PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : ยกมือเข้า เอามือออก หลวงพ่อเทียน



*8q*
11-13-2008, 03:00 PM
แรกเริ่มหลวงพ่อมีเหตุจูงใจอะไรที่ทำให้เดินเข้าสู่หนทางแห่งพุทธธรรม

หลวงพ่อเป็นเณรตั้งแต่อายุ 11 ปีกว่า ถึงไปบวช คือ ญาติๆ กันท่านไม่มีเณรใช้
เลยเอาไปบวชเป็นเณรใช้ พอดีบวชตอนนั้น ธรรมดาวัดนี้ไม่มีโรงเรียน หลวงพ่อเขียนหนังสือไม่เป็น
อ่านไม่ได้ ไปเรียนตัวธรรมกับตัวลาว เคยรู้ไหมตัวลาว หนังสือเมืองลาว ไทยน้อยน่ะ
เขาเรียกว่าไทยน้อย หลวงพ่อได้เรียนอันนั้น พอเรียนอันนั้นแล้วก็ฝึกกรรมฐาน วิธี "พุทโธ"
หายใจเข้า "พุท" หายใจออก "โธ" เรียกว่า เอาพระพุทธเจ้ามาไว้กับจิตกับใจเรา

ในระยะนั้น หลวงพ่อให้ฝึกหลายวิธี เพราะท่านเป็นพระกรรมฐาน ก็ฝึกสัมมาอะระหัง
หายใจเข้า หายใจออก จากนั้นก็มีอาจารย์มาอีกองค์หนึ่งเป็นเพื่อนๆ ของท่านนั่นเอง
แนะนำให้ฝึกหัดวิธีนับ 1, 2, 3 หายใจเข้า 1 หายใจออก 2 หายใจเข้า 3 หายใจออก 4
นับ 1, 2, 3 ถึง 10 แล้วก็นับจาก 10 ลงมาถึง 1 หัดนับย่อ แล้วก็นับขึ้นไปถึง 20 ให้ผูกกับลมหายใจ
นับจาก 20 ลงมาถึง 1 ท่านว่าขลังอีกซะด้วย อันนี้เราไม่รู้ ก็ต้องทำแหละ
บวชเป็นเณรระยะปี 6 เดือน 2 พรรษาที่ฝึกกรรมฐานจากท่านก็เลยออกมาเป็นหนุ่ม
ช่วงเป็นหนุ่มท่านก็พยายามให้ฝึกหัดฟังเทศน์ ครูบาอาจารย์แต่ละองค์มาเทศน์ต้องไปฟัง
หรือใครพูดที่ไหนก็ต้องไปฟังท่านสอน ให้ทำอยู่อย่างนั้นแหละ ก็ไม่รู้ ก็รู้แต่ที่ว่าตามแบบ
ต่อมาอายุ 20 ปี หลวงพ่อก็ไปบวชเป็นพระหนุ่มตามธรรมดา 16 เดือน ก็ทำตามที่ครูบาอาจารย์สอน
สึกออกมามีครอบครัวก็ทำอยู่เรื่อยๆ มา หลวงพ่อมาที่อุดร มาเที่ยวที่อุดร
ก็เลยมีพระองค์หนึ่งได้วิธีพองยุบขึ้นไป ท่านก็สอนวิธีพองยุบให้ หลวงพ่อก็ทำอยู่ในระยะนั้นในเกณฑ์ 8 ปีได้
ทำวิธีพองยุบ แล้วก็ทำอานาปานสติ อานาปาฯ ทั้งหมดแหละ ถ้าพูด พุทโธ ก็เป็นอานาปาฯ
สัมมาอะระหัง ก็เป็นอานาปาฯ นับ 1, 2, 3 ก็เป็นอานาปาฯ พองยุบ ก็เป็นอานาปาฯ ทั้งนั้น
หลวงพ่อเข้าใจอย่างนี้ แต่โดยหลักพุทธศาสนา แต่ไม่รู้ว่าทางไหนไปที่ไหน หลวงพ่อไม่รู้

ต่อมา หลวงพ่อเป็นคนชอบทำบุญ ทำบุญประจำทุกปี บ้านหลวงพ่อบุญเรื่องชาดกเวสสันดร บุญประจำปี
เดือน 5 เดือน 6 บุญเข้าพรรษา ออกพรรษา บุญต่างๆ หลวงพ่อทำมาบ่อย เข้าใจแต่ทำบุญเท่านั้น
ไม่รู้ว่าบุญคืออะไรก็ไม่รู้ อยู่ที่ไหนใกล้ไกลยังไงก็ไม่รู้ หลวงพ่อไม่รู้จริงๆ แต่ทำได้ เพราะทำตามเพื่อนๆ
พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ครูบาอาจารย์สอนยังไง ก็ต้องทำเพราะเราไม่รู้ และอยากจะเป็นคนดี ไม่อยากจะเป็นคนเลว

