เข้าสู่ระบบ

แสดงเวอร์ชันเต็ม : หลวงพ่อมี เขมธัมโม วัดมารวิชัย



DAO
11-14-2008, 01:17 PM
http://www.amulet.in.th/forums/images/1552.jpg


พระครูเกษมคณาภิบาล (หลวงพ่อมี เขมธัมโม) วัดมารวิชัย อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา

คนดีศรีอยุธยา สานวิชา ทำนุพุทธศาสนา เข้มขลังพระเวท ช่วยเหลือสาธุชน

องค์ท่านหลวงพ่อมี เขมธัมโม นับเนื่องแล้วท่านเป็นคนดั้งเดิมของชนเผ่าไทยเราถือกำเนิดในแถบถิ่นเมืองเก่ากรุงศรีอยุธยาราชธานีนี่เอง จึงไม่ต้องบอกล่าวถึงลักษณะนิสัยอันแท้จริงว่าอะไรคือความเป็นคนไทย จิตใจกล้าแกร่งขนาดไหน ใจถึงแบบลูกผู้ชายอย่างไร

ท่านพระครูเกษมคณาภิบาล หรือหลวงพ่อมี เขมธัมโม มีชื่อเดิมเต็มๆว่า “บุญมี” ถือกำเนิดในตระกูล “ธนสนธิ์” ชื่อของท่านโยมบิดามารดาสมมุตินามขึ้นเพื่อเรียกขาน อันมีความหมายถึง “การมีกุศลแห่งความสุข ที่ร่ำรวยมีอันจะกินมิได้ขาด” มาปัจจุบันลูกศิษย์ลูกหาต่างเรียกนามองค์ท่านแบบสั้นๆ ว่า “หลวงพ่อมี” จนติดปากกันมาจวบปัจจุบัน ถือเป็นมงคลนามอย่างใหญ่หลวงเมื่อองค์ท่านเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ บำเพ็ญบารมีธรรมตามรอยพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนนามกระเดื่องประกาศกิตติคุณให้สานุศิษย์และชนชาวไทยทั่วแคว้นได้ประจักษ์โดยถ้วนทั่วกัน

โยมบิดานาม นายโหมด โยมมารดา นามนางพุฒ หลวงพ่อมีถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ ๒๔๕๔ ตรงกับวันจันทร์แรม ๒ ค่ำ เดือน ๔ ปีกุน ณ หมู่บ้านขนมจีน ข้าววัดมารวิชัยตอนใต้

หลวงพ่อมีเป็นบุตรคนที่ ๔ ในจำนวนพี่น้องท้องเดียวกัน ๕ คนดังนี้
๑. หมอแบน
๒. นายจุ่น
๓. นางสำลี
๔. หลวงพ่อมี เขมธัมโม
๕. นายสำแล

เมื่อปฐมวัยในวัยเด็ก

หลวงพ่อมีเป็นเด็กที่อ่อนแอ และขี้โรคมาก ท่านมีโรคประจำตัวเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ อยู่เสมอ เรียนกว่าสามวันดีสี่วันไข้ ไม่ว่าอากาศจะร้อนนิดหนาวหน่อยก็ป่วยถ้าอากาศร้อนขึ้นก็จะเกิดอาการชักขนาดถูกแมวหรือสุนัขชนถูกตัวเท่านั้นก็ชักแล้ว

ดังนั้นหลวงพ่อมีจึงเป็นเด็กที่มีรูปร่างผอมโซ แบบเด็กพุงโรก้นปอดเหมือนเป็นตานขโมยไม่มีผิด ลักษณะเซื่องๆ ซึมๆ ขี้อาย ไม่ช่างพูดและไม่เล่นหัวเหมือนกับเด็กชาวบ้านโดยทั่วไปคล้ายๆ กับเป็นเสมือเด็กปัญญาอ่อนเหล่านี้คือบุคคลิกของหลวงพ่อมีในวัยเด็กซึ่งปราศจากวี่แววแห่งความรุ่งโรจน์ของชีวิตในอนาคต ไม่ว่าจะมองไปในแง่ใดตามสายตามที่แสดงความเป็นห่วงญาติผู้ใหญ่และชาวบ้านข้างเคียงทั้งปวง

คุณสมบัติพิเศษ

ธรรมชาติสร้างสรรมนุษย์ให้เกิดมาถ้าจะว่ากันแล้วก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม มีดีก็มีชั่ว มีขาดต้องมีเกิน เหมือนดังตัวอย่างในวัยเด็กของหลวงพ่อมี ที่ไม่มีผู้ใดสามารถคาดการณ์อนาคตของท่านว่าจะเป็นพระอาจารย์เรืองวิชาที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้กล่าวคือ

หลวงพ่อมี มีคุณสมบัติพิเศษที่ผิดแปลกไปจากเด็กชาวบ้านธรรมดาๆ ตรงที่ท่านเป็นเด็กที่มีใจบุญสุนทาชอบติดตามบิดามารดาเข้าวัด ถ้าถูกห้ามปรามไม่ให้ตามไปด้วยจะต้องร้องไห้คร่ำครวญจนถึงกับชักตาตั้งซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่ไม่น้อยที่เด็กเชื่องซึมคล้ายปัญญาอ่อนจะมีความกระตือรือร้นในการไปวัด อันเป็นการส่อแววการเป็นเกจิอาจารย์ของหลวงพ่อมีมาแล้วตั้งแต่ยังเล็ก

ดังนั้น เมื่อพี่ชายคนโต คือ หมอแบนอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดมารวิชัย หลวงพ่อมี ขณะนั้นมีอายุเพียง ๑๒ ปี จึงขอบิดามารดาติดตามพระพี่ชายมาอยู่ด้วยทันที (ภายหลัง พระพี่ชายลาสิขาแล้วได้เป็นแพทย์ประจำตำบล ชาวบ้านเรียนว่า “หมอแบน”)

