เข้าสู่ระบบ

แสดงเวอร์ชันเต็ม : นางอุตตรานันทมารดา เอตทัคคะในฝ่ายผู้เพ่งด้วยฌาน



DAO
11-13-2008, 09:12 AM
นางอุตตรานันทมารดา
เอตทัคคะในฝ่ายผู้เพ่งด้วยฌาน

นางอุตตรา เกิดเป็นลูกสาวของนายปุณณะ ซึ่งเป็นคนรับใช้อยู่ในเรือนของสุมมเศรษฐี
ในกรุงราชคฤห์ เขาเป็นคนขยันในการทำงาน แม้ในวันเทศกาล งานนักขัตฤกษ์ พวกทาสและ
กรรมกรอื่น ๆ พากันหยุดงานเพื่อฉลองนักขัตฤกษ์กัน แต่นายปุณณะก็ยังคงไปทำการไถนาตาม
หน้าที่ของตนตามปกติ
ขณะที่เขากำลังไถนาอยู่นั้น พระสารีบุตรเถระเมื่อจากออกจากนิโรธสมาบัติแล้วได้ถือ
บาตรเที่ยวเดินภิกขาจารผ่านมายังทุ่งนาที่นายปุณณะกำลังไถอยู่นั้น นายปุณณะพอเห็นพระเถระ
ก็หยุดไถแล้วเข้าไปกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วถวายน้ำบ้วนปากและไม้สีฟัน พระเถระทำ
กิจสีฟันและบ้วนปากแล้วเดินภิกขาจารต่อไป นายปุณณะคิดว่า “เหตุที่พระเถระมาทางนี้ในวัน
นี้ก็คงจะมาสงเคราะห์เรา ถ้าภริยาของเราได้พบพระเถระแล้ว ขอให้นางได้อาหารที่นำมาให้เรา
ลงในบาตรของพระเถระด้วยเถิด”
ส่วนภริยาของเขาเมื่อนำอาหารไปส่งให้เขาที่นาในระหว่างทางได้พบพระเถระจึงคิดว่า
“วันอื่น ๆ เราพบพระเถระแต่ไทยธรรมของเราไม่มี ส่วนในวันที่มีไทยธรรมก็ไม่ได้พบพระเถระ
แต่วันนี้ทั้งสองอย่างของเรามีพร้อมแล้ว เราควรถวายอาหารที่เตรียมไปให้สามี แก่พระเถระก่อน
แล้วจึงกลับไปทำมาใหม่” เมื่อนางคิดดังนี้แล้วก็ใส่โภชนาหารลงในบาตรของพรเถระแล้วกล่าว
ว่า “ด้วยอานิสงส์แห่งทานนี้ ขอให้ชีวิตขอดิฉันพ้นจากความยากจนด้วยเถิด” พระเถระกล่าว
อนุโมทนาให้ความปรารถนาของนางสำเร็จตามที่ต้องการแล้วก็กลับไปสู่วิหาร
เมื่อนางได้ถวายอาหารแก่พระเถระแล้ว ก็รีบกลับบ้านเพื่อจัดหาอาหารมาให้สามีของ
ตน ฝ่ายนายปุณณะไถนาเรื่อยไปจนเวลาสาย ภริยาก็ยังไม่นำอาหารมาส่งเช่นทุกวัน รู้สึกหิวเป็น
กำลังจึงหยุดไถแล้วนอนพักที่ใต้ร่มไม้ เมื่อภริยามาถึงนา ก็เกรงว่าสามีจะโกรธที่มาช้า จึงรีบพูด
กับสามีขึ้นก่อนว่า “ท่านอย่าเพิ่งโกรธ ขอให้ฟังดิฉันก่อน” แล้วนางก็เล่าเหตุที่มาช้าให้สามีฟัง
โดยตลอด นายปุณณะกล่าวว่า “เธอทำดีแล้ว แม้ฉันเองก็ได้ถวายน้ำบ้วนปากและไม้สีฟันแก่
พระเถระเหมือนกัน วันนี้นับว่าเป็นบุญของเราเหลือเกิน” ทั้งสองสามีภรรยานั้นต่างก็ปีติอิ่มเอิบ
ในการกระทำของตน
ขี้ไถกลายเป็นทอง
นายปุณณะ กินอาหารเสร็จแล้วก็นอนหนุนตักภริยาแล้วก็หลับไปครู่หนึ่ง พอตื่นขึ้นมา
มองไปที่ทุ่งนา เห็นก้อนดินที่ตนไถมีสีเหมือนทองคำเต็มทั่วท้องนา จึงบอกให้ภริยาดูด้วย ภริยา
เมื่อมองดูก็เห็นมีแต่ก้อนดินจึงพูดขึ้นว่า “ท่านคงจะเหน็ดเหนื่อย และหิวจนตาลาย” แต่เมื่อเขา
ลุกไปหยิบมาให้ภริยาดู ต่างก็เห็นเป็นทองเหมือนกัน
สองสามีภรรยาเก็บทองใส่ถาดจนเต็มแล้ว นำไปถวายพระราชาพร้อมทั้งกราบทูลให้ส่ง
คนไปขนทองคำ ที่ทุ่งนาของตนนั้นมาเก็บไว้ในท้องพระคลังพระราชาสั่งราชบุรุษพร้อมเกวียน
ไปบรรทุกทองคำตามที่นายปุณณะ กราบทูลราชบุรุษทั้งหลาย ในขณะที่กำลังขนทองคำใส่
เกวียนนั้นพากันพูดว่า “บุญของพระราชา” ทันใดนั้นทองคำก็กลายเป็นดินขี้ไถเหมือนเดิม
พวกราชบุรุษจึงกลับไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระราชารับสั่งว่า “พวกท่านจงไปขนมาใหม่
พร้อมกับจงพูดว่า บุญของนายปุณณะ” พวกราชบุรุษทำตามรับสั่ง ก็ปรากฏว่าได้ทองคำมา
หลายเล่มเกวียน นำมากองที่หน้าพระลานหลวง พระราชารับสั่งถามว่า ในพระนครนี้ ใครมี
ทรัพย์มากเท่านี้บ้าง เมื่อได้สดับว่าไม่มี จึงพระราชทานตำแหน่งเศรษฐีแก่นายปุณณะได้นามว่า
“ธนเศรษฐี” พร้อมทั้งมอบทองคำทั้งหมดให้แก่นายปุณณะด้วย
นายปุณณะเศรษฐี เมื่อทำการมงคลฉลองตำแหน่งเศรษฐี ได้กราบอาราธนาพระบรม
ศาสดาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์มาเสวยและฉันภัตตาหารที่บ้านเป็นเวลา ๗ วัน พระบรมศาสดา
ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนาทาน นายปุณณเศรษฐีพร้อมด้วยภริยาและธิดาได้บรรลุ
โสดาปัตตผล

