PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ทางสายกลาง พระโพธิญาณเถระ(ชา สุภัทโท)



**wan**
10-27-2008, 10:13 AM
http://buddhism.hum.ku.ac.th/Buddhism/Ajahn_Chah/clipart/09EbEating.jpg
ทางสายกลาง

พระโพธิญาณเถระ (ชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อำเภอ วารินชำราบ
จังหวัด อุบลราชธานี

บรรยายด้วยภาษาพื้นเมือง ให้แก่พระภิกษุสามเณรและฆราวาส เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓

จุดมุ่งหมายของธรรม

พระพุทธโอวาทของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่าน ทรงเตือนให้เราละความชั่ว ประพฤติความดี เมื่อละความชั่วประพฤติ ความดีแล้ว ที่สุดก็ทรงสอนให้ละสิ่งทั้งสองนี้ไปเสียด้วย ฉะนั้น วันนี้ จะขอให้คติในเรื่องทางสายกลาง คือให้ละให้ได้ หรือหลีกให้พ้นจาก สิ่งทั้งสองนั้น ทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งบุญ ทั้งบาป ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ ทั้ง หลายเหล่านี้แหละ

จุดมุ่งหมายปลายทาง ของการอธิบายธรรมะ ของสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ที่จริงก็คือให้พ้นจากความทุกข์นั่นเอง แต่ก่อนที่จะพ้นจากทุกข์ได้นั้น เราต้องมาทำความเข้าใจกับมัน ให้ตรง ให้มันแน่นอน ถ้าเข้าใจไม่ตรงไม่แน่นอนแล้ว ก็จะลงสู่ความ สงบไม่ได้

ฉะนั้น เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาท่านตรัสรู้แล้ว ท่านประกาศศาสนานั้น เบื้องแรกท่านยกทางทั้งสองขึ้นมาว่าเลย คือกามสุขัลลิกานุโยโค และอัตตกิลมถานุโยโค ทางทั้งสองอย่างนี้เป็นทางที่ลุ่มหลง เป็นทางที่พวกเสพกามหลงติดอยู่ ซึ่งย่อมไม่ได้รับความสงบระงับ เป็นหนทางที่วนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสาร

สมเด็จพระบรมศาสดา ท่านทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายติดอยู่ในทางทั้งสอง ไม่เห็นทางสายกลางของธรรมะ ท่านจึงยกทางทั้งสองขึ้น มาแสดงให้เห็นโทษในทางทั้งสองนั้น ถึงเช่นนั้นพวกเราทั้งหลายก็ยัง พากันติด พากันปารถนาอยู่ร่ำไป ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ทางทั้งสองอย่างนั้นเป็นทางที่ลุ่มหลง ไม่ใช่ทางของสมณะ คือไม่ใช่ทางที่สงบระงับ

อัตตกิลมถานุโยโคและกามสุขัลลิกานุโยโค ก็คือทางตึง และ ทางหย่อนนั่นเอง ถ้าเราน้อมเข้ามาพิจารณาให้เห็นในปัจจุบัน ความ ตึงก็คือความโกรธ อันเป็นทางเศร้าหมอง ท่านเรียกอัตตกิลมถานุโยโค เดินไปแล้วเป็นทุกข์ลำบาก กามสุขัลลิกานุโยโคก็คือ ความดีใจ ความพอใจ

ความดีใจนี้ก็เป็นทางไม่สงบ ทางทุกข์ก็เป็นทางไม่สงบ เราจะเห็นได้ว่าพระบรมศาสดาท่านว่า เมื่อได้เห็นความสุขแล้วให้ พิจารณาความสุขนั้น ท่านไม่ให้ติดอยู่ในความสุข คือท่านให้วางทั้ง สุขและทุกข์ การวางทั้งสองได้นี้เป็นสัมมาปฏิปทา ท่านเรียกว่าเป็น ทางสายกลาง