ในตอนแรกบรรดาญาติผู้ใหญ่ไม่มีผู้ใดยอมให้หลวงพ่อมีที่มีลักษณะปัญญาอ่อนไปอยู่ด้วย เพราะเกรงจะเป็นภาระให้กับพระพี่ชายที่พึ่งอุปสมบทใหม่ๆหลวงพ่อมีจึงร้องไห้และเกิดชักขึ้นจนทุกคนต้องตามใจให้ไปอยู่กับพระแบนที่วัดมารวิชัยตั้งแต่อายุเพียง ๑๒ ปี บัดนั้นเป็นต้นมา
สติปัญญา กลับปราดเปรื่อง เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากจริงๆ ตั้งแต่หลวงพ่อมีมาอยู่วัดมารวิชัยแล้วลักษณะอาการที่โง่งมประดุจเด็กปัญญาอ่อนขี้โรค กลับกลายเป็นตรงกันข้ามอาการขี้โรคต่างๆ หายดังปลิดทิ้งไม่เคยมีอาการชักอีกเลย

สติปัญญาที่ใครๆ มองกันว่าทึบก็กลับปราดเปรื่องสามารถศึกษาอักขระสมัย ทั้งภาษาไทย และภาษาขอมกลับหลวงพี่แบนและได้รับการแนะนำสั่งสอนจากครูเยื้อน ซึ่งเป็นบุตรของอา จึงมีศักดิ์เป็นลูกพี่น้องลูกน้องกันจนหลวงพ่อมีสามารถอ่านออกเขียนได้อย่างรวดเร็ว นั่นเป็นที่แปลกใจของญาติสนิททั้งปวง และเริ่มมองเห็นแววแห่งอัจฉริยะฉายขึ้นในตัวเด็กชายบุญมีคนนี้

วัยหนุ่มอันบริสุทธิ์ ชีวิตในวัยเด็กจนถึงรุ่นหนุ่มก่อนอุปสมบทของหลวงพ่อมี ก็เป็นไปเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา เพราะครอบครัวยากจนและมีอาชีพเป็นชาวนา ต้องคอยช่วยพ่อแม่ทำไรไพนาตามประสาไปวันๆ โดยไม่การผาดโผนอันน่าตื่นเต้นใดๆ เนื่องจากท่านเป็นคนใจบุญชอบทำทานเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว เหล้ายาปลาปิ้ง การพนัน ขันต่อหรือการเที่ยวเตร่ต่างๆ เยี่ยงหนุ่มลูกทุ่งทั้งหลายนั้นท่านไม่เคยผ่านมาก่อนเลยทั้งสิ้น
จากการที่หลวงพ่อมี มีความขยันขันแข็งในการทำงาน จึงมีหญิงมาชอบพอกับท่านคนหนึ่ง แต่ติดที่ท่านเป็นคนขี้อาย ไม่ช่างพูดประกอบกับหญิงนั้นเป็นคนที่งามจึงไม่เคยชวนกันไปเที่ยไหนสองต่อสองเหมือนหนุ่มสาวคู่อื่นๆ เลย ภายหลังเมื่อท่านมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วผลัดผ่อนการหมั้นหมายเรื่อยมา สตรีนั้นเห็นว่า ท่านไม่ถึงแน่แล้วก็เลยไม่ได้ติดต่อกันอีก ปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่แต่ครองตัวเป็นโสดมาถึงบัดนี้

นับว่าสตรีท่านนี้เป็นหญิงที่มีความมั่นคงในความรักอันน่ายกย่องสรรเสริญยิ่งทีเดียว

เริ่มเล่นแร่ ในวันเด็กนี่เององค์ท่านหลวงพ่อมี เขมธัมโม ได้ไปเยี่ยมหลวงน้าที่วัดบ้านพร้าวนอก ปทุมธานี โดยติดตามโยมคุณแม่ไป
หลวงน้า คือ “หลวงพ่อเขียน โชติสโร” ในเวลานั้นกำลังเล่นแร่แปรธาตุ (เหมือนกับหลวงปู่จัน วัดโมลี จังหวัด นนทบุรี) ถือเป็นโอกาสของเด็กชายบุญมีที่ไม้ดสัมผัสกับสายวิชาเล้นลับนี้เป็นการหล่อหลอมธาตุต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยมีหน้าที่เติมฟืน ช่วยสูบลมให้ไฟร้อนจัดตลอดเวลา

ถือว่าเป็นการเริ่มการศึกษาด้วย ตนเองในสายวิชา “เล่นแร่แปรธาตุ” มาตั้งแต่บัดนั้น หลวงพ่อมีเคยเล่าว่า “เหนื่อยมากเพราะกว่าจะหลอมธาตุแปรธาตุได้หลวงพ่อเขียนท่านต้องเหงื่อไหลไคลย้อยร่างกายสกปรกไปหมดถูกรมด้วยควันไฟและเถ้าถ่านอยู่เป็นเวลานานกว่าจะเสร็จ”
“ส่วนวิชาทำตะกั่วให้เป็นเงิน ทำเงินให้เป็นทองคำนั้นหลวงพ่อเขียนท่านหวงมาก ไม่ยอมถ่ายทอดให้ใครง่ายๆ ในสมัยนั้น เป็นที่เล่าลือกันแพร่หลาย

หลวงพ่อมีท่านเคยถามถึงการที่อยากศึกษาสายวิชานี้ แต่หลวงน้า หลวงพ่อเขียน กล่าวว่า “จะสอนให้เมื่อบวชเป็นพระ”

