกข์ เกิดขึ้นมาแล้วพ่อแม่ก็ล้มหาย ตายจากไป ไร่นาก็บ่มี เที่ยวรับจ้างเขากินอย่างนั้นแหละ ได้ข้าวมาก็พอ ได้มาหุงกินมื้อเช้ามื้อเย็นพอประทังชีวิตไป
เมื่อถึงเดือน ๙ ดับนี่แหละ ก็หุงข้าวใส่ก่องไว้แล้ว ก็เลยว่าจะกินแล้ว จะออกไปหารับจ้าง เลยพอดีเห็นประชาชนผู้ใจบุญใจกุศลเดินทางไปใส่บาตร ไปถวายบุพพเปตพลี สมัยพระพุทธเจ้าชื่อว่า พระมหากัสสปะ หรอก
เห็นคนไปมาก ก็เลยร้องถามเขา พ่อแม่พี่น้อง ป้าลุงพากันไปไหนมากมายจัง
อ้อ! วันนี้เป็นวันถวายบุพพเปตพลี จะไปทำบุญใส่บาตรวัดกัน ว่า อย่างนั้นแหละ
คิดในใจ ชะรอยเราเกิดมาที่เป็นคนทุกข์คนจน พ่อแม่ล้มหายตายจากไป เราคงไม่เคยให้ทานสักทีละมั้ง ว่างั้น ก็เลยสะพายก่องข้าวอันนั้นแล้ว ข้าวหุงใส่ก่องไว้ แล้วไปตามหลังคนกลุ่มนั้น ผ้าก็ขาดๆ ครั้นจะไปใกล้ หมู่เขาก็ย่านเขาจะเห็นหำแหละ เดินตามห่างๆไป
พอไปถึงวัดแล้ว เขาก็ทำพิธีไหว้พระ สมาทานศีล แล้วก็ว่าตามพระนั่นแหละ ศีล ๕ ประการนั้น เมื่อถึงเวลาพระเจ้าพระสงฆ์เขาก็ตั้งแถวกัน เหมือนกับ พวกเราตั้งแถวกันเมื่อตอนเช้าวันนี้แหละ
พระมหากัสสปะพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ ๕๐๐ ออกบิณฑบาตร
แกก็ไม่ใส่หลายองค์ แกใส่หมดก่องเลย ใส่องค์พระศาสดาหัวหน้านั่น ข้าวไม่เหลือสักเม็ดเลย ใส่แล้วก็เลยปรารถนา ขึ้นชื่อว่า ความทุกข์ ความจน ความหิว อย่าได้มี จากวันนั้นจนข้าพเจ้าสิ้นภพนั่นแหละ
คิดอธิษฐานในใจไม่ได้ให้ใครได้ยินด้วยดอก แล้วสะพายก่องข้าวเปล่า กลับเลย ไม่ได้คอยพระยะถาสัพพี ไม่ได้คอยกินข้าวก้นบาตรเหมือน พวกเราหรอก ไปเลย
ไปถึงที่พักแล้ว เอาก่องข้าวห้อยไว้ แล้วก็เอาผ้าห่มมาห่มนอน ถ่วง ท้ายถ่วงหัวว่าจะกินบุญวันนี้ อิ่มบุญแล้วไม่ต้องออกไปรับจ้าง นอนหลับ พอตื่นขึ้นมามันก็หิวซีทีนี้
คิดในใจว่า ข้าวไม่เหลือติดก่องสักเม็ดเลยหรือ พอได้มาอมแก้หิวบ้าง ใจหนี่งบอกว่าจะยังยังไง เอาใส่บาตรหมดแล้วนี่ เถียงกันอยู่นั่นแหละ
ใจหนึ่งบอกว่ามันหมดแล้ว เอาใส่บาตรหมดแล้วนี่ เถียงกันอยู่นั่นแหละ ใจหนึ่งมันบอกว่าหมดแล้ว ใจหนึ่งบอกว่าดูเหมือนยังมีอยู่
พอหิวแล้วก็ลุกไปเปิดก่องข้าวดู เปิดฝาก่องมีข้าวเต็มอ้อล่อหอมกรุ่นเชียว
มันเป็นข้าวทิพย์ ว่างั้นเถอะ กินไม่เหลือสักเม็ด อิ่มแอแหลเลย กิน แล้วก็นอน ก็มีข้าวเต็มก่องให้กินทุกมื้อเลย ในชาตินั้นเลยไม่อดกิน
นั่น อานิสงส์ของติณปาละ พอคิดอยากกิน ไปเปิดก่องข้าวแล้วได้กินเลย มีข้าวเต็มเลย ไม่อดไม่อยาก ไม่ต้องไปทำชั่ว ศีลก็เลยบริสุทธิ์ ไม่ได้ฆ่า ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้พูดเท็จ ไม่ได้กินเหล้า แล้วรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อยตลอดเวลา
วนว่ายตายเกิดวัฏสงสาร เที่ยวไปโงมาสุดท้ายก็มาเกิดเป็น สิทธัตถะกุมาร ออกบวชในพระศาสนาสัมฤทธิ์เป็นพระพุทธเจ้า บรมครูนั่งนิ่งเหมือนก้อนหิน ให้พวกเรากราบไหว้อยู่บนนั้นแหละ
นั่น ต้องบำเพ็ญอย่างนั้น พระบรมครูนั่นนะ แต่ครั้งเกิดเป็น ติณปาละ ในศาสนา พระมหากัสสปะพุทธเจ้าโน่น
ท่านก็เป็นคนทุกข์คนจนเหมือนกับพวกเรานี้แหละ ทุกข์กว่าพวกเรานี่ด้วย ซ้ำไป แต่ท่านเจตนาดี
เพราะฉะนั้น บุญกุศล ก็อยู่ที่การกระทำ ทำด้วยเจตนา คือ วันนี้ก็พวกท่าน ทั้งหลาย ที่เจตนามาทำบุญสุนทานให้ทานการกุศล เมื่อเช้านี้ก็อุทิศกุศล ส่วนบุญไปให้บุพพเปตพลี มีบิดามารดา ปู่ย่าตายาย กุลบุตร กุลธิดา ผู้ล้มหายตายจากไป เขาก็อนุโมทนา
หากบิดามารดา ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้องของเรา ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ อานิสงส์นั้นก็สะท้อนกลับคืนมานั่นแหละ มาสู่พวกเรา เหมือนกับ ติณปาละ
อันนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้ภูมิใจ พอตอนค่ำมา เราก็ได้บำเพ็ญกองกาล มหากุศล ก็รักษาศีลตลอดวัน ผู้รักษาศีลห้าก็รักษาตลอดวัน ผู้รักษาศีลอุโบสถ ก็รักษาตลอดวัน
