**wan**
10-27-2008, 10:29 AM
http://buddhism.hum.ku.ac.th/Buddhism/Ajahn_Chah/clipart/080bCaneChair.jpg
ปลาไม่เห็นน้ำ
พระโพธิญาณเถระ(ชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อำเภอ วารินชำราบ
จังหวัด อุบลราชธานี
http://www.geocities.com/Tokyo/ginza/9697/fish.html
อาตมาเคยถามญาติโยม ถามไปถามมา เลยไม่ได้อะไร ไม่รู้จะเอาอะไร ได้แต่ว่า "จั๊กแหลว" จักแหลว นี้มันภาษา ไม่รู้เรื่องนะ ถามไปถามมาเลยไม่รู้จะเอาอะไร ไม่มีอะไรจะได้ ทำมาตั้งแต่เล็กจนแก่จนเฒ่า เวลาจะเอาจริงๆ ไม่รู้จะเอาอะไร ถามมาที่เอาไม่มีใครตอบได้ ว่าจะเอาอะไร เวลาทำทำเต็มมือเต็มเท้า เวลาจะไปกลับไม่ได้อะไร มันน่าสงสารจริงๆ นะ นี้ก็ควรคิด
มาปีนี้ก็ต่างเก่านะ ต่างแม้กระทั้งอาตมาด้วย แก่ลงหลายคน หัวหงอกหัวขาว สวยกว่าเก่า... หือ... ควรคิดนะ พากันสร้างบารมี ถ้าไม่ได้ใจตนเองแล้ว ไม่มีอะไรจะได้นะ คิดดูให้ดีซิไม่มีอะไรจะได้ มีแต่ทำแต่ไม่เห็นมีได้ ถ้าเป็นนักมวยก็มีแต่ชกแต่ไม่มีหมัดล้มหมัดตาย นี้ควรเอาไปคิดดูไปพิจารณาดูให้ดีๆ ว่าเราได้อะไรหนอ?... ไม่มีอะไรได้ อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า คนบางจำพวก อย่างวัดหนองป่าพง เป็นตัวอย่าง ต่างประเทศเขาก็มากัน แม่ออกพ่อออก (โยมผู้หญิงผู้ชาย) บ้านใกล้ๆ ไม่เคยเห็นวัดหนองป่าพงเลยก็มี อย่างนี้มันเป็นเพราะอะไร? เพราะไม่ได้พิจารณา... หลง... หลงไปข้างหน้าหลงไปข้างหลังไม่รู้จะทำอะไร ให้เราพิจารณา ให้ภาวนา ภาวนาก็คือให้คิดให้อ่านให้พิจารณา ทำอะไรก็ภาวนา ทั้งหมดนั้นแหละ ทำไร่ก็ภาวนา ทำนาก็ภาวนา แต่ไม่รู้ตัวเอง มันสั้นไปละมัง มันยาวไปละมัง เหล่านี้ ล้วนภาวนาทั้งหมดนั้นแหละ แต่เราไม่รู้จัก ภาวนาคือการพิจารณาให้เห็นที่มันถูกต้อง เห็นเป็นที่ถูกต้องเป็นที่พอดี แล้วมาแต่งใจเจ้าของ แต่พวกเราพากันไปดูแต่ที่อื่น ไม่ดูตัวเอง ไม่ได้แต่งใจตัวเองสักที ไม่ได้รักษาใจตัวเองมันพาทุกข์ พายาก พาลำบากอยู่ก็ไม่เห็น คนไม่ดูตนเองไม่รักษาตนเอง มันพาทุกข์ พายาก พาลำบากอยู่ก็ไม่ยอมแก้ไข การมาฟังธรรมก็คือการมาหาความรู้แล้วไปศึกษา ศึกษาทางกายด้วยทางใจด้วย ให้ไปศึกษา คนเรามันไม่รู้จักตัวเองนะ อาตมาเคยบอกว่า "ปลามันอยู่ในน้ำ แต่ไม่เห็นน้ำ" พ่อแม่ปู่ย่าตายายมันก็อยู่ในน้ำแต่มันไม่เห็นน้ำ น้ำแช่ตามันอยู่มันก็ไม่เห็น มันไม่ไกลหรอก มันใกล้เกินไปเลยไม่เห็น ความไม่เห็นนี้ อยู่ใกล้ก็ไม่เห็น อยู่ไกลมันก็ไม่เห็น เหมือนไส้เดือนกินดิน ขี้ขวยสูงตั้งศอก แต่มันไม่เห็นดิน กินดินอยู่แต่ก็ไม่เห็นเหมือนคนไม่เห็นตัวเองก็เป็นอย่างนั้น หรือเหมือนสุนัข อาการของสุนัขก็คือข้าวเหมือนพวกเรา ข้าวสารข้าวสุกมันก็กิน แต่ถ้าเป็นข้าวเปลือกมันไม่เห็นทีกิน ยามฤดูหนาวเรานวดข้าว มันก็นอนบนกองข้าว... สบายแต่พอหิวอาหารกลับวิ่งหนีไปหากินที่อื่น ที่ตนนอนทับอยู่นั้นมันไม่เห็น มันใกล้เกินไปเพราะอะไร? เพราะข้าวเปลือกบังไว้อยู่
