PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ธรรมะเก็บตก ขำ



*8q*
11-11-2008, 01:28 PM
ธรรมะ เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ทุกหนแห่ง
ธรรมะ เป็นสิ่งที่พบได้ในชีวิตประจำวัน
แต่อนิจจา คนส่วนมากกลับคิดว่าธรรมะเป็นเรื่องของคนบำเพ็ญปฏิบัติที่ปล่อยวางจากโลกีย์วิสัยแล้ว พวกเขาจึงมองข้ามธรรมะที่มีอยุ่ในตน มองข้ามสาระแห่งธรรมที่พบได้ในชีวิตประจำวัน แม้แต่ผู้ที่กำลังบำเพ็ญปฏิบัติธรรมอยู่ ส่วนมากก็ยัง "สละใกล้แสวงไกล" เพราะคิดว่าธรรมะอยู่แต่ในวัดวาอาราม คิดว่าธรรมะมีอยู่แต่ในพระธรรมคัมภีร์เท่านั้นหารู้ไม่ว่า..



............บำเพ็ญธรรมไม่ห่างจิต
............ปฏิบัติธรรมไม่ห่างกาย
............เมื่อจิตกับกายไม่ไกลจากธรรม
.............ธรรมะจึงอยู่ในชีวิตประจำวัน



"ธรรมะกับชีวิตจะต้องดำเนินควบคู่กันไป"
เราไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีธรรมะ หาไม่แล้ว ชีวิตของเราก็ไม่แตกต่างอะไรกับซากศพที่เดินได้
เราไม่อาจแยกธรรมะออกจากชีวิตของเราได้ หาไม่แล้วชีวิตของเราก็จะไร้ซึ่งคุณค่า สาระแลแก่นสาร
บทสรุปที่อยุ่ในตอนท้ายของเรื่อง มีไว้เพื่อช่วยทำความเข้าใจในสาระของเรื่องเท่านั้น มิได้ต้องการจำกัดขอบเขตของความลึกซึ้งในการทำความถึงแต่อย่างใด









เ ก ร็ ด ธ ร ร ม ะ

ธรรมะเก็บตก..

ตอนที่ 1....ช่วยพยุง


ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนรถแท็กซี่ บังเอิญผ่านไปเห็นรถมอเตอร์ไซค์คว่ำอยู่ ส่วนคนขับก็นอนฟุบอยู่กลางถนน และมีเลือดไหลออกมาจากศีรษะ แต่กลับไม่มีใครให้ความช่วยเหลือเขาเลยสักคนเดียว
"อย่างน้อยก็น่าจะพยุงเขาขึ้นนั่ง เพื่อจะได้ลดความดันของเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงอยู่ได้อีกไม่นานแน่!" คนขัยรถแท็กซี่กล่าว
ชายผู้โดยสารเฝ้าทบทวนคำพูดของคนขับไปตลอดทางก่อนลงรถเขาจึงอดไม่ได้ที่ถามขึ้นมาว่า
"ในเมื่อคุณรู้ว่าถ้าพยุงเขาขึ้นนั่งจะสามารถช่วยชีวิตเขาได้ แล้วทำไมเมื่อกี้คุณจึงไม่ยอมจอดรถลงไปช่วยเขาล่ะ?"
คนขับรถเมื่อได้ฟังดังนั้น จึงสวนกลับมาทันควันว่า
"ในเมื่อคุณได้ยินผมพูดอย่างนั้นแล้ว ทำไมจึงไม่เรียกให้ผมหยุดรถแล้วลงไปช่วยพยุงเขาเสียเองเล่า?"

ช่วยพยุงคนมิใช่เรื่องยาก
เพียงแต่คนส่วนมารู้จักพูด
แต่เฉื่อยชาเกินกว่าที่จะทำ
บางครั้งยังพาลตำหนิผู้อื่นว่าไม่ทำเสียอีก

ขอบคุนมากครับhttp://board.agalico.com/showthread.php?t=24403

*8q*
11-11-2008, 01:29 PM
ตอนที่ 2....พระราชาหัวล้าน

ในระยะนี้ พระราชารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เพราะผมบนศีรษะเริ่มร่อยหรอไปทีละน้อยๆ แม้หมอหลวงจะทรงถวายการรักษาอย่างไร ก็ยังไม่อาจช่วยทำให้ศีรษะที่ใกล้ล้าน มีผมดกหนาดังเดิมได้
"เราเป็นถึงกษัตริย์ ปกป้องคุ้มครองคนทั่วทั้งแผ่นดินได้ แต่เส้นผมบนศีรษะของตัวเองแท้ๆ กลับยังรักษาไว้ไม่อยู่ รู้ไปถึงไหนก็อายเขาไปถึงนั่น!" พระราชาทรงปรับทุกข์กับพระราชินี
"ทุกครั้งที่เห็นเหล่าขุนนางที่มีอายุมากกว่า แต่กลับมีผมดกดำหนายิ้มให้กับเรา ก็มักรู้สึกว่าตัวเรากำลังถูกพวกมันหัวเราะเยาะอยู่ คิดแล้วก็แค้นใจจนอยากจับพวกมันไปประหารเสียให้หมด!"
เมื่อคำพูดถูกแพร่ออกไป ขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักไม่มีใครกล้ายิ้มอีกเลย จะมีก็แต่เพียงบางคนที่ไม่กลัวตายเท่านั้น ที่ยังกล้ายิ้มต่อหน้าพระพักตร์ เพราะมีศีรษะล้านกว่าพระราชา
พระราชินีก็พลันบังเกิดความคิดแยบคายขึ้นมา จึงได้ทรงรับสั่งกับพระราชาว่า
"ทำไมพระองค์ไม่ทรงเลื่อนตำแหน่งสูงๆ ให้แก่ขุนนางที่มีศีรษะล้านเหล่านั้นล่ะเพคะ?"
พระราชาได้ทรงปฏิบัติตาม และตั้งแต่นั้นมา พระราชาก็ทรงมีแต่ความสุขตลอด ไม่มีความกลัดกลุ้มอีกเลย เพราะในราชสำนักมีแต่คนอยากหัวล้าน
"หัวลานมีอะไรไม่ดีเล่า? ดูสิ! คนหัวล้านมีแต่โชคดีได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง บางคนอยากหัวล้านแต่ยังทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ!" พระราชาคิด

ความสุขของมนุษย์ มักตั้งอยู่บนความคล้ายคลึงกัน
เช่น เรามาจากครอบครัวเดียวกัน
มีสัญชาติเดียวกัน
เป็นคนประเภทเดียวกัน
หรือแม้กระทั่ง...ประสบชะตากรรมเดียวกัน