ค่ำมาก็ได้มาบำเพ็ญกองกาลมหากุศล สดับตรับฟังพระธรรมเทศนา นั่งภาวนาพุทโธ ดูใจของเจ้าของ นั่นมันก็ยิ่งเป็นบุญเป็นกุศลเพิ่ม
เพราะฉะนั้น วันนี้เราได้ศีลวัตร คือ รักษาศีลบริสุทธิ์ ทานวัตร เราก็ได้ บริจาคทานการกุศลตามกำลังศรัทธา ภาวนาวัตร เราก็ได้ภาวนาพุทโธ ตามดูลมเข้า-ลมออกให้จิตใจของเราสงบ ตลอดทั้งการสดับตรับฟังพระ สัทธรรมเทศนา หาความดีเข้าสู่ใจ ซึ่งถือว่ายากนักที่บุคคลที่เกิดมาในโลกนี้ ที่จะมาบำเพ็ญกุศลพร้อมเพรียงกัน สร้างวัตรทั้ง ๓ ประการ ให้ครบบริบูรณ์ ในวันเดียวกันนั้นมันยาก
เพราะฉะนั้น วันนี้เราได้มาประสบความสำเร็จ ทานวัตร เราก็ได้บริจาคทาน ตามสติกำลัง ศีลวัตร เราก็ได้รักษาศีล บางคนก็รักษาศีลห้า บางคนก็รักษาศีลอุโบสถ ภาวนาวัตร เราก็ได้ภาวนาแล้ว ดูจิตใจของเรา ให้มันเกิดเป็นบุญกุศลขึ้น
ก็แปลว่าพวกเรานั้น ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทขององค์สมเด็จศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ชื่อว่าเราสร้างพระพุทธศาสนาเข้าสู่จิตใจ เป็นการ ปฏิปฏิปูชา คือ ปฏิบัติบูชา
ปฏิบัติคืออะไร ปฏิบัติกาย ปฏิบัติวาจา และปฏิบัติดวงใจของเจ้าของ ให้หมดจากความเห็นผิด สร้างจิตใจของตนให้มันมีความเห็นถูก เห็นถูกใน ทางพระพุทธศาสนา ผลสุดท้ายก็เอาธรรมพินิจ จิตของพวกเราก็เลยสูงขึ้น สูงกว่าความโลภ สูงกว่าความโกรธ สูงกว่าความหลง ผลสุดท้ายจิตก็เป็น กองกาลกุศล คือ จิตเป็นบุญ
ต้นทุนที่เราได้บำเพ็ญ คือ ปฏิบัติชอบทางกาย ทางวาจา จิตใจ โดยบำเพ็ญศีลวัตร ทานวัตร ภาวนาวัตร กำจัดอาสวกิเลส ความหลง ออกจากจิตใจนั้นหนะ พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นผู้ประเสริฐ มันเป็นอย่างนั้น เป็นมนุษย์ที่ดี เรียกว่า มนุสฺสธมฺโม มีธรรมประจำจิตประจำใจ
เพราะฉะนั้น ให้เราทั้งหลายได้พากันภูมิใจโดยเฉพาะปีนี้ เราก็บำเพ็ญ กองกาลมหากุศลเป็นต้นมา เรียกว่า ในพรรษานี้เป็นเวลา ๔๕ วัน บางคน ก็ได้รักษาศีลเป็นนิจ สร้างศีลวัตรก็เป็นนิจนั่นแหละ ๔๕ วัน งดจากการฆ่า การลัก การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ การกินเหล้า
บางคนก็ได้ทานวัตรแล้วทีนี้ สร้างทานเป็นประจำ คือ ให้ทาน ทุกวัน นั่น อานิสงส์มันก็ถึงใจ บางคนก็มีภาวนาวัตร แล้วทีนี้ ทำภาวนา ทุกคืน ไหว้พระสวดมนต์ นั่งหลับตาภาวนาพุทโธ นั่นแหละ
ผู้มีศีลเป็นนิจ มีทานเป็นนิจ ภาวนาพุทโธเป็นนิจ สร้างจิตใจ ของตนให้สงบ เรียกว่าจิตพบพระพุทธศาสนา คือ จิตติดพระพุทธศาสนา จิตติดศีล จิตติดทาน จิตของพวกเราติดภาวนา ติดพระพุทธ ติดพระธรรม ติดพระสงฆ์แล้ว ติดทางที่เป็นบุญเป็นกุศลขึ้นนั่นแหละ ว่าอย่างนั้น มันก็เลยเป็นบุญเป็นกุศล
เพราะฉะนั้น ทุกคนจงอย่าได้น้อยใจ ถ้าเข้ามาบำเพ็ญกุศลในทาง พระพุทธศาสนาแล้ว มันไม่ขาดทุนหรอก บุญกุศลมันก็ได้ ขออย่าได้ทำเล่น เท่านั้นแหละ ครั้นรักษาศีลจริงๆ คือรักษากาย รักษาวาจา ให้เรียบร้อย เว้นจากโทษทั้งห้า อานิสงส์มันก็ถึงใจ
ทานก็เหมือนกัน ครั้นเราบริจาคทานเป็นประจำ ทานจริงๆ ไม่มี ความตระหนี่หวงแหน ไม่มีความเสียดาย ไม่ได้หวังวัตถุภายนอก ทานเพื่อประดับจิตใจของตน ในใจของตนรู้ นั่น อานิสงส์ของการบริจาค ทานมันก็ถึงใจ ถ้าเหลียวดูในใจของเราก็เห็นแล้ว อานิสงส์ทานที่ตน บริจาคนั่นหนะ อย่างให้ทานวันนี้ ใครทานน้อยก็รู้ว่าเจ้าของทานน้อย ใครทานมากก็รู้ตัวเจ้าของว่าทานมากต่างก็รู้กันทั้งนั้น ที่คนมาบริจาค
การภาวนาก็โดยนัย ถ้าเราตั้งใจภาวนาพุทโธตามลมเข้าลมออก แล้ว พุทโธก็เอาไปตั้งอยู่ในใจจริงๆ ทำอะไรมันก็จริงขึ้นที่ใจ
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ให้อบรมใจ ให้เป็นใจที่จริงไม่ให้ ใจปลอม ถ้าใจปลอมแล้วมันปลอมไปหมด รักษาศีลมันก็เป็นศีลปลอม ให้ทานก็ทานปลอม ภาวนาพุทโธก็พุทโธปลอมๆ นั้นแหละ เข้าไปอยู่ ในจิตใจนั่นแหละ ถ้าเราไม่สามารถให้ใจเป็นบุญกุศลนั่นแหละ บุญกุศลมันก็เลยไม่เกิดขึ้นที่ใจ เหมือนกับที่เราเคยพบเคยเห็นนั่นแหละ
