DAO
11-14-2008, 01:17 PM
http://www.amulet.in.th/forums/images/1552.jpg
พระครูเกษมคณาภิบาล (หลวงพ่อมี เขมธัมโม) วัดมารวิชัย อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
คนดีศรีอยุธยา สานวิชา ทำนุพุทธศาสนา เข้มขลังพระเวท ช่วยเหลือสาธุชน
องค์ท่านหลวงพ่อมี เขมธัมโม นับเนื่องแล้วท่านเป็นคนดั้งเดิมของชนเผ่าไทยเราถือกำเนิดในแถบถิ่นเมืองเก่ากรุงศรีอยุธยาราชธานีนี่เอง จึงไม่ต้องบอกล่าวถึงลักษณะนิสัยอันแท้จริงว่าอะไรคือความเป็นคนไทย จิตใจกล้าแกร่งขนาดไหน ใจถึงแบบลูกผู้ชายอย่างไร
ท่านพระครูเกษมคณาภิบาล หรือหลวงพ่อมี เขมธัมโม มีชื่อเดิมเต็มๆว่า บุญมี ถือกำเนิดในตระกูล ธนสนธิ์ ชื่อของท่านโยมบิดามารดาสมมุตินามขึ้นเพื่อเรียกขาน อันมีความหมายถึง การมีกุศลแห่งความสุข ที่ร่ำรวยมีอันจะกินมิได้ขาด มาปัจจุบันลูกศิษย์ลูกหาต่างเรียกนามองค์ท่านแบบสั้นๆ ว่า หลวงพ่อมี จนติดปากกันมาจวบปัจจุบัน ถือเป็นมงคลนามอย่างใหญ่หลวงเมื่อองค์ท่านเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ บำเพ็ญบารมีธรรมตามรอยพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนนามกระเดื่องประกาศกิตติคุณให้สานุศิษย์และชนชาวไทยทั่วแคว้นได้ประจักษ์โดยถ้วนทั่วกัน
โยมบิดานาม นายโหมด โยมมารดา นามนางพุฒ หลวงพ่อมีถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ ๒๔๕๔ ตรงกับวันจันทร์แรม ๒ ค่ำ เดือน ๔ ปีกุน ณ หมู่บ้านขนมจีน ข้าววัดมารวิชัยตอนใต้
หลวงพ่อมีเป็นบุตรคนที่ ๔ ในจำนวนพี่น้องท้องเดียวกัน ๕ คนดังนี้
๑. หมอแบน
๒. นายจุ่น
๓. นางสำลี
๔. หลวงพ่อมี เขมธัมโม
๕. นายสำแล
เมื่อปฐมวัยในวัยเด็ก
หลวงพ่อมีเป็นเด็กที่อ่อนแอ และขี้โรคมาก ท่านมีโรคประจำตัวเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ อยู่เสมอ เรียนกว่าสามวันดีสี่วันไข้ ไม่ว่าอากาศจะร้อนนิดหนาวหน่อยก็ป่วยถ้าอากาศร้อนขึ้นก็จะเกิดอาการชักขนาดถูกแมวหรือสุนัขชนถูกตัวเท่านั้นก็ชักแล้ว
ดังนั้นหลวงพ่อมีจึงเป็นเด็กที่มีรูปร่างผอมโซ แบบเด็กพุงโรก้นปอดเหมือนเป็นตานขโมยไม่มีผิด ลักษณะเซื่องๆ ซึมๆ ขี้อาย ไม่ช่างพูดและไม่เล่นหัวเหมือนกับเด็กชาวบ้านโดยทั่วไปคล้ายๆ กับเป็นเสมือเด็กปัญญาอ่อนเหล่านี้คือบุคคลิกของหลวงพ่อมีในวัยเด็กซึ่งปราศจากวี่แววแห่งความรุ่งโรจน์ของชีวิตในอนาคต ไม่ว่าจะมองไปในแง่ใดตามสายตามที่แสดงความเป็นห่วงญาติผู้ใหญ่และชาวบ้านข้างเคียงทั้งปวง
คุณสมบัติพิเศษ
ธรรมชาติสร้างสรรมนุษย์ให้เกิดมาถ้าจะว่ากันแล้วก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม มีดีก็มีชั่ว มีขาดต้องมีเกิน เหมือนดังตัวอย่างในวัยเด็กของหลวงพ่อมี ที่ไม่มีผู้ใดสามารถคาดการณ์อนาคตของท่านว่าจะเป็นพระอาจารย์เรืองวิชาที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้กล่าวคือ
หลวงพ่อมี มีคุณสมบัติพิเศษที่ผิดแปลกไปจากเด็กชาวบ้านธรรมดาๆ ตรงที่ท่านเป็นเด็กที่มีใจบุญสุนทาชอบติดตามบิดามารดาเข้าวัด ถ้าถูกห้ามปรามไม่ให้ตามไปด้วยจะต้องร้องไห้คร่ำครวญจนถึงกับชักตาตั้งซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่ไม่น้อยที่เด็กเชื่องซึมคล้ายปัญญาอ่อนจะมีความกระตือรือร้นในการไปวัด อันเป็นการส่อแววการเป็นเกจิอาจารย์ของหลวงพ่อมีมาแล้วตั้งแต่ยังเล็ก
ดังนั้น เมื่อพี่ชายคนโต คือ หมอแบนอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดมารวิชัย หลวงพ่อมี ขณะนั้นมีอายุเพียง ๑๒ ปี จึงขอบิดามารดาติดตามพระพี่ชายมาอยู่ด้วยทันที (ภายหลัง พระพี่ชายลาสิขาแล้วได้เป็นแพทย์ประจำตำบล ชาวบ้านเรียนว่า หมอแบน)
ในตอนแรกบรรดาญาติผู้ใหญ่ไม่มีผู้ใดยอมให้หลวงพ่อมีที่มีลักษณะปัญญาอ่อนไปอยู่ด้วย เพราะเกรงจะเป็นภาระให้กับพระพี่ชายที่พึ่งอุปสมบทใหม่ๆหลวงพ่อมีจึงร้องไห้และเกิดชักขึ้นจนทุกคนต้องตามใจให้ไปอยู่กับพระแบนที่วัดมารวิชัยตั้งแต่อายุเพียง ๑๒ ปี บัดนั้นเป็นต้นมา