นี้แหละ เราหลงตัวเองก็เหมือนกับสุนัข นอนอยู่บนกองข้าว แต่เวลาหิวก็วิ่งไปหาเศษก้างปูก้างปลาที่เขาทิ้งโน้นทั้งยากทั้งลำบาก ที่ตัวเองนอนทับอยู่ไม่รู้ว่าเป็นอาหารของตัวเอง มันไม่รู้วิธีกะเทาะข้าวเปลือก มันไม่มีโรงสี มันซ้อมข้าวไม่เป็น เลยไม่เห็นที่จะกิน พระพุทธเจ้าก็เหมือนกันนั่นแหละกับพวกเราทั้งหลาย ก่อนจะเป็นพระพุทธเจ้าก็เหมือนพวกเรานี่แหละ แต่ท่านรู้จักเจ้าของ รู้จักแก้ไขเรื่องต่างๆ ในเจ้าของ ท่านแนะนำเจ้าของแก้ไขความทุกข์ของตนเองได้ เรามาฟังธรรมก็คือมาฟังเอาความรู้ไปแก้ปัญหา พ่อออกแม่ออกหรือ พวกเราทุกคนเกิดมา มันมีปัญหาติดต่อกันเรื่อยๆ อยู่บ้านยิ่งแยะ ปัญหาเรื่องนาบ้าง ฝนดีเกินไปบ้าง ฝนไม่ดีบ้าง น้ำท่วมข้าวบ้าง ดำนาล่าไปบ้าง เรื่องวัว เรื่องควาย เรื่องเงินเรื่องทอง สารพัดอย่าง ซึ่งเป็นปัญหาถามเรา บางครั้งดึกขนาดนี้ยังนอนไม่หลับ เพราะกำลังแก้ปัญหาอยู่ แต่คนเราไม่รู้จักการแก้ปัญหา พูดง่ายๆ ว่าถ้ามันร้อนก็เป็นทุกข์ มันหนาวก็เป็นทุกข์ แก้ปัญหาไม่ได้ เผลอๆ ด่ากระทั้งแดด ด่ากระทั้งลม ว่ามันร้อนโคตรพ่อโคตรแม่มัน อะไรอย่างนี้ว่าไปทั่ว อ้าว... เรื่องมันร้อนก็เรื่องธรรมดาเว้ย ให้ดูจิตของตนเอง อย่าไปกวนเขา เพราะเขาเป็นอย่างนั้น ถึงคราวร้อนเขาก็ร้อน ถึงคราวเย็นเขาก็เย็น เพราะธรรมชาติเป็นอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา พวกเราไม่รู้จักของในโลกนี้หมดทุกอย่าง ไม่มีปัญหา มันมีปัญหาก็แต่พวกเรา เรานั้นพยายามไปติเขา อันนั้นเล็กไป อันนั้นใหญ่ไป อันนั้นสั้นไป อันนั้นยาวไป จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร สั้นเขาก็อยู่อย่างนั้น ยาวเขาก็อยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้ว่าอะไร เราชอบหาเรื่องใส่เขาไม่หยุดไม่หย่อน นี้เรียกว่าไม่ได้แก้ปัญหา เรื่องธรรมชาติมันเป็นอยู่ตามเรื่องของมัน แต่เราไม่มีปัญญาเอาธรรมชาติเหล่านั้นมาใช้ได้
เหมือนอย่างต้นไม้ในป่า มันมีทั้งต้นทั้งใบทั้งเปลือก นี้คือธรรมชาติของมัน เขาก็เป็นของเขาอยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้ว่าเขาเล็ก เขาใหญ่ เขาสั้น เขายาว เขาเป็นอยู่อย่างนั้น ผู้มีปัญหาก็นำธรรมชาติเหล่านั้นมาแต่ง มาแปลงเอาด้วยปัญญา แปลงมาเป็นขื่อเป็นแป ให้เป็นบ้านเป็นเรือน นี้เรียกว่าปล้อนเอาออกมาจากธรรมชาติ เราเห็นธรรมชาติมันสงบทุกอย่าง ทั้งต้นไม้ ภูเขา เถาวัลย์ ล้วนแต่เป็นของสงบอยู่ เรานี่แหละไม่ดีเอง เที่ยวติเขาไม่หยุด เดินจากป่ามาบ้าน เจอฟืนดุ้นหนึ่งแบกใส่บ่าเดินมา แบกไปแบกไป มันก็ยิ่งหนัก จะทิ้งก็เสียดายจะแบกต่อไปก็หนัก แต่ก็แบกต่อไปจนยางตายแทบออก พอมาถึงบ้านทิ้งลง... โครม... "โคตรพ่อโคตรแม่มันหนักเหลือเกิน" พูดแล้วก็แล้วไป ไม่ได้พิจารณา ไม่รู้ว่าใครหนัก ไม้หนักหรือว่าเราหนักก็ไม้รู้ ไม่รู้ว่าด่าแม่ใคร หรือด่าว่าแม่ตนเองก็ไม่รู้ ใครหนักก็คงจะด่าแม่คนนั้นละมัง... นะ เพราะไม้มันไม่หนักไม่เบา มันอยู่อย่างนั้น นี้คือคนไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักแก้เจ้าของ ไม่รู้จักเหตุผล