ต่อมาเมื่ออายุในเกณฑ์ 46 ปี หลวงพ่อมีความคิดอยากทดลอง ธรรมนี้เป็นอย่างไร
หลวงพ่อทำมานานแล้ว แต่มันไม่รู้ อย่างว่าแหละถึงอายุ 46 ปี ก็เลยตัดสินใจจะทำ
จะออกนอกบ้านจากบ้านเราไป ไปหาที่ปฏิบัติธรรมะ มาที่จังหวัดหนองคาย มาพบเพื่อนๆ
ก็เลยมีพระองค์หนึ่ง ท่านเป็นปลัดอำเภอ ชื่อหลวงพ่อวันทอง ท่านเกษียณแล้วเลยบวช
ไปสอนวิธีพองยุบอีกแล้ว นึกว่าจะแปลก แต่ไปๆ มาๆ มันไม่แปลก ก็เหมือนเดิม

ต่อมา หลวงพ่อก็เลยเคลื่อนไหวในตัวนี่แหละ เคลื่อนไหวไปมา กำหนดให้มีความรู้สึกตัวมากเข้า
แต่ขอกรรมฐานท่าน วัน 8 ค่ำ วัน 9 ค่ำ ก็มาทำแบบที่ท่านสอน ไม่ใช่ทำอย่างนั้นหรอก
ทำวัน 8 ค่ำ ถ้าจะได้กรรมฐานก็ต้องทำเต็มที่แหละ ทำไปทำมา มันก็ขี้เกียจ วัน 9 ค่ำ ก็ต้องทำ
วัน 10 ค่ำ หลวงพ่อก็เกิดเข้าใจ เข้าใจธรรมะโดยที่ไม่เคยนึกฝันว่าจะเป็นอย่างนั้น
เกิดความเข้าใจ เรื่องรูป เรื่องนาม รูปธรรม นามธรรม รูปโรค นามโรค นี้มี 2 อย่าง
โรคทางเนื้อหนังต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล โรคทางใจต้องเจริญสติ
ให้รู้สึกสำนึกจิตใจนึกคิดมันเข้าใจไปอย่างนั้น เกิดรู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้รู้จริง
แต่ก่อนหลวงพ่อรู้ แต่ไม่รู้อย่างนี้ ผมหงอก ฟันหัก เนื้อหนังมันแห้งไปเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
นานๆ เป็นทุกข์ เมื่อมารู้คราวนี้ มันไม่เป็นอย่างนี้ อันนั้นมันเป็นทุกขเวทนา
ทุกข์ประเภทนั้นมันแก้ไม่ได้ ตัวอนิจจัง ตัวทุกขังนั้น ตัวอิริยาบถ ตัวทุกอิริยาบถนี่เลย
หลวงพ่อเข้าใจอย่างนั้น เคลื่อนไหว เหยียดกาย เหยียดหัว กระพริบตา หายใจ ก้มเงย
กลืนน้ำลายเป็นทุกข์ทั้งนั้น มันนึกมันคิดเป็นทุกข์ทั้งนั้น ติดอยู่กับตัวรูปนี้เอง หลวงพ่อเข้าใจอย่างนั้น
แปลกขึ้นมา พอดีเข้าใจอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หลวงพ่อเกิดรู้สมมุติขึ้นมา สมมุติอะไรรู้ให้ครบ รู้ให้จบ
รู้ให้ถ้วน บวชแล้วสึก สึกแล้วบวช อันนี้มันเป็นสมมุติสงฆ์ มันไม่ใช่สงฆ์โดยปรมัตถ์ สมมุติเข้าใจอย่างนั้น