นางอุตตราถูกน้ำมันเดือดราดศรีษะ
ในกาลต่อมา ราชคหเศรษฐี ได้ส่งคนไปสู่ขอนางอุตตราธิดาของนายปุณณะ เพื่อทำอา
วาหมงคลกับบุตรของตน เมื่อนายปุณณะ ไม่ขัดข้องจึงได้จัดพิธีอาวาหมงคลเป็นที่เรียบร้อยนาง
ได้มาอยู่ในตระกูลของสามีเมื่อถึงฤดูกาลเข้าพรรษานางกล่าวกับสามีว่า ปกตินางจะอธิษฐานองค์
อุโบสถเดือนละ ๘ วัน ขอให้สามีอนุญาตให้นางด้วย แต่สามีไม่อนุญาต นางจึงส่งข่าวไปถึงบิดา
มารดาว่า นางถูกส่งตัวให้ไปอยู่ในที่คุมขัง ไม่สามารถจะอธิษฐานองค์อุโบสถแม้สักวันเดียว ขอ
ให้บิดามารดาช่วยส่งทรัพย์ไปให้นางจำนวน ๑๕,๐๐๐ กหาปณะด้วยเถิด
เมื่อนางได้ทรัพย์ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว ก็ได้ไปหานางสิริมา ซึ่งเป็นหญิงโสเภณี
ประจำนครนั้น ได้เจรจาติดตามขอให้ช่วยเป็นตัวแทนในการบำรุงบำเรอสามีของนางเองเป็น
เวลา ๑๕ วัน แล้วมอบทรัพย์ให้นาง ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ นางสิริมาก็ตกลงยอมรับ และสามีของ
นางก็พอใจอนุญาตให้นางอธิษฐานองค์อุโบสถได้ตามความปรารถนา
เมื่อสามีอนุญาตแล้ว นางอุตตราจึงได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาและพระภิกษุ
สงฆ์ เพื่อเสวยและฉันภัตตาหารที่บ้านของตน เป็นเวลา ๑๕ วัน นางพร้อมด้วยทาสีผู้เป็นบริวาร
ช่วยกันจัดของเคี้ยวของฉันอันควรแก่สมณบริโภคน้อมนำเข้าไปถวายพระบรมศาสดาพร้อมด้วย
พระภิกษุสงฆ์ อธิษฐานองค์อุโบสถ ครบกำหนดกึ่งเดือนโดยทำนองนี้
ในวันสุดท้ายของการรักษาอุโบสถ ขณะที่นางอัตตรากำลังขวนขวายจัดแจงภัตตาหาร
อยู่นั้น สามีของนางกับนางสิริมายืนดูอยู่ที่หน้าต่างบนปราสาทพลางคิดว่า “นางอัตตราหญิงโง่
คนนี้ คงจะเกิดมาจากสัตว์นรก ชอบทำการงานสกปรกเหมือนทาสีทั้งหลาย ทรัพย์สมบัติก็มีอยู่
มากมายแต่กลับไม่ยินดี นางทำอย่างนี้ไม่สมควรเลย” คิดดังนี้แล้วก็แสดงอาการยิ้มแย้มเป็นเชิง
เยาะเย้ย
ส่วนนางอุตตราผู้เป็นภริยาก็คิดว่า “บุตรเศรษฐีผู้เป็นสามีของเรานี้ มีปกติประมาท โง่
เขลา สำคัญว่าทรัพย์สมบัติของตนเหล่านี้เป็นของยั่งยืนถาวรตลอดไป” แล้วนางก็แสดงอาการ
แย้มยิ้มบ้าง
นางสิริมา ซึ่งยืนอยู่กับบุตรเศรษฐีนั้น เห็นสองสามีภรรยายิ้มแย้มด้วยกันดังนั้นก็โกรธ
จึงรีบลงมาจากปราสาทเพื่อจะทำร้ายนางอุตตรา แม้นางอุตตราเห็นกิริยาอาการของนางสิริมานั้น