*8q*
11-11-2008, 01:29 PM
ตอนที่ 3....ความทุกข์ของมนุษย์ต่างดาว

ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ห่างไกลจากโลกของเรา ได้มีเด็กชายคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นบนดาวดวงหนึ่ง เขาเป็นเด็กที่ฉลาดและแข็งแรงมาก แต่เขากลับไม่เคยมีความสุขเลข พ่อแม่และญาติมิตรของเขา ต่างก็พากันทอดถอนใจทุกครั้งที่ได้เห็นเขาเพราะว่าเขามีดวงตาอยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น ใจขณะที่คนบนดาวดวงนั้นมีดวงตาอยู่ด้วยกันสองคู่ ข้างหน้าหนึ่งคู่ และข้างหลังอีกหนึ่งคู่
"การมีดวงตาเพียงคู่เดียวช่างเป้นเรื่องที่น่าอันตรายอย่างยิ่ง หากมีรถมาจากด้านหลังจะหลยก็ไม่ง่าย และหากมีคนจู่โจมมาก็ยากที่จะรู้ตัวได้"
ทุกคนที่ได้เห็นศีรษะด้านหลังที่มีแต่เส้นผม แต่ไม่มีดวงตาของเขา ในตอนแรกต่างก็ตกใจ แต่แล้วก็บังเกิดความสงสารและเห็นใจตามา พวกเขาสร้างรถที่ไม่เหมือนใครให้แก่เขา ทดลองคิดค้นอุปกรณ์ที่ทำให้สามารถมองเห็นข้างหลังได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังสู้ดวงตาสองคู่ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดไม่ได้
เด็กน้อยผู้น่าสงสารนับวันก็ยิ่งรู้สึกห่อเหี่ยวท้อแท้ เพระาคิดว่าตัวเองพิการ เป็นคนที่ไร้ประโยชน์ อีกทั้งไร้ความสามารถ และเป็นตัวถ่วงของสังคม ถึงแม้ว่าจะเติบโตมาจนอายุได้ยี่สิบกว่าแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่อาจยอมรับความเป็นจริงนี้ได้
อยู่มาวันหนึ่ง เขามีโอกาสได้ร่วมเดินทางไปกับคณะสำรวจนอกพื้นพิภพไปถึงดาวดวงหนึ่งที่ชื่อว่า "โลก" และเขาก็ต้องตกใจเป็นอย่างมากที่พบว่า คนบนโลกล้วนพิกลพิการเช่นเดียวกับเขาทั้งนั้น
เขาได้ขอร้องพร้อมยืนกรานที่จะอยู่บนโลก และเพียงชั่วเวลาไม่นาน เขาก็ได้หลอมตัวเองเข้าสู่สังคมของมนุษย์โลก และไม่รู้ว่าการมีควงตาน้อยไปหนึ่งคู่ เป็นเรื่องไม่สะดวกหรือพิกลพิการอีกเลย
เขาเริ่มมีความสุข เพราะไม่มีใครที่จะมองเขาด้วยสาตาที่แปลกประหลาดหรือสมเพชเวทนาอีก และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น จะไม่มีใครให้ความสามารถนำไปเปรียบเทียบกับตัวเองได้อีกต่อไป

การเปรียบเทียบ เป็นสิ่งที่นำไปสู่การแบ่งแยก
และการแบ่งแยก เป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ทั้งปวง..

*8q*
11-11-2008, 01:30 PM
ตอนที่ 4....อุดมการณ์กับความเป็นจริง


หญิงสาวได้ไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศแล้ว ก่อนไปเธอได้สัญญากับแฟนหนุ่มของเธอว่า จะเรียนให้จนภายในหนึ่งปี แล้วจะกลับมาแต่งงานกับเขา
ชายหนุ่มตั้งหน้าตั้งตารอคอยหญิงสาว เขาส่งจดหมายไปวันเว้นวัน และทุกอาทิตย์ ชายหนุ่มจะต้องโทรศัพท์ไปหา เป็นอย่างนี้ไม่เคยขาด
ในเวลาที่เขารู้ว่าหญิงสาวเป็นไข้ไม่สบาย เขาก็จะเป็นทุกข์มากเหมือนมีไฟกำลังสุมทรวง พูดสายไปก็ร้องไห้ไป บางครั้งถึงกับคุกเข่าลงกับพื้นแม้ว่าจะห่างกันคนละฟากฟ้า เพื่อขอร้องให้หญิงสาวดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี
ปีกว่าให้หลัง หญิงสาวเรียนจบปริญญาโทสมความตั้งใจและได้แต่งงานกับเพื่อนนักศึกษาในคณะเดียวกันที่ต่างประเทศ
"่ความรักของเขาทำให้ฉันซาบซึ้งมาก" หญิงสาวบอกกับเพื่อนๆ ร่วมคณะในวันที่เธอแต่งงาน
"ทว่า ในขณะที่ฉันเดินออกมาจากห้องเรียน แล้วต้องยืนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ท่ามกลางหิมะที่กำลังตกหนักนั้น มีแต่รถของสามีในปัจจุบันของฉันเท่านั้น ที่แล่นมาจอดตรงหน้าเสมอ"

ชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง มีความแร้นแค้นลำบากในการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก จนบางครั้งพวกเขามีอาหารกินเพีงมื้อเดียวในหนึ่งวันเท่านั้น
รัฐบาลได้จัดส่งเมล็ดพันธุ์พืชไปให้ อีกทั้งยังได้ส่งผู้เชี่ยวชาญทางการเกษตรไปสอนพวกเขาในการทำเกษตรกรรม
ผู้เชี่ยวเพิ่งจะจากไป ชาวเผ่าบนเกาะก็เอาเมล็ดพันธุ์พืชทั้งหมดหุงเป็นข้าวสุก แล้วกินกันจนเรียบ
"ปลุกข้าวช้าเกินไป กว่าจะกินได้ต้องรออีกนานทีเดียว สู้หัวเผือกหัวมันที่เราปลูกก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะโตเต็มที่หรือยัง ดึงขึ้นมาก็กินได้ทันที" หนึ่งในชาวเผ่าที่อาศัยอยู่บนเกาะกล่าว
"ก็ตอนนี้ฉันหิวแล้วนี่"

ไม่ว่าอุดมการณ์จะสูงส่งเพียงใด
ความรักจะยิ่งใหญ่แค่ไหน
ก็ไม่ควรมองข้ามความต้องการของมนุษย์
ในโลกแห่งความเป็นจริงนี้ไป..

*8q*
11-11-2008, 01:30 PM
ตอนที่ 5....เต็มหรือยัง?


ชายหนุ่มคนหนึ่งได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักบนเขาเป็นเวลาหลายปี เช้าวันหนึ่ง เขาได้เข้าไปหาอาจารย์ในห้องแล้วกล่าวว่า
"อาจารย์ครับ ผมมาศึกษาอยู่ที่นี่ก็นานแล้ว วิชาต่างๆ ผมก็ได้เรียนรู้จนครบถ้วนหมดแล้ว ผมคิดว่าผมน่าจะสามารถลงเขาไปได้แล้วกระมังครับ"
"อะไรที่เจ้าเรียกว่าครบถ้วนหมดแล้ว?" อาจารย์ถาม
"ก็คือเต็มแล้ว ใส่อะไรไม่ลงอีกแล้วครับ"
"ถ้าเช่นนั้น ช่วยเอาชามใบนี้ไปใส่ก้อนหินมาให้อาจารย์สักชามสิ"
ลูกศิษย์ทำตามที่อาจารย์สั่ง
"เต็มแล้วหรือยัง?" อาจารย์ถาม
"เต็มแล้วครับ"
อาจารย์หยิบทราบขึ้นมาหนึ่งกำใส่ลงไปในชาม แต่ทรายไม่ล้นออกมา
"เต็มหรือยัง?" อาจารย์ถามต่อ
"เต็มแล้วครับ"
อาจารย์จึงได้หยิบขี้เถ้าขึ้นมาอีกหนึ่งกำ แล้วโรยใส่ลงไปในชาม แต่ขี้เถ้าก็ยังไม่ล้นออกมา
"เต็มหรือยัง?" อาจารย์ถามอีก
"เต็มแล้วครับ"
คราวนี้อาจารย์เทน้ำลงไปชามอีกหนึ่งถ้วย แต่น้ำก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะล้นออกมา
"เต็มหรือยัง?"
"................."

ขวดที่ใส่น้ำจนเต็ม
ไม่อาจเขย่าให้มีเสียงได้ฉันใด
ผู้ที่ทะนงในความรู้ของตนว่ามีเพียงพอแล้ว
ก็ไม่อาจใช้ความรู้ที่มีอยู่ให้บังเกิดคุณประโยชน์สูงสุดได้ฉันนั้น..