สติปัญญา กลับปราดเปรื่อง เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากจริงๆ ตั้งแต่หลวงพ่อมีมาอยู่วัดมารวิชัยแล้วลักษณะอาการที่โง่งมประดุจเด็กปัญญาอ่อนขี้โรค กลับกลายเป็นตรงกันข้ามอาการขี้โรคต่างๆ หายดังปลิดทิ้งไม่เคยมีอาการชักอีกเลย
สติปัญญาที่ใครๆ มองกันว่าทึบก็กลับปราดเปรื่องสามารถศึกษาอักขระสมัย ทั้งภาษาไทย และภาษาขอมกลับหลวงพี่แบนและได้รับการแนะนำสั่งสอนจากครูเยื้อน ซึ่งเป็นบุตรของอา จึงมีศักดิ์เป็นลูกพี่น้องลูกน้องกันจนหลวงพ่อมีสามารถอ่านออกเขียนได้อย่างรวดเร็ว นั่นเป็นที่แปลกใจของญาติสนิททั้งปวง และเริ่มมองเห็นแววแห่งอัจฉริยะฉายขึ้นในตัวเด็กชายบุญมีคนนี้
วัยหนุ่มอันบริสุทธิ์ ชีวิตในวัยเด็กจนถึงรุ่นหนุ่มก่อนอุปสมบทของหลวงพ่อมี ก็เป็นไปเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา เพราะครอบครัวยากจนและมีอาชีพเป็นชาวนา ต้องคอยช่วยพ่อแม่ทำไรไพนาตามประสาไปวันๆ โดยไม่การผาดโผนอันน่าตื่นเต้นใดๆ เนื่องจากท่านเป็นคนใจบุญชอบทำทานเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว เหล้ายาปลาปิ้ง การพนัน ขันต่อหรือการเที่ยวเตร่ต่างๆ เยี่ยงหนุ่มลูกทุ่งทั้งหลายนั้นท่านไม่เคยผ่านมาก่อนเลยทั้งสิ้น
จากการที่หลวงพ่อมี มีความขยันขันแข็งในการทำงาน จึงมีหญิงมาชอบพอกับท่านคนหนึ่ง แต่ติดที่ท่านเป็นคนขี้อาย ไม่ช่างพูดประกอบกับหญิงนั้นเป็นคนที่งามจึงไม่เคยชวนกันไปเที่ยไหนสองต่อสองเหมือนหนุ่มสาวคู่อื่นๆ เลย ภายหลังเมื่อท่านมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วผลัดผ่อนการหมั้นหมายเรื่อยมา สตรีนั้นเห็นว่า ท่านไม่ถึงแน่แล้วก็เลยไม่ได้ติดต่อกันอีก ปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่แต่ครองตัวเป็นโสดมาถึงบัดนี้
นับว่าสตรีท่านนี้เป็นหญิงที่มีความมั่นคงในความรักอันน่ายกย่องสรรเสริญยิ่งทีเดียว
เริ่มเล่นแร่ ในวันเด็กนี่เององค์ท่านหลวงพ่อมี เขมธัมโม ได้ไปเยี่ยมหลวงน้าที่วัดบ้านพร้าวนอก ปทุมธานี โดยติดตามโยมคุณแม่ไป
หลวงน้า คือ หลวงพ่อเขียน โชติสโร ในเวลานั้นกำลังเล่นแร่แปรธาตุ (เหมือนกับหลวงปู่จัน วัดโมลี จังหวัด นนทบุรี) ถือเป็นโอกาสของเด็กชายบุญมีที่ไม้ดสัมผัสกับสายวิชาเล้นลับนี้เป็นการหล่อหลอมธาตุต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยมีหน้าที่เติมฟืน ช่วยสูบลมให้ไฟร้อนจัดตลอดเวลา
ถือว่าเป็นการเริ่มการศึกษาด้วย ตนเองในสายวิชา เล่นแร่แปรธาตุ มาตั้งแต่บัดนั้น หลวงพ่อมีเคยเล่าว่า เหนื่อยมากเพราะกว่าจะหลอมธาตุแปรธาตุได้หลวงพ่อเขียนท่านต้องเหงื่อไหลไคลย้อยร่างกายสกปรกไปหมดถูกรมด้วยควันไฟและเถ้าถ่านอยู่เป็นเวลานานกว่าจะเสร็จ
ส่วนวิชาทำตะกั่วให้เป็นเงิน ทำเงินให้เป็นทองคำนั้นหลวงพ่อเขียนท่านหวงมาก ไม่ยอมถ่ายทอดให้ใครง่ายๆ ในสมัยนั้น เป็นที่เล่าลือกันแพร่หลาย
หลวงพ่อมีท่านเคยถามถึงการที่อยากศึกษาสายวิชานี้ แต่หลวงน้า หลวงพ่อเขียน กล่าวว่า จะสอนให้เมื่อบวชเป็นพระ
ตั้งแต่วันนั้นเด็กชายมีก็เฝ้ารอเพื่อถึงอายุเวลาอุปสมบท
บรรพชาอุปสมบท
หลวงพ่อมี เขมธัมโม มีใจฝักใฝ่ใครจะบรรพชาเป็นสามเณรมานานแล้วแต่ติดขัดที่มีภาระช่วยโยมบิดา มารดา ทำไร ไถนา จึงต้องคอยให้มีอายุครบบวชเสียก่อนจึงจะได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุตามประเพณีนิยม ซึ่งบรรดาชายทั้งหลายกระทำกันมาแต่ครั้งโบราณกาล
ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อมีอายุ ๒๑ ปี อายุครบเกณฑ์ทหารต้องถูกคัดเลือกเข้าประจำการเป็นทหารเพื่อการใช้ชาติ ท่านจึงตั้งใจไว้ว่า ถ้าไม่ถูกทหารจะบวชทดแทน พระคุณพ่อแม่ทันที แล้วหลวงพ่อมีก็สมความปราถนาที่ตั้งใจไว้ เมื่อท่านได้จับสลากใบดำไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร จึงได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุสมดังใจ ณ พัทธสีมาวัดมารวิชัย ในวันขึ้น ๑๒ ค่ำเดือน ๘ ตรงกับ วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยมีพระครูอดุลวุฒิกรหลวงพ่อพิน จันทโชโต วัดช่างเหล็ก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์