ผู้ที่เคยบวชในพระพุทธศาสนาก็ดี เป็นนักปราชญ์ เป็นอาจารย์ นั่นแหละ ไปงานไหนก็ตาม ยกขันดอกไม้ขึ้นแล้วก็ อิมินา มะยังภันเต เห็นหน้าพระแล้วก็ มะยังภันเต ติสะระเณนะสะหะ โลดหละ แต่อานิสงส์ ศีลนั้นมันไม่ถึงใจ
จะถึงอะไรเราก็เคยเห็นอยู่นี่ ครั้นออกจากหน้าพระมันก็ไปทำผิดศีล นั่นแหละ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดปดพูดเท็จ กินเหล้าเมาสุราแอ๋แอ้นอยู่นั่นแหละ ไม่รู้จักว่าอะไรเป็น ปาณา อทินนา กาเม มุสา สุรา นั่นหนะ
ทานก็เหมือนกัน เอาแต่ยกขันข้าวขึ้น แล้วก็ อิมินา มะยังภันเต นั่นแหละ อยากไปพระนิพพานโน่นแหละ
เราไปดูเวลาเขาทำบุญซิ เขาจะสร้างกฐินก็ดี จัดกองบวชกองอะไร ก็ดี เขาทำถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาหรือไม่ ถ้าใจเป็นบุญแล้ว มันต้องทำให้ถูกต้อง ตามหลักพระพุทธศาสนา คือ ไม่เสียไปในทางที่ เป็นโลกๆ ไม่เสียไปในทางที่เป็นบาป มันเป็นอย่างนั้น
อย่างองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ผู้บรมครู ผู้ใจท่านถึงพระศาสนา ผู้ทำทานถึงเป็นบุญนั่นแหละ อย่างตอน ท่านเป็นพระเวสสันดร ท่านทำทานกัณหา ชาลี ให้ตาพราหมณ์เฒ่า นั่นแหละ ทานมัทรีให้อินทพราหมณ์ นั่นได้ทำตามโลกาธิปไตยโดยเจตนา จึงมอบให้จริงๆ แหละ
กัณหา ชาลี มอบให้พราหมณ์เฒ่าไปเลย นางมัทรี ก็มอบให้ อินทพราหมณ์ไปเลย ไม่ต้องว่า อิมินา มะยังภันเต อะไรนั่นหรอก อานิสงส์ มันจึงถึงใจเป็นการถางทางขึ้นพระสัมมาสัมโพธิญาณ ผลสุดท้ายอานิสงส์ ที่เจตนาดีมันก็เลยส่งผลต่อไปนั่นแหละ ได้สัมฤทธิ์ผลสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ในฐานะพวกเราผู้เคารพ ผู้เลื่อมใส ผู้มีศรัทธาเชื่อมั่น ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าขอให้ตั้งใจ เวลาเรารักษาศีล ก็ให้ รักษาจริงๆ คือ รักษากาย วาจา ของตนให้เรียบร้อยตามหน้าที่ของตน ผู้เป็นพระก็รักษาศีลของพระ พูดถึงฆราวาสวินัย อุบาสกอุบาสิกาก็รักษาศีล ของฆราวาส ไม่ต้องก้าวก่ายกัน
ศีลของฆราวาสเราก็รู้จักดีว่า ศีลห้า ศีลอุโบสถ นั่นแหละ ใครมีศรัทธา พอที่จะรักษาศีลห้า ก็รักษาให้มันถึงใจ อย่ารักษาเล่น เมื่อถึงวันพระ จะรักษาอุโบสถศีล ก็รักษาให้มันถึงใจ อย่าไปรู้จักแต่ชื่อมัน
ส่วนพวกเรามันมาถึงนี่แล้ว มาเห็นแล้วเลยอุดมสมบูรณ์หมด รู้จักหมด กุฏิมีกี่หลังคา พระมีกี่องค์ ศาลาการเปรียญ พระพุทธรูป พระสถูปเจดีย์ เราสร้างขึ้นมีเท่าไร ไม่ต้องไปถามผู้อื่น
อันบุญกุศลที่เราทำนี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัตินี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันถึงใจก็ไม่ต้องถามใคร รู้จักว่าเจ้าของมีศีลบริสุทธิ์ รู้จักว่าตนของ ตนบริจาคทานการกุศล อานิสงส์ศีลถึงใจ รู้สึกว่าเจ้าของมีภาวนาพุทโธ อย่างถึงใจ พุทโธแบบผู้รู้ รู้ว่าตนเองนั้นจิตเป็นบุญกุศล หรือว่าจิต เป็นบาป นั่นมันเป็นอย่างงั้น
เพราะฉะนั้น พวกเรามีพุทโธอยู่ที่ใจไหม มาถึงเราสงบกาย สงบวาจา สงบจิตใจ
ส่วนผู้บ่มีศีล บ่มีทาน บ่มีภาวนา บ่มีคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ อยู่ในใจนั่นแหละ บ่รู้จักสถานที่ เขาเรียกกินเหล้าก็หันเป๋ เข้าไปเลย เขาไม่มีพุทโธ อานิสงส์ศีลบ่ถึงใจ อานิสงส์ทานไม่ถึงใจ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่เข้าไปตั้งอยู่ที่ใจ
ส่วนผู้ปรารถนาอยู่ที่จิตใจ เมื่อจะเข้าวัดต้องสงบ ระงับ เหมือนอย่าง พวกเราท่านทั้งหลายนี้แหละ วันนี้ก็งดฆ่าสัตว์แล้วหละ งดลักทรัพย์ งดประพฤติผิดกาม งดพูดปด งดกินเหล้าแหละ
เข้ามาทีแรกก็มาบำเพ็ญกองกาลมหากุศลตามสติกำลังศรัทธาของตน ไม่บกพร่อง เป็นอย่างนั้น