*8q*
11-12-2008, 01:51 PM
ตอนที่ 6....ไม่ต่างกัน


เณรน้อยรูปหนึ่ง เกิดความฉงนสนเท่ห์ใจในคำสอนของผู้เป็นอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง จึงได้เข้าไปถามอาจารย์ถึงในห้องว่า
"อาจารย์ครับ ท่านมักจะอบรมสั่งสอนพวกเราอยู่เสมอว่า ต้องหมั่นฉุดช่วยเวไนยสัตว์ ไม่ว่าจะเป้นคนดีหรือคนเลว แต่ผมไม่เข้าใจอยู่อย่างก็คือ ผมมักจะได้ยินชาวบ้านพูดกันอยู่เสมอว่าคนที่เลวทรามต่ำช้านั้นหาใช่คนไม่ เพราะเขาได้สูญเสียธาตุแท้ของความเป็นคนไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ เรายังจะต้องฉุดช่วยเขาอีกหรือไม่ครับ?"
ผู้เป็นอาจารย์มิได้ตอบทันที เพียงแต่หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนคำว่า "ฉัน" ลงบนกระดาษ แต่ตัวหนังสือนั้นกลับด้านกัน
"นี่อะไร?" อาจารย์ถาม
"ตัวหนังสืทอครับ!" เณรน้อยตอบ "แต่เขียนกลับด้านกัน"
"เป็นตัวอะไร?"
"ตัว "ฉัน" ครับ"
"ตัวหนังสือ "ฉัน" ที่เขียนกลับด้าน ยังใช่ตัวหนังสือหรือเปล่า?" อาจารย์ไล่เบี้ยต่อ
"ม่ใช่ครับ"
"ในเมื่อไม่ใช่ตัวหนังสือ แล้วทำไมเจ้าบอกว่ามันเป็นตัว "ฉัน" ล่ะ?"
"ใช่ครับ" เณรน้อยเปลี่ยนคำพูดทันที
"ในเมื่อยังนับเป็นตัวหนังสือ แล้วทำไมเจ้าบอกว่ามันกลับด้านเสียล่ะ?"
เจ้าเณรน้อยถึงกับนิ่งงันไม่รู้จะตอบอย่างไร ผู้เป็นอาจารย์ จึงได้กล่าวต่อไปว่า
"ตัวหนังสือนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านตรงหรือกลับด้าน ก็ยังเรียกว่าตัวหนังสือ เจ้าบอกว่ามันเป็นตัว "ฉัน" และยังรู้ว่ามันกลับด้าน นั่นก็เพราะในใจของเจ้ารู้จักตัว "ฉัน" ที่ถูกต้องว่าเขียนอย่างไร"
"ในทางกลับกัน ถ้าหากแต่แรกเริ่มเดิมทีเจ้าไม่รู้หนังสือเลย ต่อให้เขียนคำว่า "ฉัน" กลับด้าน เจ้าก็ไม่สามารถแยกแยะมันออกได้ ยังเกรงว่าหลังจากมีคนบอกกับเจ้าว่านั่นเป็นคำว่า "ฉัน" แล้ว เมื่อเจ้าไปเจอคำว่า "ฉัน" ที่ถูกต้อง เจ้ากลับจะบอกว่ามันกลับด้านเสียด้วยซ้ำ!"
อาจารย์หยุดดูสีหน้าลูกศิษย์ก่อนจะพูดต่อไปอีก
"ในทำนองเดียวกัน คนดีเป็นคน คนเลวก็ยังเป็นคน สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ว่า เจ้าจะต้องรู้จักธรรมชาติเดิมแท้ของคนต่างหาก เมื่อนั้น ต่อให้เจ้าได้พบกับคนเลว เจ้าก็ยังสามารถมองเห็นสิ่งที่ดีงามในตัวของเขาได้ ไม่เพียงเท่านี้ เจ้ายังสามารถโน้มนำจิตเดิมแท้ของเขาออกมาได้อีกด้วย และเมื่อจิตเดิมแท้ของเขาปรากฏ การจะฉุดช่วยเปลี่ยนแปลงเขาก็มิใช่เรื่องยากอีกต่อไป"

ในโลกแห่งทวิภาวะนี้
เกิดและตาย ดีและชั่ว ถูกและผิด
สิ่งที่ตรงข้ามกันย่อมดำรงอยู่
ผู้ที่ทำลายโซ่ตรวนแห่งอุปาทานสแล้วเท่านั้น
จิตใจจึงสงบบริสุทธิ์ไร้ราคี
ไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีดีชั่ว ไม่มีถูกผิด ไม่มีเกิดตาย
หล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
เป็นอมตะชั่วนิรันดร์....

*8q*
11-12-2008, 01:52 PM
ตอนที่ 7....ธรรมะอยู่ที่ไหน


กินลูกบัวมากไปอาจทำให้ร้อนใน แต่หากกินไส้ของลูกบัว
ก็สามารถแก้อาการร้อนในได้

กินโสมมากไปมักทำให้ร้อนในได้ง่าย แต่หนวดโสมกลับสามารถ
แก้ร้อนในได้

เนื้อมะพร้าวถ้ากินมากก็ทำให้ร้อนในได้ แต่น้ำของมันกลับสามารถแก้
กระหายคลายร้อน

ยางมะตอยนั้น ทั้งดำทั้งสกปรก แต่ก็สามารถใช้น้ำมันก๊าดชำระล้างให้สะอาดได้
ไขมันหมูเมื่อเปื้อนมือแล้วล้างออกยาก แต่หากถูด้วยสบู่ มันก็ง่ายแก่การชะล้าง

วิธีแก้ไขปัญหา ..

โดยมากมักจะอยู่ไม่ไกลจากตัวปัญหาเท่าไหร่..

*8q*
11-12-2008, 01:53 PM
ตอนที่ 8....เหตุผลของตาอยู่


ภรรยาของตาอยู่จะไปตลาดเพื่อซื้อไข่ไก่มาทำกับข้าว ตาอยู่จึงได้ตะโกนบอกกับภรรยาของเขาว่า
"เลือกเอาแต่ไข่แฝดนะ!"
วันต่อมา เมื่อภรรยาของตาอยู่จะไปตลาดอีก เพื่อซื้อไข่ไก่มาฟักเป็นลูกไก่ไว้เลี้ยง ตาอยู่กลับกำชับเสียงดังลั่นว่า
"อย่าเลือกถูกไข่แฝดเชียวนะ !"
===============================
ต้นแอ๊ปเปิ้ลหน้าบ้านของตาอยู่ออกผลเต็มต้น เด็กๆ ข้าง บ้านจึงพากันมาปีนเด็ดกัน ตาอยู่ก็มักจะแนะนำว่า
"เลือกใบที่ถูกหนอนเจาะสิ มันหวานเป็นพิเศษนะ !"
แต่เมื่อต้นแอ๊ปเปิ้ลของตาอยู่ถูกเด็ดเสียจนเกลี้ยง ลูกชายของตาอยู่จะไปเด็ดแอ๊ปเปิ้ลที่สวนของคนอื่น ตาอยู่กลับกล่าวย้ำอย่างแข็งขันกับลูกชายว่า
"อย่าเด็ดใบที่ถูกหนอนเจาะนะ เพราะมันไม่สวย!"
================================
ลูกชายของตาอยู่กินข้าวหกเรี่ยราดเต็มโต๊ะ ตาอยู่จึงได้เตือนลูกชายของตนว่า
"อย่าทำข้าวหกเลอะเทอะสิ ระวังโตขึ้นจะต้องมีเมียหน้าตาปุปะนะ!"
โชคไม่ดีที่ตาอยู่ก็มีลูกสาวหน้าตาปุปะ แต่ตาอยู่กลับปลอดลูกส่วว่า
"พ่อไม่โทษเจ้าหรอกนะ เพราะหากจะโทษก็ต้องโทษสามีในอนาคตของเจ้า ที่ตอนยังเล็กคงชอบกินข้าวหกเรี่ยราด"

มนุษย์สมัยนี้ทำอะไรเป็นต้องอ้าง "เหตุผล"
ต้องมีเหตุผล!
ต้องดูสมเหตุสมผล!
แต่ก็มักเป็นเหตุผล
ที่ต้องอยู่บนตัณหาของตนเสียส่วนใหญ่!