หลวงพ่อเขียน โชติสโร วัดบ้านพร้าวนอก อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงน้า คือเป็นน้องโยม มารดา ของหลวงพ่อมี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อเกลี้ยง อินทโชติ วัดมารวิชัย ซึ่งภายหลังไปเป็นเจ้าอาวาส วัดสามตุ่มในเขตอำเภอเสนา เป็นพระกรรมวาจาจารย์แทน หลวงพ่อคล้าย เจ้าอาวาสวัดมารวิชัยขณะนั้นซึ่งเกิดอาพาธพอดี
หลวงพ่อมี ได้รับฉายาเป็นภาษาบาลีจากหลวงพ่อพินผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ว่า เขมธัมโม แปลว่า ผู้มีธัมมะอันเกษม
การศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นขององค์ท่านหลวงพ่อมี ท่านได้เรียนรู้จากหลวงพี่แบน ซึ่งเป็นพระพี่ชายต่อมาได้เข้าศึกษาทั้งภาษาไทยและ ภาษาขอมกับครูเยื้อน บุตรของอา จนพอจะมีพื้นฐานอ่านออกเขียนได้ หลังจากนั้นท่านจึงศึกษาด้วยตนเอง และเมื่อเข้าสู่ร่มการสาวพัสตร์ จึงไปศึกษาพระธรรมวินัยกับ เมื่อเข้าสู่ร่มวงกาสาวพัสตร์ องค์ท่านหลวงพ่อมีได้เริ่มศึกษาเล่าเรียน พระปริยัติธรรมกับหลวงปู่คล้าย พลายแก้ว ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย ในขณะนั้นถือเป็นรากฐานอันมั่นคงในการสืบสานพุทธศาสนาต่อไป ในช่วงที่อาตมาบวชอยู่ที่วัดมารวิชัยนั้นเป็นจังหวะที่ได้ศึกษาเล่าเรียนในทางปริยัติธรรมด้วย เพราะขณะนั้นกำลังเจริญอย่างเต็มที่
ศึกษาพระธรรมวินัย หลวงพ่อพิณ วัดช่างเหล็ก องค์พระอุปัชฌาย์ เวลาส่วนใหญ่หลวงพ่อมีท่านจะศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยตนเอง ไม่ได้ไปศึกษาเล่าเรียนจากสำนักใดๆ แต่ท่านสอบได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ไล่มาเป็นลำดับ แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญา ผสานความมีมานะพากเพียรที่มีอยู่ในองค์ท่าน
ในภายหลังเมื่อท่านอายุมากขึ้นแล้ว ได้เข้าศึกษาหาความรู้ในโรงเรียนพระสังฆาธิการส่วนภูมิภาค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนสำเร็จการศึกษารุ่นที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ หลวงพ่อมี นำความรู้ทางด้านพระปริยัติธรรมที่ท่านร่ำเรียนสอนพระภิกษุสามเณรภายในวัดมารวิชัยตั้งแต่ท่านยังไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส และเมื่อเป็นเจ้าอาวาสแล้วก็ทำการสอนนักธรรมด้วยตัวของท่านเองในระหว่างเข้าพรรษาตลอด ๓ เดือน จนพระภิกษุสามเณรทั้งหลายมีความรู้ความสามารถสอบเปรียบธรรมขั้นสูงได้ปีละหลายสิบรูปจวบจนปัจจุบันนี้หลวงพ่อมียังคงทำการสอบนักธรรมด้วยตนเองทุกปี โดยไม่ได้นิมนต์พระภิกษุจากสำนักอื่นๆ มาทำการสอนเลย
ผลงานการก่อสร้าง จากการที่หลวงพ่อมี ได้รับการอบรมบ่มจิตจากหลวงพ่อปานในการปฏิบัติ อสุภกรรมฐาน ยกเอานิมิตมาพิจารณาจนกลายมาเป็นวิปัสสนาญาณ บังเกิดมี ศีล สมาธิ ปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงใน ไตรลักษณ์คืออนิจจัง ความไม่เที่ยงทุกขัง ความเป็นทุกข์และอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน มีอารมณ์จิตเบื่อหน่ายสภาพความเป็นอยู่ของร่างกายตนเองและผู้อื่นจิตใจจึงระลึกนึกถึง พระนิพานเป็นปกติจนสามารถบรรเท่าอารมณ์รัก โลภ โกรธ และหลง หรือความพอใจใดๆ ทั้งสิ้นนั้นแทบจะถูกขจัดออกไปจากจิตใจของหลวงพ่อมีอย่างสิ้นเชิง
เมื่อหลวงพ่อมี ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย ท่านจึงสามารถตัดใจได้ทุกอย่างโดยมีสัญญากับพระลูกวัดอีก ๖ คนคือ พระอาจารย์ครอบ , พระอาจารย์สายซึ่งเป็นพระอาวุโส และพระเย็น, พระเสริฐ, พระหนอม และพระโกยว่า พระทุกองค์ห้ามลึก จนกว่าจะตายหรือสร้างอุโบสถให้สำเร็จเสียก่อนจึงสึกได้