พวกเราให้พากันสร้างบารมี เพิ่มพูนบารมีของเรา อาตมาเห็นว่า... บุญเด๊อพ่อออก บุญคือการกระทำดี กระทำชอบ เป็นบุญ บุญนี้เกิดขึ้นมาก็เรียกว่ากรรมเก่า มีทั้งบุญและบาป ถ้าเราทำอะไรไป ถ้ากรรมเก่าคือบาปมาเกี่ยวข้องแล้วลำบาก เสียหายมาก เราอยู่ไปหากินไป ถ้ากรรมเก่าที่ดีมาพัวพันเป็นเหตุให้ง่ายให้ดีขึ้นมาได้ มันเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้นพวกเรานั้นสมควรที่จะพากันศึกษาเรื่องนี้ ถ้าใครไม่รู้จักธรรมะ ก็เอาตัวหลุดพ้นไปจากทุกข์ไม่ได้ คำว่าทุกข์คือทุกข์ทางใจ พวกเราอาจจะไม่รู้จัก หรือบางคนอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าตายไปแล้ว อย่างนี้ก็มีนะ พระพุทธเจ้ามีองค์เดียวเท่านั้นแหละ ท่านตายแล้ว... หยุด ถ้าอาตมาจะพูดว่าพระพุทธเจ้ายังไม่ตาย โยมพ่อออกจะว่าอย่างไร? ก็ท่านยังไม่ตาย ทุกวันนี้ท่านยังอยู่ ท่านยังช่วยมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ ถ้าทำดีท่านยังช่วยอยู่ตลอดเวลา พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว พระธรรมคือพระพุทธเจ้า ใครเห็นพระพุทธเจ้าก็คือเห็นธรรม ใครเห็นพระธรรมก็คือเห็นพระพุทธเจ้า ใครเห็นพระพุทธเจ้าก็คือเห็นพระสงฆ์ ใครเห็นพระสงฆ์เห็นพระธรรม ไม่ได้อยู่ไกลที่ไหนอยู่ตรงนี้ เดิมทีพระพุทธเจ้าก็เป็นสิทธัตถราชกุมาร เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา ยังไม่รู้อะไร เมื่อท่านรู้ธรรมะชัดเจนแล้วก็เรียกท่านว่า พระพุทธเจ้า คนธรรมดาเลยหายไป
คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มันเป็นปฏิปักษ์ต่อใจของพวกเรา เทศน์ไปๆ ถ้าจะเทศน์ความจริงให้ฟังจริงๆ แล้ว ทุกสิ่งมีแต่เรื่องขัดใจเรา เพราะเหตุใด? เพราะใจเรามันสกปรก มีแต่เรื่องขัดใจทุกอย่าง พวกเรามันเสียดายความชั่ว เสียดายความไม่ดี เสียดายความสกปรก อยากเก็บเอาไว้ ท่านว่าทิ้งเสีย ก็ไม่อยากจะทิ้ง มันชอบของเลว ไม่ชอบของดี อย่างนี้ อาตมาถึงว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ามันขัดใจคน ขัดใจปุถุชนทั้งหลาย ขัดจนกลายเป็นอริยชน ถ้าไม่ขัดอย่างนั้นก็ไม่ได้ อาตมาเคยไปเทศน์ธรรมะหลายแห่ง เข้าไปบางบ้าน เทศน์ให้ฟัง บางทีพ่อออกแม่ออกอยู่บ้านเดียวกันก็ยังทะเลาะกัน คนหนึ่งไป อีกคนหนึ่งไม่ไป คนหนึ่งว่าถูก คนหนึ่งว่าผิด แยกกันเลย มันแยกกันนี้เป็นเพราะอะไร? เพราะกรรมมันบังไว้ ใครมีปัญญาก็เห็น ใครไม่มีปัญญาก็เห็นได้ยาก เห็นไม่ได้ง่ายๆ ของอันนี้มันใกล้ มันไม่ได้อยู่ไกลหรอก
เรื่องทิฐิมานะของคนนั้น ถ้าจะเทียบแล้วจะย้ายภูเขาลูกนี้ไปไว้ที่อื่นก็ยังง่ายกว่า หรือทำให้มันราบเหมือนแผ่นดินก็ยังง่ายกว่าเป็นอย่างนั้น หรือจะเปรียบให้ฟังอีกง่ายๆ ก็เหมือนพ่อกำนันนี่แหละ สร้างบ้านขึ้นหลังหนึ่งเสร็จเรียบร้อย อยู่มาได้ ๑๐ วัน หรือเดือนหนึ่ง อย่างนี้ มีคนหนึ่งพูดว่า "พ่อกำนันบ้านหลังนี้รื้อเสียเป็นไง" ชวนรื้อบ้าน หัวขาดก็ไม่รื้อ ใช่ไหม? ทำไมล่ะ ก็บ้านเราเพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ๆ มาชวนรื้อ ยังจะนึกว่าคนนั้นมันบ้าหรือไง บ้านเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ มาชวนรื้อ ยังนึกว่าเขาพูดเล่นอยู่อีก ทิฐิมานะก็เหมือนกัน เช่นอันนี้มันผิดเลิกเสียนะ โอ๊ย... ไม่ได้ ถ้าสิ่งใดมันชอบสิ่งใดมันติดแล้ว ไม่กล้าละ ไม่กล้าถอน ติ๊ออยู่นั่นแหลว... ยาก ไม่ได้ง่ายๆ ทิฐิมานะมันติดมันแน่น มันลึกมันซึ้งเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นผิดเป็นชอบพูดให้ฟัง ไม่เห็นละถอน ไม่ใช่ง่ายๆ คือมันไม่เห็นนั่นเอง ถ้ามันเห็นแล้วมันก็ง่าย แต่นี่มันไม่เห็น เรื่องคนไม่เห็นอยู่ไกลมันก็ไม่เห็น อยู่ใกล้มันก็ไม่เห็น อยู่ในลูกตานี้มันก็ยังไม่เห็น มันจึงเป็นของยากของลำบากหลาย
