เข้าสู่ระบบ

แสดงเวอร์ชันเต็ม : เรื่องเศรษฐีใจบุญ



*8q*
11-13-2008, 03:10 PM
กาลครั้งหนึ่งมีเศรษฐีผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง ไม่มีลูก ไม่มีภรรยา อยู่ตัวคนเดียว เศรษฐีผู้นี้มีความเมตตาต่อคนทั้งหลาย ใครเดือดร้อนก็มาหาเขา คนดีก็มาหาเขา คนเลวก็มาหาเขา ใครอยากได้อะไรก็มาหาเขา เศรษฐีนี่ก็ไม่เจาะจงว่าจะเลือกให้สิ่งของเฉพาะแก่ใค ร เขาให้ใครก็ได้ คุณอยากได้อะไรก็มาเอาไป เขาทำแบบนี้อยู่หลายปีจนเป็นที่รักและเป็นที่เกลียด คือมีคนรักก็ต้องมีคนชัง คนที่ชังเศรษฐีก็เพราะว่าเศรษฐีไม่จัดสรรสิ่งของให้ ไม่ใช่ว่าให้สิ่งของไม่ทั่วถึงทุกคน แต่ว่าของบางอย่างเขาให้แก่คนที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้ข องสิ่งนั้น ในขณะที่คนบางคนจำเป็นต้องใช้ของสิ่งนั้นแต่กลับไม่ไ ด้เพราะว่าหมดไปแล้วหรือว่าให้คนอื่นไปแล้ว พอคนที่จำเป็นจะต้องใช้ของสิ่งนั้นมาขอ แต่ก็กลับไม่มีให้เขา เขาก็รู้สึกไม่พอใจ นี่ขนาดของฟรีนะเนี่ย ให้ฟรีๆไม่ถูกใจมันก็โดนว่า เศรษฐีคนนี้แกใจดีเกินไป เห็นแต่ความต้องการให้ของตัวเองอย่างเดียวไม่ได้คำนึ งถึงผู้รับคนอื่นๆที่อาจจะจำเป็นต้องใช้ของนั้นเศรษฐ ี เขาให้อย่างเดียวโดยที่เขาคิดว่าใครมาก่อนก็ได้ไป แล้วแต่บุญของคนมาขอ ตัณหา (ความอยากได้) ของใครมากก็มาขนเอาของไปมาก เศรษฐีเขาก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่จะมาคอยจัดสรรสิ่งของ ให้แก่ผู้คนทั้งหลาย เศรษฐีเขาก็ทำเพียงแค่เปิดโรงทานที่เก็บสิ่งของเอาไว ้ให้เท่านั้น คนในหมู่บ้านอยากได้อะไรก็มาเอาของที่ตัวเองต้องการไ ป ตกเย็นหมดเวลาก็ปิดกุญแจ เช้าขึ้นมาก็เปิดกุญแจไว้ให้ ส่วนตัวเศรษฐีก็ไปค้าขาย ได้อะไรมาก็จะเอามาไว้ในโรงทานนี้ ใครอยากได้อะไรก็ไปเอา คนในหมู่บ้านเองก็มีไม่เยอะ ประมาณร้อยกว่าคน บางคนก็มีกิน มีฐานะก็มีอยู่ คนจนก็มีอยู่บ้างไม่ได้มากมายอะไรก็เลยพออยู่ไปได้

อยู่มาวันหนึ่งมียายแก่ๆคนหนึ่งไม่มีลูกหลานเลี้ยง แกเดินมาจะมาเอาของไปใช้แต่ว่ามาตอนที่ประตูโรงทานนั ้นปิดไปแล้ว แกก็ได้พบกับเศรษฐีเข้าพอดี เศรษฐีก็เลยถามว่า “คุณยายทำไมเพิ่งมา?” ยายแกก็ตอบว่า “ฉันค่อยๆมา มันเหนื่อยจ๊ะเลยไม่ทันเวลา ท่านผู้เจริญโปรดเมตตาฉันหน่อยเถิด ฉันอยากได้ข้าว อยากได้น้ำ อยากได้ไฟ อยากได้หม้อ อยากได้ภาชนะ” เศรษฐีก็ถามว่า “ยายเอาไปหมดหรือ?” ยายแกก็ตอบว่า “มันจำเป็น ไม่มีใครดูแล ก็ต้องทำคนเดียว” เศรษฐีก็สงสารเลยชวนยายว่า “งั้นยายมาอยู่กับฉันเถิด ในเมื่อยายไม่มีใครดูแล ฉันพอมีที่ให้พัก มีอาหารให้กิน” ยายแกก็เลยมาอยู่กับเศรษฐี