พระภิกษุผู้รักษาสัจจะทั้ง ๗ องค์ต่างช่วยกันบูรณะอุโบสถวัดมารวิชัยเสร็จและยังช่วยทำนุบำรุงจนมีความเจริญ ถาวรสืบต่อมา แต่ด้วยเหตุที่เจ้าอาวาสคือหลวงพ่อมีเป็นพระอาจารย์ผู้ถือสมถะทั้งยังมักน้อย บรรดาเสนาสนะต่างๆ ที่สร้างขึ้นส่วนใหญ่จะสร้างเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจริงๆ หรือสร้างแบบง่ายๆ อย่างพออาศัยอยู่ได้เท่านั้น และเมื่อเกิดชำรุดทรุดโทรมก็ทำการบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ โดยไม่สร้างให้ถาวรใหญ่โตและสวยงามเหมือนกับวัดอื่นๆ ทั่วไปเพราะเหตุที่หลวงพ่อมีเป็นพระสมถะ รักสันโดษและมักน้อยนั่นเอง
อุโบสถวัดมารวิชัยได้รักการบูรณจนพระภิกษุสงฆ์สามารถประกอบสังฆกรรมได้แล้ว ต่อมาจึงได้สร้างบันเพิ่มเติม พร้อมกับทำพิธียกช่อฟ้าขึ้นในปี พ.ศ ๒๔๙๑ ในขณะที่ทำการบูรณะอุโบสถอยู่นั้นตรงกับ ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้รื้อกุฎิริมคลองย้ายขึ้นมาปลูกในบริเวณที่อยู่ปัจจุบันเพื่อหนีน้ำท่วงสูงขึ้นทุกปีทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาที่จะต้องหาทุนมาสร้างกุฎิใหม่อีกด้วย
ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๐๑ หลวงพ่อมีได้สร้างศาลาเรียงล้อมศาลาการเปรียญหลังใหญ่ที่ หลวงพ่อปานมาสร้างไว้ทั้ง ๔ ด้าน และสร้างหอระฆังและกุฏิอีก ๓ หลัง ปัจจัยที่มีอยู่ทั้งหมดไปสมทบทุนกับทางราชการสร้างโรงเรียน ๒ แห่ง คือ โรงเรียนวัดมารวิชัย และโรงเรียนจุฬาราษฎร์วิทยา ในเนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ และยังได้สร้างสถานีมัย เนื้อที่ ๗ ไร่กับสำนักงานผดุงครรภ์ประจำตำบลบางนมโคในเนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน อีกด้วย
สาธารณะประโยชน์ต่างๆ ที่กล่าวมาส่วนใหญ่เป็นที่ดินของบรรพบุรุษที่ตกทอดมาถึงหลวงพ่อมี แล้วท่านนำมาบริจาคต่อ ทั้งยังขายที่ดินอีกบางส่วนไปเพื่อนำปัจจัยมาสมทบทุนในการก่อสร้างต่างๆ เช่น สร้างณาปณสถาน พ.ศ. ๒๕๑๐ สร้างกำแพงรอบอุโบสถเพื่อความเป็นสัดส่วน พ.ศ. ๒๕๑๒ และสิ่งที่ชาวบ้านทั้งหลายมีความประทับใจในตัวหลวงพ่อมีอย่างไม่รู้ลืมอยู่ทุกวันนี้คือ
หลวงพ่อมี เป็นผู้ขอไฟฟ้าโดยเริ่มปักเสาจากปากทางถนนสาคลี ผ่านหน้าวัดมารวิชัยเรื่อยไปถึงตลาดสาคลีเป็นระยะทางประมาณ ๗ กิโลเมตร ด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวของหลวงพ่อมีทั้งสิ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔
นอกจากนี้ หลวงพ่อมียังได้สร้างแท้งก์น้ำ เครื่องสูบน้ำสำหรับพระและชาวบ้านได้ใช้ดื่มน้ำที่สะอาด สร้างศาลาท่าน้ำ สร้างหอสวดมนต์ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ฯลฯ นับว่าหลวงพ่อมีเป็นพระอาจารย์ที่มีความมุมานะพยายามสูงในการสร้างความเจริญแก่ท้องถิ่นอย่างมากองค์หนึ่ง
ศึกษาวิทยาคม หลวงพ่อมีได้เล่าให้ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งฟังว่า ยุคที่ท่านเป็นพระหนุ่มนั้นวิชาด้านคาถาอาคมต่างๆ เป็นที่นิยมเรียนกันมาก ชาวอยุธยาแทบทุกคนที่เป็นชายก็ล้วนแต่มีผู้สนใจเรียนกันมากเป็นพิเศษเพราะคนหนุ่มในยุคนั้นต้องการของจริงมาทดลองกัน คือใครมีอะไรดีก็มาอวดต่อหน้าสาวๆ ตามหมู่บ้านต่างๆ สำหรับหลวงพ่อมีนั้นเมื่อท่านบวชได้พรรษาแรกท่านก็ได้เรียนภาษามคธ และทางปริยัติควบคู่กันไป ในตอนหัวค่ำหลวงพ่อมีและพระเณรรุ่นหนุ่มๆ ก็มักจะจับกลุ่มกันเรียนคาถาอาคมกันอย่างขะมักเขม้น คือเรียนทั้งจากตำราสมุดข่อย และจากหลวงตาที่บวชเรียนมาหลายพรรษาในวัดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาถาเกี่ยวกับหัวใจต่างๆ นั้นหลวงพ่อมีท่านได้เรียนอย่างคลองแคล่วและรวดเร็ว เช่นคาถาหัวใจหนุมานหัวใจเสือ หัวใจราชสีห์ และหัวใจลิงลม เป็นต้น หลวงพ่อมีเมื่อได้พระอาจารย์ดีท่านก็ตั้งใจในการเรียนอย่างเต็มที่ เพราะหลวงตาผู้สอนท่านจะคอยกำกับโดยให้ผู้เรียนนั่งสมาธิพนมมือและหลับตาภาวนาหัวใจของคาถาต่างๆ ไปด้วย ในระหว่างการเรียนจะเงียบสงบเพราะต้องการให้เกิดสมาธิเร็วขึ้นเป็นเอกัคตา คือเป็นหนึ่งตลอด เรียกว่าผู้เรียนคาถาต่างๆ ต้องมีสมาธิ เพราะสมาธิเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ม่ต่อคะ