ตั้งแต่วันนั้นเด็กชายมีก็เฝ้ารอเพื่อถึงอายุเวลาอุปสมบท

บรรพชาอุปสมบท

หลวงพ่อมี เขมธัมโม มีใจฝักใฝ่ใครจะบรรพชาเป็นสามเณรมานานแล้วแต่ติดขัดที่มีภาระช่วยโยมบิดา มารดา ทำไร ไถนา จึงต้องคอยให้มีอายุครบบวชเสียก่อนจึงจะได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุตามประเพณีนิยม ซึ่งบรรดาชายทั้งหลายกระทำกันมาแต่ครั้งโบราณกาล
ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อมีอายุ ๒๑ ปี อายุครบเกณฑ์ทหารต้องถูกคัดเลือกเข้าประจำการเป็นทหารเพื่อการใช้ชาติ ท่านจึงตั้งใจไว้ว่า ถ้าไม่ถูกทหารจะบวชทดแทน พระคุณพ่อแม่ทันที แล้วหลวงพ่อมีก็สมความปราถนาที่ตั้งใจไว้ เมื่อท่านได้จับสลากใบดำไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร จึงได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุสมดังใจ ณ พัทธสีมาวัดมารวิชัย ในวันขึ้น ๑๒ ค่ำเดือน ๘ ตรงกับ วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยมีพระครูอดุลวุฒิกรหลวงพ่อพิน จันทโชโต วัดช่างเหล็ก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์

หลวงพ่อเขียน โชติสโร วัดบ้านพร้าวนอก อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงน้า คือเป็นน้องโยม มารดา ของหลวงพ่อมี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อเกลี้ยง อินทโชติ วัดมารวิชัย ซึ่งภายหลังไปเป็นเจ้าอาวาส วัดสามตุ่มในเขตอำเภอเสนา เป็นพระกรรมวาจาจารย์แทน หลวงพ่อคล้าย เจ้าอาวาสวัดมารวิชัยขณะนั้นซึ่งเกิดอาพาธพอดี

หลวงพ่อมี ได้รับฉายาเป็นภาษาบาลีจากหลวงพ่อพินผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ว่า “เขมธัมโม” แปลว่า “ผู้มีธัมมะอันเกษม”

การศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นขององค์ท่านหลวงพ่อมี ท่านได้เรียนรู้จากหลวงพี่แบน ซึ่งเป็นพระพี่ชายต่อมาได้เข้าศึกษาทั้งภาษาไทยและ ภาษาขอมกับครูเยื้อน บุตรของอา จนพอจะมีพื้นฐานอ่านออกเขียนได้ หลังจากนั้นท่านจึงศึกษาด้วยตนเอง และเมื่อเข้าสู่ร่มการสาวพัสตร์ จึงไปศึกษาพระธรรมวินัยกับ เมื่อเข้าสู่ร่มวงกาสาวพัสตร์ องค์ท่านหลวงพ่อมีได้เริ่มศึกษาเล่าเรียน พระปริยัติธรรมกับหลวงปู่คล้าย พลายแก้ว ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย ในขณะนั้นถือเป็นรากฐานอันมั่นคงในการสืบสานพุทธศาสนาต่อไป ในช่วงที่อาตมาบวชอยู่ที่วัดมารวิชัยนั้นเป็นจังหวะที่ได้ศึกษาเล่าเรียนในทางปริยัติธรรมด้วย เพราะขณะนั้นกำลังเจริญอย่างเต็มที่

ศึกษาพระธรรมวินัย หลวงพ่อพิณ วัดช่างเหล็ก องค์พระอุปัชฌาย์ เวลาส่วนใหญ่หลวงพ่อมีท่านจะศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยตนเอง ไม่ได้ไปศึกษาเล่าเรียนจากสำนักใดๆ แต่ท่านสอบได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ไล่มาเป็นลำดับ แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญา ผสานความมีมานะพากเพียรที่มีอยู่ในองค์ท่าน

ในภายหลังเมื่อท่านอายุมากขึ้นแล้ว ได้เข้าศึกษาหาความรู้ในโรงเรียนพระสังฆาธิการส่วนภูมิภาค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนสำเร็จการศึกษารุ่นที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ หลวงพ่อมี นำความรู้ทางด้านพระปริยัติธรรมที่ท่านร่ำเรียนสอนพระภิกษุสามเณรภายในวัดมารวิชัยตั้งแต่ท่านยังไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส และเมื่อเป็นเจ้าอาวาสแล้วก็ทำการสอนนักธรรมด้วยตัวของท่านเองในระหว่างเข้าพรรษาตลอด ๓ เดือน จนพระภิกษุสามเณรทั้งหลายมีความรู้ความสามารถสอบเปรียบธรรมขั้นสูงได้ปีละหลายสิบรูปจวบจนปัจจุบันนี้หลวงพ่อมียังคงทำการสอบนักธรรมด้วยตนเองทุกปี โดยไม่ได้นิมนต์พระภิกษุจากสำนักอื่นๆ มาทำการสอนเลย

ผลงานการก่อสร้าง จากการที่หลวงพ่อมี ได้รับการอบรมบ่มจิตจากหลวงพ่อปานในการปฏิบัติ อสุภกรรมฐาน ยกเอานิมิตมาพิจารณาจนกลายมาเป็นวิปัสสนาญาณ บังเกิดมี ศีล สมาธิ ปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงใน ไตรลักษณ์คืออนิจจัง ความไม่เที่ยงทุกขัง ความเป็นทุกข์และอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน มีอารมณ์จิตเบื่อหน่ายสภาพความเป็นอยู่ของร่างกายตนเองและผู้อื่นจิตใจจึงระลึกนึกถึง พระนิพานเป็นปกติจนสามารถบรรเท่าอารมณ์รัก โลภ โกรธ และหลง หรือความพอใจใดๆ ทั้งสิ้นนั้นแทบจะถูกขจัดออกไปจากจิตใจของหลวงพ่อมีอย่างสิ้นเชิง

เมื่อหลวงพ่อมี ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย ท่านจึงสามารถตัดใจได้ทุกอย่างโดยมีสัญญากับพระลูกวัดอีก ๖ คนคือ พระอาจารย์ครอบ , พระอาจารย์สายซึ่งเป็นพระอาวุโส และพระเย็น, พระเสริฐ, พระหนอม และพระโกยว่า “พระทุกองค์ห้ามลึก จนกว่าจะตายหรือสร้างอุโบสถให้สำเร็จเสียก่อนจึงสึกได้”