พออยู่ไปสักพัก ยายแกก็สบายขึ้น แต่ว่าปากแกไม่ดี ก็เที่ยวไปพูดโอ้อวดให้คนอื่นฟัง ถึงเวลาออกไปนอกบ้าน พอมีคนที่เขามาขอสิ่งของ แกก็พูดอวดว่า “ฉันไม่ต้องทำอะไรเลย เศรษฐีรับฉันไว้เลี้ยง” พวกคนอื่นๆก็พากันอิจฉาบ้าง พอเกิดเรื่องขึ้นคนเหล่านั้นก็มาต่อว่าเศรษฐีว่า ทำไมรับเลี้ยงแต่ยายแก่คนเดียว พ่อแม่ฉันก็แก่เฒ่า ทำไมไม่เอาไปเลี้ยงบ้าง (เออเนอะ คนเรา เจริญพรเถอะจ๊ะ ญาติโยม) เศรษฐีก็เลยบอกว่าเธอไม่เลี้ยงฉันเลี้ยงให้ก็ได้ ถ้าเธอไม่มีใจอยากจะเลี้ยง ฉันก็จะเลี้ยงให้ แล้วเขาก็ขนคนแก่ๆ บ้านโน้นคนนึง บ้านนี้คนหนึ่ง รวมๆเข้าก็เกือบ ๓๐ คนได้มาอยู่ที่บ้านเศรษฐีทีนี้ก็เลยมีเรื่อง คนเยอะก็เรื่องเยอะ คนที่มีแต่ความอยากได้ก็สร้างแต่เรื่อง หาเรื่อง ส่วนไอ้คนที่เขารู้สึกกตัญญูต่อเศรษฐีที่ช่วยเลี้ยงด ูก็ทำตัวไม่วุ่นวาย ไม่สร้างเรื่อง แต่ก็ถูกไอ้คนอยากได้ (ตัณหามาก) มาหาเรื่อง มาพูดจาให้เจ็บช้ำน้ำใจ มาแกล้งพูดถามว่าลูกเต้าก็มีเงินแต่ทำไมมาอยู่นี่ หรือว่าลูกเอ็งมันเกลียดเอ็งเสียแล้ว นี่เขาว่ากระทบกันให้เสียใจแบบนี้

ส่วนเศรษฐีน่ะตอนนี้ก็ชักจะเหลือเศษๆซะแล้ว เอ็นดูชาวบ้านช่วยเหลือเขาไปเรื่อยแต่ก็กลับได้พบแต่ ความวุ่นวาย เขาก็มานั่งนึกรู้สึกว่า ทำไมมันวุ่นวาย ทำไมคนเราไม่รู้จักสร้างความสุขที่ตนเองต้องการจะมี ที่เขาให้ก็ให้เพราะว่าเห็นว่าคนเหล่านี้มีทุกข์ก็เล ยให้ ถ้ามีสิ่งของที่เขาให้เอาไปใช้ก็จะช่วยผ่อนคลายความท ุกข์ความลำบากไปได้บ้าง แต่นี่กลับสร้างความวุ่นวายให้กับผู้ให้และก็ยังสร้า งความวุ่นวายให้กับคนที่อยู่ด้วยกันอีก สุดท้ายก็มีแต่เรื่อง วิธีแก้ปัญหาของเศรษฐีก็คือ ยกของทั้งหมดให้ทุกๆคนไปเลย แล้วเศรษฐีก็ประกาศว่า “นับแต่นี้ต่อไป พวกท่านจะไม่ได้เห็นเราอีกเลย”