พระครูเกษมคณาภิบาล (หลวงพ่อมี เขมธัมโม) วัดมารวิชัย อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
คนดีศรีอยุธยา สานวิชา ทำนุพุทธศาสนา เข้มขลังพระเวท ช่วยเหลือสาธุชน
องค์ท่านหลวงพ่อมี เขมธัมโม นับเนื่องแล้วท่านเป็นคนดั้งเดิมของชนเผ่าไทยเราถือกำเนิดในแถบถิ่นเมืองเก่ากรุงศรีอยุธยาราชธานีนี่เอง จึงไม่ต้องบอกล่าวถึงลักษณะนิสัยอันแท้จริงว่าอะไรคือความเป็นคนไทย จิตใจกล้าแกร่งขนาดไหน ใจถึงแบบลูกผู้ชายอย่างไร
ท่านพระครูเกษมคณาภิบาล หรือหลวงพ่อมี เขมธัมโม มีชื่อเดิมเต็มๆว่า บุญมี ถือกำเนิดในตระกูล ธนสนธิ์ ชื่อของท่านโยมบิดามารดาสมมุตินามขึ้นเพื่อเรียกขาน อันมีความหมายถึง การมีกุศลแห่งความสุข ที่ร่ำรวยมีอันจะกินมิได้ขาด มาปัจจุบันลูกศิษย์ลูกหาต่างเรียกนามองค์ท่านแบบสั้นๆ ว่า หลวงพ่อมี จนติดปากกันมาจวบปัจจุบัน ถือเป็นมงคลนามอย่างใหญ่หลวงเมื่อองค์ท่านเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ บำเพ็ญบารมีธรรมตามรอยพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนนามกระเดื่องประกาศกิตติคุณให้สานุศิษย์และชนชาวไทยทั่วแคว้นได้ประจักษ์โดยถ้วนทั่วกัน
โยมบิดานาม นายโหมด โยมมารดา นามนางพุฒ หลวงพ่อมีถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ ๒๔๕๔ ตรงกับวันจันทร์แรม ๒ ค่ำ เดือน ๔ ปีกุน ณ หมู่บ้านขนมจีน ข้าววัดมารวิชัยตอนใต้
หลวงพ่อมีเป็นบุตรคนที่ ๔ ในจำนวนพี่น้องท้องเดียวกัน ๕ คนดังนี้
๑. หมอแบน
๒. นายจุ่น
๓. นางสำลี
๔. หลวงพ่อมี เขมธัมโม
๕. นายสำแล
เมื่อปฐมวัยในวัยเด็ก
หลวงพ่อมีเป็นเด็กที่อ่อนแอ และขี้โรคมาก ท่านมีโรคประจำตัวเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ อยู่เสมอ เรียนกว่าสามวันดีสี่วันไข้ ไม่ว่าอากาศจะร้อนนิดหนาวหน่อยก็ป่วยถ้าอากาศร้อนขึ้นก็จะเกิดอาการชักขนาดถูกแมวหรือสุนัขชนถูกตัวเท่านั้นก็ชักแล้ว
ดังนั้นหลวงพ่อมีจึงเป็นเด็กที่มีรูปร่างผอมโซ แบบเด็กพุงโรก้นปอดเหมือนเป็นตานขโมยไม่มีผิด ลักษณะเซื่องๆ ซึมๆ ขี้อาย ไม่ช่างพูดและไม่เล่นหัวเหมือนกับเด็กชาวบ้านโดยทั่วไปคล้ายๆ กับเป็นเสมือเด็กปัญญาอ่อนเหล่านี้คือบุคคลิกของหลวงพ่อมีในวัยเด็กซึ่งปราศจากวี่แววแห่งความรุ่งโรจน์ของชีวิตในอนาคต ไม่ว่าจะมองไปในแง่ใดตามสายตามที่แสดงความเป็นห่วงญาติผู้ใหญ่และชาวบ้านข้างเคียงทั้งปวง
คุณสมบัติพิเศษ
ธรรมชาติสร้างสรรมนุษย์ให้เกิดมาถ้าจะว่ากันแล้วก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม มีดีก็มีชั่ว มีขาดต้องมีเกิน เหมือนดังตัวอย่างในวัยเด็กของหลวงพ่อมี ที่ไม่มีผู้ใดสามารถคาดการณ์อนาคตของท่านว่าจะเป็นพระอาจารย์เรืองวิชาที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้กล่าวคือ
หลวงพ่อมี มีคุณสมบัติพิเศษที่ผิดแปลกไปจากเด็กชาวบ้านธรรมดาๆ ตรงที่ท่านเป็นเด็กที่มีใจบุญสุนทาชอบติดตามบิดามารดาเข้าวัด ถ้าถูกห้ามปรามไม่ให้ตามไปด้วยจะต้องร้องไห้คร่ำครวญจนถึงกับชักตาตั้งซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่ไม่น้อยที่เด็กเชื่องซึมคล้ายปัญญาอ่อนจะมีความกระตือรือร้นในการไปวัด อันเป็นการส่อแววการเป็นเกจิอาจารย์ของหลวงพ่อมีมาแล้วตั้งแต่ยังเล็ก
ดังนั้น เมื่อพี่ชายคนโต คือ หมอแบนอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดมารวิชัย หลวงพ่อมี ขณะนั้นมีอายุเพียง ๑๒ ปี จึงขอบิดามารดาติดตามพระพี่ชายมาอยู่ด้วยทันที (ภายหลัง พระพี่ชายลาสิขาแล้วได้เป็นแพทย์ประจำตำบล ชาวบ้านเรียนว่า หมอแบน)
ในตอนแรกบรรดาญาติผู้ใหญ่ไม่มีผู้ใดยอมให้หลวงพ่อมีที่มีลักษณะปัญญาอ่อนไปอยู่ด้วย เพราะเกรงจะเป็นภาระให้กับพระพี่ชายที่พึ่งอุปสมบทใหม่ๆหลวงพ่อมีจึงร้องไห้และเกิดชักขึ้นจนทุกคนต้องตามใจให้ไปอยู่กับพระแบนที่วัดมารวิชัยตั้งแต่อายุเพียง ๑๒ ปี บัดนั้นเป็นต้นมา