อันนี้ขอให้ท่านทั้งหลายได้พากันภูมิใจว่า เราเป็นธรรมทายาทของ พระพุทธเจ้า คือ สร้างหัวใจให้เป็นธรรม เรียกว่า ธรรมทายาท พระพุทธเจ้า ท่านสอนอย่างไร ท่านสอนศีลวัตร เราก็ปฏิบัติศีลของพระพุทธเจ้าให้มันถึงใจ ท่านสอนทานวัตร ก็บริจาคทานการกุศล เหลียวเข้าไปดูในใจมันเห็น สิ่งของที่ตนบริจาคทานนั่นแหละ
พระองค์ท่านสอนภาวนาวัตรก็หัดภาวนาพุทโธขับไล่ไสส่งอาสวกิเลส โลภ โกรธ หลง ออกจากจิตใจ ผลสุดท้ายอะไรมันก็เลย เกิดขึ้นมา สนฺติ ปรํ สุขํ นั่นความสงบมันก็เกิดขึ้นในใจ
นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ ความสุขอื่นใดไม่ราบรื่นเหมือนกับความสุข อันเกิดจากจิตสงบ
ถ้าอยากจิตใจสงบในสถานที่นี้ ก็หมายความว่า สงบด้วยจิตมีศีล สงบด้วยจิตเป็นสมาธิ สงบด้วยจิตเป็นปัญญา มันจึงจะไปฆ่ากิเลส โลภ โกรธ หลง ออกจากใจได้
ครั้ง(ถ้า) ผู้ใดบ่มีศีล บ่มีสมาธิ บ่มีปัญญา นั่นก็บ่สงบแหละ วุ่นวาย ขัดข้อง นั่งก็เป็นทุกข์ นอนก็เป็นทุกข์ ได้ศีลก็เป็นทุกข์ บ่ได้ศีลก็เป็นทุกข์ วุ่นวายขัดข้อง อยู่ที่ไหนวุ่นวายขัดข้องที่นั่น ถ้าคนไม่ปฏิบัติตามหลัก พระพุทธศาสนา อยู่ในบ้านก็หนักบ้าน อยู่ในวัดก็หนักวัดแหละ
คนบ่มีหลักธรรมประจำจิตประจำใจ อยู่ในกรมในกองก็หนักกรม หนักกอง อยู่ในเรือนชานก็หนักเรือนชานนั่นแหละ คนไม่มีหลัก พระพุทธศาสนานั่น
ส่วนคนที่มีหลักพระพุทธศาสนา อยู่ที่ไหนเบาที่นั่น อยู่วัดก็เบาวัด อยู่ในบ้านก็เบาบ้าน อยู่ในเรือนในชานก็เบาเรือนเบาชาน อยู่ในสถานที่ไหน ก็เบาหมด
เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าของพวกเรานี่ พระองค์ไปไหนเบาหมด ไปอยู่เมืองพาราณสีก็เบาหมดเมือง ไปอยู่เมืองราชคฤห์ ก็เบาหมดเมือง ขึ้นไปอยู่บนเขาคิชฌกูฏก็เบาหละ ไปอยู่ที่ไหนเบาที่นั่น อยู่เมืองสาวัตถอก สาวัตถีก็เบาหมด เออ เบาด้วยคุณงามความดีที่ท่านปฏิบัติ
@@@@@@@ต่อตอน 2
อบรมภาวนาญาติโยม
พระธรรมเทศนา ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม กัณฑ์ที่ ๖
อบรมภาวนาญาติโยม อ.นาแก จ.นครพนม (พระธรรมเทศนาเป็นภาษาพื้นเมืองอิสาน)
โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดชีวิตกับธรรมะ กระทู้ 15497 โดย: มุก 21 พ.ย. 48
เอ้าตั้งใจฟัง สงบๆอดเอาถ้ามันเจ็บมันปวดก็ดี ถ้าไม่มีความอดความทนก็ ไม่ได้ซิ เวลาออกลูกมันเจ็บมันปวดกว่านี้เยอะเลย(...หัวเราะทั้งพระทั้งโยม...)
เอ้าตั้งใจฟัง ฟังเทศน์ก็ฟังธรรมด้วย เพื่อจะได้ภาวนาไปในตัวนั่นแหละ ดูจิตดูใจของใครของมัน สร้างเหตุที่ดี ผลได้รับมันก็ดี สมกับที่ว่าการกระทำ คือทำดี
บาปก็กระทำเอาแหละ คือ ทำชั่วมันจึงเป็นบาป ใครอยากดีก็ทำดีเอา ไม่ไปทำชั่ว ความชั่วมันก็เลยไม่เกิดขึ้น ถ้ายังทำชั่วอยู่ มันก็ไม่มีความดี นั่นแหละ
ศาสนามีเท่านั้นแหละ มีดีกับชั่วเท่านั้น มันอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ตัวคน ไม่ได้ อยู่ที่ตัวคนอื่นหรอก
โดยเฉพาะพวกเราเป็นนักปฏิบัติพระพุทธศาสนา มีเจตนาปฏิญาณตน เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระมาบวชก็เหมือนกัน เป็นลูกศิษย์ พระพุทธเจ้า บวชมาก็เพื่อปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นอุบาสกอุบาสิกา ก็เหมือนกัน จึงต้องทำให้มันสมควรที่เราเจตนา สมควรที่เราปรารถนา อยากจะให้พวกเราทุกคนดี เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี
อย่าได้แต่เรียนรู้เฉยๆ มันไม่ดี มันต้องปฏิบัติให้มันเกิดมันมีขึ้นจึงจะดี ถ้าหากเรารู้เฉยๆ ก็เหมือนกับรู้นั่นรู้นี่นั่นแหละ รู้บุญ บุญนี่เราก็รู้จักกันทุกคน แต่ไม่ทำเจ้าของให้มันเป็นบุญ มันก็เลยไม่เป็นบุญ อยากได้บุญแต่ยังทำบาปอยู่ มันก็เลยไม่เป็นบุญ มันเป็นบาป
