**wan**
11-05-2008, 05:37 PM
http://www.fungdham.com/images/monk-pic/wan/03.jpg
คุณการฝึกฝนจิตใจ
พระอาจารย์วัน อุตฺตโม
(๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๒)
โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 005584 - โดย : คนคนนึง [ 25 มิ.ย. 2545]
คนเราที่จะดีจะชั่วก็เนื่องไปจากจิตใจ ความชั่วดีทั้งหลายมันเกิดมาจากใจ จึงว่าใจเป็นหัวหน้า ใจเป็นประธาน สำเร็จด้วยใจจะประเสริฐก็ด้วยใจ คนที่จะชั่ว ก็คือว่าชั่วไปจากจิตใจ ถ้าจิตชั่วแล้วความชั่วนั้นจะออกมาเป็นรูปร่างหน้าตาของมันทางวาจาและทางกาย กายก็จะทำชั่ว วาจาก็จะพูดชั่ว เพราะจิตใจมันชั่วแล้ว
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ชำระจิต ให้จิตผ่องใสสะอาด จึงว่า สจิตฺตปริโยทปานํ ทำจิตของตนให้ผ่องใส ให้มันสะอาดเสียก่อนคือใจใส เหมือนกันกับน้ำ ต้องให้เป็นน้ำที่ใส จึงสมควรแก่การบริโภคใช้สอย ถ้าน้ำขุ่น บริโภคก็ไม่ดี ใช้สอยก็ไม่ดี หรือน้ำที่เจือปนอย่างอื่นไป ถึงจะเป็นน้ำแต่มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ในการดื่มการใช้
อย่างบางแห่งน้ำมี แต่มันใช้ไม่ได้ ถึงจะมีก็ใช้ไม่ได้ อย่างน้ำทะเล เอามาอาบก็ไม่สำเร็จประโยชน์ จะเอามาดื่มก็ไม่ได้ นอกจากว่าจะเอาไปทำเกลือหรือเป็นที่เลี้ยงปลาทะเลเท่านั้น แต่มันใช้ประโยชน์ไม่ได้เพราะมันเจือปน จิตของเราที่ไม่สะอาด ไม่ผ่องใส ก็คือมีกิเลสเป็นเครื่องเจือปน ทำให้น้ำจิตน้ำใจของเราเป็นไปตามอำนาจของกิเลส
เราจึงหาทางชำระจิตให้ผ่องใสขึ้นมา จึงมีการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ทานเป็นการชำระจิตออกจากความเศร้าหมองเพราะความโลภ ตัณหาที่มันเกิดขึ้น หรือความตระหนี่เหนียวแน่นที่มันอยู่ในจิตก็คือลักษณะของความโลภนั่นเอง ที่มันทำให้ปรารถนาอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ในทางที่ผิด คนที่ทำได้มาก โดยการทำนั้นเป็นไปในทางสุจริตไม่ถือว่าเป็นความโลภ
แต่ถ้าได้มามีความตระหนี่เหนียวแน่น ถึงจะได้มาในทางที่ชอบก็จริงอยู่ แต่มาเกิดความตระหนี่ขึ้นมาภายหลัง ไม่อยากจับจ่ายใช้สอยไม่อยากสงเคราะห์เกื้อกูลคนอื่น ไม่มีการแบ่งปัน ถ้าอย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นความโลภ เพราะมันออกมาในแง่ของมัจฉริยะความตระหนี่ ถ้าคนที่ไม่โลภก็แสวงหาในทางซื่อสัตย์สุจริต ได้มาในทางที่ชอบ ไม่ได้ฉ้อโกง ไม่ได้ลักขโมย ไม่ได้กดขี่ข่มเหงขูดรีดจากคนอื่นแต่ประการใด