ทางสายกลาง

คำว่าทางสายกลาง ไม่ได้หมายถึงในด้านกาย และวาจาของเรา แต่หมายถึงในด้านจิตใจเมื่อถูกอารมณ์มากระทบ ถ้าอารมณ์ที่ไม่ถูกใจมากระทบกระทั่ง ก็ทำให้วุ่นวาย ถ้าจิตวุ่นวายหวั่นไหวเช่นนี้ ก็ไม่ใช่หนทาง เมื่ออารมณ์ที่ชอบใจดีใจเกิดขึ้นมา แล้วก็ดีอกดีใจ ติดแน่นอยู่ในกามสุขัลลิกานุโยโค อันนี้ก็ไม่ใช่หนทาง

มนุษย์เราทั้งหลายไม่ต้องการทุกข์ ต้องการแต่สุข ความจริง สุขนั้นก็คือทุกข์อย่างละเอียดนั่นเอง ส่วนทุกข์ก็คือทุกข์อย่างหยาบ พูดอย่างง่ายๆ สุขและทุกข์นี้ก็เปรียบเสมือนงูตัวหนึ่ง ทางหัวมันเป็น ทุกข์ ทางหางมันเป็นสุข เพราะถ้าลูบทางหัวมันมีพิษ ทางปากมันมี พิษ ไปใกล้ทางหัวมัน มันก็กัดเอา ไปจับหางมันก็เหมือนเป็นสุข แต่ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมากัดได้เหมือนกัน เพราะทั้งหัวงูและหางงู มันก็อยู่ในงูตัวเดียวกัน

ความดีใจ ความเสียใจ มันก็เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน คือ ตัณหา ความลุ่มหลงนั่นเอง ฉะนั้น บางทีเมื่อมีสุขแล้วใจก็ยังไม่ สบาย ไม่สงบ ทั้งที่ได้สิ่งที่พอใจแล้ว เช่น ได้ลาภ ยศ สรรเสริญมา แล้วก็ดีใจ ก็จริง แต่มันก็ยังไม่สงบจริงๆ เพราะยังมีความเคลือบ แคลงในใจว่า มันจะสูญเสียไป กลัวมันจะหายไป ความกลัวนี่แหละ เป็นต้นเหตุให้มันไม่สงบ บางทีมันเกิดสูญเสียไปจริงๆ ก็ยิ่งเป็นทุกข์ มาก นี่หมายความว่า ถึงจะสุขก็จริง แต่ก็มีทุกข์ดองอยู่ในนั้นด้วย แต่ เราก็ไม่รู้จัก เหมือนกันกับว่าเราจับงู ถึงแม้ว่าเราจับหางมันก็จริง ถ้า จับไม่วาง มันก็หันกลับมากัดได้

ฉะนั้น หัวงูก็ดี หางงูก็ดี บาปก็ดี บุญก็ดี อันนี้ในวงวัฏฏะ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ดังนั้นความสุข ความทุกข์ ความดี ความชั่ว ก็ไม่ใช่หนทาง

มรรค หนทางสู่ความสงบระงับ

ศีล สมาธิ ปัญญานั้น ถ้าหากพูดกันตามลักษณะ ตามความ เป็นจริงแล้ว ก็ยังไม่ใช่แก่นศาสนา หรือตัวศาสนา แต่เป็นหนทางนำ ไปสู่ตัวศาสนา ฉะนั้นท่านจึงเรียกศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งสามอย่างนี้ ว่า “มรรค” อันแปลว่า หนทาง

ตัวศาสนาคือ ความสงบระงับอันเกิดจากความรู้เท่าในความ เป็นจริง ในธรรมชาติของความเป็นจริงที่เกิดอยู่เป็นอยู่ ซึ่งถ้าได้นำมา พิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็จะเห็นว่าความสงบนั้นไม่ใช่ทั้งความสุข และความทุกข์ ฉะนั้น สุขและทุกข์จึงไม่ใช่เป็นของจริง