พระภิกษุผู้รักษาสัจจะทั้ง ๗ องค์ต่างช่วยกันบูรณะอุโบสถวัดมารวิชัยเสร็จและยังช่วยทำนุบำรุงจนมีความเจริญ ถาวรสืบต่อมา แต่ด้วยเหตุที่เจ้าอาวาสคือหลวงพ่อมีเป็นพระอาจารย์ผู้ถือสมถะทั้งยังมักน้อย บรรดาเสนาสนะต่างๆ ที่สร้างขึ้นส่วนใหญ่จะสร้างเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจริงๆ หรือสร้างแบบง่ายๆ อย่างพออาศัยอยู่ได้เท่านั้น และเมื่อเกิดชำรุดทรุดโทรมก็ทำการบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ โดยไม่สร้างให้ถาวรใหญ่โตและสวยงามเหมือนกับวัดอื่นๆ ทั่วไปเพราะเหตุที่หลวงพ่อมีเป็นพระสมถะ รักสันโดษและมักน้อยนั่นเอง

อุโบสถวัดมารวิชัยได้รักการบูรณจนพระภิกษุสงฆ์สามารถประกอบสังฆกรรมได้แล้ว ต่อมาจึงได้สร้างบันเพิ่มเติม พร้อมกับทำพิธียกช่อฟ้าขึ้นในปี พ.ศ ๒๔๙๑ ในขณะที่ทำการบูรณะอุโบสถอยู่นั้นตรงกับ ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้รื้อกุฎิริมคลองย้ายขึ้นมาปลูกในบริเวณที่อยู่ปัจจุบันเพื่อหนีน้ำท่วงสูงขึ้นทุกปีทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาที่จะต้องหาทุนมาสร้างกุฎิใหม่อีกด้วย

ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๐๑ หลวงพ่อมีได้สร้างศาลาเรียงล้อมศาลาการเปรียญหลังใหญ่ที่ หลวงพ่อปานมาสร้างไว้ทั้ง ๔ ด้าน และสร้างหอระฆังและกุฏิอีก ๓ หลัง ปัจจัยที่มีอยู่ทั้งหมดไปสมทบทุนกับทางราชการสร้างโรงเรียน ๒ แห่ง คือ โรงเรียนวัดมารวิชัย และโรงเรียนจุฬาราษฎร์วิทยา ในเนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ และยังได้สร้างสถานีมัย เนื้อที่ ๗ ไร่กับสำนักงานผดุงครรภ์ประจำตำบลบางนมโคในเนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน อีกด้วย

สาธารณะประโยชน์ต่างๆ ที่กล่าวมาส่วนใหญ่เป็นที่ดินของบรรพบุรุษที่ตกทอดมาถึงหลวงพ่อมี แล้วท่านนำมาบริจาคต่อ ทั้งยังขายที่ดินอีกบางส่วนไปเพื่อนำปัจจัยมาสมทบทุนในการก่อสร้างต่างๆ เช่น สร้างณาปณสถาน พ.ศ. ๒๕๑๐ สร้างกำแพงรอบอุโบสถเพื่อความเป็นสัดส่วน พ.ศ. ๒๕๑๒ และสิ่งที่ชาวบ้านทั้งหลายมีความประทับใจในตัวหลวงพ่อมีอย่างไม่รู้ลืมอยู่ทุกวันนี้คือ

หลวงพ่อมี เป็นผู้ขอไฟฟ้าโดยเริ่มปักเสาจากปากทางถนนสาคลี ผ่านหน้าวัดมารวิชัยเรื่อยไปถึงตลาดสาคลีเป็นระยะทางประมาณ ๗ กิโลเมตร ด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวของหลวงพ่อมีทั้งสิ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔

นอกจากนี้ หลวงพ่อมียังได้สร้างแท้งก์น้ำ เครื่องสูบน้ำสำหรับพระและชาวบ้านได้ใช้ดื่มน้ำที่สะอาด สร้างศาลาท่าน้ำ สร้างหอสวดมนต์ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ฯลฯ นับว่าหลวงพ่อมีเป็นพระอาจารย์ที่มีความมุมานะพยายามสูงในการสร้างความเจริญแก่ท้องถิ่นอย่างมากองค์หนึ่ง

ศึกษาวิทยาคม หลวงพ่อมีได้เล่าให้ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งฟังว่า ยุคที่ท่านเป็นพระหนุ่มนั้นวิชาด้านคาถาอาคมต่างๆ เป็นที่นิยมเรียนกันมาก ชาวอยุธยาแทบทุกคนที่เป็นชายก็ล้วนแต่มีผู้สนใจเรียนกันมากเป็นพิเศษเพราะคนหนุ่มในยุคนั้นต้องการของจริงมาทดลองกัน คือใครมีอะไรดีก็มาอวดต่อหน้าสาวๆ ตามหมู่บ้านต่างๆ สำหรับหลวงพ่อมีนั้นเมื่อท่านบวชได้พรรษาแรกท่านก็ได้เรียนภาษามคธ และทางปริยัติควบคู่กันไป ในตอนหัวค่ำหลวงพ่อมีและพระเณรรุ่นหนุ่มๆ ก็มักจะจับกลุ่มกันเรียนคาถาอาคมกันอย่างขะมักเขม้น คือเรียนทั้งจากตำราสมุดข่อย และจากหลวงตาที่บวชเรียนมาหลายพรรษาในวัดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาถาเกี่ยวกับหัวใจต่างๆ นั้นหลวงพ่อมีท่านได้เรียนอย่างคลองแคล่วและรวดเร็ว เช่นคาถาหัวใจหนุมานหัวใจเสือ หัวใจราชสีห์ และหัวใจลิงลม เป็นต้น หลวงพ่อมีเมื่อได้พระอาจารย์ดีท่านก็ตั้งใจในการเรียนอย่างเต็มที่ เพราะหลวงตาผู้สอนท่านจะคอยกำกับโดยให้ผู้เรียนนั่งสมาธิพนมมือและหลับตาภาวนาหัวใจของคาถาต่างๆ ไปด้วย ในระหว่างการเรียนจะเงียบสงบเพราะต้องการให้เกิดสมาธิเร็วขึ้นเป็นเอกัคตา คือเป็นหนึ่งตลอด เรียกว่าผู้เรียนคาถาต่างๆ ต้องมีสมาธิ เพราะสมาธิเป็นสิ่งสำคัญที่สุด