*8q*
11-12-2008, 01:53 PM
ตอนที่ 9....นักเกาทัณฑ์เยี่ยมยุทธ


ลูกศิษย์ในสำนักสอนยิงธนูแห่งหนึ่ง ได้ไปพบอาจารย์ของตนแล้วกล่าวว่า
"อาจารย์ครับ ผมได้ฝึกปรือฝีมือยิงธนูของผม จนมีความชำนาญมากกว่านักยิงธนูในอดีตแล้ว และต่อให้มีนักยิงธนูรุ่นใหม่ถือกำเนิดขึ้นมา ก้คงจะสู้ผมไม่ได้อย่างแน่นอน ?"
"เจ้ายิงได้แม่นหรือเปล่าล่ะ ?" อาจารย์ถาม
"แม่นสิ่ครับ อย่างนกที่บินอยู่บนฟ้า หากท่านเรียกให้ผมยิงตาซ้าย ก็ไม่มีทางที่ผมจะยิงถูกตาขวาของมันอย่างแน่นอน
ขณะนั้นเอง มีนกตัวหนึ่งกลังบินผ่านมาตรงหน้า
"ไหนลองยิงตาซ้ายของมันซิ !" อาจารย์ตะโกนสั่ง
.ลูกศิษย์ง้างธนูเตรียมยิงทันที แต่แล้วก็กลับวางธนูลง
"ยิงไม่ได้หรอกครับ เราะว่ามันบินจากซ้ายไปขวา ตาซ้ายของมันจึงมิได้หันมาทางผม แล้วจะให้ผมยิงได้อย่างไง?"
"กลังแขนของเจ้าล่ะมีมากมั้ย? " ผู้เป็นอาจารย์ถามต่อ
"มากสิครับ ขนาดคันธนูที่มีกำลังถึง 7 สือ (สือ เป้นหน่วยวัดแรงดันของธนูในอดีตของจีน) ผมยังสามารถที่จะดึงมันจนสุดได้เป็นเวลาหลายๆ ชั่วยามโดยไม่ปล่อยเลย"
"โอ...วิเศษจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองยิงธนูออกไปดูซิ เอาให้ไกลเท่าไหร่ได้ยิ่งดี"
ลูกศิษย์จึงได้ยิงธนูออกไปตามที่อาจารย์สั่ง
ในขณะเดียวกัน ผู้เป็นอาจารย์ก็ได้หยิบคันธนูขนาด 6 สือของตนขึ้นมา แล้วยิงลูกธนูออกไปหนึ่งดอก แต่ลูกธนูของผู้เป็นอาจารย์ กลับพุ่งไปได้ไกลกว่าของลูกศิษย์มากมายทีเดียว
ลูกศิษย์ถึงกับงงมาก อาจารย์จึงได้บอกกับลูกศิษย์ว่า
"คันธนูที่ดีนั้น จะต้องรักษาความคงตัวของเส้นเอ็นไว้อยู่เสมอ เราะความคงตัวของเส้นเอ็นเป็นส่วนที่ทำให้แรงดีดมีมากขึ้น หากคันธนูต้องถูกง้างอยู่ตลอดเป็นเวลานานๆ ก็จะทำให้ความยืดหยุ่นของเส้นเอ็นเสียไป จนไม่อาจที่จะมีแรงดีดลูกธนูออกไปให้ไกลได้"

คนที่ยโสโอหังหยิ่งทะนงในความสามารถ
ไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อใฝ่ศึกษาหาความก้าวหน้านั้น
ต่อให้มีความรู้มากเพียงใด ก็ไม่อาจแตกฉาน
และได้รับประโยชน์สูงสุดจากความรู้นั้นได้..

*8q*
11-12-2008, 01:54 PM
ตอนที่ 10....ทิศทางกับหนทาง


นักศึกษามหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งได้นัดกันไปปีเขา แต่วันนั้นดินฟ้าอากาศเกิดแปรปรวนขึ้นอย่างฉับพลัน จึงทำให้พวกเขาพลัดหลงอยู่ในหุบเขา หาทางออกไม่ได้อยู่หลายวัน
เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารพรานหลายคน ได้ช่วยกันค้นหาอย่างไม่ลดละจนในที่สุด ก็สามารถหาพวกเขาพบและช่วยเหลืออกมาได้
ในขณะที่กำลังลำเลียงพวกเขาขึ้นรถพยาบาลอยู่นั้น นักศึกษาคนหนึ่งที่นอนอยู่ในเปลก็ได้พูดขึ้นมาว่า
"อันที่จริงพวกเราทุกคนต่างรู้ทิศทางที่จะออกจากหุบเขานี้ดี แต่มันน่าเจ็บใจที่เดินยังไงก็ออกมาไม่ได้สักที"
"รู้แค่เพียงทิศทางมันจะมีประโยชน์อะไร" ทหารพรานคนหนึ่งพูดโพล่งออกมาอย่างไม่เกรงใจ "รู้หนทางสิ จึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด"
นักศึกษาหนุ่มแสดงสีหน้างุนงงเพราะไม่เข้าใจความหมาย ทหารพรานคนนั้นจึงได้กล่าวต่อไปว่า
" แม้ทิศทางจะเป็นข้อมูลพื้นฐานในการที่จะช่วยคุณค้นหาหนทางได้ แต่ทิศทางก็ยังไม่ไช่หนทางอยู่ดี ตัวอย่างเช่น หากทิศทางบอกกับคุณว่า ควรมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก เพราะคุณจะสามารถพบหมู่บ้านที่มีผู้คนอาศัยอยู่ได้ แต่บังเอิญหนทางที่คุณกำลังจะไปกลับที่หุบเหวมาขวางทางเสียก่อน และไม่ว่าคุณจะพยายามยังไง ก็ไม่สามารถข้ามหุบเหวนั้นไปได้ ในขณะนั้น ทิศทางก็บอกกับคุณอีกว่าควรขึ้นเหนือ เพราะทางทิศเหนือมีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง แต่หลังจากที่คุณต้องระหกระเหินเดินผ่านป่าทึบด้วยความยากลำบาก คุณกลับต้องมาเจอกับแม่น้ำเชี่ยวกรากสายหนึ่งขวางทางไว้ และคุณก็ไม่มีความมั่นใจพอที่จะเข้าไปได้ ถึงต้อนนี้คุณจะทำยังไง? "
"หากพิจารณาหากตัวอย่างข้างต้นก็จะเห็นได้ว่า ทิศทางที่คุณเดินไปนั้นไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย แต่สุดท้ายคุณก็ยังไม่สามารถออกมาจากหุบเขานั้นได้ นั่นก็เพราะคุณไม่พบหนทางนั่นเอง"

ทิศทางนั้นหาง่าย แต่หนทางมันหายาก
ทิศทางนั้นเด่นชัด แต่หนทางมักแอบแฝงซ่อนเร้น
หากพระนิพพานคือทิศทางที่ทุกคนควรมุ่งหน้าไปให้ถึง
แล้วหนทางเล่า? อยู่ที่ไหน?
บางคนมุ่งแสวงหาในพระคัมภีร์ แต่สุดท้ายก็เหนื่อยเปล่า
เพราะหากยังไม่พบหนทาง รู้ทิศทางก็ไร้ประโยชน์
เพราะหากยังไม่พบหนทาง ก็ไม่มีวันที่พ้นทุกข์ได้สุข