พระพุทธองค์ทรงสอนให้รู้ตัวเอง ให้เห็นตนเอง ให้พิจารณาตัวเอง เพื่อให้เห็นจิตของตนเอง ความจริงจิตเดิมของมนุษย์นั้น เป็น ธรรมชาติที่ไม่หวั่นไหว เป็นธรรมชาติที่ทรงอยู่ แน่นอนอยู่อย่างนั้น แต่ที่มีความดีใจ เสียใจ หรือความทุกข์ ความสุขเกิดขึ้นนั้น เพราะขณะนั้นมันไปหลงอยู่ในอารมณ์ จึงเป็นเหตุให้เคลื่อนไหวไปมา แล้วก็เกิดความยึดมั่น ถือมั่นขึ้นในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น

สมเด็จพระบรมศาสดาท่านตรัสสอนเอาไว้แล้วทุกอย่าง ใน เรื่องการประพฤติปฏิบัติ แต่พวกเราทั้งหลายยังไม่ได้ปฏิบัติกัน หรือไม่ก็ปฏิบัติแต่ปากเท่านั้น หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่ว่าจะมาพูดกันเฉยๆ หรือด้วยการเดา หรือการคิดเอาเอง หลักของพระพุทธ ศาสนาที่แท้จริงคือ ความรู้เท่าความจริง ตามความเป็นจริงนั่นเอง ถ้ารู้เท่าตามความเป็นจริงนี้แล้ว การสอนก็ไม่จำเป็น แต่ถ้าไม่รู้ถึง ความจริงอันนี้ แม้จะฟังคำสอนเท่าใดก็เหมือนไม่ได้ฟัง

พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์เป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น แต่ไม่สามารถจะทำแทนหรือปฏิบัติแทนได้ เพราะธรรมชาติทั้งหลาย หรือความจริงอันนี้ เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาเอง ปฏิบัติเอง คำสอนต่างๆเป็นเพียงแนวทาง หรืออุปมาอุปไมย เพื่อนำให้เข้าถึงความรู้ ตามความเป็นจริง ถ้าไม่รู้เท่าตามความเป็นจริงเราก็จะเป็นทุกข์ เหมือนดังตัวอย่างว่า เรามักใช้คำว่า “สังขาร” เมื่อเราพูดถึงร่างกาย แต่ความจริงนั้นเราหารู้จักความเป็นจริงของสังขารนี้ไม่ แล้วเราก็ยึด มั่นถือมั่นอยู่กับสังขารนี้ ทั้งนี้เพราะเราไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับสังขาร หรือร่างกายของเรานี้ เราจึงเป็นทุกข์ หรือความทุกข์จึงเกิดขึ้น จะยกตัวอย่างให้เห็นสักอย่างหนึ่ง สมมุติว่าเราเดินไปทำงาน ระหว่างทางก็มีบุรุษผู้หนึ่งคอยต่อว่าเราอยู่เป็นประจำ ตอนเช้าก็ด่า ตอนเย็นก็ด่า เมื่อได้ยินคำด่าเช่นนี้ จิตใจก็หวั่นไหว ไม่สบายใจ โกรธ น้อยใจ เศร้าหมอง บุรุษผู้นั้นก็เพียรด่าเช้าด่าเย็นอยู่เช่นนั้นทุกวัน ได้ ยินคำด่าเมื่อได ก็โกรธเมื่อนั้น กลับถึงบ้านแล้วก็ยังโกรธอยู่ ที่โกรธ หวั่นไหวเช่นนี้ก็เพราะความไม่รู้จักนั่นเอง