ม่ต่อคะ

DAO
11-14-2008, 01:19 PM
สมัยหลวงพ่อมีนั้นจะมีพระเณรเรียนในทางวิชาอาคมกันมาก เพราะมีพระอาจารย์คอยสอนให้อยู่อย่างมากมายนั้นเอง “เพื่อเห็นแก่อนาคตก็ต้องเรียนไว้เพราะต่อไปจะหาไม่มีอีกแล้ว ที่จะมีอาจารย์ผู้เก่งกล้าสามารถเช่นสมัยนั้น”

หัวใจลิงลม หลวงพ่อมีท่านได้ตั้งใจศึกษาวิชาทุกอย่างจากครูบาอาจารย์ที่มีอยู่ในสมัยนั้น เช่น การเรียนคาถาปลุกหัวใจลิงลมก็เรียนมาจากหลวงพ่อสำลี ซึ่งท่านเก่งในวิชานี้เป็นอย่างมาก แต่ก่อนที่หลวงพ่อสำลีท่านจะเริ่มพิธีปลุกหัวใจลิงลมนั้นท่านได้บอกกับพระเพื่อนๆ ว่า “ถ้าผมมือสั่นและตัวสั่นช่วยกันจับไว้ให้ดีนะ” พิธีการปลุกคาถาหัวใจลิงลมของหลวงพ่อสำลีนั้น ท่านได้ทำให้พระเณรผู้เป็นลูกศิษย์ดูกันเพื่อจะได้รู้ได้เห็นของจริง คือเวลาปลุกหัวใจลิงลมนั้นผู้ปลุกจะอยู่ได้เป็นสุขจะมีการกระโดดโลดเต้นจับโน่นเกาะนี่คล้ายกลับลิงจริงๆ

หลวงพ่อสำลีท่านจะพนมมือทำใจให้เป็นสมาธิเพื่อท่องคาถาหัวใจลิงลมประมาณได้สัก ๒-๓ นาที มือของท่านจะเริ่มสั่น และหัวเข่าทั้งสองข้างก็จะตีกับพื้นกระดานเสียงดังสนั่นพร้อมกับหายในแรงมาก บรรดาพระเณรที่เป็นศิษย์ซึ่งรวมทั้งหลวงพ่อบุญมีด้วย ต่างก็ระวังกันอยู่ตลอดเวลาเพราะถ้าหากหลวงพ่อสำลีกระโดดออกหน้าต่างกุฎิไปก็จะยุ่งกันใหญ่ ครั้งเมื่อหลวงพ่อสำลีปลุกหัวใจลิงลมแล้ว ก็ช่วยกันจับ แต่จับไม่ค่อยจะอยู่เพราะกิริยาอาการและท่าทางของท่านมีความปราดเปรียวและว่องไวมาก

จนพระผู้รู้อากัปกิริยาดังกล่าวไว้ตบร่างของท่านอย่างแรงอาการต่างๆ จึงได้ลดลงและสงบไปในที่สุด เรื่องคาถาอาคมนี้เป็นศาสตร์ชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อผู้ใช้มีจิตเป็นสมาธิอย่างแน่วแน่ต้องมีความเชื่อและศรัทธาจริงๆ

สำหรับหลวงพ่อสำลีนั้นท่านได้ ประสิทธิ์ประสาทวิชาอาคมต่างๆ ให้กับหลวงพ่อมีจนหมดสิ้น จึงทำให้หลวงพ่อมีท่านมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถท่อปฏิบัติ เกิดเป็นอาการได้ทุกอย่างสมดังประสงค์

ไม่คิดลาสิกขา ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ หลังจากหลวงพ่อมีท่านบวชได้หนึ่งพรรษา และท่านสอบนักธรรมชั้นตรีได้ใหม่ๆ ท่านไม่คิดที่ลาสิกขาบทออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา แต่ท่านกลับอยากจะบวชเพื่อศึกษาต่อเพราะท่านชอบศึกษาเล่าเรียนมาก

หลวงพ่อมีท่านได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะขอบวชและศึกษาหาความรู้ในพระพุทธศาสนาตลอดไป ซึ่งหลวงพ่อมีกล่าว “การได้เข้ามาศึกษาอยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนานั้นเป็นของยากเพราะทุกคนต้องการพร้อมที่จะเสียสละความสุขสบายในโลกภายนอกทุกอย่าง แต่ถ้าได้อยู่ศึกษาจนถ่องแท้ก็ไม่อยากจะสึกออกไปอีก”

มุ่งสู่หลวงพ่อเขียน เนื่องจากโยมมารดาของหลวงพ่อมีเป็นชาวบ้านพร้าว ปทุมธานี มักเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องยังบ้านเดิมอยู่เสมอทั้งในงานเทศกาลทำบุญตรุษสารทตามประเพณีต่างๆ ก็มักจะกลับไปทำบุญยังวัดท้องที่ใกล้บ้าน คือวัดบ้านพร้าวนอก ซึ่งมีน้องชายเป็นเจ้าโอวาสปกครองวัดในขณะนั้น ชื่อ หลวงพ่อเขียน โชติสโร

โดยความตั้งใจเดิมขององค์ท่านหลวงพ่อมี เมื่อสมัยยังเป็นเด็ก และได้ช่วยหลวงน้าในการแปรธาตุ ได้สัมผัสรับรู้วิชาเร้นลับนี้โดยตรง แต่องค์หลวงน้าไม่ยอมสอนให้กลับบอกว่า จะสอนให้เมื่อบวชเป็นพระเสียก่อน จึงเป็นโอกาสดีของหลวงพ่อมี