ที่พระท่านสอนก็เพื่อให้ลดทิฐิมานะที่ยึดถือไว้ ของไม่แน่นอน อาตมาจึงอยากจะขอกับญาติโยม ขอไม่มากหรอกขอเพียงว่า ถึงจะละความผิดไม่ได้ก็ไม่ว่า แต่ขอให้รู้จัก ให้รู้จักว่าอันนี้มันผิดอันนี้มันถูก แค่นี้เสียก่อนให้รู้จักจริงๆ เท่านี้... อาตมาก็ดีใจแล้ว ให้รู้จักจริงๆ ไม่ใช่รู้เล่นๆ เท่านี้ก็ได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ถ้าคนรู้ว่าอันนี้มันผิดอยู่ในใจของเขาแล้ว ทำอะไรมันก็รู้ว่าผิด ใจมันบอก ทำเมื่อไรมันก็บอกว่าอันนี้มันผิด มันทวงไม่หยุดอย่างนี้ ทำตอนไหนก็ผิด เห็นอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็หยุดเอง อันนี้ไม่ได้ถามตัวเองสักที มันจึงไม่เห็นชัด มันไม่เห็นชัดอย่างนั้น
เช่นเรากินเหล้าอย่างนี้ พอยกแก้วขึ้นมาก็บอกว่า... บาปนะ แต่ก็ยังกินอยู่ เพื่อนชวนกินในสังคมอย่างนี้ก็กินไป พอยกแก้วขึ้นตอนไหนก็บอกว่าบาปนะ เห็นว่ามันผิดทันที มันเลยขวางกันไปกับใจพวกเรา ยกขึ้นครั้งใดก็นึกอยู่เสมอว่า หลวงพ่อท่านว่ามันบาป ไม่เฉพาะแต่ท่านว่า เห็นคนอื่นกินก็เห็นว่ามันเป็นบ้าเป็นบอ เห็นว่ามันผิดอยู่อย่างนั้น แต่ก็กิน แต่ก็ยังคิด เอ๊า เอาแค่นี้ไม่เอาอีกแล้ว เดี๋ยวเขาก็ยกมาให้อีก เอ๊า... ลุงนี้ของหลานนะ เอาสักนิดหนึ่งทั้งๆ ที่รู้ว่ามันผิดอยู่ กินตอนไหนก็รู้ว่ามันผิดอย่างนี้
การฆ่าสัตว์ก็เหมือนกัน เห็นอยู่ว่าฆ่าเขามันบาป แต่ก็ไม่หยุด ไม่หยุดก็ตามแต่ให้มันเห็น อันนี้ อาตมาเคยพบมาจึงพูดให้ฟัง เราสร้างบารมี คือเราฟังแล้วมาพิจารณาใจของเรา เช่นเราไปจับกบแต่ก่อนพอจับได้หักขามันทันที แต่พอบอกว่ามันบาปนะโยม... ได้คิดหักขาเขาก็เหมือนหักขาเราเหมือนกัน ถ้าคิดให้ดีๆ เมื่อไปพิจาณาดูเลยรู้ขึ้น มาทีหลังได้กบมาใหม่ไม่หักขากลัว... มันกลัว มันลดลงมา ไม่หักขาแต่เอามาใส่ข้องไว้นั้นแหละ เอามาบ้านให้แม่บ้านทำ คิดอย่างนี้ก็ทำไปเรื่อยๆ จับกบมาใส่ข้องทีไรก็ไม่หักขาล่ะทีนี้ ได้แล้วขั้นหนึ่ง คือไม่หักขากบ แต่ก็เอามาเหมือนเดิมนั้นแหละ ทำอยู่อย่างนั้น คิดไม่หยุด นึกไปนึกมาว้า... เว้ย... อันนี้มันก็ยังไม่ถูกมั้ง ... ไม่หักแต่ก็ยังเอามาให้เขา มันก็จะเถียงกันอยู่ในใจนั่นแหละ เถียงไปเถียงมา เอาไปเอามา มันสร้างบารมี นึกไปนึกมาก็ยิ่งถูก ว่ามันผิดอยู่เกรงอยู่ กลัวอยู่ แต่ไม่หยุดแต่ก็คิด อันนี้ก็เป็นเหตุ ประเดี๋ยวก็หยุด บางทีก็หยุดไม่มากหยุดเฉพาะวันพระ มันห่างแล้วทีนี้ หยุดแต่วันพระ แต่วันไม่พระก็ยังเอาอยู่ ทำไปปฏิบัติไปแต่กลัวอยู่คิดอยู่ ทำไมหยุดมันก็มีความรู้เกิดขึ้นมาว่า วันพระ หรือไม่พระก็คงเหมือนกันละมัง มันสอนอยู่อย่างนี้ จิตเราถ้ามันเห็นแล้ว นั่งอยู่ก็สอน เดินอยู่ก็สอน สอนว่ามันผิด... มันผิด... อยู่อย่างนี้ ผลที่สุดมันจู้จี้มากมันก็หยุดเท่านั้นเอง