สติปัญญา กลับปราดเปรื่อง เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากจริงๆ ตั้งแต่หลวงพ่อมีมาอยู่วัดมารวิชัยแล้วลักษณะอาการที่โง่งมประดุจเด็กปัญญาอ่อนขี้โรค กลับกลายเป็นตรงกันข้ามอาการขี้โรคต่างๆ หายดังปลิดทิ้งไม่เคยมีอาการชักอีกเลย
สติปัญญาที่ใครๆ มองกันว่าทึบก็กลับปราดเปรื่องสามารถศึกษาอักขระสมัย ทั้งภาษาไทย และภาษาขอมกลับหลวงพี่แบนและได้รับการแนะนำสั่งสอนจากครูเยื้อน ซึ่งเป็นบุตรของอา จึงมีศักดิ์เป็นลูกพี่น้องลูกน้องกันจนหลวงพ่อมีสามารถอ่านออกเขียนได้อย่างรวดเร็ว นั่นเป็นที่แปลกใจของญาติสนิททั้งปวง และเริ่มมองเห็นแววแห่งอัจฉริยะฉายขึ้นในตัวเด็กชายบุญมีคนนี้
วัยหนุ่มอันบริสุทธิ์ ชีวิตในวัยเด็กจนถึงรุ่นหนุ่มก่อนอุปสมบทของหลวงพ่อมี ก็เป็นไปเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา เพราะครอบครัวยากจนและมีอาชีพเป็นชาวนา ต้องคอยช่วยพ่อแม่ทำไรไพนาตามประสาไปวันๆ โดยไม่การผาดโผนอันน่าตื่นเต้นใดๆ เนื่องจากท่านเป็นคนใจบุญชอบทำทานเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว เหล้ายาปลาปิ้ง การพนัน ขันต่อหรือการเที่ยวเตร่ต่างๆ เยี่ยงหนุ่มลูกทุ่งทั้งหลายนั้นท่านไม่เคยผ่านมาก่อนเลยทั้งสิ้น
จากการที่หลวงพ่อมี มีความขยันขันแข็งในการทำงาน จึงมีหญิงมาชอบพอกับท่านคนหนึ่ง แต่ติดที่ท่านเป็นคนขี้อาย ไม่ช่างพูดประกอบกับหญิงนั้นเป็นคนที่งามจึงไม่เคยชวนกันไปเที่ยไหนสองต่อสองเหมือนหนุ่มสาวคู่อื่นๆ เลย ภายหลังเมื่อท่านมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วผลัดผ่อนการหมั้นหมายเรื่อยมา สตรีนั้นเห็นว่า ท่านไม่ถึงแน่แล้วก็เลยไม่ได้ติดต่อกันอีก ปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่แต่ครองตัวเป็นโสดมาถึงบัดนี้
นับว่าสตรีท่านนี้เป็นหญิงที่มีความมั่นคงในความรักอันน่ายกย่องสรรเสริญยิ่งทีเดียว
เริ่มเล่นแร่ ในวันเด็กนี่เององค์ท่านหลวงพ่อมี เขมธัมโม ได้ไปเยี่ยมหลวงน้าที่วัดบ้านพร้าวนอก ปทุมธานี โดยติดตามโยมคุณแม่ไป
หลวงน้า คือ หลวงพ่อเขียน โชติสโร ในเวลานั้นกำลังเล่นแร่แปรธาตุ (เหมือนกับหลวงปู่จัน วัดโมลี จังหวัด นนทบุรี) ถือเป็นโอกาสของเด็กชายบุญมีที่ไม้ดสัมผัสกับสายวิชาเล้นลับนี้เป็นการหล่อหลอมธาตุต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยมีหน้าที่เติมฟืน ช่วยสูบลมให้ไฟร้อนจัดตลอดเวลา
ถือว่าเป็นการเริ่มการศึกษาด้วย ตนเองในสายวิชา เล่นแร่แปรธาตุ มาตั้งแต่บัดนั้น หลวงพ่อมีเคยเล่าว่า เหนื่อยมากเพราะกว่าจะหลอมธาตุแปรธาตุได้หลวงพ่อเขียนท่านต้องเหงื่อไหลไคลย้อยร่างกายสกปรกไปหมดถูกรมด้วยควันไฟและเถ้าถ่านอยู่เป็นเวลานานกว่าจะเสร็จ
ส่วนวิชาทำตะกั่วให้เป็นเงิน ทำเงินให้เป็นทองคำนั้นหลวงพ่อเขียนท่านหวงมาก ไม่ยอมถ่ายทอดให้ใครง่ายๆ ในสมัยนั้น เป็นที่เล่าลือกันแพร่หลาย
หลวงพ่อมีท่านเคยถามถึงการที่อยากศึกษาสายวิชานี้ แต่หลวงน้า หลวงพ่อเขียน กล่าวว่า จะสอนให้เมื่อบวชเป็นพระ
ตั้งแต่วันนั้นเด็กชายมีก็เฝ้ารอเพื่อถึงอายุเวลาอุปสมบท
บรรพชาอุปสมบท
หลวงพ่อมี เขมธัมโม มีใจฝักใฝ่ใครจะบรรพชาเป็นสามเณรมานานแล้วแต่ติดขัดที่มีภาระช่วยโยมบิดา มารดา ทำไร ไถนา จึงต้องคอยให้มีอายุครบบวชเสียก่อนจึงจะได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุตามประเพณีนิยม ซึ่งบรรดาชายทั้งหลายกระทำกันมาแต่ครั้งโบราณกาล
ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อมีอายุ ๒๑ ปี อายุครบเกณฑ์ทหารต้องถูกคัดเลือกเข้าประจำการเป็นทหารเพื่อการใช้ชาติ ท่านจึงตั้งใจไว้ว่า ถ้าไม่ถูกทหารจะบวชทดแทน พระคุณพ่อแม่ทันที แล้วหลวงพ่อมีก็สมความปราถนาที่ตั้งใจไว้ เมื่อท่านได้จับสลากใบดำไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร จึงได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุสมดังใจ ณ พัทธสีมาวัดมารวิชัย ในวันขึ้น ๑๒ ค่ำเดือน ๘ ตรงกับ วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยมีพระครูอดุลวุฒิกรหลวงพ่อพิน จันทโชโต วัดช่างเหล็ก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์