หลวงพ่อเขียนองค์นี้ ท่านเป็นพระอาจารย์เรื่องวิชาเป็นที่เลื่องลือว่าท่านสำเร็จอภิญญาจิตมีอิทธิปาฎิหาริย์สามารถเดินบนยอดไม้และนอนบนยอดตองได้ (นอนบนยอดใบกล้วย) ปฏิปทาอันงดงาม เคร่งครัดพระธรรมวินัยและปฏิบัติวิปัสสนาธุระอย่างสม่ำเสมอ ของหลวงพ่อเขียนเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านพร้าวเป็นอย่างมากในสมัยนั้น

อุปกรณ์ใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุของหลวงพ่อเขียนก็มี เตาสูบ ที่ใช้ในการหลอมโลหะ ซึ่งมีเครื่องสูบลมติดอยู่กับเตาสำหรับใช้สูบลม เป่าผ่านให้เป็นเปลวไฟทั้งเบ้าดินและเบ้าที่ทำจากโลหะหลายใบทั้งยังมีสากดินสำหรับใช้กวนโลหะให้เข้ากันอีกด้วย ฯลฯ หลวงพ่อมี เล่าว่า “หลวงพ่อเขียน ท่านชอบเล่นว่านอาบน้ำมันว่านจนตัวมันไปหมดจึงไม่ค่อยชอบอาบน้ำเวลาท่านนั่งหลอมโลหะอยู่หน้าเตาสูบ ถูกรมด้วยควันไฟและเถ้าถ่านอยู่เป็นวันจนตัวดำมิดหมีหมดทั้งตัว…ท่านก็ยังไม่ยอมอาบน้ำ”

หลวงพ่อมีเล่าปฏิปทาการไม่ชอบอาบน้ำของหลวงพ่อเขียนให้ฟังพร้อมกับหัวเราะขันๆ อย่างอารมณ์ดี

เรียนวิชาตรงจากหลวงพ่อเขียนถือได้เป็นอาจารย์แรกในสายวิทยาคมขององค์ท่านหลวงพ่อมีวัดมารวิชัย หลังจากอุปสมบทหลวงพ่อมีมุ่งตรงสู่วัด บ้านพร้าววัด จ.ปทุมธานี และศึกษาสายวิชา เล่นแร่แปรธาตุกับพระอาจารย์หลวงน้าในทันที ในช่วงนั้นโยมบิดาขององค์ท่านหลวงพ่อมี กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคชราซึ่งเรื้อรังมานานแล้ว และได้ถึงแก่กรรม หลวงพ่อมีจึงต้องกลับมายังบ้านเกิดเพื่อจจัดงานศพโยมบิดาที่วัดมารวิชัยและเข้าจำพรรษา ณ วัดมารวิชัย นับตั้งแต่บัดนั้น

เมื่อเข้าจำพรรษา ณ วัดมารวิชัยหลวงพ่อมียังคงเดินทางไปพำนักที่วัดบ้านพร้าวนอก เพื่อเยี่ยม เคารพและศึกษาสายวิชาจากหลวงน้า หลวงพ่อเขียนอยู่สม่ำเสมอ ตราบจนกระทั่งหลวงพ่อเขียนมรณภาพด้วยวัยของความชรา

สายวิชาในส่วนของสายวิชาที่องค์ท่านหลวงพ่อมีศึกษาจากพระอาจารย์หลวงพ่อเขียน นับแล้วท่านเริ่มเรียนรู้มาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กๆ ตอนติดตามคุณแม่ไปวัดบ้านพร้าวนอก การศึกษาในตอนนั้นถือเป็นการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด เพราะได้ใกล้ชิดหลวงพ่อเขียน เนื่องจากต้องหาฟืนเติมเชื้อไฟให้ร้อนกรุ่นอยู่อย่างตลอดในเวลาหล่อหลอม สายวิชาการต่างๆ ทุกอย่างและขั้นตอนปฏิบัติจึงตกเป็นของหลวงพ่อมี เริ่มตั้งแต่วันเด็ก จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อมีท่านเคยเล่าว่า ท่านนั้นไม่ได้ของดีจากอาจารย์หลวงพ่อเขียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ “สังขวานร” เพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวอาจารย์ท่าน ซึ่งหลวงพ่อเขียนหล่อหลอมขึ้นเอง เมื่อหลวงพ่อเขียนถึงแม่มรณภาพ สังขวานรก็ติดตามไปด้วยทั้งๆ ที่หลวงพ่อเขียนเก็บใส่ตลับติดตัวเอาไว้เป็นอย่างดี พอท่านสิ้นลมได้นำเอาตลับที่บรรจุสังขารตลับนั้นมาเปิดออกดู ปรากฎว่าสังขวานรได้อันตธานหายไปเองอย่างน่าอัศจรรย์

อนึ่ง สังขวานร คือแร่ชนิดหนึ่งซึ่งเราเรียกว่า “เขี้ยวหนุมาน” หลวงพ่อเขียนทำสำเร็จด้วยความยากลำบากเพราะต้องใช้เวลามาก เริ่มต้นจากการนำโลหะแร่อีกหลายชนิดที่ทำขึ้นมาหล่อหลอมรวมกันชัดด้วยว่านยา ๑๐๘ ตามตำรับตำราจนสำเร็จกลายเป็นสังขวานรก้อนเล็กๆ ขนาดเม็ดข้าวโพด มีสีเขียวแวววาวคล้าย สีปีกแมลงทับ

แต่ว่าสังขวานรมีสีเลื่อยพรายสวยงามกว่าปีแปลงทักมาก ถ้านำไปทิ้งไว้ในที่มือ จะปรากฎลำแสงสว่างคล้ายรุ้งพวยพุ่งขึ้นให้รู้ว่าไปตกอยู่ ณ ที่แห่งใด หลวงพ่อเขียนเคยทดลองคุณวิเศษ ของสังขวานรให้หลวงพ่อมีชมดูหลายประการและบอกให้ท่านฟังว่า “สังขวานรมีคุณดุจเหล็กไหล” ถ้าผู้ใดได้พกติดตัวเป็นมหาอุด และมีความอยู่ยงคงกระพัน ชาตรีสูง บุกน้ำลุยไฟได้ทั้งนั้น”