เมื่อได้มาแล้วก็คิดเห็นว่า ชีวิตของเราก็ต้องอาศัยการเลี้ยงดูบำรุงรักษา รู้จักการจับจ่ายใช้สอยบำรุงความสะดวกสบายแก่ตน และรู้จักเกื้อกูล ช่วยเหลือคนอื่นตามสมควรที่จะเป็นไปได้ เมื่อมีอย่างนี้ก็ไม่เรียกว่าเป็นคนโลภ เราจะไปถือว่าเขามีมากเขาโลภก็ไม่ถูกเสมอไป เพราะเขามีมากเขาก็ขยันหา เขาได้มาในทางสุจริต แล้วเขาก็ไม่ได้เก็บไว้เฉยๆ เขาก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ จะเป็นสาธารณประโยชน์หรือบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา
ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นในเวลาที่เขาประสบภัยเกิดภัยอันตรายขึ้นมา น้ำท่วม ลมพัดเสียหาย ไฟไหม้หรือในคราวที่แห้งแล้ง เกิดความอดอยากขึ้นมา ก็เผื่อแผ่เจือจุนคนอื่นไปตามสมควรที่จะเป็นไปได้ ผู้เป็นอย่างนี้จะไปจัดว่าเป็นคนโลภก็ไม่ถูก เพราะเป็นสง่าราศี เป็นเครื่องบำรุงรักษาประเทศชาติบ้านเมือง ทำให้บ้านเมืองมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีขึ้นมา ก็เนื่องจากคนมั่งมี
อย่างสมัยก่อน เมืองสาวัตถีมีแต่เศรษฐีเล็กๆน้อยๆ พระเจ้าปัสเสนทิโกศลก็ถึงกับต้องไปขอเศรษฐีจากเมืองราชคฤห์มา พระเจ้าพิมพิสารก็เลยอนุญาตให้ธนญชัยเศรษฐีมาตามความต้องการของพระราชาเมืองสาวัตถี ธนญชัยจึงได้มาสร้างเมืองขึ้น เรียกว่า เมืองสาเกตุธนญชัยนี้เป็นบิดาของนางวิสาขาอุบาสิกา
ตระกูลนี้เป็นมหาเศรษฐี ตั้งแต่เมณฑกเศรษฐี เป็นคนร่ำรวยเป็นคนมีบุญ มีรูปสัตว์สามอย่างคือ ช้าง ม้า แพะ เมื่อต้องการทรัพย์สมบัติจะต้องไปเปิดปากของรูปสัตว์นี้แล้วก็เอาภาชนะไปรับเอา แล้วรัตนะทั้งหลายนั้นจะไหลออกมา เศรษฐีคนนี้ไม่ต้องทำมาค้าขายเท่าใดนักเขาก็มีทุนเพราะเกิดมาจากบุญ ฉะนั้น เมื่อเวลาที่แต่งงาน นางวิสาขาเศรษฐีผู้เป็นปู่ คือเมณฑกะก็ได้ไปสั่งให้ช่างเขาทำเครื่องประดับให้หลานสาวนางวิสาขา
การแต่งงานจึงต้องรออยู่ถึงสามเดือน เพราะเครื่องประดับไม่เสร็จ เมื่อเสร็จเรียบร้อยช่างเขาก็ตีราคาเครื่องประดับนั้นเก้าโกฏิเครื่องประดับนี้หนัก จะใส่ได้ก็แต่คนที่มีบุญมีกำลัง สมัยพุทธกาลมีผู้หญิงห้าคนเท่านั้นที่ใส่เครื่องประดับนี้ได้ นางวิสาขาจึงเป็นคนที่มีกำลังมากเพราะได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุได้ ๗ ขวบแล้ว
เมื่อแต่งงานแล้วก็ไปสู่ตระกูลสามี ตระกูลของสามีเป็นมิจฉาทิฏฐิ นับถือพวกเดียรถีย์นิครนถ์ที่ไม่นุ่งผ้า เลยเกิดการขัดแข้งกันกับพ่อสามีอยู่เสมอ ในเรื่องการนับถือศาสนาคนละอย่าง แล้วก็เลยมาแข่งกันว่า ในวันพรุ่งนี้ให้นิมนต์อาจารย์ของใครของมัน โดยแต่งขันนิมนต์อยู่ที่บ้าน ไม่ต้องไปนิมนต์ด้วยตนเอง ถ้าอาจารย์ฝ่ายไหนมาก็ชื่อว่ารู้มีญาณเครื่องรู้