บาปก็คือตัวคนนี่แหละ บุญก็คือตัวคน ไม่ใช่วัวไม่ใช่ควายหรอก พวกวัวพวกควายนั้นมันไม่ได้ทำบาปหรอก สัตว์มันก็ไม่ฆ่า ลักมันก็ไม่เป็น วัวควายนั้นหาใส่ท้องของมันไปตามเรื่อง ประพฤติผิดทางกามมันก็ไม่ประพฤติ แหละ มันไม่มีหวงแหนนี่ เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้นเอง โกหกไม่เป็น วัวควาย เหล้ามันก็ไม่กิน
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้บัญญัติพระศาสนาไว้ให้แก่สัตว์เดรัจฉาน พระองค์บัญญัติพระศาสนาไว้ให้คนคือพวกเราทั้งหลายนี้แหละ เป็นผู้ประพฤติ ปฏิบัติกัน
สำหรับวันนี้ พวกเราก็มีเจตนาดี ออกมาจากบ้านช่องเข้ามาสู่วัดวาสู่ศาสนา เพื่อมาสร้างคุณงามความดี มาประกอบ ศีลวัตร ทานวัตร ภาวนาวัตร มาประกอบกาลมหากุศล เพื่ออุทิศบุญกุศล ด้วยการไหว้พระ ระลึกถึงคุณ พระรัตนตรัยซึ่งเสร็จสิ้นลงไปแล้ว
ต่อจากนี้ ก็เป็นหน้าที่ที่จะอบรมจิตใจ เพื่อเอาธรรมะมาอบรมจิตใจ ให้มันสงบจากบาป โดยเฉพาะวันนี้ก็เรียกว่าเป็นอภิลักขิตสมัย เป็น วันข้าวประดับดิน เรียกว่า อุทิศกุศลให้แก่ บุพพเปตพลี คือ ผู้ที่ล้มหายตาย จากไป จะเป็นเครือญาติ เป็นพ่อแม่ญาติพี่น้อง ผู้ล้มหายตายจากไป ถ้าวิถี วิญญาณยังเป็นสัมภเวสีอยู่ ก็จะได้มาอนุโมทนารับส่วนบุญส่วนกุศล ที่กุลบุตร กุลธิดา ลูกหลาน อุทิศบุญกุศลไปให้
คืออย่างวันนี้ ใครๆก็สนใจ เหมือนอย่างเมื่อเช้านี่แหละ มีคนมาบำเพ็ญ บุญกุศลมาก มาร่วม ๓๐๐ คน ไม่ใช่น้อยๆ ผู้ที่เป็นเปรตเป็นผีก็มาอนุโมทนา สาธุการ ดีอกดีใจที่เห็นลูกเห็นหลานได้มาบำเพ็ญกองกาลมหากุศลให้
บางคนนับตั้งแต่ต้นปี ๒๕๑๕ ขึ้นมา คือ ตั้งแต่วันที่ ๑มกรา เพิ่งจะได้มา ใส่บาตรวันนี้เป็นครั้งแรกก็มี นั่นก็เพราะว่าระลึกถึงคุณบิดามารดา เครือญาติ ที่ล้มหายตายจากไปแล้ว
อันนี้เรียกว่าเป็นประเพณีมาแต่ครั้งโน้น ครั้งพุทธกาลนั่นแหละ มาตั้งแต่ ศาสนาพระเจ้าวิปัสสีนั่นแหละจึงไม่ใช่ธรรมดา
ในคราวกาละครั้งนั้น พระพุทธองค์เจ้า พระโคดม ของเรา ได้เกิดเป็น ชายทุกขตา ชื่อว่า ติณปาละ เป็นคนทุกข์ เกิดขึ้นมาแล้วพ่อแม่ก็ล้มหาย ตายจากไป ไร่นาก็บ่มี เที่ยวรับจ้างเขากินอย่างนั้นแหละ ได้ข้าวมาก็พอ ได้มาหุงกินมื้อเช้ามื้อเย็นพอประทังชีวิตไป
เมื่อถึงเดือน ๙ ดับนี่แหละ ก็หุงข้าวใส่ก่องไว้แล้ว ก็เลยว่าจะกินแล้ว จะออกไปหารับจ้าง เลยพอดีเห็นประชาชนผู้ใจบุญใจกุศลเดินทางไปใส่บาตร ไปถวายบุพพเปตพลี สมัยพระพุทธเจ้าชื่อว่า พระมหากัสสปะ หรอก
เห็นคนไปมาก ก็เลยร้องถามเขา พ่อแม่พี่น้อง ป้าลุงพากันไปไหนมากมายจัง
อ้อ! วันนี้เป็นวันถวายบุพพเปตพลี จะไปทำบุญใส่บาตรวัดกัน ว่า อย่างนั้นแหละ
คิดในใจ ชะรอยเราเกิดมาที่เป็นคนทุกข์คนจน พ่อแม่ล้มหายตายจากไป เราคงไม่เคยให้ทานสักทีละมั้ง ว่างั้น ก็เลยสะพายก่องข้าวอันนั้นแล้ว ข้าวหุงใส่ก่องไว้ แล้วไปตามหลังคนกลุ่มนั้น ผ้าก็ขาดๆ ครั้นจะไปใกล้ หมู่เขาก็ย่านเขาจะเห็นหำแหละ เดินตามห่างๆไป
พอไปถึงวัดแล้ว เขาก็ทำพิธีไหว้พระ สมาทานศีล แล้วก็ว่าตามพระนั่นแหละ ศีล ๕ ประการนั้น เมื่อถึงเวลาพระเจ้าพระสงฆ์เขาก็ตั้งแถวกัน เหมือนกับ พวกเราตั้งแถวกันเมื่อตอนเช้าวันนี้แหละ
พระมหากัสสปะพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ ๕๐๐ ออกบิณฑบาตร
แกก็ไม่ใส่หลายองค์ แกใส่หมดก่องเลย ใส่องค์พระศาสดาหัวหน้านั่น ข้าวไม่เหลือสักเม็ดเลย ใส่แล้วก็เลยปรารถนา ขึ้นชื่อว่า ความทุกข์ ความจน ความหิว อย่าได้มี จากวันนั้นจนข้าพเจ้าสิ้นภพนั่นแหละ
คิดอธิษฐานในใจไม่ได้ให้ใครได้ยินด้วยดอก แล้วสะพายก่องข้าวเปล่า กลับเลย ไม่ได้คอยพระยะถาสัพพี ไม่ได้คอยกินข้าวก้นบาตรเหมือน พวกเราหรอก ไปเลย
ไปถึงที่พักแล้ว เอาก่องข้าวห้อยไว้ แล้วก็เอาผ้าห่มมาห่มนอน ถ่วง ท้ายถ่วงหัวว่าจะกินบุญวันนี้ อิ่มบุญแล้วไม่ต้องออกไปรับจ้าง นอนหลับ พอตื่นขึ้นมามันก็หิวซีทีนี้
คิดในใจว่า ข้าวไม่เหลือติดก่องสักเม็ดเลยหรือ พอได้มาอมแก้หิวบ้าง ใจหนี่งบอกว่าจะยังยังไง เอาใส่บาตรหมดแล้วนี่ เถียงกันอยู่นั่นแหละ