แล้วก็ทราบดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางจึงเข้าฌานทั้ง ๆ ที่กำลังยืนอยู่ เจริญเมตตาจิตเป็นอารมณ์ แผ่
เมตตาไปยังนางสิริมานั้น
นางสิริมา ได้จับกระบวยตักน้ำมันที่กำลังเดือดอยู่ในกระทะแล้ว เทราดลงบนศีรษะของ
นางอุตรา ที่กำลังเข้าฌานและแผ่เมตตาจิตอยู่ ด้วยอำนาจแห่งเมตตาฌานบันดาลให้น้ำมันที่กำลัง
ร้อนจัดนั้นได้ปราศจากความร้อน และไหลตกไปประหนึ่งน้ำตกจากใบบัว นางสิริมาเห็นเช่น
นั้น จึงตกใจกลับได้สติสำนึกตัวว่าเป็นผู้มาอยู่เพียงชั่วคราว จึงกราบลงแทบเท้านางอุตตรา
วิงวอนขอให้ยกโทษให้แต่นางอุตตรากล่าวว่า “ฉันจะยกโทษให้ ก็ต่อเมื่อบิดาของฉันคือพระ
บรมศาสดายกโทษให้เธอก่อนเท่านั้น”
เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาพร้อมภิกษุสงฆ์ ประทับบนพุทธอาสน์เพื่อเสวยภัตตาหาร
ณ ที่บ้านนของนางอุตตราในเช้าวันนั้น นางสิริมาได้กราบทูลกิริยาที่ตนกระทำต่อนางอุตตราให้
ทรงทราบโดยตลอดแล้ว กราบทูลขอให้ทรงยกโทษให้ เมื่อพระบรมศาสดาทรงยกโทษให้แล้วก็
เข้าไปหานางอุตราให้ยกโทษให้อีกครั้งหนึ่ง
พระบรมศาสดาเมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนา ตรัสพระคาถา
ภาษิตว่า:-
พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ
พึงชนะคนไม่มีด้วยความดี
พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเท็จด้วยคำจริง ฯ
เมื่อจบพระธรรมเทศนา นางสิริมาได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แสดงตนเป็นอุบาสิกาให้
ทานรักษาศีลและฟังธรรมตามกาลเวลา พระบรมศาสดาอาศัยเหตุที่นางอุตตราเป็นผู้เชี่ยวชาญใน
การเข้าฌาน จึงประกาศยกย่องให้นางเป็นเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้
เพ่งด้วยฌาน หรือผู้เข้าฌาน



ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.84000.org/one/4/05.html

Butsaya
04-19-2012, 01:24 PM
เอตทัคคะ หมวดอุบาสิกา - นางอุตตรานันทมารดา
เอตทัคคะในฝ่ายผู้เพ่งด้วยฌาน


http://youtu.be/RbddZeEy-pI

ให้เสียงโดย : พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร

ขออนุโมทนาสาธุกับทุกท่านที่เข้ามารับชมรับฟังแล้วเกิดกุศลจิตทุกท่านค่ะ
ขอขอบคุณที่มาของการอัปโหลด :: โดย hiphoplanla