พอรุ่งเช้า พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ก็เสด็จไปรับฉันจังหันที่บ้านของนางวิสาขา ส่วนพวกพ่อสามีผู้นับถือพวกเดียรถีย์ไม่มีใครมาสักคนแต่ทีนี้พวกเดียรถีย์เขารู้เข้า เขาก็มาควบคุมพ่อสามีของนางวิสาขานั่นอีก เวลาฉันจังหันแล้วท่านอนุโมทนาคือ แสดงธรรม พวกเดียรถีย์เขาก็ไปกั้นม่านไว้ นางวิสาขาให้คนไปเชิญพ่อสามีมาไหว้พระพุทธเจ้าเดียรถีย์เขาไม่ให้มา มาฟังอนุโมทนากถา เขาก็ไม่ให้มา แต่ว่าทนไม่ได้เขาก็ให้มาอยู่นอกม่าน ไม่ให้ได้พบหน้าพระพุทธเจ้า
ด้วยธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ถึงจะไปอยู่ในที่กำบังสักเท่าใดก็ตาม พระองค์ก็สามารถให้เสียงของพระองค์ลอดเข้าไปให้ผู้ฟังนั้นได้ยินชัดเจนได้ ในที่สุดเศรษฐีผู้เป็นพ่อสามีของนางวิสาขานั้นก็เลยได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน แล้วก็ลอดม่านเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าเสร็จแล้วก็มาหานางวิสาขา มาดูดนมของนางวิสาขาอีก
ถ้าคนไม่รู้เรื่องก็จะเอะอะกันใหญ่ แต่นางวิสาขารู้ เพราะนางเป็นผู้มีปัญญา การดูดนมนั้นหมายถึงว่า ที่จะได้เป็นถึงพระอริยเจ้าเป็นพระโสดาบันนั้นก็เนื่องจากลูกสะใภ้ เศรษฐีนี้จึงถือลูกสะใภ้เป็นแม่ที่ดูดนมก็แสดงว่าขอเป็นลูก ยอมตนเป็นลูก ดังนั้น เมื่อพ่อสามียอมตนเป็นลูกแล้ว นางวิสาขาจึงมีชื่อต่อเติมต่อภายหลังว่า วิสาขามิคารมารดาเป็นมารดาของมิคารเศรษฐีผู้เป็นพ่อสามีโดยถือคุณธรรม เป็นแม่โดยคุณธรรม
+++++ ต่อหน้า 2 +++++
คุณการฝึกฝนจิตใจ
พระอาจารย์วัน อุตฺตโม
(๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๒)
โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 005584 - โดย : คนคนนึง [ 25 มิ.ย. 2545]
คนเราที่จะดีจะชั่วก็เนื่องไปจากจิตใจ ความชั่วดีทั้งหลายมันเกิดมาจากใจ จึงว่าใจเป็นหัวหน้า ใจเป็นประธาน สำเร็จด้วยใจจะประเสริฐก็ด้วยใจ คนที่จะชั่ว ก็คือว่าชั่วไปจากจิตใจ ถ้าจิตชั่วแล้วความชั่วนั้นจะออกมาเป็นรูปร่างหน้าตาของมันทางวาจาและทางกาย กายก็จะทำชั่ว วาจาก็จะพูดชั่ว เพราะจิตใจมันชั่วแล้ว
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ชำระจิต ให้จิตผ่องใสสะอาด จึงว่า สจิตฺตปริโยทปานํ ทำจิตของตนให้ผ่องใส ให้มันสะอาดเสียก่อนคือใจใส เหมือนกันกับน้ำ ต้องให้เป็นน้ำที่ใส จึงสมควรแก่การบริโภคใช้สอย ถ้าน้ำขุ่น บริโภคก็ไม่ดี ใช้สอยก็ไม่ดี หรือน้ำที่เจือปนอย่างอื่นไป ถึงจะเป็นน้ำแต่มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ในการดื่มการใช้
อย่างบางแห่งน้ำมี แต่มันใช้ไม่ได้ ถึงจะมีก็ใช้ไม่ได้ อย่างน้ำทะเล เอามาอาบก็ไม่สำเร็จประโยชน์ จะเอามาดื่มก็ไม่ได้ นอกจากว่าจะเอาไปทำเกลือหรือเป็นที่เลี้ยงปลาทะเลเท่านั้น แต่มันใช้ประโยชน์ไม่ได้เพราะมันเจือปน จิตของเราที่ไม่สะอาด ไม่ผ่องใส ก็คือมีกิเลสเป็นเครื่องเจือปน ทำให้น้ำจิตน้ำใจของเราเป็นไปตามอำนาจของกิเลส