ใจหนึ่งบอกว่ามันหมดแล้ว เอาใส่บาตรหมดแล้วนี่ เถียงกันอยู่นั่นแหละ ใจหนึ่งมันบอกว่าหมดแล้ว ใจหนึ่งบอกว่าดูเหมือนยังมีอยู่
พอหิวแล้วก็ลุกไปเปิดก่องข้าวดู เปิดฝาก่องมีข้าวเต็มอ้อล่อหอมกรุ่นเชียว
มันเป็นข้าวทิพย์ ว่างั้นเถอะ กินไม่เหลือสักเม็ด อิ่มแอแหลเลย กิน แล้วก็นอน ก็มีข้าวเต็มก่องให้กินทุกมื้อเลย ในชาตินั้นเลยไม่อดกิน
นั่น อานิสงส์ของติณปาละ พอคิดอยากกิน ไปเปิดก่องข้าวแล้วได้กินเลย มีข้าวเต็มเลย ไม่อดไม่อยาก ไม่ต้องไปทำชั่ว ศีลก็เลยบริสุทธิ์ ไม่ได้ฆ่า ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้พูดเท็จ ไม่ได้กินเหล้า แล้วรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อยตลอดเวลา
วนว่ายตายเกิดวัฏสงสาร เที่ยวไปโงมาสุดท้ายก็มาเกิดเป็น สิทธัตถะกุมาร ออกบวชในพระศาสนาสัมฤทธิ์เป็นพระพุทธเจ้า บรมครูนั่งนิ่งเหมือนก้อนหิน ให้พวกเรากราบไหว้อยู่บนนั้นแหละ
นั่น ต้องบำเพ็ญอย่างนั้น พระบรมครูนั่นนะ แต่ครั้งเกิดเป็น ติณปาละ ในศาสนา พระมหากัสสปะพุทธเจ้าโน่น
ท่านก็เป็นคนทุกข์คนจนเหมือนกับพวกเรานี้แหละ ทุกข์กว่าพวกเรานี่ด้วย ซ้ำไป แต่ท่านเจตนาดี
เพราะฉะนั้น บุญกุศล ก็อยู่ที่การกระทำ ทำด้วยเจตนา คือ วันนี้ก็พวกท่าน ทั้งหลาย ที่เจตนามาทำบุญสุนทานให้ทานการกุศล เมื่อเช้านี้ก็อุทิศกุศล ส่วนบุญไปให้บุพพเปตพลี มีบิดามารดา ปู่ย่าตายาย กุลบุตร กุลธิดา ผู้ล้มหายตายจากไป เขาก็อนุโมทนา
หากบิดามารดา ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้องของเรา ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ อานิสงส์นั้นก็สะท้อนกลับคืนมานั่นแหละ มาสู่พวกเรา เหมือนกับ ติณปาละ
อันนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้ภูมิใจ พอตอนค่ำมา เราก็ได้บำเพ็ญกองกาล มหากุศล ก็รักษาศีลตลอดวัน ผู้รักษาศีลห้าก็รักษาตลอดวัน ผู้รักษาศีลอุโบสถ ก็รักษาตลอดวัน
ค่ำมาก็ได้มาบำเพ็ญกองกาลมหากุศล สดับตรับฟังพระธรรมเทศนา นั่งภาวนาพุทโธ ดูใจของเจ้าของ นั่นมันก็ยิ่งเป็นบุญเป็นกุศลเพิ่ม
เพราะฉะนั้น วันนี้เราได้ศีลวัตร คือ รักษาศีลบริสุทธิ์ ทานวัตร เราก็ได้ บริจาคทานการกุศลตามกำลังศรัทธา ภาวนาวัตร เราก็ได้ภาวนาพุทโธ ตามดูลมเข้า-ลมออกให้จิตใจของเราสงบ ตลอดทั้งการสดับตรับฟังพระ สัทธรรมเทศนา หาความดีเข้าสู่ใจ ซึ่งถือว่ายากนักที่บุคคลที่เกิดมาในโลกนี้ ที่จะมาบำเพ็ญกุศลพร้อมเพรียงกัน สร้างวัตรทั้ง ๓ ประการ ให้ครบบริบูรณ์ ในวันเดียวกันนั้นมันยาก
เพราะฉะนั้น วันนี้เราได้มาประสบความสำเร็จ ทานวัตร เราก็ได้บริจาคทาน ตามสติกำลัง ศีลวัตร เราก็ได้รักษาศีล บางคนก็รักษาศีลห้า บางคนก็รักษาศีลอุโบสถ ภาวนาวัตร เราก็ได้ภาวนาแล้ว ดูจิตใจของเรา ให้มันเกิดเป็นบุญกุศลขึ้น
ก็แปลว่าพวกเรานั้น ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทขององค์สมเด็จศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ชื่อว่าเราสร้างพระพุทธศาสนาเข้าสู่จิตใจ เป็นการ ปฏิปฏิปูชา คือ ปฏิบัติบูชา
ปฏิบัติคืออะไร ปฏิบัติกาย ปฏิบัติวาจา และปฏิบัติดวงใจของเจ้าของ ให้หมดจากความเห็นผิด สร้างจิตใจของตนให้มันมีความเห็นถูก เห็นถูกใน ทางพระพุทธศาสนา ผลสุดท้ายก็เอาธรรมพินิจ จิตของพวกเราก็เลยสูงขึ้น สูงกว่าความโลภ สูงกว่าความโกรธ สูงกว่าความหลง ผลสุดท้ายจิตก็เป็น กองกาลกุศล คือ จิตเป็นบุญ
ต้นทุนที่เราได้บำเพ็ญ คือ ปฏิบัติชอบทางกาย ทางวาจา จิตใจ โดยบำเพ็ญศีลวัตร ทานวัตร ภาวนาวัตร กำจัดอาสวกิเลส ความหลง ออกจากจิตใจนั้นหนะ พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นผู้ประเสริฐ มันเป็นอย่างนั้น เป็นมนุษย์ที่ดี เรียกว่า มนุสฺสธมฺโม มีธรรมประจำจิตประจำใจ