นับว่า สังขวานร เป็นสุดยอดแห่งของขลังที่หาได้ยากโดยแท้ “เล่นแร่แปรธาตุ ผ้าจะขาดไม่รู้ตัว”

แม้ว่าหลงองพ่อมีจะเห็นกรรมวิธีการหล่อหลอมเล่นแร่แปรธาตุต่างๆ อย่างใกล้ชิดแต่ใจจริงแล้ว ท่านไม่ค่อยชอบทางด้านนี้เท่าใดนัก เนื่องจากทำให้เนื้อตัวสกปรกดำไปหมดทั้งตัวในเวลาทำการหล่อหลอมแล้ว หลวงพ่อปาน วังบางนมโค พระอาจารย์องค์สำคัญอีกองค์หนึ่งของหลวงพ่อมีเคยกล่าวเปรยๆ เป็นทำนองเตือนสติให้ท่านรู้ว่า “ระวังการเล่นแร่แปรธาตุ ผ้าจะขาดไม่รู้ตัว”

นับเป็นคำเตือนที่มีค่ายิ่ง เพราะถ้าในสมัยนี้ ผู้ใดคิดเล่นแร่แปรธาตุหวังร่ำรวยทางลัด ด้วยการทำตะกั่วให้กลายเป็นทองคำ กว่าจะได้คงต้องลงทุนจนหมดตัวซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะทำตะกั่วกลายเป็นเงิน แล้วทำเงินให้กลายจนเป็นทองคำได้อีกหรือไม่เรียกว่า กว่าจะสำนึกตัวผ้าอาจขาดจนไม่มีติดกายก็เป็นได้

เล่นแร่แปรธาตุชั้นสูง สามารถทำให้ตะกั่วกลายเป็นเงิน เงินกลายเป็นทองคำได้ ในภายหลังที่หลวงพ่อมีไปศึกษาอสุภกรรมฐานกับหลวงพ่อปานแล้ว ท่านพิจารณาเห็นว่าวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ไม่ใช่หนทางหลุดพ้นจากสงสารวัฏแห่งการเวียนว่าย ตาม เกิด หลวงพ่อมีจึงตัดใจไม่เรียนวิชาทำตะกั่วให้เป็นทองคำต่อจากหลวงพ่อเขียน

ดังนั้นหลวงพ่อมีจึงเรียนรู้แต่วิธีทำตะกั่วให้เป็นทองคำมาเพียงผิวเผินเท่านั้น โดยไม่เคยทดลองทำจริงๆ มาก่อนเลย ส่วนกรรมวิธีการทำเมฆพัดนั้นหลวงพ่อมีเคยทดลองทำมากับหลวงพ่อเขียนจนมีความเชี่ยวชาญมาแล้วในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งหลวงพ่อมีกรุณาเปิดเผยสูตรทำเมฆดัดให้ทราบว่า

การทำเมฆพัดประกอบด้วย เงิน ทองแดง ตะกั่ว ปรอท กำมะถันเหลือง และว่านยา ๑๐๘ ชนิดมีว่านทองคำ เป็นอาทิ โดยมีส่วนของน้ำหนักพิกัดสิ่งละไม่เท่ากันตามตำรา นำมาหล่อหลอมรวมกันแล้วซัดด้วยกำมะถันเหลืองและว่านยาอยู่ตลอดเวลาตามกรรมวิธีอันแยบยลตามลำดับ จนกระทั่งเนื้อเมฆพัดหลอมจนเหลวได้ที่ดีแล้วจะสำเร็จเป็น “กายสิทธิ์”

หลวงพ่อเขียน บอกว่าเมฆพัด จะมีฤทธิ์เดชในตัวเองสามารถป้องกันภูตผีปิศาจ เป็นคลาอดแคล้วคงกระพันบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขให้คุณแด่ผู้เป็นเจ้าของยิ่งนัก หลวงพ่อมี เคยกล่าวยืนยันว่า วิชาทำตะกั่ว จนกลายเป็นทองคำนี้ หลวงพ่อเขียนท่านทำได้จริงเมื่อท่านสามารถพิสูจน์จนรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ท่านก็เลิกเล่นและไม่ถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่ผู้ใดอีก

ชะรอยหลวงพ่อเขียนท่านคงจะเห็นโทษจากการหมกมุ่นในการแปรธาตุ ซึ่งเป็นความละโมบผิดธรรมชาติดังนั้นในบั้นปลายชีวิต หลวงพ่อเขียนท่านมุ่งบำเพ็ญภาวนา แสวงหาความหลุดพ้นจนถึงแก่กาลมรณภาพโดยสงบในที่สุด

ทำแตงหนูเป็นทองแดง ลูกแตงหนูเป็นพืชจำนวนเถาเลื้อยไปตามดินเถาและใบแตงหนูเป็นขนคล้ายต้นขี้กาขาวมีผลเหมือนแตงไทยที่เราอามาใส่กระทิน้ำแข็งกินเป็นของหวานนั้นและ แต่ลูกแตงหนูเล็กกว่าลูกแตงไทยมาก คือมีขนาดโตแค่หัวแม่มือเท่านั้น บรรดาแพทย์แผนโบราณนิยมนำมาทำยาสมุนไพร กล่าวกันว่าใช้แก้ไขได้วิเศษนัก