เมื่อรู้อันนี้ก็เลยรู้ผี เทวดาขึ้นมา ผีคือเป็นอย่างนั้น เทวดาก็ต้องเป็นอย่างนั้น หนูเคยเห็นผีไหม
คนไม่มีตาทิพย์ไม่เห็น เคยเห็นเทวดาบ้างไหม เราไม่มีตาทิพย์ หลวงพ่อเกิดเผอิญมีความจริงใจขึ้นมา
ผีคือคนทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว ก็คือผี นางนี้คือผี โอ้ ! ตัวผีคือไม่ใช่ตัวคน เป็นตัวลักษณะประเภทของจิตใจนึกคิด
ตัวนั้นเป็นผี เทวดาคือ คนนี้สวยงามเป็นเทวดา เคยได้ยินบ้างไหม คนใดอยู่ดีกินดี ไม่โกหก ไม่หลอกลวง
ก็เอะ ! คนเฒ่า คนแก่ คนนี้คือพระธรรมก็เข้าใจเป็นอย่างนั้น โอ้ ! ตัวพระธรรมจริงๆ คือตัวคนนั่นเอง
หลวงพ่อก็เข้าใจ เรื่องสมมุตินี้ให้ว่าทุกอย่างที่สมมุติขึ้นในโลก หลวงพ่อเข้าใจโดยไม่เก้อเขิน
ใครจะพูดอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา เราจะศึกษาให้รู้ก็ต้องเข้าใจอย่างนั้น

พอรู้เรื่องสมมุติแล้วก็เลยรู้เรื่องศาสนาขึ้นมา ศาสนาแปลว่า คำสั่งสอนของท่านผู้รู้ ใครจะรู้เรื่องอะไร
ก็ต้องนำเรื่องนั้นมาสอน พุทธศาสนาแปลว่าที่พึ่ง หรือศาสนาก็แปลว่า ที่พึ่ง พึ่งได้จริงๆ บางคนก็พึ่งผี
บางคนก็พึ่งเทวดา บางคนก็พึ่งฤกษ์งามยามดี เสียเคราะห์ สะเดาะโศกเป็นอย่างนั้น คนเราเป็นอย่างนั้น
พึ่งไปอย่างนั้น หลวงพ่อแต่ก่อน หลวงพ่อก็กลัวผี เรียนมนต์ หลวงพ่อเรียนมนต์กันผี แล้วก็เรียนมนต์คงมีด
คงพร้า คงปืน หลวงพ่อเรียนเพราะว่าหลวงพ่อเป็นคนเที่ยวๆ อยู่บ้าง หลวงพ่อยังคงจำได้อยู่นะ บางคำนะ

ตัวมนต์เหล่านั้นเป็นเรื่องสมมุติ สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจ ให้เขาพึ่งอย่างนั้นไปก่อน
เมื่อเรารู้ดีก็ไม่ต้องไปพึ่งอย่างอื่น พึ่งตัวเรา "ตนเป็นที่พึ่งของตน" โอ้ ! มันพึ่งตัวเองจริงๆ เพราะการทำดี
โอ้ ! หลวงพ่อก็เลยเข้าใจหลักพุทธศาสนา ศาสนาก็คือตัวคน ไม่ได้พูดถึงวัดวาอาราม พระพุทธรูป
อันนั้นก็ศาสนาเหมือนกัน อันนั้นเป็นเพียงศาสนาสมมุติขึ้นมา อันนั้นก็จริง จริงโดยสมมุติ ศาสนาจึงคือคน
ตัวทุกคนแหละคือศาสนา ถ้าเราไปด่าคนไปโกรธคน ก็เท่ากับเราไปโกรธศาสนา แล้วเราก็ไม่มีศาสนาแล้ว
เราอย่าไปโกรธคนนั้นคนนี้ เราไม่รู้ศาสนาแล้ว คล้ายว่าไปทำร้ายคน ว่าด้วยการกระทำก็ดี
คำพูดก็ดี เรียกว่าทำลายศาสนาทั้งนั้น หลวงพ่อเข้าใจอย่างนั้น ศาสนาจึงคือตัวคนทุกคน

ศาสนาแปลว่าคำสอน สอนที่ไหน ตามองดูว่าเขาทำดี หรือทำชั่วก็ต้องรู้ หูมีหน้าที่ฟัง
คนใดพูดธรรมะ คนใดพูดที่ไม่เป็นธรรมะ คนใดพูดธรรมลึกๆ หรือตื้นๆ ต้องรู้ หรือเข้าใจอย่างนั้น
อ้อ ! ผู้หญิงก็เป็นศาสนา ผู้ชายก็เป็นศาสนา คนไทย คนจีน ให้ชื่อว่าคนก็เป็นศาสนาทั้งนั้น
เขาจะถือศาสนาคริสต์ อิสลาม หรือว่าศาสนาใดก็ตาม หลวงพ่อก็เลยเกิดรับรองว่า
ทุกคนต้องรู้คำสอนเรื่องพุทธศาสนา รู้จักศาสนาดีแล้ว รู้จักบาปขึ้นมา รู้จักบุญขึ้นมา
บาปคืออะไร บาปคือคนไม่รู้ บาปคือยังโง่หลงอยู่นั่นเอง บาปคืออยู่ที่มืด
ยังไม่มีความสว่างในใจก็เป็นบาปทั้งนั้น บุญคืออะไร บุญคือเรารู้ บุญคือเราแจ้ง
บุญคือเราฉลาด บุญคือเราไม่โง่นั่นเอง เรารู้เท่าทันเหตุการณ์นั่นเอง