เพราะฉะนั้น ให้เราทั้งหลายได้พากันภูมิใจโดยเฉพาะปีนี้ เราก็บำเพ็ญ กองกาลมหากุศลเป็นต้นมา เรียกว่า ในพรรษานี้เป็นเวลา ๔๕ วัน บางคน ก็ได้รักษาศีลเป็นนิจ สร้างศีลวัตรก็เป็นนิจนั่นแหละ ๔๕ วัน งดจากการฆ่า การลัก การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ การกินเหล้า
บางคนก็ได้ทานวัตรแล้วทีนี้ สร้างทานเป็นประจำ คือ ให้ทาน ทุกวัน นั่น อานิสงส์มันก็ถึงใจ บางคนก็มีภาวนาวัตร แล้วทีนี้ ทำภาวนา ทุกคืน ไหว้พระสวดมนต์ นั่งหลับตาภาวนาพุทโธ นั่นแหละ
ผู้มีศีลเป็นนิจ มีทานเป็นนิจ ภาวนาพุทโธเป็นนิจ สร้างจิตใจ ของตนให้สงบ เรียกว่าจิตพบพระพุทธศาสนา คือ จิตติดพระพุทธศาสนา จิตติดศีล จิตติดทาน จิตของพวกเราติดภาวนา ติดพระพุทธ ติดพระธรรม ติดพระสงฆ์แล้ว ติดทางที่เป็นบุญเป็นกุศลขึ้นนั่นแหละ ว่าอย่างนั้น มันก็เลยเป็นบุญเป็นกุศล
เพราะฉะนั้น ทุกคนจงอย่าได้น้อยใจ ถ้าเข้ามาบำเพ็ญกุศลในทาง พระพุทธศาสนาแล้ว มันไม่ขาดทุนหรอก บุญกุศลมันก็ได้ ขออย่าได้ทำเล่น เท่านั้นแหละ ครั้นรักษาศีลจริงๆ คือรักษากาย รักษาวาจา ให้เรียบร้อย เว้นจากโทษทั้งห้า อานิสงส์มันก็ถึงใจ
ทานก็เหมือนกัน ครั้นเราบริจาคทานเป็นประจำ ทานจริงๆ ไม่มี ความตระหนี่หวงแหน ไม่มีความเสียดาย ไม่ได้หวังวัตถุภายนอก ทานเพื่อประดับจิตใจของตน ในใจของตนรู้ นั่น อานิสงส์ของการบริจาค ทานมันก็ถึงใจ ถ้าเหลียวดูในใจของเราก็เห็นแล้ว อานิสงส์ทานที่ตน บริจาคนั่นหนะ อย่างให้ทานวันนี้ ใครทานน้อยก็รู้ว่าเจ้าของทานน้อย ใครทานมากก็รู้ตัวเจ้าของว่าทานมากต่างก็รู้กันทั้งนั้น ที่คนมาบริจาค
การภาวนาก็โดยนัย ถ้าเราตั้งใจภาวนาพุทโธตามลมเข้าลมออก แล้ว พุทโธก็เอาไปตั้งอยู่ในใจจริงๆ ทำอะไรมันก็จริงขึ้นที่ใจ
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ให้อบรมใจ ให้เป็นใจที่จริงไม่ให้ ใจปลอม ถ้าใจปลอมแล้วมันปลอมไปหมด รักษาศีลมันก็เป็นศีลปลอม ให้ทานก็ทานปลอม ภาวนาพุทโธก็พุทโธปลอมๆ นั้นแหละ เข้าไปอยู่ ในจิตใจนั่นแหละ ถ้าเราไม่สามารถให้ใจเป็นบุญกุศลนั่นแหละ บุญกุศลมันก็เลยไม่เกิดขึ้นที่ใจ เหมือนกับที่เราเคยพบเคยเห็นนั่นแหละ
ผู้ที่เคยบวชในพระพุทธศาสนาก็ดี เป็นนักปราชญ์ เป็นอาจารย์ นั่นแหละ ไปงานไหนก็ตาม ยกขันดอกไม้ขึ้นแล้วก็ อิมินา มะยังภันเต เห็นหน้าพระแล้วก็ มะยังภันเต ติสะระเณนะสะหะ โลดหละ แต่อานิสงส์ ศีลนั้นมันไม่ถึงใจ
จะถึงอะไรเราก็เคยเห็นอยู่นี่ ครั้นออกจากหน้าพระมันก็ไปทำผิดศีล นั่นแหละ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดปดพูดเท็จ กินเหล้าเมาสุราแอ๋แอ้นอยู่นั่นแหละ ไม่รู้จักว่าอะไรเป็น ปาณา อทินนา กาเม มุสา สุรา นั่นหนะ
ทานก็เหมือนกัน เอาแต่ยกขันข้าวขึ้น แล้วก็ อิมินา มะยังภันเต นั่นแหละ อยากไปพระนิพพานโน่นแหละ
เราไปดูเวลาเขาทำบุญซิ เขาจะสร้างกฐินก็ดี จัดกองบวชกองอะไร ก็ดี เขาทำถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาหรือไม่ ถ้าใจเป็นบุญแล้ว มันต้องทำให้ถูกต้อง ตามหลักพระพุทธศาสนา คือ ไม่เสียไปในทางที่ เป็นโลกๆ ไม่เสียไปในทางที่เป็นบาป มันเป็นอย่างนั้น
อย่างองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ผู้บรมครู ผู้ใจท่านถึงพระศาสนา ผู้ทำทานถึงเป็นบุญนั่นแหละ อย่างตอน ท่านเป็นพระเวสสันดร ท่านทำทานกัณหา ชาลี ให้ตาพราหมณ์เฒ่า นั่นแหละ ทานมัทรีให้อินทพราหมณ์ นั่นได้ทำตามโลกาธิปไตยโดยเจตนา จึงมอบให้จริงๆ แหละ
กัณหา ชาลี มอบให้พราหมณ์เฒ่าไปเลย นางมัทรี ก็มอบให้ อินทพราหมณ์ไปเลย ไม่ต้องว่า อิมินา มะยังภันเต อะไรนั่นหรอก อานิสงส์ มันจึงถึงใจเป็นการถางทางขึ้นพระสัมมาสัมโพธิญาณ ผลสุดท้ายอานิสงส์ ที่เจตนาดีมันก็เลยส่งผลต่อไปนั่นแหละ ได้สัมฤทธิ์ผลสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ในฐานะพวกเราผู้เคารพ ผู้เลื่อมใส ผู้มีศรัทธาเชื่อมั่น ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าขอให้ตั้งใจ เวลาเรารักษาศีล ก็ให้ รักษาจริงๆ คือ รักษากาย วาจา ของตนให้เรียบร้อยตามหน้าที่ของตน ผู้เป็นพระก็รักษาศีลของพระ พูดถึงฆราวาสวินัย อุบาสกอุบาสิกาก็รักษาศีล ของฆราวาส ไม่ต้องก้าวก่ายกัน
