PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : อาชีพที่เสมือนกระทำทั้งกุศลและอกุศล



chocobo
10-01-2012, 11:40 PM
กราบสวัสดีมิตรธรรมทุกท่านครับ


อยากจะทราบว่า อาชีพอย่าง ตำรวจ หมอ หรือ ทหาร เหล่านี้ ขณะไหนชื่อว่ากระทำกุศล ขณะไหนชื่อว่ากระทำอกุศล

อย่างตำรวจ ก็ไม่ถึงกับฆ่าใคร แต่มีการจับผู้ร้ายมาขักคุก เป็นต้น ซึ่ง ก็ไม่ได้รุบะอยู่ในอกุศลกรรมบถ แต่ก็ถือเป็นอกุศลกรรมเหมือนกันหรือเปล่าครับ ? แล้วก็ชื่อว่าทำทั้งกุศลและอกุศลหรือเปล่า

ส่วนหมอ ขณะที่ช่วยคนไข้ ก็มีบ้างที่ทำคนไข้เสียชีวิต จะด้วยความประมาทตัวเองก็ดี หรือจะด้วยเหตุอื่นก็ดี แต่ขณะที่หมอช่วยคนไข้อยู่ก็ใช่ว่าเป็นกุศลทั้งหมด ก็มีอกุศลแทรกไปสลับไปสลับมา ซึ่งถ้าอกุศลไปสลับขณะทำคนไข้เสียชีวิต ขณะนั้นจะเป็นอกุศลกรรมไหม แบบ มีเจตนาคิดว่า ถึงคนไข้ตายก็ไม่เป็นไร เราได้ช่วยสุดความสามารถแล้ว แต่ด้วยอกุศลที่เป็นโลภะ ที่พอใจจะช่วยแค่นั้น ซึ่งจริงๆยังไม่สุดความสามารถ อาจจะด้วยขี้เกียจ เพราะถ้าด้วยกุศล ย่อมต้องสุดความสามารถจริงๆ

แล้วก็ ทหาร อันนี้ขณะที่ฆ่าคนอื่น ต้องเป็นอกุศลกรรมแน่นอน แต่ขณะที่นึกถึงว่าเราได้ช่วยชาติ ปกป้องชาติ ขณะนั้นเป็นกุศลได้ไหม? แล้วจะเป็นกุศลกรรมไหม

D E V
10-02-2012, 10:15 AM
ดังที่น้องโจ๋เข้าใจดีอยู่แล้วน่ะคับว่า
อกุศลจิต กับ อกุศลกรรม นั้นมีความต่างกันอยู่

อกุศลจิตคือจิตที่ไม่ดีงาม เป็นไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ
และอกุศลธรรมทั้งหลายที่เข้าปรุงแต่งจิตในขณะนั้น
ให้มีการคิด การพูด การกระทำ เป็นไปในทางที่ไม่ดีงาม
แต่ยังไม่ถึงขั้นล่วงศีลหรือล่วงอกุศลกรรมบถ
และถ้าถึงขั้นล่วงศีลหรือล่วงอกุศลกรรมบถขณะใด
ก็เป็นอกุศลกรรมนั่นเอง

จึงเห็นได้ว่า ไม่ว่าอาชีพไหนๆ
ก็สามารถกระทำไปด้วยอกุศลจิตได้เช่นกันทั้งสิ้น
และหากมีการโกหกหลอกลวงผู้อื่น ฯลฯ เป็นต้น
ก็ถึงขั้นเป็นอกุศลกรรมทันที

แต่ทีนี้บางอาชีพอย่างเช่น ตำรวจ ทหาร หรือหมอ
เป็นอาชีพที่มีผลเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของคนโดยตรง
เอื้อให้เกิดการกระทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมได้ง่ายและชัดเจน
เลยมักเป็นที่สงสัยและหวั่นเกรงกันมากเป็นพิเศษ

ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับเจตนาที่เป็นไปในแต่ละขณะจิตนั่นเองอ่ะคับ
อย่างเช่น ตำรวจและทหารที่กระทำตามหน้าที่
โดยมีเจตนาดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อย
ช่วยเหลือประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุข
ขณะนั้นก็เป็นกุศลเจตนาที่เกื้อกูลแก่ผู้อื่น
ส่วนขณะที่ต่อสู้ตีรันฟันแทงกับโจรหรือผู้ก่อการร้าย
ก็ย่อมเป็นอกุศลเจตนาในขณะจิตนั้นที่ตัดรอนทำลายล้างผู้อื่น

อาชีพหมอหรือพยาบาลก็ทำนองเดียวกันอ่ะคับ
ขณะที่ช่วยกันดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยความปรารถนาดี
ก็ย่อมเป็นกุศลเจตนา
บางครั้งการที่หมออาจจำเป็นต้องตัดอวัยวะบางส่วน
เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วย
อย่างนี้ไม่ใช่เจตนาทำร้ายร่างกาย
แต่เป็นเจตนาที่จะรักษาให้หาย
และถ้าได้พยายามรักษาอย่างเต็มที่แล้ว...ไม่หาย...แต่ตาย
ก็ไม่ได้ประกอบด้วยเจตนาที่จะทำให้ตาย จึงไม่ใช่อกุศลกรรม
แต่ถ้ารักษาด้วยความความประมาทเลินเล่อ
จนเกิดการผิดพลาดทำให้คนไข้ต้องตาย
แม้ไม่ได้มีเจตนาชัดเจนโดยตรงที่จะให้คนไข้ตาย
แต่ก็นับเนื่องในกตัตตากรรมน่ะคับ





:cool: เดฟ

chocobo
10-02-2012, 10:25 PM
อ้อ กี่บอนุโมทนาสาธุครับ

กุศลก็กุศล อกุศลก็อกุศล แต่บางครั้งบางที มันก็ดูย้ากยาก ดูไม่ออกสักที จนทุกวันนี้ ก็เข้าใจว่ากุศลก็กุศล อกุศลก็อกุศล แต่แยกยากเหลือเกิน ปัญญามันยังไม่แก่กล้าพอ แยกลักษณะไม่ออก ทั้งๆที่ให้อธิบายเป็นบัญญติเป็นคำพูด ก็อธิบายได้ว่า กุศลมีลักษณะอย่างนี้ๆ อกุศลมีลักษณะอย่างนี้ๆ แต่พอมาระลึกดูตัวปรมัตถธรรมแล้ว ยังไม่สามารถจะแยกได้จริงๆครับ มันเร็วเหลือเกิน วิจิกิจฉาก็ตามรังควาญจังเลย เหมือนจะรู้เหมือนจะเข้าใจ แป้ปๆ สงสัยอีกแล้ว ว่าสรุปไอ้ขณะจิตเมื่อกี้มันกุศลหรืออกุศลกันแน่

D E V
10-03-2012, 08:21 AM
.
ซ้าทุคับ
นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นจริงได้ว่า
ความรู้ความเข้าใจมีหลายระดับ
ระดับอ่านฟังแล้วเข้าใจ
ไตร่ตรองพิจารณาแล้วเข้าใจ
กับเข้าใจจากตัวสภาวธรรมจริงๆ

การศึกษาพระธรรมนั้น
บางเรื่องเราอาจคิดว่ารู้แล้ว เข้าใจแล้ว
ก็อยากจะรู้อย่างอื่นต่อไปอีกเยอะๆ
แต่แท้จริงคำว่า "รู้แล้ว" ไม่ได้กล่าวกันง่ายๆ เลยน่ะคับ

แต่...ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปกังวลใจอะไรน่ะคับ
สภาวธรรมใดที่ยังไม่รู้ ปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วก็ปรากฏอีก
หากสติปัฏฐานเกิดขึ้นระลึกรู้ได้บ่อยๆ เนืองๆ
ก็ค่อยๆ รู้ชัดขึ้นทีละเล็กละน้อย...สั่งสมไป
ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะไปบังคับหรือเร่งรัดให้รู้ชัดเร็วๆ ได้ดังใจอ่ะคับ