ตอนเช้าหลวงพ่อรู้ ประมาณตี 5 จากนั้นหลวงพ่อเกิดความรู้แปลกขึ้นมา อันนี้หลวงพ่อลืมตัวไป
ก็เลยคิดว่าจะไปสอนคนนั้นอย่างนั้น ไปสอนผี สอนเทวดา เข้าใจไปอย่างนั้น ตอนนั้นหลวงพ่อไม่รู้
ไม่รู้ว่าหลวงพ่อเป็นอะไร ก็ภูมิใจในความรู้อันนั้น ตกเย็นไปอาบน้ำมา หลวงพ่อก็นุ่งกางเกง
คล้ายๆ คือ มีคนมาผลักตรงข้างๆ หลวงพ่อ มองคนก็ไม่เห็น เอ๊ะ ! มันเป็นอะไร
คิดขึ้นมาครั้งที่ 2 หลวงพ่อรู้ โอ้ ! มันคิดแล้ว คิดเป็นครั้งที่ 3 หลวงพ่อรู้ โอ้ ! ความคิดมันเป็นอย่างนี้
พอมันคิดปุ๊บ มันดึงเราไปเลย เราไม่มีที่กำหนดรู้ เราไปเพลินกับความรู้ หลวงพ่อก็สมมุติเอานะ
ทำเหมือนแมวกับหนู หนูมันตัวโต แมวมันตัวเล็ก พอดีหนูออกมา แมวมันตัวเล็กจับหนู
พอหนูวิ่งแมวตัวเล็กก็ติดหนูไป มันเอาชนะแรงหนูไม่ได้ ความคิดเหมือนกัน ตัวสติมันพอดีตัวความคิด
คิดไปตัวนี้ก็เข้าไป บัดนี้เราต้องสมมุตินะ ไม่ต้องไปโกรธหนู ไม่ต้องไปโกรธแมว แต่ให้อาหารแมวมากๆ
ให้อาหารแมวก็ต้องทำความรู้สึก ถ้าพูดทางธรรมะ ก็เรียกว่าสติ สร้างสติให้มาก
ถ้าพูดตามภาษาของหลวงพ่อก็ต้องให้มีความรู้สึกมาก ความไม่รู้สึกนั้นก็จะหายไป
พอคิดปุ๊บ มันมีความรู้สึกอย่างนี้มาก มันก็มีความคิดเห็น โอ้ ! มันคิดได้นั่น ทิ้งไปเลย
มาอยู่กับความรู้สึก ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้เรามีสติกำหนดรู้ในอิริยาบถทั้ง 4 ยืน เดิน นั่ง นอน
อ้อ ! อันนี้เอง ไม่ใช่สติอันนั้น อันนี้มันเป็นความรู้สึกนี้เอง ตัวสติเท่านั้นก็ยังไม่พอ
ให้มีสติกำหนดรู้ในอิริยาบถย่อย คู้ เหยียด เคลื่อนไหว โดยวิธีให้มีสติรู้ ตัวครูบาสอนอย่างนั้น แล้วก็จำได้
แต่ว่าไม่รู้ทำ พอดีท่านสอนความเคลื่อนไหว พอคิดปุ๊บ บางทีมันผิด มันก็จูงความคิดไป ทำความรู้สึก
ความคิดมันก็หยุดมาหาความรู้สึกตัว อ้อ ! เข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านสอน ทุกข์ย่อมกำหนดรู้
มากำหนดตัวทุกข์ตัวนั้นเอง ตัวทุกข์ตัวนั้นมันกำหนดไม่ได้ ก็เข้าไปในความคิดเลย หลวงพ่อเข้าใจอย่างนั้น
ใครจะพูดยังไงหลวงพ่อก็ว่าดีของเขา ไม่ใช่ดีของเรา เรารู้เรื่องนี้ก็ต้องเอาอันนี้ไปจับ ไปจับเป็นทางวิธีปฏิบัติ
ที่เราทำนี่ไม่ต้องขึ้นกับเงื่อนไขที่ไหน เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็สอนไว้แล้วในหนังสือกาลามสูตร
อย่าเชื่อถือโดยเขาเล่าลือกันมา อย่าเชื่อถือโดยเขาพูดตามกันมา อย่าเชื่อถือโดยเห็นว่ามีในตำรา
อย่าเชื่อถือโดยเห็นว่าเขาทำกันอย่างนั้น แม้ที่สุด 10 ข้อนะ ที่หลวงพ่อเคยเขียนเอาไว้
ไม่ให้เชื่อถือทางครูบาอาจารย์ อึ้ม ! มันจริง ไม่ต้องเชื่อใครทั้งหมด เชื่อเพราะเรารู้
เชื่อเพราะการกระทำของเรา เข้าใจไหม ตัวทุกข์กำหนดรู้ สมุทัยต้องละ ตัวสมุทัยก็ตัวคิดนี่เอง
มันละไม่ได้ พอดีมันมากำหนดทางนี้ปุ๊บ มันวาง มันเลยมาหยุดที่ความรู้สึกนี่ มรรคต้องเจริญทำบ่อยๆ
ทำความรู้สึกอันนี้บ่อยๆ อันนี้ขัดจังหวะประเดี๋ยวคิดปั๊บ เราก็เห็น ไม่ใช่ตาเห็น ใจมันเห็น
คิดมันอยู่ที่ตรงนี้ ทำอย่างนี้ นี่เราทุกข์ต้องรู้ สมุทัยต้องละ มรรคต้องเจริญ นิโรธธรรมต้องทำให้แจ้งด้วยรู้