*8q*
11-12-2008, 01:55 PM
ตอนที่ 11....ความแก่งแย่งในวัดร้าง






พระสงฆ์ 3 รูปพบกันโดยบังเอิญที่วัดร้างแห่งหนึ่ง
"อะไรเป็นสาเหตุให้วัดนี้รกร้างว่างเปล่าเช่นนี้?" ไม่รู้ว่าใครเป็ฯผู้เริ่มคำถาม
"คงเป็นเพราะพระในวัดไม่มีความศรัทธา จึงทำให้พระโพธิสัตว์ไม่ศักดิ์สิทธิ์" พระสงฆ์ ก. กล่าว
"คงเป็เพราะพระในวัดไม่ขยันขันแข็ง ทรัพย์สินของวัดจึงไม่เพิ่มพูน" พระสงฆ์ ข. กล่าว
"คงเป็เพราะพระในวัดไม่มีความสำรวมนบนอบ ญาติโยมจึงมีไม่มาก" พระสงฆ์ ค. กล่าว
พระสงฆ์ทั้งสามต่างถกเถียงกันอยู่นาน แต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ในที่สุดจึงได้ตัดสินใจที่จะพักอาศัยอยู่ที่วัด เพื่อช่วยบูรณะ ตามแต่กำลังความสามารถของตน และก็เพื่อดูว่าใครจะประสมผลสำเร็จมากที่สุด
พระสงฆ์ ก. จึงเริ่มกราบไว้สวดมนต์
พระสงฆ์ ข. ก็ทุ่มเทแรงกายทาสีซ่อมแซมวัด
ส่วนพระสงฆ์ ค. ก็เรี่ยไรบอกบุญแสดงธรรมเทศนา
ในเวลาเพียงไม่นาน ญาติโยมก็เริ่มหลั่งไหลมานมัสการ กราบไว้กันอย่างไม่ขาดสาย ทำให้วัดแห่งกลับคืนสู่ความอีกครั้ง
"เป็นเพราะฉันกราบไหว้ด้วยจิตศรัทธา พระโพธิสัตว์จึงเมตตาแสดงปาฏิหาริย์" พระสงฆ์ ก. กล่าว
"เป็นเพราะฉันขยันดูแลบริหารงานในวัดต่างหาก จึงทำให้วัดนี้มีแต่ความบริบูรณ์เพียบพร้อม" พระสงฆ์ ข.พูดบ้าง
"เป็นเพราะฉันแสดงธรรมออกโปรดสั่งสอนไปทั่วต่างหาก จึงทำให้มีญาติโยมมากมาย" พระสงฆ์ ค. แย้งขึ้น
พระสงฆ์ทั้งสามต่างถกเถียงกันคอเป็นเอ็น ไม่มีใครคิดยอมใคร ความเจริญเฟื่องฟูจึงได้เริ่มเสื่อมหายไป
ในวันที่พระเขาตัดสินใจแยกย้ายกันไปคนละทิศละทางนั้น พวกเขาได้ข้อสรุปที่เหมือนกันว่า :
สาเหตุที่วัดร้างนั้น ไม่ใช่เพราะพระสงฆ์ไร้ความศรัทธา ไม่ใช่เพราะไม่ขยัน ยิ่งไม่ใช่เพราะไม่มีความสำรวมนบนอบ แต่เป็นเพราะ...

พระสงฆ์ไม่สมานฉันท์ต่างหาก..

*8q*
11-12-2008, 02:09 PM
ตอนที่ 12....ลืมว่าเขาเป็นใคร


ทหารของฝ่ายข้าศึกนายหนึ่ง ได้บุกเข้าไปในบ้านพักของพลเรือนแถบชานเมือง หลังจากที่ได้รอนแรมมาหลายวัน แล้วใช้ปืนจ่อไปที่หน้าอกของชายเจ้าของบ้าน พร้อมกับสั่งภรรยาของเขาที่กำลังยืนตัวสั่นด้วยความกลัว ให้นำเอาอาหารที่มีอยู่ทั้งหมดออกมา จากนั้นก็ได้ยึดเอาห้องนอนที่มีอยู่เพียงห้องเดียวของพวกเขาไป
ตกดึก ทหารข้าศึกคนนั้นก็ได้ม่อยหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง สะท้อนให้เห็นภาพเด็กหนุ่มที่มีในหน้าอิดโรยอย่างที่สุด
ภรรยาเจ้าของบ้านที่นั่งขดตัวอยู่มุมห้อง พลันคิดถึงลูกชายของตนที่จากบ้านไป ความรักความเห็นใจของหัวอกแม่ก็บังเกิดขึ้นในใจทันที
"เฮ้อ! ช่างน่าสงสารจริงๆ ยังเด็กอยู่แท้ๆ แต่ก็ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอน มาเป็นเครื่องมือแสวงอำนาจของผู้ใหญ่ นี่ถ้าหากตอนนี้ยังอยู่ที่บ้าน เกรงว่ายังคงต้องให้พ่อแม่คอยเป็นห่วงเรื่องความเป็นอยู่เสียด้วยซ้ำ ดูซิ! อากาศก็ออกหนาว เสื้อคลุมตกพื้นแล้วยังไม่รู้ตัวเลย"
ว่าแล้วก็จึงดันตัวขึ้นอย่างช้าๆ และค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ เพราะเกรงว่าเสียงฝีเท้าของตน อาจทำให้เด็กหนุ่มตกใจตื่นจากความฝัน
"คงกำลังฝันถึงแม่ผู้เป็นที่รักอยู่กระมัง!"
เจ้าของบ้านหญิงก้มตัวลงหยิบเสื้อคลุมขึ้นมา แล้วบรรจง ห่มให้เด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบา
ทันใดนั้นเอง ทหารข้าศึกคนนั้นก็ได้ลืมตาขึ้น เขาแผดเสียงตวาดร้องเหมือนสัตว์ป่าคำราม ร่างกายสั่นสะท้านเพราะตกใจอย่างสุดขีด มีดพกปลายแหลมถูกเสียบเข้าไปกลางอกของภรรยาเจ้าของบ้านจนมิดด้าม เลือดอุ่มๆ ไหลทะลักออกมาในขณะที่เขาผละตัวออกจากเก้าอี้
เสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด ชายเจ้าของบ้านถลาเข้าไป เพื่อหวังจะช่วยเหลือภรรยาล้มฟุปลงจมกองเลือดทันที
"นังหญิงชั่วนี่บังอาจคิดลอบกัดข้า" ทหารหนุ่มบ่นพึมพำ ขระดึงมีดออกจากร่างไร้วิญญาณของภรรยาเจ้าของบ้าน
"โอ...แม่ครับ! ดีที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาเสียก่อน และโชคดีที่มีแม่คอยปกป้องผมอยุ่ในความฝัน มิฉะนั้นแล้วผมคงไม่มีโอกาสได้กลับไปพบหน้าแม่อีกเป็นแน่!
นักฝึกสัตว์ในคณะละครสัตว์แห่งหนึ่ง มีความเชี่ยวชาญในด้านฝึกสิงโตมากจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
เขาไม่เพียงแต่สามารถฝึกให้เจ้าป่ากระโดดลอดห่วงไป หรือปีนบันไดมีดได้อย่างว่านอนสอนง่าย ยังมีความสามารถพิเศษที่คนอื่นไม่กล้าเลียนแบบ นั่นก็คือการง้างปากของสิงโตขึ้น แล้วเอาหัวของตัวเองสอดเข้าไปข้างใน
เขาได้แสดงโชว์พิเศษนี้นับเป็นพันครั้ง ภายใต้เสียงกรีดร้องด้วยความหวดเสียวของผู้ชม และสำหรับเขาแล้ว เจ้าสิงโต เพื่อนยากที่ร่วมแสดงด้วยกันมาหลายปี ก็เป็นเหมือนแมวเชื่องตัวหนึ่งเท่านั้น
ทว่าสุดท้าย เขาก็ยังตายด้วยคมเขี้ยวในปากของเจ้าสิงโตตัวนั้น ไม่มีแม้โอกาสที่ร้องขอความช่วยเหลือ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะก่อนขึ้นแสดง เขาได้ทำมีดบาดถูกคางในขณะโกนหนวด
สิงโรตัวนั้นได้กลิ่นคาวเลือด.........
เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งขับรถไปเที่ยวสวนสัตว์เปิดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกฎระเบียบสำหรับผู้มาเที่ยวชมว่า : ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม "ห้าม" ลงจากรถหรือเปิดกระจกรถเป็นอันขาด !
พวกเขาขับรถผ่านเข้าเขตสัตว์ป่าอันตรายด้วยความระมัดระวัง ผ่านฝูงสิงโตที่กำลังนอนเล่นกลางวันอยู่บนโขดหินผ่านฝูงเสือโคร่งที่กำลังแช่น้ำด้วยความสบายใจอยู่ในสระ จนมาถึงเขตของลิงบาบูน
เมื่อเห็นรถแล่นเข้ามา กลุ่มลิงบาบูนก็เริ่มกรูกันเข้ามาเดินวนเวียนอยู่รอบรถ เหมือนเด็กหนุ่มที่กำลังตามตื้อจีบเด็กสาว บางตัวถึงกับอุตริปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคารถ ทำทีเป็นขุนนาง นั่งเกี้ยว ดูช่างน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ
เด็กคนหนึ่งทดลองไขกระจกลงเล็กน้อยแล้วทิ้งอาหารออกไป ฝูงลิงถลาเข้ามาใกล้ทันที เห็นลิงเหล่านั้นแย่งอาหารกันด้วยความชุลมุนวุ่นวาย เด็กวัยรุ่นในรถต่างก็หัวเราะชอบใจกันยกใหญ่
กระจกถูกไขลงมากขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้น
ทันใดนั้น มือดำทมิฬข้างหนึ่งได้ยื่นเข้ามาในรถแล้วคว้าผมของเด็กสาวคนหนึ่งไว้ ภายใต้เสียงกรีดร้องที่บอกถึงความเจ็บปวดทรมารอย่างแสนสาหัส ศีรษะของเธอถูกกระชากออกไปพาดกับขอบกระจก กรงเล็บอันแหลมคมอีกมากมายรุมกันเข้ามา