วันหนึ่ง เพื่อนบ้านมาบอกว่า “ลุงคนที่ด่าคุณทุกเช้าทุกเย็น นั้นนะ เป็นคนบ้า เป็นบ้ามาหลายปีแล้ว มันด่าคนทุกคนแหละ ชาว บ้านไม่ถือมันหรอก เพราะมันเป็นบ้า” (หมายเหตุ 1) พอรู้อย่างนี้แล้ว ใจของเราก็คลายความโกรธทันที ความโกรธความขุ่นมัวที่เก็บไว้ หลายวันแล้วนั้นก็คลายหายไป เพราะอะไร? ก็เพราะได้รู้ความจริง แล้ว แต่ก่อนนั้นไม่รู้ เข้าใจว่าเป็นคนดี คนปกติ ฉะนั้นพอได้ยินว่า เป็นคนบ้า จิตก็เปลี่ยนเป็นสบาย ทีนี้มันอยากด่าก็ให้ด่าไป ไม่โกรธ ไม่เป็นทุกข์ เพราะรู้เสียแล้วว่าเป็นคนบ้า นี่ ที่จิตใจสบาย ก็เพราะรู้ เท่าทันความจริงนั่นเอง เมื่อมันรู้เอง มันก็วางของมันเอง ถ้ายังไม่รู้ มันก็ยึดมั่นถือมั่นอยู่นั่นเอง อีกเหมือนกัน แต่พอรู้ความเป็นจริง จิต ใจก็สบาย นี่แหละคือความรู้เท่าตามความเป็นจริง คือรู้ว่าคนนั้นเป็น บ้า

คนผู้รู้ธรรมะก็เหมือนกัน พอรู้จริง ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็หายไป เพราะรู้เท่าทันความเป็นจริง

จะรู้เท่าทันต่อสิ่งทั้งปวงต้องเดินทางสายกลาง

พระพุทธองค์ทรงสอนว่า สังขารร่างกายของเรานี้ไม่ใช่เรา ไม่ ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล มันเป็นเพียงสังขาร ทรงบอกอย่างชัดๆเช่นนี้ เรา ก็ยังไม่ยอมมัน ยังขืนไปแย่งยื้ออยู่นั่นแหละ ถ้าหากว่ามันพูดได้ มัน คงจะบอกว่า “เจ้าอย่ามาเป็นเจ้าของฉันนะ” ความจริงมันก็บอกอยู่ แล้วทุกขณะ แต่เราเองไม่รู้เพราะมันเป็นภาษาธรรม อย่างสกลร่างกายเรานี้ ตาก็ดี จมูกก็ดี หูก็ดี ลิ้นก็ดี กายก็ดี ทั้งหลายเหล่านี้แหละ ก็แล้วแต่มันจะเปลี่ยนไป แปรไป ไม่เห็นมันขอ อนุญาตเราสักที เช่นเมื่อปวดหัว ปวดท้อง หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นต้น มันไม่เคยขออนุญาตจากเราเลย เวลามันจะเป็น มันก็เป็น ของมันเลย เป็นไปตามสภาวะของมัน อันนี้ก็แสดงว่ามันไม่ยอมให้ เราเป็นเจ้าของของมัน

สมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงสอนว่า “สุญโญ สัพโพ มัน เป็นของว่าง มันไม่ได้เป็นของผู้ใด” เราทั้งหลายไม่เข้าใจธรรมะใน สภาวะอันนี้ ไม่เข้าใจในสังขารอันนี้ จึงคิดว่าของเรา ของเขา เกิด อุปาทานขึ้นมา เมื่อเกิดอุปาทานก็เข้าไปยึดภพ เกิดภพ เกิดชาติ ชรา พยาธิ มรณะต่อไป มันเป็นทุกข์เช่นนี้

ที่ท่านเรียก “อิทัปปัจจยตา” นั่นแหละ อวิชชาเกิดสังขาร สังขารเกิดวิญญาณ วิญญาณเกิดรูป เป็นเช่นนี้นั่นแหละ อันนี้มัน ล้วนแต่เป็นในขณะของจิต ถ้าเกิดอารมณ์ไม่ถูกใจขึ้นมา ก็ไม่รู้จักหรือ ไม่รู้เท่าทัน เพราะอยู่ในอวิชชา มันก็เป็นทุกข์ขึ้นมาเลย ความเป็นจริง ขณะของจิตอันนี้มันติดต่อกันอยู่ทีเดียว มันเร็วมาก แต่เราเองรู้ไม่เท่า ทัน เปรียบเสมือนว่าเรากำลังอยู่บนยอดไม้ แล้วตกปุ๊บ ลงมาอยู่บน พื้นดินจึงรู้สึกตัวว่าตกต้นไม้ แต่ความเป็นจริงนั้น ก่อนที่จะตกถึงพื้น ดิน เราก็ตกผ่านทุกก้านทุกกิ่งของต้นไม้นั่นแหละ แต่ไม่สมารถนับได้ ว่านาทีใดถึงกิ่งไหน วินาทีใดถึงกิ่งไหน เพราะมันเร็วมาก แต่พอตูม เดียวก็ถึงพื้นดินเลย แล้วก็เป็นทุกข์เลย