หลวงพ่อเขียน โชติสโร วัดบ้านพร้าวนอก อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงน้า คือเป็นน้องโยม มารดา ของหลวงพ่อมี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อเกลี้ยง อินทโชติ วัดมารวิชัย ซึ่งภายหลังไปเป็นเจ้าอาวาส วัดสามตุ่มในเขตอำเภอเสนา เป็นพระกรรมวาจาจารย์แทน หลวงพ่อคล้าย เจ้าอาวาสวัดมารวิชัยขณะนั้นซึ่งเกิดอาพาธพอดี
หลวงพ่อมี ได้รับฉายาเป็นภาษาบาลีจากหลวงพ่อพินผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ว่า เขมธัมโม แปลว่า ผู้มีธัมมะอันเกษม
การศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นขององค์ท่านหลวงพ่อมี ท่านได้เรียนรู้จากหลวงพี่แบน ซึ่งเป็นพระพี่ชายต่อมาได้เข้าศึกษาทั้งภาษาไทยและ ภาษาขอมกับครูเยื้อน บุตรของอา จนพอจะมีพื้นฐานอ่านออกเขียนได้ หลังจากนั้นท่านจึงศึกษาด้วยตนเอง และเมื่อเข้าสู่ร่มการสาวพัสตร์ จึงไปศึกษาพระธรรมวินัยกับ เมื่อเข้าสู่ร่มวงกาสาวพัสตร์ องค์ท่านหลวงพ่อมีได้เริ่มศึกษาเล่าเรียน พระปริยัติธรรมกับหลวงปู่คล้าย พลายแก้ว ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย ในขณะนั้นถือเป็นรากฐานอันมั่นคงในการสืบสานพุทธศาสนาต่อไป ในช่วงที่อาตมาบวชอยู่ที่วัดมารวิชัยนั้นเป็นจังหวะที่ได้ศึกษาเล่าเรียนในทางปริยัติธรรมด้วย เพราะขณะนั้นกำลังเจริญอย่างเต็มที่
ศึกษาพระธรรมวินัย หลวงพ่อพิณ วัดช่างเหล็ก องค์พระอุปัชฌาย์ เวลาส่วนใหญ่หลวงพ่อมีท่านจะศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยตนเอง ไม่ได้ไปศึกษาเล่าเรียนจากสำนักใดๆ แต่ท่านสอบได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ไล่มาเป็นลำดับ แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญา ผสานความมีมานะพากเพียรที่มีอยู่ในองค์ท่าน
ในภายหลังเมื่อท่านอายุมากขึ้นแล้ว ได้เข้าศึกษาหาความรู้ในโรงเรียนพระสังฆาธิการส่วนภูมิภาค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนสำเร็จการศึกษารุ่นที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ หลวงพ่อมี นำความรู้ทางด้านพระปริยัติธรรมที่ท่านร่ำเรียนสอนพระภิกษุสามเณรภายในวัดมารวิชัยตั้งแต่ท่านยังไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส และเมื่อเป็นเจ้าอาวาสแล้วก็ทำการสอนนักธรรมด้วยตัวของท่านเองในระหว่างเข้าพรรษาตลอด ๓ เดือน จนพระภิกษุสามเณรทั้งหลายมีความรู้ความสามารถสอบเปรียบธรรมขั้นสูงได้ปีละหลายสิบรูปจวบจนปัจจุบันนี้หลวงพ่อมียังคงทำการสอบนักธรรมด้วยตนเองทุกปี โดยไม่ได้นิมนต์พระภิกษุจากสำนักอื่นๆ มาทำการสอนเลย
ผลงานการก่อสร้าง จากการที่หลวงพ่อมี ได้รับการอบรมบ่มจิตจากหลวงพ่อปานในการปฏิบัติ อสุภกรรมฐาน ยกเอานิมิตมาพิจารณาจนกลายมาเป็นวิปัสสนาญาณ บังเกิดมี ศีล สมาธิ ปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงใน ไตรลักษณ์คืออนิจจัง ความไม่เที่ยงทุกขัง ความเป็นทุกข์และอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน มีอารมณ์จิตเบื่อหน่ายสภาพความเป็นอยู่ของร่างกายตนเองและผู้อื่นจิตใจจึงระลึกนึกถึง พระนิพานเป็นปกติจนสามารถบรรเท่าอารมณ์รัก โลภ โกรธ และหลง หรือความพอใจใดๆ ทั้งสิ้นนั้นแทบจะถูกขจัดออกไปจากจิตใจของหลวงพ่อมีอย่างสิ้นเชิง
เมื่อหลวงพ่อมี ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย ท่านจึงสามารถตัดใจได้ทุกอย่างโดยมีสัญญากับพระลูกวัดอีก ๖ คนคือ พระอาจารย์ครอบ , พระอาจารย์สายซึ่งเป็นพระอาวุโส และพระเย็น, พระเสริฐ, พระหนอม และพระโกยว่า พระทุกองค์ห้ามลึก จนกว่าจะตายหรือสร้างอุโบสถให้สำเร็จเสียก่อนจึงสึกได้