อนุโมทนาคับ




:cool: เดฟ

oubasika
10-03-2012, 02:48 PM
ขออนุโมทนาในข้อความทั้งหมด ทั้งคำถามและคำตอบเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ขอยกเรื่องในอรรถกถาเรื่องนี้ เพื่อประโยชน์ แก่ผู้ที่ได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ด้วยนะค่ะ ผู้ที่ไม่มีเจตนาในอกุศลกรรมย่อมไม่มีกรรมอันร้ายเกิดขึ้น




พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 40


พระโสดาบันไม่ทำบาป


พวกภิกษุสนทนากันว่า " ได้ยินว่า ภริยาของนายพรานกุกกุฏมิตร


บรรลุโสดาปัตติผลในกาลที่ยังเป็นเด็กหญิงนั่นแล แล้วไปสู่เรือนของนาย-

พรานนั้น ได้บุตร ๗ คน. นางอันสามีสั่งตลอดกาลเท่านี้ว่า ' หล่อนจง

นำธนูมา นำลูกศรมา นำหอกมา นำหลาวมา นำข่ายมา.' ได้ให้สิ่ง

เหล่านั้นแล้ว, นายพรานนั้นถือเครื่องประหารที่นางให้ไปทำปาณาติบาต;

แม้พระโสดาบันทั้งหลายยังทำปาณาติบาตอยู่หรือหนอ ? "

พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอ

นั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า

" ด้วยเรื่องชื่อนี้." ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย พระโสดาบันย่อมไม่ทำ

ปาณาติบาต. แต่นางได้ทำอย่างนั้น ด้วยคิดว่า 'เราจักทำตามคำสามี.'

จิตของนางไม่มีเลยว่า สามีนั้นจงถือเอาเครื่องประหารนี้ไปทำปาณาติบาต;

จริงอยู่ เมื่อแผลในฝ่ามือไม่มี ยาพิษนั้นก็ไม่อาจจะให้โทษแก่ผู้ถือยาพิษได้

ฉันใด. ชื่อว่าบาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาป แม้นำเครื่องประหารทั้งหลาย

มีธนูเป็นต้นออกให้เพราะไม่มีอกุศลเจตนา ฉันนั้นเหมือนกัน, ดังนี้แล้ว

เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

๘. ปาณิมฺหิ เจ วโณ นาสฺส หเรยฺย ปาณินา วิส

นาพฺพณ วิสมเนฺวติ นตฺถิ ปาป อกุพฺพโต.

" ถ้าแผลไม่พึงมีในฝ่ามือไซร้, บุคคลพึงนำยา

พิษไปด้วยฝ่ามือได้, เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าสู่ฝ่า

มือที่ไม่มีแผล ฉันใด, บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำอยู่

ฉันนั้น."




พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 41


แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาสฺส แปลว่า ไม่พึงมี.

บทว่า หเรยฺย แปลว่า พึงอาจนำไปได้.

ถามว่า " เพราะเหตุไร ? "

แก้ว่า " เพราะยาพิษไม่ซึมไปสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผล " จริงอยู่ ยาพิษ

ย่อมไม่อาจซึมซาบเข้าสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผล ฉันใด; ชื่อว่าบาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่

ทำบาป แม้นำเครื่องประหารทั้งหลายมีธนูเป็นต้นออกให้ เพราะไม่มี

อกุศลเจตนา ฉันนั้นเหมือนกัน, แท้จริง บาปย่อมไม่ติดตามจิตของบุคคล

นั้น เหมือนยาพิษไม่ซึมเข้าไปสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผลฉะนั้น ดังนี้แล.


ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดา-

ปัตติผลเป็นต้นแล้ว.