////////// ต่อตอน 2
ปลาไม่เห็นน้ำ
พระโพธิญาณเถระ(ชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อำเภอ วารินชำราบ
จังหวัด อุบลราชธานี
http://www.geocities.com/Tokyo/ginza/9697/fish.html
อาตมาเคยถามญาติโยม ถามไปถามมา เลยไม่ได้อะไร ไม่รู้จะเอาอะไร ได้แต่ว่า "จั๊กแหลว" จักแหลว นี้มันภาษา ไม่รู้เรื่องนะ ถามไปถามมาเลยไม่รู้จะเอาอะไร ไม่มีอะไรจะได้ ทำมาตั้งแต่เล็กจนแก่จนเฒ่า เวลาจะเอาจริงๆ ไม่รู้จะเอาอะไร ถามมาที่เอาไม่มีใครตอบได้ ว่าจะเอาอะไร เวลาทำทำเต็มมือเต็มเท้า เวลาจะไปกลับไม่ได้อะไร มันน่าสงสารจริงๆ นะ นี้ก็ควรคิด
มาปีนี้ก็ต่างเก่านะ ต่างแม้กระทั้งอาตมาด้วย แก่ลงหลายคน หัวหงอกหัวขาว สวยกว่าเก่า... หือ... ควรคิดนะ พากันสร้างบารมี ถ้าไม่ได้ใจตนเองแล้ว ไม่มีอะไรจะได้นะ คิดดูให้ดีซิไม่มีอะไรจะได้ มีแต่ทำแต่ไม่เห็นมีได้ ถ้าเป็นนักมวยก็มีแต่ชกแต่ไม่มีหมัดล้มหมัดตาย นี้ควรเอาไปคิดดูไปพิจารณาดูให้ดีๆ ว่าเราได้อะไรหนอ?... ไม่มีอะไรได้ อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า คนบางจำพวก อย่างวัดหนองป่าพง เป็นตัวอย่าง ต่างประเทศเขาก็มากัน แม่ออกพ่อออก (โยมผู้หญิงผู้ชาย) บ้านใกล้ๆ ไม่เคยเห็นวัดหนองป่าพงเลยก็มี อย่างนี้มันเป็นเพราะอะไร? เพราะไม่ได้พิจารณา... หลง... หลงไปข้างหน้าหลงไปข้างหลังไม่รู้จะทำอะไร ให้เราพิจารณา ให้ภาวนา ภาวนาก็คือให้คิดให้อ่านให้พิจารณา ทำอะไรก็ภาวนา ทั้งหมดนั้นแหละ ทำไร่ก็ภาวนา ทำนาก็ภาวนา แต่ไม่รู้ตัวเอง มันสั้นไปละมัง มันยาวไปละมัง เหล่านี้ ล้วนภาวนาทั้งหมดนั้นแหละ แต่เราไม่รู้จัก ภาวนาคือการพิจารณาให้เห็นที่มันถูกต้อง เห็นเป็นที่ถูกต้องเป็นที่พอดี แล้วมาแต่งใจเจ้าของ แต่พวกเราพากันไปดูแต่ที่อื่น ไม่ดูตัวเอง ไม่ได้แต่งใจตัวเองสักที ไม่ได้รักษาใจตัวเองมันพาทุกข์ พายาก พาลำบากอยู่ก็ไม่เห็น คนไม่ดูตนเองไม่รักษาตนเอง มันพาทุกข์ พายาก พาลำบากอยู่ก็ไม่ยอมแก้ไข การมาฟังธรรมก็คือการมาหาความรู้แล้วไปศึกษา ศึกษาทางกายด้วยทางใจด้วย ให้ไปศึกษา คนเรามันไม่รู้จักตัวเองนะ อาตมาเคยบอกว่า "ปลามันอยู่ในน้ำ แต่ไม่เห็นน้ำ" พ่อแม่ปู่ย่าตายายมันก็อยู่ในน้ำแต่มันไม่เห็นน้ำ น้ำแช่ตามันอยู่มันก็ไม่เห็น มันไม่ไกลหรอก มันใกล้เกินไปเลยไม่เห็น ความไม่เห็นนี้ อยู่ใกล้ก็ไม่เห็น อยู่ไกลมันก็ไม่เห็น เหมือนไส้เดือนกินดิน ขี้ขวยสูงตั้งศอก แต่มันไม่เห็นดิน กินดินอยู่แต่ก็ไม่เห็นเหมือนคนไม่เห็นตัวเองก็เป็นอย่างนั้น หรือเหมือนสุนัข อาการของสุนัขก็คือข้าวเหมือนพวกเรา ข้าวสารข้าวสุกมันก็กิน แต่ถ้าเป็นข้าวเปลือกมันไม่เห็นทีกิน ยามฤดูหนาวเรานวดข้าว มันก็นอนบนกองข้าว... สบายแต่พอหิวอาหารกลับวิ่งหนีไปหากินที่อื่น ที่ตนนอนทับอยู่นั้นมันไม่เห็น มันใกล้เกินไปเพราะอะไร? เพราะข้าวเปลือกบังไว้อยู่