หน้าต่างถูกฉาบจนแดงฉานไปทั่ว
หน้าของเด็กหญิงผู้เคราะห์ร้ายถูกพวกลิงบาบูนที่ดุร้าย

สิงโตก็คือสิงโต
มันอาจเหมือนแมว
แต่มันก็ไม่ใช่แมว
และไม่มีวันที่จะเป็นแมวได้

ลิงบาบูนก็คือลิงบาบูน
มันอาจเหมือนคน
แต่มันก็ไม่ใช่คน
และไม่มีวันที่จะเป็นคนได้

ศัตรูก็คือศัตรู
ศัตรูอาจดูเหมือนญาติพี่น้องของเรา
และเราก็อาจจะสามารถเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรได้
แต่ในระหว่างที่กำลังเปลี่ยนแปลงศัตรูอยู่นั้น
อย่าได้ลืมเป็นอันขาดว่า
เขายังเป็นศัตรูเขาเราอยู่!

*8q*
11-20-2008, 11:19 AM
ไม่รู้จะตั้งชื่อเรื่องว่าอะไรดี เอาเป็นว่าชื่อเรื่อง
"ถึงแล้วบอกบอกด้วย" ละกันนะ

เด็กน้อยคนนึงเดินทางจากต่างจังหวัดด้วยรถโดยสาร
ปรับอากาศชั้น2 ไปอยู่กับญาติเพื่อศึกษาต่อชั้นมัธยม

ก่อนขึ้นรถแกก็บอกกับคนขับรถว่า
"ลุงครับ ถ้าถึงอยุธยาแล้วเรียกผมด้วยนะครับ"
"ได้ไอ้หนู"ลุงคนขับตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร

แต่ด้วยระยะทางและคนโดยสารก็เยอะทำให้ลุงคนขับรถลืม
จนถึงสถานีขนส่งหมอชิตสายเหนือแกก็นึกขึ้นได้

"ตายละหว่า กูลืมเรียกเด็กคนนี้ลงอยุธยาวะ"
ด้วยความใจดีของแกเลยขับรถย้อนกลับไปส่งเด็กคนนี้
ที่ตอนนี้ยังหลับไม่ตื่นที่อยุธยาตามที่เด็กบอก

"เอ้า ไอ่หนู ตื่นได้แล้ว ถึงอยุธยาแล้ว"ลุงเรียกเด็กคนนั้นให้ตื่น

"ถึงแล้วเหรอครับ ขอบคุณนะครับลุง ลุงใจดีจัง"

ว่าแล้วเด็กน้อยก็เปิดกระเป๋าเอาอะไรบางอย่างขึ้นมา

"อ่าว แล้วทำไมไม่ลงละหนู เหลือเองคนเดียวละนะ ลุงจะได้กลับซะที"
ลุงยังงงๆ

"อ๋อ แม่ผมสั่งไว้ว่า ถ้าถึงอยุธยาเมื่อไหร่ให้หยิบข้าวที่แม่ห่อให้
ขึ้นมากินครับ"

"อ้าว แล้วแกไม่ได้ลงที่อยุธยาหรอกเหรอ"

"ป่าวครับ แม่บอกให้ผมลงหมอชิตครับ"

ลุงคนขับรถ!!!! ... เวรกำ

*8q*
12-05-2008, 12:45 PM
เป็นเพราะรัก

--------------------------------------------------------------------------------

การคบคนก็เหมือนกับไส้อั่ว
ดูจากภายนอกจะไม่ค่อยน่ากิน
แต่เมื่อได้ชิมก็จะรู้ว่า
รสชาติ ไม่ได้เหมือนกับ ที่คุณเห็น



จิตใจของคุณก็เหมือนกับไข่ 1 ฟอง
ที่ดูภายนอกแล้วแข็งแกร่ง
แต่เมื่อคุณลองกะเทาะ
เปลือกออกมา ก็จะเห็นว่าคนๆ นั้น
ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าคุณเลย

ร่างกายของคนๆ หนึ่งก็เหมือนกับน้ำแข็ง
ที่สักวันหนึ่ง... มันก็ต้องละลายไป

นิสัยของคนก็เหมือนกับข้าว
ถ้าคุณไม่หุง...ย่อมกินไม่ได้



ความรักที่อกหักก็เหมือนกับต้มยำ...ที่มีทุกรส
ยกเว้น... ความหวาน
ความรัก...ก็เหมือนกับไข่เจียว
ที่คุณกินได้ทุกวัน… แต่ก็ยังไม่เบื่อ

ชีวิตวัยรุ่นก็เหมือนกับ...Pepsi
ที่อึกแรกมักจะซ่า... แต่เปิดทิ้งไว้นานๆเข้า
ก็หายซ่าไปเอง...



ชีวิตวัยรุ่นก็เหมือนกับสัตว์หลายๆ ชนิดในสวนสัตว์
ที่ต้องการออกไปสู่โลกกว้าง…

ถ้าคุณกำลังอกหักแล้วยังมองหารักใหม่...
โดยที่จะเอามารักษาแผลเดิม
ก็จะเหมือนกับตอนที่คุณท้องเสีย...แต่ดันกินส้มตำ



แฟนก็เหมือนกับเพลงใหม่เพลงหนึ่ง…
ที่คุณมักบอกกับตัวเองว่ามันเพราะ…
แต่เมื่อฟังไปสักร้อยรอบ....คุณก็จะเบื่อไปเอง

ต่างกับเพื่อนสาว…
ซึ่งเหมือนกับเพลงคลาสสิก... ที่นานๆคุณเปิดที
แต่ก็ยังเพราะ...ไม่ต่างจากครั้งแรกที่คุณฟัง

ลองสังเกตไหมว่าถ้ามีรูปถ่ายหมู่ใบหนึ่ง.
คนที่คุณมองหาคนแรก... คือคนที่คุณชอบอยู่




เบอร์โทรศัพท์...
ที่ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทคุณ...คุณก็จำไม่ได้
แต่ถ้าเป็นเบอร์องคนที่หลงใหลล่ะก็...
คุณจะจำได้ทุกตัว...แม้ว่ามันจะไม่ซ้ำกันเลย



เพลง...ที่คุณชอบมากที่สุดตอนที่คุณมีแฟน...
อาจจะกลายเป็นเพลงที่คุณเกลียดที่สุด...เมื่อเขาจากไป


Mail 100 Mail ที่เพื่อนคุณส่งให้
ก็ไม่อาจเทียบได้กับ คนรักคุณที่ตอบมาแค่ว่า
"ขอบคุณนะ"