อิทัปปัจจยตามันเป็นเช่นนั้น ถ้าเราแยกเป็นปริยัติ อวิชชา เกิดสังขาร สังขารเกิดวิญญาณ วิญญาณเกิดนามรูป ว่ากันไปเป็น ตอนๆ ตามความจริงนั้น พออารมณ์เกิดความไม่พอใจ ความทุกข์ก็ เกิดขึ้นมาเลย อาการที่มันเกิดทุกข์ขึ้นนั้น มันผ่านไปจากอวิชชา สังขาร ผ่านไปพรึบเดียว ถึงโน้น โศกะ ปริเทวะ คือทุกข์เลย

ฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจึงให้ตามดูจิตของเราทั้งหลาย ให้รู้ตามความเป็นจริงของมัน และในความเป็นจริงเหล่านี้ ท่านให้ เข้าใจว่ามันเป็นแต่เพียงสังขารเท่านั้น และสังขารนี้แหละ มันเกิดมา จากเหตุจากปัจจัยทั้งหลายที่มันเป็นมา ที่เรามาเรียกสมมุติเอาอีกที หนึ่ง ที่เรียกว่ามนุษย์ สัตว์ เช่นเดียวกับชื่อของเรา มันก็สมมุติเหมือน กัน เราไม่ได้มีชื่อมาแต่กำเนิด ต่อเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จึงเอาชื่อไปใส่ คือ ตั้งชื่อว่าอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้เรียกว่าสมมุติ ตั้งชื่อกันเพื่ออะไร ก็เพื่อ ให้มันเรียกกันง่าย สะดวกแก่การใช้ภาษาเรียกขานพูดจากัน การ ปริยัติก็เหมือนกัน ที่แยกออกก็เพื่อสะดวกแก่การศึกษาเล่าเรียน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละเรียกว่า สังขาร มันเป็นสังขารเกี่ยว กับสภาวะอันนี้ที่เกิดมาจากเหตุ จากปัจจัย สมเด็จพระบรมศาสดา จึงตรัสว่า สังขารทั้งหลายเหล่านี้เป็นของไม่แน่นอน มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พวกเราทั้งหลาย เข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่ชัดเจน จึงทำ ความเห็นในเรื่องนี้ไม่ตรง ไม่แน่ อันเป็นความเห็นผิดที่เรียกว่า มิจฉา ทิฐิ ความเห็นผิดอันนี้ก็คือ การยึดเอาสังขารเป็นเรา ยึดเอาเราเป็น สังขาร เอาเราเป็นสุข เอาสุขเป็นเรา เอาเราเป็นทุกข์ เอาทุกข์เป็นเรา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเราไม่รู้เท่าตามความเป็นจริงนั่นเอง