ที่มาของอรรถกถาhttp://www.thepalicanon.com/91book/book42/001_050.htm




จะเห็นได้ว่าเจตนาเป็นตัวกรรม ถึงจะทำอาชีพอะไรก็ตาม แต่ด้วยมีเจตนาเท่านั้นที่เป็นกรรมทั้งหมดทั้งมวล
อย่างเช่นการกระทำ กิริยาที่แสดงออกไป คนทั่วไปอาจจะมองดูว่าไม่สมควร แต่ด้วยเจตนาจิตที่ทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้โดนกระทำ ก็ไม่จัดว่าเป็นกรรมชั่วคืออกุศลกรรม
หรือมีอีกเรื่องหนึ่งเพื่อตอกย้ำว่าเจตนาเป็นตัวกรรม อย่างที่พี่เดฟได้อธิบายไปแล้ว




เคยดูทีวี ที่ลุกชายใช้เท้ากับผู้เป็นพ่อ ฟังดูอาจจะคิดว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
แต่ด้วยเจตนาของลุกชายคือเอื้อประโยชน์ให้เกิดแก่ผู้เป็นพ่อ คือ เนื่องจากพ่อของท่านนั้นได้เป็นอัมพฤก ลูกชายก็จะทำการกายภาพบำบัดให้กับพ่อทุกวัน ในท่ายืนโดยยืนอยู่ข้างหลังพ่อแล้วใช้แขนทั้งสองข้างช้อนเข้าใต้รักแร้ เพราะประคองไม่ให้พ่อล้ม แล้วก็ใช้เท้าตัวเองดันส้นเท้าของพ่อ เพื่อให้เท้าพ่อ ได้ก้าวไปข้างหน้า เพื่อเป็นการกายภาพให้ร่างกายได้มีการเคลื่อนใหว ซึ่งคนที่ได้เห็นการใช้เท้า ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่สมควรใช้แก่ผู้มีพระคุณอย่างสูง แต่โดยรายละเอียดเจตนาในการกระทำขณะนั้นของลุกชาย ก็ไม่จัดว่าเป็นอกุศลกรรม คือไม่บาป (แต่อาจจะบาปตอนที่มีอกุศลเิกิดแทรกเข้ามา บ่นอยูในใจ คือพ่อทำไมตัวหนักจัง ประคองจะไม่ใหวแล้ว ขณะนั้นก็ขาดจาก ระลึกถึงประโยชน์ของผู้อื่นแล้ว {แต่ถ้าท่านใดมีเหตุการณ์ที่ต้อปฏิบัติกับพ่อแม่ในกรณีแบบนี้ ก็กล่าวขอขมาสักคำหนึ่งก็ได้ค่ะ เพื่อความมั่นใจ เพราะบางคนอาจจะมีแว่บเข้ามาว่าบาปหรือไม่บาป }) แต่คนส่วนทั่วไปที่ได้เห็น ก็ร่วมอนุโมทนาด้วยในการปรณนิบัติบิดาของลูกชายคนนี้ค่ะ


ขออนุโมทนา ที่ได้สนทนาอันสิ่งที่เป็นประโยชน์ สาธุค่ะ




อุบาสิกา

Butsaya
10-03-2012, 10:13 PM
อ้อ กี่บอนุโมทนาสาธุครับ
กุศลก็กุศล อกุศลก็อกุศล แต่บางครั้งบางที มันก็ดูย้ากยาก ดูไม่ออกสักที
จนทุกวันนี้ ก็เข้าใจว่ากุศลก็กุศล อกุศลก็อกุศล แต่แยกยากเหลือเกิน
ปัญญามันยังไม่แก่กล้าพอ แยกลักษณะไม่ออก ทั้งๆที่ให้อธิบายเป็นบัญญติเป็นคำพูด
ก็อธิบายได้ว่า กุศลมีลักษณะอย่างนี้ๆ อกุศลมีลักษณะอย่างนี้ๆ
แต่พอมาระลึกดูตัวปรมัตถธรรมแล้ว ยังไม่สามารถจะแยกได้จริงๆครับ
มันเร็วเหลือเกิน วิจิกิจฉาก็ตามรังควาญจังเลย เหมือนจะรู้เหมือนจะเข้าใจ
แป้ปๆ สงสัยอีกแล้ว ว่าสรุปไอ้ขณะจิตเมื่อกี้มันกุศลหรืออกุศลกันแน่