นี้แหละ เราหลงตัวเองก็เหมือนกับสุนัข นอนอยู่บนกองข้าว แต่เวลาหิวก็วิ่งไปหาเศษก้างปูก้างปลาที่เขาทิ้งโน้นทั้งยากทั้งลำบาก ที่ตัวเองนอนทับอยู่ไม่รู้ว่าเป็นอาหารของตัวเอง มันไม่รู้วิธีกะเทาะข้าวเปลือก มันไม่มีโรงสี มันซ้อมข้าวไม่เป็น เลยไม่เห็นที่จะกิน พระพุทธเจ้าก็เหมือนกันนั่นแหละกับพวกเราทั้งหลาย ก่อนจะเป็นพระพุทธเจ้าก็เหมือนพวกเรานี่แหละ แต่ท่านรู้จักเจ้าของ รู้จักแก้ไขเรื่องต่างๆ ในเจ้าของ ท่านแนะนำเจ้าของแก้ไขความทุกข์ของตนเองได้ เรามาฟังธรรมก็คือมาฟังเอาความรู้ไปแก้ปัญหา พ่อออกแม่ออกหรือ พวกเราทุกคนเกิดมา มันมีปัญหาติดต่อกันเรื่อยๆ อยู่บ้านยิ่งแยะ ปัญหาเรื่องนาบ้าง ฝนดีเกินไปบ้าง ฝนไม่ดีบ้าง น้ำท่วมข้าวบ้าง ดำนาล่าไปบ้าง เรื่องวัว เรื่องควาย เรื่องเงินเรื่องทอง สารพัดอย่าง ซึ่งเป็นปัญหาถามเรา บางครั้งดึกขนาดนี้ยังนอนไม่หลับ เพราะกำลังแก้ปัญหาอยู่ แต่คนเราไม่รู้จักการแก้ปัญหา พูดง่ายๆ ว่าถ้ามันร้อนก็เป็นทุกข์ มันหนาวก็เป็นทุกข์ แก้ปัญหาไม่ได้ เผลอๆ ด่ากระทั้งแดด ด่ากระทั้งลม ว่ามันร้อนโคตรพ่อโคตรแม่มัน อะไรอย่างนี้ว่าไปทั่ว อ้าว... เรื่องมันร้อนก็เรื่องธรรมดาเว้ย ให้ดูจิตของตนเอง อย่าไปกวนเขา เพราะเขาเป็นอย่างนั้น ถึงคราวร้อนเขาก็ร้อน ถึงคราวเย็นเขาก็เย็น เพราะธรรมชาติเป็นอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา พวกเราไม่รู้จักของในโลกนี้หมดทุกอย่าง ไม่มีปัญหา มันมีปัญหาก็แต่พวกเรา เรานั้นพยายามไปติเขา อันนั้นเล็กไป อันนั้นใหญ่ไป อันนั้นสั้นไป อันนั้นยาวไป จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร สั้นเขาก็อยู่อย่างนั้น ยาวเขาก็อยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้ว่าอะไร เราชอบหาเรื่องใส่เขาไม่หยุดไม่หย่อน นี้เรียกว่าไม่ได้แก้ปัญหา เรื่องธรรมชาติมันเป็นอยู่ตามเรื่องของมัน แต่เราไม่มีปัญญาเอาธรรมชาติเหล่านั้นมาใช้ได้
เหมือนอย่างต้นไม้ในป่า มันมีทั้งต้นทั้งใบทั้งเปลือก นี้คือธรรมชาติของมัน เขาก็เป็นของเขาอยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้ว่าเขาเล็ก เขาใหญ่ เขาสั้น เขายาว เขาเป็นอยู่อย่างนั้น ผู้มีปัญหาก็นำธรรมชาติเหล่านั้นมาแต่ง มาแปลงเอาด้วยปัญญา แปลงมาเป็นขื่อเป็นแป ให้เป็นบ้านเป็นเรือน นี้เรียกว่าปล้อนเอาออกมาจากธรรมชาติ เราเห็นธรรมชาติมันสงบทุกอย่าง ทั้งต้นไม้ ภูเขา เถาวัลย์ ล้วนแต่เป็นของสงบอยู่ เรานี่แหละไม่ดีเอง เที่ยวติเขาไม่หยุด เดินจากป่ามาบ้าน เจอฟืนดุ้นหนึ่งแบกใส่บ่าเดินมา แบกไปแบกไป มันก็ยิ่งหนัก จะทิ้งก็เสียดายจะแบกต่อไปก็หนัก แต่ก็แบกต่อไปจนยางตายแทบออก พอมาถึงบ้านทิ้งลง... โครม... "โคตรพ่อโคตรแม่มันหนักเหลือเกิน" พูดแล้วก็แล้วไป ไม่ได้พิจารณา ไม่รู้ว่าใครหนัก ไม้หนักหรือว่าเราหนักก็ไม้รู้ ไม่รู้ว่าด่าแม่ใคร หรือด่าว่าแม่ตนเองก็ไม่รู้ ใครหนักก็คงจะด่าแม่คนนั้นละมัง... นะ เพราะไม้มันไม่หนักไม่เบา มันอยู่อย่างนั้น นี้คือคนไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักแก้เจ้าของ ไม่รู้จักเหตุผล