ก็เหมือนกับวันๆ หนึ่ง
ที่คุณคุยกับเพื่อนเป็นร้อยประโยคแต่ก็จำไม่ได้
แต่เมื่อคุณได้คุยกับคนที่คุณแอบชอบ
แม้ประโยคเดียว... คุณก็จำได้ ...
จนกว่าเขาจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน....
http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=25081

noppakorn
12-14-2008, 12:39 PM
แวะมาเยี่ยมเยียนน้องแปดคิวด้วยความคิดถึง

โมทนาสาธุด้วยครับ ที่นำเรื่องดีๆ มาให้อ่านกัน

*8q*
12-15-2008, 01:52 PM
สาธุสาธุๆ

*8q*
12-25-2008, 06:35 PM
http://blogs.dallasobserver.com/unfairpark/Smiling%20Pig.jpg

ลูกหมูถามพ่อ

ลูกหมู "ป่าป๊าถ้ามีตังตกอยู่ 5 บาท กับ 10 บาท ป่าป๊าจะเก็บเหรียญไหน"
พ่อหมู "ก็เก็บ 10 บาทซิ"
ลูกหมู "ป่าป๊าโง่จัง ทำไมถึงไม่เก็บทั้ง 2 เหรียญล่ะ"

ลูกหมู "ป่าป๊า เมื่อ 3 เดือนก่อน มีคนมาทวงหนี้
ป่าป๊าบอกไม่มีตังค์เดือนก่อนป่าป๊าก็บอกไม่มีอีก เพราะอะไรครับ"
พ่อหมู "คนเราพูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้นนะลูก"

ลูกหมู "ป่าป๊าทำไมบ้านคนอื่นเขาใหญ่ แต่ทำไมบ้านเราถึงเล็ก"
พ่อหมู "เพราะป่าป๊าไม่ค่อยมีตังค์"
ลูกหมู "แล้วทำยังไง เราถึงจะมีบ้านใหญ่ๆ ล่ะครับ"
พ่อหมู "หนูก็ต้องตั้งใจเรียนหนังสือ พอโตขึ้นก็ทำงานได้เงินเยอะๆซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ"
ลูกหมู "แล้วทำไมตอนเด็กๆ ป่าป๊าถึงไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ"

http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=25636

*8q*
01-04-2009, 10:18 AM
คนไม่มีวาสนา


เช้าวันเสาร์นี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ ด.ช แดง เห็นคุณพ่อนั่งหงอย ๆ อยู่คนเดียวที่หน้าบ้าน จึงเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
แดง : คุณพ่อทำไมมานั่งหงอย ๆ ตรงนี้คนเดียวล่ะคับ ?
พ่อ : เฮ้อ..! (ถอนใจ) ก็พ่อนึกอิจฉาเพื่อน ๆ ในที่ทำงานของพ่อน่ะสิ
บินไปเที่ยวฮ่องกง สิงค์โปร์กันหมดทุกคน ยกเว้นพ่อคนเดียว
แดง : อ้าว..! แล้วพ่อทำไม ไม่ไปด้วยล่ะคับ
พ่อ : เฮ้อ ! (ถอนใจยาวกว่าเก่า) พ่อมันเป็นคนไม่มี "วาสนา" ลูกเอ๊ย.ย
แดง : (ทำหน้าสงสัย) เอ.. ! "วาสนา" นี่มันแปลว่าอะไรคับ
พ่อ : (ชักรำคาญ) ก็แปลว่า "เงิน" น่ะสิ ไป๊ ไปเล่นที่อื่น ถามอยู่ได้
แดง : (ยังทำท่าอิดเอื้อน เขินๆ อยู่ตั้งนาน ) เอ้อ..คุณพ่อ.คับ
พ่อ : มีอะไรอีกล่ะ
แดง : คือ..ผมขอ"วาสนา" สัก ๕ บาท จะได้ไหมคับ ผมจะไปซื้อไอติม
พ่อ : ?!?!http://www.tamdee.net/db/forum_posts.asp?TID=193

Vipawee
01-04-2009, 12:08 PM
สาธุคะ ที่นำเรื่องขำๆมาให้อ่านๆแล้วมีความสุขคะ ขอให้มีความสุขตลอดปีและตลอดไปนะคะ

rain....
01-24-2009, 03:05 PM
5+5+5+5

http://www.watkoh.com/board/Smileys/default/grin.gif

ขอบคุณค่ะคุณ8

มีเรื่องราวดีๆนำมาเล่าให้ฟังเสมอ

ขอบคุณมากมายhttp://www.watkoh.com/board/Smileys/default/wink.gif

*8q*
02-04-2009, 06:55 PM
:: บทสนทนา สาวมหาลัย...
[HR]<!-- / icon and title --><!-- message -->
:: บทสนทนา สาวมหาลัย... (http://www.oknation.net/blog/banpong/2008/07/09/entry-1)






ได้ยินสาวๆ สมัยนี้คุยกันแล้วรู้สึกอ่อนเพลียละเหี่ยใจจริงๆ ดูหน้าตาใสๆ น่ารักๆ แต่เออหนอ ยามสาวเจ้าเอ่ยวาจาออกมา มันช่างแตกต่างจากใบหน้าราวหน้ามือเป็นหลังteen ....ทำไม เป็นไปได้ขนาดนี้.....คำพูดคำจาของเด็กสมัยนี้เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน...หากปู่ ย่า ตา ยาย มาได้ยินคงร้อง อกอีแป้นจะแตก.....
ส่วนใหญ่เราจะเคยชินกับหนุ่มพูดจา มึง กู โดยมีเหี้ย ห่า สารพัดสัตว์ประกอบ เรารู้สึกว่ามันธรรมดาของผู้ชาย แต่สมัยนี้หน้าสวยๆ ใสๆ ก็ไม่ใช่ว่าวาจาจะสวยตามหน้า.....เอาล่ะ ถึงมันจะเป็นการแสดงความสนิทสนมก็ตามทีเถอะ........
....ลองดูตัวอย่างบทสนทนาของสาวมหาลัย 2 นางสนทนากัน.......
สาว1 : "อี...มึงเรียนวิชาเฮี่ยไรวะ"
สาว2 : "เรียนอิ้ง ว่ะ" (ภาษาอังกฤษ)
สาว1 : "จานไรสอนวะ.." (นั่น..ไม่ได้เรียนกับคนด้วย)
สาว2 : "ไม่รู้ด๊อกเตอร์เฮี่ยไร เป็นจานพิเศษว่ะ" (นั่น...ด๊อกเตอร์คงสะดุ้งเฮือก) แม่งเอ๊ย..ยากสัดว่ะ สอนเฮี่ยไรไม่รู้" (เป็นไงด๊อกเตอร์ชื่อเดียวกับวิชาที่สอนเลย)
...ชื่อเล่นที่นิยมที่สุด Eเฮี่ย Eสัด E...อก...
....เฮ้อ...น่าอนาถใจ.....บ่นดังไม่ได้ด้วย เดี๋ยวโดน.........