ตอนเย็นนั้น น้ำหนักหลวงพ่อประมาณ 100 กิโล หลวงพ่อเขียนเอาไว้นะ หลวงพ่อเดินไปเดินมา
มันมีต้นข่อย ต้นพุทรา เดินไปคล้ายๆ คือหลวงพ่อมีของหนักๆ ในตัวหลวงพ่อ 100 กิโล
หลวงพ่อสลัดทิ้งไป 60 กิโลอย่างน้อยที่สุด เราเกิดมาในชีวิตนี้ ทำพุทโธ อะระหัง พองยุบ รักษาศีลอุโบสถ
ทำอะไรมันไม่เป็นอย่างนี้ เรื่องวัตถุ วัตถุ หมายถึงทุกอย่างเลย ต้นไม้ ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง
ดิน ฟ้า อากาศ เป็นวัตถุทั้งนั้น วัตถุอีกชนิดหนึ่ง เงินทอง เสื้อผ้า เป็นวัตถุ
วัตถุอีกชนิดหนึ่งนี่คือตัวเราเป็นวัตถุ อันนี้เป็นวัตถุ วัตถุในที่นี่คือใจ วัตถุมันมากที่สุด
ปรมัตถ์หมายถึงสิ่งที่มองเห็น กำลังเผชิญหน้า เป็นภายนอกภายในวัตถุเหมือนกัน
ปรมัตถ์หมายถึงของจริงๆ ไหม พูดถึงจิตใจทีเดียว อ๋อ ! จิตใจเป็นปรมัตถ์ ก็เลยดูอาการ
อ๋อ ! สภาพความเปลี่ยนแปลงของโลกเป็นอย่างนี้ หลวงพ่อเข้าใจอย่างนี้ ดิน ฟ้า อากาศ ก็เป็นอย่างนั้น
ต้นไม้ ภูเขา หนอง คลอง บึง ก็เป็นอย่างนั้น เสื้อผ้า เงินทอง อัตตา สิ่งเหล่านั้นเป็นอาการข้างหนึ่ง
แต่มันไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่คนมีหน้าที่รู้เป็นอะไร ก็เลยดู โอ้ ! เรื่องโลภะ โทสะ โมหะ
มันเป็นอย่างนี้ เมื่อเราเห็น เรารู้ลักษณะของมัน แล้วมันก็เลยหนีไป โอ้ !
ผ้าขาวที่มันสะอาดนะ คนทุกคนเกิดมามันสะอาดแล้ว แต่มันมาเปรอะเปื้อนสิ่งต่างๆ เข้ามา
มันก็สกปรก โอ้ ! จิตใจคนทุกคนเหมือนกัน หลวงพ่อเข้าใจอย่างนั้น

ขอบคุนhttp://board.agalico.com/showthread.php?t=24468