อนุโมทนากับน้องโจ๋ พี่เดฟ คุณอุบาสิกา ด้วยนะค่ะ :D

พี่บุษกะคอยติดตามแล้วก็อ่านกระทู้น้องโจ๋จนเป็นขาประจำกะว่าได้แระค่ะ อิอิ...
เพราะรู้สึกว่าตั้งคำถามโดนใจหลาย ๆ อย่าง บางอย่างก็ทำให้ความรู้เดิมที่มีอยู่
ได้ทบทวนต่อยอดขยายกว้างขวางขึ้นไปอีก แต่ก็เป็นความรู้เพื่อความใจ
ตามกำลังของพี่บุษอะน๊าา แต่มาอ่านท่อนนี้ของน้องโจ๋แล้วทำให้ พี่บุษรู้สึกว่า
พี่บุษกะมีเพื่อนแว้ววว อิอิ... เพราะตอนนี้พี่บุษเองก็รู้สึกว่าความรู้เดินหน้าถอยหลัง
อย่างไงบอกไม่ถูก พอเวลาผ่านมาก็ถึงได้รู้ว่าอ้อการที่เราเรียนรู้เพื่อความเข้าใจ
ตามบัญญัติตามวิชาการนั้น ๆ เป็นความจำซะส่วนใหญ่และก็อนุมานความเข้าใจนั้น ๆ
เอานะค่ะ ความเข้าใจก็เลยมีกระท่อนกระแท่นเป็นช่วง ๆ เป็นตอน ๆ เป็นระยะ ๆ แระก็
ยิ่งเวลาที่เราได้มีโอกาสสนทนาธรรม หรือว่าอ่านบทความธรรมะในที่ต่าง ๆ
แล้วพบเจอในเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน หรือว่าการปฏิบัติเรายังไม่ถึงสิ่งตรงนั้น
ประกอบกับว่าภูมิธรรมเรามีน้อยก็ด้วย จึงทำให้ความลังเลสงสัยเกิดขึ้นมาเสียบทันที
ฮ่าๆๆๆๆๆ เป็นประจำเลยพี่บุษอ่าาา แก้ไม่หายสักกะที แต่สิ่งนี้พี่บุษรู้สึกว่าดีนะค่ะ
การเห็นสิ่งที่ต่างจากสิ่งที่เรารู้ เราก็จะต้องหาคำตอบให้ได้โดยการหาใครสักคน
ที่จะอธิบายในเรื่องตรงนั้นให้เรากระจ่างได้ พอกระจ่างได้แล้วเราก็จะปลื้มมาก
ว่าพระธรรมสุดยอดอย่างนี้นะเอง โหหหหห ความรู้สึกนี้เกินบรรยายจิง ๆ นะค่ะ อิอิ...
บางคนกะอาจจะมองว่าพี่บุษเว่อร์ซะม๊ะมีอะ แต่อยากบอกว่ารู้สึกง้านจิง ๆ ค่ะ อิอิ...
บางทีมาอ่านกระทู้น้องโจ๋แล้วก็ยังเคยแอบคิดว่า โอ้ววว น้องโจ๋นี้
พิจารณาละเอียดแหะ อิอิ.... เพราะบางเรื่องพี่บุษยังพิจารณาไม่ได้ถึงตรงนี้
แต่พอมาอ่านแล้วก็พลอยทำให้ ได้รับความรู้ทางธรรมที่กระจ่างไปด้วย อิอิ....
พี่บุษกะตามเก็บใส่ไว้ในใจเรื่อย ๆ นะค่ะ :rolleyes:

อนุโมทนากับการตั้งคำถามที่ดีของน้องโจ๋ด้วยนะค่ะ ;)

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/302/10302/blog_entry1/blog/2010-07-04/comment/617219_images/15_1278262573.jpg

chocobo
10-04-2012, 11:31 PM
กราบขอบคุณและอนุโมทนาท่านเดฟ คุณอุบาสิกา และคุณบุษฯ ด้วยคับ