หลวงพ่อเขียน นอกจากจะปลูกต้นแตงหนูไว้ทำยาแล้ว ท่านยังเอาลูกแตงหนูกับน้ำประสานทองมาสุมไฟจนกลายเป็นโลหะทองแดงได้อีกด้วย
วิชาการเล่นแร่แปรธาตุดังกล่าวนับวันจะสูญหายไปแล้ว เนื่องจากต้นทุนในการหล่อหลอมสูงกว่าแรโลหะแท้ๆ ที่จะทำไม่ได้ยกตัวอย่างเช่นการทำทองแดง ก็ต้องหาลูกแตงหนูมาเต็มเบ้า ซึ่งยังหาง่ายไม่แพงเท่าน้ำประสานทอง ซ้ำยังต้องหล่อหลอมอีก ๕๐๐ ครั้ง จึงจะได้ทองแดงก้อนเล็กๆ แค่ปลายนิ้วก้อยเท่านั้น นับมีต้นทุนการผลิตที่สูงมากทีเดียวถ้าทำมาขายไม่คุ้มกันแน่

แต่พระโบราณจารย์ท่านไม่ได้คิดเช่นนั้นกล่าวคือทองแดงที่ได้จากการเปลี่ยนแปรธาตุเมื่อทำสำเร็จ ถ้านำมาปลุกเสกตามตำรา จะกลายเป็นของกายสิทธิ์ ถึงขั้นสามารถป้องกันศัสตราวุธได้ทุกชนิด ดังนั้นจึงเป็นที่น่าสังเกตว่า พระเครื่องราวเก่าๆ ของพระอาจารย์หลายสำนักที่สร้างขึ้นจากตำราเล่นแร่แปรธาตุโดยนำโลหะต่างๆ ที่ทำขึ้นมาสร้างเป็นพระเครื่องจึงมีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านอยู่ยงคงกระพันสูงส่ง

เป็นที่น่าเสียดดายที่หลวงพ่อเขียนไม่เคยสร้างอิทธิมงคลใดๆ ไว้เลย ชื่อเสียงในวงการพระเครื่องจึงไม่มีใครรู้จักแต่ก็ยังโชคดีที่ท่านมีศิษย์ผู้สืบทอดพระเวทวิทยาคมอยู่องค์หนึ่งคือ หลวงพ่อมี เขมธัมโมพระเถราจารย์จอมขมังเวทแห่งวัดมารวิชัยซึ่งเป็นศิษย์และหลานแท้ๆ หลวงพ่อเขียน พระอาจารย์ผู้เรืองวิชาแห่งวัดบ้านพร้าวนอก ปทุมธานี

รูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียน ในสมัยที่หลวงพ่อเขียนยังมีชีวิตอยู่ ท่านไม่เคยสร้างอิทธิมงคลใดๆ ขึ้นเลย แต่เมื่อท่านถึงแก่กาลมรณภาพแล้วได้ ๑ ปี หลวงพ่อสร้าง รูปหลวงพ่อเขียนอัดกระจก ขึ้นจำนวนหนึ่ง เพื่อแจกบรรดาญาติโยมและชาวบ้านทั้งหลายที่มีความเคารพนับถือหลวงพ่อเขียนโดยสร้างพระรูปหล่อจำลองเกือบเท่าองค์จริงประดิษฐานอยู่ ที่มณฑปวัดบ้านพร้าวนอกในปัจจุบัน

“รูปหลวงพ่อเขียนที่วัดมีไม่ได้เลย ถ้าชาวบ้านเห็นแล้วต้องขอกันไปหมด ถ้าไม่ให้ก็ปลดเอาไปบูชาที่บ้านเสียเฉยๆ ที่วัดก็เลยไม่มีรูปของหลวงพ่อเขียนหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่เพียงรูปเดียว”

จากศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อภาพถ่าย หลวงพ่อเขียนดังกล่าว ย่อมแสดงออกถึงความเคารพนับถือที่มีต่อท่านสูงส่งเพียงใด นับว่าหลวงพ่อเขียนเป็นพระอาจารย์อันควรแก่การเคารพกราบไหว้โดยแท้ จึงเป็นที่น่าเสียดายจริงๆ หลวงพ่อเขียนวัดบ้านพร้าวนอกไม่ได้สร้างอิทธิมงคลใดๆ ไว้เป็นอนุสรณ์แก่สานุศิษย์เช่น นั้นหลวงพ่อเขียนต้องเป็นอาจารย์ที่ขึ้นชื่อลือชาอยู่ในแนวหน้าองค์หนึ่งของจังหวัดปทุมธานีอย่างแน่นอน
แต่ก็นับว่าพวกเรายังโชคดีที่มีวิทยาเวทและสายเคล็กลับของหลวงพ่อเขียนยังมีผู้สืบทอดซึ่งเป็นหลานแท้ๆ ของท่าน

หลวงพ่อมี เขมธัมโม พระเถราจารย์สุดขมังเวท แห่งวัดมารวิชัยผู้สร้างรูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียนจนได้รับความนิยมจากชาวบ้านพร้าวแล้วเป็นผู้สร้างพระเครื่องสูตรเมฆพัด (พระสังกัจจายณ์และพระปิดตา) ตามตำรับหลวงพ่อเขียนทุกประการ

ด้วยอำนาจแห่งบารมีหลวงพ่อเขียน รวมทั้งหลวงพ่อมีผู้ปลุกเสกและลงอักขระด้านหลังภาพอัดกระจกทั้งหมดทำให้ผู้รับรูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียนไปแล้วต่างพบประสบการณ์มากมายในทางคงกระพันแคล้วคลาดและมีเด็กห้อยคอแล้วตกน้ำไม่จมจนเป็นที่เลื่องลือ

ปัจจุบันหาชมรูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียนซึ่งหลวงพ่อเป็นผู้สร้างขึ้นได้ยากเพราะมีอายุการสร้างมานานร่วม ๕๐ ปี และที่ชาวบ้านพร้าวมีอยู่ก็หวงแหน เนื่องจากเป็นรูปหลวงพ่อเขียนที่ชาวบ้านพร้าวทั้งหลายให้ความเคารพนับถือและมีประสบการณ์มาแล้วอย่างกว้างขวางนั่นเอง



ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=915&sid=14f684f3a8cf142b5e86c93310e7646e