พอเศรษฐีพูดจบมันก็ไม่เห็นเศรษฐีจริงๆน่ะล่ะ มันเห็นแต่สิ่งของ ทรัพย์สมบัติ วิ่งกันฝุ่นตลบเลย ไปแย่งสิ่งของกัน เศรษฐีก็เลยคิดว่า “ชุดของเราเอาไปแค่นี้ล่ะ ผ้าสีมีแต่ความวุ่นวาย ผ้าลายมีแต่ความเปรอะเปื้อน อย่าไปอยู่อย่างเขาเลย ไปเป็นผ้าขาวเถอะ” แล้วเขาก็ห่มผ้าขาวเดินออกจากบ้านไปโดยไม่หันหลังมาอ ีกเลย เพราะเขาคิดว่าทรัพย์สมบัตินี้คือสิ่งที่วุ่นวายของค นที่ไม่รู้จักพอ แล้วเขาก็เดินทางไปเรื่อย ครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านๆไป นึกคิดทีไรก็รู้สึกสลดใจทุกที “นี่ถ้าพวกเขาเหล่านี้มีจิตใจเมตตา โลกก็คงสงบสุขนะ เราคงไม่ต้องมาเดินอยู่แบบนี้ ถ้าโลกนี้เต็มไปด้วยความเมตตาต่อกันและกัน ไม่ว่าเราไปอยู่ตรงไหนก็คงมีแต่ความสบาย” ก็เลยเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เศรษฐีมาบวชเป็นพราหมณ์ แล้วก็ตั้งสัตยาธิษฐานว่า “เราจะทำให้คนและสัตว์ทั้งหลายอยู่ด้วยกันอย่างมีควา มสุข”

เขาก็เดินไปเรื่อยๆ ไปถึงที่ที่นึงที่เป็นอาศรมของฤาษี มีฤาษีหลายองค์ เขาก็เดินเข้าไปในสำนักนี้เพราะเห็นว่าสงบ ปราศจากความวุ่นวายดี แล้วก็ไปคารวะฤาษีผู้ปกครองอาศรมแห่งนั้น ก็เป็นท่านฤาษีชราที่ผมขาวหมดทั้งศีรษะ แล้วฤาษีท่านก็พูดว่า “ลูกเรามาแล้ว มาอยู่กับพ่อเถิด” พราหมณ์ก็เลยรู้สึกว่า อบอุ่น ที่นี่อบอุ่น เมื่อได้รับคำเชิญก็เลยพูดว่า “กระผมขออนุญาตอาศัยอยู่ที่นี่ โปรดเมตตาสั่งสอนกระผมด้วยเถิด” ท่านฤาษีก็เมตตาถ่ายทอดวิชาความรู้ที่ท่านมีให้แก่พร าหมณ์ผู้นี้ แต่ว่าพราหมณ์ไม่ได้บวชเป็นฤาษีนะ เขาบอกว่าจะเป็นฤาษีได้ก็จะต้องเอาตัวฝังดินเอาไว้ ๗ วันก่อนนะถ้าขึ้นจากหลุมมาแล้วไม่ตายถึงจะบวชได้ เขาเรียกว่าฝึกฌานสมาบัติ พราหมณ์เลยไม่กล้าบวช

แต่ต่อมาฤาษีก็ตายไป พราหมณ์เขาก็เลยออกจากสำนัก เดินทางต่อไป ใช้วิชาความรู้ที่ฤาษีถ่ายทอดมาให้ทั้งเรื่องยารักษา โรค เรื่องสมาธิ เรื่องคาถาอาคม เรื่องเรียกฟ้าเรียกฝน ห้ามฝน และด้วยความตั้งใจเดิมของเขาที่ได้ตั้งสัตยาธิษฐานเอ าไว้ว่าจะช่วยให้คนทั้งหลายมีความสุข เขาก็เลยเดินทางกลับไปที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้งหนึ่ง ได้เห็นคนเหล่านั้นก็มีสภาพเหมือนเดิม คือยากจน ลำบาก ไม่มีใครมีความสุขสบายเหมือนกับในสมัยที่พราหมณ์ยังเ ป็นเศรษฐีอยู่เลย และคนเหล่านั้นก็จำเศรษฐีที่เป็นพราหมณ์ไม่ได้ด้วย พราหมณ์ก็คิดว่าดีแล้วที่ไม่มีใครจำเขาได้ แล้วพราหมณ์ก็ไปนั่งที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ชาวบ้านแถวๆนั้นก็ไม่สนใจอะไรกับพราหมณ์ พวกเขาคิดว่าไปหาพราหมณ์ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร

อยู่มาวันหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มลูกแล้วก็เดินร้อ งไห้ เพราะว่าลูกเขาป่วยจะตาย ไม่มีหมอรักษา วิ่งอุ้มลูกไปขอร้องให้ใครเขาช่วยก็ไม่มีใครช่วยได้ พอเขาเห็นพราหมณ์เข้าก็เลยวิ่งเข้ามาหาขอให้ช่วยรักษ าโรคให้ พอพราหมณ์เขาเห็นลูกของเธอก็รู้ว่าลูกของเธอเป็นโรคล มป่วง (โรคถ่ายท้องหนัก หมดแรง ปวดมวนท้อง) พราหมณ์ก็เลยหยิบใบหญ้ามาบริกรรมคาถา เคี้ยวๆแล้วเอาออกมาเป็นยาให้เด็กกิน เด็กก็หายจากโรค แม่ก็ดีใจ รีบทำความเคารพขอบคุณแล้วก็เดินออกไป แล้วก็ไปเล่าลือให้ชาวบ้านคนอื่นๆฟัง ทีนี้ชาวบ้านคนอื่นๆเขาก็พากันมาหาพราหมณ์กันน่ะสิ ไอ้คนนั้นป่วยอย่างโน้นอย่างนี้ ขอยาหน่อยเถอะ สารพัดจะขอ มันปวดนิดเดียวมันก็มา สารพัดอย่าง ท่านครับผมปวดขา เป่าผมหน่อยเถอะ พอเป่าพรวดก็หายเดินยิ้มแป้นกลับไป วันๆพราหมณ์ไม่ต้องทำอะไรนอกจากเรื่องพวกนี้ แต่ตัวของพราหมณ์เองนั้นก็มีความสุขจากการที่ได้ให้ พราหมณ์ก็อยู่ช่วยเหลือคนในหมู่บ้านนี้ไปเรื่อยๆ