พวกเราให้พากันสร้างบารมี เพิ่มพูนบารมีของเรา อาตมาเห็นว่า... บุญเด๊อพ่อออก บุญคือการกระทำดี กระทำชอบ เป็นบุญ บุญนี้เกิดขึ้นมาก็เรียกว่ากรรมเก่า มีทั้งบุญและบาป ถ้าเราทำอะไรไป ถ้ากรรมเก่าคือบาปมาเกี่ยวข้องแล้วลำบาก เสียหายมาก เราอยู่ไปหากินไป ถ้ากรรมเก่าที่ดีมาพัวพันเป็นเหตุให้ง่ายให้ดีขึ้นมาได้ มันเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้นพวกเรานั้นสมควรที่จะพากันศึกษาเรื่องนี้ ถ้าใครไม่รู้จักธรรมะ ก็เอาตัวหลุดพ้นไปจากทุกข์ไม่ได้ คำว่าทุกข์คือทุกข์ทางใจ พวกเราอาจจะไม่รู้จัก หรือบางคนอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าตายไปแล้ว อย่างนี้ก็มีนะ พระพุทธเจ้ามีองค์เดียวเท่านั้นแหละ ท่านตายแล้ว... หยุด ถ้าอาตมาจะพูดว่าพระพุทธเจ้ายังไม่ตาย โยมพ่อออกจะว่าอย่างไร? ก็ท่านยังไม่ตาย ทุกวันนี้ท่านยังอยู่ ท่านยังช่วยมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ ถ้าทำดีท่านยังช่วยอยู่ตลอดเวลา พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว พระธรรมคือพระพุทธเจ้า ใครเห็นพระพุทธเจ้าก็คือเห็นธรรม ใครเห็นพระธรรมก็คือเห็นพระพุทธเจ้า ใครเห็นพระพุทธเจ้าก็คือเห็นพระสงฆ์ ใครเห็นพระสงฆ์เห็นพระธรรม ไม่ได้อยู่ไกลที่ไหนอยู่ตรงนี้ เดิมทีพระพุทธเจ้าก็เป็นสิทธัตถราชกุมาร เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา ยังไม่รู้อะไร เมื่อท่านรู้ธรรมะชัดเจนแล้วก็เรียกท่านว่า พระพุทธเจ้า คนธรรมดาเลยหายไป
คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มันเป็นปฏิปักษ์ต่อใจของพวกเรา เทศน์ไปๆ ถ้าจะเทศน์ความจริงให้ฟังจริงๆ แล้ว ทุกสิ่งมีแต่เรื่องขัดใจเรา เพราะเหตุใด? เพราะใจเรามันสกปรก มีแต่เรื่องขัดใจทุกอย่าง พวกเรามันเสียดายความชั่ว เสียดายความไม่ดี เสียดายความสกปรก อยากเก็บเอาไว้ ท่านว่าทิ้งเสีย ก็ไม่อยากจะทิ้ง มันชอบของเลว ไม่ชอบของดี อย่างนี้ อาตมาถึงว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ามันขัดใจคน ขัดใจปุถุชนทั้งหลาย ขัดจนกลายเป็นอริยชน ถ้าไม่ขัดอย่างนั้นก็ไม่ได้ อาตมาเคยไปเทศน์ธรรมะหลายแห่ง เข้าไปบางบ้าน เทศน์ให้ฟัง บางทีพ่อออกแม่ออกอยู่บ้านเดียวกันก็ยังทะเลาะกัน คนหนึ่งไป อีกคนหนึ่งไม่ไป คนหนึ่งว่าถูก คนหนึ่งว่าผิด แยกกันเลย มันแยกกันนี้เป็นเพราะอะไร? เพราะกรรมมันบังไว้ ใครมีปัญญาก็เห็น ใครไม่มีปัญญาก็เห็นได้ยาก เห็นไม่ได้ง่ายๆ ของอันนี้มันใกล้ มันไม่ได้อยู่ไกลหรอก
เรื่องทิฐิมานะของคนนั้น ถ้าจะเทียบแล้วจะย้ายภูเขาลูกนี้ไปไว้ที่อื่นก็ยังง่ายกว่า หรือทำให้มันราบเหมือนแผ่นดินก็ยังง่ายกว่าเป็นอย่างนั้น หรือจะเปรียบให้ฟังอีกง่ายๆ ก็เหมือนพ่อกำนันนี่แหละ สร้างบ้านขึ้นหลังหนึ่งเสร็จเรียบร้อย อยู่มาได้ ๑๐ วัน หรือเดือนหนึ่ง อย่างนี้ มีคนหนึ่งพูดว่า "พ่อกำนันบ้านหลังนี้รื้อเสียเป็นไง" ชวนรื้อบ้าน หัวขาดก็ไม่รื้อ ใช่ไหม? ทำไมล่ะ ก็บ้านเราเพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ๆ มาชวนรื้อ ยังจะนึกว่าคนนั้นมันบ้าหรือไง บ้านเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ มาชวนรื้อ ยังนึกว่าเขาพูดเล่นอยู่อีก ทิฐิมานะก็เหมือนกัน เช่นอันนี้มันผิดเลิกเสียนะ โอ๊ย... ไม่ได้ ถ้าสิ่งใดมันชอบสิ่งใดมันติดแล้ว ไม่กล้าละ ไม่กล้าถอน ติ๊ออยู่นั่นแหลว... ยาก ไม่ได้ง่ายๆ ทิฐิมานะมันติดมันแน่น มันลึกมันซึ้งเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นผิดเป็นชอบพูดให้ฟัง ไม่เห็นละถอน ไม่ใช่ง่ายๆ คือมันไม่เห็นนั่นเอง ถ้ามันเห็นแล้วมันก็ง่าย แต่นี่มันไม่เห็น เรื่องคนไม่เห็นอยู่ไกลมันก็ไม่เห็น อยู่ใกล้มันก็ไม่เห็น อยู่ในลูกตานี้มันก็ยังไม่เห็น มันจึงเป็นของยากของลำบากหลาย