ธรรมะลึกซึ้งจริงๆครับ ยากจะหยั่งถึงจริงๆ ต้องอบรมปัญญามากเหลือเกิน บางครั้งก็นึกว่านี่ปัญญา เพราะรู้เพราะเข้าใจตาม แต่สักพักก็ สงสัยอีกแล้ว แรกๆศึกษาก็ไม่สงสัยเลยคับ กำลังปลาบปลื้ม ด้วยโลภะหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะดับนานมากแล้ว (ฮา) พอเริ่มละเอียดขึ้นๆ ทั้งๆที่เป็นของจริง มีจริง จริงแท้ๆ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยเพราะเป็นสัจธรรมที่เป็นอกาลิโกจริงๆ แต่ไม่วายอวิชชาที่สั่งสมมานานนับประมาณมิได้ ก็มาห่อหุ้มกางกั้นเอาไว้ซะมิดเชียว วิจิกิจฉานี่ก็เกิดจังเลย ทั้งๆที่สภาพธรรมะก็ปรากฏอย่างนี้มาตลอดสังสารวัฏ แต่ก็ยังสงสัย เพราะยังไม่ประจักษ์

บางเรื่องบางอย่างก็คลุมเครือ จนปัญญาอย่างเราๆพิจารณาแทบไม่ออก อย่างเรื่องของท่านอุบาสิกาที่ยื่นธนูให้สามีดังที่คุณบุษฯได้ยกมา ถ้าเป็นปุถุชนกระทำ ก็คงไม่อาจดำรงจิตให้ไม่เป็นอกุศลเจตนาอย่างท่านได้ และพิจารณาเผินๆไม่ได้จริงๆ


แต่ก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เขา สัตว์ บุคคล เนอะครับ ก็เป็นไปตามการสั่งสม เป็นไปตามธรรม เป็นไปตามเหตุปัจจัย วิจิกิจฉามีเหตุจะเกิดก็เกิด ห้ามมิได้ พอไม่เข้าใจ ด้วยมีโลภะ อยากจะเข้าใจ ก็เนื่องด้วยโทสะที่กลัวจะไม่หลุดพ้นจากสังสาร ที่กลัวจะไม่หลุดพ้น ก็ไม่วายมาจากเหตุที่เพราะอยากจะพ้นทุกข์ สุดท้ายก็เป็นการดำเนินไปของอกุศลจิตตามเหตุตามปัจจัย เพราะปัญญาไม่เกิด

ตอนนี้ แม้จะยังแยกไม่ออกเท่าไหร่ แต่ก็พอจะทราบได้ชัดๆคืออกุศล เพราะเมื่อใดอกุศลเกิด มืดเหลือเกิน คิดอะไรก็ไม่ตรงไม่ชัดไม่แน่นอน คลุมเครือไปหมด ตัวตนก็ปรากฏ มิจฉาทิฏฐิก็มาปรากฏชักชวนให้เชื่ออย่างอื่น แต่ยังดีที่คงจะมีบุญเก่าที่สั่งสมมา เลยไม่คล้อยตามไป ยังพอระลึกได้ว่า จักมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะเท่านั้น สิ่งอื่นใดประเสริฐยิ่งกว่านี้ไม่มี ในเมื่อสัทธาด้วยกุศลยังไม่เกิดในขณะที่อกุศลกำลังปิดบัง ก็ขอเชื่อด้วยโลภะไปก่อนแล้วกัน เพราะทางนี้เป็นทางที่ถูก อย่างไรเสียในอนาคต กุศลสัทธาต้องเกิดได้แน่นอน

เพราะงั้นบางครั้งก็เลย เข้ามาถามด้วยโลภะอยู่บ่อยครั้ง หรือแทบจะทุกครั้งก็ได้ (555+) ก็ขอรบกวนท่านเดฟและมิตรธรรมทุกท่าน ช่วยๆกันประคอง ช่วยๆกันศึกษาสั่งสมความเข้าใจถูก เพื่อความเจริญในธรรมไปด้วยกันนะคับ


ส๊าาา ธุ สาธุ สาธุ