ถ้าเรารู้เท่าตามความเป็นจริง เราก็จะรู้ว่า เราไม่สมารถควบ คุมสังขารเหล่านี้ ให้เป็นไปตามอำนาจของเรา เพราะธรรมชาติเหล่า นี้ มันจะต้องเป็นไปตามเรื่องของมัน เราจะบังคับให้ตรงนี้เป็นอย่าง นั้น ตรงนั้นเป็นอย่างนี้ ตามอำนาจของเรา ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ เปรียบง่ายๆก็อย่างว่า เราไปนั่งอยู่ที่กลางถนนซึ่งมีรถวิ่งไปมาอยู่ ขวักไขว่ แล้วเราจะไปโกรธรถที่วิ่ง หรือจะไปห้ามรถที่กำลังวิ่งอยู่ว่า “อย่าขับมาทางนี้” เราก็ห้ามไม่ได้ เพราะถนนนี้คือถนนหลวง ดังนั้น เราควรทำอย่างไร ทางที่ดีคือ เราก็ต้องออกไปให้พ้นถนน ไปให้พ้น ทางที่รถวิ่ง แต่จะห้ามรถไม่ให้วิ่งนั้น ทำไม่ได้เพราะมันเป็นหนทาง ของเขา (หมายเหตุ 2)

เรื่องของสังขาร ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน มันไม่มีอะไรแน่นอน เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวก็เกิดอารมณ์ที่ชอบ บ้าง ไม่ชอบบ้าง มากระทบกระทั่ง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราเรียกว่ามัน มากวน เวลานั่งภาวนาอยู่ก็ว่าเสียงมากวนเรา อันที่จริงนั้น เราไม่เข้า ใจว่า เสียงมากวนเราหรือเราไปกวนเสียงกันแน่ ถ้ายึดว่าเสียงมากวน เรา มันก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา

ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีก็จะรู้ได้ว่า เราไปกวนเสียงต่างหาก เสียงมันก็ดังอยู่แต่ของมัน มันไม่ได้มีความรู้สึกรำคาญอะไรเลย เรา ต่างหากที่รำคาญ พวกเราไปกวนมัน ความจริงนั้นเสียงก็เป็นเสียง เราก็เป็นเรา ถ้าเข้าใจเสียได้เช่นนี้ มันก็ไม่มีอะไร เราก็สบาย มีเสียง ขึ้นมาก็รู้แต่ว่าเสียงมันดังแต่ของมัน เราไม่ได้ยึดหมายมันเข้า เราก็ไม่ เกิดทุกข์ นี่เรียกว่าเรารู้เท่าตามความเป็นจริง เราเห็นทั้งสองอย่าง เมื่อเห็นทั้งสองอย่างคือ ทั้งสุขและทุกข์ตามความเป็นจริง ใจก็สงบ สบาย

การที่จะเห็นได้ทั้งสองอย่างนี้ เราจะต้องยืนอยู่ตรงกลาง หรือ อยู่ระหว่างกลาง นี่เป็นสัมมาปฏิปทาของจิต นี้คือการทำความเห็นให้ ตรง ให้ถูกต้อง

เมื่อปฏิบัติไม่ถึงทางสายกลางก็ไม่มีวันพ้นทุกข์

สังขารของเรานี้ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ต้องมีแก่ มีเจ็บ มีตาย ทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นไปตามทางของมัน ถ้าเราจะไปกั้นทาง ไปห้ามทาง หรือไปเอาจริงเอาจังกับสิ่งที่ไม่จริงไม่จังอย่างนั้นอยู่เรื่อย ไป โดยเข้าใจว่ามันเป็นตัวตนของเรา เราก็จะมีแต่ความทุกข์ ฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาท่านจึงสอนให้พิจารณา ไม่ว่าจะเป็นพระ หรือ เณร หรือฆราวาส ให้พิจารณาแล้วทำความเห็นให้ถูกต้อง เมื่อมี ความถูกต้องแล้ว ก็สงบสบาย

การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ว่านักพรต นักบวช หรือฆราวาส ก็มี โอกาสที่จะปฏิบัติธรรม พิจารณาธรรมได้เท่ากัน และธรรมที่พิจารณา นั้น ก็เป็นธรรมอันเดียวกันนั่นเอง พิจารณาให้ไปสู่ความสงบระงับอัน เดียวกัน ด้วยวิถีของมรรคอันเดียวกัน ฉะนั้นท่านจึงว่า จะเป็น ฆราวาสก็ตาม บรรพชิตก็ตาม มีสิทธิที่จะประพฤติ ปฏิบัติธรรม จน ได้รู้ได้เห็นตามความเป็นจริงเหมือนกัน