อยู่มาคราวหนึ่ง มีคนตายไปแล้ววันหรือสองวันแต่ว่าพ่อแม่ทำใจยอมรับไม ่ได้ เก็บร่างของลูกเอาไว้ไม่ยอมให้ทำพิธีศพ แล้วก็มาอ้อนวอนพราหมณ์ขอให้ช่วยชุบชีวิตลูก แล้วก็บอกกับพราหมณ์ว่าถ้าชุบชีวิตขึ้นมาได้ล่ะก็จะเ อาอะไรก็จะให้ทุกอย่าง ขอให้ลูกเขาฟื้นอย่างเดียว พราหมณ์นั้นก็เลยถามย้ำไปว่า “ถ้าช่วยชุบชีวิตแล้วขออะไรก็จะให้หมดเลยใช่ไหม?” คนเป็นพ่อก็รับปากว่า “ได้ครับ ผมยอมท่านทุกอย่าง ขอให้ท่านบอกมาคำเดียวจะให้ทำอะไรผมยอมทุกอย่าง” พราหมณ์ก็ช่วยชุบชีวิตลูกของเขาให้ แต่พอถึงเวลาที่พราหมณ์จะทวงสัญญา พราหมณ์ก็บอกว่า “ฉันจะขอล่ะ” ไอ้ตัวคนพูดเขาก็รีบบอกเลยว่า “ท่านอย่าขอสิ่งนั้นขอสิ่งนี้ เรื่องนั้นเรื่องโน้นเลยนะ ผมทำไม่ได้หรอกนะครับ” พราหมณ์ก็ไม่ว่าอะไร เพราะที่บอกว่าจะขอสิ่งของนั้นก็แค่จะลองใจดูว่าคนเร านั้นมันจะเหลืออะไรบ้างในความดี แล้วพราหมณ์ก็ได้เห็นแล้วว่า คนเรา ถึงเวลาอยากจะเอาอะไรก็พูดวาจาพล่อยๆได้ทุกอย่าง แต่พอได้แล้วก็เปลี่ยนคำพูดเสียอย่างนั้น ตัวพราหมณ์เองก็เลยกลับมานั่งคิดพิจารณากับตัวเอง ว่าตนเองอยู่ที่นี่ช่วยเหลือคนมาเป็นปีๆ แล้ว ที่มาช่วยคนให้พ้นความทุกข์นั้นมันยุ่งเหลือเกิน ในเมื่อคนมันมีแต่อยากได้ อยากมี อยากเป็น แต่พอได้แล้ว มีแล้ว เป็นแล้ว มันก็แค่นั้น คนเหล่านี้เราจะไปช่วยให้เขาพ้นทุกข์ทำไม ช่วยไปก็แค่นั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไรนอกจากความวุ่นวาย การให้ทานน่ะ ถ้ามีปัญญาไม่พอกับความรู้ สิ่งที่ตามมาก็คือความวุ่นวาย ผู้ให้ก็มีแต่กำลังใจที่อยากจะให้เท่านั้น แต่เมื่อขาดปัญญา ผลของมันก็จะมีความวุ่นวายตามมา แต่ว่าการให้ก็ถือเป็นความสุขนะ แต่มันก็คงจะไม่มีอะไรมาแก้นิสัยของคนเหล่านี้ได้หรอ ก สิ่งที่เราทำได้อย่างเดียวคือทำให้ใจของเราเป็นสุข สุขจากการให้ แต่จะทำให้คนอื่นเขามีความสุขจากการให้เหมือนที่เราม ีนั้นมันยาก เพราะมันคิดแต่ว่าการเอาเป็นของดี เอาทุกอย่างมันเอาทุกเรื่อง แค่กล้าเอ่ยปากขออย่างเดียว พราหมณ์อยู่ที่นั้นจนรู้สึกว่าการให้ของเขานั้นมันไม ่ทำให้ตัวเขาเป็นสุขได้จริง ถึงเวลาเขาก็พอ

เดินทางออกจากหมู่บ้านนั้นไป เดินทางต่อไปเรื่อยๆไม่มีจุดหมาย พวกคนในหมู่บ้านนั้นก็พากันต่อว่าพราหมณ์ว่า “พราหมณ์น่ะเห็นแก่ตัว มาอยู่เราก็ให้กิน เอาผลไม้เอาน้ำมาให้ ให้ที่อยู่ เวลาพวกเราเดือดร้อนกลับไม่อยู่ช่วยเหลือพวกเราเลย คนอย่างนี้อย่าไปคบกับมัน” เออ เจริญพรเถอะ จะเอาอะไรกับคนพาล ให้ดีแค่ไหนเราก็เลวในสายตาคนพาล พวกนี้มันพวกปทปรมะ ไม่มีผลในการสงเคราะห์ช่วยเหลือ ทำไปก็สูญเปล่า แต่ก็มีบางคนในหมู่บ้านเถียงว่า “ไปว่าท่านทำไม เราเดือดร้อนท่านก็เมตตาช่วยเหลือ ทำไมไม่เห็นความดีของท่านบ้าง” นี่มันก็มีทั้งคนชมและคนด่านะ มันเป็นของคู่กัน อย่าไปคิดว่าจะได้อย่างเดียว ไม่มีใครคิดว่าเราดีอย่างเดียวหรอก นี่ล่ะโลกธรรม มันเป็นธรรมประจำโลก พราหมณ์อยู่ในหมู่บ้านก็ช่วยเหลือชาวบ้านทุกเรื่องที ่เขามาขอให้ช่วย แต่ถึงแม้ว่าพราหมณ์จะทำดีต่อพวกเขาอย่างไรก็ยังไม่ว ายมีคนติอีก นี่คือโลกธรรม มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด มีคนชมก็ต้องมีคนด่า ไม่มีใครในโลกนี้หนีพ้นคำนินทาและคำสรรเสริญไปได้เลย

ขอบคุนหลายhttp://board.agalico.com/showthread.php?t=24473