http://board.agalico.com/showthread.php?t=26619

*8q*
02-12-2009, 05:24 PM
เกียรติยศของนกกระยางนิทานจากการประกวดรางวัลนิทานมูลนิธิเด็ก ครั้งที่ 8
เรื่อง : จุฑามณี ตระกูลมุทุตา
รูป : ปิ่นนุช ปิ่นจินดา
สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็กสำนักงานสงเสริมงานมูลนิธิเด็ก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าใหญ่อันอุดมสมบูรณ์หมู่สัตว์น้อยใหญ่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก มีนกกระยางใจดีตัวหนึ่งที่มีปากสั้น คอสั้น และขาสั้น นกกระยางชอบกินปลา แต่ด้วยขาที่สั้น มันจึงได้แต่เดินหาปลาอยู่ในที่ตื้นเท่านั้นวันหนึ่ง นกกระยางออกไปหาอาหารบริเวณบึงน้ำ ที่อยู่ใกล้กับบึงวนซึ่งสัตว์ทุกตัวต่างรู้ดีว่า บึงวนเป็นจุดที่อันตรายยิ่งนัก เพราะไม่เคยมีสัตว์ตัวใดรอดตายจากที่นั่นได้ จุดสังเกตของบึงวนคือเป็นบึงน้ำสีดำคล้ำดูมืดทึบ และผิวน้ำหมุนวนพร้อมที่จะดูดสิ่งใด ๆ จากด้านบนให้จมลงสู่ก้นบึ้งอันน่ากล้ว
นกกระยางได้ยินเสียงกระรอกน้อย 2 ตัวที่มัวแต่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานจนเข้าไปใกล้บึงวน แล้วกระรอกน้อยก็เริ่มไต่ขึ้นต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขากว้างใหญ่ และกระรอกน้อยตัวหนึ่งได้ลื่นตกจากต้นไม้ลงสู่บึงวน
นกกระยางเห็นดังนั้น ก็รีบวิ่งมาใช้ปากคาบตัวกระรอกน้อยไว้ แต่น้ำวนมีพลังรุนแรงมาก มันต้องใช้แรงทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ พร้อมกับกระพือปีกทั้งสองช่วย จึงสามารถกระชากกระรอกน้อยขึ้นมาได้ แล้วโยนขึ้นไปบนฝั่ง แต่ด้วยแรงเหวี่ยงนั้นกลับทำให้นกกระยางพลัดตกลงไปในบึงวนเสียเอง
“ช่วยด้วย” กระรอกน้อยทั้งสองตะโกนบังเอิญมีฝูงลิงผ่านมา ฝูงลิงไม่รอช้าให้พรรคพวกตัวหนึ่งรีบไปขอความช่วยเหลือจากสัตว์อื่น ๆ ส่วนลิงที่เหลือต่อตัวกันเพื่อดึงนกกระยางไว้ ลิงตัวที่อยู่ใกล้สุดคว้าปากของนกกระยางไว้ได้
“เอ้า…ฮุยเลฮุย” ฝูงลิงช่วยกันออกแรงดึงแต่นกกระยางไม่ขยับเขยื้อนขึ้นมาเลย ลิงตัวที่ไปขอความช่วยเหลือกลับมาพอดี พร้อมด้วยช้าง หมี วัว และเสือ

“เอ้า…ฮุยเลฮุย” สัตว์ทั้งหลายพร้อมใจกันดึง นกกระยางขึ้นมา
“เอ้า…ฮุยเลฮุย” ไม่มีใครยอมแพ้เลย เมื่อนกกระยางนั้นถูกดึงมาก ๆ เข้า ทั้งปากคอ และขาก็เริ่มยืดยาวออกมาเรื่อย ๆ พวกสัตว์รวบรวมพลังเป็นครั้งสุดท้าย “เอ้า…ฮุยเลฮุย”
ทันใดนั้น นกกระยางก็หลุดพ้นจากบึงวนขึ้นมาบนฝั่งได้ แต่รูปร่างหน้าตาของมันไม่เหมือนเดิมเลย ปากยาว คอยาว และขายิ่งยาวมาก เหล่าสัตว์จึงพากันไปหานกฮูกผู้รอบรู้ เพื่อหาวิธีแก้ไข ให้นกกระยางกลับคืนสู่สภาพเดิม แต่นกฮูกเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนที่ป่าอีกแห่งหนึ่งยังไม่กลับ
รอหว่างรอการกลับมาของนกฮูก นกกระยางออกหาอาหารตามปกติมันเดินหาปลาได้ไกลมากกว่าเดิมด้วยขาที่ยาวขึ้น อีกทั้งคอและปากที่ยาวก็ช่วยให้มันจู่โจมปลาได้ว่องไวขึ้นด้วย นกกระยางเริ่มพอใจในรูปร่างที่เปลี่ยนไปนี้มากขึ้นทุกที

กระทั่ง 1 สัปดาห์ผ่านไป นกฮูกเพิ่งกลับมา สัตว์ทั้งหลายได้มาชุมนุมเพื่อปรึกษาหารือกัน นกกระยางบอกว่า “ตอนแรกตกใจมาก แต่หลายวันมานี้ชักชอบใจในรูปร่างใหม่ และไม่อยากเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว”
นกฮูกจึงประกาศว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ดีสิ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะได้เป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญ และความมีน้ำใจของนกกระยาง ที่เสี่ยงชีวิตช่วยเหลือผู้อื่น
ถือเป็นเกียรติยศอันน่าภาคภูมิใจและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบอกให้รู้ว่าความสามัคคีย่อมช่วยให้พวกเราเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ ส่วนกระรอกน้อยนั้นจะเป็นตัวอย่างแก่บรรดาลูกสัตว์ว่า ไม่ควรเห็นแก่ความสนุกจนลืมระมัดระวังอันตราย
“เย้…” สัตว์ทุกตัวพากันส่งเสียงร้องสนับสนุนด้วยความยินดีและนี่เองคือที่มาแห่งรูปร่างของนกกระยาง ดังที่เห็นกันทุกวันนี้
http://board.agalico.com/showthread.php?t=26764

<!-- / message -->

*8q*
02-14-2009, 05:15 PM
ควันบุหรี่...


วันนั้น...มีนักธุรกิจคนหนึ่ง...มาทำบุญที่วัด...
แกสูบบุหรี่จัดมาก...
นั่งคุยเดี๋ยวเดียว...ออกไปสูบบุหรี่อีกแล้ว...
กลับมานั่งคุยเดี๋ยวเดียว...จุดบุหรี่สูบอีกแล้ว...
อาตมารำคาญ...เลยบอกไปว่า...
ไอ้พวกที่กินเหล้า...สูบบุหรี่เนี่ย...เป็นคนสิ้นคิด...
กินเข้าไป...สูบเข้าไป...เพื่อทำลายร่างกาย...
ทำลายปอด...ทำลายตับ...ไม่มีประโยชน์อะไรเลย...
ปัญญาอ่อน...กินเข้าไปทำไม...
แหม...มันโกรธพระหน้าแดงเลย...
ไปด่าว่า...มันสิ้นคิด...
มันบอกว่า...บุหรี่เนี่ย...มีประโยชน์...
สูบเข้าไปแล้ว...ทำให้สมองปลอดโปร่ง...แจ่มใส...
คลายเครียด...แก้เหงา...ทำให้เพลิดเพลิน...
มันเถียงพระ...มันนึกว่าพระโง่...
อาตมาถามย้ำอีกที...เผื่อมันจะเปลี่ยนใจ...
ตกลงว่า...ควันบุหรี่นี่มันดีไหมโยม...?
ดีครับ....
ดีแน่นะ...?
ดีแน่...
ถ้าควันบุหรี่มันดีจริงอย่างที่ว่า...
เวลาสูบแล้ว...เสือกพ่นออกมาทำไมหละ...?
ทำไมไม่เก็บไว้ในปอดให้หมด..?
มันโมโหพระหน้าแดง...
ขับรถออกจากวัดไปเลย...
สงสัยว่า...มันจะไปอดบุหรี่...
แต่ถ้ามันไม่ไปอดบุหรี่...พระคงอดข้าว...
เพราะมันคงไม่กลับมาทำบุญที่วัดนี้อีกแล้ว...
ขอโทษ...
พระเผลอ...เทศน์แรงไปหน่อย...

http://www.dhammathai.org/dhammastory/story12.php

*8q*
03-14-2009, 07:01 PM
http://fwmail.teenee.com/etc/img2/m132017.jpg

http://fwmail.teenee.com/etc/img2/m132018.jpg

http://fwmail.teenee.com/etc/img2/m132019.jpg

http://fwmail.teenee.com/etc/img2/m132020.jpg

http://fwmail.teenee.com/etc/img2/m132021.jpg

ขอบคุนเพื่อนอกาลิโกครับ
ภาพขำๆ
<!-- / message --><!-- sig -->