พระภิกษุผู้รักษาสัจจะทั้ง ๗ องค์ต่างช่วยกันบูรณะอุโบสถวัดมารวิชัยเสร็จและยังช่วยทำนุบำรุงจนมีความเจริญ ถาวรสืบต่อมา แต่ด้วยเหตุที่เจ้าอาวาสคือหลวงพ่อมีเป็นพระอาจารย์ผู้ถือสมถะทั้งยังมักน้อย บรรดาเสนาสนะต่างๆ ที่สร้างขึ้นส่วนใหญ่จะสร้างเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจริงๆ หรือสร้างแบบง่ายๆ อย่างพออาศัยอยู่ได้เท่านั้น และเมื่อเกิดชำรุดทรุดโทรมก็ทำการบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ โดยไม่สร้างให้ถาวรใหญ่โตและสวยงามเหมือนกับวัดอื่นๆ ทั่วไปเพราะเหตุที่หลวงพ่อมีเป็นพระสมถะ รักสันโดษและมักน้อยนั่นเอง
อุโบสถวัดมารวิชัยได้รักการบูรณจนพระภิกษุสงฆ์สามารถประกอบสังฆกรรมได้แล้ว ต่อมาจึงได้สร้างบันเพิ่มเติม พร้อมกับทำพิธียกช่อฟ้าขึ้นในปี พ.ศ ๒๔๙๑ ในขณะที่ทำการบูรณะอุโบสถอยู่นั้นตรงกับ ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้รื้อกุฎิริมคลองย้ายขึ้นมาปลูกในบริเวณที่อยู่ปัจจุบันเพื่อหนีน้ำท่วงสูงขึ้นทุกปีทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาที่จะต้องหาทุนมาสร้างกุฎิใหม่อีกด้วย
ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๐๑ หลวงพ่อมีได้สร้างศาลาเรียงล้อมศาลาการเปรียญหลังใหญ่ที่ หลวงพ่อปานมาสร้างไว้ทั้ง ๔ ด้าน และสร้างหอระฆังและกุฏิอีก ๓ หลัง ปัจจัยที่มีอยู่ทั้งหมดไปสมทบทุนกับทางราชการสร้างโรงเรียน ๒ แห่ง คือ โรงเรียนวัดมารวิชัย และโรงเรียนจุฬาราษฎร์วิทยา ในเนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ และยังได้สร้างสถานีมัย เนื้อที่ ๗ ไร่กับสำนักงานผดุงครรภ์ประจำตำบลบางนมโคในเนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน อีกด้วย
สาธารณะประโยชน์ต่างๆ ที่กล่าวมาส่วนใหญ่เป็นที่ดินของบรรพบุรุษที่ตกทอดมาถึงหลวงพ่อมี แล้วท่านนำมาบริจาคต่อ ทั้งยังขายที่ดินอีกบางส่วนไปเพื่อนำปัจจัยมาสมทบทุนในการก่อสร้างต่างๆ เช่น สร้างณาปณสถาน พ.ศ. ๒๕๑๐ สร้างกำแพงรอบอุโบสถเพื่อความเป็นสัดส่วน พ.ศ. ๒๕๑๒ และสิ่งที่ชาวบ้านทั้งหลายมีความประทับใจในตัวหลวงพ่อมีอย่างไม่รู้ลืมอยู่ทุกวันนี้คือ
หลวงพ่อมี เป็นผู้ขอไฟฟ้าโดยเริ่มปักเสาจากปากทางถนนสาคลี ผ่านหน้าวัดมารวิชัยเรื่อยไปถึงตลาดสาคลีเป็นระยะทางประมาณ ๗ กิโลเมตร ด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวของหลวงพ่อมีทั้งสิ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔
นอกจากนี้ หลวงพ่อมียังได้สร้างแท้งก์น้ำ เครื่องสูบน้ำสำหรับพระและชาวบ้านได้ใช้ดื่มน้ำที่สะอาด สร้างศาลาท่าน้ำ สร้างหอสวดมนต์ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ฯลฯ นับว่าหลวงพ่อมีเป็นพระอาจารย์ที่มีความมุมานะพยายามสูงในการสร้างความเจริญแก่ท้องถิ่นอย่างมากองค์หนึ่ง
ศึกษาวิทยาคม หลวงพ่อมีได้เล่าให้ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งฟังว่า ยุคที่ท่านเป็นพระหนุ่มนั้นวิชาด้านคาถาอาคมต่างๆ เป็นที่นิยมเรียนกันมาก ชาวอยุธยาแทบทุกคนที่เป็นชายก็ล้วนแต่มีผู้สนใจเรียนกันมากเป็นพิเศษเพราะคนหนุ่มในยุคนั้นต้องการของจริงมาทดลองกัน คือใครมีอะไรดีก็มาอวดต่อหน้าสาวๆ ตามหมู่บ้านต่างๆ สำหรับหลวงพ่อมีนั้นเมื่อท่านบวชได้พรรษาแรกท่านก็ได้เรียนภาษามคธ และทางปริยัติควบคู่กันไป ในตอนหัวค่ำหลวงพ่อมีและพระเณรรุ่นหนุ่มๆ ก็มักจะจับกลุ่มกันเรียนคาถาอาคมกันอย่างขะมักเขม้น คือเรียนทั้งจากตำราสมุดข่อย และจากหลวงตาที่บวชเรียนมาหลายพรรษาในวัดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาถาเกี่ยวกับหัวใจต่างๆ นั้นหลวงพ่อมีท่านได้เรียนอย่างคลองแคล่วและรวดเร็ว เช่นคาถาหัวใจหนุมานหัวใจเสือ หัวใจราชสีห์ และหัวใจลิงลม เป็นต้น หลวงพ่อมีเมื่อได้พระอาจารย์ดีท่านก็ตั้งใจในการเรียนอย่างเต็มที่ เพราะหลวงตาผู้สอนท่านจะคอยกำกับโดยให้ผู้เรียนนั่งสมาธิพนมมือและหลับตาภาวนาหัวใจของคาถาต่างๆ ไปด้วย ในระหว่างการเรียนจะเงียบสงบเพราะต้องการให้เกิดสมาธิเร็วขึ้นเป็นเอกัคตา คือเป็นหนึ่งตลอด เรียกว่าผู้เรียนคาถาต่างๆ ต้องมีสมาธิ เพราะสมาธิเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ม่ต่อคะ