PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : พระโสณรัฏฐปาลเถระ



DAO
11-12-2008, 11:44 AM
พระโสณรัฏฐปาลเถระ

ชาติภูมิ

ท่านพระรัฏฐปาล เป็นบุตรของรัฏฐปาลเศรษฐี ผู้เป็นหัวหน้าในหมู่ชนชาวถุลลโกฏฐิตนิคม แคว้นกุรุ สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จจาริกไปในแคว้นกุรุพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ บรรลุถึงถุลลโกฏฐิตนิคม ได้ทราบว่า พระบรมศาสดาเสด็จมา จึงพากันมาเข้าไปเฝ้า บางพวกถวายบังคม บางพวกเป็นแต่พูดจาปราศรัย บางพวกเป็นแต่ประนมมือ บางพวกร้องประกาศชื่อและโคตรของตน บางพวกนิ่งอยู่ ทุกหมู่นั้นพากันนั่งอยู่ ณ ที่อันสมควรแห่งหนึ่ง พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้เกิดความเลื่อมใสแล้วทูลลากลับไป ส่วนรัฏฐปาละ ครั้นได้ฟังธรรมเทศนาแล้วเกิดความเลื่อมใสใคร่จะบวช พอพวกชาวนิคมนั้นกลับไปแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา ทูลขอบรรพชา ครั้นได้ทราบว่าพระบรมศาสดา ไม่ทรงบวชกุลบุตรที่มารดาบิดาไม่อนุญาต รัฏฐปาละก็พูดอ้อนวอนเป็นหลายครั้ง มารดาบิดาไม่ยอม รัฏฐปาละเสียใจลงนอนไม่ลุกขึ้น อดอาหารเสียไม่กิน คิดว่าจักตายในที่นี้ หรือจักบวชเท่านั้น มารดาบิดาปลอบให้ลุกขึ้นกินอาหาร รัฏฐปาละก็นิ่งเสีย มารดาบิดาจึงไปหาสหายรัฏฐปาละขอให้ช่วยห้ามปราม สหายเหล่านั้นก็ไปช่วยห้ามปราม เมื่อเห็นว่ารัฏฐปาละไม่ยอม จึงคิดว่า ถ้ารัฏฐปาละไม่บวชจักตายแล้ว หาเกิดคุณอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ ถ้ารัฏฐปาละได้บวช มารดาบิดาและเราจักได้เห็นรัฏฐปาละตามเวลาที่สมควร อนึ่ง เมื่อรัฏฐปาละบวชแล้ว หากเบื่อหน่ายในการประพฤติเช่นนั้นก็จักกลับมาที่นี้อีก ครั้นคิดอย่างนั้นแล้ว จึงเข้าไปหามารด บิดาของรัฏฐปาละ ชี้แจงเหตุผลให้ฟัง มารดาบิดาของรัฏฐปาละเห็นด้วยแล้ว ก็ยอมตาม แต่ว่าบวชแล้วขอให้กลับมาเยี่ยมบ้าง สหายเหล่านั้นก็กลับไปบอกความนั้นแก่รัฏฐปาละ ๆ ทราบว่ามารดาบิดาอนุญาตแล้ว ดีใจลุกขึ้นเช็ดตัว แล้วอยู่บริโภคอาหารพอร่างกายมีกำลังไม่กี่วันแล้ว ไปเฝ้าพระบรมศาสดา ทูลว่าบิดามารดาอนุญาตแล้ว พระองค์ก็โปรดให้บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ครั้นพระรัฏฐปาละบวชแล้วไม่นาน ประมาณกึ่งเดือน พระบรมศาสดาเสด็จจากถุลลโกฏฐิตนิคม ไปประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถี ส่วนพระรัฏฐปาละตามเสด็จไปด้วย ท่านตั้งอยู่ในความไม่ประมาท บำเพ็ญสมณธรรมเจริญวิปัสสนา ได้สำเร็จพระอรหัตผลถึงที่สุดของพรหมจรรย์แล้ว ถวายบังคมลาออกจากสาวัตถี เที่ยวจาริกไปถึงถุลลโกฏฐิตนิคม พักอยู่ที่มิคจิรวัน พระราชอุทยานของพระเจ้าโกรัพยะ ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินกุรุ ในเวลาเช้าท่านเข้าไปบิณฑบาตในนิคมนั้น จนถึงที่ใกล้เรือนของท่าน นางทาสีเห็นท่านแล้วก็จำได้ จึงบอกเนื้อความนั้นให้แก่มารดาบิดาของท่านทราบ มารดาบิดาของท่านจึงได้นิมนต์ท่านไปฉันในเรือนในวันรุ่งขึ้น แล้วอ้อนวอนให้ท่านกลับมาครอบครองสมบัติอีก ก็ไม่สมประสงค์ เมื่อท่านรัฏฐปาละฉันเสร็จแล้วก็กล่าวคาถาอนุโมทนา พอเป็นทางให้เกิดสังเวชในร่างกายแล้วจึงกลับมิคจิรวันฯ



ธรรมุทเทศ

ส่วนพระเจ้าโกรัพยะเสด็จไปประพาสพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นรัฏฐปาละ ทรงจำได้ เพราะทรงรู้จักแต่เดิมมา เสด็จเข้าไปใกล้ ตรัสปราศรัยและประทับ ณ ราชอาสน์ ตรัสถามว่า รัฏฐปาละผู้เจริญ ความเสื่อมมีกี่อย่าง ที่คนบางจำพวกต้องประสบเข้าแล้วจึงออกบวช คือ แก่ชรา, เจ็บ, สิ้นโภคทรัพย์, สิ้นญาติ ความเสื่อมสี่อย่างนี้ไม่มีแก่ท่าน ท่านรู้เห็นหรือได้ฟังอย่างไรจึงได้ออกบวช ท่านทูลว่า มหาบพิตร มีอยู่ ธรรมุทเทศ (ธรรมที่แสดงขึ้นเป็นหัวข้อสี่ข้อ) ที่พระบรมศาสดาซึ่งเป็นผู้รู้เห็น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงแสดงขึ้นแล้วจึงออกบวช ธรรมุทเทศสี่ข้อนั้นคือ



ข้อที่หนึ่งว่า โลกคือหมู่สัตว์ อันชราเป็นตัวนำเข้าไปใกล้ความตาย ไม่ยั่งยืนฯ

ข้อที่สองว่า โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตนฯ

ข้อที่สามว่า โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไปฯ

ข้อที่สี่ว่า โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหาฯ



เอตทัคคะ

ครั้นท่านพระรัฏฐปาละทูลเหตุที่ตนออกบวชแก่พระเจ้าโกรัพยะอย่างนี้แล้ว พระมหากษัตริย์ก็ทรงเลื่อมใส ตรัสอนุโมทนาธรรมีกถาแล้วเสด็จกลับไป ส่วนท่านพระรัฏฐปาละ เมื่อพำนักอาศัยอยู่ในนิคมนั้นพอสมควรแล้ว ก็กลับมาอยู่ในสำนักของพระบรมศาสดา อาศัยคุณที่ท่านเป็นผู้บวชด้วยศรัทธามาแต่เดิม และกว่าจะบวชได้ก็แสนยากลำบากนัก พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องว่า เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้บวชด้วยศรัทธา ท่านพระรัฏฐปาละดำรงเบญจขันธ์อยู่โดยสมควรแก่กาล แล้วก็ดับขันธ์ปรินิพพานฯ




ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.geocities.com/piyainta/ab46.htm