เราจึงหาทางชำระจิตให้ผ่องใสขึ้นมา จึงมีการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ทานเป็นการชำระจิตออกจากความเศร้าหมองเพราะความโลภ ตัณหาที่มันเกิดขึ้น หรือความตระหนี่เหนียวแน่นที่มันอยู่ในจิตก็คือลักษณะของความโลภนั่นเอง ที่มันทำให้ปรารถนาอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ในทางที่ผิด คนที่ทำได้มาก โดยการทำนั้นเป็นไปในทางสุจริตไม่ถือว่าเป็นความโลภ
แต่ถ้าได้มามีความตระหนี่เหนียวแน่น ถึงจะได้มาในทางที่ชอบก็จริงอยู่ แต่มาเกิดความตระหนี่ขึ้นมาภายหลัง ไม่อยากจับจ่ายใช้สอยไม่อยากสงเคราะห์เกื้อกูลคนอื่น ไม่มีการแบ่งปัน ถ้าอย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นความโลภ เพราะมันออกมาในแง่ของมัจฉริยะความตระหนี่ ถ้าคนที่ไม่โลภก็แสวงหาในทางซื่อสัตย์สุจริต ได้มาในทางที่ชอบ ไม่ได้ฉ้อโกง ไม่ได้ลักขโมย ไม่ได้กดขี่ข่มเหงขูดรีดจากคนอื่นแต่ประการใด
เมื่อได้มาแล้วก็คิดเห็นว่า ชีวิตของเราก็ต้องอาศัยการเลี้ยงดูบำรุงรักษา รู้จักการจับจ่ายใช้สอยบำรุงความสะดวกสบายแก่ตน และรู้จักเกื้อกูล ช่วยเหลือคนอื่นตามสมควรที่จะเป็นไปได้ เมื่อมีอย่างนี้ก็ไม่เรียกว่าเป็นคนโลภ เราจะไปถือว่าเขามีมากเขาโลภก็ไม่ถูกเสมอไป เพราะเขามีมากเขาก็ขยันหา เขาได้มาในทางสุจริต แล้วเขาก็ไม่ได้เก็บไว้เฉยๆ เขาก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ จะเป็นสาธารณประโยชน์หรือบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา
ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นในเวลาที่เขาประสบภัยเกิดภัยอันตรายขึ้นมา น้ำท่วม ลมพัดเสียหาย ไฟไหม้หรือในคราวที่แห้งแล้ง เกิดความอดอยากขึ้นมา ก็เผื่อแผ่เจือจุนคนอื่นไปตามสมควรที่จะเป็นไปได้ ผู้เป็นอย่างนี้จะไปจัดว่าเป็นคนโลภก็ไม่ถูก เพราะเป็นสง่าราศี เป็นเครื่องบำรุงรักษาประเทศชาติบ้านเมือง ทำให้บ้านเมืองมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีขึ้นมา ก็เนื่องจากคนมั่งมี
อย่างสมัยก่อน เมืองสาวัตถีมีแต่เศรษฐีเล็กๆน้อยๆ พระเจ้าปัสเสนทิโกศลก็ถึงกับต้องไปขอเศรษฐีจากเมืองราชคฤห์มา พระเจ้าพิมพิสารก็เลยอนุญาตให้ธนญชัยเศรษฐีมาตามความต้องการของพระราชาเมืองสาวัตถี ธนญชัยจึงได้มาสร้างเมืองขึ้น เรียกว่า เมืองสาเกตุธนญชัยนี้เป็นบิดาของนางวิสาขาอุบาสิกา