ที่พระท่านสอนก็เพื่อให้ลดทิฐิมานะที่ยึดถือไว้ ของไม่แน่นอน อาตมาจึงอยากจะขอกับญาติโยม ขอไม่มากหรอกขอเพียงว่า ถึงจะละความผิดไม่ได้ก็ไม่ว่า แต่ขอให้รู้จัก ให้รู้จักว่าอันนี้มันผิดอันนี้มันถูก แค่นี้เสียก่อนให้รู้จักจริงๆ เท่านี้... อาตมาก็ดีใจแล้ว ให้รู้จักจริงๆ ไม่ใช่รู้เล่นๆ เท่านี้ก็ได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ถ้าคนรู้ว่าอันนี้มันผิดอยู่ในใจของเขาแล้ว ทำอะไรมันก็รู้ว่าผิด ใจมันบอก ทำเมื่อไรมันก็บอกว่าอันนี้มันผิด มันทวงไม่หยุดอย่างนี้ ทำตอนไหนก็ผิด เห็นอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็หยุดเอง อันนี้ไม่ได้ถามตัวเองสักที มันจึงไม่เห็นชัด มันไม่เห็นชัดอย่างนั้น
เช่นเรากินเหล้าอย่างนี้ พอยกแก้วขึ้นมาก็บอกว่า... บาปนะ แต่ก็ยังกินอยู่ เพื่อนชวนกินในสังคมอย่างนี้ก็กินไป พอยกแก้วขึ้นตอนไหนก็บอกว่าบาปนะ เห็นว่ามันผิดทันที มันเลยขวางกันไปกับใจพวกเรา ยกขึ้นครั้งใดก็นึกอยู่เสมอว่า หลวงพ่อท่านว่ามันบาป ไม่เฉพาะแต่ท่านว่า เห็นคนอื่นกินก็เห็นว่ามันเป็นบ้าเป็นบอ เห็นว่ามันผิดอยู่อย่างนั้น แต่ก็กิน แต่ก็ยังคิด เอ๊า เอาแค่นี้ไม่เอาอีกแล้ว เดี๋ยวเขาก็ยกมาให้อีก เอ๊า... ลุงนี้ของหลานนะ เอาสักนิดหนึ่งทั้งๆ ที่รู้ว่ามันผิดอยู่ กินตอนไหนก็รู้ว่ามันผิดอย่างนี้
การฆ่าสัตว์ก็เหมือนกัน เห็นอยู่ว่าฆ่าเขามันบาป แต่ก็ไม่หยุด ไม่หยุดก็ตามแต่ให้มันเห็น อันนี้ อาตมาเคยพบมาจึงพูดให้ฟัง เราสร้างบารมี คือเราฟังแล้วมาพิจารณาใจของเรา เช่นเราไปจับกบแต่ก่อนพอจับได้หักขามันทันที แต่พอบอกว่ามันบาปนะโยม... ได้คิดหักขาเขาก็เหมือนหักขาเราเหมือนกัน ถ้าคิดให้ดีๆ เมื่อไปพิจาณาดูเลยรู้ขึ้น มาทีหลังได้กบมาใหม่ไม่หักขากลัว... มันกลัว มันลดลงมา ไม่หักขาแต่เอามาใส่ข้องไว้นั้นแหละ เอามาบ้านให้แม่บ้านทำ คิดอย่างนี้ก็ทำไปเรื่อยๆ จับกบมาใส่ข้องทีไรก็ไม่หักขาล่ะทีนี้ ได้แล้วขั้นหนึ่ง คือไม่หักขากบ แต่ก็เอามาเหมือนเดิมนั้นแหละ ทำอยู่อย่างนั้น คิดไม่หยุด นึกไปนึกมาว้า... เว้ย... อันนี้มันก็ยังไม่ถูกมั้ง ... ไม่หักแต่ก็ยังเอามาให้เขา มันก็จะเถียงกันอยู่ในใจนั่นแหละ เถียงไปเถียงมา เอาไปเอามา มันสร้างบารมี นึกไปนึกมาก็ยิ่งถูก ว่ามันผิดอยู่เกรงอยู่ กลัวอยู่ แต่ไม่หยุดแต่ก็คิด อันนี้ก็เป็นเหตุ ประเดี๋ยวก็หยุด บางทีก็หยุดไม่มากหยุดเฉพาะวันพระ มันห่างแล้วทีนี้ หยุดแต่วันพระ แต่วันไม่พระก็ยังเอาอยู่ ทำไปปฏิบัติไปแต่กลัวอยู่คิดอยู่ ทำไมหยุดมันก็มีความรู้เกิดขึ้นมาว่า วันพระ หรือไม่พระก็คงเหมือนกันละมัง มันสอนอยู่อย่างนี้ จิตเราถ้ามันเห็นแล้ว นั่งอยู่ก็สอน เดินอยู่ก็สอน สอนว่ามันผิด... มันผิด... อยู่อย่างนี้ ผลที่สุดมันจู้จี้มากมันก็หยุดเท่านั้นเอง
////////// ต่อตอน 2