ศีลของฆราวาสเราก็รู้จักดีว่า ศีลห้า ศีลอุโบสถ นั่นแหละ ใครมีศรัทธา พอที่จะรักษาศีลห้า ก็รักษาให้มันถึงใจ อย่ารักษาเล่น เมื่อถึงวันพระ จะรักษาอุโบสถศีล ก็รักษาให้มันถึงใจ อย่าไปรู้จักแต่ชื่อมัน
ส่วนพวกเรามันมาถึงนี่แล้ว มาเห็นแล้วเลยอุดมสมบูรณ์หมด รู้จักหมด กุฏิมีกี่หลังคา พระมีกี่องค์ ศาลาการเปรียญ พระพุทธรูป พระสถูปเจดีย์ เราสร้างขึ้นมีเท่าไร ไม่ต้องไปถามผู้อื่น
อันบุญกุศลที่เราทำนี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัตินี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันถึงใจก็ไม่ต้องถามใคร รู้จักว่าเจ้าของมีศีลบริสุทธิ์ รู้จักว่าตนของ ตนบริจาคทานการกุศล อานิสงส์ศีลถึงใจ รู้สึกว่าเจ้าของมีภาวนาพุทโธ อย่างถึงใจ พุทโธแบบผู้รู้ รู้ว่าตนเองนั้นจิตเป็นบุญกุศล หรือว่าจิต เป็นบาป นั่นมันเป็นอย่างงั้น
เพราะฉะนั้น พวกเรามีพุทโธอยู่ที่ใจไหม มาถึงเราสงบกาย สงบวาจา สงบจิตใจ
ส่วนผู้บ่มีศีล บ่มีทาน บ่มีภาวนา บ่มีคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ อยู่ในใจนั่นแหละ บ่รู้จักสถานที่ เขาเรียกกินเหล้าก็หันเป๋ เข้าไปเลย เขาไม่มีพุทโธ อานิสงส์ศีลบ่ถึงใจ อานิสงส์ทานไม่ถึงใจ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่เข้าไปตั้งอยู่ที่ใจ
ส่วนผู้ปรารถนาอยู่ที่จิตใจ เมื่อจะเข้าวัดต้องสงบ ระงับ เหมือนอย่าง พวกเราท่านทั้งหลายนี้แหละ วันนี้ก็งดฆ่าสัตว์แล้วหละ งดลักทรัพย์ งดประพฤติผิดกาม งดพูดปด งดกินเหล้าแหละ
เข้ามาทีแรกก็มาบำเพ็ญกองกาลมหากุศลตามสติกำลังศรัทธาของตน ไม่บกพร่อง เป็นอย่างนั้น
อันนี้ขอให้ท่านทั้งหลายได้พากันภูมิใจว่า เราเป็นธรรมทายาทของ พระพุทธเจ้า คือ สร้างหัวใจให้เป็นธรรม เรียกว่า ธรรมทายาท พระพุทธเจ้า ท่านสอนอย่างไร ท่านสอนศีลวัตร เราก็ปฏิบัติศีลของพระพุทธเจ้าให้มันถึงใจ ท่านสอนทานวัตร ก็บริจาคทานการกุศล เหลียวเข้าไปดูในใจมันเห็น สิ่งของที่ตนบริจาคทานนั่นแหละ
พระองค์ท่านสอนภาวนาวัตรก็หัดภาวนาพุทโธขับไล่ไสส่งอาสวกิเลส โลภ โกรธ หลง ออกจากจิตใจ ผลสุดท้ายอะไรมันก็เลย เกิดขึ้นมา สนฺติ ปรํ สุขํ นั่นความสงบมันก็เกิดขึ้นในใจ
นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ ความสุขอื่นใดไม่ราบรื่นเหมือนกับความสุข อันเกิดจากจิตสงบ
ถ้าอยากจิตใจสงบในสถานที่นี้ ก็หมายความว่า สงบด้วยจิตมีศีล สงบด้วยจิตเป็นสมาธิ สงบด้วยจิตเป็นปัญญา มันจึงจะไปฆ่ากิเลส โลภ โกรธ หลง ออกจากใจได้
ครั้ง(ถ้า) ผู้ใดบ่มีศีล บ่มีสมาธิ บ่มีปัญญา นั่นก็บ่สงบแหละ วุ่นวาย ขัดข้อง นั่งก็เป็นทุกข์ นอนก็เป็นทุกข์ ได้ศีลก็เป็นทุกข์ บ่ได้ศีลก็เป็นทุกข์ วุ่นวายขัดข้อง อยู่ที่ไหนวุ่นวายขัดข้องที่นั่น ถ้าคนไม่ปฏิบัติตามหลัก พระพุทธศาสนา อยู่ในบ้านก็หนักบ้าน อยู่ในวัดก็หนักวัดแหละ
คนบ่มีหลักธรรมประจำจิตประจำใจ อยู่ในกรมในกองก็หนักกรม หนักกอง อยู่ในเรือนชานก็หนักเรือนชานนั่นแหละ คนไม่มีหลัก พระพุทธศาสนานั่น
ส่วนคนที่มีหลักพระพุทธศาสนา อยู่ที่ไหนเบาที่นั่น อยู่วัดก็เบาวัด อยู่ในบ้านก็เบาบ้าน อยู่ในเรือนในชานก็เบาเรือนเบาชาน อยู่ในสถานที่ไหน ก็เบาหมด
เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าของพวกเรานี่ พระองค์ไปไหนเบาหมด ไปอยู่เมืองพาราณสีก็เบาหมดเมือง ไปอยู่เมืองราชคฤห์ ก็เบาหมดเมือง ขึ้นไปอยู่บนเขาคิชฌกูฏก็เบาหละ ไปอยู่ที่ไหนเบาที่นั่น อยู่เมืองสาวัตถอก สาวัตถีก็เบาหมด เออ เบาด้วยคุณงามความดีที่ท่านปฏิบัติ
@@@@@@@ต่อตอน 2