ตระกูลนี้เป็นมหาเศรษฐี ตั้งแต่เมณฑกเศรษฐี เป็นคนร่ำรวยเป็นคนมีบุญ มีรูปสัตว์สามอย่างคือ ช้าง ม้า แพะ เมื่อต้องการทรัพย์สมบัติจะต้องไปเปิดปากของรูปสัตว์นี้แล้วก็เอาภาชนะไปรับเอา แล้วรัตนะทั้งหลายนั้นจะไหลออกมา เศรษฐีคนนี้ไม่ต้องทำมาค้าขายเท่าใดนักเขาก็มีทุนเพราะเกิดมาจากบุญ ฉะนั้น เมื่อเวลาที่แต่งงาน นางวิสาขาเศรษฐีผู้เป็นปู่ คือเมณฑกะก็ได้ไปสั่งให้ช่างเขาทำเครื่องประดับให้หลานสาวนางวิสาขา
การแต่งงานจึงต้องรออยู่ถึงสามเดือน เพราะเครื่องประดับไม่เสร็จ เมื่อเสร็จเรียบร้อยช่างเขาก็ตีราคาเครื่องประดับนั้นเก้าโกฏิเครื่องประดับนี้หนัก จะใส่ได้ก็แต่คนที่มีบุญมีกำลัง สมัยพุทธกาลมีผู้หญิงห้าคนเท่านั้นที่ใส่เครื่องประดับนี้ได้ นางวิสาขาจึงเป็นคนที่มีกำลังมากเพราะได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุได้ ๗ ขวบแล้ว
เมื่อแต่งงานแล้วก็ไปสู่ตระกูลสามี ตระกูลของสามีเป็นมิจฉาทิฏฐิ นับถือพวกเดียรถีย์นิครนถ์ที่ไม่นุ่งผ้า เลยเกิดการขัดแข้งกันกับพ่อสามีอยู่เสมอ ในเรื่องการนับถือศาสนาคนละอย่าง แล้วก็เลยมาแข่งกันว่า ในวันพรุ่งนี้ให้นิมนต์อาจารย์ของใครของมัน โดยแต่งขันนิมนต์อยู่ที่บ้าน ไม่ต้องไปนิมนต์ด้วยตนเอง ถ้าอาจารย์ฝ่ายไหนมาก็ชื่อว่ารู้มีญาณเครื่องรู้
พอรุ่งเช้า พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ก็เสด็จไปรับฉันจังหันที่บ้านของนางวิสาขา ส่วนพวกพ่อสามีผู้นับถือพวกเดียรถีย์ไม่มีใครมาสักคนแต่ทีนี้พวกเดียรถีย์เขารู้เข้า เขาก็มาควบคุมพ่อสามีของนางวิสาขานั่นอีก เวลาฉันจังหันแล้วท่านอนุโมทนาคือ แสดงธรรม พวกเดียรถีย์เขาก็ไปกั้นม่านไว้ นางวิสาขาให้คนไปเชิญพ่อสามีมาไหว้พระพุทธเจ้าเดียรถีย์เขาไม่ให้มา มาฟังอนุโมทนากถา เขาก็ไม่ให้มา แต่ว่าทนไม่ได้เขาก็ให้มาอยู่นอกม่าน ไม่ให้ได้พบหน้าพระพุทธเจ้า
ด้วยธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ถึงจะไปอยู่ในที่กำบังสักเท่าใดก็ตาม พระองค์ก็สามารถให้เสียงของพระองค์ลอดเข้าไปให้ผู้ฟังนั้นได้ยินชัดเจนได้ ในที่สุดเศรษฐีผู้เป็นพ่อสามีของนางวิสาขานั้นก็เลยได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน แล้วก็ลอดม่านเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าเสร็จแล้วก็มาหานางวิสาขา มาดูดนมของนางวิสาขาอีก
ถ้าคนไม่รู้เรื่องก็จะเอะอะกันใหญ่ แต่นางวิสาขารู้ เพราะนางเป็นผู้มีปัญญา การดูดนมนั้นหมายถึงว่า ที่จะได้เป็นถึงพระอริยเจ้าเป็นพระโสดาบันนั้นก็เนื่องจากลูกสะใภ้ เศรษฐีนี้จึงถือลูกสะใภ้เป็นแม่ที่ดูดนมก็แสดงว่าขอเป็นลูก ยอมตนเป็นลูก ดังนั้น เมื่อพ่อสามียอมตนเป็นลูกแล้ว นางวิสาขาจึงมีชื่อต่อเติมต่อภายหลังว่า วิสาขามิคารมารดาเป็นมารดาของมิคารเศรษฐีผู้เป็นพ่อสามีโดยถือคุณธรรม เป็นแม่โดยคุณธรรม
+++++ ต่อหน้า 2 +++++