เมื่อเรารู้สภาวะสังขารตามความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว เราก็วาง เสีย และเมื่อรู้เท่าอย่างนี้แล้ว ภพก็เกิดไม่ได้ เพราะอะไรจึงเกิดไม่ได้? เพราะมันไม่มีทางจะเกิด เพราะเรารู้เท่าตามความเป็นจริงเสียแล้ว ฉะนั้นให้เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่เป็นอยู่นั้น มันก็ สักแต่ว่า “อาศัย” เท่านั้น ถ้ารู้ได้เช่นนี้ ท่านก็ว่ารู้เท่าตามสังขาร ทีนี้ แม้จะมีอะไรอยู่ก็เหมือนไม่มี ได้ก็เหมือนเสีย เสียก็เหมือนได้ สมเด็จ พระบรมศาสดาท่านทรงสอนให้รู้อย่างนี้ เพราะนี่คือความสงบ สงบ จากความสุข สงบจากความทุกข์ สงบจากความดีใจเสียใจ ได้มาก็ไม่ ดีใจ เสียไปก็ไม่เสียใจ มันเป็นเรื่องที่ทั้งไม่เกิดและไม่ตาย เรื่องเกิด เรื่องตายนี้ ไม่ได้หมายถึงอวัยวะร่างกายอันนี้ แต่หมายถึงอารมณ์ ความรู้สึกที่มันไม่มีแล้ว หมดแล้ว

ฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาท่านจึงทรงบอกว่า ภพสิ้นแล้ว พรหมจบแล้ว (หมายเหตุ 3) ไม่มีภพอื่นชาติอื่นอีกแล้ว ท่านรู้อย่างนั้น แล้ว ท่านก็รู้สิ่งที่มันไม่เกิด ไม่ตาย ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้เอง นี่คือโอวาท ที่สมเด็จพระบรมศาสดาท่านทรงกำชับสาวกมากที่สุดว่า ให้พยายาม ให้ถึงอันนี้ ที่เป็นสัมมาปฏิปทา ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถึงทางสายกลาง ไม่ ตรงเข้าทางสายกลางให้ได้แล้ว ก็จะไม่มีวันได้พ้นทุกข์

หมายเหตุจากผู้จัดทำ (คุณเจริญชัย เจริญทั้งเมือง)
เรื่องนี้ผมใช้หนังสือ นอกเหตุเหนือผล ซึ่งจัดพิมพ์โดย สำนัก พิมพ์ ธรรมสภา มาเป็นต้นฉบับ พิมพ์เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ผมได้ปรับปรุงตำแหน่งการเว้นวรรคและย่อหน้าให้เหมาะสม แต่ยังได้คงข้อความเดิมไว้ทั้งหมด ยกเว้นมีการแก้ไขข้อความที่คาด ว่าต้นฉบับเดิมจะพิมพ์ผิด โดยได้ใส่วงเล็บกำกับไว้ ณ จุดที่แก้ไขแล้ว ดังรายละเอียดต่อไปนี้

จุด 1 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “ลุงคนที่ด่าลุง” แก้เป็น “ลุงคนที่ด่าคุณ”
จุด 2 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “ทำไม่ได้เพราะมันเป็น หนทางของเรา” แก้เป็น “ทำไม่ได้เพราะมันเป็นหนทางของเขา”
จุด 3 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “ภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ จบแล้ว” แก้เป็น “ภพสิ้นแล้ว พรหมจบแล้ว”

......................................................................

คัดลอกจาก “ธรรมะ หลวงพ่อชา”
รวบรวม การบรรยายธรรม ของ หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร)
http://www.geocities.com/uu2uu/achar/cha04.html

ซึ่งจัดทำโดย
คุณเจริญชัย เจริญทั้งเมือง .
๒๐๐/๑๔๑ หมู่ ๘ ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ๑๒๑๓๐ .
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ .